ข้ามกาลบันดาลรัก (ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน) ตอนพิเศษ 1-4

ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 1 เข้าเรียนที่กั๋...

 

มหันต์ที่แสนร้อนระอุ แสงอาทิตย์สาดส่อง จนร้อนรุ่มไปทั่วทุกสารทิศ 


 


 


ในจวนอ๋อง 


 


 


“ท่านแม่ พวกเรากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” เสียงอันไพเราะของเด็กสาวก็ดังขึ้นภายในเรือนนั้น เจียงจิ่นและเมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังตรวจสอบบัญชีอยู่ด้วยกันนั้นยังไม่ทันได้ลุกขึ้น ม่านประตูก็เปิดออก เด็กสาวฝาแฝดและหนุ่มน้อยสองคนก็เดินเข้ามาในห้อง 


 


 


เด็กสาวที่เดินนำหน้ามาก่อนเมื่อเห็นเจียงจิ่นก็เลยเรียกขึ้นมาว่า “ท่านอาสะใภ้” หลังจากนั้นพุ่งเข้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วก็งอแงถามขึ้นมาว่า “ท่านแม่ ไม่ได้เจอกันตั้งครึ่งวัน ท่านคิดถึงข้าบ้างหรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหน้า “แม่อยากจะส่งเจ้าออกไปจะแย่ บ้านเงียบสงบเช่นนี้ จะคิดถึงเจ้าทำไมกัน” 


 


 


เด็กสาวทำแก้มป่องด้วยความไม่ปลื้ม ออกจากอ้อมอกของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพุ่งไปหาเจียงจิ่น แล้วทำเป็นน่าสงสาร “ท่านอาสะใภ้ ท่านดูท่านแม่ของข้าสิ ไม่รักข้าเลย เหตุใดข้าถึงไม่ใช่ลูกสาวของท่านกันนะ” 


 


 


เจียงจิ่นก็หลุดขำออกมา แล้วลูบหลังปลอบใจนางเบาๆ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองบน เด็กคนนี้นี่ ไม่รู้ว่าเหมือนใคร ตอนก่อเรื่องนี่แทบจะทำให้โมโหจนแทบบ้า แต่พอตอนออดอ้อนก็ทำให้ไปไม่ถูกเหมือนกัน  


 


 


เด็กสาวอีกคนหนึ่งก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านแม่” 


 


 


เด็กชายที่อยู่ด้านหลังก็ยิ้มออกมาแล้วเรียน “ท่านป้า” 


 


 


ส่วนเด็กชายตัวน้อยก็เรียกออกมาว่า “ท่านแม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าตอบรับ แล้วพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้อากาศร้อน ข้าทำน้ำบ๊วยให้พวกเจ้าดื่มด้วย พวกเจ้าไปล้างหน้าล้างตากันก่อนแล้วค่อยมาดื่มกัน” 


 


 


ทุกคนก็ตอบรับอย่างดีใจ  


 


 


หวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยวิ่งออกไปก่อน หยิบผ้าขนหนูชุบน้ำสะอาดที่เตรียมไว้ขึ้นมาเช็ดหน้าจนสะอาด  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งก็ยิ้มเล็กน้อย แล้วรอให้พวกเขาจัดการให้เรียบร้อยก่อนค่อยไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ว่า “เอาล่ะ เลิกแกล้งเสียใจได้แล้ว เจ้าก็รีบไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้สะอาดเถิด” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ทำหน้าทำตาหยอกล้อใส่เมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากนั้นก็เดินไปด้วยความดีใจ  


 


 


เจียงจิ่นไปที่ห้องครัว แล้วหยิบน้ำบ๊วยจากถังน้ำแข็งขึ้นมายกไป แล้วส่งให้ทั้งสี่คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทีละคน 


 


 


ทั้งสี่คนรับมาแล้วดื่ม ความเย็นได้แผ่ซ่านเข้าไปข้างใน ทำให้ความร้อนในร่างกายหายไป หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็พ่นลมออกมาด้วยความสดชื่น แล้วพูดประจบว่า “ท่านแม่ น้ำบ๊วยนี่อร่อยจัง พรุ่งนี้พวกเราเอาไปที่กั๋วจื่อเจี้ยนด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดขอแล้วหลายรอบ แต่ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธทุกครั้ง น้ำบ๊วยนั้นถึงแม้จะไม่ใช่ของล้ำค่า แต่ว่าก็มีแต่จวนอ๋องเท่านั้นที่มี ถ้าหากว่าให้พวกเขาเอาไปที่กั๋วจื่อเจี้ยน แล้วโดนพวกลูกหลานของชนชั้นสูงเห็นเข้า แล้วส่งคนถ่อกันมาขอถึงจวนอ๋องล่ะก็ หวงฝู่อี้เซวียนต้องไม่พอใจแน่ แต่ว่าหลายวันนี้ก็ร้อนมาก หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดจบ เด็กอีกสามคนก็มองเขาด้วยสายตารอคอย  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดกับทุกคนว่า “จะเอาไปก็ได้ แต่คนละแก้วเท่านั้น ไม่มากไปกว่านี้” 


 


 


เด็กทั้งสี่ก็ส่งเสียงดีใจ  


 


 


เสียงดังจนหลังคาแทบปลิว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขมวดคิ้ว “เอาล่ะ ดื่มเสร็จแล้วก็เอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องหนังสือก่อน แล้วไปหาปู่กับย่า กลับมาทำการบ้าน คืนนี้จะกินอะไรเดี๋ยวแม่จะไปทำให้พวกเจ้าที่ครัว” 


 


 


ทั้งสี่คนก็ส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนต่างตื่นเต้น พูดชื่ออาหารจานเย็นที่อยากกินคนละเมนู เมื่อดื่มน้ำบ๊วยหมดแล้วก็สะพายกระเป๋าไปที่ห้องหนังสือที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำไว้ให้พวกเขาโดยเฉพาะ ในนั้นได้เตรียมน้ำแข็งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เย็นฉ่ำชื่นใจ ทั้งสี่คนวางกระเป๋าลง แล้วเดินไปที่เรือนของพระชายาฉี  


 


 


ทั้งสี่คนเดินไป ในห้องก็เงียบสงบลง เจียงจิ่นก็เก็บเล่มบัญชีบนโต๊ะไป หัวเราะไปแล้วพูดว่า “จวนอ๋องนี้ ถ้าหากว่าไม่มีเสียงของพวกเขาสี่คนล่ะก็ ข้าล่ะไม่ชินเสียจริงๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเรายังดีหน่อย โดยเฉพาะเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ วันๆ ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น เอาแต่ตั้งตารอพวกเขากลับมา” 


 


 


พูดจบ เงยหน้าถามด้วยความสงสัยว่า “ผ่านไปก็หลายปีแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่มีเพิ่มสักทีล่ะ” 


 


 


เจียงจิ่นหน้าแดง ก้มหน้าก้มตาไม่พูดจา  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้าใจได้ เลยชักจะสงสัย จึงยิ้มๆ แล้วถามว่า “หรือว่าพวกเจ้าไม่อยากมีหรือ” 


 


 


เจียงจิ่นหน้าแดงระเรื่อ ปีแรกที่แต่งงานเข้ามา ไม่นานนางก็มีเฮ่าเอ๋อร์ หวงฝู่อวี้ยังไม่ทันได้ลิ้มรสความข้าวใหม่ปลามันเลย ความอัดอั้นนั้นเลยทำให้หลังจากที่นางคลอดลูกแล้ว หวงฝู่อวี้ก็ไปขอยาคุมกำเนิดจากหมอหลวงเจียงอย่างไม่อาย การที่ผู้หญิงจะมีลูกนั้นอันตรายนัก ยิ่งไปกว่านั้นเจียงจิ่นก็มีให้แล้วคนหนึ่ง จึงไม่ได้รีบร้อนอะไร หมอหลวงเจียงเลยให้ยาคุมนั้นมากับหวงฝู่อวี้อย่างไม่ลังเล ดังนั้น หลายปีมานี้ พวกเขาเลยไม่มีลูกนั่นเอง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอาบน้ำร้อนมาก่อน มองแวบเดียวก็รู้ว่าเจียงจิ่นนั้นรู้สึกอย่างไร จึงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่ก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว พวกเจ้าควรมีอีกคนหนึ่งได้แล้ว” 


 


 


เจียงจิ่นก็พยักหน้าแดงๆ ของนาง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไรมาก แล้วทั้งสองคนก็เดินที่ห้องครัว 


 


 


เด็กๆ ทำการบ้านเสร็จแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อวี้ก็กลับจวนมาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ทำอาหารจานเย็นเสร็จแล้ว สำรับในห้องครัวก็จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเลยสั่งให้เด็กทั้งสี่คนยกสำรับออกไปที่ห้องอาหารคนละอย่าง  


 


 


ท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีก็นั่งรออยู่ที่ห้องอาหารแล้ว สิบกว่าปีผ่านไป ทั้งสองคนดูไม่แก่ขึ้นเลย แต่กลับดูดีขึ้น โดยเฉพาะพระชายาฉี อาจเป็นเพราะว่ายาชั้นดีที่กินมาแต่ก่อน ตอนนี้ใบหน้าสีแดงชาด เต่งตึงงดงาม ดูเผินๆ เหมือนกับหญิงสาวอายุสามสิบอย่างใดอย่างนั้น มองไม่ออกเลยว่านางเป็นย่าของเด็กๆ ทั้งสี่คนนี้ 


 


 


หลังจากที่กินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างมีความสุขแล้ว หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็กลับไปที่ห้องอันแสนเย็นสบาย ส่วนหวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยอยู่ต่อ ท่านอ๋องฉีเก็บใบหน้าที่ยิ้มแย้มที่ให้กับหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ แล้วพูดกับทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พักก่อนครึ่งชั่วยาม แล้วค่อยฝึกกระบวนท่าที่ข้าสอนเมื่อวานให้ข้าดู” 


 


 


“ขอรับ ท่านปู่” ทั้งสองคนตอบรับพร้อมๆ กัน  


 


 


หวงฝู่เฮ่ายังดี เพราะเขาคงได้ดูแลกิจการของจวนอ๋องต่อไป ดังนั้นความคาดหวังของท่านอ๋องฉีที่มีต่อตัวเขาก็ไม่เท่าไรนัก แต่หวงฝู่รุ่ยนั้นไม่ได้เลย ไม่ว่าจะทำอะไร ท่านอ๋องฉีล้วนคาดหวังสูงมาก ดูได้ตั้งแต่การเรียกชื่อ หวงฝู่เย่าเย่ว์สองคนนั้นจะเรียก ‘ปู่ ย่า แม่ พ่อ’ แต่พอเป็นเขา ต้องเรียกว่า ‘เสด็จปู่ เสด็จย่า มารดา บิดา’ เท่านั้น 


 


 


ตอนที่หวงฝู่รุ่ยเพิ่งรู้เรื่อง ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องเรียกคนในครอบครัวไม่เหมือนกับคนอื่น พอโตขึ้นมานิดหน่อย ก็รู้ว่าตนเองนั้นต้องเป็นผู้สืบทอดจวนอ๋อง จะต้องแบกรับภาระทั้งหมดของจวนอ๋องให้ได้ จึงไม่ได้บ่นอะไร และแน่นอน ถึงแม้ว่าจะมีหรือไม่มี การที่อยู่ในจวนอ๋อง เด็กผู้หญิงย่อมได้รับความเอ็นดูมากกว่าเด็กผู้ชายอยู่แล้ว 


 


 


ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ท่านอ๋องฉีก็ควบคุมพวกเด็กๆ ฝึกซ้อมวิทยายุทธ์ด้วยตนเอง 


 


 


ส่วนคนที่เหลือก็กลับไปที่เรือนของตน 


 


 


พอเข้าห้องมา หวงฝู่อี้เซวียนก็ถอดเสื้อคลุมออก เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปรับ แล้วเอาไปแขวนไว้ที่ตู้เสื้อผ้าที่ตนทำเอง เห็นหน้าที่เหนื่อยล้าของเขา ก็เลยไปเทน้ำมาหนึ่งแก้ว วางไว้ที่ตรงหน้าเขา แล้วถามว่า “มีเรื่องอะไรน่าหนักใจหรือไม่” 


 


 


นับตั้งแต่ฮ่องเต้องค์ก่อนลงจากบัลลังก์ แล้วหวงฝู่ซวิ่นขึ้นสืบทอด แล้วบริหารรัฐอู่ร่วมกับหวงฝู่อี้เซวียน ทำให้บ้านเมืองสงบสุข เจริญรุ่งเรือง ข้าราชบริพารต่างก็อยู่อย่างสุขสบาย กลายเป็นภาพความสงบสุขของบ้านเมืองให้เห็น หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้มีสีหน้าหนักใจขนาดนี้มานานมากแล้ว 


 


 


ยกแก้วน้ำขึ้นมา ดื่มไปหลายอึก แล้วนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มอย่างสบายกาย ยื่นมือออกมา ให้เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาอยู่ในอ้อมอกของเขา แล้วลูบหัวของนางเล่นอย่างเคย พูดว่า “วันนี้ได้รับรายงานจากชายแดน บอกว่ารัฐอิงเพื่อนบ้านของเราชอบทำร้ายราษฎรที่แถบชายแดน มีแนวโน้มเป็นอย่างมากที่ฝ่ายนั้นคิดจะเข้ามารุกรานเราได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “จะเปิดศึกกันหรือ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหน้า “ฮ่องเต้ไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น ดูเชิงไปก่อนค่อยว่ากัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก แล้วไม่พูดต่อ  


 


 


เงียบสงัด  


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง มือของหวงฝู่อี้เซวียนก็ซุกซน ลูบลงไปในที่ๆ ไม่ควรลูบ เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาด้วยแววตาเหมือนโกรธ  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็หัวเราะออกมา ลุกขึ้นอุ้มนางไปที่เตียง 


 


 


โจวอันและหวงฝู่อี้ที่ได้ยินความเคลื่อนไหวภายในห้อง ต่างก็ถอยห่างออกไปด้านนอก 


 


 


วันที่สอง เมิ่งเชี่ยนโยวลืมตาตื่นขึ้นมา หวงฝู่อี้เซวียนก็ไปเสียแล้ว มีแต่ชิงหลวนคอยเฝ้าประตูที่ตอนนี้กลายเป็นแม่ลูกสองถือกะละมังเดินเข้ามา ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้สายแล้ว นายหญิงเจ้าคะ วันนี้ท่านไม่มีอะไรต้องทำหรือเจ้าคะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ลุกขึ้นนั่งใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ลงจากเตียงแล้วถามว่า “ลูกๆ ล่ะ ไปกันหมดแล้วหรือ” 


 


 


ชิงหลวนกำลังเก็บเตียงให้เรียบร้อย ดึงผ้าปูที่นอนออก หลังจากนั้นก็เปิด**บแล้วหยิบผ้าปูที่นอนที่สะอาดมาเปลี่ยนให้ใหม่ พับผ้าห่มบางๆ ให้เรียบร้อย แล้วยิ้มตอบกลับไปว่า “ตอนเช้ามาหาทีหนึ่งแล้วเจ้าค่ะ แต่โดนซื่อจื่อห้ามไม่ให้เข้ามา หลังจากนั้นก็ไปกับซื่อจื่อเจ้าค่ะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปที่อ้างล้างหน้าแล้วล้างหน้าจนสะอาด  


 


 


ชิงหลวนก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ซื่อจื่อตื่นขึ้นมาก็ต้มข้าวต้มเอาไว้ กำลังอุ่นร้อนอยู่ที่เตา ข้าจะไปยกมาให้ท่านนะเจ้าคะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า  


 


 


ชิงหลวนเดินออกไป ไม่นานก็ยกข้าวต้มกับสำรับเดินเข้ามา วางไว้ที่โต๊ะ  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไป แล้วตักขึ้นมาหนึ่งชาม วางไว้ตรงหน้าแล้วถามว่า “เจ้ากินมาหรือยัง มากินด้วยหรือไม่” 


 


 


ชิงหลวนรีบโบกมือ “ข้าไม่กล้ากินหรอกเจ้าค่ะ ถ้าหากซื่อจื่อรู้เข้าล่ะก็ ข้าได้โดนไล่ออกจากจวนแน่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดง มองจ้องไปที่นาง จากนั้นก็กินข้าว กินได้ไม่กี่คำก็ถามว่า “ตอนนี้จูหลีเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


จูหลีตั้งครรภ์อีกแล้ว ครั้งนี้ก็ครั้งที่สามแล้ว หรือว่าอาจเป็นเพราะอายุมากแล้ว ตอนที่ตั้งครรภ์ในช่วงแรกมีอาการตกเลือด เมิ่งเชี่ยนโยวเลยให้นางหยุดไปเพื่อพักรักษาให้ดี  


 


 


“ยังพักอยู่ที่เตียงอยู่เลยเจ้าค่ะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า  


 


 


หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เจียงจิ่นก็มา ทั้งสองคนไปที่ครัว ทำน้ำบ๊วยและขนมว่างต่างๆ เทใส่แก้วเอาไว้ ส่วนขนมว่างก็เก็บไว้ในกล่องอาหาร จากนั้นก็ให้หวงฝู่อี้เอาไปส่งที่กั๋วจื่อเจี้ยน 


 


 


หลังจากที่หวงฝู่ซวิ่นขึ้นรับตำแหน่ง ภายใต้คำแนะนำของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว กั๋วจื่อเจี้ยนก็ขยับขยายขึ้นเป็นอย่างมาก ลูกหลานขุนนางน้อยใหญ่ต่างได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม 


 


 


 


 


 


ที่กั๋วจื่อเจี้ยน  


 


 


อากาศร้อนระอุ นักเรียนทั้งหลายต่างไร้ซึ่งชีวิตชีวา ทำท่าจะหลับตลอดเวลา เมื่ออาจารย์เห็นเช่นนั้น ก็โกรธจนตาเขม็ง เพราะเหมือนโดนตบหน้า แต่ก็เป็นลูกเจ้าขุนมูลนายทั้งนั้น ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แล้วก็ไม่กล้าที่จะทำ อีกอย่าง ปีนี้อากาศร้อนกว่าปีไหนๆ พวกเขาไม่ไหวแล้วจริงๆ 


 


 


จะหลับๆ จนเรียนได้สองคาบ เมื่อถึงเวลาพัก พอเลิกเรียนปุ๊บ หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ลุกจากที่นั่งทันที เดินไปหาหวงฝู่สือเมิ่ง ลากมือของเขาออกมา แล้วพูดว่า “ท่านพี่ ไปกันเถอะ ไปที่หน้าประตู ท่านแม่น่าจะส่งน้ำบ๊วยมาให้แล้ว” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งก็ลุกขึ้น ทั้งสองคนเดินออกไปที่หน้าประตูของอีกห้องหนึ่ง เรียกหวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยให้ไปด้วยกัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำขนมว่างได้หลากหลาย เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่วเมืองหลวง ดังนั้น พอถึงเวลานี้ นักเรียนคนอื่นต่างก็จะอยู่ห่างกับสี่คนนี้ เพื่อไม่ให้กลิ่นหอมนั้นมันมาเย้ายวนหัวใจ แล้วไปแย่งของนั่นมา  


 


 


ทั้งสี่คนเดินมาถึงประตู หวงฝู่อี้ได้ถือกล่องอาหารยืนรอไว้แล้ว ทั้งสี่คนเดินเข้าไปด้วยความดีใจ เรียกผ่านประตู “ท่านอาอี้” 


 


 


หวงฝู่อี้ก็ตอบรับด้วยความดีใจ แล้วเอากล่องอาหารในมือส่งมอบให้กับเขา “ในนี้มีน้ำบ๊วยกับขนมว่าง พวกเจ้าหาที่ร่มๆ นั่งกินเสีย แล้วเอากล่องมาให้ข้าเอากลับจวน ข้าจะรอพวกเจ้าที่หน้าประตู” 


 


 


ทั้งหมดก็ตอบรับ 


 


 


หวงฝู่เฮ่ารับกล่องมา แล้วเดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ เอาขนมว่างออกมาก่อน ค่อยเอาน้ำบ๊วยออกมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ทำกล่องเล็กๆ ขึ้นมาเป็นพิเศษ วางอยู่ในข้างใต้ล่างของกล่องอาหาร ในนั้นใส่น้ำแข็งเอาไว้ และก็มีน้ำบ๊วยห้าแก้ววางอยู่ด้านในนั้น 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์หยิบออกมาหนึ่งแก้ว ใส่หลอดไม้ไผ่ทำเองลงไป แล้วดูดขึ้นมา ความเย็นของน้ำแข็งนั้นก็แทรกเข้าไปในร่างกายของนาง จนอดไม่ได้พูดออกมาว่า “สดชื่นที่สุด” 


 


 


อีกสามคนก็มีท่าทางชอบใจเป็นอย่างมาก  


 


 


ส่วนนักเรียนคนอื่นๆ ที่มารับกล่องอาหารที่หน้าประตู เห็นพวกเขาท่าทางมีความสุข แล้วยังเห็นกล่องอาหารในมือของพวกเขา ต่างก็กลืนน้ำลาย แล้วก็เหมือนเดิม อยู่ให้ห่างจากพวกเขาเสีย ตามองไม่เห็น ก็ย่อมไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น  


 


 


ฉู่เหยาเดินมาแต่ไกล เหงื่อไหลไคลย้อย เสื้อก็เปียกไปหมด หวงฝู่เย่าเย่ว์เลยโบกมือเรียกเขา “ท่านอาน้อย ทางนี้” 


 


 


ฉู่เหยาเห็นพวกเขา เลยเดินมานั่งกับพวกเขาด้วย  


 


 


“นี่เป็นน้ำบ๊วยที่ท่านแม่ทำมาใหม่ ดับร้อนแก้กระหาย ลองดูสิ” หวงฝู่เย่าเย่ว์หยิบกล่องอาหารขึ้นมาแล้วเอาแก้วที่เหลืออีกหนึ่งใบนั้นยื่นให้กับเขา  


 


 


ฉู่เหยารับมา ดื่มไปหนึ่งอึก ก็สดชื่นขึ้นทันที เลยพูดชมออกมาเสียงดังว่า “อร่อยมาก” 


 


 


คนที่อยู่รอบๆ ก็มองมาอีกรอบ  


 


 


ทั้งหมดก็ไม่ได้สนใจ ดื่มน้ำบ๊วยไปหัวเราะกันสนุกสนาน  


 


 


คุณหนูจวนอู่โหวที่อยู่ข้างๆ ก็ทนไม่ไหว เลยหลุดพูดออกมาว่า “ที่สาธารณะเช่นนี้ กินกันเงียบๆ ไม่เป็นหรือไง ช่างไร้มารยาทยิ่งนัก!” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 2 เรื่องใหญ่

 

เสียงของคุณหนูจวนอู่โหวพูดลอยๆ แต่คนทางนี้กลับบังเอิญได้ยิน  


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ที่กำลังดื่มน้ำบ๊วยอยู่ก็หยุดมองซ้ายมองขวา นอกจากพวกเราแล้ว รอบข้างก็ไม่มีใครแล้ว สีหน้าจึงขรึมลง แล้วถามเสียงแข็งว่า “เจ้ากำลังว่าพวกเรางั้นรึ” 


 


 


คุณหนูจวนอู่โหวก็ “หึ” ออกมา แล้วพูดว่า “ใครจะรับก็รับไปสิ” 


 


 


“นี่เจ้า… …” หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ลุกขึ้น  


 


 


หวงฝู่รุ่ยยื่นมือออกไปห้ามนาง “พี่รอง ท่านแม่เคยบอกไว้ว่า ไม่ให้พวกเราก่อเรื่องที่กั๋วจื่อเจี้ยน” 


 


 


เมื่อคิดถึงตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวลงโทษตนเองอย่างไม่ปรานีนั้น คอของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็หดลง หลังจากนั้นก็พูดด้วยความโกรธว่า “ถ้างั้นก็ช่างมันเถอะ ข้าไม่อยากมีเรื่อง ” 


 


 


“พี่รอง ท่านก็คิดเสียว่ามีหมาบ้ามาเห่าใส่เท่านั้น อย่าไปสนใจเลย” หวงฝู่รุ่ยพูดลอยๆ คนรอบข้างดันบังเอิญได้ยิน 


 


 


ผู้คนก็หัวเราะออกมา  


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ลูบหัวของหวงฝู่รุ่ยเบาๆ แล้วหัวเราะพูดว่า “น้องเล็กพูดถูก พวกเราไม่ควรลดตัวลงไปหาพวกหมาบ้า” 


 


 


คุณหนูแห่งจวนอู่โหวโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ถามว่า “พวกเจ้าว่าใครเป็นหมาบ้า” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เอาคำพูดของนางพูดแซะกลับไป “แน่นอนว่าใครอยากรับก็รับไปสิ” 


 


 


“เจ้า… …” ครั้งนี้ก็เป็นตาของคุณหนูจวนอู่โหวบ้างที่โดนเอาคืน เลยโกรธจนหัวร้อนเป็นไฟ จึงหยิบแซ่ที่อยู่ที่เอว ฟาดไปที่พวกเขา “พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง สมควรตาย” 


 


 


พูดจบ แซ่นั้นก็ฟาดลงมา มีเสียงลมฟึบฟับไปมา ไร้ซึ่งความปรานี  


 


 


ฉู่เหยาและหวงฝู่เฮ่ากระโดดเข้าไป จับแซ่นั้นเอาไว้ได้  


 


 


คุณหนูจวนอู่โหวที่กำลังออกแรงฟาดไปมา แต่ฟาดไม่ได้ เลยด่าว่า “พวกเจ้าสองคนแกล้งเด็กผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างข้า ไม่เห็นจะแน่จริง ถ้าแน่จริงพวกเรามาสู้กันตัวต่อตัวจะดีกว่า” 


 


 


ฉู่เหยาและหวงฝู่เฮ่ามองหน้ากัน แล้วปล่อยมือออก คุณหนูจวนอู่โหวไม่ทันได้ป้องกัน ตึกตึกตึก ถอยลงไปหลายก้าว แทบจะล้มลง แล้วนางก็โกรธเกรี้ยว ฟาดแซ่ดัง ฟุบฟุบ เตรียมพร้อมโต้กลับ  


 


 


แซ่ของนางกำลังจะฟาดลงมาอีกครั้ง แต่ไม่ทันไร ก็มีอะไรไม่รู้สาดมาจากด้านหน้า  


 


 


ขณะที่ทุกคนอึ้งอยู่นั้น น้ำแข็งทั้งหมดที่มีตกลงบนตัวของคุณหนูจวนอู่โหว 


 


 


เสื้อผ้าฤดูร้อนนั้นบางนัก น้ำแข็งทั้งหมดตกลงบนตัวของนาง ทั้งหนาวทั้งเย็น คุณหนูจวนอู่โหวทนไม่ไหวจนต้องร้องออกมาว่า อ้าก… … 


 


 


เสียงนั้นดังเสียจนได้ยินกันทั้งกั๋วจื่อเจี้ยน  


 


 


ทุกคนมองนางด้วยความสงสาร  


 


 


หวงฝู่รุ่ยวางกล่องใส่น้ำแข็งในมือลงอย่างช้าๆ 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ตบบ่าเขาอย่างชื่นชม “น้องเล็ก สุดยอดมาก” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า แล้วพูดติติงว่า “น้องเล็ก อากาศร้อนอย่างนี้ น้ำแข็งเหล่านี้เป็นของแพง แล้วเหตุใดถึงต้องสิ้นเปลืองไปกับหมาบ้าด้วยเล่า” 


 


 


หวงฝู่รุ่ยก็ตีหัวตัวเอง แล้วตอบรับว่า “ข้ารู้แล้วขอรับพี่ใหญ่ ครั้งหน้าจะไม่ทำอีกขอรับ” 


 


 


ฉู่เหยากับหวงฝู่เฮ่ากลับไปนั่งที่เดิม ไม่สนใจเสียงร้องโวยวายของคุณหนูจวนอู่โหวทั้งนั้น แล้วดื่มน้ำบ๊วยของตนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  


 


 


แม่บ้านผู้ติดตามก็รีบเข้ามาปัดน้ำแข็งบนตัวของนางออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “คุณหนูเจ้าขา เป็นอะไรหรือไม่เจ้าค่ะ” 


 


 


“ออกไป!”คุณหนูจวนอู่โหวผลักแม่บ้านทั้งสองออก นางที่โดนน้ำแข็งสาดใส่ก็ยืนหนาวสั่นอยู่ท่ามกลางสายตาทุกคน แล้วด่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “พวกไม่ได้เรื่อง ยังไม่ไปเรียกพวกพี่ใหญ่ของข้ามาอีก” 


 


 


แม่บ้านคนหนึ่งตอบรับ แล้วรีบวิ่งออกไปอีกด้านหนึ่งทันที  


 


 


ส่วนแม่บ้านอีกคนหนึ่งก็ยืนบังอยู่ด้านหน้าของคุณหนูจวนอู่โหว มองพวกหวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยความโกรธ  


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์และพวกทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของนาง แล้วดื่มน้ำบ๊วย กินขนมว่างของตนต่อไป  


 


 


ไม่นาน ก็มีเด็กผู้ชายอายุราวสิบห้าสิบหกวิ่งมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสภาพอันดูไม่ได้ของคุณหนูจวนอู่โหวแล้ว หนึ่งในนั้นพูดถามว่า “อวี้เอ๋อร์ ใครแกล้งเจ้า ข้าจะจัดการมันให้” 


 


 


คนที่เหลือก็ตามด้วย  


 


 


หลิวอวี้เอ๋อร์ คุณหนูแห่งจวนอู่โหว ก็โกรธชี้ไปที่พวกเขา แล้วฟ้องว่า “พี่ใหญ่ พวกเขาอยู่นั่น ไม่เพียงแต่หยามว่าข้าเป็นหมาบ้า แล้วยังสาดน้ำแข็ใส่ข้าอีก” ประโยคสุดท้ายนั้นกัดฟันพูดออกมา เพราะเป็นดั่งที่หวงฝู่สือเมิ่งพูดไว้ น้ำแข็งนั้นหายากมีน้อย ในแต่ละปีฮ่องเต้จะประทานให้แต่ละจวนแค่หนึ่งร้อยชั่งเท่านั้น มันจะไปพอใช้ที่ไหนกัน จะมีแต่พวกเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายที่มีใช้ ส่วนพวกคุณหนู คุณชายธรรมดาอย่างพวกเขา ก็ได้แต่ให้บ่าวรับใช้คอยพัดให้ ฤดูร้อนทีหนึ่งกว่าจะผ่านไปนั้นแสนทรมาน แต่ว่าจวนท่านอ๋องฉีกลับมีน้ำแข็งที่ใช้เท่าไรก็ไม่มีวันหมด แล้วยังได้ยินว่าขนาดพวกบ้านของซื่อจื่อเฟยที่นอกเมืองก็ยังมีใช้ ไม่เพียงเท่านี้ ยังเอาน้ำแข็งมาใช้เป็นเครื่องดื่ม แล้วจะไม่ให้นางอิจฉาได้อย่างไร จะไม่ให้นางเจ็บแค้นเคืองโกรธได้อย่างไร  


 


 


หลิวเทามองไปที่น้ำแข็งที่พื้น แล้วมองไปที่เสื้อที่เปียกปอนของน้องสาวตน สีหน้าไม่พอใจนัก เลยก้าวเท้าออกมา พูดด้วยความโกรธว่า “อย่าคิดว่าพวกเจ้าเป็นคนของจวนอ๋องกับจวนท่านแม่ทัพแล้วจะทำร้ายใครตามอำเภอใจนะ พวกเราจวนอู่โหวก็ไม่ได้ยอมใครง่ายๆ เหมือนกัน” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์นิ่ง แล้วหันไปถามหวงฝู่สือเมิ่งว่า “ท่านพี่ มีหมามาเห่าอีกตัวแล้ว พี่ว่าทำอย่างไรดีล่ะ” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งยังไม่ทันได้ตอบ หลิวเทาโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี เส้นเลือดที่คอขึ้นเป็นเอ็น แล้วกล่าวชื่อนามสกุลของอีกฝ่ายออกมาด้วยความเกรี้ยวโกรธ “หวงฝู่เย่าเย่ว์ เจ้าอย่าเอาหมามาเปรียบเทียบ ข้าไม่อยากจะคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า เห็นว่าเจ้านั้นเป็นหญิง แล้วอย่ามาหาว่าข้าไม่เตือน” 


 


 


พูดจบ ก็มีเงาคนพุ่งเข้าไป เขายังมองไม่ชัดว่าเป็นใคร ก็มีเท้าเตะลงไปที่แก้มซ้ายของเขา รุนแรงยิ่งนัก เตะเขาจนหมุนไปไม่รู้กี่รอบ แล้วถึงจะค่อยๆ เซล้มลงกับพื้น  


 


 


เสียงไม่พอใจของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ดังขึ้น “น้องเฮ่า เจ้าชิงลงมือเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ว่าเรื่องแบบนี้ข้าจัดการเอง” 


 


 


หลิวเทาล้มลงกับพื้น มึนไปชั่วขณะ  


 


 


คนที่เหลือตกใจวิ่งเข้าไป รีบพยุงเขาขึ้นมา แล้วถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่” 


 


 


“วางใจเถิด” หวงฝู่เฮ่าพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ไม่ตายหรอก” 


 


 


เมื่อเห็นว่าหลิวเทาโดนเตะจนลุกไม่ไหว หลิวอวี้เอ๋อร์ทั้งโกรธทั้งร้อนรน เลยเริ่มฟาดแซ่ที่อยู่ในมือพร้อมพูดด้วยความโกรธว่า “ข้าจะจัดการพวกเจ้าเอง” 


 


 


แล้วฉู่เหยาที่นั่งนิ่งมาตั้งนาน ก็พูดด้วยน้ำเสียงดุดันจนทำให้อวี้เอ๋อร์ตัวสั่นขึ้นมาทันใด “ข้าว่าเจ้าคิดให้ดีเสียก่อนลงมือจะดีกว่า” แล้วพูดเสริมอีกว่า “แม่ข้าบอกเอาไว้ว่าไม่ให้ข้าก่อเรื่อง แต่ถ้าหากว่ามีคนมาทำร้ายหลานสาวข้าก็จัดการมันให้ตายไปได้เลย หรือว่าเจ้าจะลอง” 


 


 


หลิวอวี้เอ๋อร์ชะงักไป 


 


 


ฉู่เหยาเป็นลูกของท่านแม่ทัพ ได้ฝึกวิทยายุทธ์กับฉู่เหวินเจี๋ยมาตั้งแต่เด็ก หลังจากที่เข้ากั๋วจื่อเจี้ยน ก็ยังคงฝึกขี่ม้ายิงธนูอยู่ตลอด ถ้าพูดถึงฝีมือ ต้องดีกว่าเด็กวัยเดียวกันอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หลิวอวี้เอ๋อร์เป็นเด็กผู้หญิง ถ้าหากว่าจะต้องลงมือจริง ฉู่เหยายังออกไม่ทันได้สามกระบวนท่านางก็แพ้แล้ว 


 


 


และหลิวเทาก็ได้สติ แล้วได้ยินที่ฉู่เหยาพูด จึงดันคนที่เข้ามาพยุงตนเองออก ใบหน้าที่แดงไปซีกหนึ่งพูดด่าออกมาว่า “ฉู่เหยา ถ้าใครแพ้ ต้องมาเห่าเหมือนหมาต่อหน้าทุกคน” 


 


 


ฉู่เหยาเงยหน้าขึ้น มองไปที่เขา แล้วถามอย่างเฉยชาว่า “เจ้าทำเป็นงั้นรึ” 


 


 


หลิวเทานิ่งชะงักไป  


 


 


แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับแทบจะพุ่งน้ำบ๊วยที่ตนเองดื่มออกมา พอกลืนลงไปได้ จึงยกนิ้วให้กับฉู่เหยาและบอกว่า “ท่านอาน้อย เท่ที่สุดเลย” 


 


 


ทุกคนก็หัวเราะเสียงดังออกมา  


 


 


หลิวเทาถึงได้รู้สึกตัว ฉู่เหยากำลังถามตนว่าเห่าเป็นหรือไม่ หรือกำลังพูดเสียดสีเขาว่าเขาจะแพ้นั่นเอง จึงเกรี้ยวโกรธ ยื่นมือออกไปหยิบแซ่ของหลิวอวี้เอ๋อร์มา แล้วออกแรงฟาดแซ่ลงไปที่พวกเขา  


 


 


และทุกคนก็หลบออกอย่างรวดเร็ว หวงฝู่รุ่ยก็ยังไม่ลืมถือกล่องอาหารเอาไว้แน่น 


 


 


แซ่ฟาดลงวืด ทำให้หลิวเทาโกรธยิ่งกว่าเดิม มือที่ถือแซ่อยู่ก็ฟาดลงไปอย่างรวดเร็ว ฟาดไม่ยั้ง 


 


 


ทุกคนหลบแซ่ได้ ฉู่เหยาเริ่มโกรธ จึงอาศัยจังหวะที่เขากำลังฟาดแซ่อยู่นั้นพุ่งตัวเข้าไปที่ตรงหน้าเขา แล้วโจมตีเขาด้วยมือเปล่า  


 


 


ระยะที่ใกล้เกินไป ทำให้แซ่ไร้ประโยชน์ หลิวเทาจึงตัดสินใจทิ้งแซ่ในมือ แล้วสู้กับฉู่เหยา  


 


 


เมื่อมีคนสู้กับฉู่เหยา หลิวอวี้เอ๋อร์จึงมีความกล้าขึ้นมาทันที จึงเก็บแซ่ที่อยู่ทีพื้นขึ้นมา แล้วฟาดลงไปที่คนที่เหลือ 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์จึงออกหน้ารับ หวงฝู่เฮ่าตามอยู่ด้านหลัง 


 


 


พวกที่เหลือเมื่อเห็นดังนั้น ก็เข้ามาร่วมด้วย  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่รุ่ยก็เข้าไปด้วยเช่นกัน  


 


 


ทั้งสองฝ่ายได้เปิดศึกกันแล้ว 


 


 


หวงฝู่อี้ที่ยืนอยู่ด้านนอกกั๋วจื่อเจี้ยนเห็นสถาณการณ์ ก็รีบร้อนจนเหงื่อออกเต็มไปหมด ตะโกนออกไปพูดกับทุกคนว่า “เลิกตีกันได้แล้ว เดี๋ยวกลับไปก็โดนลงโทษอีกหรอก” 


 


 


ทุกคนกำลังตีกันอย่างเมามัน จะไปฟังเข้าหูได้อย่างไร จิตใจกำลังจดจ่อไปที่คู่ต่อสู้ตรงหน้า  


 


 


แล้วทุกคนก็มายืนรุมดูกันเต็มไปหมด  


 


 


แล้วก็มีคนรีบวิ่งไปฟ้องท่านอาจารย์ 


 


 


ผ่านไปสิบกระบวนท่า ทุกคนก็ได้เห็นคนลอยขึ้นสูงท่ามกลางสมรภูมิที่ดุเดือด หลังจากนั้นก็ตกลงที่พื้น ฝุ่นตลบอบอวลไปหมด จนคนที่ยืนดูอยู่ไอกันไม่หยุด  


 


 


แล้วก็มีเสียงร้องออกมา หลิวอวี้เอ๋อร์และพวกก็รู้ทันทีว่าเสียงนั่นเป็นเสียงของใคร เลยตกใจ สติหลุด เลยล้มฟุบลงไปตามๆ กัน 


 


 


หลิวอวี้เอ๋อร์และพวกกองกับพื้นด้วยสภาพยับเยิน  


 


 


ฉู่เหยาเข้าไป ไม่สนใจเสียงร้องของหลิวเทา แล้วจับหัวของเขาเงยขึ้นมา ให้เขามองตนได้ชัดๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เร็วเข้าสิ!” 


 


 


หลิวเทาที่ล้มเจ็บระบมไปทั้งตัว ไร้ซึ่งสติ แต่กลับเข้าใจในคำพูดของเขา ใบหน้าสีม่วงนั้น ได้แต่กัดฟันไว้แน่น  


 


 


ฉู่เหยาง้างมือออกมาข้างหนึ่ง แล้วพูดกับเขาว่า “เลือกเอาว่าเจ้าจะเห่าเหมือนหมาหรือว่าจะให้ข้าต่อยเจ้าจนฟันร่วงหมดปาก” 


 


 


เมื่อได้ยินฉู่เหยาพูดดังนั้น ใบหน้าของหลิวเทาซีดขึ้นมาทันที เห็นกำปั้นที่อยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว ก็กลืนน้ำลายลงไปหลายอึก  


 


 


หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่ยอม นอนกองไม่เป็นท่าอยู่ที่พื้นเพ้อเจ้อออกมาว่า “ฉู่เหยา เจ้าอย่าให้มันมากไปหน่อยเลย ถ้าหากว่าเจ้ากล้าต่อยฟันพี่ข้าหัก… …” แล้วก็มีอะไรไม่รู้เหม็นๆ ยัดเข้าที่ปากของนาง ทำให้นางพูดต่อไม่ได้  


 


 


เงยหน้าขึ้นมอง เห็นหวงฝู่รุ่ยกำลังปัดมือของตน แล้วพูดด้วยสีหน้ารังเกียจ “พี่ใหญ่ ผ้าเช็ดหน้าของท่านนี่ไม่ได้ซักมานานเท่าไรแล้วล่ะ เหม็นจะตายอยู่แล้ว” 


 


 


ได้ยินดังนั้น หลิวอวี้เอ๋อร์ก็โกรธจนเป็นลมไป  


 


 


หวงฝู่รุ่ยมองไปที่นางอย่างสมเพช แล้วเหลือบไปมองคนอื่นๆ ที่นอนกองอยู่ที่พื้น 


 


 


ทุกคนต่างก็ตกใจจนหัวหด ไม่กล้าพูดอะไรอีก 


 


 


หลิวเทาเห็นดังนั้น ก็นึกผวา ใบหน้าจึงแสดงออกถึงความกลัว เลยเห่าออกมาอย่างไม่ลังเล 


 


 


ทุกคนที่มุงดูอยู่ก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น  


 


 


ฉู่เหยาปล่อยเขา แล้วกลับมาหาพวกของตน มองไปที่พวกเขาแล้วถามว่า “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ขำแล้วตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นอะไร เรื่องเล็กน้อย” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งก็เก็บกล่องอาหารอย่างดี แล้วส่งไปให้หวงฝู่อี้ แล้วขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “อาอี้เจ้าคะ ท่านไม่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้กับท่านแม่ได้หรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


หวงฝู่อี้ไม่ได้ตอบนาง แต่กลับถามด้วยความเป็นห่วงว่า “บาดเจ็บหรือไม่” 


 


 


เมื่อรู้ว่าเขาตอบรับ หวงฝู่สือเมิ่งก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่เลยเจ้าค่ะ” 


 


 


“พวกเจ้านี่นะ……” หวงฝู่อี้ทั้งยิ้มทั้งโมโห “กลับไปเตรียมโดนลงโทษได้เลย” 


 


 


สีหน้าดีใจของหวงฝู่สือเมิ่งก็ชะงักลง แล้วเบะปากกล่าวโทษหวงฝู่อี้ “อาอี้เจ้าคะ ท่านไม่รักษาคำพูดเลย” 


 


 


“เรื่องที่พวกเจ้าก่อวันนี้มันใหญ่เกินไป ถึงแม้ว่าอาอี้กลับไปแล้วไม่บอก ช้าเร็วซื่อจื่อเฟยก็รู้อยู่ดี พวกเจ้าเตรียมตัวโดนลงโทษไว้เถิด” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งก้มหน้า 


 


 


หวงฝู่อี้สงสาร จึงเสนอบางอย่างกับนางว่า “ตอนที่ซื่อจื่อเฟยถาม เจ้าก็บอกว่านายน้อยเหยาเป็นคนลงมือก่อนสิ พวกเจ้ากลัวว่าเขาจะเสียท่า ก็เลยเข้าไปช่วย” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งตาเป็นประกาย แต่แล้วมันก็หายไป “ท่านแม่ก็รู้วิทยายุทธ์ของท่านอาน้อย ว่าไม่จำเป็นต้องให้พวกเราช่วยเลยสักนิดเจ้าคะ” 


 


 


หวงฝู่อี้จนปัญญา พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็เตรียมรับมือไว้ให้ดีเถอะ ข้ากลับก่อนล่ะ” 


 


 


“อืม” หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า “ลาก่อนเจ้าค่ะอาอี้ เดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ แล้วบอกกับท่านแม่ว่า เดี๋ยวพวกเราเลิกเรียนเสร็จแล้วก็จะกลับบ้านทันที” 


 


 


หวงฝู่อี้ตอบรับ เอากล่องอาหารวางบนรถม้า แล้วขับรถม้ากลับจวนอ๋องไป  


 


 


เด็กนักเรียนมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ฝ่ายปกครองของโรงเรียนก็ปล่อยผ่านบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่วันนี้มีเรื่องกันใหญ่โตเหลือเกิน ไม่ออกหน้ารับไม่ได้ เมื่อเห็นแล้วว่าเป็นพวกของหวงฝู่เฮ่าเป็นคนก่อเรื่อง ก็รู้สึกปวดกระบาลกว่าปกติเป็นหลายเท่า  


 


 


เด็กของจวนอ๋องฉีเหล่านี้ ล้วนฉลาดและมีมารยาทกันทุกคน เป็นนักเรียนที่ดีเด่นที่สุดตั้งแต่เขาเป็นฝ่ายปกครองของกั๋วจื่อเจี้ยนมาหลายปี แต่มีอย่างนึง ก็คือเด็กเหล่านี้จะไม่ยอมโดนเอาเปรียบ นิดเดียวก็ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าหากว่าไม่จัดการคู่ต่อสู้จนต้องร้องขอชีวิต ก็จะไม่เลิกรา  


 


 


จึงถอนหายใจออกมายาวเหยียด มองไปยังคนที่ถูกตี เมื่อเห็นชัดแล้วว่าเป็นใคร ก็อยากจะไปผูกคอตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ครั้งนี้จวนอ๋องฉีกับจวนอู่โหวมีเรื่องกัน เป็นเรื่องใหญ่แล้วจริงๆ  

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 3 รับโทษแทน

 

ปรึกษากันอยู่พักใหญ่ ทั้งสี่คนก็ยังหาข้ออ้างที่ฟังขึ้นไม่ได้เลย  


 


 


ฉู่เหยาเห็นท่าทางของแต่ละคนแล้วก็เข้าใจได้ว่าพวกเขานั้นกลัวอะไรอยู่ จึงทุบลงไปที่อกตัวเอง แล้วพูดออกมาว่า “เดี๋ยวข้าจะส่งพวกเจ้ากลับบ้านเอง พี่สะใภ้ใหญ่รักข้าจะตาย มีข้าอยู่ทั้งคนอย่างไรเสียก็ไม่ลงโทษพวกเจ้าหรอก  


 


 


ทั้งสี่คนตาเป็นประกาย ไม่กังวลอีกต่อไป แล้วขึ้นไปนั่งบนรถม้าของจวนอ๋องที่รออยู่ด้านนอก กลับไปอย่างสบายใจ 


 


 


พอมาถึงหน้าประตูจวนก็ลงจากรถม้า ทุกคนก็มุ่งหน้าเดินเข้าไปด้านใน เมื่อถึงปากประตู หวงฝู่รุ่ยก็หยุด แล้วหันไปทำท่าบอกทุกคนว่าช้าก่อน ส่วนตนนั้นไปหลบอยู่ข้างประตู แล้วแอบมองเข้าไปที่ด้านใน  


 


 


ไม่มีคน  


 


 


หวงฝู่รุ่ยลูบไปที่อกของตนเอง ยืดตัวตรง นำหน้าเดินเข้าไปในจวน ส่วนสี่คนที่เหลือก็เดินตามเข้ามา 


 


 


ฉู่เหยาอยู่ท้ายสุด  


 


 


ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยวเท่าใด ใจของทั้งสี่คนก็เต้นแรงเท่านั้น โดยเฉพาะหวงฝู่รุ่ย รู้สึกว่าบรรยากาศของจวนวันนี้ผิดแปลกไป ขนาดบ่าวรับใช้ที่เดินผ่านพวกเขายังต้องย่องเบา ไม่กล้าเดินเท้าเสียงดัง สถานการณ์แบบนี้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนอารมณ์ไม่ดีเท่านั้น  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์รวมไปถึงหวงฝู่เฮ่ารู้ดี ต่างมองหน้ากัน แล้ววิ่งไปหลบหลังของฉู่เหยา  


 


 


ฉู่เหยาไม่เข้าใจ มองไปที่พวกเขาด้วยความสงสัย  


 


 


ทุกคนไม่ได้อธิบาย บอกกับเขาแค่ว่าให้เดินอยู่ด้านหน้า  


 


 


ฉู่เหยาเดินนำหน้าไปที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยวโดยไม่ลังเล 


 


 


ทั้งสี่คนเดินย่อง ตามอยู่ด้านหลังอย่างลับๆ ล่อๆ 


 


 


เมื่อเข้าเรือนไป ฉู่เหยาก็หยุด ทั้งสี่คนเลยร้องออกมาพร้อมๆ กัน “ตายแล้ว” จึงเงยหน้าขึ้น แล้วเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนยิ้มให้กับพวกเขาอยู่ตรงหน้าประตู ส่วนเจียงจิ่นยืนอยู่อีกทางด้วยสีหน้าเป็นกังวล 


 


 


ฉู่เหยาก้าวเข้ามา แล้วเรียกอย่างอ่อนน้อมว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าตอบรับ แล้วถามว่า “เหยาเอ๋อร์ ทำไมวันนี้ถึงได้มีเวลามาจวนอ๋องได้ล่ะ” 


 


 


“อ่อ เป็นเพราะ… …” เขาพูดถึงตรงนี้ หวงฝู่รุ่ยที่อยู่ด้านหลังก็ดึงเสื้อเขา พยายามเตือนเขาว่าอย่าพูด 


 


 


ฉู่เหยาเลยไม่พูด แล้วโยกหัวไปมา  


 


 


“เป็นเพราะอะไรงั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ปล่อยผ่าน ยิ้มแล้วถาม  


 


 


“เอ่อ เพราะว่า… …” ฉู่เหยาพูดตะกุกตะกัก  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสีหน้าไม่เปลี่ยน ยังคงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเพราะพวกเจ้ามีเรื่องที่กั๋วจื่อเจี้ยนงั้นสิ เจ้ามาเพื่อขอร้องแทนพวกเขาสินะ” 


 


 


ฉู่เหยารีบโบกไม้โบกมือ “ไม่ใช่ขอรับๆ” พูดจบก็รู้สึกว่าพูดผิด เลยรีบพูดต่อทันทีว่า “ใช่ขอรับๆ ใช่” 


 


 


“ใช่หรือไม่ใช่กันแน่” เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วถาม  


 


 


ฉู่เหยาเห็นว่าปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว เลยพูดออกมาว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ วันนี้ที่มีเรื่อง ข้าเป็นคนลงมือก่อน พวกเขาก็แค่กลัวว่าข้าจะเสียท่า เลยเข้าไปช่วยเท่านั้นขอรับ” 


 


 


“งั้นหรือ”  


 


 


ทั้งห้าคนก็พยักหน้า  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแก้มปริ 


 


 


หวงฝู่รุ่ยและที่เหลือตอนนี้ต่างก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอยู่ในใจของตนแล้ว  


 


 


แต่ฉู่เหยาไม่รู้สึกเลยสักนิด นึกว่าเอาโทษทั้งหมดมาไว้ที่ตนเองได้สำเร็จแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มแล้วบอกว่า “แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่ารุ่ยเอ๋อร์เอาน้ำแข็งที่เป็นของหายากไปสาดใส่คุณหนูจวนอู่โหวล่ะ ทำให้นางอับอายต่อหน้าทุกคน คุณหนูจวนอู่โหวก็โกรธเป็นอย่างมาก เลยเข้ามาเจรจา แต่พวกเจ้ากลับร่วมมือกันกลั่นแกล้งนาง” 


 


 


โดนเรียกชื่อเข้าให้แล้ว หวงฝู่รุ่ยออกมาจากหลังของฉู่เหยา ยืนขึ้นยืดอกพูดว่า “ท่านแม่ คำของหลิวอวี้เอ๋อร์นั่นมันคำให้การผู้ร้ายขอรับ จริงๆ แล้วนางเป็นคนด่าท่านพี่ก่อนว่าไม่รู้จักเจียมตัว ข้าเลยโกรธมากจนใช้น้ำแข็งสาดใส่หน้านาง นั่นข้าก็ออมมือแล้ว เห็นว่านางเป็นหญิงหรอก มิเช่นนั้นข้าจะต่อยนางให้ฟันร่วง จะได้ไม่พูดจาเพ้อเจ้ออีก”  


 


 


“อ่อ แล้วเหตุใดนางต้องพูดเช่นนี้งั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ลุกขึ้นมาบอกว่า “พวกเราจะไปรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ พวกเราก็แค่นั่งอยู่ตรงนั้นแล้วเรียกท่านอามาดื่มน้ำบ๊วยกินขนมว่างด้วยกัน แล้วนางก็พูดคำพูดเช่นนั้นออกมา” 


 


 


“ดังนั้นพวกเจ้าเลยร่วมมือกันจัดการนางจนเละไม่เป็นท่าเลยว่างั้น” 


 


 


“ไม่ใช่นะเจ้าคะ พวกเราไม่อยากสนใจพวกเขา แต่พวกเขาก็กัดไม่ปล่อย อยากจะท้าตีท้าต่อยกับท่านอาให้ได้ พวกเรากลัวว่าท่านอาจะเสียท่า เลยเข้าไปช่วยเท่านั้นเจ้าค่ะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบอย่างไม่ได้รู้สึกว่าตนเองผิดเลยสักนิด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วมองไปที่หวงฝู่สือเมิ่ง ถามว่า “เมิ่งเอ๋อร์ เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งก็ก้าวขึ้นมา “ท่านแม่ พวกเราผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


“ผิดตรงไหน” 


 


 


“พวกเราไม่ควรลงมือก่อน และไม่ควรให้ท่านอาเข้ามารับหน้าแทนพวกเราเจ้าค่ะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ในเมื่อสำนึกผิดแล้ว ควรทำเช่นไร” 


 


 


รู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ซ่านออกมาจากพื้นดิน หวงฝู่สือเมิ่งที่กำลังจะพูดว่าให้ทำท่านั่งม้าเป็นเวลาครึ่งชั่วยามก็พูดไม่ออก 


 


 


“เฮ่าเอ๋อร์ เจ้าจะว่าอย่างไร พวกเจ้าควรได้รับการลงโทษเช่นไร” เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปถามเฮ่าเอ๋อร์  


 


 


หวงฝู่เฮ่ามองไปที่ทุกคน แล้วตัดสินใจกัดฟันพูดตอบกลับไปว่า “ทำท่านั่งม้าเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามขอรับ” 


 


 


“น้องเฮ่า!” “พี่เฮ่า!” ทั้งสามคนร้องออกมาพร้อมๆ กัน  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เหตุใดเมื่อครู่นี้ตนถึงไม่พูดออกมาว่าครึ่งชั่วยาม ทีนี้เอาล่ะ หนึ่งชั่วยามไปเลย อากาศร้อนขนาดนี้ รอให้ทำท่านั่งม้าเสร็จล่ะก็ ​พวกเขาคงได้นอนหลับเป็นตายไปเป็นเดือนแน่ 


 


 


รู้สึกได้ถึงสายตาที่ทุกคนมองมาที่เขา หวงฝู่เฮ่าได้แต่ลูบหัวของตนเอง แถมยังไม่รู้อีกด้วยว่าตนเองทำอะไรลงไป 


 


 


“ตอนนี้ก็เริ่มเลยแล้วกัน ทำเสร็จหนึ่งชั่วยามแล้ว ไม่ต้องกินข้าวเย็น และห้ามนอนด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่งด้วยรอยยิ้มน้อยๆ  


 


 


ทั้งสี่คนร้องออกมาพร้อมๆ กัน  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ทำเป็นไม่ได้ยิน  


 


 


เจียงจิ่นเจ็บปวดเป็นที่สุด แต่ไม่กล้าออกหน้าขอร้องแทน  


 


 


ฉู่เหยากลับกำหมัดแน่น แล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ วันนี้มัน… …”  


 


 


พูดยังไม่ทันจบ ก็โดนเมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรกขึ้นมาว่า “เหยาเอ๋อร์ก็ไปทำกับพวกเขาด้วยแล้วกัน เจ้าอาวุโสกว่าพวกเขา แต่กลับปล่อยให้พวกเขาก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เพิ่มอีกครึ่งชั่วยาม” 


 


 


หวงฝู่รุ่ยและที่เหลือก็รู้สึกว่าหนึ่งชั่วยามของตนนั้นน้อยลงทันใด  


 


 


ฉู่เหยากำลังจะเถียง แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็หันมามองด้วยใบหน้ายิ้มแย้มนั้น แต่ไม่รู้ทำไม ทำให้ฉู่เหยาขนลุกซู่ไปทั้งตัว คำพูดที่จะเถียงออกมาเลยกลายเป็นตอบรับอย่างง่ายดายว่า “ขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่” 


 


 


ทุกคนวางกระเป๋าลง แล้วเริ่มทำท่านั่งม้า 


 


 


แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งหวงฝู่อี้ว่า “ไปส่งข่าวบอกจวนแม่ทัพ ว่าเหยาเอ๋อร์ทำผิด เลยถูกข้าลงโทษ วันนี้ไม่กลับจวน” 


 


 


หวงฝู่อี้ตอบรับ แล้วออกไปทันที  


 


 


แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวยังพูดอีกว่า “พวกเขาถูกลงโทษ ถ้าหากว่าเรื่องนี้ไปถึงหูของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ล่ะก็​ เจ้าก็ต้องทำท่านั่งม้าด้วยหนึ่งชั่วยาม” 


 


 


ขาของหวงฝู่อี้แทบทรุด อีกนิดเดียวก็จะล้มลงไปอยู่แล้ว นี่ซื่อจื่อเฟยกำลังข่มขู่ตนอยู่ แต่ว่า เขาก็กลัวจริงๆ นั่นแหละ อย่าว่าแต่หนึ่งชั่วยามเลย แค่ครึ่งชั่วยาม เขาก็นั่งไม่ไหวแล้ว เลยล้มเลิกที่จะอาศัยโอกาสนี้ไปรายงานท่านอ๋องฉีและพระชายาฉี แล้วเดินคอตกออกจากเรือนไป 


 


 


“พี่สะใภ้ใหญ่ ตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว ข้าต้องกลับแล้วเจ้าค่ะ” มองไปที่ห้าคนนั้นที่เหงื่อเต็มหน้า เจียงจิ่นพูดขึ้นมาอย่างเบาๆ  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะนางแล้วพูดว่า “วันนี้ข้าไม่ค่อยสบายนัก เจ้าไปที่ห้องครัวทำกับแกล้มน่ากินๆ มาสักสองสามอย่าง รอพวกเขาถูกทำโทษเสร็จ เอาไว้ให้พวกเขากินดับร้อน” 


 


 


ตนถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงได้แต่ถอนหายใจ มองพวกเขาอย่างเจ็บปวด แล้วเดินไปที่ห้องครัวแต่โดยดี  


 


 


อากาศร้อนเป็นอย่างมาก ผ่านไปไม่นาน เสื้อของเด็กทั้งหลายเปียกชุ่มไปหมด ร่างกายเริ่มเซไปมาแล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ที่ปากประตู คอยดูพวกเขา แล้วพูดด้วยความดุดันว่า “ถ้าหากว่าทำไม่สำเร็จ เพิ่มอีกครึ่งชั่วยาม” 


 


 


ทั้งสี่คนก็ขนลุกซู่ ราวกับโดนน้ำเย็นอย่างใดอย่างนั้น จึงมีสติกลับมาในทันใด ยืดหลังตรง และทำท่านั่งม้าให้ดี 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคอยดูพวกเขาอย่างเข้มงวด ถึงขั้นไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แอบพักเลยสักนิด  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งและอีกสี่คนก็เข้าใจว่าครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวนั้นโกรธแล้วจริงๆ แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่า แต่ก่อนพวกเขาก็เคยมีเรื่องกับคนอื่น แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เคยโกรธขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะอะไรกันนะ พวกเขาก็ไม่ได้ทำเกินไปเสียหน่อย 


 


 


ทั้งสี่คนก็คิดไปต่างๆ นาๆ มีก็แต่ฉู่เหยาที่ตั้งใจทำท่านั่งม้าอยู่คนเดียว สำหรับเขาแล้วครึ่งชั่วยามนั้นไม่ได้นานเลย เพราะปกติตอนอยู่ที่จวนแม่ทัพ ฉู่เหวินเจี๋ยทำโทษโหดกว่านี้อีก 


 


 


เวลาล่วงเลยไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคงยืนดูพวกเขาอยู่ที่ปากประตู ไม่ทีท่าว่าจะผ่อนปรนให้เลยสักนิด 


 


 


ทั้งสี่คนนั้นเริ่มไม่ไหวแล้ว โดยเฉพาะหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่ได้รับความเอ็นดูจากท่านอ๋องฉีกับพระชายามาตั้งแต่เล็ก ตอนที่ฝึกวิทยายุทธ์นั้นก็ชอบแอบพัก ดังนั้นท่านั่งม้าหนึ่งชั่วยาม เล่นเอานางแทบตายเลยทีเดียว  


 


 


มองไปที่หน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “ท่านแม่” 


 


 


ใช้น้ำเสียงอันอ่อนล้าของตนเองบอกกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่าตนไม่ไหวแล้ว ทำต่อไปไม่ได้แล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปด้วยสายตาที่ดุดันมากกว่าครั้งไหนๆ 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์เห็นดังนั้นก็ใจแป้ว คำพูดอ้อนวอนที่จะพูดต่อไปก็ติดอยู่ในลำคอ พูดออกมาไม่ได้  


 


 


อีกสามคนเห็นดังนั้น ความหวังในแววตาได้หายไป จึงเก็บสายตาเข้ามา แล้วทำท่านั่งม้าต่อไป  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้ามา เห็นทั้งห้าคน ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เดินผ่านทั้งห้าคนไปเฉยๆ เห็นเสื้อของเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มเปียก ก็รู้ว่านางคอยดูเด็กๆ โดนลงโทษมาตลอด จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าติดตัวของตนขึ้นมา แล้วเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของนางด้วยความสงสาร แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงว่า “ให้บ่าวรับใช้ดูก็ได้ อากาศร้อนเช่นนี้ เจ้าจะยืนดูพวกเขาด้วยเหตุอันใดกัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น ให้เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าให้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าให้ชิงหลวนกลับไปแล้ว อี้เอ๋อร์ไปส่งข่าวที่จวนแม่ทัพ ในจวนไม่มีใคร ข้าเลยต้องคุมด้วยตนเองเจ้าค่ะ” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจับตัวนางหันไป แล้วเปิดม่านประตูออก ดันเขาเข้าไปในห้องแล้วพูดว่า “เจ้าอยู่ในห้องให้เย็นสบายเถอะ เดี๋ยวข้าคุมพวกเขาเอง” 


 


 


ลมเย็นๆ ในห้องพัดผ่าน เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ปฏิเสธ บอกกับเขาว่า “เหลืออีกครึ่งชั่วยาม” แล้วเดินเข้าไปด้านใน  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนหันไป มองไปที่เด็กๆ แล้วขมวดคิ้ว พระชายาฉีก็รีบเดินเข้ามาในเรือน พอเห็นเด็กๆ ก็ร้องออกมาว่า “อั้ยหยา ก็ว่าทำไมวันนี้ถึงไม่มีคนไปหาข้าเลย ว่าแล้วว่าต้องโดนลงโทษแน่ๆ” 


 


 


ท่านอ๋องฉีเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ มองเห็นเสื้อของเด็กๆ เปียกชุ่มไปหมด ก็รู้ทันทีว่ายืนมานานแล้ว สีหน้าของความสงสารก็เกิดขึ้นบนใบหน้า เอ่ยปากออกคำสั่งแกมบังคับว่า “พอแค่นี้เถอะ พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ เตรียมกินข้าวเย็น” 


 


 


เด็กๆ มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน ต่างไม่กล้าขยับ  


 


 


ท่านอ๋องฉีเริ่มไม่พอใจ สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที มือที่ไขว้อยู่ที่หลังก็ขยับแล้วมองไปรอบๆ  


 


 


การกระทำและแววตาของเขานั้น หวงฝู่อี้เซวียนต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี ว่านี่เป็นการเตรียมหาคว้าของมาตีคน หวงฝู่อี้เซวียนไม่รู้จะทำเช่นไร ไม่รู้ว่าท่านอ๋องฉีเสพติดการตีคนหรืออย่างไร หรือว่าชอบการตีคน สิบปีมานี้ ถ้ามีอะไรนิดหน่อยไม่พอใจ โดยเฉพาะในเรื่องของการอบรมเด็กๆ ถ้าหากว่าไม่เห็นด้วยล่ะก็​ จะเอาท่อนไม้มาไล่ตีเขากับหวงฝู่อวี้ เพื่อไม่ให้ตนเองต้องเสียหน้า หวงฝู่อี้เซวียนจึงรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีว่า “เอาล่ะ วันนี้พอเท่านี้ก่อน ถ้าหากว่ามีครั้งหน้า ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไปอีกแน่” 


 


 


เด็กๆ ไม่มีแรงที่แม้แต่จะร้องดีใจ นอกจากฉู่เหยา อีกสี่คนที่เหลือก็นั่งฟุบลงกับพื้น  


 


 


พระชายาฉีก็ตกใจ “เย่ว์เอ๋อร์ เมิ่งเอ๋อร์ พื้นมันสกปรก พวกเจ้ารีบลุกขึ้นเถิด” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ยื่นมือให้กับพระชายาฉีด้วยทีท่าน่าสงสาร “ท่านย่า ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ท่านช่วยพยุงข้าหน่อยเจ้าค่ะ” 


 


 


พระชายาฉีก็รีบเดินเข้าไป โค้งตัวลงกำลังจะพยุงนางขึ้นมา  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากในห้อง พร้อมยิ้มให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ แล้วเรียก “เสด็จพ่อ เสด็จแม่เจ้าคะ” 


 


 


มือที่ยื่นออกมาของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เก็บกลับไปแทบไม่ทัน แล้วรีบลุกขึ้นมา กอดแขนของพระชายาฉี “ท่านย่า ไม่ได้เจอท่านตั้งหนึ่งวัน ข้าคิดถึงท่านจังเลย” 


 


 


พระชายาฉีก็ยิ้มหน้าบาน ท่านอ๋องฉีเห็นท่าทางของพวกนางแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์นัก  


 


 


หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยรวมไปถึงฉู่เหยารีบลุกขึ้นมาทันที แล้วทักทายพระชายาฉี  


 


 


พระชายาฉีลูบหัวของฉู่เหยา “เหยาเอ๋อร์ ไม่ได้เจอเจ้ามาสักพัก ดูเหมือนว่าเจ้าจะสูงขึ้นแล้วนะ” 


 


 


ฉู่เหยาก็ลูบหัวของตนแล้วยิ้มแห้งๆ 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งเห็นสีหน้าของท่านอ๋องฉีไม่ค่อยสู้ดีนัก เลยแอบเดินเข้าไป กอดแขนของท่านอ๋องฉี แล้วพูดอ้อนว่า “ท่านปู่ ข้าหิวแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


สีหน้าของท่านอ๋องฉีก็มีร้อยยิ้มผลิขึ้นทันที แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไปล้างหน้าล้างตาก่อนไป แล้วพวกเรามากินข้าวกัน” 

 

 

 


ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 4 เที่ยวทะเลสาบ

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่ส่ายหน้า  


 


 


หวงฝู่เฮ่ากับหวงฝู่รุ่ยยังดี ท่านอ๋องฉีและพระชายาแม้จะรักและเอ็นดูมากก็ตาม แต่ก็ยังรู้ว่าอะไรควรไม่ควรตามใจ แต่หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์นั้นไม่ได้เลย ถ้าทั้งสองทำผิด อย่าพูดถึงลงโทษเลย ขนาดเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนเรียกคำว่า “ยาโถ่ว” ต่อหน้าพวกเขา ท่านอ๋องฉีก็ทดเอาไว้บนหัวของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว แล้วจะคิดบัญชีเขาในตอนหลัง ดังนั้น นานทีกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะมีโอกาสได้อบรมสั่งสอนพวกเขา การลงโทษเลยหนักหน่อย 


 


 


ทำอะไรไม่ได้ก็คือทำอะไรไม่ได้ แต่ว่าเรื่องในวันนี้จะจบแค่นี้ไม่ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวเลยเอ่ยปาก พูดด้วยน้ำเสียงดุดันน่ากลัวว่า “กินข้าวก็ได้ เช่นนั้นข้าถามพวกเจ้าหน่อย ว่าพวกเจ้าคิดออกหรือยังว่าเหตุใดวันนี้ถึงต้องลงโทษพวกเจ้า” 


 


 


นี่เป็นสิ่งที่เด็กๆ นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก เลยชะงักไป เอาแต่ส่ายหน้า  


 


 


“ที่ข้าทำโทษพวกเจ้าวันนี้ ไม่ได้เป็นเพราะที่พวกเจ้ามีเรื่องที่กั๋วจื่อเจี้ยน หรือเป็นเพราะพวกเจ้านำความเดือดร้อนมาสู่จวนอ๋อง แต่เป็นเพราะว่าหลังจากที่พวกเจ้าทำผิด แต่กลับไม่กล้ายอมรับต่างหาก แล้วยังเรียกท่านอาน้อยของพวกเจ้ามาออกหน้ารับแทนอีก ข้าเคยสอนพวกเจ้าเช่นนี้ด้วยรึ” 


 


 


ทุกคนก็เข้าใจโดยทันที แล้วก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดด้วยน้ำเสียงดุดันกว่าเดิม น้ำเสียงนั้นกระแทกเข้าไปในสมองของทุกคน “เกิดเป็นคนต้องซื่อสัตย์เที่ยงตรง กล้าทำกล้ารับ นี่เป็นสิ่งที่แม่ต้องการจากพวกเจ้า แล้วก็เป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำให้ได้” 


 


 


ทุกคนเก็บสีหน้าดีใจ แล้วยืดอก ตอบรับว่า “รู้แล้วขอรับท่านแม่ (ท่านป้า) (พี่สะใภ้ใหญ่) 


 


 


แต่ที่ท่านอ๋องฉีสนใจไม่ใช่เรื่องนี้ แต่กลับสนใจเรื่องอื่น จึงขมวดคิ้วแล้วถามหวงฝู่สือเมิ่งว่า “วันนี้พวกเจ้ามีเรื่องมางั้นรึ” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า  


 


 


“กับใคร”  


 


 


“หลิวอวี้เอ๋อร์กับหลิวเทาสองพี่น้องพวกนั้นเจ้าค่ะ” 


 


 


“เพราะอะไร” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งเม้มปาก ไม่ได้พูดออกมาโดยทันที  


 


 


แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่สนใจ เล่าเรื่องทั้งหมดว่า “ท่านปู่เจ้าคะ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้โทษพวกเราไม่ได้เจ้าค่ะ เป็นเพราะหลิวอวี้เอ๋อร์นั่นมาหาเรื่องพวกเราก่อน พวกเราทนไม่ไหวเลยลงมือเจ้าค่ะ” 


 


 


พระชายาฉีได้ยินสาเหตุ ก็พูดก่อนเลยว่า “หลิวอวี้เอ๋อร์คนนี้ ไร้การอบรม แม้จะบอกว่าจวนอู่โหวเกิดขึ้นจากการพระราชทานเพราะคุณงามความดีที่ทำมาไม่นานนี้ก็จริง แต่นี่ก็หลายปีมาแล้ว คุณหนู คุณชายในจวนก็ควรมีมารยาทได้รับการอบรมได้แล้ว เหตุใดฮูหยินจวนอู่โหวถึงไม่รู้จักสั่งสอนลูกหลานของตนเองเยี่ยงนี้” 


 


 


แต่ท่านอ๋องฉีกลับไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้น แล้วถามอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรว่า “เป็นอย่างไร ตีพวกเขาจนฟันหลุดเต็มพื้นเลยหรือไม่” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ” 


 


 


“ใช้ไม่ได้”  


 


 


ท่านอ๋องฉีด่าออกมาอย่างรุนแรง 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ้มแห้งๆ แล้วบอกว่า “แต่ว่า พวกเราตีจนเขาเห่าเหมือนหมาเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


ท่านอ๋องฉีถึงยิ้มได้หน่อย ลูบเคราของตน แล้วพูดว่า “ดี สมแล้วที่เป็นลูกหลานของจวนอ๋อง ข้ายังยืนยันคำเดิม ไม่ว่าเรื่องอะไรที่จะต้องลงไม้ลงมือ มีปู่อยู่เสียอย่างพวกเจ้าก็ไม่ต้องกลัว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน แล้วส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ เคยเห็นแต่เอ็นดูเด็ก แต่ไม่เคยเห็นคนที่เอ็นดูขนาดนี้มาก่อน ไม่มีขอบเขตจริงๆ  


 


 


พอคิดถึงอดีต หวงฝู่อี้เซวียนก็ “หึ” ออกมาอย่างไม่พอใจนัก  


 


 


ท่านอ๋องฉีก็เข้าใจความคิดของเขาทันที จึงมองจ้องไปที่เขา แล้วพูดแซะไปว่า “หึอะไร ตอนนั้นเจ้าทำอย่างกับข้าเป็นคู่แค้นของเจ้าอย่างใดอย่างนั้น ข้ามีโอกาสเอ็นดูเจ้าหรือไง” 


 


 


เด็กๆ ก็ป้องปากหัวเราะ  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนก็หน้าแดงขึ้นมา  


 


 


พระชายาฉีก็รีบพูดปรับบรรยากาศ “เอาล่ะๆ ให้เด็กๆ ไปล้างหน้าล้างตากันก่อน แล้วไปกินข้าวกัน” 


 


 


เจียงจิ่นเดินออกมาจากห้องครัว ยิ้มแล้วพูดว่า “อาหารจานเย็นทำเสร็จแล้ว กินข้าวกันเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีก็เดินกลับไปที่ห้องอาหาร เด็กๆ ก็กลับไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องของตน เจียงจิ่นก็สั่งให้คนยกสำรับไปที่ห้องอาหาร 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนจับมือของเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปด้านในห้อง เอาหัวซบลงไปที่ไหล่ของนาง แล้วพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “เมียจ๋า ข้าเหลือแค่เจ้าแล้ว เจ้าต้องดีกับข้านะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ส่ายหน้าหลุดขำออกมา แล้วบอกว่า “สมควร รู้อยู่แก่ใจว่าต่อกรกับเขาไม่เคยได้ แล้วยังจะไปหาเรื่องเขาอีก” 


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น แล้วหรี่ตามองด้วยความสงสัย พูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ ขนาดคำที่ใช้เรียกก็เปลี่ยน “ฮูหยิน เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ ข้าฟังไม่ชัด” 


 


 


ร่างกายยังปวดเมื่อยไม่หาย เมิ่งเชี่ยนโยวก็ใจเต้นตุบๆ แล้วถอยหลังกลับไปพูดว่า “เอ่อ ข้าได้เตรียมน้ำสะอาดเอาไว้แล้ว เจ้าไปล้างหน้าล้างตาเสีย ข้าจะไปห้องอาหารก่อน” 


 


 


พูดจบ ก็หันหลังรุดหนีออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็ว  


 


 


มองม่านมุกประตูที่สั่นไปมา หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ้มออกมา 


 


 


หลังอาหารมื้อเย็น หลังจากที่ทุกคนทำการบ้านเสร็จแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ช่วยสอนวิทยายุทธ์ให้กับฉู่เหยา หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ย เสร็จแล้วถึงจะกลับมาที่เรือน  


 


 


เมื่ออาบน้ำเสร็จ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังนอนตาปรืออยู่ ก็ยิ้มออกมา แล้วเอาตัวทับลงไป 


 


 


วันที่สอง เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นสายอีกแล้ว บิดเอวที่ปวดเมื่อยของตนไปมา แล้วกัดฟันก่นด่าหวงฝู่อี้เซวียนในใจไปร้อยรอบ แล้วถึงจะใส่เสื้อลงจากเตียงอย่างช้าๆ  


 


 


หวงฝู่อี้เซวียนได้ทำข้าวเช้าเตรียมเอาให้เช่นเคย แล้วตั้งเตาอุ่นเอาไว้ในหม้อ ส่วนเด็กๆ ห้าคน ก็ไปกั๋วจื่อเจี้ยนตามเคย แล้วก็ตามคาด หลิวอวี้เอ๋อร์กับหลิวเทาไม่มา และที่คาดไม่ถึงก็คือ คนของจวนอู่โหวไม่ได้มาฟ้องร้องที่กั๋วจื่อเจี้ยน ฝ่ายปกครองก็ไม่ได้ตำหนิพวกเขา  


 


 


ทุกคนต่างงงงวย นี่ไม่ใช่ทางของหลิวอวี้เอ๋อร์เลย แต่ว่า ทุกคนไม่ได้ใส่ใจอะไร  


 


 


หลายวันผ่านไป กั๋วจื่อเจี้ยนหยุดเรียน สิบวันถึงจะได้หยุดที เด็กๆ ทั้งหลายดีใจเป็นอย่างมาก เลยวิ่งไปหาฉู่เหยาเพื่อชวนออกไปเล่นที่ทะเลสาบหยางเหอที่นอกเมือง 


 


 


อากาศอันร้อนระอุ ได้พายเรือในทะเลสาบ ความเย็นชื่นใจนั้นก็ลอยมาแต่ไกล น่าสำราญบานใจเสียยิ่งกว่าอะไร เป็นสิ่งที่ฉู่เหยาต้องการยิ่งนัก แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้าปฏิเสธไปว่า “ท่านพ่อสั่งให้ข้าไปฝึกกับเขาที่ค่ายทหาร เรื่องเที่ยวข้าคงไปไม่ได้” 


 


 


ฉู่เหยาอายุสิบห้าแล้ว ถึงเวลาต้องจัดการเรื่องต่างๆ ในจวนแม่ทัพแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยให้เขาไปฝึกซ้อมที่ค่ายทหารตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้วๆ เด็กๆ เลยผิดหวัง 


 


 


หวงฝู่รุ่ยคิดวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ ตาเป็นประกายพูดออกมาว่า “ท่านอาน้อย ท่านกลับไปบอกท่านพ่อท่านแม่ของท่าน บอกว่าพี่ใหญ่พี่รองอยากจะไปเล่นที่ทะเลสาบ ท่านเป็นห่วงเลยอยากตามไปดูแลพวกเรา ท่านพ่อท่านแม่ของท่านจะต้องอนุญาตอย่างแน่นอน” 


 


 


อย่างไรเสียก็ยังเป็นวัยเยาว์อยู่ ฉู่เหยาได้ยินดังนั้นก็ตาเป็นประกาย พยักหน้า “ข้าจะกลับไปบอกท่านแม่ก่อน” 


 


 


“ถ้าหากว่าพวกท่านไม่ยินยอม ท่านก็ส่งให้คนมาส่งข่าวกับพวกเราเสียหน่อย ข้ากับท่านพี่จะไปอ้อน รับรองเลยว่าพวกท่านจะต้องอนุญาตอย่างแน่นอน” หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดเสริม  


 


 


ฉู่เหยาก็มั่นใจขึ้น เอาแต่พยักหน้า 


 


 


และทุกคนก็นัดเวลากันเพื่อออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ แล้วแยกย้ายกลับจวนของตนเอง 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับถึงจวน ก็พุ่งเข้าไปที่ห้องของเมิ่งเชี่ยนโยวทันที กอดแขนของนางอ้อนนาง บอกว่าทุกคนอยากไปเล่นที่ทะเลสาบ  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ห้าม จึงพยักหน้าอนุญาต บอกว่า “ต้องการอะไร แม่จะเตรียมไว้ให้ แล้วก็ ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าให้เกิดอุบัติเหตุ” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ดีใจจนกระโดดแล้วบอกว่า “ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านแม่” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่รุ่ยรวมไปถึงหวงฝู่เฮ่าดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เห็นว่าไม่ได้มีรายงานจากจวนแม่ทัพ เลยรู้ว่าฉู่เหวินเจี๋ยต้องไปด้วยแน่นอน รีบแยกย้ายกันพักผ่อน 


 


 


วันที่สอง เมิ่งเชี่ยนโยวก็เรียกตื่นแต่เช้า หลังจากที่ฝึกวิทยายุทธ์ไปครึ่งชั่วยาม กินข้าวเช้าเสร็จ ฉู่เหยาก็มา  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจะเตรียมของกินให้กับทั้งห้าคน เด็กๆ ก็โบกมือ บอกว่าเอาไปด้วยแล้วมันลำบาก ไม่ต้องเตรียม ในเรือเช่านั้นมีทุกสิ่งอย่าง ขอแค่เพิ่มเงินให้พวกเขาก็พอแล้ว 


 


 


เรื่องเงินเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ต้องเตรียม เมื่อได้ยินว่าพวกเขาจะไปเล่นที่ทะเลสาบบ พระชายาฉีได้เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แล้วมาให้พวกเขาด้วยตนเอง 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์กอดแขนของพระชายาฉี แล้วพูดประจบว่า “ท่านย่าใจดีที่สุดเลย ท่านไปกับพวกเราได้ไหมเจ้าคะ” 


 


 


พระชายาฉีโดนประจบเสียจนยิ้มแก้มปริ แล้วปฏิเสธไปว่า “วันนี้ย่าจะต้องเข้าไปหาเสด็จทวดในวังกับปู่ของเจ้า ไม่ไปกับพวกเจ้าหรอก พวกเจ้าระวังตัวด้วยล่ะ” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบรับ “ท่านย่า ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ มีท่านอาคอยดูแลพวกเราอยู่” 


 


 


แล้วพระชายาฉีก็กำชับฉู่เหยากับหวงฝู่เฮ่าอยู่นาน  


 


 


เห็นพระชายาฉีให้ถุงเงินแล้วฟังที่กำชับพวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้แต่ยิ้มส่ายหน้า  


 


 


ทั้งห้าคนออกมาจากจวนอ๋อง หวงฝู่เฮ่ากับฉู่เหยาขี่ม้า ส่วนที่เหลือก็นั่งรถม้า จนกระทั่งมาถึงที่ทะเลสาบหยางเหอ 


 


 


ตอนนี้สายแล้ว เป็นเวลาที่อากาศกำลังร้อนเลยทีเดียว ทั้งหมดลงจากรถม้าและรถม้าแล้วสั่งให้บ่าวรับใช้ไปหาที่ร่มๆ นั่งรอ แล้วพากันเดินไปที่เรือลำใหญ่ที่เทียบท่าอยู่  


 


 


เวลานี้ คนที่มาเที่ยวเล่นต่างก็เป็นคุณชายของพวกเศรษฐีทั้งนั้น การแต่งกายของพวกเขาที่ต่างจากคนอื่น ทำให้เป็นที่น่าสนใจของทุกคนนัก ผู้คนต่างก็กวักมือเรียกพวกเขาขึ้นเรือของตนเอง 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์เงยหน้ามองขึ้นไป ก็ไปถูกใจเรือลำใหญ่ลำหนึ่ง ลากมือของหวงฝู่สือเมิ่งวิ่งไปแล้วพูดว่า “พวกเราเอาลำนี้แล้วกันนะเจ้าคะ” 


 


 


ที่เหลืออีกสามคนตามมา หวงฝู่เฮ่าก็ถามราคา แล้วต่อรองกันอยู่พักใหญ่ แล้วทุกคนก็ขึ้นเรือไป 


 


 


หลังจากที่คนขับเรือตะโกนบอก เรือก็ค่อยๆ แล่นออกไปที่กลางทะเลสาบ  


 


 


ทุกคนก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าเรือ ลมอ่อนพัดโชยมา น่าสำราญใจยิ่งนัก  


 


 


ผู้ดูแลเรือยกสำรับต่างๆ ขึ้นมา วางไว้ที่โต๊ะตรงกลางเรือ  


 


 


ทั้งห้าคนเข้ามานั่ง กินอาหารว่าง แล้วพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน มีเสียงหัวเราะดังออกมาไม่ขาดสาย จนทำให้เรือที่อยู่รอบข้างหันมามองพวกเขา  


 


 


แต่ทั้งห้าคนไม่ได้สนใจ พูดกันต่อไป แต่ไม่ได้สังเกต ว่าด้านหลังมีเรือลำใหญ่อีกลำหนึ่งตามมา แล้วค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ๆ 


 


 


อยู่แต่ในกั๋วจื่อเจี้ยนทั้งวัน สำหรับหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว นอกจากวิชาขี่ม้ายิงธนูที่สนใจแล้ว วิชาที่เหลือก็น่าเบื่อสิ้นดี โดยเฉพาะเรื่องการเย็บปักถักร้อย แค่นางได้เห็นก็ปวดหัวแล้ว อย่าพูดถึงให้เรียนเลย 


 


 


วันนี้มีโอกาสดีได้ออกมาเที่ยว หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็คึกราวกับม้าดีดกะโหลก เมื่อเรือมาถึงกลางทะเลสาบ ก็อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้น แล้วเดินไปที่หัวเรือ แล้วเอามือป้องปากตะโกนออกไปเสียงดังสนั่น 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งก็ตกใจ รีบห้ามนาง “น้องรอง อย่าตะโกนเลย เจ้าไม่เห็นหรือไงว่าพวกเขาต่างก็มองมาที่พวกเรา” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็หันกลับมาหัวเราะแล้วบอกว่า “พี่ใหญ่ นานๆ ทีพวกเราจะได้ออกมาเที่ยว ต้องสนุกสนานหน่อยสิ” 


 


 


“แต่ว่าท่านแม่บอกว่า ออกนอกบ้าน พวกเราต้องรู้จักมารยาท ถึงแม้ว่าพวกเรายังเด็ก แต่ก็ไม่ควรทำเรื่องไร้การอบรมเช่นนั้น ฟังข้าเถอะ เจ้ากลับมานั่งที่เดิมดีกว่า” 


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็กระโดดไปมาอยู่ที่หัวเรือ ปฏิเสธไปว่า “พี่ใหญ่ ท่านแม่เคยบอกพวกเรานี่ ว่าให้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า อย่าไปถืออะไรมากเลย” 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งจะโน้มน้าวต่อ ฉู่เหยาจึงหยุดนาง “นานๆ ทีเย่ว์เอ๋อร์จะดีใจขนาดนี้ เจ้าก็ตามใจนางหน่อยเถิด วันนี้พวกเราก็ไม่ได้เอาบ่าวรับใช้มา แค่พวกเราไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้การกระทำของนางหรอก” 


 


 


“ท่านอาน้อยนี่รู้ใจข้าที่สุดเลย” หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดประจบ 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งก็จนปัญญา จึงกำชับนางว่า “งั้นเจ้าก็ระวังหน่อยแล้วกัน อย่าให้ตกลงไปล่ะ” 


 


 


“ท่านพี่วางใจเถิด ข้าจะระวังเจ้าค่ะ” 


 


 


นางยังพูดไม่ทันจบ เรือลำใหญ่ทางด้านหลังก็ชนเข้ามาอย่างแรง ตัวของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เซไปมา ยืนนิ่งไม่ได้ตกลงไปในทะเลสาบ แล้วจมลงไปในพริบตา  


 


 


ทั้งสี่คนตกใจจนหน้าซีด ยืนขึ้นพร้อมกัน เดินไปที่หัวเรือ มองลงไปที่ทะเลสาบ แล้วตะโกนเรียก “เย่ว์เอ๋อร์!” “พี่รอง!”​ 


 


 


ไม่มีเสียงตอบรับ  


 


 


ทั้งสี่คนตกใจเป็นอย่างมาก  


 


 


ฉู่เหยาก็กระโดดลงน้ำไป หวงฝู่เฮ่าก็ตามไปเช่นกัน  


 


 


หวงฝู่รุ่ยก็อยากกระโดดลงไป หวงฝู่สือเมิ่งที่หน้าซีดเซียวก็ดึงเขาเอาไว้ “น้องเล็ก เจ้าอายุยังน้อย ลงไปก็มีแต่วุ่นวายเปล่าๆ รออยู่ด้านบนเถิด” 


 


 


หวงฝู่รุ่ยเม้มปาก มองคลื่นในทะเลสาบ แล้วหันไปมองเรือลำใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง ด้วยสายตาโกรธเคือง 


 


 


หวงฝู่สือเมิ่งมองไปที่ทะเลสาบอย่างร้อนรน  


 


 


เห็นหัวคนลอยขึ้นมา เป็นหวงฝู่เย่าเย่ว์ตะเกียกตะกายอยู่ครู่นึง แล้วจมลงไปอีก 


 


 


“น้องเล็ก!” หวงฝู่สือเมิ่งตะโกนเรียกอย่างร้อนใจ  


 


 


หวงฝู่เย่าเย่ว์ว่ายน้ำไม่เป็น แต่กลับตะกายขึ้นมาได้ แต่ท่านอากับน้องเฮ่าลงไปตั้งนานแล้ว แต่กลับไม่เห็นเลย หรือว่าจะเกิดเรื่องกับพวกเขางั้นหรือ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)