ยอดหญิงสกุลเสิ่น 199.2-200.1
ตอนที่ 199-2 คนไม่ดูตาม้าตาเรือระหว่า...
“คุณชาย เหมือนกับว่ามีคนตามพวกเราอยู่” ฉวยโอกาสตอนที่คุณหนูญาติผู้น้องตั้งใจเลือกของ โอวหยางไน่ก็กล่าวกับเสิ่นเวยอย่างรวดเร็ว
“มีกี่คน” เสิ่นเวยมองโอวหยางไน่ ถามเงียบๆ
“สองคน” โอวหยางไน่ทำนิ้วสองนิ้วให้เสิ่นเวย หลังจากนั้นก็เสริมอีกหนึ่งประโยค “ตั้งแต่ที่พวกเราออกจากเหลาสุราก็ตามมาแล้ว”
นี่ก็หมายความว่าจ้องมองพวกนางมานานแล้วสินะ “ดูคุณหนูญาติผู้น้องไว้” สำหรับตัวนางเอง เหอๆ คนที่มุ่งเป้ามาที่นางจึงจะเป็นพวกเบื่อชีวิต…รนหาที่ตาย
“แขกทั้งสองท่านโปรดรอสักครู่ ผู้จัดการร้านของเราไปเอาสินค้าล้ำค่าที่สุดในร้านมาแล้ว ไม่อาจทำให้พวกท่านผิดหวังแน่นอน” เด็กในร้านส่งชาเข้ามาอย่างกระตือรือร้น ท่าทางเคารพอย่างยิ่ง
เสิ่นเวยไม่ได้สนใจ โบกมือไล่เด็กในร้านออกไป หากไม่ใช่ว่าเหอหลินหลินขี้สงสัย นางไหนเลยจะสนใจสินค้าล้ำค่าที่สุดในร้านอะไรนั่น ของดีๆ ใน**บเครื่องประดับนางเยอะจะตายไป ไหนเลยจะสนใจสินค้าล้ำค่าที่สุดของร้านเครื่องประดับแห่งนี้ ในเมื่อลูกผู้น้องสนใจ เช่นนั้นก็ดูสักหน่อยเถอะ ถือเสียว่าพักเท้า
เสิ่นเวยยกแก้วชาขึ้น เพิ่งจะจรดริมฝีปากก็หยุดชะงัก ทันใดนั้นก็กลับเป็นปกติ เม้มปากเบาๆ หลังจากนั้นนางก็ใช้ฝาแก้วเกลี่ยฟองชา จากนั้นก็เม้มปากอีกครา หางตาของนางมองเห็นเด็กในร้านที่ส่งชาเข้ามาก่อนหน้านี้คล้ายถอนหายใจอย่างแรงคราหนึ่ง จึงมั่นใจได้ว่าในน้ำชาผิดปกติจริงๆ
นางวางแก้วชาลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย แสร้งมองไปรอบๆ ตามอำเภอใจ อาศัยตอนที่ชื่นชมทิวทัศน์ โยนถุงถักหนึ่งใบตรงเอวลงไปเงียบๆ ในใจนางคิดคำนวณว่าน่าจะเข้ามาในร้านมืดแล้ว หรือว่าร้านค้าแห่งนี้จะเป็นคนเดียวกับคนที่แกะรอยตามนางก่อนหน้านี้
ขณะที่กำลังคิด ก็เห็นลูกผู้น้องเหอหลินหลินดึงชายเสื้อของนางเบาๆ กล่าวเสียงเล็ก “ท่านพี่ ข้า ข้า…” ใบหน้าของนางแดงเล็กน้อย ขยับตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
เสิ่นเวยเข้าใจในทันที กล่าวกับเหอฮวาที่ยืนอยู่ข้างๆ “เหอฮวา พาคุณหนูญาติผู้น้องไปเข้าห้องน้ำ”
ชั่วขณะเหอหลินหลินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มให้เสิ่นเวยอย่างเคอะเขิน เดินตามเหอฮวาออกไป เสิ่นเวยเห็นชาแก้วนั้นของเหอหลินหลินหมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว คิ้วก็อดขมวดมุ่นไม่ได้ เสียดายเงียบๆ ในใจ ตนสะเพร่าไป ควรจะให้เย่ว์กุ้ยตามไปมากกว่า ตัวนางเองไม่กลัว แต่หากลูกผู้น้องเป็นอะไรไป ท่านอาคงจะเป็นกังวลแย่
เมื่อคิดเช่นนี้ เสิ่นเวยก็อยากลุกขึ้น เพิ่งจะลุกขึ้นก็รู้สึกมึนศีรษะพักหนึ่ง คล้ายกับยังได้ยินเสียงอุทานตกใจ นางมองไปทางเหอหลินหลินกับเหอฮวา มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยกะพริบวาบ ด้วยเหตุนี้เสิ่นเวยจึงกระโดดกลับไปที่เก้าอี้ ศีรษะโอนเอนหลายครา ไม่ขยับแล้ว
เด็กในร้านที่ส่งน้ำชาก่อนหน้านี้ก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “คุณชาย คุณชาย คุณชายตื่น” แต่ไม่ว่าเขาจะเขย่าอย่างไร คนผู้นี้บนเก้าอี้ก็ยังคงหายใจช้ายาว หลับสนิทแล้ว
หนึ่งในเด็กในร้านทั้งสองกล่าว “ไม่ต้องเขย่าแล้ว หมดสติไปนานแล้ว นี่เป็นของดีคุณภาพสูง ใช้เพียงนิดเดียวก็สลบแล้ว เมื่อครู่ข้าเห็นเต็มๆ ตา เด็กคนนี้ดื่มไปสองอึกใหญ่” ในน้ำเสียงของคนผู้นี้พออกพอใจ
“เช่นนั้นยังจะรออะไร รีบพาคนไปเถอะ นายท่านยังรออยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าฝั่งนั้นจัดการได้แล้วหรือยัง” เด็กในร้านที่ส่งน้ำชากล่าวเสียงต่ำ
“ยังต้องคิดอีกหรือ เพียงแค่เด็กผู้หญิงสองคน ย่อมต้องจัดการได้อยู่แล้ว”
ทั้งสองมัดเสิ่นเวย พาออกไปยังที่แห่งหนึ่งด้วยความรวดเร็ว
โอวหยางไน่ที่อยู่ข้างล่างได้รับข่าวที่เสิ่นเวยส่งมาก็วิ่งขึ้นไปข้างบน แต่น่าเสียดายที่สายไปแล้ว ทันช่วยเพียงคุณหนูญาติผู้น้อง ส่วนคุณหนูของเขากับเหอฮวากลับหายไปไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว
โอวหยางไน่มองคุณหนูญาติผู้น้องที่หมดสติอยู่ในอ้อมอก คิ้วขมวดเล็กน้อย ลังเลครู่หนึ่งยังคงตัดสินใจส่งคุณหนูญาติผู้น้องกลับโรงเตี๊ยมก่อนแล้วค่อยออกมาหาคุณหนู
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ภักดี แต่เขารู้ซึ้งถึงความสามารถคุณหนูของตน คุณหนูส่งข่าวให้เขาได้ เช่นนั้นก็จะต้องพบว่าผิดปกติก่อนแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่คุณหนูเตรียมการไว้แล้ว สามารถคำนวณได้ว่าคนของนางไม่มีจริงๆ คาดว่าคุณหนูน่าจะเกิดความคิด วางแผนซ้อนแผนแฝงตัวเข้าไปในรังโจรของพวกเขาแล้ว
เป็นห่วงคุณหนูไม่สู้เป็นห่วงคนไม่ดูตาม้าตาเรือพวกนั้น คุณหนูเพียงแค่อยากทานข้าวพักผ่อนที่ทงโจวหนึ่งคืน ใครกันที่โชคดีดันมายุแหย่หญิงปีศาจอย่างคุณหนูของเขาผู้นี้
โอวหยางไน่เดาไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ชาแก้วนั้นเสิ่นเวยดูเหมือนดื่มไปสองอึก อันที่จริงนางไม่ได้ดื่มแม้แต่อึกเดียว อีกทั้งยังกินยาถอนพิษไปหนึ่งเม็ดด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบเสิ่นเวยจึงมีสติอยู่ตลอด นางเพียงแค่อยากดูว่าใครที่ตาดีเช่นนี้ เหตุใดถึงเล็งเป้ามาที่นาง คงไม่ใช่เห็นว่านางหน้าตาหล่อเหลา อยากจับนางไปขายในที่แบบนั้นหรือ ไม่ได้สิ ตอนนี้นางเป็นลูกท่านหลานเธอ จะขายเป็นนายโลมได้อย่างไร ให้ตายเถอะ ใครตาดีเช่นนี้ มุมปากของเสิ่นเวยกระตุกเล็กน้อย จู่ๆ ในใจก็เกิดความคิดแปลกประหลาด หากคุณชายสวีรู้ว่ามีคนคิดจะขายนางให้หอนายโลม จะขังนางไว้ในจวนไม่ให้ออกมา หรือว่าจะปาดคอคนทั้งหมดที่มุ่งร้ายนาง ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณชายใหญ่สวีที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ข้างนอกจะสบายดีหรือไม่ เหตุใดถึงมานั่งคิดถึงเขาได้
สวีโย่วที่กำลังนำคนเดินป่าก็จามอย่างแรงสามครั้ง เขาลูบหูที่เริ่มร้อน ความรู้สึกในใจแปลกประหลาดยิ่งนัก คงไม่ใช่ว่าน้องสี่แซ่เสิ่นคนใจดำคนนั้นด่าเขาอีกแล้วหรอกนะ
ดูสิ อีกไม่นานก็จะเป็นสามีภรรยากันแล้ว ไหนบอกว่าใจสื่อถึงกันมิใช่หรือ ไปไหนแล้วเล่า ไปไหนแล้ว ไปไหนแล้ว ใครอนุญาตให้เจ้าออกจากบ้านกัน
โอวหยางไน่อุ้มคุณหนูญาติผู้น้องที่หมดสติกลับไปถึงโรงเตี๊ยม พ่อบ้านรองตกใจแทบแย่ “คุณชาย คุณชายเล่า”
“คุณชายหายไปแล้ว” โอวหยางไน่ตอบอย่างตรงไปตรงมา
พ่อบ้านรองตื่นตระหนกในชั่วขณะ “อะไรนะ หายไปแล้วหรือ” เสียงของเขาขึ้นสูงทันที “แล้วเจ้ายังไม่รีบไปหาอีกเล่า” ใครๆ ก็บอกว่าคุณหนูสี่เก่งกาจ แต่ต่อให้เก่งกาจนางก็เป็นสตรีเช่นกัน หากคุณหนูสี่เป็นอะไรไป นายท่านผู้เฒ่าโหวจะไม่ถลกหนังเขาหรือ อ้อไม่ ไม่ต้องให้นายท่านผู้เฒ่าโหวลงมือ เขาจะเอาหัวโขกจนตัวตายเอง
เทียบกับพ่อบ้านรองที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โอวหยางไน่ก็สงบสติอารมณ์ได้มากแล้ว เขาเรียกเย่ว์กุ้ยกับเถาจือเข้ามา “คุณหนูญาติผู้น้องเพียงแค่ถูกยาสลบ นอนพอแล้วย่อมฟื้น เรื่องนี้อย่าได้ทำให้กูไหน่ไนตื่นตกใจ บอกเพียงแค่คุณหนูญาติผู้น้องเหนื่อยจึงมาพักก่อน ข้าจะไปหาคุณหนู พวกเจ้าสองคนกับแม่นมมั่วดูแลกูไหน่ไนกับคุณหนูญาติผู้น้องให้ดี”
เย่ว์กุ้ยกับเถาจือไม่เห็นคุณหนูของตนแม้ว่าจะเป็นกังวลอย่างถึงที่สุด แต่กลับไม่มีทางเป็นเหมือนพ่อบ้านรอง พวกนางต่างก็เคยเห็นความสามารถของคุณหนูด้วยตาตัวเองแล้ว แม้แต่มือสังหารยังทำอะไรนางไม่ได้ นับประสาอะไรกับโจรกระจอก สำหรับเหอฮวา ไม่ใช่ว่าพวกนางไม่เป็นห่วง แต่ก็ทราบดีว่า ขอเพียงแค่คุณหนูไม่เป็นอะไร เหอฮวาก็ไม่อาจเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน
เสิ่นเวยถูกคนแบกไปก่อน หลังจากนั้นก็โยนขึ้นไปบนรถม้า รถม้าแข็งอย่างยิ่ง คนที่แบกนางไม่ทะนุถนอมเลยแม้แต่น้อย โยนนางขึ้นไปตรงๆ เจ็บจนนางเกือบจะแสร้งต่อไม่ได้ ให้ตายเถอะ อย่างไรเสียเจ้าก็วางเบาๆ หน่อยไม่ได้หรือ ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าชอบเนื้อหนังของข้าหรือไร หากผิวเป็นรอยขีดข่วน ดูสิว่าพวกเจ้าจะบอกนายอย่างไร หึๆ
เสิ่นเวยกัดฟันบ่นในใจ สาบานเงียบๆ ว่าอีกประเดี๋ยวจะต้องเอาคืนคนที่โยนนางผู้นั้น
รถม้าเคลื่อนตัวอย่างไม่รีบไม่ร้อน หลังจากนั้นก็หยุดลง ต่อมาก็มีคนแบกเสิ่นเวยออกมา โยนเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง
เสิ่นเวยลืมตาขึ้นเล็กน้อย เห็นว่าฟางบนพื้นยังมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งนอนอยู่ กำลังหมดสติ เขาหันหลังให้เสิ่นเวย มองไม่เห็นว่าเขาหน้าตาเช่นไร แต่ดูจากเสื้อผ้าที่เขาใส่และปิ่นที่รวบผม เด็กหนุ่มคนนี้น่าจะมีฐานะไม่ต่ำต้อย ไม่ใช่คุณชายตระกูลขุนนาง ก็เป็นบุตรในตระกูลที่ร่ำรวย
เสิ่นเวยเพิ่งจะลุกขึ้นขยับเท้าเล็กน้อย ก็ได้ยินเสียงเท้าดังเข้ามา นางนอนลงแกล้งตายทันที
ประตูเปิดออก อีกคนผนึ่งถูกโยนเข้ามา หลังจากนั้นเสิ่นเวยก็ได้ยินพวกเขาพูด “เหตุใดถึงโยนสตรีผู้นี้ไว้ในห้องนี้เล่า”
อีกคนหนึ่งกล่าว “จับผิดคนแล้ว นี่มันสาวใช้ วางไว้ไหนก็เหมือนกันมิใช่หรือ”
เสิ่นเวยใจเต้น สาวใช้หรือ หรือว่าจะเป็นเหอฮวา เช่นนั้นดูท่าแล้วลูกผู้น้องจะถูกโอวหยางไน่ช่วยไว้แล้ว นางถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ลูกผู้น้องไม่เป็นอะไรก็ดี มิเช่นนั้นนางคงจะไม่มีหน้าไปเจอท่านอาแล้วจริงๆ
“ใครสนว่านางจะเป็นสาวใช้หรือคุณหนู ขอเพียงแค่หน้าตาดีก็พอแล้ว อย่างไรเสียพวกเราก็รับเงินจากหน้าตา ยิ่งไปกว่านั้นบนหน้าของคุณหนูสาวใช้ผู้นี้ก็ไม่ได้เขียนอะไรไว้ เปลี่ยนเสื้อผ้า ใครจะรู้ว่าเมื่อก่อนนางเป็นใคร”
“นั่นก็ถูก คนผู้นี้เจ้าต้องดูให้ดี คนผู้นั้นก่อนหน้านี้เป็นของดี ไม่อาจให้เป็นอะไรไปได้”
“เหอะ ดูน้องพูดเข้า ข้าทำหน้าที่บกพร่องตั้งแต่เมื่อไรกัน วางใจเถอะ เพียงแค่ลูกท่านหลานเธอไร้เรี่ยวแรงเป็นไก่อ่อน แม้เจ้าจะให้เขาวิ่งเขาจะวิ่งไปไหนได้ นับประสาอะไรกับหมดสติ ข้าว่าไม่ถึงพรุ่งนี้เช้าก็คงไม่ตื่นขึ้นมาหรอก”
“พอแล้ว ข้าไปแล้ว อย่างไรเสียเจ้าก็ระมัดระวังหน่อยแล้วกัน หากเกิดเรื่องจริงๆ ผลลัพธ์หลังจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าข้าจะแบกรับได้”
ตอนที่ 200-1 เล่นหยอกล้อในคฤหาสน์ระหว...
เสิ่นเวยได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ ไกลออกไป จึงลืมตาขึ้น นางมองไปข้างๆ เอ๋ เป็นเหอฮวาจริงๆ ด้วย กำลังปิดตานอนหลับสนิทอยู่ เหอฮวาไม่ได้ดื่มชาที่วางยา ดูท่าแล้วน่าจะถูกคนตีสลบ
“เหอฮวา ตื่น” เสิ่นเวยผลักเหอฮวาเรียกเสียงเบา
ครู่ใหญ่เหอฮวาเพิ่งจะลืมตาขึ้นช้าๆ แวบแรกที่เห็นคุณหนูของตน นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “คุณ…” ทันใดนั้นก็คล้ายตระหนักอะไรได้จึงรีบปิดปากทันที เหลือเพียงสายตาที่ประหลาดใจคู่หนึ่ง
เสิ่นเวยทำท่า ‘ชู่ว’ ให้นาง เหอฮวาพยักหน้าอย่างเข้าใจ “คุณชาย ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ร้านค้าแห่งนั้นเป็นร้านมืด คุณหนูญาติผู้น้องถูกอาจารย์โอวหยางช่วยไว้” เหอฮวากล่าวเสียงเบา นางมองไปรอบด้าน “คุณชาย ที่นี่คือที่ไหน” เมื่อเห็นคุณหนูของตน หัวใจนางก็สงลบลง มีคุณหนูของนางอยู่ พวกนางจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน
เสิ่นเวยส่ายหน้า “ไม่รู้” ใครจะรู้ว่าที่นี่มันที่บ้าอะไรกัน นางลุกขึ้นยืนเดินไปข้างๆ ประตู เสิ่นเวยรวบรวมสติ คล้ายกำลังครุ่นคิด
“คุณชาย ตรงนี้ยังมีอีกหนึ่งคน” เมื่อครู่เอาแต่ตกใจ เหอฮวาเพิ่งจะเห็นว่าในห้องนอกจากพวกนางนายบ่าวแล้วยังมีอีกหนึ่งคน ดูจากการแต่งตัวเหมือนคุณชายตระกูลใหญ่
เสิ่นเวยพยักหน้า เดินเข้าไปกล่าวเสียงเบา “เหมือนพวกเรา น่าจะถูกจับตัวมา”
“เช่นนั้น?” เหอฮวาตาลุกวาว มองคนผู้นั้นที่นอนอยู่ข้างๆ จากนั้นจึงมองคุณหนูของตน
เสิ่นเวยเข้าใจเจตนาของเหอฮวา แต่นางยังคงส่ายหน้า “ไม่ควร”
เหอฮวาใจอ่อน แต่นางกลับใจอ่อนไม่ได้ ใครจะรู้ว่าคนผู้นี้นิสัยเป็นเช่นไร หากว่าไม่ใช่คนที่จิตใจแข็งแกร่ง ปลุกเขาตื่นแล้วร้องไห้งอแงขึ้นมา ไม่ใช่ว่าจะเป็นภาระนางหรือไร ไม่สู้ปล่อยให้เขาสลบไปก็หมดเรื่อง อีกทั้งจากบทสนทนาของทั้งสองคนเมื่อครู่ก็ได้รู้ว่ายาสลบที่พวกเขาใช้แรงมากเป็นพิเศษ ตอนนี้คนตื่นก่อนเวลาจะเป็นอะไรหรือไม่ ทำให้พวกเขาเกิดความสงสัยก็ไม่ใช่เรื่องดี
ความคิดที่อดไม่ได้ในใจเหอฮวาก็ผ่านมาเพียงแวบเดียว ในเมื่อคุณหนูบอกว่าไม่ควร นางก็เปลี่ยนความสนใจทันที “คุณชาย ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี” เหอฮวากังวลเล็กน้อย นางดีใจที่คนที่ถูกจับตัวเป็นตน หากว่าเป็นคุณหนูญาติผู้น้อง กูไหน่ไนจะไม่เป็นกังวลแย่หรือ ซ้ำยังหงุดหงิดตัวเองที่ไม่สามารถวิ่งให้เร็วกว่านี้ได้ ขอเพียงแค่นางวิ่งเร็วกว่านี้ อาจารย์โอวหยางก็สามารถช่วยนางไปพร้อมกันได้แล้ว จะได้ลดภาระคุณหนูในตอนนี้
สำหรับความคิดโง่เขลาเช่นการเสี่ยงอันตรายเป็นเพื่อนคุณหนูนางไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ผ่านการลอบสังหารที่หมู่บ้าน สาวใช้ข้างกายคุณหนูเหล่านี้เช่นพวกนางก็มีความคิดเห็นตรงกัน นั่นก็คือ เมื่อเจออันตรายจะต้องคิดหาวิธีปกป้องตัวเองให้ได้ อย่าได้อวดเก่งวิ่งเข้าไปหาคมดาบ ไม่มีพวกนางเป็นตัวถ่วง คุณหนูจะหลบหนีได้ง่ายอย่างยิ่ง ส่วนการรับดาบรับกระบี่แทนคุณหนู เหอๆ รู้ตัวบ้างก็ดี คุณหนูของพวกนางไม่ต้องการอย่างสิ้นเชิง
เสิ่นเวยครุ่นคิดครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ก้มลงกระซิบข้างหูเหอฮวาหลายประโยค เหอฮวาพยักหน้าอย่างหนักแน่น “คุณชาย บ่าวทราบแล้ว”
เสิ่นเวยกระตุกมุมปากนอนลงบนฟางแกล้งตายต่อ ในห้องมีเสียงร้องตกใจของเหอฮวาดังขึ้น “คุณชาย คุณชาย ท่านเป็นอะไรไป รีบฟื้นสิ ที่นี่ที่ไหน ใครก็ได้ รีบมาช่วยที มีคนอยู่หรือไม่” เหอฮวาโผเข้าไปที่ประตูออกแรงทุบตี
การเคลื่อนไหวใหญ่อย่างยิ่ง คนที่คุมพวกนางอยู่ย่อมได้ยินแล้ว เดินสถบเข้ามา “โวยวาย โวยวายอะไร เงียบหน่อยยังเหลืออีกหลายวัน มิเช่นนั้นแล้วล่ะก็ หึๆ”
ทว่าเหอฮวากลับไม่กลัว ทุบประตูตะโกนต่อ “มีคนอยู่หรือไม่ รีบเปิดประตู คุณชายข้าเกิดเรื่องแล้ว เหตุใดถึงเรียกไม่ตื่น หมอ รีบไปเชิญหมอมาให้คุณชายของข้า”
คนคุมนึกสนุกขึ้นมาในชั่วขณะ เสียงดังปังเปิดประตูออก เขาเห็นเหอฮวาที่ล้มนั่งอยู่บนพื้นตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก อารมณ์ก็ดีอย่างยิ่ง
เหอฮวาราวกับถูกทำให้ตกใจ ลูกตาหดเล็ก กล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ “ค…คุณชายช้าของข้า เรียก…เรียกไม่ตื่น”
“เรียกไม่ตื่นก็ถูกแล้ว นี่มันยาสลบที่ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ พอแล้ว ในเมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ก็อยู่ให้มันนิ่งๆ หน่อย พรุ่งนี้เช้าคุณชายเจ้าก็ตื่นแล้ว” คนคุมยื่นมือคิดจะจับใบหน้าเล็กๆ ของเหอฮวา
เหอฮวาแสร้งทำเป็นตกใจ ถอนหลังไปหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว มือที่น่าเกลียดข้างนั้นก็ตกลงในความว่างเปล่า
เสิ่นเวยลืมตาเล็กน้อย มองเห็นคนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ อายุประมาณสามสิบปี ใบหน้าข้างขวามีปานดำขนาดไม่เล็กหนึ่งแห่ง
คนผู้นั้นเองก็ไม่ได้หงุดหงิด “ไอหยา เด็กน้อยนิสัยแข็งกร้าวใช้ได้เลย หงกูของพวกเราชอบจัดการสตรีแบบนี้ที่สุดเลย” เขาหันหลังกลับเตรียมจะลงกลอนประตู
“พี่…พี่ชาย” ชายมีปานหันหน้ากลับมา เห็นเด็กผู้หญิงมองเขาอย่างน่าสงสาร มือเล็กๆ ดึงชายกางเกงของเขาอยู่ “ว่ามา มีอะไร”
เหอฮวาได้ยินดังนั้นก็เหมือนกระต่ายน้อยที่ตกใจ มือที่จับชายกางเกงก็ปล่อยออกทันที ดวงหน้าที่งดงามแดงก่ำอย่างขลาดกลัว “ข้า…ข้าอยาก…” นางกุมท้องน้อย ท่าทางเขินอายแทบตาย “พี่ชายช่วยพาไปทำธุระหน่อย”
ชายมีปานเข้าใจในใจ สีหน้าลังเลหลายส่วน “เจ้าจัดการในห้องเอาเถอะ” เบื้องบนสั่งไว้แล้ว ให้เขาดูให้ดี ห้ามให้คนออกจากห้อง
“แต่…แต่ว่า…” เหอฮวาหันหน้ามองคนทั้งสองที่นอนอยู่บนพื้น หน้าแดงยิ่งกว่าเดิม “พี่ชายช่วยทีเถอะ” บนใบหน้างดงามเต็มไปด้วยการร้องขอ
ชายมีปานยังคงใจอ่อนเล็กน้อยจริงๆ “ก็ได้ๆ เจ้ารีบออกมา พวกเจ้าตระกูลใหญ่โตเช่นนี้แหกกฎเยอะ ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ ทำตัวคล่องแคล่วหน่อย ซื่อสัตย์หน่อย ห้ามมองไปรอบด้าน ได้ยินหรือไม่” เพียงแค่เด็กผู้หญิง จะเกิดเรื่องอะไรได้
บนใบหน้าเหอฮวาเต็มไปด้วยความรีบร้อน “ขอบคุณพี่ชาย พี่ชายเป็นคนดีจริงๆ” นางกุมท้องน้อยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งยันพื้นคลานขึ้นมา
ชายมีปานมีความสุขแล้ว “ใช่ๆ พี่ชายเป็นคนดี เดี๋ยวเจ้าก็รู้”
เหอฮวาเดินก้มหน้าก้มตาตามหลังคนผู้นี้ ดูเหมือนซื่อสัตย์ อันที่จริงหางตากลับมองประเมินการตกแต่งที่งามประณีตในลานบ้านไม่หยุด จำไว้ในใจเงียบๆ
“เอาล่ะ นั่นคือห้องน้ำ เจ้าเข้าไปเถอะ” ชายมีปานชี้ เห็นเหอฮวาเข้าไปแล้ว ตนก็เฝ้าอยู่ข้างนอก ได้ยินเสียงน้ำติ๋งๆ ข้างในเขาก็แสยะปากหัวเราะหึๆ หลายครา ความอดทนเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“พ…พี่ชาย” ในขณะที่ชายมีปานคิดไปไกล จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงที่ขลาดกลัวของเด็กผู้หญิงดังออกมาจากข้างใน
“มีอะไรอีก” ชายมีปานปากพูดอย่างหงุดหงิด แต่ในใจกลับรู้สึกสบายอารมณ์อย่างยิ่ง
ในห้องน้ำเกิดความเงียบ เด็กผู้หญิงคล้ายถูกทำให้ตกใจ “มีเรื่องอะไรกันแน่ รีบพูด ชักช้าอยู่ไย” ชายมีปานเร่งรัด
เสียงเบาๆ ของเหอฮวาจึงดังขึ้นมา “พี่…พี่ชาย ช่วยหยิบกระดาษฟางให้ข้าหน่อยได้หรือไม่” เสียงสั่นเครือ ประหนึ่งจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“เหตุใดเจ้าถึงเรื่องเยอะเพียงนั้น” ชายมีปานหงุดหงิดแล้ว
“พี่ชายช่วยหน่อยเถอะ พ…พี่ชายคนดีของข้า” เหอฮวาร้องขอต่อ
ชายมีปานไม่ยอมก่อน แต่ทนการร้องขอของเหอฮวาไม่ไหว เกิดความคิดว่า เด็กน้อยไม่กล้าออกมา กระดาษฟางก็ยังต้องให้ตนส่งเข้าไปให้ เช่นนั้นตนก็สามารถ… “ก็ได้ ใครให้พี่ชายใจอ่อนเล่า รอก่อน”
เขาเพิ่งจะกลับหลังหัน มือที่ว่องไวหนึ่งคู่ก็สับลงบนคอเขาทันที ความตกใจกลัวยังคงอยู่ในดวงตาเขาก็ไปเข้าเฝ้าพญายมแล้ว
“เหอฮวา” เสิ่นเวยที่จัดการชายมีปานเสร็จแล้วก็กล่าวเรียกเสียงเบา
เหอฮวาข้างในห้องน้ำก็แทรกตัวออกมาทันที “คุณชาย ท่านออกมาได้อย่างไร แล้วเขาเป็นใคร เหอฮวามองชายมีปานที่ล้มลงบนพื้นปราดหนึ่ง จากนั้นก็เห็นว่าข้างกายคุณหนูยังมีคุณชายวัยหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย ชั่วขณะก็ตื่นตัวขึ้นมา
“เป็นคนเดียวกับคนที่ถูกขังอยู่กับพวกเรา” เสิ่นเวยกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก “ทำตามที่บอกไว้ อีกประเดี๋ยวเจ้ากลับไปที่ห้องนั้น แล้วก็ซ่อนตัว อืม ไปซ่อนใต้เตียง” นางจำได้ว่ามุมห้องห้องนั้นมีเตียงเก่าๆ อยู่ตัวหนึ่ง
“เจ้าค่ะ บ่าวทราบแล้ว” เหอฮวาพยักหน้า วิ่งออกไปไกลอย่างรวดเร็ว ผ่านการลอบสังหารครั้งนั้นมา แม้เหอฮวาจะฝึกร่างกายให้คล่อแคล่วเท่าเย่ว์กุ้ยไม่ได้ แต่ก็เก่งกว่าคนทั่วไปไม่น้อยแล้ว
มองแผ่นหลังที่วิ่งออกไปไกลของเหอฮวา เสิ่นเวยก็หันหน้ากลับมา กล่าว “เจ้า แบกเขาไปที่หน้าประตูเรือน ทำท่าทางให้เหมือนสัปหงก”
คุณชายที่ตามเสิ่นเวยออกมาผู้นั้นชี้จมูกตัวเอง “ข้าหรือ” ท่าทางเหลือเชื่อ “พี่ชายท่านนี้ ข้าน้อยร่างกายอ่อนแอ จะแบกรับหน้าที่ที่หนักเพียงนี้ได้อย่างไร คุณชายทำเองเถิด”
เสิ่นเวยมองประเมินเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง มุมปากยกขึ้น “เจ้าจะไม่ทำก็ได้” รอยยิ้มบนใบหน้าคุณชายป่าวประกาศว่าตนอ่อนแอเพิ่งจะยิ้มไปได้ครึ่งเดียว ก็ได้ยินประโยคถัดไปของเสิ่นเวย “อีกประเดี๋ยวปลุกคนที่เหลือในลานบ้านแห่งนี้จนแตกตื่น ก็ไม่รู้ว่าพี่ชายที่ร่างกายอ่อนแอผู้นี้จะหนีออกมาอย่างปลอดภัยได้หรือไม่” เสิ่นเวยแสร้งทำท่าทีจะเดินหนี ท่าทางไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นเด็ดขาด
“ช้าก่อนๆ พี่ชายอย่าเพิ่งไป อย่างไรเสียพวกเราก็ผ่านหายนะมาด้วยกัน พี่ชายจะทิ้งข้าน้อยไว้คนเดียวได้อย่างไร” คุณชายอ่อนแอตะโกนกล่าวอย่างลนลาน เสิ่นเวยเห็นสัญญาณที่ลอยขึ้นฟ้าไม่ไกล ฝีเท้าก็ก้าวเร็วยิ่งขึ้น
คุณชายอ่อนแอผู้นั้นเห็นเสิ่นเวยใจแข็งไม่สนใจเขา ก็จ้องมองชายฉกรรจ์ที่นอนอยู่บนพื้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ แต่กลับทำได้เพียงก้มตัวลงไปแบกคนขึ้นมา เดินไปพลางส่ายหน้าไปพลางทอดถอนใจ “ใจคนยากแท้หยั่งถึง ยากแท้หยั่งถึง”
หางตาของเสิ่นเวยเห็นฉากๆ นี้ ในใจก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา มือข้างหนึ่งยกชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ขึ้นมา ระหว่างที่เดินก็ยังสบายอารมณ์อย่างถึงที่สุด ร่างกายอ่อนแอบ้าอะไร นี่มันเจ้านายที่ทำตัวซื่อเป็นแมวนอนหวด ไม่คิดจริงๆ ว่าเสิ่นเวยจะมีวันที่มองพลาดไป
ก่อนหน้านี้ชายมีปานกับเหอฮวาออกไป เสิ่นเวยก็ตะกายขึ้นมา กำลังจะใช้ปิ่นงัดกลอนออกก็รู้สึกว่าไหล่ถูกตบ เสิ่นเวยไม่แม้แต่จะคิดก็จับมือข้างนั้นบนไหล่ไว้ ร่างถอยไปอย่างรวดเร็ว ปิ่นในมืออีกข้างหนึ่งก็แทงออกไป
“ช้าก่อนๆๆ อย่าใจร้อน ข้าเอง” คนผู้นั้นพลางไอพลางหลบอย่างจนตรอก
แม้เสิ่นเวยจะหยุดจู่โจม แต่ในใจกลับตื่นตัวขึ้นมา คนผู้นี้สามารถมายืนอยู่ข้างหลังนางเงียบๆ ได้ก็ทำให้นางตกใจแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงที่เขาหลบการจู่โจมของนางได้ ดูเหมือนจนตรอก แต่ในความจนตรอกกลับค่อนข้างมีลำดับขั้นตอน หากคนผู้นี้เป็นศัตรูหาใช่มิตร เช่นนั้นผลลัพธ์เล่า เสิ่นเวยคิดแล้วก็ยังหวาดกลัวอยู่พักหนึ่ง
คนผู้นั้นเห็นท่าทีระมัดระวังตัวของเสิ่นเวย จึงถือโอกาสนั่งลงบนพื้น ปากก็บ่นอย่างไม่พอใจ “ข้าว่าพี่ชายผู้นี้ก็ใจร้ายเกินไปหน่อยแล้วกระมัง หากไม่ใช่ว่าข้าน้อยโชคดี เมื่อครู่ท่านก็คงจะทำลายใบหน้าอันงดงามของข้าน้อยแล้ว ต่อให้เคียดแค้นมากเพียงใด อย่างไรเสียตอนนี้พวกเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว” เขาลูบหน้าตัวเอง ท่าทางหลงตัวเองอย่างยิ่ง
เสิ่นเวยกระตุกมุมปาก กล่าวในใจ หากคนผู้นี้ไม่ใช่คนโง่ เช่นนั้นก็เป็นคนยากแท้หยั่งถึง นางจ้องมองเขาอยู่นานจึงเก็บปิ่นแล้วเดินออกไปนอกประตู ใครจะรู้คนผู้นั้นข้างหลังกลับตามมาด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น