ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 109-112

 ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 109 ความคิด

 

หวงฝู่สือเมิ่งหยุดชะงักไปชั่วครู่ กล่าวถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “เหตุใดเย่ว์เอ๋อร์จึงถามเยี่ยงนี้” 


 


 


หลังจากถามเสร็จแล้ว หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เสียใจทันที กัดริมฝีปากของตัวเอง แล้วกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “พี่ใหญ่ พี่อย่าคิดมาก ข้าแค่ถามเท่านั้น ไม่มีอะไร” 


 


 


“วันนี้เจ้าแปลกไป ไม่สบายหรือ” หวงฝู่สือเมิ่งพูดไปด้วย แล้วหันหลังเดินกลับไปยืนข้างๆ นาง ยื่นมือออกไปแตะบนหน้าผากนาง เย็นพอๆ กับตัวเอง 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์หลบ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่เป็นไร แต่ถามไปเยี่ยงนั้น พี่มีเรื่องไปหาท่านพ่อท่านแม่มิใช่หรือ พวกท่านอยู่ในห้องของพวกท่าน รีบไปเถิด” 


 


 


รู้สึกว่านางไม่เหมือนคนไม่สบาย หวงฝู่สือเมิ่งจึงวางใจลง แล้วกำชับนางว่า “เจ้าพักผ่อนก่อน หากไม่สบายตรงไหนก็บอกพวกข้า” 


 


 


“ได้ ได้ เจ้าจะบ่นเก่งเหมือนท่านย่าอยู่แล้ว” หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดล้อเล่นกับนาง 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งหัวเราะออกมา ยื่นนิ้วออกมาแล้วกดลงบนหน้าผากนางหนึ่งที “เจ้าคนเนรคุณ ต่อไปดูว่าข้าจะสนใจเจ้าอีกหรือไม่” 


 


 


แม้ว่าปากจะเอ่ยเยี่ยงนี้ แต่มือกลับดึงผ้าห่มขึ้นมา คลุมบนตัวนางเสร็จแล้ว จึงจะหันหลังเดินออกไป 


 


 


เห็นนางเดินออกประตูไปแล้ว รอยยิ้มมุมปากของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็หายไปทันที ในหัวปรากฎภาพที่ท่าป๋าหั่นหลินช่วยชีวิตตัวเองเมื่อสองปีที่แล้วขึ้นมา สลัดภาพอย่างไรก็ไม่หายไป 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งไปที่ห้องของเมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากเรียกทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มแล้ว จึงกล่าวถามว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านพูดอะไรกับเย่ว์เอ๋อร์หรือ หลังจากนางกลับไป สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองลูกสาวคนโตของตัวเอง ทั้งๆ ที่ต่างกับเย่ว์เอ๋อร์แค่เพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่นิสัยและอารมณ์กลับแตกต่างกับราวฟ้ากับดิน เมิ่งเอ๋อร์เชื่อฟังตั้งแต่เด็ก ปฏิบัติกับผู้อื่น ก็นึกถึงส่วนรวมเป็นหลัก ดูแลน้องชายน้องสาวเป็นอย่างดี แต่เย่ว์เอ๋อร์กลับเป็นคนอารมณ์ร้อน โมโหง่าย มีเรื่องไม่พอใจอะไร ก็จะโมโหโกรธทันที นานๆ เข้า คนในจวนจึงมีความรู้สึกที่ผิดๆ อย่างหนึ่งคือ เอาใจเย่ว์เอ๋อร์เหมือนเด็กมาตลอด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบคำถามนาง เงยหน้าขึ้นส่งสัญญาณให้นางนั่งลงบนเก้าอี้แล้วกล่าวว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้านั่งก่อน แม่มีเรื่องจะคุยกับเจ้า” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งนั่งลงแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ มีเรื่องอะไรหรือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองตานาง แล้วกล่าวว่า “วันนี้ไท่จื่อของรัฐหมิงมา ตั้งใจมาสู่ขอ แต่ถูกท่านปู่ของเจ้าปฏิเสธไปแล้ว” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งหยุดชะงักไปเพียงเล็กน้อย ไม่มีอารมณ์ใดๆ แล้วกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มทันทีว่า “รัฐหมิงไกลเกินไป เมิ่งเอ๋อร์ไม่เคยคิดที่จะไปไกลเยี่ยงนั้น ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาเป็นไท่จื่อ ไม่ช้าไม่นานก็ต้องเป็นฮ่องเต้ เมิ่งเอ๋อร์ไม่อยากไปแย่งชิงความรักจากสตรีมากมาย เมิ่งเอ๋อร์อยากอยู่ที่เมืองหลวง อยู่กับท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่ ต่อไปหากแต่งออกเรือนไป ถูกรังแกจากครอบครัวสามี จะได้มีคนคอยหนุนข้า” 


 


 


“แม้ว่าเจ้าจะแต่งไปที่รัฐหมิง หากมีคนกล้าทำให้เจ้าเสียใจ พ่อแม่ก็จะหนุนเจ้าแน่นอน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งส่ายหัวไปมาแล้วกล่าวว่า “ไม่เหมือนกัน หากถึงจุดนั้นจริงๆ ก็คงขาดสงครามไปไม่ได้ เมิ่งเอ๋อร์ไม่อยากเห็นภาพนั้น ข้าก็ยังคงรู้สึกว่าอยู่ข้างๆ ท่านพ่อท่านแม่ที่เมืองหลวงสบายใจกว่า” 


 


 


ทันทีที่พูดจบ ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นได้ กล่าวถามด้วยตาโตว่า “เย่ว์เอ๋อร์อารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ปิดบังนาง “ท่าป๋าหั่นหลินมาสู่ขอ เจ้าก็รู้ ข้าถามเย่ว์เอ๋อร์แล้ว นางก็มีใจให้ท่าป๋าหั่นหลิน แต่ข้ากับท่านพ่อของเจ้าต่างคิดว่าที่ท่าป๋าหั่นหลินสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์นั้นมีเป้าหมายแอบแฝงอยู่ จึงบอกเป็นนัยไปหลายประโยค นางจึงรับไม่ได้เล็กน้อย” 


 


 


“ปีนั้นท่าป๋าหั่นหลินได้ช่วยชีวิตน้องเล็กไว้ น้องเล็กใจเต้นกับเขาก็ไม่แปลก หากนางมีใจเยี่ยงนี้ ท่านพ่อท่านแม่ก็ตามใจนางเถิด ต่อไปน้องเล็กจะได้ไม่เสียใจไปตลอดชีวิต” อย่างไงหวงฝู่สือเมิ่งก็ยังอายุน้อยอยู่ ไม่ได้คิดอะไรมากมาย จึงช่วยหวงฝู่เหย่าเย่ว์พูด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าถอนหายใจกี่ครั้งแล้ว “เมิ่งเอ๋อร์ หากเย่ว์เอ๋อร์เป็นผู้ใหญ่และใจเย็นอย่างเจ้าสักครึ่งหนึ่ง แม่ก็จะตกลงเรื่องแต่งงานนี้ทันที ก็แต่กลัวว่านางแต่งออกเรือนไปไกล หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ถึงแม้พ่อกับแม่จะมีใจแต่ก็ไม่มีแรง” 


 


 


ได้ยินเสียงถอนหายใจของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว หวงฝู่สือเมิ่งลุกขึ้นมาทันที แล้วเดินไปข้างหน้านาง นั่งข้างๆ นาง ค่อยๆ พิงบนตัวนาง ปลอบใจนางว่า “ท่านแม่ ท่านอย่ากังวลใจเลย น้องเล็กมิใช่ไม่มีสติ จัดการเรื่องต่างๆ ไม่ได้เหมือนอย่างที่เราเห็น แค่ปกติถูกพวกเราปกป้องไว้ รอให้นางแต่งงานไปแล้ว เวลาที่ต้องเผชิญทุกอย่างด้วยตัวเอง กำลังของนางไม่ได้แย่ไปกว่าท่านแม่และท่านย่าแน่นอน” 


 


 


“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” 


 


 


 


 


 


เยียลี่ว์อาเป่ากลับมาที่โรงเตี๊ยม แล้วนอนคว่ำลงไปบนเตียง ในหัวปรากฎภาพสองปีก่อนที่เจอหวงฝู่สือเมิ่ง ความใจเย็นและมีสติตลอดเวลาของนาง ทุกท่าทาง ทุกครั้งที่เข้าใกล้ ยังตราตรึงอยู่ในหัวของเขาเสมอ ไม่เคยลืมเลือน เพื่อนาง สองปีนี้เขาฝึกฝนเรียนรู้ภาษารัฐอู่อย่างหนัก เพื่อเวลาที่ได้พบเจอนาง จะได้ไม่มีช่องว่างในการสนทนา เขายังใช้วิธีอดอาหารเพื่อปฏิเสธการสมรสพระราชทานจากเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีพระชายาเอก จึงทำให้เหล่าขุนนางของรัฐหมิงต่างคิดว่าร่างกายของเขามีปัญหา สายตาที่มองเขาจึงมีความเห็นใจซ่อนอยู่ 


 


 


เขาไม่ได้สนใจสิ่งพวกนี้ เขามุ่งมั่นขยันจัดการเรื่องในราชสำนักกับเสด็จพ่อ เพื่อวันหนึ่งที่ตัวเองต้องขึ้นไปอยู่บนตำแหน่งนั้น จะได้ให้ชีวิตที่สงบกับนางได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาเคยคิดไว้ว่า ขอแค่นางยินยอม ต่อไปเขาไม่มีวังหลังก็ได้ จะรักแค่นางผู้เดียว แต่วันนี้ สิ่งพวกนี้ได้สลายหายไป ท่านอ๋องฉีและซื่อจื่อไม่ยินยอม แม้แต่หน้านางเขาก็ไม่พบ จึงไม่ต้องพูดว่าจะได้คุยกับนาง 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นคือ จากการได้รู้จักพูดคุยกันทำให้เขารู้ว่า หวงฝู่สือเมิ่งเป็นคนที่เชื่อฟังและใจเย็น ขอแค่คนในจวนอ๋องฉีไม่ยินยอม นางจะไม่มีทางมาพบเขาเป็นการส่วนตัวแน่นอน และไม่มีทางกลับไปรัฐหมิงกับตนแน่นอน 


 


 


ความหวังในหลายปีนี้ได้สลายไปในทันที ในใจของเยียลี่ว์อาเป่าสิ้นหวังมาก จึงหมุดหัวเข้าไปใต้ผ้าห่มด้วยสมองที่ขาวโพลน 


 


 


 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินดื่มมากไปแล้วจริงๆ ใช้มือหยิกต้นขาของตัวเองตลอดเวลา เพื่อรักษาสติสัมปชัญญะสุดท้ายที่เหลืออยู่ ทันทีที่รู้สึกได้ว่าโจวอันโยนตัวเองให้ลูกน้องของตน จึงโล่งตัวแล้วเมาไปจริงๆ  


 


 


คนของลูกน้องเคยใช้ชีวิตในเมืองหลวง รู้ว่าโรงเตี๊ยมไหนดี จึงขี่รถม้ามาที่โรงเตี๊ยม แล้วเอาห้องพักที่ดีที่สุดสามห้องแล้วก็ห้องพักธรรมดาหลายห้อง แล้วให้เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบเอาน้ำแกงแก้เมามาทันที 


 


 


ทันทีที่ดื่มน้ำแกงแก้เมาเข้าไป ท่าป๋าหั่นหลินไม่เพียงไม่ตื่นขึ้นมา แต่กลับยิ่งเมามากขึ้น คลานอยู่ข้างเตียง แล้วอ้วกออกมาทันที 


 


 


มีกลิ่นสุราเหม็นหึ่งไปเต็มห้อง ลูกน้องปิดจมูก แล้วเรียกพนักงานมาทำความสะอาดทันที 


 


 


วุ่นวายอย่างนี้หลายครั้ง จนอ้วกสุราในท้องออกมาจนหมด ท่าป๋าหั่นหลินจึงจะหยุดลง ลูกน้องก็โล่งอกทันที พนักงานยิ่งไม่ต้องพูดถึง เหม็นจนเกือบสลบไปทันที 


 


 


ลูกน้องก็รู้สึกผิด จึงโยนตั๋วเงินให้พนักงานไปสองตำลึงแล้วกล่าวว่า “วันนี้รบกวนเจ้าแล้ว เงินนี้ให้เจ้า” 


 


 


ถือตั๋วเงินไว้ พนักงานก็ไม่มีคำบ่นอะไรอีก กล่าวอย่างจริงจังว่า “นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ หากท่านมีเรื่องอะไรอีก สั่งมาได้เลยขอรับ” 


 


 


“รบกวนเอาน้ำกงแก้เมามาอีกหนึ่งถ้วย” 


 


 


“ได้ขอรับ” พนักงานรับคำสั่งอย่างดีใจ แล้วรีบวิ่งลงไปชั้นล่างทันที ไม่นานก็ยกน้ำแกงแก้เมาหนึ่งถ้วยขึ้นมาอย่างระมัดระวัง 


 


 


“ให้ข้าเถิด หากมีเรื่องอะไรอีกพวกข้าจะเรียกเจ้า” ลูกน้องรับมา แล้วไล่พนักงานออกไป 


 


 


พนักงานฟังเข้าใจ แล้วหันหลังลงไปชั้นล่างทันที 


 


 


ทันทีที่น้ำแกงแก้เมาถ้วยนี้เข้าไปในท้อง ท่าป๋าหั่นหลินเริ่มสร่างเมาเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมา มองรอบห้องทีที่แปลกตา แล้วกล่าวถามด้วยความสงสัย และคำพูดที่ไม่ชัดเจนว่า “ที่นี่คือที่ใด” 


 


 


“เจ้านาย ที่นี่คือโรงเตี๊ยม ท่านออกมาจากจวนอ๋องฉีแล้วขอรับ” 


 


 


“ออกมาแล้ว” ดูเหมือนว่าท่าป๋าหั่นหลินจะโล่งอกทันที พูดกับตัวเองว่า “ออกมาแล้ว ข้าจะได้นอนอย่างสบายใจจริงๆ ” 


 


 


พูดจบ ก็ค่อยๆ ปิดตาลงทันที 


 


 


ทันทีที่ลูกน้องหันหลังไป จะเดินออกจากห้อง ก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วสั่งว่า “ข้าจะนอนหลับอย่างจริงจัง แม้ว่าฟ้าจะถล่มลงมา พวกเจ้าก็อย่ามารบกวนข้า รอให้ข้าตื่นขึ้นมา ค่อยไปหาฮ่องเต้รัฐอู่ที่วัง” 


 


 


ลูกน้องรับคำสั่ง 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินจึงจะเริ่มปิดตาลงอีกครั้ง ไม่นานก็มีเสียงกรนดังออกมา 


 


 


ลูกน้องเดินออกไป ค่อยๆ ปิดประตูห้อง แล้วเฝ้าอยู่ด้านนอกห้อง 


 


 


สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดมาที่จวนอีก ท่านอ๋องฉีจึงคลายความกังวลใจที่มีในสองวันนี้ ดูเหมือนว่าเยียลี่ว์อาเป่าจะกลับไปแล้ว ส่วนท่าป๋าหั่นหลินนั้น หากกล้าโผล่มาที่จวนอีก เขาก็กล้าสั่งคนตีเขาออกไป 


 


 


เขาคิดเยี่ยงนี้ ท่าป๋าหั่นหลินก็คิดได้ว่าจะเป็นเยี่ยงนี้ จึงไม่กล้ามาที่จวนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าให้คนตี นอนพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมหนึ่งวัน หลังจากสร่างเมาแล้ว ก็ล้างหน้าล้างตัวให้สะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนั่งรถม้าเข้าไปพบหวงฝู่ซวิ่นในวังทันที 


 


 


หวงฝู่ซวิ่นได้รับรายงาน ก็เรียกเขาให้ไปตำหนักหยางซิน 


 


 


หลังจากทำความเคารพแล้วนั่งลงแล้ว หวงฝู่ซวิ่นก็กล่าวถามตรงๆ ว่า “วันนั้นข้าลืมถามเจ้า ว่าเจ้ามีฮองเฮาหรือไม่” 


 


 


วันนั้นหวงฝู่ซวิ่นไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่หลังจากสร่างเมาแล้ว คิดขึ้นได้ ก็ตกใจจนเหงื่อออก หากท่าป๋าหั่นหลินมีฮองเฮาแล้ว ยังมาสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์ คิดว่าท่านลุงไม่เพียงจะตีขาของท่าป๋าให้หัก ตำหนักหยางซินของตนก็ต้องถูกรื้อถอนแน่นอน ฉะนั้น ทันทีที่เจอหน้า จึงถามคำถามนี้ขึ้นมา 


 


 


ท่าป๋าลุกขึ้นตอบว่า “ฮ่องเต้รัฐอู่วางใจเถิด ท่าป๋าเพิ่งจะสืบทอดบัลลังก์ได้ไม่นาน มุ่งมั่นแต่เรื่องบริหารจัดการรัฐ ไม่เพียงแต่ไม่มีฮองเฮา แม้แต่วังหลังก็ว่างเปล่า หลังจากท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์แต่งงานไป ก็จะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในวังหลังของข้า” 


 


 


สีหน้าของหวงฝู่ซวิ่นหยุดชะงักไปชั่วครู่ ไม่เชื่อเล็กน้อย เขาก็เป็นฮ่องเต้ เขารู้ว่าต้องใช้วังหลังเพื่อรักษาความสมดุลของอำนาจของเหล่าขุนนาง ฉะนั้นแม้ว่าจะไม่ชอบใจ ผ่านไปไม่กี่ปี เขาก็จะคัดเลือกลูกสาวของเหล่าขุนนางที่สำคัญเข้าวัง 


 


 


เหมือนจะเข้าใจความคิดของเขา ท่าป๋าหั่นหลินจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “หากฮ่องเต้รัฐอู่ไม่เชื่อ สามารถส่งคนไปตรวจสอบที่รัฐอิงได้” 


 


 


“ไม่ต้อง ข้าเชื่อเจ้าแน่นอน ถ้าเยี่ยงนั้น เรื่องที่เจ้าสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์ ข้าตกลง แต่ฝั่งเสด็จอานั้น ข้าจะไม่ช่วยเจ้าพูด เจ้าจะต้องทำให้เสด็จอายินยอมด้วยตัวเอง” 


 


 


นี่คือตรงตามความต้องการของท่าป๋าหั่นหลินเลย ขอแค่เขาไม่ขัดขวาง เรื่องสู่ขอก็ง่ายขึ้นมาทันที จึงลุกขึ้น แล้วทำความเคารพหวงฝู่ซวิ่นแล้วกล่าวว่า “ขอบพระทัยฮ่องเต้รัฐอู่” 


 


 


หวงฝู่ซวิ่นหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “รอให้เจ้าสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์แล้ว ค่อยเอ่ยประโยคนี้เถิด” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 110 เฮ้อ

 

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสู่ขอหวงฝู่เย่าเย่ว์ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกตีออกมา ท่าป๋าหั่นหลินจึงไม่ได้ไปสู่ขอที่จวน แต่หลังจากนอนคิดอยู่บนเตียงที่โรงเตี๊ยมเป็นเวลาสองวันแล้ว ในที่สุดก็คิดได้หนึ่งวิธี รีบลุกขึ้นทันที แล้วสั่งให้ลูกน้องขี่ม้าเร็ว ส่งจดหมายหนึ่งฉบับกลับไปที่รัฐอิง ให้เสด็จแม่ของตน 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินอายุสิบแปดปีแล้ว สืบทอดบัลลังก์ก็สามปีแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ได้แต่งตั้งฮองเฮา แม้แต่พระสนมก็ไม่มี ไทเฮาคิดว่าร่างกายของเขามีปัญหา จึงพูดเป็นนัยกับเขาหลายครั้งว่าหากไม่อยากให้หมอหลวงตรวจรักษา ก็ให้หาหมอเก่งในหมู่ประชาชนมารักษา หลังจากท่าป๋าหั่นหลินได้ยินก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ถูกกดดันจนจนใจ จึงต้องโกหกไปว่าตนนั้นถูกใจท่านหญิงเล็กของจวนอ๋องฉีในรัฐอู่ แต่ว่านางอายุยังน้อย ยังไม่ได้เข้าสู่วัยสาว ยังสู่ขอไม่ได้ ต้องรอให้นางโตก่อน 


 


 


ไทเฮาก็เป็นคนรัฐอู่ ตอนนั้นได้ถูกฮ่องเต้องค์เดิมที่ออกมาเดินเที่ยวเล่นถูกใจเข้า จึงถูกนำตัวเข้ามาในวังหลัง และเป็นที่ชื่นชอบมานานหลายปี วันนี้ได้ยินว่าท่าป๋าถูกใจท่านหญิงเล็กของจวนอ๋องฉีในรัฐอู่ ก็ดีใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยเร่งอีกเลย ได้แต่นับวันรอหวงฝู่เย่าเย่ว์เติบโตทุกวัน ครั้งนี้ที่ท่าป๋าหั่นหลินไปรัฐอู่นางก็รู้ ตั้งแต่เขาเดินทางไป นางก็สั่งให้คนไปเฝ้าอยู่นอกประตูวังทุกวัน เพื่อดูว่าท่าป๋าหั่นหลินมีข่าวสารอะไรส่งมาหรือไม่ 


 


 


ทันทีที่ลูกน้องของท่าป๋าหั่นหลินกลับมาถึงเมืองหลวง ไทเฮาก็ได้รับข่าวทันที จึงรีบสั่งให้เขามาเข้าเฝ้าทันที  


 


 


ไม่รอให้กล่าวถาม ลูกน้องหยิบจดหมายออกมาจากอกหนึ่งฉบับ แล้วยื่นให้นางด้วยความเคารพทันที 


 


 


หลังจากไทเฮาดูจบ สีหน้าดีใจบนใบหน้าก็ปกปิดไม่อยู่ แม้แต่ขนคิ้วบนใบหน้าก็แสดงรอยยิ้มออกมา จึงรีบสั่งคนให้เตรียมสิ่งของให้เรียบร้อย แล้วสั่งให้คนส่งสิ่งของทั้งหมดไปที่เมืองหลวงรัฐอู่ 


 


 


รถม้าสิบกว่าคันเต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย ด้านหลังมีเหล่าทหารจากรัฐอิงติดตามมาร้อยกว่าราย หลังจากหลินจ้งที่เฝ้าชายแดนเห็นเข้า ก็ตกใจเป็นอย่างมาก ลงมาจากหอประตูเมืองด้วยตัวเอง มาถึงหน้าประตูเมือง ขัดขวางพวกเขาไว้ 


 


 


ลูกน้องก้าวออกมา แล้วรายงานว่าสิ่งของพวกนี้เป็นสิ่งของที่ท่าป๋าหั่นหลินจะนำไปสู่ขอที่จวนอ๋องฉี 


 


 


หลังจากที่หลินจ้งฟังจบ ก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวถามว่า “สู่ขอผู้ใด” 


 


 


“ท่านหญิงหวงฝู่เย่าเย่ว์ ฮ่องเต้รัฐอู่ได้ตกลงแล้ว เจ้านายของข้าจึงให้ข้ากลับไปเอาสิ่งของพวกนี้มา” 


 


 


หลินจ้งยิ่งสงสัยในใจมากขึ้นไปอีก ไม่ให้ทหารตรวจสอบ ลงมือตรวจสิ่งของพวกนี้ด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว เป็นของกำนัลทั้งหมดจริงๆ จึงโบกมือ ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในเขตชายแดน เมื่อเห็นว่ารถม้าไปไกลแล้ว ก็ยังคงรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ จึงครุ่นคิดไปชั่วครู่ แล้วกลับมาที่จวน เขียนจดหมายให้หวงฝู่อี้เซวียนอย่างรวดเร็ว เขียนความคิดของตัวเองลงไปในจดหมายตรงๆ ว่า เขาคิดว่าท่าป๋าหั่นหลินนั้นมีเป้าหมายแอบแฝงอยู่ การแต่งงานครั้งนี้อยากให้เขาคิดให้ดีก่อนตัดสินใจ ให้เขาคิดอย่างถี่ถ้วนก่อน หลังจากนั้นก็สั่งให้คนขี่ม้าไปส่งที่จวนอ๋องฉีให้เร็วที่สุด 


 


 


ม้าที่คนส่งจดหมายขี่นั้นเป็นม้าเร็ว จึงมาถึงเมืองหลวง และจวนอ๋องฉีก่อน 


 


 


หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนได้รับจดหมายแล้ว ก็เปิดออก แล้วอ่านจนจบ ระงับอารมณ์ของตัวเอง เขาก็รู้สึกมาตลอดว่าที่ท่าป๋าหันหลิ่นสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์นั้นมีเป้าหมายแอบแฝงอยู่ แต่ก็หาหลักฐานไม่พบ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ตอนนี้แม้แต่หวงฝู่ซวิ่นก็สนับสนุนการแต่งงานในครั้งนี้ ตัวเยว์เอ๋อร์เองก็มีใจ ช่วงนี้โยวเอ๋อร์ก็ได้พูดคุยกับเสด็จพ่อเสด็จแม่หลายครั้ง ให้พวกเขาได้เตรียมใจไว้ หากเย่ว์เอ๋อร์ยืนยันว่าตกลง พวกเขาจะได้ไม่ขัดขวางมากเกินไป 


 


 


ได้ยินว่าท่าป๋าหั่นหลินได้สั่งให้คนส่งสิ่งของมากมายจากรัฐของตัวเองมา ท่านอ๋องฉีก็โมโหเป็นอย่างมาก จะส่งคนไปขัดขวางทันที เขาคิดว่าใช้วิธีนี้แล้วพวกข้าจะตกลงหรือ ฝันไปเถิด 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขาไว้ “เสด็จพ่อ วันที่เย่ว์เอ๋อร์เข้าสู่วัยสาว ความหมายของพี่ใหญ่นั้นชัดเจนมากแล้ว หากท่านส่งคนไปขัดขวาง นั้นเท่ากับว่าเราไม่ไว้หน้าเขา ไม่ได้จริงๆ แม้ว่าความสัมพันธ์จริงๆ ของเราจะเป็นเยี่ยงไร แต่หวงฝู่ซวิ่นก็คือฮ่องเต้ พวกเขาเป็นขุนนาง เกียรติที่ควรให้ก็ต้องให้ ห้ามให้เหล่าขุนนางและประชาชนทุกคนบอกว่าจวนอ๋องฉีของเราไม่ไว้หน้าฮ่องเต้ ถ้าเยี่ยงนั้นไม่ดีจริงๆ” 


 


 


เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลานสาว ท่านอ๋องฉีจะฟังเข้าหูได้อย่างไร ยืนยันว่าจะส่งคนไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “เสด็จพ่อ ถ้าเยี่ยงนั้นพวกเราก็เรียกเย่ว์เอ๋อร์เข้ามาถามเถิด ฟังความคิดของนางเองจะดีกว่า” 


 


 


ท่านอ๋องฉีทำอะไรไม่ได้ จึงเรียกหวงฝู่เย่าเย่ว์มา ถามความคิดของนางด้วยตัวเอง “เย่ว์เอ๋อร์ พวกข้าได้รับข่าวมาว่า ท่าป๋าหั่นหลินได้สั่งให้คนส่งสิ่งของจากรัฐอิงเพื่อมาสู่ขอที่เมืองหลวง ไม่กี่วันก็จะถึงแล้ว ปู่อยากถามเจ้า ว่าเจ้ามีความคิดอย่างไร” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์กัดริมฝีปาก มองท่านอ๋องฉี มองพระชายาฉี แล้วก็มองหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว บนใบหน้าไม่มีความลังเลใจแม้แต่น้อย ดึงปลายกระโปรงขึ้น แล้วคุกเข่าลงไปทันที “ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ยกโทษให้เย่ว์เอ๋อร์ด้วยที่อกตัญญู เย่ว์เอ๋อร์อยากแต่งงานกับเขาเจ้าค่ะ” 


 


 


แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอได้ยินนางเอ่ยเยี่ยงนี้ ท่านอ๋องฉีก็ยังคงรับไม่ได้ ลุกขึ้นมา แล้วตะคอกนางว่า “นี่เจ้า….” แต่หลังจากเอ่ยออกมาได้เท่านี้ ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี 


 


 


พระชายาฉีก็ตาโตเล็กน้อย นางไม่คิดว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะมีใจให้ท่าป๋าหั่นหลินจริงๆ  


 


 


รู้สึกถึงความโมโหของท่านอ๋องฉี หวงฝู่เย่าเย่ว์จึงคุกเข่าหลังตรงแล้วกล่าวว่า “ท่านปู่ เย่ว์เอ๋อร์รู้ว่าทำให้ท่านผิดหวัง แต่สองปีก่อน ตอนที่ท่าป๋าหั่นหลินได้เสี่ยงชีวิตช่วยหลานไว้ ทำให้หลานไม่ตกเข้าไปในกองไฟ จนถูกเผาไปทั้งตัว ใจของหลานก็อยู่ที่เขาไปแล้ว หากเขาไม่มาสู่ขอ หลานก็จะไม่เอ่ยขึ้นมา ให้พวกท่านจัดเตรียมงานแต่ง แล้วแต่งออกเรือนไปอย่างไม่ปฏิเสธ ดูแลสามีและสั่งสอนลูกๆ อยู่ที่เมืองหลวงไปตลอดชีวิต อยู่ข้างๆ พวกท่าน แต่วันนี้เขามาแล้ว มาสู่ขอแล้ว หลานไม่อยากฝืนใจตัวเอง หลานหวังที่จะแต่งงานกับเขาเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ” 


 


 


“เจ้าไม่มีสมองหรือ เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าที่เขาสู่ขอเจ้านั้นมีเป้าหมายแอบแฝงอยู่” สิบห้าปีแล้ว เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องฉีใช้คำพูดที่ผิดหวังด่าว่าหวงฝู่เหย่าเยว์ ไม่เพียงเท่านี้ ยังทนแทบไม่ไหวอยากจะเปิดศีรษะของนางดู วาข้างในนั้นมีสมองหรือไม่ เด็กที่เขาใช้ความคิดและกำลังทุกอย่างอบรมสั่งสอนออกมาด้วยตัวเอง ไม่ควรโง่เขลาเยี่ยงนี้ 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์อ้าปาก อยากจะเอ่ยอะไรออกมา เสียงโมโหของท่านอ๋องฉีก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ปีนั้นที่พวกเราอยู่บนสะพานที่เจียงหนาน หญิงสาวพวกนั้นที่มาจับตัวเจ้า แท้จริงแล้วใครเป็นคนส่งมา แล้วเพราะเหตุใดท่าป๋าจึงปรากฏตัวที่เจียงหนาน หรือว่าฮ่องเต้อย่างเขา ว่างจนมาเดินเที่ยวในรัฐอู่หรือ” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์กัดริมฝีปากแน่น กัดจนเลือดออกเป็นรอยฟันจึงจะปล่อย “ท่านปู่ ข้ารู้ว่าท่านสงสัยเขามาตลอด หลานก็สงสัยมาตลอด แต่ไม่ว่าอย่างไร เรื่องที่เขาช่วยชีวิตข้าคือเรื่องจริง ช่วยชีวิตครอบครัวเราสี่คนก็คือเรื่องจริง หากมิใช่เขา ตอนนี้พวกเราอาจเป็นเถ้ากระดูกไปแล้ว แม้ว่าเขาจะมีความคิดแอบแฝงอยู่ แต่จากการที่เขาเสี่ยงชีวิตช่วยพวกเราไว้ เขาบาดเจ็บโดนพิษ ก็ถือว่าชดเชยแล้ว” 


 


 


ได้ยินนางเอ่ยเยี่ยงนี้ ท่านอ๋องฉีจึงกล่าวอย่างใจเย็นและช้าๆ ว่า “เย่ว์เอ๋อร์ หากเจ้าอยากจะแต่งงานกับเขา เพราะเขาช่วยชีวิตเจ้าไว้ ไม่จำเป็น เพชรพลอยเงินทอง สิ่งของทุกอย่าง รวมถึงจวนนี้ หากเขาอยากได้ ปู่สามารถให้เขาทั้งหมดอย่างไม่เสียดายเลย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าทั้งชีวิต ประมาทไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเจ้า…” 


 


 


ยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ถูกน้ำเสียงที่มั่นคงของหวงฝู่เย่าเย่ว์ขัดขวางไว้ “ท่านปู่ ที่ข้าแต่งงานกับเขาไม่ใช่เพราะเขาช่วยชีวิตข้าไว้ แต่เป็นเพราะข้าชอบเขา ขอแค่ท่านตกลงเรื่องแต่งงานของเย่ว์เอ๋อร์กับเขา ไม่ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไร เยว์เอ๋อร์จะไม่เสียใจภายหลัง” 


 


 


“เจ้า!” 


 


 


ท่านอ๋องฉีโกรธจนพูดไม่ออกอีกครั้ง ล้มลงบนเก้าอี้ 


 


 


พระชายาฉีถอนหายใจ แล้วกล่าวปลอบใจท่านอ๋องฉีว่า “หากใจของเย่ว์เอ๋อร์เป็นเยี่ยงนี้ พวกเราก็ตามใจนางเถิด พวกเราอาจคิดมากไปเองทั้งหมดก็เป็นได้” 


 


 


ท่านอ๋องฉีไม่พูดจา ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน ส่งสัญญาณให้เขาตามออกไป 


 


 


เห็นทั้งสองเดินออกจากห้องไป พระชายาฉีก็ถอนหายใจออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เย่ว์เอ๋อร์ ลุกขึ้นเถิด พวกข้าเข้าใจความคิดของเจ้าแล้ว” 


 


 


เห็นท่านอ๋องฉีเดินออกไปด้วยสีหน้าขุ่นเคือง สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ค่อยดี หวงฝู่เย่าเย่ว์อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง กล่าวออกมาหนึ่งคำว่า “ท่านย่า” 


 


 


ยังไม่ทันเอ่ยประโยคที่เหลือออกมา ก็ถูกพระชายาฉีโบกมือห้ามไว้ “เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว กลับไปพักที่ห้องเถิด อีกไม่กี่วัน ท่าป๋าหั่นหลินก็จะมาสู่ขอที่จวนแล้ว พวกข้าจะตกลงแน่นอน” 


 


 


คำพูดที่หวงฝู่เย่าเย่ว์อยากจะพูดติดอยู่ที่คอ รู้สึกได้ว่าท่าทีของพระชายาฉีนั้นไม่เหมือนเคย จึงเสียใจเป็นอย่างมาก ดวงตาแดงก่ำ ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันที 


 


 


มองนางวิ่งพุ่งออกไป พระชายาฉีมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วกล่าวว่า “โยวเอ๋อร์ การแต่งงานครั้งนี้ทำไมข้าจึงมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเลย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไผ่กั้นที่เอนไปมา ไม่พูดจา 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์วิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเอง นอนคว่ำหน้าลงไปบนเตียง ดึงผ้าห่มปิดตัวเองไว้อย่างเสียใจ ตั้งแต่เกิดมาเป็นครั้งแรกที่ร้องไห้ออกมาเงียบๆ เช่นนี้ 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกำลังเย็บปักถักร้อย ตกใจเป็นอย่างมากที่หวงฝู่เย่าเย่ว์พุ่งเข้ามา ยังไม่ทันกล่าวว่านางที่ไม่ใจเย็นเหมือนผู้หญิง เห็นท่าทางทุกอย่างของนางแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปทันที วางงานบนมือลง แล้วลุกขึ้นจากเตียงทันที เดินมาข้างเตียงนางแล้วนั่งลง ยื่นมือออกมา ดึงผ้าห่มของนาง ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “เย่ว์เอ๋อร์เป็นอะไร ใครรังแกเจ้า บอกพี่ใหญ่ พี่ใหญ่จะไปแก้แค้นให้เจ้า” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์จับผ้าห่มไว้แน่นไม่ปล่อย กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นที่ดังออกมาจากใต้ผ้าห่มว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พี่ให้ข้าอยู่คนเดียวสักพักก็พอ” 


 


 


ฟังเสียงสะอึกสะอื้นของนาง หวงฝู่สือเมิ่งตกใจเป็นอย่างมาก พวกนางสองพี่น้องโตมากับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรัก ไม่เคยพบเจอเรื่องให้เครียด หรือเรื่องวุ่นวายใจเลย สำหรับพวกนางน้ำตาเป็นสิ่งที่พวกเขาเห็นจากดวงตาของผู้อื่น ตัวพวกเขาเองนั้นไม่เคยร้องไห้เลย หวงฝู่สือเมิ่งจึงยิ่งไม่วางใจ จึงใช้แรงดึงผ้าห่มออก เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว จึงกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลใจว่า “บอกพี่ใหญ่ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ได้ปิดบัง เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้นางฟังด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งฟังจบ จึงวางใจลง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเรื่องอะไร ที่แท้คือเพราะเหตุนี้ เจ้าอย่าโทษท่านปู่ ท่านย่าพวกท่านเลย มิใช่ว่าพวกท่านไม่ตกลงเรื่องแต่งงานของเจ้า แต่แค่อาลัยอาวรณ์ที่เจ้าแต่งออกเรือนไปไกลเท่านั้นเอง” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 111 ให้คำมั่นไว้ก่อน

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เชื่อแน่นอน คำสั่งสอนเมื่อครู่ของท่านอ๋องฉีได้บ่งบอกทุกอย่างแล้ว แต่นางก็ไม่ได้ตอบโต้ แค่พยักหน้า “ข้ารู้ ข้าแค่ไม่สบายใจเท่านั้น” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งลูบหัวนางเบาๆ “ตั้งแต่เราเกิดมา ก็เติบโตภายใต้การดูแลของท่านปู่ท่านย่า พวกท่านไม่อยากให้เราแต่งออกเรือนไปไกลก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ว่า พวกท่านล้วนเป็นคนหัวสมัยใหม่ หากเจ้าตกลงจริงๆ พวกท่านก็ไม่ขัดขวางแน่นอน เจ้าอย่าร้องไห้เลย หากท่านปู่ท่านย่าเห็นเข้า พวกท่านจะยิ่งเสียใจ” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้าแล้วเช็ดน้ำตา “ข้ารู้ ข้าเข้าใจ แต่ข้าแค่คิดไม่ถึงไปชั่วขณะนึงเท่านั้น ใช่แล้ว พี่ใหญ่ เมื่อครู่ข้าทำให้พวกท่านโกรธ ท่านปู่เดินออกไปด้วยความโมโห ท่านย่าก็สีหน้าไม่ดี พี่ใหญ่รีบไปปลอบพวกท่านเถิด” 


 


 


“ก็ดี ข้าไปดูท่านย่า เจ้าก็สงบใจอยู่ที่ห้องเถิด อย่าร้องไห้อีกเลย” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้า 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งลุกขึ้นแล้วเดินนำผ้าไปชุบน้ำในกะละมังทองแดงให้เปียก แล้วเดินกลับมายื่นให้นาง เห็นนางเช็ดน้ำตาบนใบหน้าเสร็จแล้ว จึงจะหันหลังเดินออกไป 


 


 


ท่านอ๋องฉีเดินออกมาจากห้องด้วยความโมโห สั่งผู้ติดตามว่า “จูงม้ามา ข้าจะออกไปข้างนอก” 


 


 


ผู้ติดตามมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนสั่งว่า “ไปเถิด จูงมาสองตัว” 


 


 


ผู้ติดตามไปจูงม้า ท่านอ๋องฉีก็เดินก้าวขายาวออกไปทันที เดินไปด้วยสั่งพ่อบ้านไปด้วยว่า “ส่งคนไปบอกท่าป๋าหั่นหลิน ว่าข้ารอเขาอยู่ที่ป่าที่ห่างจากฝั่งตะวันออกของเมืองสามสิบลี้” 


 


 


พ่อบ้านรับคำสั่ง รีบส่งคนไปส่งจดหมายที่โรงเตี๊ยมทันที 


 


 


หลังจากท่านอ๋องฉีออกจากประตูจวน ก็ขี่ม้าตรงออกไปนอกเมืองทันที 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตามอยู่ข้างหลัง 


 


 


ทันทีที่ท่าป๋าหั่นหลินได้รับข่าว ก็ไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย รับสั่งลูกน้องให้เตรียมม้า จะขี่ม้าไปนอกเมืองผู้เดียว แต่ถูกลูกน้องขัดขวางไว้ “เจ้านาย ท่านจะไปผู้เดียวมิได้ ข้าน้อยจะไปด้วยขอรับ” 


 


 


เป็นองค์ชายและเป็นฮ่องเต้มานานหลายปี ท่าป๋าหั่นหลินจะไม่เข้าใจเป้าหมายที่ท่านอ๋องฉีเรียกเขาออกไปนอกเมืองได้อย่างไร ก็แค่อยากจะตีเขาเพื่อระบายอารมณ์ หากถูกลูกน้องของตัวเองเห็นเข้า ต้องเกิดการปะทะกันแน่นอน จึงสั่งด้วยความน่าเกรงขามทันทีว่า “ข้าจะไปผู้เดียว พวกเจ้ารออยู่ที่โรงเตี๊ยม หากผู้ใดกล้าตามข้าไป พรุ่งนี้ข้าจะไล่เขากลับรัฐอิงทันที ต่อไปก็จะไม่ให้เขาติดตามรับใช้ข้าอีก” 


 


 


ได้ยินคำพูดที่เด็ดขาดเยี่ยงนี้ของเขาแล้ว ลูกน้องทุกคนต่างตกใจกันมาก รับหลีกทางทันที 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินมาถึงที่นัดหมายเพียงผู้เดียว 


 


 


ท่านอ๋องฉีมาถึงนานแล้ว รอเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ที่เดิม เห็นท่าป๋าหั่นหลินลงจากหลังม้า ก็เดินก้าวขายาวมาทันที ไม่พูดจา ต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของเขาทันที 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินไม่หลบ โดนเข้าไปเต็มๆ หนึ่งที หน้าบวมขึ้นครึ่งหน้าทันที 


 


 


ท่านอ๋องฉียังไม่หายโมโห เริ่มเตะต่อยเขาอย่างรวดเร็ว 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินยังคงไม่หลบ กุมศีรษะของตัวเองไว้แน่น ปล่อยให้เขาเตะต่อยบนร่างกายของตัวเอง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยืนมองอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา 


 


 


เตะครั้งสุดท้ายทำให้ท่าป๋าหั่นหลินล้มลงไปที่พื้น ท่านอ๋องฉีก้มตัวมองเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบแต่กดดันว่า “ดีที่สุดคือเจ้าสู่ขอเย่ว์เอ๋อร์อย่างจริงใจ หากข้ารู้ว่าเจ้ามีเป้าหมายอื่น ข้าจะนำทหารไปทำลายรัฐอิงของเจ้า” 


 


 


พูดจบ ก็หันหลังไปข้างๆ ม้า กระโดดขึ้นหลังม้า แล้วขี่ตรงเข้าไปในเมืองทันที 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ตามไป แต่เดินตรงมาข้างหน้าท่าป๋าหั่นหลินแล้วมองเขา 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินรีบกุมศีรษะของตนทันที 


 


 


แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับยื่นมือให้เขา 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินมองเขาไปชั่วขณะนึง จึงจะยื่นมือให้เขาอย่างระมัดระวัง 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนใช้แรงดึงเขาขึ้นมา ลุกขึ้นยืนดีๆ มองดูฝุ่นดินและรอยเท้าที่วุ่นวายบนตัวเขา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงใจเย็นและสงบว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าดึงเจ้าขึ้นมา หวังว่าจะมิใช่ครั้งสุดท้าย หากเจ้าไม่ดีต่อลูกสาวของข้าเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องถึงมือผู้อื่น ข้าคนเดียวก็สามารถทำลายวังในรัฐอิงของเจ้าได้” 


 


 


พูดจบ ก็ไม่สนใจว่าท่าป๋าหั่นหลินตอบสนองอย่างไร กระโดดขึ้นหลังม้า แล้วขี่ตามท่านอ๋องฉีไป 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินหันหลังกลับไปดู เห็นเพียงฝุ่นตลบคละคลุ้งขึ้นมาปกปิดร่างกายของพวกเขา จึงมองเห็นไม่ชัด แต่เขารู้ว่า ท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนนั้นยินยอมแล้ว เรื่องที่เขาคิดอยู่ตลอดเวลามานานหลายปีนั้นจะสำเร็จแล้ว จึงเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง เสียงยิ่งอยู่ยิ่งดัง ยิ่งอยู่ยิ่งบ้าขึ้นเรื่อยๆ หัวเราะจนน้ำตาไหลอ จึงจะหยุดลง เผยสีหน้าดุร้ายและน่ากลัวขึ้นมาทันที 


 


 


สิบวันผ่านไป รถม้าสิบกว่าคันและทหารหลายร้อยนายเข้ามาในเมืองหลวง มาถึงโรงเตี๊ยมที่ท่าป๋าหั่นหลินพักอยู่จึงจะหยุดลง 


 


 


ทุกคนต่างแปลกใจ ไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์เยี่ยงนี้ ต่างล้อมรอบมุงดู คาดเดาว่าสิ่งของใน**บคืออะไร 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินได้รับรายงาน จึงเดินลงมาจากชั้นบน ทหารทุกคนคุกเข่าทำความเคารพพร้อมกันทันที “เจ้านาย” 


 


 


นี่เป็นสิ่งที่ท่าป๋าหั่นหลินสั่งเป็นพิเศษในจดหมาย ให้ทหารที่มาถึงเมืองหลวงห้ามเรียกเขาว่าฮ่องเต้ มิใช่เพื่อปิดบังฐานะ แต่เพื่อไม่ให้หวงฝู่ซวิ่นเกิดความระแวง ตั้งแต่สมัยโบราณสิ่งที่ยากที่สุดคือคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ ผู้ใดจะไปรู้ว่าหวงฝู่ซวิ่นอาจไม่พอใจเขาเพียงเพราะคำเรียกขานนี้ก็เป็นได้ ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ จะเกิดเรื่องมิได้ 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินโบกมือ ทุกคนลุกขึ้นยืนอย่างเป็นระเบียบและพร้อมเพรียงกัน ทำให้ผู้คนที่มาล้อมดูชื่นชมกันมาก 


 


 


หันไปกล่าวถามลูกน้องของผู้นำว่า “จัดเตรียมตามที่ข้ากล่าวในจดหมายใช่หรือไม่” 


 


 


ลูกน้องก้มตัว แล้วกล่าวด้วยท่าทางเคารพว่า “รายงานเจ้านาย ไทเฮาเป็นผู้สั่งให้คนจัดเตรียมด้วยตัวเองขอรับ ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอนขอรับ” 


 


 


“ดี ยกของลงมา ถือให้ดี แล้วไปสู่ขอที่จวนอ๋องฉี”  


 


 


ทันทีที่สั่ง ทหารทุกคนก็เริ่มปฏิบัติทันที ยกลังทุกลังบนรถม้าลงมาทั้งหมด แม้แต่ผู้บรรเลงดนตรีและผู้ยกเกี้ยวก็เตรียมพร้อมแล้ว เสียงดนตรีบรรเลงขึ้นมา ทุกคนจึงเข้าใจทันทีว่า ที่ยกขึ้นมานั้นเป็นของสู่ขอ ต่างสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ แค่ดูจากสายตาก็มีหนึ่งร้อยกว่าลังแล้ว แค่สู่ขอยังมากเพียงนี้ แล้วตอนให้สินสอดทองหมั้น จะมากเพียงใด 


 


 


แต่ก็ยังมีผู้คนที่นับตั้งแต่ลังแรกจนถึงลังสุดท้าย พอนับเสร็จก็ตกใจจนแทบกัดลิ้นของตัวเอง **บลังเหล่านี้จะมีเพียงหนึ่งร้อยกว่าลังได้อย่างไร สองร้อยห้าสิบหกลังชัดๆ  


 


 


ผู้คนต่างครึกโครมขึ้นมาทันที บอกต่อกันจากหนึ่งคนสู่สิบคน สิบคนสู่หนึ่งร้อยคน แทบจะทุกคนที่วิ่งมามุงดู จนเต็มถนนตั้งแต่โรงเตี๊ยมจนถึงจวนอ๋องฉี ต่างเขย่งขา เงยหน้า เพื่อแย่งกันดูภาพที่เห็นดูได้ยากนี้ 


 


 


ขบวนมาถึงจวนอ๋องฉีอย่างยิ่งใหญ่ 


 


 


นายประตูที่เห็นก็รีบวิ่งเข้าไปรายงานอย่างรวดเร็ว ท่านอ๋องฉีได้ยิน ก็นั่งเหมือนเดิมไม่ขยับ สั่งพ่อบ้านว่า “ปล่อยเขาเข้ามาคนเดียวเป็นพอ ส่วนสิ่งของพวกนั้น ทิ้งไว้ข้างนอก ตอนกลับให้เขายกกลับไปด้วย จวนอ๋องฉีไม่ต้องการสิ่งของพวกนั้นของพวกเขา” 


 


 


พ่อบ้านรับคำสั่ง แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปที่หน้าประตูจวน 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินลงจากหลังม้า พ่อบ้านก้าวออกมาแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องฉีเชิญท่านเข้าไป ส่วนสิ่งของพวกนี้ ท่านอ๋องฉีกล่าวว่าท่านยกมาเยี่ยงไรก็ยกกลับเยี่ยงนั้น จวนอ๋องฉีไม่ต้องการสิ่งของพวกนี้” 


 


 


สีหน้าของท่าป๋าหั่นหลินไม่สู้ดีขึ้นมาทันที แต่ไม่นานก็หายไป สั่งให้คนวางสิ่งของลง ส่วนตัวเองนั้นเดินเข้าจวนทันที 


 


 


ลูกน้องอยากจะเดินตามเข้าไป พ่อบ้านโบกมือ องครักษ์ลับในจวนรายร้อยคนวิ่งออกมาจากด้านในจวน ในมือถืออาวุธแหลมคม ขวางหน้าพวกเขาไว้ 


 


 


พ่อบ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบว่า “ท่านอ๋องฉีสั่งแล้ว ให้เจ้านายของพวกเจ้าเข้าไปเพียงผู้เดียว ส่วนผู้อื่นเฝ้ารออยู่ด้านนอก” 


 


 


ลูกน้องกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่พ่อบ้านกลับหันหลังเดินเข้าไปในจวนแล้ว เดินไปด้วยสั่งไปด้วยว่า “หากผู้ใดกล้าบุกเข้ามาในจวน ไม่ต้องออมมือ” 


 


 


องครักษ์ลับในจวนทุกคนรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด ทำให้ผู้คนต่างตกใจจนใจสั่น 


 


 


ไม่มีผู้ใดกล้าขยับ 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินมาถึงห้องโถงรับแขกเพียงผู้เดียว ท่านอ๋องฉี พระชายาฉี หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวล้วนนั่งอยู่ในห้องโถงรับแขก 


 


 


ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องโถงรับแขก ท่าป๋าหั่นหลินทำความเคารพแล้วกล่าวว่า “ทำความเคารพท่านอ๋องฉี พระชายาฉี ซื่อจื่อ และซื่อจื่อเฟย” 


 


 


ท่านอ๋องฉีไม่พูดจาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


พระชายาฉียิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องทำความเคารพมากมาย นั่งลงแล้วพูดคุยกันเถิด” 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินกล่าวขอบคุณ แล้วนั่งหลังตรง 


 


 


พระชายาฉียิ้มแล้วมองพินิจพิเคราะห์เขา ไม่ได้พบเจอกันมาสองปี สุขุมมากขึ้น เพียงนั่งอยู่ก็มีความน่าเกรงขามของฮ่องเต้เผยออกมา 


 


 


สัมผัสได้ถึงการมองพินิจพิเคราะห์ของนาง ในใจของท่าป๋าหั่นหลินก็กังวลเล็กน้อย หลังยิ่งตั้งตรงมากขึ้นไปอีก มือสั่นเล็กน้อย 


 


 


พระชายาฉีเห็นทุกอย่าง จึงพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มแล้วกล่าวว่า “พวกข้าได้ถามเย่ว์เอ๋อร์แล้ว นางตกลงกับการแต่งงานครั้งนี้ ถ้าเยี่ยงนั้น พวกข้าก็ไม่ขัดขวางอีก วันนี้ถือว่าตกลงกับการสู่ขอของเจ้า ส่วนสิ่งของพวกนั้นที่เจ้ายกมา เดี๋ยวให้คนของเจ้าเอารายการทั้งหมดให้พ่อบ้าน หลังจากทุกอย่างตรงกันแล้ว พวกข้าจะเอาเข้าห้องคลัง ต่อไปสิ่งของพวกนี้ก็จะเป็นสินเดิมของเย่ว์เอ๋อร์” 


 


 


หลังจากได้ยินคำพูดของนางแล้ว ท่าป๋าหั่นหลินก็โล่งอกทันที 


 


 


“แต่ว่า…”  


 


 


เสียงของพระชายาฉีดังขึ้นมาอีกครั้ง  


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินใจสั่นขึ้นมาอีกครั้ง แล้วมองนางด้วยความกังวลใจ 


 


 


“พระชายาฉีพูดต่อว่า เย่ว์เอ๋อร์เพิ่งจะเข้าสู่วัยสาว พวกข้ายังไม่อยากให้นางแต่งงานเร็วเยี่ยงนี้ เกรงว่าจะต้องให้ฮ่องเต้รัฐอิงรออีกสักปีสองปี” 


 


 


ท่าป๋าหั่นหลินเริ่มร้อนใจเล็กน้อย รีบกล่าวทันทีว่า “พระชายาฉี ปีนี้ท่าป๋าสิบแปดปีแล้ว เพื่อรอท่านหญิงเยว์เอ๋อร์เติบโต การแต่งงานเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ตอนนี้มีขุนนางมากมายเริ่มคาดเดาว่าร่างกายของข้ามีปัญหา หากต้องรออีกปีสองปี เยี่ยงนั้น…” 


 


 


ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกน้ำเสียงที่ไม่พอใจของท่านอ๋องฉีขัดขวางไว้ “หากเจ้าไม่ยอมรอ ก็ไปสู่ขอผู้อื่นได้เลย การแต่งงานครั้งนี้ถือเป็นโมฆะ พวกข้าจะถือว่าวันนี้เจ้าไม่เคยมา” 


 


 


คำพูดที่ท่าป๋าหั่นหลินอยากพูดติดอยู่ที่คอ ผ่านไปสักพักจึงจะพึมพำออกมาว่า “ข้า ข้า ข้าเพียงกล่าวชี้แจง ไม่ได้พูดว่าจะไม่รอ” 


 


 


ไม่คิดว่าเขาจะพูดคำพูดแบบนี้ออกมา พระชายาฉีจึงเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา  


 


 


กลั้นหัวเราะไว้ แล้วไอออกมาเบาๆ จึงพูดต่อไปว่า “พวกข้าเข้าใจถึงความลำบากใจของฮ่องเต้รัฐอิง แต่ก็อยากให้ท่านเห็นใจพวกข้าเช่นกัน หลายปีมานี้เย่ว์เอ๋อร์ไม่เคยห่างจากพวกข้าเลย หากต้องแต่งไปยังรัฐอิงจริงๆ ก็ห่างไกลกันมาก เดินทางไปมาก็ไม่สะดวก ยิ่งไปกว่านั้นคือต่อไปนางจะเป็นถึงมารดาของรัฐ ก็ไม่มีเวลาว่างกลับมาที่นี่ ฉะนั้น พวกข้าอยากให้นางอยู่กับพวกข้าอีกสักปีสองปี จึงอยากจะให้ฮ่องเต้เข้าใจด้วย” 


 


 


นางพูดชัดเจนและใช้คำพูดที่รื่นหู ท่าป๋าหั่นหลินจะไม่กล้าตกลงได้อย่างไร จึงพยักหน้าตกลงอย่างจนใจ กัดฟันแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น ท่าป๋าจะรอ” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 112 ฮ่องเต้รัฐอู่...

 

หลังจากผ่านการสู่ขอที่ครึกโครม และวุ่นวายไป ในที่สุดท่าป๋าหั่นหลินก็สมใจปรารถนา ทำให้จวนอ๋องฉียินยอมกับการสู่ขอของเขา ข่าวนี้ได้แพร่ไปทั่วเมืองหลวง ทำลายจินตนาการของผู้คนมากมาย โดยเฉพาะเหล่าตระกูลขุนนางทั้งหลายที่อยากจะผูกเป็นญาติกับจวนอ๋องฉีโดยการแต่งงาน ในใจนั้นเสียดายเป็นอย่างมาก ถ้ารู้ว่าทำขบวนที่ใหญ่โตเยี่ยงนี้ สามารถสู่ขอหวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ แม้ว่าพวกเขาจะต้องขายทุกอย่างแม้แต่จวนพวกเขาก็จะทำ เพราะไม่ว่าอย่างไรหลังจากแต่งงานกันแล้ว สิ่งของพวกนี้ก็จะกลับมา 


 


 


ยังมีเหวินซื่อ หลังจากด่าว่าหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยน้ำเสียงเบาๆ ต่อหน้าเฝิงจิ้งเหวินในห้องของตัวเองแล้ว ก็รีบระดมคนทุกคนในร้านยาเต๋อเหรินจัดเป็นขบวนยิ่งใหญ่เพื่อไปสู่ขอเหมือนท่าป๋าหั่นหลิน แต่ถูกเฝิงจิ้งเหวินห้ามไว้ “ในเมื่อเย่ว์เอ๋อร์ตกปากรับคำการสู่ขอของฮ่องเต้รัฐอิงแล้ว ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เมิ่งเอ๋อร์ไม่มีทางพูดคุยเรื่องแต่งงานอีกแน่นอน แม้ว่าท่านพี่จะยกร้านยาเต๋อเหรินให้ก็ไม่สามารถสู่ขอกลับมาได้แน่นอน ล้มเลิกความคิดนี้เถิด” 


 


 


ความตื่นเต้นทั้งหมดของเหวินซื่อถูกราดด้วยน้ำเย็น อึดอัดใจเป็นอย่างมาก จึงไม่ใช้น้ำเสียงเบาอีกต่อไป ตะโกนออกมาเสียงดังว่า “เจ้าคนอกตัญญูสองคน ตั้งแต่ลูกสาวของพวกเขาคลอดออกมาข้าก็ขอหมั้นหมายไว้หนึ่งคน พวกเขาไม่ยอม ตอนนี้เป็นอย่างไร ถูกคนนอกได้ไปแล้ว” 


 


 


เฝิงจิ้งเหวินเห็นเขาอารมณ์รุนแรงเยี่ยงนี้ ยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา ปลอบโยนว่า “การแต่งงานของลูกสาวลูกชาย เป็นเรื่องของพรหมลิขิต ท่านไปบังคับเยี่ยงนี้ก็ไม่มีประโยชน์” 


 


 


“ข้าบังคับเมื่อใด ลูกสาวทั้งสองของพวกเขา แต่งงานกับลูกชายของเราหนึ่งคน ไม่ดีหรือ” เหวินซื่อยังไม่หายโมโห น้ำเสียงจึงไม่ดีเท่าไร 


 


 


เฝิงจิ้งเหวินค่อยๆ เปิดโปงเขาอย่างใจเย็นว่า “ท่านอยากจะสู่ขอภรรยาให้ลูกชาย หรือแท้จริงแล้วท่านพี่เพียงอยากให้เมิ่งเอ๋อร์หรือเย่ว์เอ๋อร์คนใดคนหนึ่งแต่งเข้ามา เพื่อจะได้ควบคุมซื่อจื่อและโยวเอ๋อร์กันแน่” 


 


 


ถูกพูดแทงใจ สีหน้าของเหวินซื่อแดงขึ้นมาทันที เหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม ไม่กระโดดไปมาอีก นั่งกลับไปที่เก้าอี้อย่างเรียบร้อย 


 


 


รอยยิ้มมุมปากของเฝิงจิ้งเหวินยิ่งอยู่ยิ่งกว้าง สามีของนางคนนี้ น่าจะถูกอี้เซวียนกับโยวเอ๋อร์สองสามีภรรยารังแกมากเกินไป อยากจะให้ลูกชายของตัวเองสู่ขอลูกสาวของพวกเขา ต่อไปตัวเองจะได้ไม่ถูกพวกเขารังแกอีก ยิ่งไปกว่านั้นคือความคิดนี้มีมาแล้วสิบกว่าปี นักแน่นยิ่งนัก 


 


 


ทางไท่จื่อเยียลี่ว์อาเป่าที่ถูกปฏิเสธ แต่ก็ยังอยู่เมืองหลวงไม่ยอมกลับรัฐหมิงได้ยินข่าวนี้ ก็อยากจะใช้วิธีเดียวกัน แต่ก็หวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสามปีที่แล้ว ที่ตัวเองไปสู่ขอที่จวนแต่ถูกไล่ออกมา จึงเกิดความลังเลเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ที่โรงเตี๊ยมเป็นเวลาหลายวัน แต่ก็คิดแผนการอะไรไม่ออก จึงทำได้เพียงแสดงฐานะแล้วเข้าวังเพื่อขอพบหวงฝู่ซวิ่น อยากจะเข้าทางเขา 


 


 


หวงฝู่ซวิ่นได้เข้าไปยุ่งเรื่องแต่งงานของเย่ว์เอ๋อร์แล้ว หากเขายังกล้าเข้าไปยุ่งเรื่องแต่งงานของเมิ่งเอ๋อร์อีก เขาคิดว่าวังของเขาอาจถูกท่านอ๋องฉีรื้อถอนได้ หวงฝู่ซวิ่นจะกล้าตกปากรับคำได้อย่างไร จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์ ข้าว่าเจ้าล้มเลิกความคิดที่จะสู่ขอเมิ่งเอ๋อร์เถิด เมิ่งเอ๋อร์และเย่ว์เอ๋อร์เติบโตต่อหน้าท่านลุงมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เย่ว์เอ๋อร์จะแต่งออกเรือนไปไกล เมิ่งเอ๋อร์ไม่มีทางไปจากเมืองหลวง การสู่ขอครั้งนี้ของเจ้าไม่สำเร็จแน่นอน” 


 


 


ฟังคำพูดของเขาจบ ในใจของเยียลี่ว์อาเป่านั้นเจ็บปวดมาก ตั้งแต่หวงฝู่สือเมิ่งช่วยชีวิตเขาไว้ ในหัวของเขาก็มีแต่นางอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ความหวังพังทลายลง ในใจของเขาจึงรู้สึกเจ็บปวดอย่างพูดไม่ถูก  


 


 


เห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของเขาแล้ว ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาหัวของหวงฝู่ซวิ่น แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธทันที ส่ายหัวไปมา  


 


 


เงียบไปสักพักใหญ่ เยียลี่ว์อาเป่าจึงจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีหวังว่า “ฮ่องเต้รัฐอู่มีวิธีที่ทำให้ข้าสู่ขอท่านหญิงน้อยเมิ่งเอ๋อร์ได้หรือไม่ หากท่านทำให้ข้าสมหวังในเรื่องนี้ ข้ารับประกันว่ารัฐหมิงและรัฐอู่จะเป็นพันธมิตรกันตลอดไป ไม่เกิดสงครามอย่างแน่นอนขอรับ” 


 


 


เงื่อนไขนี้ทำให้หวงฝู่ซวิ่นใจสั่นเล็กน้อย แม้ว่ารัฐอู่จะดีอย่างไร ก็มีช่วงเวลาที่รัฐอ่อนแอ แต่หากเป็นพันธมิตรกับรัฐหมิง อย่างน้อยในหนึ่งร้อยปีนี้ จะไม่มีผู้ใดกล้าบุกสองรัฐนี้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นคือเยียลี่ว์อาเป่าเป็นไท่จื่อของรัฐหมิง อีกไม่นานก็จะเป็นฮ่องเต้ คำพูดที่เขากล่าวออกมาย่อมเชื่อถือได้อย่างแน่นอน 


 


 


หลังจากเงียบไปสักพัก หวงฝู่ซวิ่นก็กล่าวว่า “มิใช่ว่าไม่มีวิธี แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับเจ้า” 


 


 


เยียลี่ว์อาเป่าเหมือนได้เห็นแสงสว่างท่ามกลางความมืด กล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพและสีหน้าดีใจว่า “เชิญฮ่องเต้ตรัสเถิดขอรับ” 


 


 


“นอกเสียจากว่าเจ้าสามารถอยู่เมืองหลวงเป็นเวลานาน เรื่องแต่งงานของเจ้าและเมิ่งเอ๋อร์อาจสำเร็จได้” 


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของเยียลี่ว์อาเป่าหายไปทันที เขาเป็นไท่จื่อของรัฐหมิง จะอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงของรัฐอู่เป็นเวลานานได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ 


 


 


หวงฝู่ซวิ่นก็แค่มีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว แต่หลังจากพูดออกมาแล้ว ตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ หากเยียลี่ว์อาเป่าจะอยู่ที่เมืองหลวงเป็นเวลานาน จะต้องละทิ้งตำแหน่งไท่จื่อ ไม่มีชายใดโง่เขลาเยี่ยงนี้แน่นอน 


 


 


ไม่ได้วิธีจากหวงฝู่ซวิ่น เยียลี่ว์อาเป่าจึงขอตัวลาก่อน กลับโรงเตี๊ยม ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นอนพักอยู่บนเตียงที่โรงเตี๊ยมเป็นเวลาสองคืนติดต่อกัน เช้าของวันที่สาม ตัดสินใจ ลุกขึ้นจากเตียง แต่งตัว สวมใส่เสื้อผ้าใหม่ ไม่ได้นำลูกน้องไปด้วย สั่งให้พวกเขารออยู่ที่โรงเตี๊ยม ส่วนตัวเองนั้นไปจวนอ๋องฉีเพียงผู้เดียว 


 


 


นายประตูจำเขาได้แล้ว จึงเดินออกมาแล้วกล่าวถามด้วยความเคารพว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์ เหตุใดท่านจึงมาอีกเล่าขอรับ” 


 


 


ครั้งแรก ถูกตีไปหนึ่งรอบ ครั้งที่สองถูกปฏิเสธ ครั้งที่สามยังมาอีก ยืนหยัดจริงๆ นายประตูพึมพำในใจ แต่บนใบหน้ากลับแสดงรอยยิ้มออกมา 


 


 


“เจ้าช่วยไปรายงานท่านอ๋องฉีทีว่าข้ามีเรื่องอยากพบ” เยียลี่ว์อาเป่ากล่าวด้วยท่าทางเกรงใจเป็นอย่างมาก 


 


 


นายประตูไม่กล้าชักช้า รับวิ่งเข้าไปรายงานทันที 


 


 


ช่วงนี้ท่านอ๋องฉีอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ได้ยินว่าเยียลี่ว์อาเป่ามาอีกครั้ง ก็โมโหขึ้นมาทันที ลุกขึ้นมาแล้วจะเดินออกไปทันที พระชายาฉีสายตาไวรีบจับตัวเขาไว้ทันที “ท่านอ๋อง ท่านใจเย็นก่อน เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถิด” 


 


 


อย่างน้อยเยียลี่ว์อาเป่าก็เป็นถึงไท่จื่อของรัฐหมิง หากท่านอ๋องฉีทำเยี่ยงนั้นกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า หากพูดตามหลักแล้วไม่ถูกต้อง หากเรื่องนี้ไปถึงรัฐหมิง ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ 


 


 


ท่านอ๋องฉีสะบัดแขนเสื้อ สะบัดมือพระชายาฉีออก แล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เขาอยากสู่ขอเมิ่งเอ๋อร์ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” 


 


 


พระชายาฉีก้าวขายาวมาขวางหน้าเขาไว้ ยื่นมือสองข้างออกมาขวางทางเขาไว้ แล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง เรื่องแต่งงานของเย่ว์เอ๋อร์เรายังถามความคิดของนาง แล้วของเมิ่งเอ๋อร์ เราก็ควรให้นางตัดสินใจเองหรือไม่” 


 


 


“นี่เจ้าพูดอะไร” ท่านอ๋องฉีตาโต ด้วยท่าทางที่ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองได้ยินอะไร 


 


 


พระชายาฉีจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น แล้วมองเขาอย่างไม่เกรงกลัว “ข้าบอกว่า เรื่องนี้ต้องถามความคิดของเมิ่งเอ๋อร์”  


 


 


ท่านอ๋องฉีได้ยินชัดเจนแล้ว ก็โมโหขึ้นมาทันที แล้วตะคอกกลับไปว่า “สายตาของผู้หญิงนั้นสั้นนัก ไม่ต้องพูดอะไรอีก การแต่งงานนี้ข้าไม่ตกลง” 


 


 


เห็นว่าเขาโมโหแล้วจริงๆ พระชายาฉีจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “ท่านอ๋อง ชายหนุ่มต้องแต่งภรรยา หญิงสาวต้องออกเรือน เป็นอย่างนี้มาแต่โบราณ แม้ว่าเมิ่งเอ๋อร์จะไม่แต่งกับไท่จื่อรัฐหมิงคนนี้ ก็ยังมีคนมาสู่ขอที่จวนอยู่ดี ท่านไม่สามารถให้นางอยู่ที่จวนไปตลอดชีวิตได้นะเพคะ” 


 


 


คำพูดนี้เป็นคำพูดที่ท่านอ๋องฉีไม่ชอบฟังที่สุด และเป็นคำพูดที่รับไม่ได้มากที่สุด เขาประคบประหงมหลานสาวสองคนนี้ เลี้ยงดูจนเติบโต พริบตาเดียวก็จะเป็นของผู้อื่นแล้ว ทำให้เขาเสียใจทุกครั้งที่เขานึกเรื่องนี้ขึ้นได้ จึงตะคอกใส่พระชายาฉีทันทีว่า “ข้าจะให้นางอยู่ที่จวนต่อไป เดี๋ยวข้าจะให้คนกระจายข่าว หากจะสู่ขอเมิ่งเอ๋อร์ หลังจากแต่งงานจะต้องอยู่ที่จวนอ๋องฉี”  


 


 


ฟังคำพูดที่จริงจังของเขาแล้ว พระชายาฉีก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบยื่นมือออกมากอดเอวเขาไว้ ดันตัวท่านอ๋องฉีให้ถอยหลัง ถอยไปจนถึงข้างเตียง จนไม่มีที่ถอยแล้ว ดันตัวเขาลงบนเตียง มองตาเขาแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านอ๋อง ข้าไม่เห็นด้วย หากท่านจะทำลายชีวิตของเมิ่งเอ๋อร์เพราะความเห็นแก่ตัวของท่าน” 


 


 


คุณชายที่มีความสามารถ มาจากครอบครัวตระกูลใหญ่ ไม่มีผู้ใดยินยอมที่จะแต่งเข้าตระกูลฝั่งหญิงสาวแน่นอน หากท่านอ๋องฉีกระจายข่าวเยี่ยงนั้นจริงๆ ผู้ที่มาสู่ขอ จะต้องเป็นผู้ที่โลภในความมั่งคั่งแน่นอน ไม่มีผู้ใดจริงใจกับเมิ่งเอ๋อร์ นั่นเท่ากับว่าทำลายทั้งชีวิตของเมิ่งเอ๋อร์ 


 


 


ท่านอ๋องฉีก็แค่โมโหจึงพูดเยี่ยงนั้นออกมา ข้อดีและข้อเสียนั้นเขารู้ดีมากกว่าพระชายาฉี ได้ยินดังนั้น จึงแค่นเสียงหึออกมาเบาๆ ไม่พูดจาอีก 


 


 


พระชายาฉีก็ยังไม่วางใจ จึงกล่าวว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้ปล่อยให้ข้ากับโยวเอ๋อร์จัดการ เดี๋ยวพวกข้าจะไปถามความคิดของเมิ่งเอ๋อร์ ส่วนท่านเชิญไท่จื่อเยียลี่ว์ไปที่ห้องโถงรับแขกได้หรือไม่” 


 


 


ท่านอ๋องฉียังคงไม่พูดจา 


 


 


พระชายาฉีถือว่าเขาตกลงแล้ว จึงหันหลังแล้วรีบเดินออกไปทันที เดินไปด้วยสั่งไปด้วยว่า “เจ้าไปเชิญไท่จื่อเยียลี่ว์ให้ไปที่ห้องโถงรับแขก เดี๋ยวท่านอ๋องฉีจะตามมา” 


 


 


นายประตูรับคำสั่ง หันหลังแล้ววิ่งเหยาะๆ ออกไปทันที 


 


 


ท่านอ๋องฉีได้ยินเสียงเท้าของเขา จึงด่าในใจว่า เจ้าคนไม่ได้เรื่อง แล้วลุกขึ้นเดินไปห้องโถงรับแขกอย่างไม่เต็มใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับรายงาน ก็มีความคิดเดียวกันกับพระชายาฉี ในขณะที่สั่งในคนไปเรียกหวงฝู่สือเมิ่งมา พระชายาฉีก็มาถึงพอดี ทั้งสองไม่ได้ปิดบัง บอกเรื่องที่เยียลี่ว์อาเป่ามาให้นางฟัง พระชายาฉีกล่าวว่า “เมิ่งเอ๋อร์ แม้ว่านับแต่โบราณเรื่องแต่งงานจะเป็นเรื่องใหญ่ที่พ่อแม่เป็นคนจัดการ แม่สื่อเป็นคนดำเนินการ แต่ย่าและแม่ของเจ้าก็ยังอยากให้เจ้าตัดสินใจเอง ไท่จื่อเยียลี่ว์คนนั้นมาที่จวนครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นได้ว่าเขามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับเจ้าจริงๆ ไม่ว่าในใจของเจ้าจะคิดอย่างไร ก็สามารถบอกกับเราตรงๆ ได้” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งฟังจบ ก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน แล้วกล่าวขอร้องออกมาว่า “ท่านย่า ข้าสามารถพบไท่จื่อเยียลี่ว์แล้วกล่าวอะไรบางอย่างกับเขาได้หรือไม่” 


 


 


“นี่…” 


 


 


ไม่คิดว่านางจะขอร้องออกมาเยี่ยงนี้ พระชายาฉีจึงเกิดความลังเลใจเล็กน้อย 


 


 


“เมิ่งเอ๋อร์แค่รู้สึกว่าคำพูดบางอย่างให้เมิ่งเอ๋อร์กล่าวกับเขาด้วยตัวเองจะดีกว่า ไม่เยี่ยงนั้นเขาก็จะมีความคิดแบบนี้ไปตลอด ไม่เพียงแต่จะเสียเวลาเขา จวนอ๋องฉีของเราก็ไม่มีทางสงบ” 


 


 


“เมิ่งเอ๋อร์ความหมายของเจ้าคือ? เจ้าไม่ถูกใจไท่จื่อรัฐหมิงคนนี้หรือ” 


 


 


“ท่านย่า เย่ว์เอ๋อร์แต่งออกเรือนไปไกล ท่าน ท่านปู่ ท่านพ่อและท่านแม่ต่างเสียใจกันมากแล้ว เมิ่งเอ๋อร์ไม่มีความคิดเยี่ยงนั้น แล้วก็ไม่อยากแต่งออกเรือนไปไกล” 


 


 


พระชายาฉีมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน เดินมาข้างหน้าหวงฝู่สือเมิ่ง มองตานาง ยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าคิดดีแล้วหรือ หากเจ้าปฏิเสธไปแล้ว นั่นเท่ากับว่าเจ้าละทิ้งตำแหน่งฮองเฮาของรัฐหนึ่งที่หญิงสาวทุกคนบนโลกนี้ใฝ่ฝัน แม้ว่าแม่อยากจะให้เจ้าอยู่ข้างกาย แต่ก็ไม่อยากให้เจ้าละทิ้งทุกอย่างเพื่อเรา” 


 


 


“ท่านแม่ เมิ่งเอ๋อร์ไม่อยากไปจากพวกท่านจริงๆ ส่วนตำแหน่งฮองเฮานั้น เมิ่งเอ๋อร์ก็ไม่ชอบ เหมือนอย่างที่ท่านปู่กล่าว หากเมิ่งเอ๋อร์กลายเป็นฮองเฮาของรัฐจริงๆ จะต้องแย่งชิงความรักกับเหล่าสนมทั้งหลาย นั่นมิใช่สิ่งที่เมิ่งเอ๋อร์ต้องการ สิ่งที่เมิ่งเอ๋อร์ต้องการคือ รักแท้ รักเดียวตลอดชีวิต ใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขเหมือนท่านและท่านพ่อเจ้าค่ะ” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)