อัจฉริยะสมองเพชร 1988-1989

 ตอนที่ 1988 พวกคุณยังมีอะไรจะแก้ตัวอีก?

“ตลอดระยะเวลาแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานของสำนักดาบเมฆเหิน นี่เป็นครั้งแรกที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น!”


“ผมไม่รู้ว่าใครในหมู่พวกคุณที่เป็นผมน่ะถ่อมตัว แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเอาชนะศิษย์สายตรงกว่าห้าพันคนได้ด้วยตัวเขาเพียงคนเดียวถือเป็นเรื่องใหญ่ของทางสำนัก ถือว่าเขาคู่ควรแก่การยกย่อง! ส่วนพวกคุณที่เหลือ ขนาดมีกันถึงห้าพันคนก็ยังสังหารเขาไม่ได้ ผมขอถามพวกคุณหน่อย ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้พวกคุณร่ำเรียนอะไรกัน? ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ใช่ไหม?”


ผู้อาวุโสหวงเหยามีสีหน้าเรียบเฉย ยากที่จะบอกได้ว่าเขากำลังโกรธหรือตื่นเต้น ฝูงชนต่างไม่แน่ใจ ว่าควรคาดเดาอย่างไร


แต่ถึงอย่างนั้น คำพูดของอีกฝ่ายก็ทำให้ทุกคนก้มหน้าด้วยความอับอาย


มันคือความขายหน้าครั้งใหญ่ที่พวกเขาเอาชนะนักรบเพียงคนเดียวไม่ได้ ไม่มีอะไรให้โต้แย้งได้เลย


เพียงแต่…


ถ้าพวกเราจำไม่ผิด ผู้อาวุโสหวงเหยา…คุณเองก็ไปที่นั่นและถูกสังหารเหมือนกันไม่ใช่หรือ? แล้วมาเทศนาพวกเราแบบนี้ มันถูกต้องแล้วหรือไง?


แต่ก็แน่นอนว่าไม่มีศิษย์สายตรงฝ่ายในคนไหนกล้าพูดคำนั้นออกมาดังๆ


“จริงอยู่ว่าพวกเราเทียบชั้นกับผมน่ะถ่อมตัวไม่ได้ แต่…ด้วยความเก่งกาจของเขา มีความเป็นไปได้ไหมที่เขาจะเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดปลอมตัวมา?” ศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งตั้งคำถาม


ทันทีที่คำถามนั้นดังขึ้น ผู้คนมากมายก็พากันพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง


ในฐานะศิษย์สายตรงฝ่ายในด้วยกัน พวกเขารู้ระดับความสามารถของพวกเดียวกันเป็นอย่างดี หากมีใครสักคนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเล็กน้อยปรากฏตัว ก็ยังไม่น่าแปลกใจอะไร แต่ผมน่ะถ่อมตัวไปไกลกว่านั้น ไกลเกินกว่าระดับที่จะเอ่ยถึง ทำให้พวกเขาเกิดความคิดนั้นขึ้นมา


รู้ดีว่าบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในจะต้องตั้งคำถามนี้ หวงเหยาโบกมือ “ผู้อาวุโสมู่และพวกเราที่เหลือได้ไปที่ศาลาเพลงดาบเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว พละกำลังของเขาคือนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกเท่านั้น นี่คือผลการตรวจสอบ…”


วิ้งงงง!


มีบันทึกภาพปรากฏขึ้นกลางอากาศ แสดงให้เห็นภาพของผู้อาวุโสทั้ง 10 ที่เดินหน้าเข้าสู่กำแพงเพื่อตรวจสอบพละกำลังของผมน่ะถ่อมตัว ไม่ช้ากำแพงนั้นก็เปิดเผยผลลัพธ์ซึ่งตรงกับที่ผู้อาวุโสมู่ได้บอกไว้


“เขาเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึก…เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในเหมือนพวกเรา!”


“เป็นไปได้หรือที่ศิษย์สายตรงฝ่ายในจะทรงพลังขนาดนี้?”


“ผมไม่เชื่อหรอกว่าเพียงแค่ทักษะเหล่านั้นจะทำให้ใครสักคนเก่งกาจกว่าคนอื่นๆได้หลายเท่า!”


ภาพนั้นทำให้ความแคลงใจที่ว่าผมน่ะถ่อมตัวอาจไม่ใช่ศิษย์สายตรงฝ่ายในถูกปัดตกไป


“พวกคุณยังมีอะไรจะแก้ตัวอีก?” หลังจากเปิดบันทึกภาพ ผู้อาวุโสหวงเหยามองเหล่าศิษย์สายตรงที่อยู่โดยรอบด้วยสีหน้าเย็นชา “พอพวกคุณเอาชนะเขาไม่ได้ ก็คิดไปทันทีว่าเขาเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด เคยพยายามค้นหาตัวเองไหมว่าทำไมถึงพ่ายแพ้?”


ยังไม่ทันที่ฝูงชนจะได้ตอบคำถาม รังสีของผู้อาวุโสหวงเหยาก็แผดกล้าและคมกริบขึ้นทันที ทำให้ทุกคนหายใจหายคอไม่ออก “ทำไมผมน่ะถ่อมตัวถึงแข็งแกร่งกว่าพวกคุณ? เหตุผลก็เหมือนกับสมญานามของเขานั่นแหละ เขาพากเพียรฝึกฝนอย่างหนัก หนักกว่าพวกคุณทุกคน ไม่วุ่นวายอยู่กับเรื่องไร้สาระอย่างชื่อเสียงและเกียรติยศ เขาไม่เคยเสียเวลาโอ้อวดทักษะของเขาต่อหน้าใครๆ หรือเข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทั้งหมดที่อยู่ในหัวใจของเขาคือการฝึกฝนวรยุทธ ฝึกฝนวรยุทธ และฝึกฝนวรยุทธเท่านั้น! เพราะการเสียเลือด หยาดเหงื่อ และน้ำตามากกว่าใครๆที่ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่ระดับนี้ได้ แล้วพวกคุณที่เหลือล่ะ?”


ผู้อาวุโสหวงเหยาเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ “พวกคุณหมกมุ่นอยู่แต่กับศักดิ์ศรีและความรุ่งโรจน์ การต่อสู้จะช่วยพัฒนาทักษะของคุณได้ แต่คุณพอใจอยู่แต่กับการรับมือกับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอกว่า และจมอยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมๆที่คุ้นชิน เพื่อที่จะได้เอาชนะการประลองได้ คุณมองว่าความพ่ายแพ้เป็นเรื่องน่าสะพรึง ด้วยกรอบความคิดแบบนี้ พวกคุณจะฝึกฝนศิลปะเพลงดาบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกได้อย่างไร? จะมีวันไหนที่จะได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง?”


คำพูดเหล่านั้นตีแสกหน้าทุกคน เมื่อหวนนึกถึงเวลามากมายที่พวกเขาสูญเสียไปกับการไขว่คว้าหาเกียรติยศและความรุ่งโรจน์ ก็ได้แต่ก้มหน้างุดด้วยความอับอาย


ส่วนจางเซวียนก็พูดอะไรไม่ออกกับการที่ตัวเขาได้รับการยกย่องขนาดนั้น


เหตุผลที่เขาไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมากมายหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระก็เพราะนี่เป็นวันแรกที่เขาเข้าสู่สำนัก ต่อให้เขาอยากทำ ก็ทำไม่ได้!


แต่ก็นั่นแหละ การที่ผู้อาวุโสหวงเหยาพูดถึงเขาว่าเพราะการเสียเลือด หยาดเหงื่อ และน้ำตามากกว่าใครๆ เขาจึงมาถึงจุดนี้ได้ เรื่องนั้นเป็นความจริงอย่างยิ่งทีเดียว


“อย่าเพิ่งพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี อย่าตีกรอบตัวเองให้จมอยู่กับสิ่งที่รู้ดีอยู่แล้ว และอย่ากล่าวโทษใครๆเมื่อสู้เขาไม่ได้ ถึงพวกคุณจะไม่ได้ปราดเปรื่องเท่าอีกฝ่าย แต่นั่นก็เป็นเพราะความพากเพียรของพวกคุณไม่ได้ใกล้เคียงกับเขาเลย!” เสียงของผู้อาวุโสหวงเหยาดังกึกก้องไปทั่ว “นับจากวันนี้ ผมหวังว่าพวกคุณจะโยนเรื่องไร้สาระทิ้งไป และทำให้แผนกศิษย์สายตรงฝ่ายในแข็งแกร่งกว่าที่เคย ทำได้ไหม? มีความมั่นใจมากพอหรือเปล่า?”


“ขอรับ ผู้อาวุโสหวง!”


“พวกเรามั่นใจว่าทำได้!”


บรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในกำหมัดแน่นและคำรามด้วยความฮึกเหิม


เห็นความฮึกเหิมของฝูงชน จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขาคิดว่าเหล่าผู้อาวุโสจะมาสืบเสาะหาตัวตนของเขา จึงเผ่นหนีมาด้วยความหวาดกลัว แต่ลงท้าย พวกนั้นก็แค่ใช้ตัวตนของเขาเป็นแรงบันดาลใจและจุดประกายความฮึกเหิมให้กับบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคน


“ทั้งหมดที่ผมจะพูดในวันนี้ก็มีเพียงเท่านี้ ผมได้ฟังคำตอบของพวกคุณแล้ว และกำลังรอคอยความสำเร็จนั้น” ผู้อาวุโสตอบ “เรื่องสุดท้าย ไม่ว่าผมน่ะถ่อมตัวจะเป็นใคร ผมหวังว่าพวกคุณจะสามารถตามหาตัวเขาให้ผมได้!”


“เอาล่ะ แยกย้าย!”


เมื่อเห็นว่าตัวตนของเขายังไม่ถูกเปิดเผย จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เขาออกจากที่ซ่อน และขณะที่กำลังจะมุ่งหน้าไปที่หุบเขาฝนโปรย ก็มีเสียงร้องอย่างตื่นเต้นดังขึ้นด้านหลัง


“นั่นเขา! นั่นเขา!”


เสียงนั้นทั้งตื่นเต้นและเร่งร้อน ดึงดูดความสนใจของทุกคน


จางเซวียนหันขวับ เหงื่อแตกซิก เขาแทบลมจับไปเดี๋ยวนั้น


ผู้ที่ตะโกนออกมายังคงชี้ไม้ชี้มือมาที่เขาอย่างตื่นเต้น ทำให้ตัวเขาตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน


“บ้าแล้ว?” จางเซวียนขนลุกขนชันทั่วทั้งตัว


เขาคงไม่ถูกจับได้ด้วยวิธีแบบนี้หรอก ใช่ไหม?


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง…เขาจะถ่อมตัวต่อไปได้อย่างไร?


ที่สำคัญกว่านั้น ทันทีที่ตัวตนของเขาถูกเปิดเผย ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะไม่มีเวลาฝึกฝนวรยุทธอีก บรรดาผู้เข้าท้าทายคงเข้ามารบกวนเขาอย่างไม่หยุดหย่อนราวกับฝูงแมลงน่ารำคาญ หวังจะได้ดวลกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าใครคนหนึ่งสามารถหงุดหงิดรำคาญใจจนตายได้ เขาก็คงจะตายเพราะเหตุนั้น


อีกอย่าง ใครบ้างที่ไม่อยากสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง หากพวกนั้นเอาชนะตัวเขาที่เล่นงานศิษย์สายตรงฝ่ายในไปถึงห้าพันคนได้ ก็แน่นอนว่าจะได้สวมตำแหน่งของเขาทันที


“ไม่ ไม่ใช่ผมนะ คุณน่ะตาไม่ดี จำคนผิดแล้ว” จางเซวียนตอบขณะหันหลังกลับและเตรียมเผ่น


ขณะที่ทุกคนยังคงงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น จางเซวียนก็โจนทะยานออกไปราวกับม้าที่หลุดจากบังเหียน แทบจะหายวับไปในชั่วพริบตา


“อย่าวิ่งนะ!” ศิษย์สายตรงฝ่ายในที่ตะโกนออกมาก่อนหน้านี้ถึงกับจังงังกับการเคลื่อนไหว อันรวดเร็วของจางเซวียน เขากำลังจะไล่ตามอีกฝ่าย ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงที่ถาโถมลงมา ผู้อาวุโสหวงมาอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้และตั้งคำถาม “คุณบอกว่านั่นเขา แล้วเขาเป็นใคร?”


“เขาคือคนขายยาปลอม เอ่อ…ไม่ใช่ ผมหมายความว่าเขาคือพ่อค้ายาของจริง!” ศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้นรีบตอบพร้อมกับโค้งคำนับ


ผู้อาวุโสหวงเหยากระพริบตาปริบๆ


ถ้าทำได้ ก็อยากจะตบหมอนี่ให้จมลงไปถึงก้นบึ้งมหาสมุทร


เมื่อครู่นี้เองที่เขากำลังพูดถึงผมน่ะถ่อมตัว ก็พอดีที่หมอนี่ร้องโวยวาย “นั่นเขา!” ผู้อาวุโสหวงเหยาลิงโลดขึ้นมาทันทีเพราะนึกว่าในที่สุดก็ได้พบตัวนักดาบผู้ทรงพลังคนนั้น แต่กลับกลายเป็นแค่พ่อค้ายาคนหนึ่ง


คุณจะต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วยหรือกับอีแค่พบตัวพ่อค้ายา?


เห็นผู้อาวุโสหวงเหยาหน้าหงิกขึ้นเรื่อยๆ ศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้นรีบอธิบาย “นี่เป็นคำขอจากศิษย์พี่ไป๋เหรินชิง พวกเรายังไม่พบตัวเขาสักที ผมจึงอดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อในที่สุดก็หาตัวเขาเจอ…”


แม้ศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นี้จะไม่ได้ตั้งแผงอยู่ใกล้กับจางเซวียนที่ตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายในเมื่อครั้งนั้น แต่เขาก็เคยจับตามองจางเซวียนตอนที่อีกฝ่ายเจรจาซื้อขายกับไป๋เหรินชิง


ตอนนั้นจางเซวียนไม่ได้ใส่ใจบรรดาพ่อค้าที่อยู่ในตลาด จึงจำศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นี้ไม่ได้


“ไป๋เหรินชิงกำลังตามหาเขา?” ผู้อาวุโสหวงเหยาขมวดคิ้ว


แม้จะเป็นผู้อาวุโส แต่เขาก็รู้เรื่องราวของไป๋เหรินชิงมามาก ว่าแต่ทำไมจู่ๆหลานสาวของผู้อาวุโสไป๋เย่ถึงตามหาศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่ง?


“ดูเหมือนยาที่เธอซื้อจากเขาจะใช้ได้ผลดีมาก เธอจึงอยากซื้อเพิ่ม” ศิษย์สายตรงฝ่ายในตอบ


“เข้าใจแล้ว ไปตามหาตัวเขาเถอะ อย่าทำให้ไป๋เหรินชิงอารมณ์เสีย” ผู้อาวุโสหวงเหยาโบกมืออย่างจนปัญญา ในเมื่อหมอนั่นไม่ใช่ผมน่ะถ่อมตัว เขาก็ไม่อยากใส่ใจเรื่องนี้อีก


รู้ดีว่ามีเวลาไม่มากพอที่จะรายงานหลิวลู่จี่กับคนอื่นๆ ศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้นรีบพุ่งทะยานลงจากภูเขาเพื่อตามล่าจางเซวียน


“เกือบไปแล้วสิเรา”


หลังจากวิ่งมาได้สักพัก จางเซวียนมองไปข้างหลังและเห็นว่าไม่มีใครตามมา เขาหยุดพักพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็กุมขมับ


เขาก็แค่อยากเป็นคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตแบบธรรมดา ทำไมมันยากเย็นนัก?


เราไม่ได้อยากเกิดมาโดดเด่นเสียหน่อย!


แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อมีคนจำเราได้แล้ว นั่นก็หมายความว่าตัวตนของเราถูกเปิดเผย


จางเซวียนไม่รู้ว่าความลับของเขาถูกเปิดเผยได้อย่างไร แต่ตราบใดที่เขายืนกรานปฏิเสธและไม่สำแดงพละกำลังที่แท้จริงออกมา อีกฝ่ายก็ไม่มีทางพิสูจน์ได้ว่าเขาคือผมน่ะถ่อมตัวจริงๆหรือไม่


เห็นทีจะต้องทำลายตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล


หากเขาไม่ทำลายมัน ใครสักคนก็อาจนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของเขาไปเทียบกับสถิติที่บันทึกไว้ และนั่นจะเป็นหลักฐานชั้นดีในการยืนยันตัวตนของเขา หากถึงตอนนั้น เขาก็ไม่อาจพูดอะไรเพื่อเป็นการแก้ตัวได้อีก


ตอนที่ 1989 แล้วเธอตามหาผมทำไม?

โชคดีที่เหรียญสำนักดาบที่เราได้มาถูกเก็บไว้ในบัตรนิรันดร์ ซึ่งไม่อาจสาวถึงมันได้ ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเพื่อถอนเงิน จางเซวียนคิดขณะนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของ ‘ผมน่ะถ่อมตัว’ ออกมาทำลาย


ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เหล่านักรบจะถูกสังหารในหอนิรันดร์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะเก็บเงินไว้ในบัตรนิรันดร์แทน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจะยังสามารถรับเงินได้ ต่อให้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลใช้งานไม่ได้แล้วก็ตาม


หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ จางเซวียนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย แต่ในตอนนั้นเอง ชายผู้เคยชี้มือชี้ไม้ใส่เขาก็ตามมาทัน


จางเซวียนมองข้ามไหล่ชายผู้นั้นไป แต่ก็น่าแปลกใจที่ไม่มีใครตามมา เรื่องนี้ทำให้เขาทั้งโล่งอกและงุนงง


ในเมื่อหมอนั่นชี้มือชี้ไม้บอกใครๆว่าตัวเขาคือผมน่ะถ่อมตัว ก็ควรจะทำให้ผู้อาวุโสหวงเหยากับคนอื่นๆตามมาด้วยไม่ใช่หรือ?


ทำไมหมอนั่นถึงมาคนเดียว?


คนพวกนั้นกลัวเขา หรือว่าอะไร?


ช่างมันเถอะ ไม่ว่าพวกนั้นจะมีแผนอะไร เขาก็จะยืนกระต่ายขาเดียวปฏิเสธ! เพราะถึงอย่างไรเขาก็หักตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลทิ้งไปแล้ว ไม่มีทางยืนยันตัวตนของเขาได้


“พี่ชาย คุณวิ่งเร็วเหลือเกิน…”


เมื่อตามจางเซวียนทัน ศิษย์สายตรงผู้นั้นตัวงอและหอบแฮ่กด้วยความเหน็ดเหนื่อย


ถึงจางเซวียนจะตั้งใจยอมลดสปีดของตัวเองลงเพื่อไม่ให้ใครๆรู้สึกถึงความผิดปกติในตัวเขา แต่มันก็ยังเป็นความเร็วที่ไม่ใช่ใครจะตามทันกันได้ง่ายๆ


“โชคดีเหลือเกินที่ผมจำคุณได้เป็นคนแรก คราวนี้ผมเจอขุมทรัพย์แล้ว…”


ทั้งๆที่ยังเหนื่อย แต่ศิษย์สายตรงผู้นั้นก็มองจางเซวียนด้วยนัยน์ตาเป็นประกายราวกับนักล่าสมบัติที่ได้พบสมบัติเข้าโดยบังเอิญ


“จำผมได้? อย่าพูดเหลวไหลน่ะ ผมไม่มีทางหล่อเหลาและดุดันเหมือนผมน่ะถ่อมตัวได้หรอก เขาเหมือนดวงอาทิตย์เจิดจ้า ส่วนผมเป็นแค่ศิษย์สายตรงฝ่ายในธรรมดาๆคนหนึ่ง ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นหยุดพล่ามเลอะเทอะเสียที อาจมีใครตายเพราะเรื่องนี้ก็ได้!” จางเซวียนโบกมืออย่างพยายามจะปัดให้พ้นตัว


“ผมน่ะถ่อมตัว? คุณพูดบ้าอะไร?” ศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้นงุนงงกับคำพูดของจางเซวียน


“ฮะ?” จางเซวียนตัวแข็ง “แล้วมันเรื่องอะไรคุณถึงวิ่งตามผม?”


ถ้าไม่ใช่เพราะคุณคิดว่าผมคือผมน่ะถ่อมตัว ทำไมถึงไล่ล่าผมอย่างไม่ลดละขนาดนั้น? คุณทำให้ผมกลัวจนต้องหักตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลทิ้ง รู้หรือเปล่า?


“คุณเพิ่งขายยาฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ศิษย์พี่ไป๋เหรินชิงใช่ไหม? เธอสั่งการให้พวกเราตามหาคุณ ไม่อย่างนั้นเราจะต้องถูกซ้อมอย่างหนัก…ดูรอยฟกช้ำบนตัวผมสิ ฝีมือเธอทั้งนั้น! ถ้าผมไม่รีบหาตัวคุณให้เจอล่ะก็ เธอจะต้องทรมานพวกเราถึงตายแน่…” ศิษย์สายตรงผู้นั้นชี้ร่างของตัวเองและร่ำร้อง


เมื่อมองใกล้ๆ จางเซวียนเห็นทันทีว่าอีกฝ่ายมีบาดแผลทั่วตัวและร่ำๆจะปล่อยโฮออกมา


ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณก็ควรจะพูดเสียตั้งแต่แรก! รู้หรือเปล่าว่าความหวาดผวาเมื่อครู่นี้น่ะทำให้ผมอายุสั้นไปกี่ปี?


ผมถึงกับต้องหักตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล มันมีมูลค่าตั้ง 20 เหรียญสำนักดาบ คุณก็รู้!


กลับกลายเป็นว่าหวาดกลัวไปโดยเปล่าประโยชน์


โชคดีที่ผมไม่ได้เสียอะไรไปมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคงต้องถลกหนังหัวคุณทั้งเป็นแน่


“แล้วเธอตามหาผมทำไม?” จางเซวียนถาม


“ผมก็ไม่แน่ใจ ดูเหมือนยาฟื้นฟูสภาพร่างกายของคุณจะใช้ได้ผลดี เธอจึงอยากซื้อเพิ่มอีกสัก 2-3 ขวด” ศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้นตอบ


“เธออยากซื้อยาเพิ่ม?” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อในที่สุดก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


ทุกอย่างจะยังคงราบรื่นหากตัวตนของเขาในฐานะผมน่ะถ่อมตัวยังไม่ถูกเปิดเผย ส่วนยาฟื้นฟูสภาพร่างกายที่เขาขายไปนั้น แน่นอนว่ามันใช้ได้ผลดี ไม่อย่างนั้นมันคงไม่เยียวยาตัวเขาได้รวดเร็วอย่างที่เห็น


“ใช่แล้ว” ศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้นพยักหน้า “ผมคงต้องรบกวนคุณให้ไปพบศิษย์พี่หลิวลู่จี่พร้อมกับผม เขาคือคนเดียวที่ติดต่อศิษย์พี่ไป๋ได้”


ตอนแรก จางเซวียนคิดจะปฏิเสธศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้น เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะลำบากยุ่งยาก แต่แล้วความคิดหนึ่งก็พลันแวบเข้ามา เขาตั้งคำถาม “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ศิษย์พี่ไป๋เหรินชิงคือหลานสาวของผู้อาวุโสไป๋เย่ใช่ไหม เธอมีสถานภาพสูงส่งเอาการในบรรดาศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ใช่หรือเปล่า?”


ข่าวคราวของไดโนเสาร์ตัวเมียตัวนี้กระฉ่อนจนมาถึงแม้กระทั่งตัวเขา


เพราะมีทั้งตำแหน่งและอิทธิพล เธอจึงน่าจะช่วยเขาให้เข้าสู่หอสมุดของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ย่อมดีกว่าการที่เขาจะเดินทางไปยังหุบเขาฝนโปรย


“ใช่ เธอมีสถานภาพสูงส่งมากในสำนัก ถึงขนาดที่ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเธอ ยาฟื้นฟูสภาพร่างกายของคุณได้การยอมรับจากเธอนะ เธอถึงกับเจาะจงสั่งการพวกเราให้มาตามหาคุณ ผมเชื่อว่า เธอให้ความสำคัญกับคุณมาก และนั่นจะเป็นโอกาสดีที่คุณจะได้ขยับสถานภาพของตัวเองให้สูงขึ้น” ศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้นตอบด้วยแววตาที่บ่งบอกความอิจฉา “เมื่อคุณได้ดิบได้ดีแล้ว ขอแค่อย่าลืมผมก็พอ”


ก็เพราะชายผู้นี้ที่ทำให้ไป๋เหรินชิงซ้อมพวกเขาจนหมอบ เท่าที่เห็น ดูเหมือนไป๋เหรินชิงตัดสินใจแล้วที่จะปกป้องอีกฝ่าย ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขาไม่กล้าแสดงอาการกระด้างกระเดื่องต่อชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” เมื่อเข้าใจเรื่องราวดีแล้ว จางเซวียนตาโตก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่ลังเล


เขาตามหลังศิษย์สายตรงฝ่ายในผู้นั้นไป ไม่ช้าก็มาถึงบ้านพักของหลิวลู่จี่


“คุณคือผู้ที่ขายยาฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ศิษย์พี่ไป๋ใช่ไหม?”


เมื่อหลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงเห็นจางเซวียนอายุน้อยกว่าพวกเขาและมีใบหน้าที่ไม่คุ้นตา ก็ชะงักไปเล็กน้อย


“ยาฟื้นฟูสภาพร่างกายคือสิ่งที่ผมได้มาโดยบังเอิญ และถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว” จางเซวียนพูด “ผมพบว่ามันมีอานุภาพในการรักษาบาดแผลและอาการบาดเจ็บแทบทุกชนิด จึงถือว่ามันเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่าสูงสุดของผม เพราะผมมีความต้องการใช้เงินเร่งด่วน จึงจำเป็นต้องขายมัน ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะได้ช่วยเหลือศิษย์พี่ไป๋”


จางเซวียนรู้ดีว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างไร เพราะไม่มีทางเลือก เขาจึงจำเป็นต้องขายน้ำที่ได้จากการอาบน้ำเต้าตงฉู่ แต่ก็รู้ดีเกินกว่าจะเปิดเผยที่มาที่แท้จริงของมัน แถมยังพูดกันไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสิ่งนี้มีปริมาณจำกัด เพราะไม่อย่างนั้น ก็อาจเกิดความยุ่งยากตามมาถ้าหากใครก็ตามที่ได้รับบาดเจ็บแห่กันมาหาเขาเพื่อขอซื้อยา


“ผมแจ้งเรื่องนี้ให้ศิษย์พี่ไป๋ทราบแล้ว เธอจะมาถึงในอีกไม่ช้า ผมหวังว่าคุณจะยังมียาฟื้นฟูสภาพร่างกายนั่นเหลืออยู่นะ ไม่อย่างนั้น เกรงว่าแม้แต่ตัวผมก็คงปกป้องคุณไม่ได้…” หลิวลู่จี่พูด


“อ๋อ ผมยังมีเหลืออยู่” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


“คุณรอศิษย์พี่ไป๋อยู่ที่นี่แหละ ผมยังมีเรื่องอื่นต้องจัดการ ขอตัวก่อน” หลิวลู่จี่พูดก่อนจะบ่ายหน้าไปยังลานบ้าน


การผูกผมน่ะถ่อมตัวสังหารทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างมาก และรู้ตัวทันทีว่ายังคงอ่อนด้อย ด้วยเหตุนี้ แม้จะหวาดกลัวไป๋เหรินชิงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว


หลิวลู่จี่ก้าวเข้าสู่ลานบ้าน เขาชักดาบออกมาและเริ่มต้นแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องศิลปะเพลงดาบกับหวังเจี้ยนตงที่รอเขาอยู่พักหนึ่งแล้ว


“นี่คือศิลปะเพลงดาบที่ผมน่ะถ่อมตัวสำแดงออกมา” หวังเจี้ยนตงพูดขณะกวัดแกว่งดาบและปลดปล่อยกระแสดาบฉีสายหนึ่ง


“ไม่สิ ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ผมว่ามันควรจะเป็นแบบนี้มากกว่า” หลิวลู่จี่ขมวดคิ้วขณะสำแดงอีกกระบวนท่าหนึ่ง


ด้วยการแลกเปลี่ยนความรู้ของทั้งคู่ หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงพยายามทำความเข้าใจและเลียนแบบกระบวนท่าของผมน่ะถ่อมตัวขณะวิเคราะห์ข้อบกพร่องของตัวเองไปด้วย


เห็นกระบวนการทั้งหมด จางเซวียนพึมพำพร้อมกับพยักหน้า “พวกเขาเก่งกาจไม่เบา…”


หากมองแค่ความเก่งกาจเพียงอย่างเดียว ก็เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่เหนือชั้นกว่าตั้นเฉี่ยวเทียนมาก แต่การสังเกตเพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้วิเคราะห์ได้


ศิลปะเพลงดาบของเขาล้ำลึกและซับซ้อนเกินกว่าที่จะตีความออกมาง่ายๆ ขนาดไป๋เฟิงก็ยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้ จึงออกจะยากอยู่สักหน่อยที่ศิษย์สายตรงทั้งคู่จะเข้าถึงแก่นสารในศิลปะเพลงดาบของเขา


ด้วยเหตุนี้ ยิ่งหารือถกเถียงกันมากขึ้นเท่าไหร่ ทั้งคู่ก็ยิ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น ในฐานะครูบาอาจารย์ จางเซวียนตาค้างขณะคลื่นโทสะแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ


เขาแทบทนไม่ไหวที่จะเห็นทั้งคู่ออกทะเลไปไกลเรื่อยๆ แต่หากพูดอะไรออกไป ก็สุ่มเสี่ยงกับการที่ตัวตนที่แท้จริงจะถูกเปิดเผย เขาจึงได้แต่นั่งขยุกขยิกอยู่กับที่อย่างไม่เป็นสุข ขณะพยายามไม่ใส่ใจในสิ่งที่ทั้งคู่กำลังพูดกัน


ในตอนนั้นเอง เสียงกู่ร้องของอสูรตัวหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ ไป๋เหรินชิงมาถึงแล้ว


เห็นภาพนั้น จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


โชคดีที่เธอมาถึงเสียที ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องยอมแพ้และตำหนิสองคนนั่นชุดใหญ่


นำศิลปะเพลงดาบของเขามาบิดเบือนถึงขนาดนั้น…เขาไม่รู้จริงๆว่าควรจะพูดอย่างไร


ทันทีที่ไป๋เหรินชิงกระโจนลงจากหลังอสูร เธอก็จำจางเซวียนได้ทันทีและรี่เข้ามาอย่างตื่นเต้น “ในที่สุดฉันก็พบคุณ! คุณยังมียาฟื้นฟูสภาพร่างกายที่คุณขายให้ฉันเมื่อตอนอยู่ที่ตลาดหรือเปล่า?”


ด้วยยาขวดเล็กขวดนั้น ท่านปู่ของเธอแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเธอได้ยากลับไปมากขึ้น ท่านปู่จะต้องฟื้นตัวและแข็งแรงดังเดิมแน่!


“ตอนนี้ผมเหลืออีกแค่ 3 ขวด…” จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำขวดหยกที่เหลือออกมา


“ฉันเหมาหมด!” ไป๋เหรินชิงตอบอย่างตื่นเต้น เธอนำขวดหยกมาพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็ตั้งคำถามด้วยสีหน้าคาดหวัง “ไม่ทราบว่า…ยาฟื้นฟูสภาพร่างกายพวกนี้…คุณผสมเอง หรือได้มาจากที่ไหน?”


“ผมได้มาโดยบังเอิญระหว่างการสำรวจอาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งหนึ่ง นี่คือทั้งหมดที่ผมเหลืออยู่ ถ้าผมไม่ร้อนเงินล่ะก็ จะไม่มีทางขายมันเด็ดขาด” จางเซวียนพูด


ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่รู้อะไรเลย


“น่าเสียดาย…” ไป๋เหรินชิงถอนใจ


เธอหวังว่าจะหาซื้อมันได้มากกว่านี้ จึงอดถอนใจด้วยความผิดหวังไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เธอรีบนำเงิน 60 เหรียญสำนักดาบออกมายื่นให้จางเซวียน


แต่แทนที่จะรับเงินนั้นไป จางเซวียนมองหน้าเธอและตั้งคำถาม “ศิษย์พี่ไป๋ ตอนนี้ผมไม่อยากได้เงินแล้ว แต่มีบางอย่างที่ผมอยากขอร้องคุณ”


คำนั้นทำให้อารมณ์ที่กำลังดีๆของไป๋เหรินชิงสลายไปทันที เธอขมวดคิ้วและย้อนถามอย่างหงุดหงิด “เรื่องอะไรล่ะ?”


ถ้าอีกฝ่ายรับเงินของเธอไป เรื่องนี้ก็เป็นอันหายกัน แต่ถ้าหมอนี่ขอร้องให้เธอทำอะไรให้ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจคลี่คลายได้ด้วยการใช้เงินเพียงอย่างเดียว


แต่ก็นั่นแหละ ถึงอย่างไรเรื่องจริงก็คือยาของเขาช่วยชีวิตท่านปู่ของเธอไว้ จึงถือว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณ ตราบใดที่คำขอนั้นไม่เกินเลย เธอก็จะพยายามช่วยเขาให้ถึงที่สุด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)