ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนที่ 10.1-12.1

ตอนที่ 10-1 ซื่อจื่อ โปรดให้ความเป็นธ...

 

คนหนึ่งโขยง รถม้าห้าคัน ยกขบวนมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเร่งเดินทาง พอเหนื่อยก็ให้ทุกคนพักผ่อน ตกเย็นหาที่พักค้างแรมแต่หัววัน ไม่นอนพักกลางป่าเด็ดขาด


 


 


ระหว่างนี้คุณชายรองทนการสั่นกระแทกของรถม้าไม่ไหว ร้องโวยวายไม่พอใจสองครั้ง ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวกำราบโดยไม่เกรงใจสองครั้ง ทำให้ไม่กล้าปริปากอีก


 


 


การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น สามวันให้หลังก็ถึงเมืองหลวง


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่มองดูกำแพงเมืองสูงตระหง่าน ปลื้มใจจนน้ำตาเอ่อ


 


 


หลังจากรอให้ทั้งสองคนปรับสภาพจิตใจได้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งให้คนทั้งหมดมุ่งหน้าเข้าเมือง


 


 


นายทหารเฝ้าประตูเมืองเห็นรถม้าหลายคัน เข้าขวางแล้วซักถาม เห็นว่าไม่มีข้อสงสัยใด จึงปล่อยพวกเขาเข้าเมือง


 


 


หลังพ้นประตูเมืองเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจโล่งอก แย้มยิ้มยินดี เปิดม่านรถ สั่งการเหวินเปียว “หาโรงเตี๊ยมดีๆ สักแห่งพักก่อน”


 


 


เหวินเปียวรับคำ บังคับรถม้าไปตามเส้นทางตามความทรงจำ จนมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง


 


 


เสี่ยวเอ้อร์เห็นคนจำนวนมากตรงเข้ามา รีบออกไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้น พยักเพยิดโค้งคำนับถาม “พวกท่านมาทานอาหารหรือหาห้องพักขอรับ?”


 


 


เหวินเปียวหยุดรถม้าสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวเดินลงมาพูดว่า “หาห้องพัก มีห้องพักชั้นดีหรือไม่? พวกเราต้องการหลายห้อง”


 


 


เสี่ยวเอ้อร์ดีใจใหญ่ รีบพูดว่า “มีๆๆ เชิญแม่นางเข้ามาด้านในก่อนขอรับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินตามเสี่ยวเอ้อร์เข้าไปด้านใน กัวเฟยก็ตามหลังนางไปติดๆ


 


 


หลงจู๊ก็เห็นรถม้าด้านนอกแล้ว กระตือรือร้นเข้าไปถามพวกเขาว่าต้องการห้องแบบใด แล้วนำพวกเขาขึ้นไปชั้นสอง ไล่เปิดห้องทั้งหมดออก พูดว่า “นี่เป็นห้องพักที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมนี้ แม่นางดูก่อนว่าพอใจหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเข้าไป ภายในห้องโล่งกว้างสว่าง เก็บกวาดสะอาดตา พยักหน้าพอใจ “เอาห้องทั้งหมดนี้ พวกเรายังมีรถม้าอีกจำนวนหนึ่ง รบกวนท่านให้เสี่ยวเอ้อร์ดูแลให้ดีด้วย”


 


 


หลงจู๊รับคำด้วยความยินดี แล้วเดินลงไป เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับกัวเฟย “ไปพาตัวคุณชายรองขึ้นมา”


 


 


กัวเฟยรับคำเดินลงไป


 


 


หวงฝู่อวี้นึกว่าพอถึงเมืองหลวง เมิ่งเชี่ยนโยวจะไปหาพี่ชายตนเองที่จวนอ๋องฉีทันที คิดว่าชีวิตที่ทุกข์ลำเค็ญนี้ในที่สุดก็จบสิ้นแล้ว กำลังเบิกบานยินดี พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวหาโรงเตี๊ยมเข้าพักก่อน ก็ตั้งแง่ไม่ยอมลงจากรถม้า


 


 


กัวเฟยจนปัญญา ใช้กำลังแบกเขาเดินขึ้นไปชั้นบน


 


 


หวงฝู่อวี้ทั้งถีบทั้งทุบ พูดว่า “ข้าเป็นถึงคุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉี เจ้ากลับกล้าทำกับข้าเช่นนี้รึ”


 


 


คนในโรงเตี๊ยมได้ยินคำพูดนี้ต่างประหลาดใจมองมาที่เขา


 


 


กลับเห็นเขาหน้าตาบวมช้ำ มองสภาพเดิมของเขาไม่ออก


 


 


คำพูดเย็นเยียบของเมิ่งเชี่ยนโยวดังแว่วมาจากชั้นบน “กัวเฟย วันนี้พวกเราจะพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ หากเขาไม่ยินดี ก็ให้เขานอนบนรถม้าเถอะ”


 


 


สิ้นเสียง หวงฝู่อวี้ก็เลิกดิ้นรนขัดขืน ปล่อยให้กัวเฟยแบกตัวเองขึ้นไปโดยไม่ปริปากอีก


 


 


กัวเฟยแอบขำ


 


 


คนในโรงเตี๊ยมเห็นเขาสงบแล้ว ต่างเก็บคืนสายตา ไม่สนใจอีก


 


 


หลงจู๊กลับพยายามเพ่งพินิจหลายครั้ง จนใจที่มองสภาพเดิมของเขาไม่ออกจริงๆ จึงไม่ยุ่งเกี่ยวอีก


 


 


พอมาถึงหน้าประตูห้อง กัวเฟยก็วางหวงฝู่อวี้ลง เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจเข้าไปหลบหลังกัวเฟย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร หันหลังเดินเข้าไปในห้อง หวงฝู่อวี้เดินตามเข้าไปแต่โดยดี กัวเฟยเฝ้าอยู่ด้านนอก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ ส่งสายตาให้หวงฝู่อวี้ก็นั่งลง


 


 


หวงฝู่อวี้มองด้วยความเดียดฉันท์แวบหนึ่ง ไม่ขยับตัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเค้นถามเขา “ปกติแล้ว พี่ใหญ่เจ้าจะอยู่บ้านเวลาใด?”


 


 


หวงฝู่อวี้ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งสอนจนกลัวขึ้นสมอง ตอบความแต่โดยดี “ปกติตอนเช้าพี่ใหญ่จะไปกั๋วจื่อเจียน[1] ตอนบ่ายศึกษาวิชากับอาจารย์โจวที่บ้าน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “หลายปีมานี้เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด?”


 


 


หวงฝู่อวี้พยักหน้าตามความสัตย์จริง “นอกจากเสด็จย่าและเสด็จลุงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า เขาแทบจะไม่ออกไปไหนเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งให้ขมวดคิ้วเกร็ง


 


 


หวงฝู่อวี้เห็นนางเคร่งขรึม ห่อตัวถอยไปข้างหลัง พูดอย่างหวาดผวา “ที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง เจ้าจะตีข้าไม่ได้นะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา สั่งการกัวเฟย “ถ่ายทอดคำสั่ง ให้ทุกคนขึ้นมาพักผ่อน ฟื้นฟูเรียวแรง พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ พวกเราจะไปทวงคืนความยุติธรรมที่จวนอ๋องฉี”


 


 


กัวเฟยรับคำ


 


 


คนทั้งหมดต่างขึ้นมาชั้นบนแล้ว กัวเฟยกำชับพวกเขา แล้วแยกย้ายไปพักผ่อนในห้องตัวเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้กัวเฟยพาหวงฝู่อวี้ออกไป พูดพึมพำตามลำพังกับตัวเองภายในห้อง “อี้เซวียน ข้ามาแล้ว อยากเห็นจริงๆ ว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นใด”


 


 


ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังเรียนวรยุทธ์ที่กั๋วจื่อเจียน ในตอนนี้ราวกับรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง ทอดสายตามองไกลออกไป


 


 


นั่งรถม้ามาสามวันเต็ม เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกอ่อนล้า ค่อยๆ เอนตัวลงบนเตียงพักผ่อนครู่หนึ่ง แล้วช้อนสายตามองทะลุหน้าต่างออกไปดูท้องฟ้าด้านนอก ลุกขึ้นสั่งกัวเฟยที่อยู่ข้างนอก “บอกหลงจู๊ให้เตรียมอาหารนำส่งขึ้นมา”


 


 


กัวเฟยลงไปชั้นล่าง หลงจู๊ได้ฟังก็สั่งเสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารขึ้นมาทันที


 


 


คนทั้งหมดกินตามสบาย นั่งรอครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินออกมา สั่งการทุกคน “ไป พวกเราไปจวนอ๋องฉีกัน”


 


 


ทุกคนรับคำ


 


 


หวงฝู่อวี้ที่ได้ยินว่าในที่สุดจะได้กลับจวนแล้ว ไม่ต้องให้กัวเฟยรบเร้า เดินตามออกมาต้อยๆ


 


 


คนในโรงเตี๊ยมเห็นสาวน้อยนางหนึ่ง เดินนำชายฉกรรจ์กำยำกลุ่มหนึ่ง ทั้งมีเด็กหนุ่มหน้าตาบวมช้ำอีกคนเดินออกมา ต่างสนใจใคร่รู้ ซักถามไปต่างๆ นานา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มตอบกลับ “หากพวกท่านใคร่รู้ ก็ตามพวกเราไปดูเถอะ”


 


 


ทั้งหมดล้วนเป็นแขกที่มาเข้าพักในโรงเตี๊ยม วันนี้ยังต้องอยู่ที่นี่ เมื่อความกระหายใคร่รู้ถูกปลุก คนสิบกว่าคนลุกขึ้นยืน เดินตามพวกเขาออกไปทันที


 


 


พวกที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน เห็นกลุ่มคนเดินดาหน้าเป็นขบวน หลังซักถามได้ความว่าจะไปจวนอ๋องฉี ต่างก็ตามหลังไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น กระทั่งตอนที่มาถึงหน้าจวนอ๋องฉี ขบวนแห่ก็มีร้อยกว่าชีวิตแล้ว


 


 


คนเฝ้าประตูจวนอ๋องฉีเห็นคนจำนวนมากเดินตรงมาที่จวน นึกว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น มองกลุ่มคนที่ยิ่งเดินก็ยิ่งใกล้เข้ามาอย่างตื่นระวัง


 


 


พอมาถึงหน้าประตูจวนอ๋องฉี ขบวนก็หยุดลง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับคนเฝ้าประตูเสียงดังลั่น “รบกวนท่านช่วยไปเรียนแจ้ง บอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจากตำบลชิงซีมีเรื่องสำคัญต้องการให้ซื่อจื่อให้ความเป็นธรรมด้วย”


 


 


คนทั่วไปที่มาจวนอ๋องฉีล้วนแต่มาขอพบอ๋องฉี ไม่มีใครเคยมาขอพบซื่อจื่อ ตอนนี้จู่ๆ ก็มีคนจำนวนมากเช่นนี้มาขอพบเขา คนเฝ้าประตูให้กังขา ยืนนิ่งไม่ขยับ


 


 


หวงฝู่อวี้ตวาดเขา “ยังจะยืนเซ่อทำไม ยังไม่รีบไปเรียนแจ้งท่านพี่อีก”


 


 


คนเฝ้าประตูได้ยินเสียงที่คุ้นหูของเขา พินิจมองดู แต่หวงฝู่อวี้แต่งกายสกปรกมอมแมม ใบหน้าบวมช้ำ ไม่เหลือสภาพเดิมเลย จึงลองหยั่งเชิงถาม “ท่านคือคุณชายรอง?”


 


 


หวงฝู่อวี้ตวาดเสียงกร้าว “ตาบอดหรือไร แม้แต่ข้าก็ไม่รู้จักเรอะ? ยังไม่รีบไปเรียนแจ้งท่านพี่อีก?”


 


 


พอได้ฟังว่าเป็นหวงฝู่อวี้จริงๆ คนเฝ้าประตูตกตะลึง วิ่งแนบไปพลาง ร้องตะโกนไปพลาง “แย่แล้ว คุณชายรองถูกคนทำร้าย!”


 


 


กลุ่มคนที่มามุงดูเรื่องสนุกด้านหลัง ได้ยินคนเฝ้าประตูร้องตะโกน ถึงได้สติว่าเด็กหนุ่มหน้าตาบวมปูด แม้แต่พ่อแม่ยังจำไม่ได้คนนี้ ที่แท้ก็คือคุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉี ทั้งตื่นเต้นทั้งหวาดกลัว


 


 


ตื่นเต้นก็คือ คุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉีถูกคนทำร้ายจนมีสภาพเช่นนี้ ประเดี๋ยวพออ๋องฉีออกมา ไม่รู้ว่าจะโกรธเกรี้ยวเพียงใด หวาดกลัวก็คือหากอ๋องฉีบันดาลโทสะขึ้นมา พวกเขาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นี้จะติดร่างแหไปด้วยหรือไม่


 


 


คนเฝ้าประตูวิ่งไปร้องตะโกนไปโดยไม่สนใจกฎระเบียบภายในจวน พระชายารองที่กำลังนอนกลางวันตกใจตื่น ร้องบอกสาวใช้ด้วยความขุ่นมัว “ไปดูซิ ใครกันที่ร้องเอ็ดตะโรไร้ระเบียบวินัย ลากตัวไปโบยเดี๋ยวนี้”


 


 


สาวใช้รับคำ เดินออกไป ครู่เดี๋ยวก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ลนลานพูดว่า “เหนียงเหนียง[2] แย่แล้วเพคะ คุณชายรองถูกคนทำร้ายเจ้าค่ะ”


 


 


พระชายารองตกใจหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง รีบลุกขึ้นนั่ง ร้องถามเสียงหลง “เจ้าว่าอะไรนะ?”


 


 


สาวเห็นนางโกรธเกรี้ยว ตกใจตอบเสียงสั่น “เมื่อครู่ผู้น้อยไปสอบถามมาแล้ว คนเฝ้าประตูบอกว่าคุณชายรองถูกคนทำร้าย เหมือนว่าตอนนี้จะอยู่หน้าประตูจวนเจ้าค่ะ”


 


 


“เร็ว รีบแต่งตัวให้ข้า จะได้ออกไปดู” พระชายารองสั่งด้วยความร้อนใจ


 


 


สาวใช้รีบเดินเข้าไป หยิบชุดมาสวมให้นาง แล้วประคองเดินออกไปนอกจวน


 


 


 


 


 


 


[1] กั๋วจื่อเจียน เป็นสถาบันการศึกษาสูงสุดตั้งแต่ยุคราชวงศ์สุย (隋朝 ปี581-619) ปกติจะถูกสร้างขึ้นแต่ในเมืองหลวง


 


 


[2] เหนียงเหนียง คำที่ใช้เรียกพระราชินีหรือสนมเอก

 

 

 


ตอนที่ 10-2 ซื่อจื่อ โปรดให้ความเป็นธ...

 

คนเฝ้าประตูวิ่งไปร้องตะโกนไป กระทั่งมาถึงหน้าเรือนหวงฝู่อี้เซวียน หายใจหืดหอบพูดกับคนเฝ้าเรือน “เร็ว รีบไปรายงานซื่อจื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวจากตำบลชิงซีจับกุมคุณชายรองไว้ บอกว่าจะมาขอความเป็นธรรมจากซื่อจื่อ”


 


 


หวงฝู่อี้คนสนิทข้างกายหวงฝู่อี้เซวียน หรือก็คือหนิวตั้น ออกมาเทน้ำล้างหน้าพอดี ได้ยินคำพูดของคนเฝ้าประตู กะละมังในมือร่วงหล่นพื้นดังเคร้ง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนที่เพิ่งจะล้างหน้าเสร็จในห้องได้ยินเสียง ถามเสียงละมุน “อาอี้ เป็นอะไร?”


 


 


หวงฝู่อี้พูดด้วยริมฝีปากสั่นระริก “ซื่อ…ซื่อจื่อ พี่เชี่ยนโยวมาแล้ว รออยู่หน้าประตูใหญ่ขอรับ”


 


 


ภายในห้องเงียบสนิท


 


 


หวงฝู่อี้ไม่เก็บกะละมังล้างหน้าแล้ว คิดจะหันหลังกลับเข้าไปในห้อง


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็เปิดม่านประตู เดินพรวดออกมา ถามด้วยความยินดีระคนประหลาดใจ “โยวเอ๋อร์มาแล้ว?”


 


 


หวงฝู่อี้พยักหน้าตื้นตันใจ พูดว่า “คนเฝ้าประตูรายงานเช่นนั้น”


 


 


คนเฝ้าประตูเห็นหวงฝู่อี้เซวียนออกมา ลืมระเบียบวินัยไปสิ้น “ซื่อจื่อ ท่านรีบไปดูเถอะ คุณชายรองถูกคนทำร้ายจนแทบจำไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินพรวดๆ ออกไป เดินไปถามไปว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


 


 


คนเฝ้าประตูเดินขนาบข้างมาติดๆ วิ่งเหยาะๆ ไปพลางตอบความ “ด้านนอกมีแม่นางเรียกขานตัวเองว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจับกุมตัวคุณชายรอง นำขบวนคนจำนวนมากเข้ามาขวางหน้าประตูจวน เจาะจงให้ท่านออกไปให้ความเป็นธรรมกับนางพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหยุดชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วก้าวจ้ำๆ เร็วขึ้น


 


 


คนเฝ้าประตูวิ่งเหยาะๆ ตามหลังมาตลอดทาง


 


 


หวงฝู่อี้ก็ตามหลังมาติดๆ


 


 


ทั้งสามรีบเดินออกมา ชนเข้ากับสาวใช้ที่ประคองพระชายารองที่ก็ร้อนรนเดินออกมาพอดี


 


 


พอเห็นหวงฝู่อี้เซวียน พระชายารองก็หยุดชะงัก หลบไปอีกด้านอย่างนอบน้อม ร้องเรียก “ซื่อจื่อ”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขานรับเสียงแผ่ว ไม่แม้แต่จะมองนาง ก็สาวเท้าก้าวผ่านหน้านางไปทันที


 


 


กระทั่งเขาไปแล้ว พระชายารองจึงให้สาวใช้ประคองตามหลังไป


 


 


คนทั้งหมดเดินพ้นประตูออกมา เพียงแวบแรกหวงฝู่อี้เซวียนก็มองเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยืนหน้าประตูจวนกำลังยกยิ้มหวานมองมาที่เขา หัวใจเต้นระรัว กำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าไป เสียงหวีดร้องของพระชายารองก็ดังขึ้น “อวี้เอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”


 


 


หวงฝู่อวี้เห็นพระชายารอง ความทุกข์ระทมที่กล้ำกลืนมาหลายวันในที่สุดก็ได้ระเบิดออก สะอื้นไห้ฟ้องทันควัน “พระมารดา หญิงนางนี้รังแกข้า” ว่าแล้ว ก็สะบัดจากการเกาะกุมของกัวเฟย


 


 


กัวเฟยไม่คลายมือ หวงฝู่อวี้ขัดขืนไม่สำเร็จ


 


 


พระชายารองเห็นดังนั้นยิ่งให้ปวดใจ ตวาดกัวเฟยเสียงกร้าว “เจ้าไพร่บังอาจ หากยังไม่ปล่อยคุณชายรอง ระวังศีรษะเจ้าไว้ให้ดี”


 


 


กัวเฟยทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่มีทีท่าจะคลายมือ


 


 


พระชายารองโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ออกคำสั่งทหารยาม “ไปจับตัวไพร่บังอาจนั่นมาให้ข้า แล้วนำไปโบยจนตาย”


 


 


ทหารยามรับคำ วิ่งออกไปพร้อมกัน


 


 


คนที่มาดูเรื่องสนุกเห็นดังนั้น รีบถอยกรูด เหลือเพียงกลุ่มคนของเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ตรงกลาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหาได้มีใบหน้าครั่นคร้าม ยกยิ้มพูดกับหวงฝู่อี้เซวียน “ซื่อจื่อ โปรดให้ความเป็นธรรมแก่ผู้น้อยด้วย!”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจับจ้องใบหน้าที่ตนเองเฝ้าคำพึงถึงมาตลอดสี่ปีอย่างละโมบ ยิ้มร่าออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบตาบอดเพราะรอยยิ้มนั้นของเขา ลอบด่าในใจ “ตัวเสนียด” ถึงเอ่ยปากพูดอีกครั้ง “ซื่อจื่อ ได้โปรดให้ความเป็นธรรมผู้น้อยด้วย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนตื่นจากภวังค์ รอยยิ้มจางหาย วางตนสูงศักดิ์ภูมิฐาน ถามด้วยใบหน้าเกรงขาม “มีเรื่องอันใดต้องให้ข้าให้ความเป็นธรรมแก่เจ้า?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแอบด่าท่าทีจอมปลอมของเขาในใจอีกครั้ง แล้วตอบความ “ซื่อจื่อ หลายวันก่อนคุณชายท่านนี้พาคนหลายสิบชีวิตบุกรุกบ้านหม่อมฉัน หมายจะสังหารหม่อมฉัน หลังจากหม่อมฉัน จับเขาได้ ได้รู้ว่าเขาเป็นคุณชายรองแห่งจวนอ๋องฉี หม่อมฉันไม่กล้าตัดสินความโดยพลการ ตั้งใจกุมตัวเขามาขอความเป็นธรรมจากซื่อจื่อเพคะ”


 


 


กล่าวจบ เสียงวิพากษ์ดังอื้ออึงไปทั่วพลัน ต่างชี้ไปที่หวงฝู่อวี้ พูดไปต่างๆ นานา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วมุ่น ไม่พูดอะไร


 


 


พระชายารองเปล่งเสียงร้องแสบแก้วหูดังลั่น “ผู้หญิงบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไหน วาจาเหลวไหลเพ้อเจ้อ ด้วยสถานะของเจ้า คู่ควรให้บุตรของข้าลงมือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่แยแสนาง แต่พูดถากถางกลับ “ซื่อจื่อ จวนอ๋องฉีมีกฎระเบียบเช่นนี้เองหรือเพคะ? เรื่องใหญ่เช่นนี้กลับให้ผู้หญิงเป็นคนตัดสิน?”


 


 


พระชายาเอกสุขภาพไม่แข็งแรง หลังจากพระชายารองตบแต่งเข้ามาก็ได้รับอำนาจเต็ม มีสิทธิ์ขาดตัดสินทุกอย่างภายในบ้าน โดยเฉพาะช่วงหลายปีมานี้ พระชายาเอกร่างกายอ่อนแอลง หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่เคยสนใจการงานในจวนเลย ยิ่งทำให้นางเหิมเกริม ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว ยิ่งให้บันดาลโทสะ ตวาดทหารยามลั่น “ลากตัวนังหญิงบ้านป่านี่ไปโบยให้ตาย!”


 


 


ทหารยามรับคำ หมายจะเข้ามาจับตัวเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเปล่งน้ำเสียงเ**้ยมเกรียม “ใครกล้าแตะต้องนาง ฆ่าไม่เว้น!”


 


 


นับแต่ที่หวงฝู่อี้เซวียนกลับมา ไม่ว่าใครล้วนปฏิบัติต่อด้วยความสุภาพอ่อนโยน ไม่เคยเห็นเขาโมโหมาก่อน แม้แต่บ่าวในจวนที่พลาดกระทำเรื่องผิด เขาก็เพียงพูดด้วยน้ำเสียงละมุน ไม่เคยตำหนิว่าสักครั้ง ตอนนี้ได้ยินน้ำเสียงเ**้ยมของเขา ทหารยามตกใจตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว ถอยหลังไปหลายก้าว มองเขาราวกับคนไม่รู้จัก


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกวาดตามองทหารยามด้วยสีหน้าเรียบเฉย


 


 


ทหารยามรู้สึกเย็นวาบต้นคอ ตกใจถอยห่างจากเมิ่งเชี่ยนโยวอีกหลายก้าว


 


 


พระชายารองก็ตกตะลึงกับปฏิกิริยาของเขา แล้วหวีดร้องเสียงลั่น “ซื่อจื่อ อวี้เอ๋อร์เป็นน้องชายของท่าน บัดนี้ถูกหญิงบ้านป่าทำร้ายบอบช้ำยับเยิน เหตุใดท่านถึงไม่แก้แค้นให้เขา?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเบี่ยงศีรษะ น้ำเสียงราบเรียบ “พระชายารองเฮ่อ การตัดสินใจของข้าไม่ต้องให้ท่านมาก้าวก่าย”


 


 


พระชายารองถึงกับสะอึก อ้าปากมองเขาอย่างตะลึงค้าง


 


 


เป็นครั้งแรกที่สาวใช้และบ่าวในจวนได้เห็นตัวตนเช่นนี้ของหวงฝู่อี้เซวียน ต่างตกตะลึงพรึงเพริด


 


 


หน้าประตูจวนปกคลุมด้วยความเงียบเฉียบพลัน


 


 


กลุ่มคนที่มุงล้อมกลับส่งเสียงอึกทึก ต่างคาดเดาว่าเหตุใดซื่อจื่อจวนอ๋องฉีถึงลำเอียงเข้าข้างสาวบ้านนา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพึงพอใจภายในใจ นับว่าเจ้าตัวเสนียดนี่ยังมีหัวใจ ไม่ทำให้นางผิดหวังในตัวเขา


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหันกลับมา เห็นสีหน้าพออกพอใจของเมิ่งเชี่ยนโยว รีบส่งยิ้มปะเหลาะเอาใจนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตากลับ พูดอีกครั้งว่า “ซื่อจื่อโปรดให้ความเป็นธรรมแก่หม่อมฉันด้วย”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนมองหวงฝู่อวี้ที่หน้าตาปูดบวมจนแทบจำไม่ได้ กำลังส่งสายตาเศร้าสร้อยมาที่ตัวเอง สั่งการบ่าวข้างกายด้วยเสียงกร้าว “นำตัวคุณชายรองไปขังในห้องเก็บฟืน ห้ามกินห้ามดื่มสามวัน”


 


 


นับตั้งแต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับมา ก็รักใคร่เอ็นดูน้องชายคนนี้มาก ไม่เคยเกิดเรื่องแก่งแย่งชิงดี แข่งขันระหว่างพี่น้องเหมือนครอบครัวอื่น ครั้นได้ยินคำสั่งจากเขา หวงฝู่อวี้หวีดร้องอย่างไม่เชื่อ “ท่านพี่?”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “เจ้าเป็นถึงคุณชายรองแห่งจวนอ๋อง บุกไปสังหารคนโดยพลการ หาได้มีกฎบ้านเมืองในสายตา นี่เป็นเพียงการลงโทษสถานเบา หากยังกระทำผิดอีก จะลงโทษด้วยไม้พอง”


 


 


หวงฝู่อวี้ตกใจเนื้อตัวสั่นระริก ก้มหน้าไม่กล้าปริปากอีก


 


 


บ่าวเดินขึ้นหน้า ยื่นมือออกมา พูดว่า “คุณชายรอง เชิญขอรับ”


 


 


กัวเฟยมองเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า


 


 


กัวเฟยคลายมือ


 


 


หวงฝู่อวี้คอตกเดินตามบ่าวเข้าไปในจวน ตอนที่เดินมาถึงข้างกายหวงฝู่อี้เซวียน อึกๆ อักๆ ร้องเรียก “ท่านพี่”


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนไม่หวั่นไหว พูดเสียงกร้าว “หากยังขอร้องอีก จะเพิ่มเป็นห้าวัน”


 


 


อย่าว่าแต่ห้าวันเลย แค่วันเดียวตัวเองก็รับไม่ไหวแล้ว ครั้งนี้ไม่ต้องให้บ่าวเร่งเร้า หวงฝู่อวี้ก็รีบก้าวฉับๆ เดินเข้าไป


 


 


พระชายารองที่ได้สติคืนมาแล้ว เข้าไปขวางหน้าหวงฝู่อวี้ไว้ พูดกับอี้เซวียนอย่างไม่พอใจ “ซื่อจื่อ ท่านไม่ถามให้ชัดเจน ก็สั่งขังอวี้เอ๋อร์ในห้องเก็บฟืน ไม่ทำเกินไปหน่อยหรือเพคะ”


 


 


อี้เซวียนไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ สั่งการทันควัน “นำตัวพระชายารองไปสำนึกความผิดในเรือนตัวเอง ไม่มีคำสั่งข้าห้ามนางออกจากเรือนแม้เพียงครึ่งก้าว ใครคุมไม่อยู่ ลงโทษโบยห้าสิบไม้” 

 

 


ตอนที่ 11 แบกเข้าจวน

 

สาวใช้และบ่าวตะลึงค้าง ไม่มีใครกล้าขยับ 


 


 


อี้เซวียนขมวดคิ้ว หันหลังกลับ ถามพ่อบ้านที่วิ่งออกมาเสียงเย็น “วาจาข้าไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วใช่หรือไม่?” 


 


 


ทั้งบารมี ความน่ายำเกรงนั้น ราวกับอ๋องฉีผู้ดุดันเฉียบขาดในวัยหนุ่มกำลังยืนเบื้องหน้าตนเอง 


 


 


พ่อบ้านสะดุ้งตกใจตัวสั่น ลนลานสั่งสาวใช้ให้ประคองพระชายารอง “ยังไม่รีบประคองเหนียงเหนียงเข้าไป จะรอให้ถูกโบยก่อนใช่หรือไม่?” 


 


 


สาวใช้รับคำเสียงสั่น พูดเกลี้ยกล่อมเสียงแผ่ว “เหนียงเหนียง พวกเราเข้าไปเถอะเพคะ” 


 


 


พระชายารองไฉนเลยจะทนรับความอดสูนี้ได้ แผลงฤทธิ์ต่อต้านพลัน 


 


 


น้ำเสียงเ**้ยมของอี้เซวียนดังขึ้นอีกครั้ง “พ่อบ้าน ท่านเป็นผู้อาวุโสของจวนแห่งนี้ ต้องขานเรียกอย่างไรท่านก็ยังไม่รู้?” 


 


 


พระชายารองมีอำนาจเต็มในการดูแลจวน หลายปีมานี้คนในจวนก็เรียกขานเช่นนี้มาตลอด พ่อบ้านก็ย่อมเอ่ยเรียกเช่นนี้ บัดนี้อี้เซวียนพลันออกปาก เขาถึงรู้สึกตัว พระชายาเอกยังมีชีวิตอยู่ การขานเรียกพระชายารองว่าเหนียงเหนียงเป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง ตื่นตกใจจนเหงื่อไหลซึมออกมา โน้มกายพูดอย่างหวาดผวา “หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


อี้เซวียนชักสีหน้าขรึม พูดว่า “หากยังมีครั้งหน้า จงรับกฎบ้านแล้วกลับบ้านนอกไป ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก” 


 


 


พ่อบ้านตกตะลึง คุกเข่าดัง “พลั่ก” น้ำเสียงสั่นเครือรับประกัน “หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ต่อไปจะไม่กระทำผิดอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


อี้เซวียนปรายตาเย็นเยียบมองเขาแวบหนึ่ง 


 


 


พ่อบ้านรู้สึกเหมือนมีลมเย็นวาบพัดผ่านร่าง แผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อพลัน 


 


 


ครู่หนึ่ง อี้เซวียนถึงกลับคืนสู่สภาวะปกติ พูดด้วยน้ำเสียงละมุน “ลุกขึ้นเถอะ ทำเรื่องที่ข้าสั่งให้เรียบร้อย” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ซื่อจื่อ หม่อมฉันน้อมรับคำสั่ง” พ่อบ้านลุกขึ้นยืนตัวสั่น หันไปโบกมือให้สาวใช้ พูดว่า “พาพระชายารองเข้าไป” 


 


 


สาวใช้และบ่าวก็ตื่นตกใจกับท่าทีดุดันเด็ดขาดของหวงฝู่อี้เซวียน ไม่กล้าลังเลอีก ช่วยกันออกแรงพาร่างพระชายารองเข้าไป 


 


 


พระชายารองไม่คิดว่าอี้เซวียนจะกล้าปฏิบัติเช่นนี้ต่อนาง หมายจะขัดขืน ชุนเหมยสาวใช้ข้างกายนางพูดโน้มน้าว “เหนียงเหนียง ตอนนี้ซื่อจื่อกำลังโมโห ท่านอย่าเพิ่งยั่วยุเขาเลย รอท่านอ๋องกลับมาจากท้องพระโรงค่อยว่ากันเถิดเพคะ” 


 


 


พระชายารองคิดถึงท่าทีเมื่อครู่ของอี้เซวียน หยุดการดิ้นรน ยอมให้สาวใช้ประคองกลับเรือนตนเอง 


 


 


อี้เซวียนหันกลับมา พินิจมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างละเอียด เห็นนางสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ยังคงงดงามพริ้มเพราเหมือนสี่ปีก่อนไม่เปลี่ยน  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็พินิจมองอี้เซวียนอย่างถี่ถ้วน ไม่เจอสี่ปี หากไม่ใช่ดวงตาคู่นั้น นางเกือบจะจำไม่ได้แล้วว่าหนุ่มน้อยตรงหน้าก็คือเด็กน้อยที่ตนเองคะนึงหามาถึงสี่ปี ไม่เพียงร่างที่สูงกว่าตนเองเท่าตัว กระทั่งบุคลิกท่วงท่าสูงศักดิ์หาใดเปรียบ เมื่อเขายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น แม้แต่กาลเวลาก็หยุดเคลื่อนคล้อย 


 


 


อี้เซวียนเห็นนางพินิจมองตนเอง ริมฝีปากโค้งมน เผยรอยยิ้มอ่อนน่าหลงใหล เยื้องย่างมาถึงเบื้องหน้านาง เปล่งน้ำเสียงอบอุ่นชื่นฉ่ำ “โยวเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็มาหาข้าแล้ว” 


 


 


น้ำเสียงเจือแววเสน่หาหวานฉ่ำ เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงฝาด 


 


 


อี้เซวียนยกมือขึ้นหมายจะสัมผัสใบหน้านาง กลับถูกนางตีมือออกไป ยิ้มพูดว่า “ซื่อจื่อ ท่านเกี้ยวพาหญิงสาวต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงหรือ” 


 


 


อี้เซวียนคลี่ยิ้มยากจะคาดเดา 


 


 


สัญญาณเตือนภัยในใจเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น คิดจะก้าวถอยหลังให้ห่างออกมา เสียที่ช้าไปหนึ่งก้าว 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนกระทำการที่ทำให้คนทั้งหมดตกตะลึงลูกตาแทบถลน เขาก้าวไปข้างหน้า คว้าข้อมือเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วแบกนางขึ้นบ่า ขับเคลื่อนกำลังภายใน เปล่งเสียงให้กลุ่มคนได้ยินโดยทั่วกัน “เมื่อเจ้าบอกว่าข้าเกี้ยวพาเจ้า ข้าก็จะทำตามคำเรียกนั้นอย่างเต็มที่” 


 


 


ว่าแล้ว ก็แบกเมิ่งเชี่ยนโยวก้าวอาดๆ กลับเข้าไปในจวน 


 


 


กลุ่มคนส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่ตกตะลึง ร้องเรียกนายท่าน หมายจะเข้าไปขวาง กลับถูกกัวเฟยรั้งพวกเขาไว้ ยิ้มร่าพูดว่า “นายท่านทั้งสองไม่ได้เจอกันหลายปี ถึงเวลารำลึกความหลังกันแล้ว” 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่ไม่วางใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่ถูกอี้เซวียนแบกขึ้นบ่า ก็ไม่ขัดขืน กำชับพวกเขาเสียงกร้าว “พวกเจ้ารออยู่นอกจวน ข้าจะออกมาโดยไว” 


 


 


ทหารยามเห็นพฤติกรรมซื่อจื่อผู้เคยสุภาพอ่อนโยนมาตลอด ต่างตกใจเบิกตาโพลง 


 


 


กระทั่งกลุ่มคนที่มุงล้อมส่งเสียงอื้ออึงเป็นผึ้งแตกรัง วิพากษ์ไปต่างๆ นานา พวกเขาถึงได้สติกลับมา รีบหันหลังกลับเข้าจวน 


 


 


กลุ่มคนจากโรงเตี๊ยมที่เดินตามดูเรื่องสนุกไม่รู้ความเป็นมาเป็นไป อดส่ายหน้าเสียดายแทนเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ “เด็กสาวงามเพียบพร้อมคนหนึ่ง ครานี้จบสิ้นแล้ว” 


 


 


คนในเมืองหลวงก็ไม่รู้สายสนกลในของเรื่องนี้ เห็นซื่อจื่อจวนอ๋องฉีที่นิ่งขรึมมาตลอดสี่ปี จู่ๆ กลับกระทำการชิงตัวหญิงสาว กลายเป็นประเด็นร้อนแรง หลังจากทหารยามกลับเข้าไป กลุ่มคนต่างหันหลังกลับไปพูดเรื่องที่น่าตกตะลึงนี้ให้คนรู้จักฟัง 


 


 


ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ทุกหัวระแหงในเมืองหลวงก็รู้เรื่องนี้กันหมด แม้แต่จวนราชเลขาฝ่ายการทหารและจวนราชครูก็ไม่ยกเว้น 


 


 


ยังไม่พูดถึงการกระทำสะเทือนเลือนลั่นนี้ของอี้เซวียน จนกลายเป็นที่โจษจันไปทั่วทั้งเมืองหลวง เอาแค่ที่เขาแบกเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในจวน ทั้งสาวใช้และบ่าวต่างตกตะลึงพรึงเพริด ลืมแม้กระทั่งการถวายคำนับ ต่างถลึงตาโตมองเขาเดินไปยังเรือนอย่างไม่เชื่อสายตา 


 


 


หวงฝู่อี้ปิดปากแอบขำเดินตามหลังมาถึงประตูลานเรือน สั่งบ่าวที่ตื่นตะลึงอ้าปากค้างในลานเรือนทั้งหมดออกมา ปิดประตูเรือนให้พวกเขาอย่างรู้ใจ ยืนเฝ้าหน้าประตูเพียงลำพัง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าเข้ามาในลานเรือนอี้เซวียนแล้ว รอบกายไม่มีใคร ตีไปที่มือของอี้เซวียนหลายครั้ง อี้เซวียนเจ็บคลายมือออก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสกระโดดลงมาจากบ่าของเขา เลิกคิ้วคู่งาม คล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มถามขึ้น “ไม่เจอกันนาน ซื่อจื่อเก่งกล้าแล้ว ถึงกับกล้าแบกข้าเข้ามาต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้” 


 


 


ดวงตากลมโตของอี้เซวียนแฝงความเจ้าเล่ห์ เขาเดินประชิดนาง ยื่นมือออกมา หมายจะกอดเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไปยันหน้าอกเขา พูดว่า “ซื่อจื่อ หากท่านทำรุ่มร่ามอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ” 


 


 


อี้เซวียนผลักมือนางออกเบาๆ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้สึกถึงพลังภายในมหาศาลยามวาดมือของนางออก ขณะที่ตกตะลึงอยู่ในภวังค์นั้น อี้เซวียนก็คว้าตัวนางมากอด กระซิบข้างหูเสียงกระเส่า “โยวเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้ม น้ำเสียงเยาะหยัน “ซื่อจื่อช่างปากหวานนัก สี่ปีมานี้ ไม่ทราบว่าใครที่เขียนจดหมายสั้นกระชับมาเพียงสี่ฉบับ” 


 


 


อี้เซวียนไม่โต้แย้ง โอบกอดนางไว้แน่น แทบจะหลอมรวมนางเป็นร่างเดียวกับตัวเอง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอิงแอบเข้ากับแผ่นอกกำยำของเขา ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวแต่หนักแน่นของเขา สัมผัสได้ถึงความรู้สึกปลอดภัยที่ไม่มีเคยเจอมาก่อนจากทั้งสองโลกอย่างประหลาด 


 


 


ในลานเรือนไร้สรรพเสียง 


 


 


ความรู้สึกอุ่นละมุนไหลเวียนเชื่อมประสานพวกเขาทั้งสอง 


 


 


ครู่ใหญ่ อี้เซวียนถึงคลายมือออก จับมือนางเดินเข้ามาในห้องตัวเอง ให้นางนั่งบนเก้าอี้ ตนเองเดินไปหยิบกล่องใบหนึ่งที่หัวเตียง วางลงบนโต๊ะเบื้องหน้านาง แล้วเปิดออก ให้เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสิ่งของด้านในทั้งหมด เปล่งเสียงไพเราะน่าฟัง “นี่คือจดหมายที่ข้าเขียนให้เจ้ามาตลอดสี่ปี วันละหนึ่งฉบับ อยู่ในนี้ทั้งหมด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจสั่นไหว ความรู้สึกปั่นป่วนแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจ นางหยิบจดหมายมั่วๆ ขึ้นมาหนึ่งฉบับเพื่อกลบเกลื่อน ความคิดถึงอัดแน่นอยู่ในทุกข้อความทุกคำพูด 


 


 


อี้เซวียนอธิบาย “ในปีที่ข้ากลับมา ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นซื่อจื่อ ดวงตาทุกคู่ในเมืองหลวงล้วนจับจ้องข้า ข้ากลัวจะทำให้พวกเจ้าต้องเดือดร้อนไปด้วย ถึงอดทนไม่ติดต่อหาพวกเจ้า แต่ก็กลัวเจ้าจะเป็นห่วง ถึงให้อี้เอ๋อร์ลอบส่งจดหมายให้เจ้าในวันที่ข้าจากมาของทุกปี บอกเจ้าว่าข้าสบายดี ให้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” 


 


 


ความรู้สึกป่วนปั่นในใจเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งให้รุนแรงขึ้น 


 


 


อี้เซวียนมองนางด้วยแววตาลึกซึ้ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทนดวงตาหยาดเยิ้มเช่นนี้ไม่ไหว กระแอมกลบเกลื่อนแล้วถามเขา “เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงยังไม่ถอนหมั้นกับธิดาจวนราชเลขา” 


 


 


อี้เซวียนกล่าวด้วยใบหน้านิ่งขรึม “พระมารดาและมารดาของธิดาราชเลขาเป็นสหายรักกัน ตอนนั้นพวกเราถูกหมั้นหมายไว้ตั้งแต่ยังไม่เกิด ต่อมาหลายปีแม้จะยังหาตัวข้าไม่พบ จวนเสนาก็มิได้เอ่ยปากเรื่องการถอนหมั้น ภายหลังข้าได้กลับมาที่นี่ บอกพระมารดาว่าข้ามีคนที่พึงใจแล้ว ขอให้นางถอนการหมั้นหมายนั้น พระมารดาคิดว่าพวกเรากระทำเช่นนั้นเนรคุณคนเกินไป จึงไม่รับปาก บอกว่าทำเช่นนั้นจะทำลายชื่อเสียงธิดาเสนา ทำให้ภายหน้านางไร้ที่ยืนอยู่ในเมืองหลวง แม้ข้าจะไม่ยินดี แต่พระมารดาร่างกายอ่อนแอ เอาแต่นอนซม ข้ากลัวหากข้าดึงดัน จะทำให้นางเสียใจ ทำให้สุขภาพยิ่งแย่ ดังนั้นต่อมาเวลาอยู่ต่อหน้านางข้าจึงไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้อีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวผ่อนคลายลง ปล่อยตัวเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ แย้มยิ้มถาม “จากนั้นเล่า ซื่อจื่อต้องการจะเสวยสุขด้วยสามีเดียวหลายภรรยา” 


 


 


อี้เซวียนยิ้มอ่อน เอียงลำตัวมาคว้าข้อมือนางข้างหนึ่ง พูดว่า “จากนั้นพระชายาของข้าจะออกโรง บีบให้พวกเขาถอนหมั้น” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเก้อ ยืดตัวตรง โน้มลำตัวเข้าหาอี้เซวียน ถามเสียงกระด้าง “ซื่อจื่อหมายความว่าจะให้ข้าจัดการศัตรูหัวใจด้วยตัวเอง?” 


 


 


แม้หวงฝู่อี้เซวียนจะไม่เข้าใจว่าศัตรูหัวใจคืออะไร ทว่าจากคำพูดของนางจะต้องเกี่ยวข้องกับธิดาราชเลขาจึงพยักหน้า พูดว่า “ข้าคิดเอาไว้เช่นนั้น” 


 


 


สิ้นเสียง ก็มีบางสิ่งฟาดลงกลางกระหม่อมดังเพี๊ยะ เสียงโกรธเกรี้ยวของเมิ่งเชี่ยนโยวดังลั่นข้างหูเขา “เจ้าตัวเสนียดใจอำมหิต แม้แต่ข้าเจ้าก็กล้าวางแผน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงมือค่อนข้างหนัก อี้เซวียนมึนตื้อเล็กน้อยถึงได้สติกลับมา ไม่โกรธเคือง กลับหน้าทนยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าและข้ามีความสัมพันธ์ทางกายกันแล้ว ชีวิตนี้ข้าจะมีแต่เจ้าเพียงคนเดียว เรื่องของข้าย่อมเป็นเรื่องของเจ้า เรื่องยุ่งเหยิงพวกนี้ก็สมควรให้เจ้าเป็นคนจัดการ” 


 


 


เขาไม่พูดเรื่องความสัมพันธ์ทางกายยังดีเสียกว่า พอเขาพูดออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงเมื่อสี่ปีก่อน เขาฉวยโอกาสตอนที่ตัวเองได้รับบาดเจ็บ ขัดขืนไม่ได้ กระทำเรื่องเช่นนั้น พลันโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ลุกขึ้นพรวด โบกมือใส่เขาอีกครั้ง พูดว่า “เจ้ายังกล้าเอ่ยเรื่องเมื่อสี่ปีก่อน ดูว่าวันนี้ข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหลบฝ่ามือนี้ของนางได้อย่างคล่องแคล่ว แล้วลุกขึ้นตาม หลบไปพูดชี้แจงไปว่า “ข้าถูกบีบจนไม่มีทางเลือกต่างหากเล่า หากข้าไม่ทำเช่นนั้น สี่ปีที่ข้าไม่อยู่นี้เจ้าแต่งไปกับคนอื่นจะทำอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งฟังยิ่งเดือดดาล วิ่งตีเขาไปรอบห้อง “เจ้ายังมีหน้าพูดอีก ข้าอายุสิบแปดปีแล้ว กลายเป็นสาวใหญ่แล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงาน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าคนเดียว ตอนนี้อุตส่าห์ได้เจอเจ้า เจ้ากลับโยนโจทย์ยากนี้มาให้ข้า วันนี้ข้าจะเล่นงานเจ้าให้น่วมเลย” 


 


 


หวงฝู่อี้ยืนอยู่ด้านนอก ได้ยินเสียงโวยวายภายในห้อง ให้นึกกังขา เมื่อครู่ทั้งสองคนยังดีๆ กันอยู่เลย ทำไมแค่พริบตาเดียวก็ตบตีกันเสียแล้ว 


 


 


ในความเป็นจริง หวงฝู่อี้คิดผิด ภายในห้องไม่ได้ตีกัน แต่เป็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่เอาแต่วิ่งไล่ต้อนไล่ตีอี้เซวียนไม่หยุด 


 


 


วิ่งตามหลายรอบ เมิ่งเชี่ยนโยวเหนื่อยจนหายใจหอบ กลับจับไม่โดนแม้แต่ชายเสื้อของอี้เซวียน ด้วยความโมโห พูดข่มขู่เขา “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไม่เช่นนั้นวันพรุ่งข้าจะพาคนกลับบ้าน เรื่องยุ่งเหยิงของตัวเองก็เก็บกวาดเองเถอะ” 


 


 


อี้เซวียนได้ฟังก็หยุดฝีเท้า ทำหน้าเป็นเข้าใกล้นาง แล้วถามว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้ารับปากข้าแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้นบิดหูเขา พูดว่า “เรื่องของเจ้า ก็จัดการเองเถอะ ข้าไม่ได้ว่างมาช่วยเจ้าทำเรื่องพวกนี้ ข้าจะบอกให้นะ ครั้งนี้ข้ามาเพื่อบีบให้แต่งงาน เห็นแก่ที่วันนี้เจ้าประพฤติตัวน่าพึงพอใจ ข้าจะให้เวลาเจ้าเพิ่ม อย่างมากครึ่งปี ครึ่งปีให้หลังหากเรื่องการหมั้นหมายของเจ้ายังไม่เรียบร้อย ข้าจะพาคนกลับชนบท ชาตินี้เจ้าอย่าหวังจะได้พบหน้าข้าอีก” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้ฟังดังนั้น รอยยิ้มแข็งค้างฉับพลัน 


 


 


หวงฝู่อี้ที่ได้ยินวาจาของเมิ่งเชี่ยนโยวจากด้านนอก หัวใจกระตุกวูบ เขารู้จักนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวดี เป็นคนพูดจริงทำจริง หากถึงขั้นนั้นจริงๆ พี่อี้เซวียนคงเสียสติวิปลาสเป็นแน่แท้ ความคิดถึงตลอดสี่ปีที่ผ่านมาของเขา เขาเองก็เห็นอย่างแจ่มแจ้งมาตลอด 


 


 


ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น สาวใช้นางหนึ่งก็เดินมาย่อคำนับให้เขา พูดว่า “พระชายาเอกได้ยินว่าซื่อจื่อพาหญิงสาวนางหนึ่งเข้ามา ต้องการให้เขาพาไปพบหน่อยเจ้าค่ะ”  

 

 


ตอนที่ 12-1 กระอักเลือด

 

คำสั่งของพระชายาเอกจะฝ่าฝืนไม่ได้ หวงฝู่อี้กัดฟันเดินเข้ามาในลานเรือน ยืนรายงานกลางลานเรือนว่า “ซื่อจื่อ เหนียงเหนียงให้คนมาบอกว่า ต้องการพบนางแม่นางเมิ่งพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


พูดจบ ด้วยกลัวอี้เซวียนจะระบายอารมณ์มาที่ตัวเอง ค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว เตรียมพร้อมวิ่งหนีทุกเมื่อ 


 


 


ในห้องเงียบสงัด 


 


 


ครู่หนึ่งถึงมีเสียงหวงฝู่อี้เซวียนดังออกมา “ไปเรียนพระมารดา บอกว่าหลายวันก่อนโยวเอ๋อร์ตกใจเสียขวัญ สภาพจิตใจยังไม่เป็นปกติ เมื่อมีโอกาสจะเข้าไปพบนาง” 


 


 


หวงฝู่อี้ขานรับคำ เร่งฝีเท้าออกไปจากเรือน พูดกับสาวใช้ว่า “เจ้าคงได้ยินคำพูดของซื่อจื่อแล้ว รบกวนเจ้ากลับไปเรียนเหนียงเหนียงตามนี้ด้วยเถอะ” 


 


 


สาวใช้ไม่มีทางเลือก หันหลังกลับไปเรือนพระชายาเอก ถ่ายทอดคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนโดยไม่ตกหล่นสักคำแก่พระชายาเอก 


 


 


นับตั้งแต่ที่อี้เซวียนกลับมา ความกลัดกลุ้มในใจพระชายาเอกก็หายไป นางมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย บวกกับหมอจากสำนักแพทย์หลวงเข้ามาฟื้นฟูสภาพจิตใจ ทำให้สภาพร่างกายในช่วงหลายปีมานี้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ไม่เจ็บออดๆ แอดๆ อีก สามารถลุกขึ้นเดินเหินได้ มีเลือดฝาดดูสดใสขึ้นกว่าแต่ก่อน ในตอนนี้นางกำลังนั่งอาบแสงแดดบนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง หลังจากได้ยินที่สาวใช้รายงานก็ถอนหายใจ 


 


 


โอรสของตนเองที่ดูคล้ายอ่อนโยนมีมารยาท ในความเป็นจริงจะเหินห่างหลีกลี้กับทุกคน แม้แต่การปฏิบัติต่อมารดาเช่นนาง ก็มากกว่าคนอื่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สี่ปีก่อนที่เขากลับมา ได้เอ่ยปากพูดเรื่องการถอนหมั้นกับตนเอง นางไม่ตอบรับ นับแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยเอ่ยอีก ตนเองนึกว่าการแต่งงานนี้รอเพียงแค่เวลาก็จะสำเร็จลุล่วงไปได้ ไม่คิดว่าเมื่อครู่จะมีสาวใช้วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา บอกว่าอี้เซวียนแบกหญิงสาวนางหนึ่งเข้ามา ตนเองตกใจเกือบลุกพรวดจากเก้าอี้ นางถึงสำนึกได้ว่านางคิดผิดแล้ว อี้เซวียนไม่เคยปล่อยวางการหมั้นหมายกับหญิงสาวนางนั้นเลย การกระทำของเขาในครั้งนี้ ก็เพื่อบอกคนทั้งเมืองหลวงว่า เขาตัดสินใจแต่งงานกับหญิงสาวนางนี้แล้ว 


 


 


คิดถึงตรงนี้ พระชายาเอกก็ถอนหายใจอีกครั้ง ในตอนนั้นอ๋องฉีบอกนางเรื่องที่อี้เซวียนกระทำต่อหญิงสาวชนบท แต่นางหาได้เอามาใส่ใจไม่ นึกว่าเป็นเหมือนเด็กคนอื่นๆ เมื่อเวลาล่วงไป เขาเติบใหญ่เป็นหนุ่ม ลุ่มหลงในแสงสีความเจริญของเมืองหลวง ก็จะลืมหญิงสาวนางนั้นไปเอง ไม่คิดเลยว่า… 


 


 


พระชายาเอกถอนหายใจอีกครั้ง 


 


 


แม่นมคนสนิทเห็นนางถอนหายใจติดต่อกันสามครั้ง เป็นห่วงสุขภาพของนาง เข้าพูดปลอบประโลม “ซื่อจื่อเพียงไม่ได้พบหน้าหญิงสาวนางนั้นหลายปี เกิดอารมณ์พลุกพล่าน ทำให้กระทำเรื่องน่าตกตะลึงนั้น หลังจากเจอกันครั้งนี้ก็คงจะไม่มีอะไรแล้ว เหนียงเหนียงอย่าได้เป็นกังวลมากเกินไปจนเสียสุขภาพเลยนะเพคะ” 


 


 


พระชายาเอกโบกมือ “แม่นม ข้าไม่เป็นอะไร ข้าเพียงเป็นกังวล เจ้าลูกคนนี้จะถอนการหมั้นกับเยียนเอ๋อร์จริงๆ หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่มีหน้าไปพบฮูหยินท่านราชเลขาเป็นแน่แท้” 


 


 


แน่นมพูดโน้มน้าว “เหนียงเหนียง ไม่หรอกเพคะ ท่านก็เห็นว่าหลายปีมานี้ ซื่อจื่อกระทำเรื่องใดให้ทุกข์ใจบ้าง เรื่องนี้เขาก็จะต้องไม่ฝ่าฝืนความต้องการของท่าน อย่างมากก็เพียงรับหญิงสาวคนนั้นเข้ามาอยู่ในเรือน” 


 


 


พระชายาเอกถอนหายใจอีกครั้ง ไม่พูดอะไร มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความกลัดกลุ้มแน่นอก 


 


 


หลังจากอี้เซวียนฟังนางพูดจบก็ลุกขึ้น จ้องนางเขม็งด้วยใบหน้าน้อยใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทนกับปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขาไม่ได้ที่สุด ทำให้รู้สึกว่าตนเองเป็นหญิงโฉดที่กำลังรังแกเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เอ่ยปากอย่างกราดเกรี้ยว “อย่านึกว่าทำหน้าทำตาเช่นนี้ข้าก็จะตอบตกลงเจ้า” 


 


 


อี้เซวียนเก็บคืนสีหน้าน้อยใจ เดินไปเบื้องหน้านางอย่างระวัง พูดปะเหลาะนาง “ก็ได้ๆ ข้าจัดการเอง เจ้าอย่าโมโหเลยนะ” 


 


 


ว่าแล้วก็ลองจับมือนางพูดว่า “พวกเราอุตส่าห์ได้เจอหน้ากันทั้งที อย่าพูดเรื่องระคายเคืองใจพวกนั้นเลย นั่งลงคุยกันดีๆ ดีกว่า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ สะบัดมือเขาออก แล้วนั่งลง 


 


 


อี้เซวียนหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ ปิดกล่องบนโต๊ะ ผลักไปตรงหน้านางพูดว่า “ประเดี๋ยวตอนเจ้าไป นำกลับไปอ่านด้วย สิ่งที่ข้าจะพูดกับเจ้าเขียนอยู่ในจดหมายหมดแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงเรื่อ ไม่เคืองโกรธเหมือนเมื่อครู่แล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ใจยกยิ้ม นั่งบนเก้าอี้อีกด้าน ซักถามเรื่องราวตลอดหลายปีที่ผ่านมาของครอบครัว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาคิดคำนึงถึงมาตลอด จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ให้เขาฟังทั้งหมด ทั้งเน้นเล่าว่าเมิ่งฉีก็แต่งงานแล้ว แต่งกับบุตรสาวเก้าแก่หวังที่มาซื้อส่งมันฝรั่ง ทั้งหัวเราะพูดว่า พี่สะใภ้ทั้งสองคนของตนเองล้วนเป็นยอดฝีมือด้านการค้า เก่งว่าพี่ใหญ่และพี่รองของตนเองไม่รู้กี่เท่า 


 


 


อี้เซวียนนั่งฟังนางเล่าเรื่องราวในครอบครัวเงียบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจอย่างพูดไม่ออก 


 


 


ทั้งสองคนหนึ่งพูด คนหนึ่งฟัง เวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายแก่ๆ โดยไม่รู้ตัว เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้าด้านนอก พูดว่า “พวกกัวเฟยรออยู่ด้านนอกนานแล้ว ข้าสมควรต้องไปแล้ว ตอนนี้ข้าพักที่โรงเตี๊ยมอวิ๋นเค่อไหล หากเจ้ามีเรื่องอะไรให้หนิวตั้นไปหาพวกเราที่นั่นได้ ข้าได้สั่งเหวินเปียวและเหวินหู่ไปหาซื้อเรือน เมื่อซื้อได้แล้วข้าจะให้คนมาบอกเจ้าอีกที” 


 


 


อี้เซวียนมองดูท้องฟ้าด้านนอก พูดอย่างอาลัย “ยังพอมีเวลา เจ้านั่งต่ออีกหน่อยค่อยไปเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้าที่โรงเตี๊ยมเอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ลุกขึ้นยืน ยกกล่องบนโต๊ะมากอดแนบอก พูดว่า “ประเดี๋ยวท่านอ๋องก็จะกลับมาจากท้องพระโรงแล้ว ข้าไม่อยากเจอหน้าเขา ข้ารีบไปก่อนจะดีกว่า” 


 


 


อี้เซวียนลุกขึ้น เดินมาเบื้องหน้านาง ใช้ดวงตากลมโตคู่งามที่ทั้งสุกใสและสว่างเจิดจ้าจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง พูดด้วยความอาลัยอาวรณ์ “ข้าไปส่งเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจเต้นรัว พลั้งปากพูดออกไปอย่างเสียการควบคุม “ข้าจะอยู่กับเจ้าต่ออีกครึ่งชั่วยาม” 


 


 


อี้เซวียนคลี่ยิ้มเจิดจ้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทนเสน่ห์ยั่วเย้าจากเขาไม่ไหวแล้ว ยื่นมือออกไปผลักเขา “ตัวเสนียด ไสหัวไป” 


 


 


อี้เซวียนไม่ทันระวัง ถูกผลักตัวโยน ชนเข้ากับโต๊ะ เลือดสดๆ ไหลออกมาจากมุมปาก ไหลหยดลงบนโต๊ะ 


 


 


“เคล้ง” กล่องในมือเมิ่งเชี่ยนโยวร่วงตกลงพื้น จดหมายกระจายเต็มพื้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้องอุทาน “อี้เซวียน!” 


 


 


อี้เซวียนก็ตกใจ มองหยดเลือดตรงหน้าของตัวเองอย่างไม่เชื่อ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเข้าไปประคองเขา ถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไร? ชนถูกจุดสำคัญหรือ?” 


 


 


อี้เซวียนส่ายหน้า เช็ดมุมปากตัวเอง คลี่ยิ้มปลอบใจนาง “ไม่เป็นไร ช่วงเวลานี้มักจะรู้สึกแน่นหน้าอก ตอนนี้ได้กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ รู้สึกดีขึ้นมาก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น พิจารณาสีหน้าเขาอย่างละเอียด เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง พูดว่า “เจ้านั่งลง ข้าจะจับชีพจรให้” 


 


 


อี้เซวียนพยักหน้า นั่งลงบนเก้าอี้ด้านหลังทันที ยื่นมือออกมาวางเบื้องหน้านาง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปนั่งเก้าอี้ วางมือลงมือจุดชีพจรของเขา ตรวจให้เขาอย่างถี่ถ้วน 


 


 


อี้เซวียนไม่ยี่หระใดๆ เอาแต่มองใบหน้านาง ทั้งพูดปลอบประโลม “ข้าไม่เป็นไรหรอก เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อนให้เขา พูดว่า “ซื่อจื่อ ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวเองได้รับพิษ?” 


 


 


อี้เซวียนนิ่งอึ้ง รอยยิ้มจางหาย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ พูดโดยที่นั่งบนเก้าอี้ว่า “ข้านึกว่าหลายปีมานี้ซื่อจื่อจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงอย่างสุขสบาย ไร้ศัตรูคู่อาฆาต ที่แท้ถูกคนเล่นงานก็ยังไม่รู้ตัว” 


 


 


เห็นนางโมโห แต่สีหน้าไม่ร้อนรน อี้เซวียนเดาว่าตนเองคงไม่ถูกพิษร้ายแรง พูดประจบนาง “เจ้าก็รู้ ข้าไม่รู้เรื่องสมุนไพรเลย ถูกคนเล่นงานก็เป็นเรื่องปกติ โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก เจ้าอย่าได้เป็นกังวลนักเลย” 


 


 


“ข้าเป็นกังวลอะไร ข้าไม่ได้เป็นกังวล หากซื่อจื่อมอดม้วย ข้าจะได้กลับบ้านไปหาคนดีๆ แต่งงานได้เสียที” เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มจะมีน้ำโหแล้ว 


 


 


อี้เซวียนชะงักเล็กน้อย ค่อยๆ ยื่นมือออกไป คว้ามือของนางมากุมไว้ ในน้ำเสียงเด็ดขาดแน่วแน่ “โยวเอ๋อร์ เรื่องในวันนี้ชีวิตนี้เจ้าไม่ต้องคิดถึงมันอีก คิดเพียงว่าต้องทำอย่างไรถึงจะแต่งเป็นภรรยาข้าได้เถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองบนใส่เขา สะบัดมือออกพูดว่า “คนที่วางยาเจ้าจะต้องกลัวแผนล้มเหลว จึงใช้ยาที่ออกฤทธิ์ช้ากับเจ้า หากข้ายังไม่เข้ามา ครึ่งปีให้หลังต่อให้เจ้าไม่ม้วยมรณา แต่ก็คงไม่อาจมีชีวิตชีวาได้เช่นนี้ จักต้องนอนซมติดเตียงไปทั้งชีวิต” 


 


 


ได้ยินคำพูดนาง อี้เซวียนหรี่นัยน์ตาลง สะท้อนสีหน้าเ**้ยมเกรียมแวบหนึ่ง พลันหายวับไปในทันที 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเพียงเท่านี้ ที่เหลือไม่พูดให้มากความ 


 


 


ภายในห้องเงียบสงัด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เปิดบานประตู ตะโกนออกไปด้านนอก “หนิวตั้น เจ้าเข้ามาหน่อยเถิด” 


 


 


บ่าวเฝ้าประตูได้ยินคำพูดนาง ต่างมึนงง หันหน้ามองกัน ไม่รู้ว่านางตะโกนเรียกใคร 


 


 


หวงฝู่อี้ที่ได้ยินเสียงร้องอุทานเมื่อครู่ของนาง ไม่รู้ว่าภายในห้องเกิดเรื่องอะไรขึ้น กำลังกระวนกระวายใจ พอได้ยินเสียงตะโกนของเมิ่งเชี่ยนโยว รีบเดินตรงเข้ามา ถามอย่างอ่อนน้อม “แม่นางเมิ่ง มีอะไรสั่งการขอรับ” 


 


 


“เจ้าเข้ามาหน่อยเถิด” 


 


 


หวงฝู่อี้รับคำ เดินเข้ามาในห้อง เห็นหยดเลือดบนพื้น ใบหน้าเปลี่ยนสี ลนลานร้องถาม “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง เกิดเรื่องอะไรขึ้นขอรับ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เขาใจเย็นๆ แล้วกระซิบบอกเรื่องที่อี้เซวียนถูกวางยาแก่เขา 


 


 


หวงฝู่อี้ได้ฟังรีบพูดสวนทันควัน “ไม่มีทาง อาหารของซื่อจื่อข้าเป็นคนยกมาให้เองทุกวัน ทั้งใช้เข็มเงินทดสอบทุกครั้ง ไม่มีทางมีพิษเด็ดขาด” 


 


 


“พวกเขาใช้ปริมาณน้อย ใช้เข็มเงินไม่เจอพิษหรอก ทว่า จากชีพจรเมื่อครู่ของเขา เขาได้รับพิษนานแล้ว อย่างต่ำก็ครึ่งปี” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


หวงฝู่อี้ยิ่งตกตะลึง มีคนวางยาซื่อจื่อมาแล้วครึ่งปี ตนเองกลับไม่ระแคะระคายเลย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเขา “เจ้าไปเอากระดาษพู่กันมา ข้าจะเขียนใบสั่งยา แล้วรีบไปจัดยามาให้ซื่อจื่อกิน อีกอย่าง เจ้าสั่งให้คนรีบมาจัดการคราบเลือดพวกนี้ ทั้งกำชับพวกเขาห้ามพูดออกไป” 


 


 


หวงฝู่อี้นิ่งอึ้ง ไม่ถามอะไรอีก 


 


 


แต่รีบไปหยิบกระดาษพู่กันมาจากห้องหนังสือของอี้เซวียน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจับพู่กันเขียนตัวยา มอบให้เขาแล้วพูดว่า “ไปจัดยาต้มยาด้วยตัวเอง ห้ามผ่านมือผู้อื่นเด็ดขาด” 


 


 


หวงฝู่อี้พยักหน้ารับคำ “ข้าทราบแล้ว แม่นางเมิ่ง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ รบกวนท่านดูแลซื่อจื่อด้วย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ตอนเจ้าออกไปช่วยบอกคนของข้าด้วย ข้ายังมีเรื่องต้องพูดกับอี้เซวียน ให้พวกเขารออีกประเดี๋ยว” 


 


 


หวงฝู่อี้รับคำ หยิบใบสั่งยาผลุนผลันเดินออกไป 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)