ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 104-105
ตอนที่ 104 กลัวว่าพวกเจ้าจะรอไม่ไหว
แม่ทัพใหญ่ฉู่ลงจากหลังม้า คำนับกลับ “รบกวนแล้ว”
ทันใดนั้นทหารที่เหลือก็ลงจากม้าตาม
ขุนนางกล่าวอย่างสุภาพ “ฮ่องเต้มีพระราชโองการ แม่ทัพใหญ่เดินทางกลับมาอย่างยากลำบาก วันนี้ไม่ต้องเข้าวัง รอหลังจากแม่ทัพใหญ่พักผ่อนแล้ว ดูแลสุขภาพอย่างดีแล้ว ค่อยเข้าวังก็มิเป็นไร”
แม่ทัพใหญ่ฉู่ประกบมือแล้วคำนับขอบพระทัย “ขอบพระทัยฮ่องเต้ที่เห็นอกเห็นใจ เกล้ากละหม่อมซาบซึ้งใจอย่าล้นเหลือ”
ขุนนางทุกคนต่างก็เข้ามาคำนับทักทาย จากนั้นทุกคนต่างก็ขึ้นเกี้ยวกลับไปรายงานคำสั่ง
หวงฝู่อี้เซวียนดึงแขนของเมิ่งเชี่ยนโยวออกมา ร้องเรียกขึ้นอย่างดีใจ “ท่านน้า!”
แม่ทัพใหญ่ตะลึง ตอนที่เขาไปนั้นหวงฝู่อี้เซวียนเป็นเด็กอายุเพียงสิบเอ็ดปีเท่านั้น ยังเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา บัดนี้กลับเติบโตขึ้นกลายเป็นหนุ่มรูปงานไร้ที่เปรียบ มีสง่าราศีเกินหน้าเด็กหนุ่มผู้อื่น ในใจนั้นยินดี ยื่นมือไปตบไหล่เขาเบาๆ “เซวียนเอ๋อร์โตแล้ว น้าเกือบจะจำไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินขึ้นมาคารวะเขา “ท่านแม่ทัพใหญ่”
แม่ทัพใหญ่ฉู่พยักหน้ารับ “แม่นางเมิ่ง”
หวงฝู่อี้เซวียนยังจับแขนเมิ่งเชี่ยนโยวไว้แน่น “ท่านน้า เสด็จแม่บอกว่าหลังจากที่ท่านจัดการกับกองทัพเรียบร้อยแล้ว ให้ไปที่จวนอ๋อง นางทำเสื้อไว้ให้ท่านหลายชุด ให้ท่านไปลองใส่ดู”
การไปลองเสื้อผ้าเป็นเพียงข้ออ้าง ไม่ได้เจอกันสี่ปี เป็นเรื่องจริงที่คิดถึงน้องชายคนเดียวอย่างเขา นึกถึงว่าพี่สาวของตนนอนโทรมป่วยติดเตียง อีกทั้งยังระลึกถึงน้องชายของนางคนนี้เสมอ แม่ทัพใหญ่ฉู่รู้สึกปวดใจ พยักหน้า “ข้าจัดการทหารเรียบร้อยแล้ว อาบน้ำแต่งกาย ก็จะไปหาท่านพี่”
“ขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ “ข้าจะไปบอกเสด็จแม่เดี๋ยวนี้ นางจะต้องดีใจไม่น้อย”
แม่ทัพใหญ่ฉู่พยักหน้า กระโดดขึ้นม้า พาขวบนทหารไปยังค่ายทหารในเมือง
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวขี่ม้าตัวเดียวกันกลับไปยังจวนอ๋องฉี จนมาเข้ามาถึงเรือนของพระชายาฉี เล่าเรื่องข่าวดีนี้ให้นางทราบ
พระชายาฉีดีใจมาก สั่งให้หลิงหลงไปสั่งงานในห้องครัวทันที “วันนี้ต้องทำอาหารเลิศรสอย่างประณีตที่สุด เย็นนี้เหวินเจี๋ยกับโยวจะกินข้าวในจวนด้วย”
หลิงหลงรับคำสั่ง แล้วเดินไปห้องครัว
พระชายาฉีจูงแขนเมิ่งเชี่ยนโยว สำรวจตรวจตราดูนางอย่างละเอียด
เมิ่งเชี่ยนโยวแปลกใจ ถามว่า “พระชายาเพคะ หม่อมฉันมีตรงไหนแปลกไปหรือ”
พระชายาฉีละสายตา ยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่มี ไม่มี ข้าคิดว่าจะทำเสื้อผ้าให้เจ้าสักสองชุด ก็เลยกะขนาดร่างกายเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้คิดอะไรมาก กล่าวปฏิเสธขึ้นว่า “ขอบพระทัยพระชายาเพคะ แต่ไม่รบกวนท่านแล้ว ตอนที่หม่อมฉันมาในเมืองหลวง ท่านแม่ได้เตรียมเสื้อผ้าไว้ใส่ตลอดทั้งสี่ฤดูไว้แล้ว”
พระชายาฉีดึงให้นางนั่งลง “ตอนนี้ข้าสุขภาพแข็งแรงดีแล้ว ทุกๆ วันก็ว่างไม่ได้ทำอะไร ทำเสื้อผ้าให้เจ้าสองชุดก็ไม่หนักหนาอะไร ถือเสียว่าเป็นความตั้งใจของข้า ผ้าข้าก็ได้เตรียมไว้แล้ว อีกสักครู่ให้หลิงหลงเอาออกมาให้ดูว่าชอบไหม ถ้าหากชอบ ตั้งแต่พรุ่งนี้ข้าก็จะเริ่มทำให้เจ้าเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ปฏิเสธอีก “ถ้าเช่นนั้นก็ขอบพระทัยพระชายาเพคะ”
“เจ้าเด็กคนนี้ เรียกพระชายาดูห่างเหินเหลือเกิน ข้าว่าเจ้าเรียกข้าว่าเสด็จแม่ตามเซวียนเอ๋อร์เถอะ” พระชายาฉีพูดยิ้มๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง กล่าวว่า “ตอนนี้เชี่ยนโยวยังไม่อาจรับปากได้เพคะ”
พระชายาฉีค่อนข้างผิดหวัง มองหน้าหวงฝู่อี้เซวียนแวบหนึ่ง
หวงฝู่อี้เซวียนรีบพูดขึ้นว่า “เสด็จแม่ ตอนนี้หากโยวเอ๋อร์เรียกท่านเช่นนี้ ก็ไม่ค่อยเหมาะสมจริง ถ้าหากให้คนคิดร้ายได้ยินเข้า เกรงว่าอาจจะเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นอีก ท่านรออีกสักระยะเถอะ รอหลังจากพวกเราแต่งงานกันแล้วค่อยเรียกท่านก็ยังไม่สาย”
พระชายาฉีกล่าวอย่างมีอารมณ์เล็กน้อย “โยวเอ๋อร์เป็นลูกสะใภ้ที่ข้าเลือกแล้ว ใครจะวิจารณ์ก็วิจารณ์ไป แม่จะกลัวพวกเขาเช่นนั้นหรือ”
“ท่านที่อยู่ในจวนไม่อะไรให้ต้องกลัว แต่โยวเอ๋อร์ยังต้องทำการค้า หากไปที่ใดแล้วมีเสียงคนวิพากษ์วิจารณ์นั้นไม่ใช่เรื่องดี ท่านอดทนรออีกสักนิดเถิด”
น้ำเสียงของพระชายาฉีร้อนรน “ข้ารอได้ไม่รีบร้อน กลัวว่าแต่พวกเจ้าจะรอไม่ไหว”
ทั้งสองคนไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไร ต่างก็อึ้ง
พระชายาฉีเห็นสีหน้าของทั้งสองคน คิดว่าพวกเขาอาจจะคิดไม่ถึงเรื่องที่อาจจะมีลูก แต่ก็ไม่อยากพูดลึกเกินไป เกรงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะอับอาย รู้สึกอึดอัด จึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ได้ได้ได้ ไม่เรียกเสด็จแม่ก็ได้ แต่ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเจ้ามีเรื่องที่จัดการไม่ไหวก็ให้มาบอกข้าทันที”
ทั้งสองคนหันมาสบตากัน แล้วพยักหน้าอย่างงงๆ
พระชายาฉีผลิยิ้ม สั่งหลิงหลงว่า “เจ้าไปเอาผ้าที่ข้าซื้อไว้ให้โยวเอ๋อร์ออกมา ให้นางได้เลือกหน่อย”
หลิงหลงรับคำสั่ง แล้วสั่งให้คนไปนำผ้าที่ซื้อไว้ออกมาอย่างรวดเร็ว
พระชายาฉีกล่าวด้วยรอยยิ้มละไม “นี่เป็นผ้าที่สั่งตัดจากร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงเป็นพิเศษ เจ้าดูสิว่าชอบหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูสักครู่ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “พระชายาเพคะ อี้เซวียนยังไม่ได้บอกท่านหรือ ว่าหม่อมฉันได้เปิดร้านร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงอันรุ่งเรืองไว้ในเมืองหลวง ต่อไปถ้าท่านต้องการอะไร ก็บอกกับอี้เซวียนก็พอแล้วเพคะ”
“ไอ้หยา ที่แท้ร้านนั้นก็เป็นร้านของเจ้าหรอกหรือ” พระชายาฉีถามอย่างเบิกบาน “ข้าเพียงแต่เคยได้ยินเท่านั้น แต่ยังไม่เคยไปเสียที กำลังคิดไว้ว่าจะไปในสักวัน” ว่าแล้วก็กล่าวขึ้นอีกว่า “เจ้าช่างเก่งจริงๆ ร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงนี้อยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังโดดเด่นอยู่ร้านเดียวตลอด คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะรู้จักแยกสาขาด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางโบกมือ “พระชายากล่าวชมมากเกินไปแล้ว หม่อมฉันจะไปเก่งอะไร หม่อมฉันเพียงแค่บังเอิญเป็นเพื่อนกับเถ้าแก่ร้านแพรไหมอวิ๋นเสียง เลยพลอยได้รับชื่อเสียงไปด้วย”
พระชายาฉียิ่งกล่าวชื่นชม “ได้ข่าวว่าเถ้าแก่ของร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงนี้อายุถึงห้าสิบหกสิบปีแล้ว เจ้ากลับได้เป็นเพื่อนกับเขา ช่างเก่งจริงๆ”
“ที่ท่านพูดถึงก็คือนักบุญซุน เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้ดูแลเรื่องภายในร้านแลวเพคะ อยู่เลี้ยงเหลนชายที่บ้าน สุขสบายมาก เถ้าแก่ในตอนนี้ก็คือหลานชายของเขาซุนเหลียงไฉ เป็นน้าน้อยของพี่ใหญ่ข้า เคยมาพักอยู่ที่บ้านของหม่อนฉันอยู่ระยะหนึ่ง”
พระชายาฉีตาโต ท่าทางอย่างรู้อยากเห็น “ยังมีเรื่องเช่นหรือ เจ้าจะเล่าให้ข้าฟังได้ไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องในปีนั้นตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนไปโรงเรียนแต่ทะเลาะกันกับซุนเหลียงไฉ ด้วยเหตุนี้นางถึงได้รู้จักกับนักบุญซุน แล้วรับตัวซุนเหลียงไฉมาอบรมสั่งสอน แล้วต่อมาเมิ่งเสียนก็แต่งงานกับซุนเชี่ยน
พระชายาฉีฟังอย่างได้อรรถรส ฟังจบก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่แท้เซวียนเอ๋อร์ก็รู้จักกับเถ้าแก่ซุน รอวันหน้าตอนที่เขามาเมืองหลวงต้องเชิญเขามาที่จวนนะ”
“ฮูหยินของเขาใกล้จะคลอดลูกแล้ว เขาจึงกลับบ้านไปดูแล คิดว่าปีนี้คงไม่มาอีก รอปีหน้าตอนที่เขามาอีก หม่อมฉันจะต้องบอกเขาแน่นอนเพคะ”
ระหว่างที่ทุกคนสนทนากันอยู่นั้น ท้องฟ้ามืดลงแล้ว อ๋องฉีก็กลับจวนแล้ว พอได้ยินคนรับใช้รายงาน ก็มาที่ห้องของพระชายาฉี
ทุกคนคารวะเขา พระชายาฉีกล่าวว่า “คิดว่าท่านอ๋องคงจะทราบแล้วว่าเหวินเจี๋ยกลับมาแล้ว เขารับปากหม่อมฉันว่าอีกสักครู่จะมากินข้าวที่จวน ถ้าท่านอ๋องไม่มีธุระอื่นใด ก็อยู่กินข้าวด้วยกันเถิดเพคะ”
ฉู่เหวินเจี๋ยเป็นแม่ทัพใหญ่ อีกทั้งยังเป็นน้าน้อยของตน ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดอ๋องฉีก็ปฏิเสธได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พระชายาฉีก็ร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว คนก็สดชื่นสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาก มักจะยิ้มแย้มแจ่มใสในทุกวัน แม้แต่คนที่อยู่ในเรือนของนางทุกคนยังมีความสุขทุกวัน อ๋องฉีที่ยุ่งและเหนื่อยล้ามาทั้งวันย่อมที่จะยอมอยู่ที่เรือนของนาง ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าที่ต้องจัดการงานราชการมาทั้งวัน ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าจะไปเปลี่ยนชุดก่อน แล้วจะรีบมา”
ตอนที่ 105 เรื่องลำบากใจของแม่ทัพ
อ๋องฉีสวมชุดทางการไม่เหมาะสมอยู่บ้าง พระชายาฉีพยักหน้า
อ๋องฉีไปเปลี่ยนชุดยังไม่กลับมา คนรับใช้คนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามารายงานอย่างรีบร้อน “เหนียงเหนียง แม่ทัพใหญ่มาถึงแล้ว”
พระชายาฉีผุดลุกขึ้นฉับพลัน ไม่ได้สนว่าจะเรียกหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนไปด้วย รีบวิ่งออกไปรับ
ฉู่เหวินเจี๋ยเดินตามหลังพ่อบ้านเข้ามาแล้ว เดินบ่ายหน้าไปยังเรือนของพระชายาฉี เห็นพระชายาฉีวิ่งออกมารับด้วยความเร็ว อึ้งไปสักครู่ จากนั้นก็แสดงความดีใจออกมา วิ่งเข้าไปหา ถามขึ้นอย่างดีใจว่า “ท่านพี่ ร่างกายท่านไม่เป็นอะไรแล้วหรือ”
พระชายาฉีไม่ได้ตอบ รอให้เขามายืนนิ่งๆ อยู่ตรงหน้า รอบตาแดงก่ำ ตรวจตราดูเขาอย่างละเอียด กล่าวอย่างมีก้อนอะไรจุกอยู่ที่คอว่า “กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”
สองคนพี่น้องผูกพันรักกันมาตั้งแต่เด็ก ครั้งนี้ออกไปทำสงครามเป็นเวลานานถึงสี่ปี เนื่องด้วยเหตุผลต่างๆ ทำให้ให้ฉู่เหวินเจี๋ยไม่อาจเขียนจดหมายถึงพระชายาฉีเป็นการส่วนตัวได้ ดังนั้นในแต่ละวันพระชายาฉีจึงคิดถึงมาก บัดนี้เห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้สบายดี น้ำตาไหลออกมาอย่างยั้งไม่อยู่
สีหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยแสดงถึงความประทับใจ พยุงแขนของนาง น้ำเสียงมีความตื้นตันขึ้นบ้าง “ท่านพี่ มิใช่ว่าข้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้วหรือ ท่านร่างกายไม่แข็งแรง อย่าร้องไห้เลย”
พระชายาฉีซับน้ำตา “ข้ากำลังดีใจอยู่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ข้าก็ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนทุกวัน กลัวว่าเจ้าจะมีอันตราย”
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินตามมา
“ท่านน้า!” หวงฝู่อี้เซวียนเรียกขึ้น
“แม่ทัพใหญ่” เมิ่งเชี่ยนโยวก็เรียกทักทาย
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า
อ๋องฉีเปลี่ยนชุดออกมาแล้ว
ฉู่เหวินเจี๋ยคารวะแล้วร้องทักขึ้น “ท่านอ๋อง!”
อ๋องฉีโบกมือ “ตอนนี้อยู่ที่บ้าน ต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่มีเรื่องตำแหน่ง เรียกพี่เขยก็พอ”
ฉู่เหวินเจี๋ยอึ้งเล็กน้อย มองหน้าพระชายาฉี จากนั้นก็ร้องทักทำตามแต่โดยดี “พี่เขย!”
อ๋องฉีพยักหน้า “กองทัพเพิ่งจะกลับเข้าเมือง เหนื่อยแล้วกระมัง รีบเข้าไปนั่งในห้องเถอะ”
พระชายาอ๋องฉูจูงมือฉู่เหินเจี๋ยเดินอยู่ข้างหน้า
อ๋องฉีเห็นแล้วขมวดคิ้วมุ่น
พระชายาฉีไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย
ทุกคนมาถึงโถงรับรอง นั่งลง พระชายาฉีสั่งให้สาวใช้ไปนำชาร้อนมา ยิ้มแล้วกล่าวกับฉู่เหวินเจี๋ยว่า “เจ้าจะต้องจัดการกองทหารเรียบร้อยแล้วก็รีบมาทัทีย่างแน่นอน ดื่มชาร้อนๆ อบอุ่นร่างกายก่อน อีกสักครู่ข้าจะสั่งให้ห้องครัวตั้งสำรับไว้”
ฉู่เหวินเจี๋ยยกชาขึ้นดื่มอย่างเชื่อฟัง ดื่มน้ำชาร้อนๆ ไม่กี่คำ แล้วจึงวางถ้วยน้ำชาลง
“จัดการเรื่องกองทัพเรียบร้อยแล้วหรือ” อ๋องฉีถามขึ้น
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า “พลทหารทุกคนต่างก็จัดการเรียบร้อยแล้ว มีเพียงพลทหารที่บาดเจ็บพิการฮ่องเต้ยังไม่มีพระราชโองการมา ไม่รู้ว่าจะจัดการเช่นไรดี”
ทุกครั้งหลังจากที่เสร็จสิ้นสงครามแล้ว เหล่าพลทหารที่บาดเจ็บพิการ โดยทั่วไปราชสำนักจะมอบเงินให้บ้าง แล้วก็ส่งพวกเขากลับบ้านเดิม แต่ว่าพลทหารพิการเหล่านี้ล้วนแต่มาจากครอบครัวยากจน ที่แบบนั้น ถึงจะมีแขนขาแข็งแรงที่ยังใช้การได้ดีก็ไม่อาจทำมาหากินให้กิ่นอิ่มได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาที่พิการเหล่านี้ ถ้าคนในครอบครัวดีหน่อย ก็จะดูแลบ้าง แต่ถ้าคนในครอบครัวร้าย รอจนกระทั่งใช้เงินชดเชยของพวกเขาหมดแล้วก็จะไล่พวกเขาออกจากบ้าน ปล่อยให้พวกเขาดิ้นรนดูแลตัวเอง สุดท้ายแล้วจะเทียบไม่ได้เลยกับคนทั่วไป
คนเหล่านี้ต่างก็ติดตามฉู่เหวินเจี๋ยจนตัวตาย เป็นพี่น้องในสมรภูมิอันนองเลือด พอนึกถึงว่าพวกเขาต้องมีจุดจบอันน่าเวทนา ใจของฉู่เหวินเจี๋ยก็รู้สึกขมขื่น แต่ว่าเขาก็เป็นเพียงแม่ทัพที่นำทหารออกสู้รบ เงินเดือนมีเพียงน้อยนิด ต่อให้ชดเชยให้พวกเขาทุกคนก็ไม่อาจแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่สู้รบกลับมา การจัดการกับพลทหารที่พิการนั้นเป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดของฉู่เหวินเจี๋ย
อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร นี่เป็นการจัดการของราชสำนัก เขาที่เป็นอ๋องคนหนึ่งไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้
บรรยากาศภายในห้องโถงรับแขกค่อนข้างอึดอัด
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก กล่าวถามขึ้นว่า “มากไหมเจ้าคะ”
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า “มากมาย เพียงแต่มีบางคนที่บาดเจ็บสาหัส บางคนเบา”
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “อีกไม่กี่วันข้าจะเปิดโรงหัตถกรรมขึ้นอีก อีกไม่กี่วันข้ากำลังคิดว่าจะไปปรึกษากับใต้เท้าเปาเรื่องหาคนงาน ตอนนี้ประจวบเหมาะ ข้าจะสามารถจัดหาพลทหารได้บ้าง แค่มือครบก็พอ”
ฉู่เหวินเจี๋ยหันมองนางอย่างตื่นเต้นระคนยินดี ในน้ำเสียงมีความดีใจขึ้น “ที่แม่นางเมิ่งกล่าวเป็นความจริงไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นก็ประเสริฐเหลือเกิน ข้ากลับไปแล้วจะรีบไปเลือกคนที่เหมาะสมมา รอหลังจากฮ่องเต้มีพระราชโองการมาแล้วจะไปส่งให้เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวนึกถึงปัญหาข้อหนึ่ง ขมวดคิ้วมุ่น “ทำงานในโรงหัตถกรรมนั้นไม่มีปัญหา แต่ว่าจะให้พวกเขาพักที่ใด ในโรงหัตถกรรมของข้าไม่มีที่ให้พวกเขาพำนัก”
ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มของฉู่เหวินเจี๋ยพลันพุบลง พลทหารเหล่านี้หากโดนปลด ก็จะไม่อนุญาตให้อาศัยอยู่ในกองทัพ ที่พำนักของคนหลายคนเป็นปัญหาใหญ่จริงๆ
อ๋องฉีกล่าวขึ้นว่า “วันพรุ่งนี้หลังจากประชุมเช้าเสร็จแล้วข้าจะไปหาเสด็จพี่ฮ่องเต้เรื่องปัญหานี้ ดูว่าราชสำนักจะสามารถหาที่พำนักให้พวกเขาก่อนเป็นการชั่วคราวได้หรือไม่”
ฉู่เหวินเจี๋ยประกบมือคำนับ “ถ้าเช่นนั้นต้องขอบพระทัยท่านอ๋องแล้ว”
อ๋องฉีกระแอมไอขึ้นมาเบาๆ ครั้งหนึ่ง “เรียกพี่เขย!”
ฉู่เหวินเจี๋ยรีบเปลี่ยนคำพูด “ขอบคุณพี่เขย”
พระชายาฉีฟังพวกเขาคุยกันจนจบ ยิ้มแล้วกล่าวขึ้นทันทีว่า “เอาล่ะ กว่าพวกเราครอบครัวเดียวกันจะได้มาอยู่ร่วมกัน อย่าเพิ่งคุยเรื่องไม่สบายใจเลย เหวินเจี๋ยต้องเหนื่อยแล้วเป็นแน่ กินข้าวเสร็จค่อยกลับไปพักที่จวนแม่ทัพ มีเรื่องอะไรพวกเราค่อยคุยกันอีกครั้ง”
พูดจบก็พูดกับหลิงหลงว่า “ให้ห้องครัวตั้งสำรับ”
ไม่นานคนรับใช้ก็ตั้งสำรับเรียบร้อย ทุกคนเดินไปยังห้องโถงกินข้าง พระชายาฉีนั่งโดยมีฉู่เหวินเจี๋ยนั่งข้างๆ ตักกับข้าวให้เขาไม่หยุด
ฉู่เหวินเจี๋ยเป็นถึงแม่ทัพ เป็นผู้นำกองทัพออกสู้รบ นอนกลางดินกินกลางทรายจนชินแล้ว ไม่ว่าอะไรก็กินได้ ขอเพียงเป็นกับข้าวที่พระชายาอ๋องหลิงคีบใส่ชามของเขา เขาก็กินทุกอย่างจนหมด
พระชายาฉียิ้มพร้อมทั้งคีบกับข้าวให้เขาไม่หยุด
อ๋องฉีเห็นแล้วก็ขมวดคิ้วน้อยๆ
พระชายาฉีเอาแต่ยุ่งกับการคีบกับข้าวให้ฉู่เหวินเจี๋ยจึงไม่ได้สังเกตเห็น
ฉู่เหวินเจี๋ยก็ยุ่งแต่กับการกินก็ไม่ได้สังเกตเห็นเช่นกัน
หวงฝู่อี้เซวียนวุ่นอยู่กับการดูแลเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ไม่ได้สังเกตเห็นเขา
มีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวที่เห็นอาการของเขา แอบก้มหน้าขำ อ๋องฉีนี่ก็เป็นเจ้านายน่าขัน ขนาดพระชายาคีบอาหารให้น้องชายตัวเองก็ยังหึงหวง
สะกิดเตะหวงฝู่อี้เซวียนไปเบาๆ ส่งสายตาเป็นความหมายบอกให้เขามองสีหน้าของอ๋องฉี
หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบมองแวบหนึ่ง แล้วจึงละสายตา กลับมาคีบกับข้าวให้กับนางทำหน้าปกติ กล่าวอ่อนโยนว่า “กินอีกหน่อย ดูวันนี้เจ้ายุ่งจนผอมไปหมดแล้ว”
ตัวเองผอมที่ไหน เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวแต่โดยดี
อาหารมื้อนี้มีสี่คนที่กินอย่างมีความสุข ส่วนอีกคนหนึ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีคนสนใจ นั่งอีกสักครู่ ฉู่เหวินเจี๋ยก็ลุกขึ้นกล่าวขอตัวลา
คิดว่าเขานำขบวนทัพเดินทางกลับมาอย่างยาวนาน ความจริงก็เหนื่อยแล้ว พระชายาฉีก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ สั่งให้หลิงหลงไปหยิบชุดที่ทำไว้เรียบร้อยแล้วออกมา ทุกคนจึงไปส่งเขาออกจวน
รอจนกระทั่งเขาขี่ม้าออกไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอ๋อง พระชายาเพคะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หม่อมฉันควรจะกลับไปแล้วเพคะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น