อัจฉริยะสมองเพชร 1990-1995

 ตอนที่ 1990 แล้วพบอะไรบ้างหรือยัง?

“ศิษย์พี่ไป๋ คุณคงดูออกว่าระดับวรยุทธของผมคือนักปราชญ์โบราณขั้น 4 โลกจารึก อีกเพียงก้าวเดียวก็จะได้ฝ่าด่านวรยุทธแล้ว” จางเซวียนพูด


“คุณต้องการให้ฉันช่วยคุณฝ่าด่านวรยุทธ?” ไป๋เหรินชิงขมวดคิ้ว “การพัฒนาไปสู่วรยุทธขั้นเสมือนอมตะคือความแตกต่างระหว่างศิษย์สายตรงฝ่ายในกับศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด มูลค่าของมันน่ะไม่ใช่แค่ 60 เหรียญสำนักดาบหรอกนะ”


“ผมเข้าใจ และไม่ได้คิดจะขอให้คุณทำอะไรมากมายขนาดนั้น” จางเซวียนตอบยิ้มๆ “ปัญหาที่ผมกำลังเผชิญตอนนี้ก็คือการขาดแคลนความรู้ที่ใช้อ้างอิง ผมเข้าไปค้นหาในหอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายในหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เจอสิ่งที่ผมต้องการ ดังนั้นผมจึงหวังว่าบางทีคุณอาจช่วยพาผมเข้าสู่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดได้สักพัก ผมขอไม่มากหรอก สัก 6 ชั่วโมงก็น่าจะพอ!”


“คุณอยากเข้าไปในหอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด?” ไป๋เหรินชิงกำลังสงสัยว่าจางเซวียนจะร้องขออะไร นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องนี้


เธอพูดไปแล้วว่าการฝ่าด่านวรยุทธนั้นมีมูลค่ามากกว่า 60 เหรียญสำนักดาบ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าอีกฝ่ายยังยืนกรานขอร้องแบบนั้น เธอก็จำเป็นจะต้องมอบยาเม็ดฝ่าด่านวรยุทธเสมือนอมตะให้เขาเพื่อเพิ่มโอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธ


และถ้าจำเป็น เธออาจต้องทำถึงขั้นถ่ายทอดประสบการณ์บางส่วนของเธอให้อีกฝ่ายเพื่อช่วยในการฝ่าด่านวรยุทธของเขาด้วย


แต่แทนที่จะร้องขอแบบนั้น สิ่งที่เขาต้องการกลับเป็นแค่การได้เข้าสู่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดเป็นเวลา 6 ชั่วโมง?


แม้แต่ไป๋เหรินชิงก็ยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังเอาเปรียบเจ้าหนุ่มถังแตกคนนี้หากทำเพียงแค่นั้นเพื่อแลกเปลี่ยนกับยาที่แสนล้ำค่า จึงตอบกลับไปว่า “เลือกอย่างอื่นเถอะ เรื่องนั้นมันง่ายเกินไป”


จางเซวียนประสานมือ “นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องการ!”


สำหรับเขา ไม่มีอะไรจะล้ำค่าไปกว่าหนังสือ


ขอแค่เขามีหนังสือมากพอ การฝ่าด่านวรยุทธก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก


ไป๋เหรินชิงมองจางเซวียนครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้”


ทุกคนรู้ดีว่าความรู้นั้นหาได้จากหนังสือ แต่การอ่านหนังสือก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยยากและสิ้นเปลืองเวลา คนส่วนใหญ่จึงพยายามหาทางลัด ยากเหลือเกินที่จะได้พบใครสักคนที่เห็นคุณค่าของการอ่านมากขนาดนี้


“ศิษย์พี่ไป๋!”


ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะออกจากบริเวณนั้นไป หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงก็เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่และทักทายไป๋เหรินชิง


“พวกคุณยังศึกษาศิลปะเพลงดาบของผมน่ะถ่อมตัวอยู่หรือเปล่า?” ไป๋เหรินชิงตั้งคำถาม


เธอได้ทบทวนการต่อสู้ระหว่างตัวเธอกับผมน่ะถ่อมตัวที่เกิดขึ้นในหอนิรันดร์หลายต่อหลายครั้งหลังจากพ่ายแพ้ยับเยินในคราวนั้น ซึ่งเมื่อครู่นี้ ตอนที่เธอลงจากหลังอสูร ก็ได้เห็นทั้งคู่กำลังฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ จึงรู้ทันทีว่าพวกเขากำลังพยายามทำอะไร


“ใช่แล้ว” หลิวลู่จี่พยักหน้า


“แล้วพบอะไรบ้างหรือยัง?” ไป๋เหรินชิงถาม


“ก็พอได้บ้าง แต่พวกเรายังมีข้อสงสัยมากมายที่อยากขอปรึกษาคุณ, ศิษย์พี่ไป๋” หลิวลู่จี่ตอบ


เขาอาจเป็นอัจฉริยะหมายเลขหนึ่งในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน แต่สาวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นถึงศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดและหลานสาวของ 1 ใน 3 ผู้อาวุโสใหญ่ แถมยังมีความเป็นไปได้สูงที่เธออาจเป็นนักรบขั้นอมตะตัวจริง ความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของเธอน่าจะสูงกว่าเขามาก


“บอกมาเลย!” ไป๋เหรินชิงพูด


“การฟาดฟันในแนวราบที่ผมน่ะถ่อมตัวแสดงออกมานั้นทั้งลื่นไหลและเรียบง่าย แม้จะมีความเร็วไม่มาก แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบเลี่ยงมัน หวังเจี้ยนตงกับผมแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องนี้กันระยะหนึ่งแล้ว แต่พวกเราก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจหลักการที่อยู่เบื้องหลังมันได้…”


ขณะที่หลิวลู่จี่พูด เขาก็ชูดาบขึ้นและฟาดฟันในแนวราบ เขาสำแดงกระบวนท่านั้นซ้ำถึง 3 ครั้ง แต่ทุกครั้งก็ดูจะไม่ใกล้เคียงกับท่วงท่าของผมน่ะถ่อมตัวเลย


เห็นภาพนั้น จางเซวียนถึงกับพูดไม่ออก


นั่นไม่ใช่ศิลปะเพลงดาบ เป็นแค่การขยับดาบแบบง่ายๆ การฟาดฟันดาบในแนวราบทำให้เขา ทำลายกระแสดาบฉีที่พุ่งเข้ามาได้ง่าย พร้อมกับปัดป้องการโจมตีได้พร้อมๆกันด้วย ทำให้ประหยัดพลังงานได้มาก กุญแจของเทคนิคนี้ไม่ได้อยู่ที่ความเร็ว แต่อยู่ที่องศาและความหนักหน่วงของกระแสดาบฉี


มันเป็นแค่การเคลื่อนไหวแบบง่ายๆ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เข้าใจทั้งๆที่ใช้เวลาเนิ่นนานในการศึกษามัน


ไม่น่าเชื่อว่าเขาเคยเรียกคนเหล่านี้ว่าอัจฉริยะ!


“เทคนิคนั้นประสานเอาการโจมตีและการป้องกันตัวไว้ด้วยกันได้อย่างไร้ที่ติ มีแต่นักดาบที่ปราดเปรื่องที่สุดเท่านั้นถึงจะทำความเข้าใจมันได้ ไม่แปลกหรอกที่พวกคุณยังไม่เข้าใจ” ไป๋เหรินชิงพูด


“ขนาดฉันแลกเปลี่ยนความรู้กับท่านปู่เฟิงแล้ว ก็ยังออกจะสับสนกับแนวคิดของมัน แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ก็พอจะสำแดงมันได้บ้าง”


หลังจากพูดจบ ไป๋เหรินชิงก็ชูดาบขึ้นและปล่อยการฟาดฟันในแนวราบออกมา แม้จะมีพละกำลังไม่เท่ากับกระบวนท่าของผมน่ะถ่อมตัว แต่ก็ปลดปล่อยพลังออกมาได้ถึง 50%


“การโจมตีนี้ไม่ใช่ศิลปะเพลงดาบ เป็นแค่กระบวนท่าแบบง่ายๆที่ผมน่ะถ่อมตัวสำแดงออกมา” ไป๋เหรินชิงทบทวนสิ่งที่ท่านปู่เฟิงบอกไว้


“น่าทึ่งมากที่แม้แต่การเคลื่อนไหวง่ายๆของเขายังทรงพลังขนาดนี้ ฉันสงสัยเหลือเกินว่าผมน่ะถ่อมตัวสำเร็จความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบระดับไหน ถ้าพวกคุณหาเจอว่าเขาเป็นใครล่ะก็ รายงานฉันทันทีนะ เขาคือคนคนเดียวที่ฉันจะยกย่องไปตลอดชีวิต ฉันสาบานกับสวรรค์ไว้แล้วว่าต่อไปฉันจะต้องแต่งงานกับเขาให้ได้!”


“แต่งงาน?”


จางเซวียนหน้าถอดสีขณะถอยกรูดอย่างพรั่นพรึง นี่มันเกินไป!


พี่สาว คุณจะมาล้อเล่นแบบนี้ไม่ได้นะ


หัวใจของผมมันรับไม่ไหว!


พูดกันตามตรง ไป๋เหรินชิงเป็นสาวสวยคนหนึ่ง ช่วงขาเรียวยาวของเธอดึงดูดสายตาใครต่อใคร ทำให้ชายหนุ่มมากมายเก็บไปฝันถึง


แต่เขาคือชายที่มีคนรักแล้ว! แถมยังลือกันให้แซดว่าไป๋เหรินชิงคือไดโนเสาร์ตัวเมียที่พร้อมจะเล่นงานใครต่อใครหากไม่ได้ดั่งใจ ต่อให้ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดก็ทนไม่ไหว


อย่างน้อย จางเซวียนก็ไม่คิดว่าเขามีนิสัยชื่นชอบความรุนแรง


“มีอะไร?” เห็นสีหน้าหวาดผวาของจางเซวียน ไป๋เหรินชิงที่จมดิ่งอยู่กับความฝันเมื่อครู่หันขวับมามองด้วยความสงสัย


ฉันก็แค่พูดว่าจะแต่งงานกับผมน่ะถ่อมตัว แล้วคุณทำท่าแบบนั้นทำไม?


“เอ่อ ไม่มีอะไรมากหรอก” จางเซวียนปาดเหงื่อที่หน้าผากพร้อมกับตัดสินใจว่านับจากนี้จะฝังตัวตนของผมน่ะถ่อมตัวให้หายสาบสูญไปจากโลก


ไป๋เหรินชิงมองจางเซวียนด้วยสีหน้าแปลกๆครู่หนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับหลิวลู่จี่และหวังเจี้ยนตง


“ท่านปู่เฟิงอธิบายเรื่องศิลปะเพลงดาบให้ฉันฟัง ซึ่งมันควรจะเป็นแบบนี้…”


ได้ฟังคำอธิบายของไป๋เหรินชิง หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงพากันตาโต


ส่วนอีกด้านหนึ่ง จางเซวียนก็รู้สึกอยากจะอาเจียนหลังจากได้ยินเพียงแค่สองสามประโยคแรก จึงรีบเบือนหน้าไปอีกทางและเลิกฟังสิ่งที่ไป๋เหรินชิงพูด


ช่างปวดใจเหลือเกินที่ต้องเห็นศิลปะเพลงดาบของเขาถูกบิดเบือนอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ หากเขาทนฟังต่อไป คงได้กลายเป็นไดโนเสาร์ผู้เกรี้ยวกราดเสียเองแน่!


พูดกันตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะวรยุทธที่อ่อนด้อย เขาก็อยากจะแงะฝาโลงของผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินเต็มที เพื่อดูว่าอีกฝ่ายทำอีท่าไหนถึงบ่มเพาะผู้สืบทอดมรดกของตัวเองให้กลายเป็นแบบนี้


เราต้องหาโอกาสชี้แนะพวกเขาให้ได้ จางเซวียนคิด


ครู่ต่อมา ไป๋เหรินชิงก็เสร็จสิ้นการบรรยายกับศิษย์น้องทั้งสอง เธอยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็บุ้ยใบ้ให้จางเซวียนขึ้นขี่หลังอสูรของเธอ


ยอดเขาที่บรรดาศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดพำนักอยู่ตั้งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก มันโดดเด่นเป็นสง่ากว่ายอดเขาที่เป็นที่พำนักของศิษย์สายตรงฝ่ายในมาก บริเวณส่วนยอดของมันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ ให้ความรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ในโลกของความเป็นจริง


จางเซวียนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในบริเวณที่พำนักของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดนั้นเข้มข้นกว่าบริเวณของศิษย์สายตรงฝ่ายในมาก ทำให้การฝึกฝนวรยุทธเป็นไปได้เร็วขึ้น


“หอสมุดอยู่ตรงหน้านี้เอง นี่คือตราสัญลักษณ์ประจำตัวฉัน คุณเข้าไปในนั้นได้ แล้วฉันจะมารับคุณในอีก 6 ชั่วโมงข้างหน้า” ไป๋เหรินชิงสั่งการขณะที่อสูรร่อนลงหน้าอาคารสูงตระหง่านหลังหนึ่ง


ด้วยชื่อเสียงกระฉ่อนของเธอในฐานะไดโนเสาร์ตัวเมีย แม้เธอจะชื่นชมผู้ที่มีความรู้กว้างขวางจากการอ่าน แต่ตัวเธอเองก็ไม่มีความอดทนพอที่จะอ่านหนังสือ แทนที่จะเข้าไปนั่งเบื่อหน่ายอยู่ในหอสมุด ก็ย่อมดีกว่าหากจะรีบนำยากลับไปมอบให้ท่านปู่เพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บของเขา


“คุณได้รับความสำนึกในบุญคุณจากผม” จางเซวียนประสานมือ


ย่อมดีกว่ามากหากไป๋เหรินชิงจะไม่คอยตามติดเขา เพราะถึงอย่างไร จางเซวียนก็มีวิธีการอ่านหนังสือที่ไม่ธรรมดา


ทุกอย่างดำเนินไปแบบเดียวกับที่หอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน เขาเข้าสู่หอสมุดได้หลังจากแสดงตราสัญลักษณ์และมอบเหรียญสำนักดาบให้เจ้าหน้าที่ตามอัตราที่กำหนดไว้


ค่าใช้จ่ายที่หอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายในคือสองเหรียญสำนักดาบต่อชั่วโมง แต่สำหรับที่นี่ ราคาสูงขึ้นไปอีกสิบเท่า ทุก 1 ชั่วโมงจะต้องเสียค่าใช้จ่ายถึง 20 เหรียญสำนักดาบ


โชคดีที่ตอนนี้เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา จางเซวียนจ่ายเงิน 120 เหรียญสำนักดาบและเข้าสู่หอสมุด


หนังสือเทคนิควรยุทธและหนังสือศิลปะเพลงดาบที่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดนั้นลึกซึ้งกว่าที่หอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายในมาก มีหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นเสมือนอมตะอยู่เต็มไปหมด


จางเซวียนนัยน์ตาเป็นประกาย เขากวาดสายตาไปทั่วชั้นหนังสือที่มองเห็นและถ่ายโอนพวกมันเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า


ด้วยเงินที่เขามีและหนังสือเทคนิควรยุทธเหล่านี้ เขาย่อมยกระดับวรยุทธของตัวเองได้อย่างง่ายดาย


…..


ไป๋เหรินชิงกลับถึงที่พักและตรงไปอยู่ข้างๆท่านปู่ของเธอที่ยังคงอ่อนเพลียอยู่


“ท่านปู่ ฉันนำยากลับมาแล้ว” ไป๋เหรินชิงพูดขณะนำขวดหยก 3 ใบที่เธอเพิ่งได้รับออกมา


“เป็นยาชนิดเดียวกันกับที่เจ้าเคยให้ปู่หรือเปล่า?” ผู้อาวุโสไป๋เย่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยขณะเปิดจุกขวดเพื่อสำรวจสิ่งที่อยู่ภายใน


น่าประหลาดเหลือเกิน


นายแพทย์มากมายของสำนักดาบเมฆเหินได้หลอมยาเม็ดล้ำค่าหลายขนานให้เขากิน แต่ไม่มียาชนิดไหนที่รักษาอาการบาดเจ็บของเขาได้ เขาเคยคิดว่าสิ่งที่จะช่วยให้เขาฟื้นคืนพละกำลังดังเดิมได้คงจะต้องมีมูลค่าสูงมาก แต่กลับกลายเป็นว่ามันแทบไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่า เขาไม่รู้สึกถึงพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในยานั้นเลยสักนิด


จะว่าไป แม้แต่พลังงานที่มีฤทธิ์ทางยา เขาก็ยังไม่รู้สึก!


แล้วมันจะใช้ได้ผลกับเขาจริงๆหรือ?


ตอนที่ 1991 ทดสอบความสามารถของเขา

“ฉันรู้ว่ามันอาจดูไม่น่าสนใจ แต่มันคือยาชนิดเดียวกันกับที่เคยรักษาท่านปู่ก่อนหน้านี้จริงๆ รีบดื่มเถอะ” ไป๋เหรินชิงเร่งพร้อมกับหัวเราะเบาๆ


ก่อนหน้านี้ เธอซื้อมันมาเพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร ซึ่งถ้าไม่หมดหวังขนาดนั้น ก็คงไม่มีวันเชื่อว่ายานี้จะรักษาอาการบาดเจ็บของท่านปู่ได้


“ปู่จะลองดู…” ผู้อาวุโสไป๋เย่พยักหน้าขณะเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อยและดื่มยานั้น


ทันทีที่ยาไหลลงไปตามลำคอ เขารู้สึกได้ทันทีว่าอาการบาดเจ็บที่หมดหนทางเยียวยามานานทุเลาลงเล็กน้อย พลังงานที่เคยกัดกร่อนอวัยวะภายในของเขาอย่างไม่หยุดหย่อนดูจะเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด


“เหลือเชื่อ…” ผู้อาวุโสไป๋เย่นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น


เขารีบเปิดจุกขวดและดื่มยาอีก 2 ขวดที่เหลือลงไป


“เป็นอย่างไรบ้าง?” ไป๋เหรินชิงถามด้วยความร้อนใจ


ฟึ่บ!


แทนการตอบคำถาม ผู้อาวุโสไป๋เย่กดฝ่ามือลงกับเตียงเบาๆ พริบตาต่อมา เขาก็ไปปรากฎตัวที่ลานบ้านพร้อมกับดาบในมือ


ควั่บ!


การเคลื่อนไหวของดาบนั้นดึงดูดพลังจิตวิญญาณจากโดยรอบให้มารวมตัวกันราวกับพายุใหญ่ดาบในมือของผู้อาวุโสไป๋เย่เคลื่อนไหวอย่างลื่นไหลราวกับกระแสน้ำในแม่น้ำ เขาสำแดงกระบวนท่าออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีร่องรอยของชายชรากระเสาะกระแสะที่ต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียงหลงเหลืออยู่เลย!


เห็นท่านปู่ไปปรากฏตัวที่ลานบ้านเพื่อฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ ไป๋เหรินชิงนัยน์ตาแดงก่ำ


“ท่านปู่ คุณหายดีแล้วหรือ?”


ทันทีที่ผู้อาวุโสไป๋เย่หยุดการสำแดงศิลปะเพลงดาบ เขาก็หันมามองหลานสาวและตอบด้วยน้ำเสียงที่ปิดบังความลิงโลดไว้ไม่มิด “ปู่ยังไม่ฟื้นตัวดี แต่พลังทำลายล้างที่ปู่กำจัดมันออกไปไม่ได้ก่อนหน้านี้ถูกทำลายไปหมดแล้ว ขอแค่เยียวยาและบ่มเพาะร่างกายให้ดี ก็น่าจะฟื้นคืนพละกำลังดังเดิมได้ภายใน 1 เดือน!”


การต้องนอนติดเตียงทำให้เขาถอดใจต่อโชคชะตา เขาสิ้นหวังและคิดว่าคงต้องจบชีวิตในสภาพนี้ ไม่นึกเลยว่ายาที่ดูแสนจะธรรมดาจะสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นได้


“ยินดีด้วย ท่านปู่!” ไป๋เหรินชิงร้องออกมา


ผู้อาวุโสไป๋เย่ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบอีกครู่หนึ่งจนรู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณและพละกำลังกลับคืนสู่ร่างกาย ครู่ต่อมา เขาก็หันมาพูดกับไป่เหรินชิง “ผู้ที่ขายยานี้ให้เจ้าคือผู้มีพระคุณของปู่ ตอนนี้เขาอยู่ไหน? ปู่อยากพบเขา!”


“เขาเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่ง เมื่อครู่นี้ฉันเพิ่งพาเขาไปที่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด” ไป๋เหรินชิงตอบ


“หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด?”


รู้ดีว่าท่านปู่กำลังสงสัย ไป๋เหรินชิงรีบเล่าเรื่องการเจรจาระหว่างจางเซวียนกับตัวเธอที่เพิ่งเกิดขึ้น


“ทั้งที่มียาที่มีอานุภาพทรงพลังขนาดนั้น แต่ทั้งหมดที่เขาต้องการเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนก็คือการได้เข้าสู่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด?” ผู้อาวุโสไป๋แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน


“ใช่” ไป๋เหรินชิงพยักหน้า


เธอเองก็ประหลาดใจกับคำขอของจางเซวียน


เขามีโอกาสที่จะขอคำชี้แนะเรื่องวรยุทธและยกระดับพละกำลังของตัวเองได้ แต่กลับทิ้งโอกาสนั้น


หลังจากตั้งคำถามอีก 2-3 ข้อ ผู้อาวุโสไป๋เย่พยักหน้า “ไปที่หอสมุดเพื่อไปดูกันเถอะ แต่รอเดี๋ยว…อาเฟิง!”


“ขอรับ นายท่าน!” ไป๋เฟิงรีบเดินเข้ามา


“ผมมียาเม็ดแปลงร่างอยู่เม็ดหนึ่ง เมื่อกินเข้าไปแล้ว คุณจะปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของคุณได้เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ลดระดับวรยุทธของคุณลงให้เท่ากับสหายรุ่นเยาว์คนนั้นและพยายามหาโอกาสทดสอบความสามารถของเขาให้ได้!” ผู้อาวุโสไป๋ยื่นขวดหยกใบหนึ่งให้ไป๋เฟิง


“ทดสอบความสามารถของเขา?” ไป๋เฟิงรับยา เขาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจขณะตั้งคำถาม “นายท่าน คุณตั้งใจจะรับเขาเป็นลูกศิษย์หรือ?”


ในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหิน ผู้อาวุโสไป๋เย่ไม่น่าจะทดสอบความสามารถของศิษย์สายตรงสักคนโดยปราศจากเหตุผล แถมยังมีข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณต่ออีกฝ่ายด้วย


เหตุผลเดียวที่ผู้อาวุโสไป๋เย่จะทำแบบนี้ก็เพราะตั้งใจจะรับชายผู้นั้นเป็นลูกศิษย์!


“เขารู้อยู่แก่ใจว่าเหรินชิงต้องการยานี้มาก แต่ก็ไม่ฉวยโอกาสร้องขอสิ่งล้ำค่า จากเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าชายผู้นั้นเป็นคนยึดมั่นในหลักการ แถมเขายังช่วยชีวิตผมด้วย หากผมเพิกเฉยละเลยเขา นั่นจะไม่หมายความว่าชีวิตของผมไร้ค่าหรือ?” ผู้อาวุโสไป๋เย่เอาสองมือไพล่หลังขณะพูดด้วยทีท่าสุขุมลุ่มลึก


ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสใหญ่ของสำนัก เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทวีปที่ถูกลืม


เขาจะปล่อยให้ผู้มีพระคุณของเขาเดินจากไปโดยไม่ทำอะไรเป็นการตอบแทนเลยไม่ได้!


“ผมเข้าใจถึงความตั้งใจของคุณ นายท่าน” ไป๋เฟิงยิ้ม “แม้แต่ผู้ที่มีอิทธิพลและความแข็งแกร่งระดับเดียวกันกับคุณก็ยังเอาชนะอาการบาดเจ็บที่ได้รับจากเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายไม่ได้ ถ้าใครต่อใครรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้มีบางสิ่งที่รักษาอาการบาดเจ็บนั้นได้ล่ะก็ อาจส่งผลให้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับเขา ต่อให้เขาจะไม่มียาเหลืออยู่กับตัวอีกแล้วก็ตาม…คุณเกรงว่าเขาอาจต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆเพราะสิ่งนี้ จึงอยากรับเขาเป็นลูกศิษย์ พูดง่ายๆก็คือนี่เป็นวิธีการที่คุณใช้ปกป้องเขา”


ทรัพย์สมบัติมากมายนับไม่ถ้วนถูกซุกซ่อนไว้ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย ทำให้เป็นดินแดนที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญพากันหมายตา แต่อันตรายต่างๆนานาที่อยู่ที่นั่นก็เป็นของจริง ในบรรดานักรบที่เข้าไปในนั้น มีเพียงไม่ถึงหนึ่งในร้อยคนที่กลับออกมาได้ และผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสชนิดที่ไม่มีทางรักษา ลงท้ายก็ต้องเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ


ผู้มีปัญญาจำนวนมากมายพยายามหาทางเอาชนะอันตรายที่ซ่อนอยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายนั้น แต่ก็ไม่มีใครประสบความสำเร็จ


ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายาที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายจะช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตได้อีกมาก ด้วยเหตุนี้ หากใครต่อใครรู้ว่าชายหนุ่มมียาแบบนี้อยู่กับตัว เขาจะต้องตกเป็นเป้าสายตาของนักรบมากมาย ชีวิตของเขาจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง


ด้วยการรับชายหนุ่มผู้นี้เป็นศิษย์ ต่อให้มีใครอยากแตะต้องเขา ผู้นั้นก็จะต้องใคร่ครวญให้ดีว่าอยากมีปัญหากับผู้อาวุโสไป๋เย่หรือไม่ สถานภาพนี้จะช่วยคุ้มกันชายหนุ่มจากภัยอันตรายต่างๆได้


ผู้อาวุโสไป๋เย่สูดหายใจลึก “สำนักดาบเมฆเหินอาจเป็นสถานที่ปลอดภัย แต่ความละโมบโลภมากของมนุษย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะประมาทได้ ปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีกว่า นี่คือวิถีทางของผมในการตอบแทนบุญคุณของชายหนุ่มคนนั้น พร้อมกับปกป้องเขาจากภัยอันตรายต่างๆในโลกใบนี้ด้วย แต่ก็แน่นอนว่าผมมีความคาดหวังในตัวลูกศิษย์ตามแบบของผมเช่นกัน ถ้าความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของเขาอ่อนด้อยเกินไป ผมก็คงต้องตอบแทนบุญคุณของเขาด้วยวิธีการอื่น”


“ผมเข้าใจแล้ว จะไปจัดการให้” ไป๋เฟิงพยักหน้าก่อนจะออกจากห้อง


“ท่านปู่ คุณตั้งใจจะรับเขาเป็นลูกศิษย์จริงๆใช่ไหม?” ไป๋เหรินชิงตั้งคำถามด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความขัดแย้งในใจ “นั่นจะไม่หมายความว่า…ฉันจะอ่อนอาวุโสกว่าเขารุ่นหนึ่งหรือ?”


“ปู่ไม่เคยรับลูกศิษย์มาก่อน รอดูก็แล้วกันว่าเขาจะผ่านการทดสอบของไป๋เฟิงได้ไหม ถึงตอนนั้นแล้วค่อยคุยกัน” ผู้อาวุโสไป๋เย่หัวเราะหึๆขณะลูบศีรษะของหลานสาว “ถ้าเขาทำได้ เขาก็จะเป็นอาจารย์ลุงของเจ้า เจ้าต้องเรียกเขาแบบนั้น เข้าใจไหม? ปู่น่ะรับรู้วีรกรรมมากมายที่เจ้าทำไว้ในสำนัก และพยายามเอาหูไปนาเอาตาไปไร่มาตลอด!”


“อาจารย์ลุง…” ไป๋เหรินชิงสำลัก


เมื่อครู่นี้เองที่เธอยังรู้สึกว่าทีท่าที่ดูซื่อๆของอีกฝ่ายพอจะเข้าตา แต่การได้รู้ว่าชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเธอกำลังจะกลายเป็นอาจารย์ลุงของเธอนั้นทำให้โมโหเดือด


ไป๋เหรินชิงนัยน์ตาเป็นประกายวาบขณะรีบตอบ “ในเมื่อท่านปู่หายดีแล้ว ฉันจะไปฝึกฝนวรยุทธต่อนะ”


“ไปเถอะ!” ผู้อาวุโสไป๋ตอบพร้อมกับโบกมือ


ขณะที่ไป๋เหรินชิงออกจากห้อง ผู้อาวุโสไป๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะส่ายหัว เขาจะมองเจตนาของหลานสาวไม่ออกได้อย่างไร?


เขารู้จักเธอดี ต่อให้คราวนี้เขายับยั้งเธอไว้ได้ เธอก็จะต้องหาหนทางอื่นในการสร้างความวุ่นวายให้เจ้าหนุ่มคนนั้นอยู่ดี ผู้อาวุโสไป๋เย่ได้แต่หวังว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะมีวิธีรับมือกับหลานสาวของเขา


ส่วนไป๋เหรินชิง เมื่อกลับถึงที่พักของเธอ สีหน้าว่านอนสอนง่ายเมื่อครู่ก็หายวับไปทันที เธอคำราม “อย่างน้อยที่สุดฉันก็จะต้องสั่งสอนบทเรียนให้หมอนั่น หรือไม่อย่างนั้น ก็เรียกเขาว่าอาจารย์ลุงต่อหน้าท่านปู่ก็พอ แต่ถ้าเป็นที่อื่นล่ะก็ เขาจะต้องเรียกฉันว่าศิษย์พี่!”


ด้วยชื่อเสียงกระฉ่อนในฐานะไดโนเสาร์ตัวเมีย ไม่เคยสักครั้งที่เธอจะถูกใครเอาเปรียบ เธอไม่อาจปล่อยให้ตัวเองเรียกผู้ที่อ่อนแอกว่าและอายุน้อยกว่าว่าอาจารย์ลุงได้


ไม่ว่าหมอนั่นจะเป็นใคร เธอจะต้องทำให้เขาจำใส่กะโหลกให้ขึ้นใจว่าเขากับเธออยู่คนละชั้นกัน!


ในเมื่อท่านปู่กำลังจะทดสอบเจ้าหนุ่มคนนั้น เธอก็จะต้องเป็นด่านแรก


ไป๋เหรินชิงขึ้นขี่อสูร มุ่งหน้าไปยังหอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ด้วยความเส้นใหญ่ของเธอ แม้จะไม่มีตราสัญลักษณ์ ก็เข้าไปที่นั่นได้


“เขาบอกว่าจะมาอ่านหนังสือที่นี่ไม่ใช่หรือ?”


ทั่วทั้งหอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดเงียบกริบอย่างน่าประหลาด ราวกับไม่มีใครอยู่เลย แม้แต่เสียงพลิกหน้าหนังสือ เสียงหยิบหนังสือเข้าออก หรือแม้แต่เสียงสะบัดปลายพู่กันก็ไม่มีให้ได้ยิน


ไป๋เหรินชิงเดินต่อไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพบผู้ที่เธอกำลังตามหาเดินอยู่ระหว่างทางเดินและชำเลืองมองหนังสือโดยรอบขณะที่เดินผ่านไป ที่แปลกประหลาดพิสดารก็คือเขายืนอยู่ตรงกึ่งกลางทางเดินระหว่างชั้นหนังสือพอดี ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่อาจเอื้อมมือไปแตะหนังสือที่อยู่ทั้งสองฟากของตัวเองได้ ทำให้ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะหยิบหนังสือเล่มไหนบนชั้น


ด้วยความงุนงง ไป๋เหรินชิงตามเขาไปอีกครู่หนึ่ง แต่ก็เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ ชายหนุ่มแค่เดินจากทางเดินเส้นหนึ่งไปยังอีกเส้นหนึ่งโดยไม่หยิบหนังสือเล่มไหนทั้งนั้น


สุดท้ายไป๋เหรินชิงก็เข้าถึงตัวอีกฝ่ายและตั้งคำถาม “คุณทำอะไรอยู่น่ะ?”


“อ้อ คุณอยู่นี่เอง…” เมื่อเห็นว่าเป็นไป๋เหรินชิง จางเซวียนชี้ไปที่ชั้นหนังสือและตอบยิ้มๆ “ผมก็กำลังหาหนังสือที่ผมต้องการอยู่”


พูดกันตามตรง แม้แต่จางเซวียนก็รู้สึกทึ่งกับปริมาณหนังสือที่มีอยู่ในหอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด เพราะแม้เวลาจะผ่านไประยะหนึ่งแล้ว เขาก็ยังถ่ายโอนหนังสือที่อยู่ในนี้ได้ไม่ถึงครึ่ง


ดูเหมือนเขาต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงเต็มในการทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้น


ตอนที่ 1992 คิดว่าฉันจะงาบคุณหรือ?

“ฉันมาที่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหลายครั้งแล้ว คุณอยากได้หนังสือแบบไหนล่ะ? บอกมาสิ ฉันจะช่วยหาให้” ไป๋เหรินชิงพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


เธอไม่อาจเปิดการโจมตีที่นี่ ซึ่งเป็นที่เก็บรักษามรดกล้ำค่าของสำนักดาบเมฆเหิน แต่ก็ไม่อาจเดินต้อยๆตามเขาไปตลอด 6 ชั่วโมงได้เหมือนกัน!


“ไม่เป็นไรหรอก ผมแค่ดูให้ทั่วๆ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าอยากได้หนังสือแบบไหน แต่ไม่ต้องห่วง ผมจะออกไปทันทีที่ใช้เวลาครบ 6 ชั่วโมง” จางเซวียนตอบพร้อมกับโบกมือ


กว่าเขาจะได้มาที่นี่ก็ไม่ง่าย จึงต้องถ่ายโอนหนังสือทั้งหมดให้ได้ ทุกเล่มจะมีประโยชน์มากต่อการพัฒนาระดับวรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ของเขาในอนาคต


เห็นสายตาของชายหนุ่มเบนไปที่ชั้นหนังสืออีกชั้นขณะกำลังพูดกับเธอ ไป๋เหรินชิงรู้สึกราวกับว่าเวลาคงผ่านไปอีกหลายปีกว่าอีกฝ่ายจะดูหนังสือเสร็จ เธอจึงพยักหน้าพร้อมกับย้อนถาม “อย่างนั้นหรือ? ถ้างั้นคุณช่วยมากับฉันสักครู่หนึ่งได้ไหม?”


เธอไม่เคยมีน้ำอดน้ำทนกับใครหน้าไหนทั้งนั้น การรออยู่ที่นี่อีกหลายชั่วโมงอาจทำให้หัวสมองของเธอระเบิดได้


“คุณจะพาผมไปไหน?” เห็นสีหน้าแปลกๆของไป๋เหรินชิง จางเซวียนเบนสายตาจากชั้นหนังสือมามองหน้าเธอ “มีอะไรหรือเปล่า?”


“ก็ไม่เชิง…ฉันพูดที่นี่ไม่ได้ คุณจะช่วยตามฉันเข้าไปในห้องส่วนตัวตรงนั้นได้ไหม?” ไป๋เหรินชิงชี้นิ้วไปที่บริเวณส่วนตัวที่บรรดานักรบสามารถเข้าไปศึกษาและฝึกฝนตามทฤษฎีที่มีอยู่ในหนังสือ


“ฮะ?” จางเซวียนผงะ “ผมไม่แน่ใจนักหรอกว่าการทำแบบนี้จะเหมาะสม ไม่ได้จะว่าอะไรคุณนะ แต่ตอนนี้ผมอยากใช้เวลากับการพัฒนาระดับวรยุทธก่อน…”


ไป๋เหรินชิงเลิกคิ้ว ในตอนนั้น เธออยากจะบีบคอไอ้งั่งที่อยู่ตรงหน้าให้ตายคามือ “คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ ฉันแค่อยากสอบถามคุณบางอย่างเรื่องการฝึกฝนวรยุทธ!”


“อ๋อ เข้าใจแล้ว!” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก


เขาหวงแหนความบริสุทธิ์ของตัวเองมาก ไม่อาจสูญเสียมันที่นี่ได้


“คุณ…” เห็นความโล่งใจของจางเซวียน ไป๋เหรินชิงแทบจะตะบันหน้าอีกฝ่าย


เธอรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่อย่างน้อยที่สุดเธอก็ทั้งสวยทั้งน่ารัก ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดมากมายต่างหลงใหลใฝ่ฝันที่จะได้ใกล้ชิดเธอ แต่หมอนี่…กลับทำท่าอิหลักอิเหลื่อแบบนี้เมื่อเธอชวนเขาเข้าห้องส่วนตัว


คุณทำอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร?


คิดว่าฉันจะงาบคุณหรือ?


ไป๋เหรินชิงสูดหายใจลึกสองเฮือกใหญ่เพื่อระงับโทสะ ก่อนจะเดินนำหน้าไปยังห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง


เธอเพิ่งรู้จักหมอนี่ไม่นาน แต่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอใครสักคนที่ทุกคำพูดคำจาของเขาทำให้ความดันของเธอพุ่งปรี๊ด สมควรแล้วที่เขาต้องเป็นโสด!


หลังจากทั้งคู่เข้าสู่ห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ประตูก็ปิดลงทันที


“คุณจะทำอะไรน่ะ?” จางเซวียนใช้สองมือปิดบังหน้าอกไว้ขณะจ้องไป๋เหรินชิงอย่างหวาดระแวง


ไป๋เหรินชิงกลอกตา เธอสร้างปราการเพื่อสกัดกั้นเสียงภายในห้องไม่ให้เล็ดลอดออกไปก่อนจะหันมามองจางเซวียน “ฉันอยากรู้ว่าคุณชื่ออะไร และระดับวรยุทธของคุณในตอนนี้อยู่ขั้นไหน?”


“ผมบอกคุณไปแล้วไม่ใช่หรือตอนที่เราเดินทางมาที่นี่? ผมชื่อจางเซวียน วรยุทธของผมในตอนนี้คือผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึก” จางเซวียนตอบ


ไป๋เหรินชิงเคยถามทั้งสองคำถามนี้แล้ว ซึ่งตัวเขาก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปิดบังความจริง จึงตอบไปตามตรง


“ผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกใช่ไหม?” ไป๋เหรินชิงพึมพำขณะที่รังสีของเธอลดความเข้มข้นลงไปจนเท่าระดับวรยุทธของจางเซวียน “ตอนนี้ฉันลดระดับวรยุทธลงเป็นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกแล้ว ฉันขอท้าดวลกับคุณ ผู้แพ้จะต้องทำตามคำสั่งของผู้ชนะอย่างไม่บิดพลิ้ว นับจากนี้เป็นต้นไป!”


“คุณอยากดวลกับผม?” จางเซวียนงง


เขาคิดว่าไป๋เหรินชิงสนใจเนื้อหนังมังสาของเขา ไม่นึกเลยว่าเธอแค่อยากท้าดวล ว่าแต่…ไดโนเสาร์ตัวเมียตัวนี้มีแผนอะไร?


“ใช่” ไป๋เหรินชิงพยักหน้า


“คุณบอกว่าผู้แพ้จะต้องทำตามคำสั่งของผู้ชนะอย่างไม่บิดพลิ้วนับจากนี้ไป นั่นหมายความว่าถ้าคุณบอกให้ผมฆ่าตัวตาย ผมก็ต้องฆ่าตัวตายหรือ?” จางเซวียนตั้งคำถาม


เขาเอาชนะเธอได้เห็นๆอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการดวลที่มีเงื่อนไขแบบนี้


“คุณเห็นฉันเป็นคนแบบไหน? อย่าห่วงน่ะ ที่ฉันต้องการก็คือคุณจะต้องเรียกฉันว่าศิษย์พี่ ไม่ว่าต่อไปคุณจะมีตัวตนและสถานภาพอย่างไรก็ตาม และก็เหมือนศิษย์น้องทั่วไป คุณจะต้องปฏิบัติต่อฉันด้วยความเคารพสูงสุดและทำตามคำสั่งของฉันด้วย!” ไป๋เหรินชิงคำรามขณะยืดแขน เกิดเสียงเปรี๊ยะดังลั่นกลางอากาศ


ส่วนจางเซวียนก็งงงันกับเงื่อนไขนั้นจนแทบจะปรากฏเครื่องหมายคำถามบนศีรษะของเขา “ผมก็เรียกคุณว่าศิษย์พี่ไป๋มาตลอดไม่ใช่หรือ? แต่เอาเถอะ…ผมต้องอ่านหนังสือของผมให้เสร็จ ไม่มีเวลาจะดวลกับคุณหรอก ขออภัยด้วย แต่ผมต้องขอตัวก่อน…”


เมื่อพูดจบ จางเซวียนก็หันหลังกลับและเดินออกจากห้อง


“คุณคิดจะไปไหน?” ไป๋เหรินชิงตวาดกร้าวขณะชักดาบออกมาและพุ่งเข้าใส่จางเซวียน


ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ เธอก็จำเป็นต้องทำให้หมอนี่ยอมจำนนเสียก่อน!


ถึงเธอจะลดระดับวรยุทธลงเป็นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกแล้ว แต่ก็สามารถสำแดงศิลปะเพลงดาบได้หลากหลายกว่าเมื่อครั้งที่อยู่ในหอนิรันดร์ ทั้งยังคุ้นชินกับพละกำลังระดับนี้มากกว่าด้วย


การจ้วงแทงเพียงครั้งเดียวนี้ทรงพลังเสียยิ่งกว่าการโจมตีที่เธอสำแดงออกไปเมื่อตอนอยู่ที่หอนิรันดร์เสียอีก มันสกัดกั้นหนทางหลบหนีของจางเซวียนเอาไว้ทั้งหมด


เธอไม่มีเจตนาจะสังหารเขา แต่ประสบการณ์ของการเป็นนางมารร้ายมาหลายปีสอนเธอว่าผู้คนจะว่าง่ายกว่าเดิมหลังจากถูกซ้อม เธอจึงรู้สึกมั่นใจกว่าหากจะซ้อมอีกฝ่ายให้ยอมจำนนเสียก่อน


ส่วนจางเซวียนก็พูดไม่ออกกับการกระทำของไป๋เหรินชิง


ไม่แปลกใจแล้วที่ใครๆเรียกเธอว่าไดโนเสาร์ตัวเมีย ไม่มีทางใช้เหตุผลกับเธอได้เลย


จางเซวียนขยับไปด้านข้างเป็นรูปตัว Z อย่างรวดเร็ว หลบเลี่ยงการโจมตีของไป๋เหรินชิงได้ เขายักไหล่พร้อมกับพูดว่า “ศิษย์พี่ไป๋ ผมเทียบชั้นกับคุณไม่ได้หรอก อย่าปล่อยให้การดวลที่ไร้ประโยชน์นี้ดำเนินต่อไปอีกเลย”


“อะไรกัน?” ไป๋เหรินชิงตกตะลึงที่เห็นจางเซวียนหลบเลี่ยงการโจมตีทั้งหมดของเธอได้อย่างง่ายดาย แถมยังมีเวลายักไหล่และโต้ตอบด้วย


“ชักดาบของคุณออกมาแล้วแสดงให้ฉันเห็นถึงพละกำลังที่แท้จริงของคุณ! อย่าต่อว่าฉันก็แล้วกันที่ไม่ออมมือให้!”


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!


หลังจากพูดจบ ไป๋เหรินชิงก็สำแดงการฟาดฟันเข้าใส่จางเซวียนถึง 3 กระบวนท่าติดต่อกัน แต่ละกระบวนท่ารวดเร็วกว่ากระบวนท่าก่อนๆ ในชั่วพริบตา ทั้งห้องนั้นก็อบอวลไปด้วยกระแสดาบฉี


ตอนที่ก่อสร้างหอสมุด ผู้สร้างคิดไว้แล้วว่าเหล่านักรบอาจพลั้งเผลอปลดปล่อยพละกำลังมหาศาลออกมาเพราะแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับ ซึ่งอาจส่งผลให้อาคารพังเสียหาย ห้องส่วนตัวเหล่านี้จึงถูกสร้างขึ้นให้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ มีการติดตั้งค่ายกลเสริมกำลังไว้โดยรอบ ซึ่งแข็งแรงจนแม้กระทั่งศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดก็ยังต้องจังงัง ด้วยเหตุนี้ แม้การโจมตีของไป๋เหรินชิงจะรุนแรงหนักหน่วง แต่ก็ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ


ร่างของจางเซวียนขยับไปซ้ายทีขวาทีขณะหลบเลี่ยงทั้ง 3 กระบวนท่าไปได้ พร้อมกันนั้น เขาก็พูดออกมาอย่างจริงจัง “ดูเถอะ คุณเป็นถึงศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ส่วนผมเป็นแค่ศิษย์สายตรงฝ่ายในธรรมดาๆ การที่คนทรงพลังระดับคุณจะมารังแกผมนั้นไม่ใช่เรื่องเลย…”


“….” ไป๋เหรินชิงงงงันมากขึ้นทุกขณะ


จางเซวียนดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าที่เธอคิดไว้ จิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาเข้มข้นขึ้นในทุกวินาทีที่ผ่านไป


“ชักดาบออกมาเร็วๆ ฉันเอาจริงแล้วนะ”


ฟิ้วววว!


กระแสดาบฉีระเบิดออกจากปลายดาบของไป๋เหรินชิง มันพุ่งเข้าใส่จางเซวียนด้วยความเร็วสูงกว่าเดิม


ในฐานะนักรบผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบดงหิมะ ไป๋เหรินชิงสามารถสำแดงกระบวนท่าอันแม่นยำได้แม้จะใช้ความเร็วสูง เธอขับเคลื่อนประสิทธิภาพการต่อสู้ในระดับของผู้ทำลายล้างมิติให้เพิ่มขึ้นถึงขีดสุด ภาพติดตานับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นรอบห้อง ล้อมรอบตัวจางเซวียนไว้


ดูเหมือนมีการโจมตีมากมายที่พร้อมจะเล่นงานเขาได้ทันทีที่ไม่ระวังตัว


แต่ถึงการเคลื่อนไหวของไป๋เหรินชิงจะรวดเร็วแค่ไหน ก็ดูเหมือนเธอจะช้ากว่าจางเซวียนก้าวหนึ่งทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ดาบหรือกระแสดาบฉี ก็ไม่มีอะไรเข้าถึงตัวจางเซวียนได้เลย


“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?” ไป๋เหรินชิงตั้งข้อสังเกตด้วยความประหลาดใจขณะเร่งความเร็วของการเคลื่อนไหวขึ้นอีก


เธอคิดว่าอย่างน้อยที่สุดการโจมตีของเธอก็น่าจะต้อนจางเซวียนให้จนมุมได้ แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง หมอนั่นแค่อ้าปากหาวอย่างเบื่อหน่ายขณะพล่ามเรื่องไร้สาระออกมาไม่หยุด “ต่อให้ผมชักดาบของผมออกมา ก็ใช่ว่าผมจะเอาชนะคุณได้ ถ้าเป็นแบบนี้ จะไม่เท่ากับคุณบีบให้ผมฆ่าตัวตายหรือ?”


“โอ๊ยยยย!” ไป๋เหรินชิงแน่นหน้าอกจนพูดไม่ออก


ถ้าหน้าผากคุณเหงื่อโชกและอ้าปากหอบหายใจล่ะก็ ฉันคงเชื่อว่าคุณสู้ฉันไม่ได้


แต่ดูคุณสิ ยืนหาวแถมยังบิดขี้เกียจ ไม่เก็บอาการเลยสักนิด…นี่กำลังปั่นหัวฉันใช่ไหม?


ไป๋เหรินชิงเร่งการเคลื่อนไหวของเธอให้เร็วขึ้นอีกด้วยความหงุดหงิด แต่คู่ต่อสู้ของเธอ…ทั้งๆที่เพิ่งย้ำแล้วย้ำอีกว่าเขาสู้เธอไม่ได้ ก็สามารถหลบเลี่ยงทุกการโจมตีได้อย่างง่ายดาย ราวกับเขาเป็นใบไม้ที่ลอยอยู่ในมหาสมุทร ไม่ว่าคลื่นลมในมหาสมุทรจะเกรี้ยวกราดแค่ไหน ก็ทำให้ใบไม้นั้นจมไม่ได้


“ชัก ดาบ ของคุณ ออกมา!”


การดวลดำเนินไปอีกกว่า 20 กระบวนท่า แต่ไป๋เหรินชิงก็ไม่ได้แตะแม้แต่ชายเสื้อของจางเซวียน เมื่อทนไม่ไหว เธอระเบิดความเกรี้ยวกราดออกมา “อย่าหาว่าฉันหยาบคายก็แล้วกัน!”


ฟึ่บ!


เธอตวัดดาบ จากนั้นก็สำแดงไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุด, ศิลปะเพลงดาบดงหิมะ


เธอไม่เคยมีความอดทนตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ลงเอยด้วยการเล่นงานศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดมากมายจนแทบพิการ


การที่เธอทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลยทั้งที่ลงแรงสำแดงกระบวนท่าขนาดนี้ ทำให้ความอดทนที่มีน้อยนิดอยู่แล้วหายไปหมด


กระแสดาบฉีของไป๋เหรินชิงพุ่งลงมาราวกับหิมะโปรย ทำให้อุณหภูมิบริเวณนั้นตกฮวบ


“เฮ่ออออ…” จางเซวียนเดินฝ่าศิลปะเพลงดาบของไป๋เหรินชิงอย่างสุขุม เขานวดขมับขณะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ผมน่ะอยากใช้ชีวิตแบบถ่อมตัว…มันเรื่องอะไรคุณถึงต้องบีบบังคับผมด้วย?”


ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คืออ่านหนังสือและยกระดับวรยุทธของตัวเองอย่างเงียบๆ…ทำไมมันถึงยากนัก?


ขนาดได้เข้าสู่หอสมุดแล้ว ก็ยังมีคนลากตัวเขาออกมาแล้วบีบให้ต้องต่อสู้ ผมไปทำอะไรให้คุณขุ่นเคืองใจ คุณถึงต้องทำลายความสงบสุขของผมแบบนี้?


“คุณว่าอะไรนะ?” ไป๋เหรินชิงคำรามเมื่อเห็นจางเซวียนพึมพำกับตัวเอง ดูไม่ใส่ใจกับกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเธอเลยสักนิด แต่พริบตาต่อมา ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวสมอง เธอตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ “เดี๋ยวก่อน คงไม่ใช่ว่าแท้ที่จริงแล้ว คุณคือ…”


ตอนที่ 1993 เป็นแบบนั้นได้อย่างไร?

ในระดับวรยุทธเดียวกัน แม้แต่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดส่วนใหญ่ก็ไม่อาจต้านทานศิลปะเพลงดาบดงหิมะของเธอได้ นับประสาอะไรกับศิษย์สายตรงฝ่ายใน ขนาดหลิวลู่จี่ก็ยังพ่ายแพ้ราบคาบ


แต่ชายที่ดูไม่สลักสำคัญอะไรเลยคนนี้กลับฝ่าการโจมตีของเธอได้โดยไม่บาดเจ็บสักนิด เธออดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงชายที่สังหารเธอถึง 2 ครั้งในหอนิรันดร์-ผมน่ะถ่อมตัว!


หรือว่าชายลึกลับผู้นั้นเป็นคนเดียวกันกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอ?


ขณะที่ไป๋เหรินชิงแสดงความสงสัย ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แววตาที่เคยหรี่ปรือและเรื่อยเฉื่อยของเขาคมกริบขึ้นมาทันที คมกริบจนน่ากลัว “ในเมื่อผมปกปิดต่อไปไม่ได้แล้วก็ขออภัยคุณด้วยที่ต้องไร้มารยาท…”


ฟึ่บ!


พริบตาต่อมา การโจมตีจากฝ่ามือก็มาจ่ออยู่ตรงหน้าไป๋เหรินชิง แขนของจางเซวียนไม่ยาวนัก แต่มันสกัดกั้นกระแสดาบฉีของเธอไว้ทั้งหมด พละกำลังมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ทำให้ไป๋เหรินชิงหายใจหายคอไม่ออก เธอพยายามดิ้นรนเพื่อไขว่คว้าหาอากาศหายใจ


“ไม่นะ…”


นึกไม่ถึงว่านักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกคนหนึ่งจะสำแดงพละกำลังมหาศาลแบบนั้นได้ ไป๋เหรินชิงหรี่ตาพร้อมกับรีบปลดปล่อยวรยุทธ


ในชั่วพริบตา วรยุทธของเธอก็พุ่งขึ้นไปเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะ และยังคงพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ


เสมือนอมตะ ระดับล่าง!


เสมือนอมตะ ระดับสูง!


เสมือนอมตะ ปฐพี!


เสมือนอมตะ สรวงสวรรค์!


อมตะตัวจริง ระดับล่าง!


เป็นอย่างที่ใครๆคาดเดาไว้ ไป๋เหรินชิงฝ่าด่านคอขวดของวรยุทธขั้นเสมือนอมตะและเข้าถึงวรยุทธขั้นอมตะตัวจริงแล้ว


นักรบขั้นอมตะตัวจริงนั้นได้ชื่อว่ามีพลังปราณไม่จำกัด แม้ในสำนักดาบเมฆเหินด้วยกัน เธอก็มีคุณสมบัติเกินพอที่จะได้เป็นผู้อาวุโสฝ่ายใน


ฟึ่บ!


ถึงไป๋เหรินชิงจะเรียกวรยุทธเดิมกลับคืนมา แต่สิ่งแรกที่เธอทำก็คือล่าถอย แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะถอยไปทางไหน การโจมตีจากฝ่ามือนั้นก็ตามเธอไปติดๆ ราวกับอีกฝ่ายคาดเดาการเคลื่อนไหวของเธอได้


“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร? คุณเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกจริงๆหรือเปล่า?” ไป๋เหรินชิงแทบคลุ้มคลั่ง


เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าระดับวรยุทธของอีกฝ่ายคือผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึก แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ทั้งที่ตัวเธอเรียกระดับวรยุทธเดิม คือนักรบอมตะตัวจริงระดับล่างกลับคืนมาแล้ว แต่ก็ยังหลบหลีกการโจมตีของเขาไม่ได้!


อย่างกับหมอนี่อ่านใจของเธอได้ตลอด


ว่าแต่…เป็นแบบนั้นได้อย่างไร?


สำนักดาบเมฆเหินมีอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องอยู่มากมาย และมีนักรบจำนวนหนึ่งที่สามารถท้าทายผู้ที่มีวรยุทธสูงกว่าตัวเองได้ แต่โดยทั่วไปก็จะสูงกว่ากันเพียง 1 หรือ 2 ขั้นเท่านั้น แถมทุกคนก็ล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกฝนเทคนิควรยุทธและศิลปะเพลงดาบแบบเดียวกัน


แต่นักรบอมตะตัวจริงระดับล่างคนหนึ่งต้องมาเพลี่ยงพล้ำให้กับนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ เธอรู้สึกอับจนปัญญาเหลือเกิน


เอาจริงๆสิ หมอนี่ทรงพลังแค่ไหนกันแน่?


“ฉันไม่เชื่อหรอก!”


ไป๋เหรินชิงปล่อยกระแสพลังงานหนักหน่วงออกมาอีกครั้ง ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเธอในระดับของนักรบอมตะตัวจริงแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ มันทรงพลังถึงขนาดที่ทำให้ค่ายกลเสริมกำลังที่ถูกติดตั้งไว้รอบห้องเริ่มส่งเสียงครืดคราด


“อย่าเสียเวลาเลย ไม่มีประโยชน์หรอก”


เสียงของชายหนุ่มดังเข้าหู


ฟึ่บ!


การโจมตีจากฝ่ามือนั้นหายวับไป


ไป๋เหรินชิงทรุดฮวบลงกับพื้น


“ทำไงดีล่ะ?” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกขณะมองร่างของไป๋เหรินชิงที่สลบไสลไม่ได้สติ


ยัยคนนี้บีบคั้นเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขารู้สึกว่าคงถูกกดดันจนต้องทำอะไรบางอย่างออกไปแน่หากไม่รีบตอบโต้


แต่ทันทีที่ตอบโต้ ก็รู้สึกเสียใจ


ถ้าเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในคนอื่นๆ เขายังพอหาวิธีรับมือได้ แต่แม่คนนี้คือหลานสาวของ 1 ใน 3 ผู้อาวุโสใหญ่ แถมเป็นถึงนักรบอมตะตัวจริงระดับล่างด้วย!


ศาสตร์การใช้จิตวิญญาณของเขาคงใช้การไม่ได้กับเธอ และหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เขาคงต้องเดือดร้อนหนัก


เขาไม่อยากเป็นคนที่ถูกใครๆหมายหัวตั้งแต่เข้าสู่สำนักดาบเมฆเหินได้เพียงวันเดียว!


“คนโดดเด่นก็มักต้องเจอเรื่องยุ่งยากไม่รู้จบ” จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา


ถ้าเขาถูกเล่นงานยับเยินเพราะแข็งแกร่งไม่เท่าไป๋เหรินชิง ก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับ


แต่ก็เห็นกันชัดๆว่าไป๋เหรินชิงสู้เขาไม่ได้ แล้วเขาจะทำให้ตัวเองดูเหมือนพ่ายแพ้ได้อย่างไร?


แถมยังโชคร้ายที่การกระทำของเขาเป็นการเปิดเผยตัวตนในฐานะผมน่ะถ่อมตัวแล้ว ถ้าเขาอ่านและเดินเกมไม่ขาดล่ะก็ จะต้องเกิดปัญหาใหญ่แน่


“ตอนนี้เรามีแค่สองทางเลือก สังหารเธอและอำพรางศพซะ…ไม่สิ แบบนั้นไม่ดีหรอก การที่เธอเข้าสู่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดจะต้องมีบันทึกไว้แล้ว และอาจมีใครเห็นเราสองคนเข้าห้องไปด้วยกัน ถ้าจู่ๆเธอหายตัวไป ก็น่าจะสาวมาถึงเราได้ไม่ยาก”


“หรือไม่อย่างนั้น เราจะต้องบังคับให้เธอปฏิญาณว่าจะไม่มีวันเปิดเผยความลับเรื่องนี้ ดูเหมือนนี่คงเป็นทางเดียวที่ทำได้…”


จางเซวียนมองร่างสลบไสลไม่ได้สติของไป๋เหรินชิงครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ดูเหมือนวันนี้เขาจะถอนหายใจบ่อยเกินไปเสียแล้ว


จางเซวียนกระดิกนิ้ว จากนั้นก็ปล่อยกระแสพลังปราณเทียบฟ้าสายหนึ่งเข้าสู่ร่างของไป๋เหรินชิง เปลือกตาของเธอขยับเล็กน้อย เธอลืมตาขึ้นช้าๆ จากนั้นก็มองไปรอบๆอย่างงุนงง


“ศิษย์พี่ไป๋ ผมไม่อยากได้ชื่อว่ามือเปื้อนเลือด แต่คงต้องขอให้คุณปฏิญาณว่าคุณจะไม่มีวัน…”


ขณะที่จางเซวียนกำลังจะบังคับกระแสพลังปราณเทียบฟ้าที่เขาถ่ายทอดเข้าสู่ร่างของไป๋เหรินชิงให้บงการเธอให้เชื่อฟังคำสั่งของเขา สาวน้อยก็หันขวับมามองเขาอย่างตื่นเต้นและโค้งคำนับให้ “ศิษย์พี่จาง…ไม่ใช่สิ ต้องเป็นอาจารย์ลุงจาง! คุณจะสอนศิลปะเพลงดาบให้ฉันได้ไหม? ขอแค่คุณยอมถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบของคุณให้ฉัน ฉันจะยอมทำทุกอย่างที่คุณต้องการ!”


“อาจารย์ลุง?”


จางเซวียนพูดไม่ออกอีกครั้งกับการกระทำของไป๋เหรินชิง


คุณนี่เป็นลมฟ้าอากาศหรือไง? เปลี่ยนแปลงได้ปุบปับว่องไวเหลือเกิน!


เมื่อครู่นี้ยังจะกินเลือดกินเนื้อผม แต่แล้วก็กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ…คุณคิดอะไรอยู่?


อีกอย่าง เอาความคิดมาจากไหนที่เรียกผมว่าอาจารย์ลุง?


แต่ก็นั่นแหละ ความตั้งใจของจางเซวียนคือยับยั้งอีกฝ่ายไม่ให้เปิดเผยความลับของเขา ขอแค่เธอเต็มใจปิดปากเงียบ ก็ไม่สำคัญหรอกว่าเธอจะเรียกเขาอย่างไร


จางเซวียนประเมินไป๋เหรินชิงครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถาม “คุณอยากเรียนศิลปะเพลงดาบของผมจริงๆหรือ?”


ไป๋เหรินชิงพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น


วินาทีที่เธอสลบไป เธอแน่ใจทันทีว่าชายหนุ่มคนนี้คือผมน่ะถ่อมตัว มีเขาคนเดียวเท่านั้นที่เอาชนะศิลปะเพลงดาบดงหิมะของเธอได้อย่างง่ายดายแม้จะมีระดับวรยุทธต่างกัน!


ศิลปะเพลงดาบของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าท่านปู่เฟิงมาก ถ้าเธอได้ร่ำเรียนกับเขา ก็คงมีแต่ท้องฟ้าเท่านั้นที่จะสกัดกั้นความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของเธอไว้ได้ เธอไม่จำเป็นต้องกังวลกับพวกปีศาจในหมู่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดอีกแล้ว แถมยังจะเหนือชั้นกว่าพวกนั้นด้วย!


ไป๋เหรินชิงไม่อาจปล่อยให้โอกาสล้ำค่าครั้งนี้หลุดมือได้


“จะว่าไป การที่ผมจะถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบของผมให้คุณ…ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว แต่ผมมีเงื่อนไข!”


ด้วยดวงตาหยั่งรู้ของจางเซวียน เขาดูออกว่าไป๋เหรินชิงร้องขอด้วยความจริงใจเต็มเปี่ยม เมื่อเห็นแล้วว่ามีทางแก้ไขปัญหานี้ได้โดยละม่อม จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะพูดต่อ “ผมเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรโดดเด่น และไม่อยากให้ใครๆรู้ตัวตนและความสามารถที่แท้จริงของผมด้วย ถ้าคุณเก็บความลับได้ ผมก็สัญญาว่าผมจะทำให้ศิลปะเพลงดาบของคุณก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น ต่อให้ตำแหน่งนักดาบหมายเลขหนึ่งในหมู่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดก็จะเป็นของคุณอย่างง่ายดาย!”


“อาจารย์ลุง วางใจได้เลยว่าฉันจะปิดปากเงียบ” เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มองเห็นเจตนาของเธออย่างทะลุปรุโปร่ง ไป๋เหรินชิงหน้าแดงก่ำ เธอยืดตัวตรง จากนั้นก็ยกมือขึ้นและกล่าวคำปฏิญาณอย่างเคร่งขรึม “ตัวฉัน, ไป๋เหรินชิง ขอสาบานต่อเทพเจ้าว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องของอาจารย์ลุงจางเซวียนโดยเด็ดขาด ถ้าฉันฝ่าฝืนคำปฏิญาณนี้ ขอให้ลูกธนูนับหมื่นนับพันแทงทะลุหัวใจของฉัน!”


ด้วยสิ่งนี้ จางเซวียนจึงวางใจได้


ในช่วงระยะเวลาอันสั้นที่อยู่ที่นี่ เขาได้เรียนรู้ว่า คำว่า ‘เทพเจ้า’ มีความศักดิ์สิทธิ์มากต่อผู้คนในมิติเบื้องบน ไม่มีใครกล้าผิดคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับเทพเจ้าเพราะเกรงกลัวการลงทัณฑ์จากสวรรค์


แต่ก็แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่เขาได้รู้เห็น ส่วนจะเป็นเรื่องจริงหรือเป็นแค่ความเชื่อ ก็ยังต้องรอดูกันต่อไป


“การฟาดฟันในแนวราบที่คุณสำแดงออกมาและอธิบายให้หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงฟังก่อนหน้านี้น่ะผิดพลาด ผมจะอธิบายให้คุณฟังเดี๋ยวนี้แหละ…”


ราวกับได้พบหนทางระบายความคับอกคับใจ จางเซวียนตั้งใจอธิบายแก่นสารของศิลปะเพลงดาบของเขาอย่างจริงจัง


ไป๋เหรินชิงตัวสั่นขณะฟังคำอธิบาย


เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าศิลปะเพลงดาบจะถูกตีความในรูปแบบนี้ได้ แม้จะดูเหมือนเรียบง่าย แต่พละกำลังที่ผู้ฝึกฝนสามารถสำแดงออกมาได้นั้นเรียกได้ว่าไร้ขอบเขต


“เอาล่ะ ผมจะปล่อยคุณไว้ที่นี่ ให้คุณค่อยๆทำความเข้าใจสิ่งที่ผมพูด ส่วนผมขอกลับไปอ่านหนังสือก่อน”


เห็นไป๋เหรินชิงตกอยู่ในภวังค์ ทั้งยังลุกขึ้นเป็นระยะๆเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของการเคลื่อนไหวบางกระบวนท่าเพื่อทดสอบความเข้าใจของเธอ จางเซวียนเปิดประตูห้องส่วนตัวนั้นและเดินออกไป


เขากลับไปเดินตามทางเดินเหมือนเมื่อครู่ก่อนเพื่อถ่ายโอนหนังสือเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า


2 ชั่วโมงต่อมา จางเซวียนก็ถ่ายโอนหนังสือได้ครบทุกเล่ม


ประมวล! เขาเพ่งสมาธิ


หนังสือทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับวรยุทธขั้นเสมือนอมตะหลอมรวมกันและก่อตัวเป็นหนังสือเล่มใหม่


จางเซวียนรีบเปิดดูหนังสือที่ถูกประมวลขึ้นใหม่อย่างร้อนรน ครู่ต่อมา สีหน้าผ่อนคลายก็ปรากฏชัดบนใบหน้าของเขา


เหมือนอย่างที่คาดไว้ จำนวนหนังสือในหอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดนั้นมีมากพอจะประมวลเป็นเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธขั้นเสมือนอมตะที่สมบูรณ์แบบได้ ขอแค่เขามียาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานมากพอ ก็คงฝ่าด่านวรยุทธได้สบาย


ที่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดมีหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นอมตะตัวจริงอยู่ด้วย แต่เนื่องจากมีจำนวนน้อยเกินไป เขาจึงประมวลได้เพียงครึ่งทาง


เราควรกลับเสียที…จางเซวียนคิดขณะดูเวลา


ผ่านไปเกือบ 6 ชั่วโมงแล้วตั้งแต่เขาเข้าสู่หอสมุด จางเซวียนยืดหลังบิดขี้เกียจแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวอีกครั้ง


ตอนที่ 1994 อาจารย์ลุง

ทันทีที่เข้าไป กระแสดาบฉีสายหนึ่งก็ระเบิดเข้าใส่


การเคลื่อนไหวของไป๋เหรินชิงอาจดูเชื่องช้า แต่ความหนักหน่วงของกระบวนท่านั้นดูจะสร้างปราการที่ปิดกั้นมิติที่อยู่ตรงหน้าเธอไว้ได้ ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก ในเวลาเดียวกัน เธอก็ปล่อยกระแสดาบฉีที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงออกมา เล่นงานทุกอย่างที่ขวางหน้า


“ไม่เลว…” จางเซวียนพยักหน้ารับ


ไป๋เหรินชิงเพิ่งฝึกฝนเทคนิคนี้ได้ราว 2 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ทั้งรูปแบบและการทำความเข้าใจแนวคิดของเธอเดินหน้าไปได้กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็นั่นแหละ ยังห่างไกลนักหากจะเทียบชั้นกับเขา


“อาจารย์ลุง!” เห็นจางเซวียนเข้ามา ไป๋เหรินชิงรีบหยุดการฝึกฝนศิลปะเพลงดาบแล้วทักทายเขา


ยิ่งเธอฝึกฝนศิลปะเพลงดาบนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอัศจรรย์ใจกับพละกำลังของมันมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เธอไม่มีความรู้สึกอะไรอื่นนอกจากเคารพในตัวชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างสุดใจ


ความคิดเดิมของเธอที่อยากแต่งงานกับอีกฝ่ายหายวับไปจากใจแล้ว เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับคู่ครองที่มีความโดดเด่นระดับนี้


“อือ ผมอ่านหนังสือจบแล้ว ตอนนี้ต้องขอตัวกลับไปฝึกฝนวรยุทธ” จางเซวียนพูด “ผมหวังว่าคุณจะเก็บตัวตนของผมไว้เป็นความลับจากไป๋เฟิงและท่านปู่ของคุณ ตอนนี้ผมยังไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรๆให้มากนัก”


“ได้สิ อาจารย์ลุง” ไป๋เหรินชิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย


แน่นอนว่าเธอย่อมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ทำไมจะต้องบอกใคร? เพราะถ้าใครๆพากันรุมล้อมอาจารย์ลุงจางเพื่อขอเรียนศิลปะเพลงดาบกับเขา เวลาที่เธอจะได้ร่ำเรียนกับเขาก็ย่อมน้อยลง!


“ดี ดีแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะหันหลังกลับ


ถึงอย่างไรเขาก็ได้ทิ้งกระแสพลังปราณเทียบฟ้าสายหนึ่งไว้ในร่างของไป๋เหรินชิงแล้ว จึงไม่กลัวว่าเธอจะหักหลัง


“อาจารย์ลุง โปรดรอสักครู่ก่อน ท่านปู่เฟิงน่าจะดักรอคุณอยู่ระหว่างทางที่คุณกลับที่พัก เขาตั้งใจจะทดสอบพละกำลังและศิลปะเพลงดาบของคุณ” ไป๋เหรินชิงพลันนึกได้ เธอรีบตะโกนออกไป


“ทดสอบพละกำลังและศิลปะเพลงดาบของผม?” จางเซวียนงง


ตัวตนที่แท้จริงของเขายังคงเป็นความลับไม่ใช่หรือ?


แต่ถ้าจะมีใครรู้ ผู้ที่อยากเล่นงานเขาก็ควรจะเป็นบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน ไม่ใช่ไป๋เฟิง!


“ใช่ ยาฟื้นฟูสภาพร่างกายของคุณรักษาอาการบาดเจ็บของท่านปู่ของฉันได้ชะงัด เพื่อเป็นการตอบแทน ท่านปู่จึงอยากรับคุณเป็นศิษย์ แต่ท่านปู่เกรงว่าความสามารถของคุณจะไม่ถึงขั้นที่ท่านปู่ตั้งไว้ จึงสั่งการให้ท่านปู่เฟิงมาทดสอบพละกำลังของคุณก่อน” ไป๋เหรินชิงยอมเปิดเผยข้อมูลอย่างไม่ลังเล


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพยักหน้า


ทุกอย่างดูจะปะติดปะต่อกันได้ลงตัว นั่นอธิบายได้ว่าทำไมแม่สาวคนนี้ถึงตั้งหน้าตั้งตาจะเล่นงานเขา พยายามจะบีบเขาให้เรียกเธอว่า ‘ศิษย์พี่’ และทำตามคำสั่งของเธอให้ได้ กลับกลายเป็นว่าเรื่องจริงก็คือ เธอเกรงว่าจะถูกลบเหลี่ยมอาวุโสหากเขากลายเป็นศิษย์ของท่านปู่ของเธอ…


เรื่องนี้อธิบายได้ว่าทำไมเธอถึงเรียกเขาว่า ‘อาจารย์ลุง’ แทนที่จะเป็น ‘ท่านอาจารย์’


“ระดับวรยุทธของไป๋เฟิงคือขั้นไหน?” จางเซวียนตั้งคำถาม


ด้วยความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของเขาในเวลานี้ ขอแค่เขาควบคุมทิศทางการต่อสู้ไว้ได้ตั้งแต่แรก ก็มีโอกาสสูงที่จะเอาชนะไป๋เฟิงได้ แต่ก็แน่นอนว่าไป๋เฟิงแข็งแกร่งกว่าไป๋เหรินชิงมาก การรับมือกับอีกฝ่ายจึงอาจยุ่งยากกว่าเล็กน้อย


“ก็เหมือนกับท่านปู่ของฉันนั่นแหละ ท่านปู่เฟิงเป็นนักรบอมตะขั้นสูง” ไป๋เหรินชิงตอบ


“อมตะขั้นสูง?” จางเซวียนอ้าปากค้าง “คุณแน่ใจหรือว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับผม?”


นักรบอมตะขั้นสูงเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่ง คือราชาอมตะ มีแต่เหล่าผู้อาวุโสขั้นสูงสุดของสำนักดาบเมฆเหินเท่านั้นที่มีความแข็งแกร่งระดับนี้ ต่อให้จางเซวียนพัฒนาศิลปะเพลงดาบของเขาได้มากแค่ไหน ความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจนด้านพละกำลังก็มีแต่จะทำให้เขาต้องเผ่นหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้


หากต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ระดับนั้น เขาไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย!


“ใช่!” ไป๋เหรินชิงพยักหน้า “นั่นเป็นคำสั่งโดยตรงจากท่านปู่ของฉัน ท่านปู่เฟิงไม่ขัดคำสั่งของท่านปู่หรอก”


สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนเลิกลังเล


สถานการณ์ตอนนี้ทำให้เขาอิหลักอิเหลื่ออยู่มาก ถ้าเขาเอาชนะท่านปู่เฟิงได้ ก็จะทำให้ผู้อาวุโสไป๋เย่ไม่อยากรับเขาเป็นศิษย์ ซึ่งผลที่จะเกิดตามมาก็คือนั่นจะเป็นการเปิดเผยตัวตนของเขาในฐานะผมน่ะถ่อมตัว และด้วยระดับวรยุทธของเขาตอนนี้ เขารู้ดีว่าตัวเองไม่เก่งกาจพอจะปิดปากไป๋เฟิงได้


ส่วนอีกทางหนึ่ง ต่อให้เขาพ่ายแพ้ ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าผู้อาวุโสไป๋เย่จะปฏิเสธไม่ยอมรับเขาเป็นศิษย์


พูดกันตามตรง เขามาได้ไกลขนาดนี้แล้ว ไม่มีความเต็มใจสักนิดหากต้องไปเป็นศิษย์ของใคร


จางเซวียนหลับตาครู่หนึ่งก่อนจะหันมาพูดกับไป๋เหรินชิง “ผมอยากให้คุณช่วยแสดงละครกับผมสักหน่อย”


“ได้สิ” ไป๋เหรินชิงตอบรับอย่างไม่ลังเล


ทั้งคู่รีบวางแผนร่วมกันก่อนที่จางเซวียนจะเดินออกจากหอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดตามลำพัง เขารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว มีจุดหมายที่บริเวณที่พักของศิษย์สายตรงฝ่ายใน


เมื่อไม่มีอสูรให้ใช้ การเดินทางครั้งนี้จึงกินเวลาราว 2 ชั่วโมง


จางเซวียนมุ่งหน้าไปขณะพยายามจำกัดความเร็วของตัวเองให้อยู่ในระดับของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึก


หลังจากเดินทางไปได้ราวหนึ่งชั่วโมง ขณะกำลังจะข้ามพื้นที่รกร้างแห่งหนึ่ง จางเซวียนก็พลันรู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่จากโดยรอบ เขาชะงักฝีเท้าด้วยความระแวงและเหลียวมองทั่วบริเวณนั้น


พริบตาต่อมา ร่างหนึ่งก็เดินออกจากดงไม้แล้วปรากฏตัวตรงหน้าเขา


ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไป๋เฟิง!


เพราะกินยาเม็ดแปลงร่างเข้าไป รูปร่างหน้าตาของไป๋เฟิงตอนนี้จึงต่างจากเดิมมาก แต่จางเซวียนก็มองทะลุการปลอมตัวนั้นได้โดยใช้ดวงตาหยั่งรู้


ไป๋เฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาชักดาบออกมาและพุ่งเข้าใส่ ระดับวรยุทธของเขาถูกลดระดับลงจนเท่ากันกับจางเซวียน คือผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึก


“อะ-อะไรกัน? คุณเป็นใครน่ะ? ทำไมมาโจมตีผม? ไม่รู้หรือว่าสำนักดาบเมฆเหินมีข้อห้ามไม่ให้ใครทำร้ายศิษย์สายตรงฝ่ายใน?”


จางเซวียนไม่ทันระวังตัวกับการโจมตีอย่างกะทันหันของไป๋เฟิง เขาหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง จากนั้นก็ถอยกรูดเพราะความกลัว แต่ดูเหมือนความกลัวจะทำให้ขาแข็งจนก้าวไม่ออก จางเซวียนล้มลงกับพื้น


ฟึ่บ!


ยังไม่ทันจะรู้ตัว ดาบของไป๋เฟิงก็จ่อที่ลำคอของเขา


ไป๋เฟิงอารมณ์ไม่ดีนัก


ไม่ง่ายเลยกว่าที่นายท่านของเขาจะอยากรับศิษย์สักคนหนึ่ง แต่ใครจะไปคิดว่าหมอนี่อ่อนแอได้ขนาดนี้!


เขาใช้พละกำลังไปไม่ถึง 1 ใน 10 ของที่มีด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายก็จนมุมแล้ว…ถ้าคนแบบนี้ได้เป็นลูกศิษย์ของนายท่าน จะต้องทำให้ชื่อเสียงของนายท่านด่างพร้อยแน่


“เก็บดาบของคุณขึ้นมา! ถ้าคุณรับมือกับการโจมตีของผมไม่ได้ล่ะก็ ชะตากรรมเดียวที่รอคอยคุณอยู่ในวันนี้ก็คือความตาย!” ไป๋เฟิงคำรามขณะถอยไปก้าวหนึ่ง


“ท่านปู่เฟิง ฉันจัดการเอง!”


ในตอนนั้น สาวน้อยเสื้อคลุมสีขาวที่สวมหน้ากากก็ร่อนลงมาจากกลางอากาศ


ด้วยการใช้โทรจิต ไป๋เฟิงรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือไป๋เหรินชิง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ลงท้ายก็ยอมถอย


ไป๋เหรินชิงโยนดาบให้จางเซวียนก่อนจะสำแดงกระบวนท่าใส่อีกฝ่ายเป็นชุด


จางเซวียนที่กำลังปั่นป่วนรีบเก็บดาบขึ้นเพื่อรับมือกับการโจมตีของไป๋เหรินชิง แต่ทุกกระบวนท่าของเขายุ่งเหยิงไปหมด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยตั้งใจฝึกฝนศิลปะเพลงดาบมาก่อน


ยากที่จะบอกได้ว่าทักษะของเขาอ่อนด้อยหรือมีพละกำลังไม่ถึงขั้น แต่การปะทะเพียงครั้งเดียวนั้นก็ทำให้ดาบหลุดมือ มันพุ่งลงไปปักอยู่ที่พื้นไม่ห่างออกไปนักขณะที่โลหะส่งเสียงเคร้งดังลั่น


จางเซวียนหมดหนทางทันทีหลังจากสูญเสียอาวุธ เขาตัวแข็งด้วยความพรั่นพรึงขณะที่ดาบอีกเล่มจ่อเข้าที่ลำคอของเขาอีกครั้ง


ไป๋เหรินชิงมีสีหน้าผิดหวัง เธอชักดาบคืนก่อนจะเดินไปหาไป๋เฟิง จากนั้นก็โพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความขัดอกขัดใจอย่างเห็นได้ชัด “…อ่อนแอเกินไป!”


“ผม…” จางเซวียนหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


เขายืนบื้ออยู่กับที่ สีหน้าสับสน ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร


“ท่านปู่เฟิง ไปกันเถอะ!” ไป๋เหรินชิงพูด


ไป๋เฟิงดูจะลังเลเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ลงท้ายก็พยักหน้าและจากไปพร้อมกับไป๋เหรินชิง


“ดูเหมือนตอนนี้เรายังพอตบตาเขาได้…”


เห็นทั้งคู่จากไปไกล จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


เขาไม่คิดอยากเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสคนไหนทั้งนั้น แต่ถ้าผู้อาวุโสไป๋เย่อยากเป็นศิษย์ของเขาล่ะก็ เขาอาจจะรับไว้พิจารณา!


ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงจงใจเล่นละครกับไป๋เหรินชิงด้วยการแกล้งทำเป็นอ่อนแอ แล้วจัดฉากให้ไป๋เหรินชิงเป็นผู้พูดเรื่องนั้นเอง เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้อาวุโสไป๋เย่จะล้มเลิกความคิดที่อยากรับเขาเป็นศิษย์เมื่อได้ฟังรายงานของไป๋เหรินชิง


หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย จางเซวียนก็รีบกลับสู่ที่พัก


เมื่อเดินผ่านประตูที่พักเข้าไป ก็เห็นตั้นเฉี่ยวเทียนยังคงฝึกฝนศิลปะเพลงดาบของเขา อีกฝ่ายพัฒนาศิลปะเพลงดาบของนายน้อยที่ 3 ได้ดี เข้าถึงความเชี่ยวชาญในระดับที่เกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือการทำความเข้าใจแนวคิด


คราวนี้จางเซวียนมีเงินไม่น้อย จึงใช้เงินจำนวนหนึ่งซื้อยาเม็ดอมตะขั้นต้นมาให้ตั้นเฉี่ยวเทียนหลายเม็ด และให้คำชี้แนะเรื่องวรยุทธด้วย


ไม่ช้าตั้นเฉี่ยวเทียนก็ยกระดับวรยุทธขึ้นเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 2 ได้สำเร็จ


ส่วนเฉาเฉิงลี่ เพราะความที่มีนิสัยเจ้าชู้ประตูดิน จึงตั้งใจฝึกฝนหนักกว่าซุนฉางมากเมื่อเป็นเรื่องของวรยุทธ


ในฐานะจอมโจร เขารู้ดีว่าพละกำลังมีความสำคัญแค่ไหน หลังจากได้รับยาเม็ดอมตะขั้นต้นและเทคนิควรยุทธขั้นสูงในจำนวนที่มากพอ การพัฒนาวรยุทธของเขาก็รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว


ตลอด 10 วันที่อยู่ภายใต้การดูแลของจางเซวียน เฉาเฉิงลี่ยกระดับวรยุทธจากนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ไปเป็นขั้น 3 ได้สำเร็จแล้ว และกำลังเดินหน้าไปสู่การเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4


ด้วยความเร็วระดับนี้ เขาน่าจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ในอีก 2-3 วันข้างหน้า


จางเซวียนบอกทั้งคู่ให้ตั้งใจฝึกฝนต่อไป ก่อนจะกลับห้อง


ถึงเวลาที่เราจะฝ่าด่านวรยุทธแล้ว


จางเซวียนใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันที่สองเพื่อซื้อยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐาน 100 เม็ด ก่อนจะศึกษาเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธขั้นเสมือนอมตะอีกครั้ง เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็สงบใจและตั้งต้นฝึกฝนวรยุทธ


ตอนที่ 1995 ถ้าอย่างนั้น นายท่าน…

เขาเริ่มด้วยการกินยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานเข้าไป 2-3 เม็ด ยาเหล่านั้นนำพลังจิตวิญญาณปริมาณมหาศาลเข้าสู่ทางเดินพลังปราณของเขา จางเซวียนขับเคลื่อนมันให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกายก่อนจะขัดเกลาให้อยู่ในสภาพของพลังปราณ


วรยุทธของเขาเข้าถึงจุดสูงสุดของวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกแล้ว เมื่อมีเทคนิควรยุทธที่เหมาะสมอยู่ในมือ ก็สามารถฝ่าด่านคอขวดได้โดยปราศจากปัญหา


ขณะที่กำลังซึมซับพลังจิตวิญญาณจากยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐาน พลังปราณของจางเซวียนก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมาก


10 นาทีต่อมา เมื่อเขาสะสมพลังปราณจนถึงขีดสุด วรยุทธของเขาก็ระเบิดและทะลุเพดานที่สกัดกั้นมันไว้


จางเซวียนสำเร็จวรยุทธขั้นเสมือนอมตะแล้ว!


แต่เขาไม่หยุดอยู่แค่นั้น


เขากินยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานเข้าไปอีกหลายเม็ดและฝึกฝนวรยุทธต่อไป


การใช้เคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธขั้นเสมือนอมตะทำให้จางเซวียนใช้พลังงานที่อยู่ในยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่โชคดีที่คราวนี้เขามีเงินมากพอจะรักษาระดับวรยุทธไว้


ทันทีที่จางเซวียนรู้สึกได้ว่าวรยุทธเริ่มถดถอย เขาก็จะกินยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานเข้าไปอีกจำนวนหนึ่งเพื่อฟื้นฟูพลังงาน ด้วยการไหลเวียนของพลังปราณตามแบบของเคล็ดวิชาเทียบฟ้า วรยุทธของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง


เสมือนอมตะ ระดับล่าง!


เสมือนอมตะ ระดับสูง!


เสมือนอมตะ ปฐพี!


ผ่านไป 2 ชั่วโมง จางเซวียนก็ยกระดับวรยุทธได้อีก 1 ขั้น เขาเข้าถึงวรยุทธขั้นเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ!


ยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานเกือบ 100 เม็ดที่เขาซื้อมาก่อนหน้านี้ถูกใช้ไประหว่างการฝึกฝนวรยุทธ แต่ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้ยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานไม่มีประสิทธิภาพในการยกระดับวรยุทธของเขาอีกต่อไปแล้ว หากจางเซวียนอยากยกระดับวรยุทธขึ้นอีก ก็ต้องใช้ยาที่มีประสิทธิภาพสูงกว่านี้


ความคิดว่องไว, จิตวิญญาณบริสุทธิ์, เปลวเพลิงที่ไม่มีวันมอดดับ…นี่คือความแข็งแกร่งของวรยุทธขั้นเสมือนอมตะ! จางเซวียนกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น


วรยุทธของเขาเพิ่มสูงขึ้นอีกเพียง 1 ขั้น แต่พละกำลังและความแข็งแกร่งสูงขึ้นกว่าเดิมมาก


มีความแตกต่างไม่น้อยระหว่างวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติกับวรยุทธขั้นเสมือนอมตะ ไม่ว่าจะเป็นอายุขัยหรือพละกำลัง ก็ล้วนแต่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


ถ้าสิ่งที่เขาเคยใช้คือพลังงานต้นกำเนิด พลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในทางเดินพลังปราณของเขาตอนนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นพลังงานอมตะ มันคือพลังงานที่มีแต่ผู้เป็นอมตะเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้


โชคดีเหลือเกินที่เราได้พบไป๋เหรินชิง…จางเซวียนคิดอย่างโล่งใจ


เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลในร่างกาย จางเซวียนก็รู้ทันทีว่าพื้นฐานวรยุทธของตัวเขากับไป๋เหรินชิงนั้นต่างกันแค่ไหน


หากเขาไม่เริ่มโจมตีก่อนและไม่ได้โจมตีอย่างต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาน่าจะเป็นผู้แพ้หากไป๋เหรินชิงกลับมาตั้งตัวได้


อย่าว่าแต่นักรบอมตะตัวจริง ต่อให้เป็นแค่นักรบเสมือนอมตะ ก็แข็งแกร่งกว่านักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติอย่างน้อยเป็น 10 เท่า


ในเวลาเดียวกัน วรยุทธที่เพิ่มสูงขึ้นก็ทำให้จางเซวียนมีความเข้าใจที่ล้ำลึกกว่าเดิมว่าแท้ที่จริงแล้วเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าคืออะไร ด้วยพลังของศิลปะเพลงดาบของเขาในตอนนี้ เขารู้สึกได้ว่าตัวเองน่าจะเอาชนะได้แม้แต่นักรบอมตะสรวงสวรรค์


ส่วนนักรบอมตะขั้นสูงนั้น เพราะจางเซวียนไม่เคยปะทะกับผู้ที่มีวรยุทธระดับนี้มาก่อน จึงประเมินไม่ได้แน่ชัดว่าพวกเขาทรงพลังแค่ไหน แต่จากสถิติที่มีการบันทึกไว้ ก็ดูเหมือนว่าตัวเขาในเวลานี้น่าจะยังเทียบชั้นกับคนเหล่านั้นไม่ได้


ถึงเวลาที่ไอ้โหดกับตัวโคลนของเราจะได้ฝ่าด่านวรยุทธแล้ว จางเซวียนคิด


เขาซื้อยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานมาเพิ่ม ก่อนจะปล่อยให้ตัวโคลนกับไอ้โหดได้ฝึกฝนวรยุทธ


ส่วนน้ำเต้าตงฉู่ แม้จะกินยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานเข้าไปแล้วกว่าร้อยเม็ด ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับการฟื้นคืนร่างเดิม ทันทีที่จางเซวียนปล่อยมันออกมา มันก็คร่ำครวญร้องหาอาหารทันที


เมื่อรู้สึกว่าน่ารำคาญเกินไป จางเซวียนเก็บน้ำเต้าตงฉู่กลับเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติอย่างไม่ลังเล


แค่คิดว่าจะต้องรับมือกับน้ำเต้าตงฉู่ที่แสนงี่เง่าอย่างไรก็ทำให้ปวดหัวหนักแล้ว ชาติก่อนเขาคงทำบาปทำกรรมไว้มากมาย ถึงต้องเจอเรื่องแบบนี้!


แถมทุกอย่างยังเลวร้ายลงไปอีก เพราะจนป่านนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าน้ำเต้าตงฉู่ทำอะไรได้นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าน้ำที่ได้จากการอาบตัวมันใช้เยียวยาอาการบาดเจ็บได้


บางที ต่อไปเขาน่าจะลองให้นักรบอมตะขั้นสูงปะทะกับน้ำเต้าตงฉู่ ถ้ามันยังเอาชีวิตรอดมาได้ เขาก็อาจจะพิจารณาใช้มันเป็นโล่สำหรับป้องกันตัว


…..


ขณะที่จางเซวียนยังคงฝึกฝนวรยุทธ ไป๋เหรินชิงกับไป๋เฟิงก็กลับถึงบ้านพักของผู้อาวุโสไป๋เย่


“เป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้อาวุโสไป๋เย่ตั้งคำถาม


“นายหญิงน้อยทดสอบทักษะของเจ้าหนุ่มคนนั้นด้วยตัวเอง ผมให้เธอพูดแทนดีกว่า…” ไป๋เฟิงถอยไปก้าวหนึ่ง


“ท่านปู่ ศิลปะเพลงดาบของจางเซวียนน่าเกลียดน่าชังมาก เขาทำไม่ได้แม้แต่จะสำแดงศิลปะเพลงดาบขั้นพื้นฐานที่สุด ฉันลดระดับวรยุทธลงให้เท่ากับเขาแล้วทดสอบเขาด้วยศิลปะเพลงดาบขั้นพื้นฐานที่สุดของสำนักของเรา ซึ่งเขาก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ…เขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นศิษย์ของท่านปู่หรอก” ไป๋เหรินชิงตอบ


ขณะกำลังอธิบาย เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมอย่างจริงใจในตัวอาจารย์ลุงของเธอ


ในสำนักดาบเมฆเหิน มีศิษย์สายตรงมากมายที่ยอมพลีกายถวายหัวเพียงเพื่อจะได้เป็นศิษย์ของท่านปู่ของเธอ แต่ ‘อาจารย์ลุง’ กลับไม่มีความสนใจเรื่องนั้นเลย เขาถึงกับยอมจัดฉากเล่นละครเพื่อทำให้ข้อเสนอนี้ตกไป…ช่างเป็นคนที่ถ่อมเนื้อถ่อมตัวจริงๆ!


นักรบทุกคนควรจะยึดถือเขาเป็นแบบอย่าง


ส่วนผู้อาวุโสไป๋เย่ก็ขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังคำอธิบายของหลานสาว


“ฉันเก็บภาพการต่อสู้เมื่อครู่นี้ไว้ด้วย ท่านปู่พิจารณาเถอะ” ไป๋เหรินชิงพูดขณะยื่นผลึกบันทึกให้


ผู้อาวุโสไป๋เย่รับผลึกบันทึกมาและถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป ภาพการต่อสู้เมื่อครู่นี้ปรากฏขึ้นตรงหน้า แสดงให้เห็นว่าไป๋เหรินชิงเอาชนะจางเซวียนได้อย่างง่ายดาย


“ดูเอาเถอะ! ฉันไม่ได้โกหก ท่านปู่เห็นไหม? ฝีมือของเขาย่ำแย่เกินทน ชื่อเสียงของท่านปู่มีแต่จะด่างพร้อยหากรับคนอย่างเขาเป็นศิษย์” ไป๋เหรินชิงย้ำ


“เอาเถอะ ปู่เข้าใจแล้ว เจ้าไปได้ ปู่มีเรื่องจะหารือกับอาเฟิง” ผู้อาวุโสไป๋เย่ตอบพร้อมกับโบกมือ


“ได้สิ ท่านปู่” ไป๋เหรินชิงหันหลังกลับแล้วออกจากห้องไป


ทันทีที่เธอออกจากห้อง ผู้อาวุโสไป๋เย่ก็หันมาถามไป๋เฟิง “คุณมีความเห็นเรื่องนี้อย่างไร?”


“ผมมั่นใจในการปลอมตัวของผม แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ผมรู้สึกได้ว่าเจ้าหนุ่มนั่นรู้ล่วงหน้าว่าผมจะมา สายตาและทีท่าของเขาบ่งบอกถึงความปั่นป่วนก็จริง แต่ผมสัมผัสได้ถึงเศษเสี้ยวของความมั่นใจในตัวเขา ดูเหมือนเขาไม่ได้กังวลสักนิดว่าตัวเองจะถูกฆ่า…” ไป๋เฟิงเปิดเผยสิ่งที่ค้างคาใจ


เขาเป็นคนช่างสังเกตและละเอียดลออเสมอ ด้วยเหตุนี้ แม้จางเซวียนจะจัดฉากเล่นละครอย่างดี เขาก็ยังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ


“ถ้าเขาหวาดกลัวจริงๆ ก็น่าจะพยายามวิ่งหนีหรือร้องขอความช่วยเหลือ ไม่น่าจะแสดงอาการแบบนี้…” ผู้อาวุโสไป๋เย่พยักหน้าอย่างเห็นพ้อง


เขาเองก็คิดแบบเดียวกับไป๋เฟิง


“ถ้าอย่างนั้น นายท่าน…” ไป๋เฟิงเปรยอย่างสงสัย


“ผมตามใจเจ้าหลานคนนี้มากไปเสียแล้ว! เหรินชิงเป็นคนฉลาดและช่างสังเกต แต่ก็มักปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ทำให้มีนิสัยหุนหันพลันแล่นอย่างที่เห็น เป็นไปได้ว่าเหรินชิงน่าจะไปดักเจ้าหนุ่มนั่นก่อนแล้ว แต่คราวนี้เธอรอให้คุณปรากฏตัวก่อนจะเล่นงานเขา ผมไม่เชื่อหรอกว่านี่ไม่ใช่การเล่นละครของสองคนนั่น…” ผู้อาวุโสไป๋เย่ลูบเคราขณะถอนหายใจอย่างจนปัญญา


“เล่นละคร? นายท่าน คุณหมายความว่า…” ไป๋เฟิงขมวดคิ้ว


“ไม่นานหลังจากที่คุณออกไป เหรินชิงก็ออกจากบ้านพัก ผมให้คนสะกดรอยตามเธอ คนของผมรายงานว่าเหรินชิงไปที่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด แล้วใช้ห้องส่วนตัวร่วมกับจางเซวียน เธออยู่ในห้องกับเขาสองต่อสองเกือบ 2 ชั่วโมง…” ผู้อาวุโสไป๋เย่ยื่นตราหยกอันหนึ่งให้ไป๋เฟิงขณะอธิบาย


ไป๋เฟิงรีบรับตราหยกมา หลังจากเห็นรายละเอียด ก็อ้าปากค้างด้วยความพรั่นพรึง


ชายหนุ่มคนหนึ่งกับหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ในห้องส่วนตัวสองต่อสองเป็นเวลานานสองนาน…หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งคู่?


“นายท่าน คุณกำลังสงสัยว่าจางเซวียนกับนายหญิงน้อยอาจมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาหรือ?” ไป๋เฟิงถาม


“ตลอดสองสามวันนับจากนี้ ผมอยากให้คุณแอบสะกดรอยตามเหรินชิงว่าเธอไปที่ไหนบ้าง รายงานสิ่งที่คุณพบให้ผมรับรู้ด้วย แล้วจับตาดูจางเซวียนให้ดี ผมไม่คิดว่าศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งจะทำให้หลานสาวของผมที่ไม่เคยเกรงกลัวใครทำตัวว่านอนสอนง่ายและอยู่ในโอวาทของเขาได้ ผมอยากเห็นว่าความสามารถที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร!” ผู้อาวุโสไป๋สั่งการ


ตัวเขาเป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักดาบเมฆเหิน จึงแน่นอนว่าความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ของเขาย่อมไม่ธรรมดา


เขาเกรงว่าหลานสาวคนนี้จะก่อเรื่องวุ่นวายหลังจากได้รู้ว่าเขาตั้งใจจะรับจางเซวียนเป็นศิษย์ จึงให้คนสะกดรอยตามเธอ ด้วยเหตุนี้ จึงพอรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด


ทั้งคู่อยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องส่วนตัวเป็นเวลานาน อีกทั้งหลานสาวของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อไป๋เฟิงทำการทดสอบจางเซวียน ทำให้เห็นชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ


“อย่าตามติดเธอให้เด่นชัดจนเกินไป ไม่อย่างนั้น ถ้าเธอรู้ตัวล่ะก็ จะต้องมาอาละวาดกับผมอีก อีกอย่าง…ผมอยากให้คุณสืบเสาะภูมิหลังและตัวตนของจางเซวียนด้วย ไม่รู้สินะ ผมรู้สึกว่าไม่เคยเห็นชื่อของเขาในรายชื่อของศิษย์สายตรงฝ่ายในเลย!” ผู้อาวุโสไป๋เย่สำทับพร้อมกับโบกมือ


“ขอรับ นายท่าน!” ไป๋เฟิงพยักหน้าก่อนจะออกไป


…..


ไป๋เหรินชิงไม่รู้เลยว่าการจัดฉากเล่นละครระหว่างตัวเธอกับ ‘อาจารย์ลุง’ ถูกเปิดเผยแล้ว ในเวลานั้น เธอกำลังง่วนกับการฝึกฝนศิลปะเพลงดาบอยู่ในห้อง


เมื่อถึงกระบวนท่าที่ 10 รอยย่นก็ค่อยๆปรากฏบนหน้าผากของเธอ


ศิลปะเพลงดาบที่อาจารย์ลุงถ่ายทอดให้นั้นลึกซึ้งมาก เธอทำความเข้าใจขั้นต้นได้อย่างง่ายดายและพัฒนาได้เร็ว แต่เมื่อศึกษาไปเรื่อยๆ ก็พลันรู้สึกว่าศิลปะเพลงดาบนี้ซับซ้อนกว่าที่คิดไว้ ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่เธอยังไม่เข้าใจ ทำให้สะดุดเข้ากับด่านคอขวดอยู่หลายครั้ง


ขอปรึกษาอาจารย์ลุงหน่อยเถอะ…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)