อัจฉริยะสมองเพชร 1986-1987

 ตอนที่ 1986 นี่มันกฎเกณฑ์บ้าบออะไร?

น้ำเต้าตงฉู่อ้าปากและกลืนยาลงไปรวดเดียว จากนั้นก็หันมาส่งสายตาเว้าวอนให้จางเซวียนขณะคร่ำครวญ “ผมอยากได้อีก…ให้ผมอีก…ให้ผมอีกนะ…”


“ก็ได้ ก็ได้ ฉันให้แก!” จางเซวียนถอดใจ


เพราะเขามีเงินเยอะแยะ เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ จางเซวียนกลับไปที่หอนิรันดร์และซื้อยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานอีก 90 เม็ด ซึ่งเขาให้น้ำเต้าตงฉู่กลืนลงไปทีเดียว เพื่อที่หมอนั่นจะได้ค่อยๆซึมซับและนำไปใช้ ระหว่างนั้น จางเซวียนก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆและเริ่มใคร่ครวญสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น


จะว่าไป เขาก็ได้กำไรมหาศาลจากการดวลกับศิษย์สายตรงฝ่ายในทั้งห้าพันคน


การดวลครั้งนี้ทำให้เขาได้รื้อฟื้นความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบ ทั้งยังได้ขัดเกลาการควบคุมพละกำลังของตัวเองให้เฉียบคมยิ่งขึ้น


จางเซวียนลองขับเคลื่อนพลังปราณเล็กน้อย และพบว่าด่านคอขวดที่เคยจำกัดวรยุทธของเขาไว้ได้หายไปแล้ว เขาพร้อมที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะได้ทุกเมื่อ


ไม่น่าเชื่อเลยว่าการใช้ศิลปะเพลงดาบในหอนิรันดร์จะเป็นประโยชน์ต่อวรยุทธของเราด้วย จางเซวียนคิดอย่างตื่นเต้น


ตามปกติ ในเมื่อเขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกได้เมื่อ 2-3 ชั่วโมงก่อน ก็น่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะขัดเกลาวรยุทธได้สำเร็จแม้จะใช้เคล็ดวิชาเทียบฟ้า แต่ด้วยการดวลที่เกิดขึ้นก่อนหน้า พลังปราณของเขาจึงเข้มข้นขึ้นจนถึงขั้นสุด ทำให้เขาควบคุมมันได้ดังใจ


ดังนั้น วรยุทธขั้นเสมือนอมตะที่ดูเหมือนจะห่างออกไปอีกไกลก็กลับอยู่ใกล้แค่เอื้อม!


ขอแค่เขาได้พบเทคนิควรยุทธที่เหมาะสม ก็จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะได้ทันที


เมื่อฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนั้นได้แล้วเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้เป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด


เทคนิควรยุทธที่อยู่ในหอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายในอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าวรยุทธขั้นเสมือนอมตะทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ ถ้าศิษย์สายตรงฝ่ายในสักคนอยากฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะ ก็จะต้องขอคำปรึกษาจากผู้อาวุโสสักคนเพื่อค้นหาหนังสือที่เหมาะสมกับเขา


ตอนนี้ตั้นเฉี่ยวเทียนเป็นแค่นักปราชญ์โบราณขั้น 1 โลกจารึก ยังห่างไกลนักกว่าจะสำเร็จวรยุทธขั้นเสมือนอมตะ


เพราะเป็นคนนอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัว จางเซวียนจึงไม่อยากเปิดเผยตัวตนและวรยุทธที่แท้จริงของเขา เขาตั้งใจจะฝากความรับผิดชอบอันหนักอึ้งในการเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดไว้กับศิษย์สายตรงคนที่สิบของตัวเอง


แต่ต่อให้ตั้นเฉี่ยวเทียนฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายและมีทรัพยากรให้ใช้มากมาย ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 เดือนกว่าจะพร้อมสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะ


เพราะหากพัฒนาเร็วเกินไป วรยุทธของตั้นเฉี่ยวเทียนก็อาจถูกบั่นทอน ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาวรยุทธในอนาคต เขาไม่อาจปล่อยให้ลูกศิษย์ต้องเผชิญกับสภาพแบบนั้นเพียงเพราะความต้องการของตัวเอง


แต่นอกเหนือจากการเข้าหาผู้อาวุโสสักคนเพื่อให้ได้เทคนิควรยุทธที่เหมาะสม ก็ยังมีอีกทางหนึ่งที่จะได้เป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ซึ่งนั่นก็คือหุบเขาฝนโปรย! บรรดาศิษย์สายตรงที่กำลังเสาะแสวงหาการฝ่าด่านวรยุทธจะมุ่งหน้าไปที่นั่น เพราะมีภูมิปัญญาที่นำไปสู่การเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะอยู่มากมาย


ในเมื่อจางเซวียนไม่อาจพึ่งพาศิษย์สายตรงของเขาได้ ก็จำเป็นต้องพึ่งตัวเอง เขาหวนนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยได้เห็นในหอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน ทำให้ตาโตขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น


ถึงจางเซวียนจะเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกแล้ว แต่ก็ยังยากที่จะบอกได้ว่าเขาจะสามารถรวบรวมหนังสือของวรยุทธขั้นเสมือนอมตะได้มากพอที่จะประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์หรือไม่


แต่หุบเขาฝนโปรยคือสถานที่โด่งดังสำหรับบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในที่ต้องการฝ่าด่านวรยุทธ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการฝ่าด่านวรยุทธที่นั่นจะจารึกประสบการณ์และภูมิปัญญาที่ตัวเองได้รับเอาไว้ ที่นั่นจึงกลายเป็นขุมทรัพย์ของภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่


แม้ภูมิปัญญาและประสบการณ์เหล่านั้นจะไม่ใช่เทคนิควรยุทธ แต่หากเขาประมวลมันได้มากพอ ก็น่าจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะได้


โชคดีที่ตอนนี้ระดับวรยุทธของเขาใกล้เคียงกับศิษย์สายตรงฝ่ายในโดยทั่วไป ทำให้ไปไหนมาไหนได้อย่างกลมกลืน ไม่ทำให้ใครเกิดความสงสัย


เราควรมุ่งหน้าไปยังหุบเขาฝนโปรย!


เมื่อคิดได้ จางเซวียนก้าวออกจากห้อง


“นายน้อย!”


ในตอนนั้น เฉาเฉิงลี่เพิ่งเสร็จภารกิจของเขากับแม่สาวที่มีน้ำหนัก 300 จิงคนนั้นและกลับถึงที่พัก


การโรมรันพันตูอันดุเดือดที่เฉาเฉิงลี่เพิ่งผ่านมาทำให้เขาดูอ่อนระโหยไปเล็กน้อย เท่าที่เห็น แม่สาวคนนั้นไม่ได้อ่อนด้อยเลย แม้เฉาเฉิงลี่จะมีทักษะและประสบการณ์ช่ำชองตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับพลังชีวิตอันล้นเหลือ แต่การใช้เรี่ยวแรงนั้นก็ทำให้เขาอ่อนแรงไปมาก


ดูทรงแล้วน่าจะต้องพักฟื้นสักระยะหนึ่งกว่าจะกลับสู่สภาพเดิม


จางเซวียนมองไปรอบๆที่พัก แต่ไม่พบศิษย์สายตรงของเขา จึงหันไปถามเฉาเฉิงลี่ “ตั้นเฉี่ยวเทียนอยู่ไหน?”


เฉาเฉิงลี่รีบโค้งคำนับก่อนจะตอบคำถามของจางเซวียน “บรรดาศิษย์สายตรงไปรวมตัวกันเพื่อการประชุมด่วน นายน้อยก็ไปที่นั่น!”


(300 จิง = 150 กิโลกรัม)


“พวกเขามีประชุมด่วน?” จางเซวียนทวนคำ


“ดูเหมือนจะมีไอ้งั่งคนหนึ่งท้าทายศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคนพร้อมๆกัน ทำให้เหล่าผู้อาวุโสหงุดหงิดมาก พวกเขากำลังเร่งให้บรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในสืบสวนและจับตัวการให้ได้” เฉาเฉิงลี่ตอบ


ตอนที่เขาอยู่กับแม่สาวหนัก 300 จิงคนนั้น คนรับใช้คนหนึ่งของเธอได้เข้ามารายงานสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจึงพอรู้เรื่องอยู่บ้าง


“ไอ้งั่ง?” จางเซวียนเลิกคิ้ว


แกต่างหากที่เป็นไอ้งั่ง! งั่งกันทั้งตระกูล!


มันเป็นแค่เดิมพัน…พวกคุณต้องเล่นใหญ่ถึงขนาดเปิดประชุมด่วนเพื่อตามล่าตัวผมเลยหรือ?


โชคดีที่เราเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามไว้แล้ว ไม่อย่างนั้น ถ้าพวกนั้นจับเราได้ล่ะก็ จะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่


ด้วยความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของเขา คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่าเขาคือผู้ไร้เทียมทานในบรรดานักรบที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน แต่ก็โชคไม่ดีที่วรยุทธของเขายังอ่อนด้อยไปหน่อย


ก่อนหน้านี้ ตอนที่จางเซวียนได้รู้จากศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งว่ามีวิธีการที่จะหาเงินได้ง่ายๆ ความโลภก็เข้าครอบงำเขาชั่วขณะ จนเขาลงเอยด้วยการเปิดฉากต่อสู้ ถ้าพวกนั้นรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาล่ะก็ คงจะนำมาซึ่งทั้งอันตรายและปัญหาใหญ่


ตอนนี้จางเซวียนยังไม่มั่นใจนักว่าจะปกป้องตัวเองจากนักรบอมตะตัวจริงหรือแม้แต่นักรบอมตะขั้นสูงได้ จึงไม่อาจปล่อยให้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองต้องถูกเปิดเผย


“แล้วคุณรู้อะไรมาอีก? มีข่าวคราวบ้างไหมว่าเจ้าคนที่ท้าทายบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในพำนักอยู่ที่ไหน หรือว่าเขาเป็นใคร?” จางเซวียนถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“สำหรับตอนนี้ เรื่องเดียวที่ผมรู้ก็คือหมอนั่นมีสมญานามว่าผมน่ะถ่อมตัว เอาจริงๆนะ เป็นชื่อที่พิลึกพิลั่นอะไรอย่างนั้น เขาเรียกตัวเองว่าถ่อมตัว ทั้งๆที่ในโลกนี้ไม่มีใครจะโอ้อวดตัวยิ่งไปกว่าเขาอีกแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเขาเป็นใครและอยู่ที่ไหนนั้น ตอนนี้ยังไม่มีรายงาน” เฉาเฉิงลี่ตอบพร้อมกับส่ายหน้า


เมื่อเห็นว่าตัวตนที่แท้จริงของเขายังไม่ถูกเปิดเผย จางเซวียนแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาก้มหน้าลงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถามอีก “แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าการประชุมด่วนจัดขึ้นที่ไหน?”


“ที่สนามประลอง บริเวณยอดเขา” เฉาเฉิงลี่ตอบ


“เข้าใจละ…” จางเซวียนพยักหน้าขณะย่างสามขุมเข้าหาเฉาเฉิงลี่


พลั่ก!


เฉาเฉิงลี่กุมท้ายทอยขณะถามด้วยความตกใจ “นายน้อย คุณทุบผมทำไม?”


การโจมตีนั้นหนักหน่วงเสียจนฟันของเขาแทบร่วง


ผมก็ตอบทุกคำถามที่คุณถามผมโดยไม่ปิดบัง แถมข้อมูลของผมก็ทันเหตุการณ์ด้วย! แล้วผมทำอะไรผิด ถึงต้องถูกทำร้าย?


“คุณก้าวเข้ามาในบ้านพักหลังนี้โดยใช้เท้าซ้ายแทนที่จะเป็นเท้าขวา ผมไม่ชอบ!” จางเซวียนพูดใส่หน้าเฉาเฉิงลี่ก่อนจะเดินจากไป


“เขาทุบเราเพียงเพราะเราก้าวเข้าบ้านพักด้วยเท้าซ้าย?” เฉาเฉิงลี่ตาโตด้วยความงงงัน


นี่มันกฎเกณฑ์บ้าบออะไร?


นายน้อยไปเจออะไรมาถึงตั้งกฎเกณฑ์เหลวไหลแบบนี้?


“จดไว้…จดไว้ เราต้องจำมันให้ขึ้นใจ…” เฉาเฉิงลี่พึมพำกับตัวเองขณะลูบอกให้หายอกสั่นขวัญแขวน


เมื่อออกจากบ้านพัก จางเซวียนไม่ได้มุ่งหน้าไปที่หุบเขาฝนโปรย แต่ไปที่ยอดเขาบริเวณที่ตั้งของสนามประลอง


เขาต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมเหล่าผู้อาวุโสถึงตั้งใจจะตามหาตัวเขา และพวกนั้นมีข้อมูลอะไรแล้วบ้าง เพื่อจะได้เตรียมมาตรการตอบโต้ ไม่อย่างนั้น คงอันตรายมากหากเขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าอีกฝ่ายจะเข้าถึงตัวเขาเมื่อไหร่


“การถ่อมเนื้อถ่อมตัวคือสิ่งสำคัญที่สุดในโลก ต่อไปเราจะต้องไม่ทำแบบนี้อีก” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเสียใจ


มันเป็นเรื่องเกินเลยไปมากที่เขาเอาชนะผู้คนมากมายได้พร้อมกันในคราวเดียว และผลที่ตามมาก็แสนจะยุ่งเหยิง ถ้าพวกนั้นสาวถึงตัวเขาได้ เขาคงจบเห่แน่!


ทั้งๆที่ทำตัวดีมาทั้งชีวิต ทำไมคราวนี้เขาถึงหุนหันพลันแล่นนัก?


…..


ที่นั่งอยู่บริเวณใจกลางสภาผู้อาวุโสคือผู้อาวุโสที่ 1, เหอเทียน มีผู้อาวุโสคนอื่นๆนั่งอยู่ด้านข้าง ทุกคนต่างแผ่แรงกดดันหนักหน่วงเข้าใส่ผู้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา


ที่ปลายสุดของที่ประชุมคือผู้อาวุโสมู่, ผู้ดูแลบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน


ผู้อาวุโสมู่ไม่ได้อ่อนแอ แต่ก็อ่อนด้อยกว่าหากจะเปรียบเทียบกับเหล่าผู้อาวุโสที่นั่งอยู่เป็นคนแรกๆ แม้จะอยู่ไกล แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงที่ถาโถมเข้าใส่ ทำให้เหงื่อหยดเป็นทางจากหน้าผาก


ถึงตอนนี้ ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาในที่ประชุมและหาที่นั่ง จากนั้นก็ตั้งคำถาม “ผู้อาวุโสเหอ ไม่ทราบว่ามีเหตุผลอะไรที่คุณเรียกพวกเรามารวมตัวกันอย่างเร่งด่วนแบบนี้?”


“ดูเหมือนทุกคนมาพร้อมหน้ากันแล้ว ผู้อาวุโสมู่…ผมขอรบกวนให้คุณทบทวนสิ่งที่คุณบอกสภาผู้อาวุโสเมื่อครู่นี้ด้วย!” ผู้อาวุโสเหอเทียนมองผู้อาวุโสมู่และพยักหน้า


“ได้” ผู้อาวุโสมู่รีบลุกขึ้นยืน “เรียนท่านสมาชิก ผมคือผู้อาวุโสมู่ชวนของแผนกศิษย์สายตรงฝ่ายใน จากการประชุมสภาผู้อาวุโสครั้งก่อน ผู้อาวุโสเหอได้มอบหมายให้พวกเราตามหาตัวอัจฉริยะผู้สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ซึ่งไม่นานหลังจากการประชุมวันนั้น ก็มีนักดาบผู้เก่งกาจไร้เทียมทานคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน พวกเราสงสัยว่านักดาบผู้นั้นอาจเป็นอัจฉริยะที่ผู้อาวุโสเหอพูดถึง!”


“อ้อ? มีหลักฐานอะไรที่ทำให้คุณคาดเดาแบบนั้น?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


ตอนที่ 1987 เรื่องนี้เหลือเชื่อเกินไป!

เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าถือเป็นสุดยอดของศิลปะเพลงดาบทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืม ถ้าใครสักคนทำความเข้าใจมันได้สำเร็จ อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมาจากศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ไม่น่าเป็นไปได้ที่ผู้นั้นจะเป็นแค่ศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่ง


“ที่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายใน เขาเอ่ยปากท้าทายศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคน และสังหาร พวกนั้นไปถึง 5,000 คนภายในครึ่งชั่วโมง…” ผู้อาวุโสมู่รีบทบทวนเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น


หลังจากได้ยินว่าผู้นั้นสังหารศิษย์สายตรงฝ่ายในรวดเดียวถึง 3,000 คน และในที่สุดก็ได้ชัยชนะ เสียงออกความเห็นอย่างเข้มข้นก็ดังขึ้นในสภาผู้อาวุโส


เมื่อไม่นานมานี้ ผู้อาวุโสเหอเพิ่งแจ้งว่ามีใครคนหนึ่งสามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ และจากนั้น นักดาบผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวและสร้างความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่ เป็นไปได้ไหมว่าทั้งคู่จะเป็นคนเดียวกัน?


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้เป็นการทำลายชื่อเสียงของศิษย์สายตรงฝ่ายใน กลับตรงกันข้าม บรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในควรได้รับการยกย่องที่มีนักรบผู้ทรงพลังคนหนึ่งปรากฏตัวในหมู่พวกเขา!


การพ่ายแพ้ให้กับผู้ที่สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบจากสวรรค์ได้เช่นเดียวกับผู้ก่อตั้ง ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย แต่ถือเป็นเกียรติ!


“เขาเล่นงานศิษย์สายตรงฝ่ายในภายในหอนิรันดร์ได้ถึง 5,000 คนภายในเวลาครึ่งชั่วโมง? คุณแน่ใจนะ?”


ผู้อาวุโสบางคนลุกขึ้นยืนขณะตั้งคำถามถึงความถูกต้องในข้อมูลของผู้อาวุโสมู่


เรื่องนี้เหลือเชื่อเกินไป!


มีกฎกำหนดไว้ชัดเจนว่านักรบทุกคนที่เข้าสู่หอนิรันดร์จะมีวรยุทธระดับเดียวกัน นอกเสียจากข้อสงสัยที่ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะสังหารคนถึง 5,000 คน ก็ยังแน่ใจได้เลยว่าการที่เขาสร้างวีรกรรมนี้ได้ภายในเวลาครึ่งชั่วโมงเป็นเรื่องเหลวไหลอย่างสิ้นเชิง!


เป็นไปได้หรือที่ใครสักคนจะทรงพลังกว่านักรบที่มีวรยุทธระดับเดียวกันโดยอาศัยทักษะของเขาเพียงอย่างเดียว?


“ผมมีบันทึกภาพของการต่อสู้” ผู้อาวุโสมู่พูดขณะแสดงผลึกบันทึกต่อหน้าสภาผู้อาวุโส


หอนิรันดร์ของสำนักดาบเมฆเหินมีแผนกบันทึกภาพเหมือนกับหอนิรันดร์ที่อื่นๆ นักรบสามารถซื้อหาบันทึกภาพการต่อสู้ได้ในราคาไม่สูงนัก


เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ผู้อาวุโสมู่จึงซื้อบันทึกภาพการดวลระหว่างผมน่ะถ่อมตัวกับบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในไว้ล่วงหน้า


ด้วยการเคาะนิ้ว 1 ครั้ง ผลึกบันทึกก็เปิดเผยรายละเอียดของการดวลที่เพิ่งเกิดขึ้น เนื่องจากมีเวลาจำกัด ผู้อาวุโสมู่จึงข้ามการดวลในช่วงแรกๆไป แล้วแสดงภาพในช่วงท้าย ตอนที่กระแสดาบฉีนับสายไม่ถ้วนแปรสภาพเป็นศิลปะเพลงดาบที่ตัดศีรษะของศิษย์สายตรงฝ่ายใน 3,000 คนพร้อมกันในชั่วพริบตา


ภาพนี้ทำให้ทุกคนเลิกคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ


แม้แต่พวกเขาก็ไม่อาจสําแดงพละกำลังน่าทึ่งแบบนี้ได้หากต้องลดระดับวรยุทธลงเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 1 แต่ชายผู้นี้ทำได้อย่างง่ายดาย เขาจะต้องมีความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบที่ล้ำลึกขนาดไหน?


“ศิลปะเพลงดาบนั้นไม่ใช่เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าแบบผู้ก่อตั้งของเรา แต่การที่เขาสามารถฝึกฝนจนถึงระดับนี้ได้ก็หมายความว่าเขาคือคนที่เรากำลังตามหา” ผู้อาวุโสที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้ตั้งข้อสังเกต


แม้เขาจะประหลาดใจที่พบว่าผู้ที่มีความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบอย่างน่าทึ่งขนาดนี้เป็นแค่ศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่ง แต่หลักฐานทุกชิ้นก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกัน


“นั่นคือสิ่งที่ผมคิด…” ผู้อาวุโสเหอพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง “เพราะฉะนั้น ผมอยากรู้ตัวตนที่แท้จริงของผมน่ะถ่อมตัวและที่พำนักของเขา!”


“แต่การกระทำแบบนั้นเป็นการฝ่าฝืนกฎระเบียบของสำนัก บั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของหอนิรันดร์นะ” ผู้อาวุโสที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้ออกความเห็นพร้อมกับขมวดคิ้ว


หอนิรันดร์ให้ความสำคัญเรื่องการปกปิดตัวตนที่แท้จริงของนักรบ ถึงรายละเอียดของการดวลจะถูกเปิดเผยไปแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพราะการอ้างอิงหลักฐานจากหยดเลือดที่ใช้สำหรับเปิดใช้งานตราสัญลักษณ์หอนิรันดร์พร้อมกันกับตราสัญลักษณ์ศิษย์สายตรงฝ่ายในเท่านั้น


ที่ก่อนหน้านี้มีข้อยกเว้นก็เพราะศิษย์สายตรงฝ่ายในจำนวนมากแสดงความจำนงให้เปิดเผยตัวตนของพวกเขา แต่ไม่ใช่กรณีของผมน่ะถ่อมตัว เรื่องนี้จึงควรพิจารณาแยกกัน


“ผมก็เข้าใจ จึงเชิญพวกคุณทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เพื่อหารือเรื่องนี้” ผู้อาวุโสเหอพูด “นี่คือสถานการณ์เร่งด่วน ถ้าเหล่าผู้เชี่ยวชาญของหอเทพเจ้าพบตัวเขาก่อนพวกเรา ก็จะนำมาซึ่งความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น!”


“ในฐานะใครคนหนึ่งที่สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า ถ้าเขามีโอกาสได้พัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าต่อไป สุดท้ายก็จะมีพละกำลังในระดับที่ท้าทายได้แม้แต่อำนาจของเทพเจ้า ซึ่งเหล่าผู้เชี่ยวชาญของหอเทพเจ้าจะต้องไม่ยอมแน่ มีความเป็นไปได้ว่าพวกนั้นจะชิงเล่นงานเขาก่อน”


“เรื่องแบบนี้เคยมีมาแล้วในประวัติศาสตร์ อัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องมากมายถูกหอเทพเจ้าสังหาร เพราะทางสำนักของพวกเขาไร้ความสามารถในการปกป้อง!”


บรรยากาศในห้องดูจะหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อยเพราะคำพูดของผู้อาวุโสเหอ


ผู้อาวุโสมู่ก็ตัวแข็งเพราะแรงกดดันนั้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง


แม้สถานภาพของเขาจะไม่สูงส่งพอให้ได้ล่วงรู้ความลับของทวีปที่ถูกลืม แต่จากการหารือของสภาผู้อาวุโส เขาก็พอปะติดปะต่อสถานการณ์ได้


เขาพลันเข้าใจทันทีว่าเรื่องนี้สำคัญแค่ไหน และทำไมถึงต้องถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด เพราะไม่อย่างนั้น หายนะครั้งใหญ่จะต้องเกิดขึ้นกับสำนักดาบเมฆเหินแน่


ผู้อาวุโสคนหนึ่งลุกขึ้นยืนและเสนอแนะ “ผมเสนอให้พวกเรารายงานเรื่องนี้ต่อท่านเจ้าสำนัก และให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจ ผมคิดว่านี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดเท่าที่เราจะทำได้!”


“จริงด้วย การตัดสินใจเรื่องใหญ่ขนาดนี้ควรมาจากท่านเจ้าสำนัก…” ผู้อาวุโสอีกคนเห็นพ้อง


“ผมแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านเจ้าสำนักรับทราบแล้ว นี่คือคำตอบของเขา” ผู้อาวุโสเหอพูดขณะยื่นตราหยกสื่อสารอันหนึ่งให้ทุกคนดู มี 6 คำอยู่บนตราหยกนั้น – ‘ทำตามที่คุณเห็นควร’


“เอ่อ…”


“ในเมื่อท่านเจ้าสำนักตัดสินใจแบบนี้ พวกเราก็ไปเสาะหาตัวตนและที่อยู่ของเขากันเถอะ”


“พวกเราจะได้ปกป้องเขาจากหอเทพเจ้าเหมือนอย่างที่ผู้อาวุโสที่ 1 พูด นี่เป็นโอกาสพิเศษ เราต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังทุกฝีก้าว”


เพราะท่านเจ้าสำนักไว้วางใจให้พวกเขาตัดสินใจกันเอง ผู้อาวุโสคนอื่นๆรีบพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง


“เอาล่ะ ไปที่ศาลาเพลงดาบกัน!”


เมื่อเห็นว่าเสียงส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน ผู้อาวุโสเหอลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้อง


คนที่เหลือพากันลุกขึ้นยืน จากนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปยังศาลาเพลงดาบ


ส่วนผู้อาวุโสมู่ เนื่องจากเขาบินไม่ได้ ผู้อาวุโสเหอจึงใช้กระแสพลังปราณห่อหุ้มร่างของอีกฝ่ายไว้แล้วดึงเขาไปพร้อมกับทั้งกลุ่ม


ในเมื่อมีความเป็นไปได้สูงที่อัจฉริยะผู้นั้นจะเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน จึงมีประโยชน์กว่าหากพาผู้อาวุโสมู่ไปด้วย


ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงศาลาเพลงดาบ


เหล่าผู้อาวุโสรีบทาบตราสัญลักษณ์ประจำตัวลงบนกำแพงโดยไม่ลังเล จากนั้นผู้อาวุโสเหอก็สั่งการ “เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของผมน่ะถ่อมตัว รวมทั้งที่พำนักของเขาด้วย!”


เกิดเสียงหึ่งเบาๆขณะที่มีแสงสว่างวาบบนกำแพงครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ผู้อาวุโสเหอขมวดคิ้ว


ตรงนี้มีผู้อาวุโสอยู่มากมาย พวกเขาควรมีอำนาจมากพอที่จะเปิดเผยตัวตนของผมน่ะถ่อมตัวรวมถึงที่อยู่ของอีกฝ่าย แล้วทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น?


“น่าจะเป็นเพราะตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่หอนิรันดร์ จึงไม่มีอะไรปรากฏบนกำแพง” ใครคนหนึ่งพูดออกมา


ทุกคนหันขวับไปทางต้นเสียง เห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งร่อนลงมาช้าๆ


เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าสำนักดาบเมฆเหิน…เจ้าสำนักหาน!


ในที่สุดเขาก็กลับมา!


“คารวะท่านเจ้าสำนัก”


เหล่าผู้อาวุโสรีบโค้งคำนับอย่างงาม จากนั้นผู้อาวุโสเหอก็มองไปรอบๆก่อนจะตั้งคำถาม “เจ้าสำนักหาน เมื่อครู่นี้คุณพูดว่าผู้นั้นไม่ได้อยู่ในหอนิรันดร์ นั่นหมายความว่าอย่างไร?”


ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ไม่เคยใช้ศาลาเพลงดาบเพื่อค้นหาตัวตนและที่พำนักของใครสักคนมาก่อน จึงไม่รู้รายละเอียด


“หอนิรันดร์ใช้จิตใต้สำนึกในการระบุที่พำนักของกายเนื้อ แล้วถ้าจิตใต้สำนึกไม่ได้อยู่ในหอนิรันดร์ คุณจะรู้ที่อยู่ของผู้นั้นได้อย่างไร?” เจ้าสำนักหานตอบ


ผู้อาวุโสเหอกับคนอื่นๆตาโตเมื่อนึกได้


ก่อนหน้านี้ ที่ผู้อาวุโสมู่ตรวจสอบระดับวรยุทธของผมน่ะถ่อมตัวได้โดยปราศจากปัญหา ก็เพราะอีกฝ่ายยังคงต่อสู้กับศิษย์สายตรงฝ่ายในคนอื่นๆอยู่ แต่ในเมื่อตอนนี้ผมน่ะถ่อมตัวไม่ได้อยู่ที่หอนิรันดร์แล้ว การค้นหาจึงล้มเหลว


เห็นสีหน้าท้อใจที่อยู่โดยรอบ เจ้าสำนักหานหัวเราะหึๆก่อนจะพูดต่อ “อย่าห่วงน่ะ ก็แค่รอเขาอีกหน่อย ขอแค่ผมน่ะถ่อมตัวเข้าสู่หอนิรันดร์อีกครั้ง เราก็พบที่อยู่ของเขาได้ไม่ยาก”


ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสคนอื่นๆพากันพยักหน้า


อีกฝ่ายสร้างความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่ ทั้งยังได้ทรัพย์สินไปมากมายจากการดวล ไม่ช้าไม่นานเขาก็คงปรากฏตัวที่หอนิรันดร์อีกครั้ง ขอแค่รอสักหน่อย สุดท้ายจะต้องเจอตัวเขาแน่!


“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเราก็รออยู่ที่นี่ก่อน ผู้อาวุโสมู่…เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศิษย์สายตรงฝ่ายใน เพราะฉะนั้น คุณก็รักษาการณ์ที่นี่!” ผู้อาวุโสเหอออกคำสั่ง


“ขอรับ” ผู้อาวุโสมู่รีบพยักหน้า


จากนั้น เหล่าผู้อาวุโสที่มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆของสำนักดาบเมฆเหินก็รอคอยอย่างอดทนอยู่ที่ศาลาเพลงดาบ รอให้จางเซวียนเข้าสู่หอนิรันดร์อีกครั้งหนึ่ง


ระหว่างนั้น เจ้าตัวปัญหาคือจางเซวียน ก็ไม่รู้สักนิดว่าเหล่าผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของสำนักดาบเมฆเหินกำลังควานหาตัว เขารีบร้อนมุ่งหน้าไปยังสนามประลองที่อยู่บริเวณยอดเขา


ฝูงชนกลุ่มใหญ่ออกันอยู่รอบบริเวณนั้น บรรดาศิษย์สายตรงราวหมื่นคนต่างยับยั้งการฝึกฝนวรยุทธไว้ชั่วคราวและรีบเดินทางมาทันทีที่ได้ข่าว


จางเซวียนไหลตามฝูงชนไปและซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง ตรงนี้มีผู้คนมากมาย คงไม่มีใครจดจำคนธรรมดาแบบเขาได้แน่


“ผมเชื่อว่าพวกคุณส่วนใหญ่คงพอเดาออกว่าทำไมผมถึงเรียกให้พวกคุณมารวมตัวกันที่นี่!”


ชายชราคนหนึ่งยืนอยู่บริเวณใจกลางฝูงชน เสียงของเขาดังก้องไปทั่ว


เขาคือผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งเป็นอันดับ 2 ของแผนกศิษย์สายตรงฝ่ายใน, ผู้อาวุโสหวงเหยา!


หลังจากได้ยินคำพูดของผู้อาวุโส ศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคนต่างก้มหน้าด้วยความอับอาย


เพียงเมื่อครู่ก่อนที่จะมารวมตัวกัน พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับนักรบคนหนึ่งในหอนิรันดร์ ต่อให้ใครสักคนที่หัวสมองตื้อที่สุดก็ย่อมเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)