อัจฉริยะสมองเพชร 1984-1985

 ตอนที่ 1984 เขาชนะจริงๆหรือ?

ในแง่ของพละกำลัง ไป๋เฟิงยิ่งกว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นผู้อาวุโสขั้นสูงสุด แต่เพื่อรับใช้ผู้อาวุโสไป๋เย่ เขายืนหยัดแบกรับความรับผิดชอบในฐานะบริวาร ไม่เคยล้ำเส้นสักนิด ในโลกนี้ยากที่จะหาคนแบบเขาได้


“ท่านปู่เฟิง ดูเหมือนคุณจะพออกพอใจกับศิลปะเพลงดาบของผมน่ะถ่อมตัวมาก หรือว่า…เขาไร้เทียมทานยิ่งกว่าคุณเสียอีก?” ไป๋เหรินชิงถามด้วยความอยากรู้


“ไร้เทียมทานกว่าผม?” ไป๋เฟิงส่ายหน้า “ผมน่ะไม่มีคุณสมบัติเพียงพอแม้แต่จะเทียบชั้นกับเขาด้วยซ้ำ! หูตาของผมกว้างไกลขึ้นมากหลังจากการดวลครั้งนี้ เพราะฉะนั้นผมจึงขอกลับไปดูแลนายท่านดังเดิม เหรินชิง, รีบหาตัวพ่อค้ายาคนนั้นให้พบโดยเร็วที่สุดนะ”


จากนั้น ไป๋เฟิงก็ลุกขึ้นยืนและออกจากห้องโถงใหญ่ ไม่ช้าก็หายลับไปจากสายตา


ส่วนไป๋เหรินชิงก็ไม่คิดว่าไป๋เฟิงจะจากไปดื้อๆแบบนั้น เธอยังมีอีกสองสามคำถามที่อยากถามเขาอยู่ จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปพูดกับหลิวลู่จี่และคนอื่นๆ “ในเมื่อพวกคุณเอาชนะผมน่ะถ่อมตัวไม่ได้ ก็ปล่อยเขาไว้สักพักก่อน ตอนนี้ฉันอยากให้พวกคุณค้นหาว่าคนๆนี้คือใคร!”


จากนั้นเธอก็นำภาพวาดออกมาอีกครั้ง


“ตอนนี้ศิษย์สายตรงทุกคนกำลังต่อสู้กับผมน่ะถ่อมตัว จะไปตามหาคงไม่ง่ายหรอก ทันทีที่การดวลเสร็จสิ้น ผมจะกระจายข่าวออกไปเพื่อตามหาเขาทันที” หลิวลู่จี่พูดขณะลุกขึ้นยืน


ไป๋เหรินชิงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น “ตอนที่พวกเราออกจากหอนิรันดร์เมื่อครู่นี้ มีศิษย์สายตรงอย่างน้อยก็ 3,000 คนออกันอยู่รอบตัวเขา อีกอย่าง ยิ่งเวลาผ่านไป ก็ยิ่งมีศิษย์สายตรงเข้ามาร่วมวงมากขึ้นเรื่อยๆ คงนานเอาการกว่าผมน่ะถ่อมตัวจะจัดการพวกนั้นได้หมด!”


เห็นได้ชัดว่าไป๋เหรินชิงไม่คิดว่าบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในจะเอาชนะผมน่ะถ่อมตัวได้


หลิวลู่จี่ทักท้วงอย่างไม่พอใจ “ต่อให้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน บรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในจะต้องต้านทานไว้ได้แน่ พวกเราจะไม่ปล่อยให้ตัวเองพ่ายแพ้ง่ายๆแบบนั้นหรอก มันคือเกียรติยศและศักดิ์ศรีนะ!”


“ผมเชื่อว่าขอแค่พวกเรายืนหยัดต้านทานต่อไป ไม่ว่าผมน่ะถ่อมตัวจะทรงพลังแค่ไหน ในท้ายที่สุดก็จะต้องหมดแรงและถูกสังหาร ชัยชนะสุดท้ายจะต้องตกเป็นของพวกเราแน่”


ขณะที่หลิวลู่จี่กำลังพูดอย่างใส่อารมณ์ จู่ๆหวังเจี้ยนตงก็นำตราหยกออกมา หลังจากมองที่ตราหยก เขาก็อ้าปากค้าง ริมฝีปากสั่นระริก ราวกับมีบางอย่างที่อยากพูด แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร


“มีอะไร?” หลิวลู่จี่ถาม


“ศิษย์พี่หลิว ผมเพิ่งได้ข่าวว่าการดวลจบลงแล้ว ผมน่ะถ่อมตัวสังหารศิษย์สายตรง 3,000 คนที่เหลือภายในกระบวนท่าเดียว ด้วยเหตุนี้ ระบบจึงกำลังประเมินผลลัพธ์ออกมา” หวังเจี้ยนตงพูด


“อะ-อะไรนะ? เขาสังหารศิษย์สายตรงฝ่ายในถึง 3,000 คนได้ภายในกระบวนท่าเดียว?” หลิวลู่จี่ตกใจจนแทบทรุดลงกับพื้น เขามองหวังเจี้ยนตงอย่างเคร่งเครียดขณะถามย้ำ “คุณแน่ใจนะ?”


หลิวลู่จี่ไม่ใช่คนเดียวที่จังงังกับข่าวนี้ ไป๋เหรินชิงก็ใกล้จะเสียสติ


การที่คนคนหนึ่งจะสังหารอีกคนหนึ่งได้ภายในกระบวนท่าเดียวถือเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ หรือต่อให้สังหาร 2 คน ก็พอรับไหว…10 คนก็ยังไม่ถือว่าน่าตกใจเท่าไหร่ แต่สังหารนักรบถึง 3,000 คนที่มีวรยุทธระดับเดียวกันได้ภายในกระบวนท่าเดียว…


คุณล้อฉันเล่นใช่ไหม?


“ข่าวนี้ได้รับการยืนยันแล้ว ศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคนที่ถูกสังหารกำลังกลับเข้าสู่หอนิรันดร์อีกครั้งเพื่อรอการตัดสินครั้งสุดท้าย” หวังเจี้ยนตงพูด


ในฐานะศิษย์สายตรงฝ่ายในที่มีความแข็งแกร่งอันดับ 3 เขามีบริวารจำนวนหนึ่งที่จงรักภักดี จึงไม่แคลงใจในข้อมูลที่ได้รับ


“เอ่อ…” หลิวลู่จี่เลิกคิ้ว เขารีบหันไปประสานมือให้ไป๋เหรินชิง “ศิษย์พี่ไป๋ การที่ทุกคนถูกสังหารพร้อมกันก็หมายความว่าการดลจบสิ้นแล้ว พวกเราทุกคนที่เคยเข้าร่วมการดวลจะต้องกลับไปที่หอนิรันดร์เพื่อรับฟังคำตัดสิน ผมต้องขอตัวสักครู่…”


“ไปเถอะ” ไป๋เหรินชิงโบกมือเพราะรู้กฎเกณฑ์ดี


พูดกันตามตรง เธอก็ยังไม่อยากเชื่อ


เอาชนะศิษย์สายตรงฝ่ายในถึง 3,000 คนได้ภายในกระบวนท่าเดียว และกลายเป็นผู้ชนะในการดวลที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้…ผมน่ะถ่อมตัวเป็นใครกันแน่?


ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากสร้างความอึกทึกครึกโครมอย่างใหญ่หลวงขึ้นในสำนักแล้ว เขาคิดจริงๆหรือว่าจะยังคงถ่อมเนื้อถ่อมตัวอย่างที่อวดอ้างอยู่ได้?


…..


ที่ศาลาเพลงดาบ ผู้อาวุโสมู่กับคนอื่นๆเพิ่งหายตกตะลึง


การได้รู้ระดับวรยุทธของผมน่ะถ่อมตัวบอกชัดว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในจริงๆ แต่การที่ศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งสังหารนักรบเป็นพันคนติดต่อกันได้ แถมเอาชนะได้อย่างไม่ลำบากลำบนอะไร แปลว่าเขาจะต้องมีพละกำลังน่าทึ่งขนาดไหน?


“แต่นั่นแหละ ต่อให้เขาไร้เทียมทานแค่ไหน ก็ไม่มีทางเอาชนะได้หรอก สำนักดาบเมฆเหินมีศิษย์สายตรงฝ่ายในอย่างน้อยๆก็หมื่นคน และเพื่อปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรี จะต้องมีศิษย์สายตรงฝ่ายในเข้าร่วมการดวลมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็จะต้องหมดแรงและพ่ายแพ้!” ผู้อาวุโสมู่ส่ายหน้า


ต่อให้ผมน่ะถ่อมตัวจะต้านทานไว้ได้นานแค่ไหน สุดท้ายเขาก็ต้องแพ้


ผู้อาวุโสคนอื่นๆพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง ทุกคนมีความเห็นแบบเดียวกับผู้อาวุโสมู่


การที่นักรบคนหนึ่งจะเอาชนะศิษย์สายตรงฝ่ายในได้ก็ยากพออยู่แล้ว แถมพวกเขายังอยู่ในหอนิรันดร์ที่ทุกคนมีระดับวรยุทธเท่ากันด้วย เรื่องนี้ถือว่ายากมาก


ต่อให้ผมน่ะถ่อมตัวจะเก่งกาจอย่างไร ก็ย่อมมีบางอย่างที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!


วิ้งงงง!


ขณะที่ผู้อาวุโสมู่กำลังครุ่นคิด ตราหยกสื่อสารในมือของเขาก็ส่งเสียงหึ่งขึ้นมา หลังจากอ่านรายละเอียดของข้อความ เขาก็ตัวแข็งทื่อ “เอ่อ…คือการดวลจบสิ้นแล้ว ผมน่ะถ่อมตัวเอาชนะศิษย์สายตรงฝ่ายใน 3,000 คนได้ภายในกระบวนท่าเดียว ทำให้การดวลสิ้นสุดลงในทันที…เป็นไปได้อย่างไรกัน?”


“คุณบอกว่าเขาสังหารศิษย์สายตรงฝ่ายในถึง 3,000 คนภายในกระบวนท่าเดียว?”


ผู้อาวุโสคนอื่นๆจังงังจนพูดไม่ออก


……


ผู้คนปรากฏตัวขึ้นในหอนิรันดร์คนแล้วคนเล่า


ศิษย์สายตรงฝ่ายในส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการดวลและถูกสังหารไปแล้วกลับสู่หอนิรันดร์ทันทีที่ได้ข่าว พวกเขามองชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอะไรนั่งอยู่ที่ใจกลางสังเวียนประลอง ต่างคนมีสีหน้าที่บรรยายได้ยาก


ก่อนหน้านี้ ตอนที่ชายหนุ่มท้าทายพวกเขาพร้อมๆกัน ต่างคนต่างคิดว่าหมอนี่ช่างหยิ่งผยองอย่างเหลือเชื่อ แต่หลังจากได้ดวลกับเขา ก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มมีพละกำลังเหนือชั้นพอที่จะเล่นงานศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคนได้!


“การดวลจบลงแล้ว ผมน่ะถ่อมตัวเอาชนะทุกคนได้ จึงได้รับเหรียญสำนักดาบที่อยู่ในครอบครองของนักรบทุกคนที่เข้าร่วมการดวล ทุกอย่างจะถูกจัดการให้เสร็จสิ้นเร็วๆนี้!” เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลสังเวียนประลองเดินเข้ามาและประกาศ


“ผมขอประกาศว่าผมน่ะถ่อมตัวเป็นผู้ชนะ!”


“เอาจริงๆสิ? เขาชนะจริงๆหรือ? ไม่มีศิษย์สายตรงคนไหนเทียบชั้นกับเขาได้เลยหรือไง?”


“นี่เป็นวันที่น่าอับอายที่สุดของศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคน!”


“ศิษย์สายตรงฝ่ายในถึง 5,000 คน แพ้ราบคาบ…มันลงเอยแบบนี้ได้อย่างไรกัน?”


ได้ฟังผลการดวล ผู้คนมากมายรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า


ในฐานะศิษย์สายตรงฝ่ายในของสำนักดาบเมฆเหิน พวกเขาภาคภูมิใจในตัวเองมาก แต่วันนี้ ความภาคภูมิใจทั้งหมดก็แหลกสลายไปอย่างง่ายดายเพียงเพราะชายคนหนึ่ง


“ผมไม่เห็นด้วยกับผลการตัดสิน!” ใครคนหนึ่งในฝูงชนตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ผมรีบมาที่นี่ทันทีที่ได้ข่าว และยังไม่ได้เข้าร่วมการดวลเลย ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเก่งกาจพอที่จะเอาชนะคน 5,000 คนได้! หรือต่อให้เขาทำได้ ก็น่าจะเป็นเพราะศิษย์พี่หลิวลู่จี่กับผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆยังไม่ได้ปรากฏตัว ไม่อย่างนั้น หมอนั่นจะชนะไปง่ายๆแบบนั้นได้อย่างไร?”


ศิษย์สายตรงฝ่ายในส่วนใหญ่รีบมาทันทีที่ได้ข่าวว่ามีการท้าดวลในหอนิรันดร์ แต่ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป ครึ่งหนึ่งของพวกเขาจึงมาไม่ทัน


มีจำนวนหนึ่งที่เพิ่งมาถึงหอนิรันดร์เมื่อมีการประกาศผลการดวลแล้ว พวกเขายังไม่ได้เข้าร่วมการดวล แต่ต้องแบกรับความอับอายของการพ่ายแพ้ จึงไม่อาจยอมรับคำตัดสินได้


“ศิษย์พี่หลิวลู่จี่รั้งตำแหน่งศิษย์สายตรงหมายเลข 1 ในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในมา 7 ปีแล้ว ผมไม่เชื่อหรอกว่าผมน่ะถ่อมตัวจะเอาชนะได้หากศิษย์พี่ออกโรงด้วยตัวเอง!” อีกคนหนึ่งตะโกน


หลิวลู่จี่ถูกสังหารตั้งแต่ยังไม่ทันได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ดังนั้น แม้หลายคนจะจดจำเขาได้จากศิลปะเพลงดาบ แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่านักรบคนนั้นคือหลิวลู่จี่จริงหรือไม่


คำพูดปลุกใจเหล่านี้ทำให้เศษเสี้ยวของความหวังในหัวใจของฝูงชนค่อยๆเติบโตขึ้นมา หรือว่าผมน่ะถ่อมตัวเอาชนะได้เพราะศิษย์พี่หลิวยังไม่ได้ออกโรง?


“พวกคุณกำลังจะปฏิเสธไม่ยอมจ่ายเดิมพันหรือ?” เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ดูแลสังเวียนประลองตั้งคำถาม


“พวกเราไม่กล้าปฏิเสธผลการดวลหรอก แน่นอนว่าผมน่ะถ่อมตัวเป็นนักดาบผู้ไร้เทียมทาน แต่เขา ก็สังหารเพียงแค่ผู้ที่ปรากฏตัวในตอนนั้น สิ่งที่พวกเราไม่เห็นด้วยก็คือคำตัดสินที่ระบุว่าเขาเอาชนะศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคนได้! มีผู้เชี่ยวชาญมากมายในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในที่ยังไม่ได้เข้าร่วมการดวล ซึ่งถ้าพวกเขาออกโรงล่ะก็ ไม่มีทางที่ผมน่ะถ่อมตัวจะเอาชนะได้แน่!”


ถึงพวกเขาจะพยายามปฏิเสธ แต่ก็ไม่อาจละเลยข้อเท็จจริงที่ว่าผมน่ะถ่อมตัวสังหารศิษย์สายตรงสายในไปแล้วถึง 5,000 คน ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ขอแค่พวกเขายืนกรานว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้สังหารศิษย์สายตรงฝ่ายในจนครบทุกคน อย่างน้อยที่สุดก็พอจะรักษาศักดิ์ศรีไว้ได้บ้าง


“มีศิษย์สายตรงฝ่ายในทั้งหมด 10,000 คน ซึ่ง 5,000 คนถูกเขาสังหารไปแล้ว นั่นยังไม่มากพอที่จะเรียกว่าเป็นชัยชนะต่อบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในอีกหรือ? พวกคุณไม่รู้สึกบ้างหรือไงว่ากำลังพยายามปฏิเสธความจริงอย่างหน้าด้านๆ?” เจ้าหน้าที่ผู้ทำหน้าที่ดูแลสังเวียนประลองย้อนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


เขาเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนัก แต่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อผู้อาวุโสฝ่ายนอก ผู้อาวุโสฝ่ายใน หรือผู้อาวุโสขั้นสูงสุด แค่ทำหน้าที่ตัดสินอย่างเป็นกลางโดยใช้ข้อเท็จจริงและเหตุผล


“สิ่งที่พวกเราพยายามบอกก็คือยังมีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งกว่านี้ในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในที่ยังไม่ได้เข้าร่วมการดวล พวกเขาถือเป็นสุดยอดในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน หากคนเหล่านั้นยังไม่ได้เข้าร่วมการดวลล่ะก็ พวกเราก็จะไม่ยอมรับว่าผลการดวลครั้งนี้มีผลถึงพวกเราทุกคน!” เสียงหนึ่งตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว


“คุณจะพิสูจน์อย่างไรว่าพวกเขายังไม่ได้เข้าร่วม?” เจ้าหน้าที่ที่ดูแลสังเวียนประลองตอบโต้


“ผมพิสูจน์ไม่ได้ จึงอยากขอให้ทางหอนิรันดร์เปิดเผยรายละเอียดของการดวล ด้วยสิ่งนี้เท่านั้นที่จะทำให้พวกเรายอมรับผลการดวลครั้งนี้!” เสียงเดิมตอบ


“ใช่ กรุณาเปิดเผยรายละเอียดของการดวลด้วย พวกเราอยากรู้ว่ามีใครเข้าร่วมการดวลแล้วบ้าง พวกเราที่เหลือน่ะมาไม่ทันเวลา จึงไม่อยากติดร่างแหรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้”


“ผมคิดว่ามันจะยุติธรรมก็ต่อเมื่อหอนิรันดร์เปิดเผยรายละเอียดของการดวล ไม่อย่างนั้น พวกเราก็สุ่มเสี่ยงต่อการเสียชื่อเสียง”


“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้ที่เข้าร่วมการดวลล้วนแต่เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในที่ไม่ได้เรื่อง พวกเราไม่อยากเป็นแพะรับความอ่อนด้อยของพวกเขา!”


เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดดังมาจากฝูงชน


ตอนที่ 1985 ไม่มีอะไรน่าอาย

ศิษย์สายตรงฝ่ายในส่วนใหญ่ที่ทักท้วงคือผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมการประลอง และมาทันแค่ฟังผลเท่านั้น


พูดกันตามตรง เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเชื่อว่าคนคนเดียวจะสามารถเอาชนะศิษย์สายตรงฝ่ายในถึง 5,000 คนได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงครึ่งชั่วโมง จะให้ยอมรับเรื่องเหลือเชื่อเพ้อฝันแบบนี้ได้อย่างไร?


จนกว่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดของการดวล จะไม่มีใครยอมรับผลการดวลครั้งนี้เด็ดขาด!


เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลสังเวียนประลองหันไปถามฝูงชนที่เหลือ “พวกคุณแน่ใจนะ? ผมจะแน่ใจได้ไหมว่าศิษย์สายตรงฝ่ายในคนอื่นๆ จะยอมรับได้?”


ตัวตนของใครก็ตามที่เข้าสู่หอนิรันดร์ล้วนแต่เป็นความลับ ซึ่งการเปิดเผยรายละเอียดของการดวลจะเป็นการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของทุกคนด้วย


แน่นอนว่ามันไม่ได้ลงรายละเอียดลึกซึ้งอะไรมากมาย แต่เพียงแค่เปิดเผยชื่อแซ่ที่แท้จริงของผู้นั้น ก็ถือเป็นการก้าวล่วงความเป็นส่วนตัวแล้ว


“พวกเรารับได้!”


“พวกเราก็รับได้เหมือนกัน! เราอาจแพ้ แต่เราก็อยากรู้ว่าเขาเอาชนะใครไปบ้าง!”


“พวกเราอยากรู้ผลของการดวลครั้งนี้ เพื่อจะได้ยอมรับมัน ไม่อย่างนั้นก็จะค้างคาใจไม่รู้จบ”


มีเสียงเรียกร้องสนับสนุนมากมาย แต่อาจเป็นเพราะแรงกดดันจากคนรอบข้าง จึงไม่มีใครกล้าแย้ง


“ในเมื่อเห็นพ้องต้องกันแล้ว ผมก็จะทำตามคำขอของพวกคุณ” เจ้าหน้าที่พยักหน้า


เขาหันไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่อีกคนที่อยู่ด้านหลัง อีกฝ่ายรีบหันหลังกลับแล้วจากไป ครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมตราหยกอันหนึ่งในมือ


“นี่คือรายชื่อของคู่ต่อสู้ที่ผมน่ะถ่อมตัวได้สังหารไปตลอดครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เชิญตรวจสอบได้” ชายหนุ่มพูดขณะโยนตราหยกขึ้นไปกลางอากาศ


ฟึ่บ!


รายชื่อมากมายปรากฏต่อหน้าต่อตาทุกคน


“ดูนั่น! ศิษย์พี่หลิวลู่จี่เป็นชื่อแรก!” ใครคนหนึ่งในฝูงชนตะโกนออกมา


ทุกคนหันขวับไปมอง เห็นชื่อหนึ่งเรืองแสงอยู่ด้านบน : หลิวลู่จี่, 4 ครั้ง!


“นั่นหมายความว่าศิษย์พี่หลิวมาที่นี่แล้ว! เพียงแต่…ไอ้ 4 ครั้งนั่นหมายถึงอะไร?” อีกคนหนึ่งตั้งคำถาม


“4 ครั้งหมายถึงจำนวนครั้งที่เขาถูกสังหาร เป็นไปได้ว่าเขาไม่พอใจที่ถูกฆ่าตายไปแล้วครั้งหนึ่ง จึงกลับมาพร้อมกับตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันใหม่และตัวตนใหม่ เพียงเพื่อจะถูกสังหารอีกครั้ง ลงท้ายเขาก็ถูกสังหารไปทั้งหมด 4 ครั้ง” เจ้าหน้าที่อธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย


“เขาถูกสังหารถึง 4 ครั้งติดต่อกัน? บ้าแล้ว! ไม่อายหรือไง?”


“ไม่มีอะไรน่าอายแล้วล่ะ ดูเหมือนเขาจะไม่หลงเหลือความอับอายแล้ว!”


“เดี๋ยวก่อน ศิษย์พี่หวังเจี้ยนตงก็ถูกสังหาร 4 ครั้งเหมือนกันหรือ?”


หลายคนในกลุ่มพากันหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย


พวกเขาเพิ่งพูดไปหยกๆว่าหลิวลู่จี่อาจยังไม่ได้เข้าร่วมการดวล แต่แล้วทุกอย่างก็ปรากฏชัดในครู่ต่อมาว่าพวกเขาคิดผิด เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการถูกตบหน้า


ด้วยข้อสันนิษฐานที่ว่าหลิวลู่จี่ซึ่งเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในหมายเลข 1 ไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเขาจึงยืนกรานว่าเป็นการไม่ยุติธรรมที่จะกล่าวอ้างว่าผมน่ะถ่อมตัวเอาชนะศิษย์สายตรงฝ่ายในได้หมดทุกคน ใครจะไปรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วอีกฝ่ายกลับมาซ้ำแล้วซ้ำอีกหลังจากถูกสังหาร?


ช่างเป็นพฤติกรรมที่น่าอับอายอะไรอย่างนี้?


“เอ๊ะ? ไป๋เหรินชิงคือใคร? ผมนึกไม่ออกว่าเคยเห็นชื่อของเธอในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในมาก่อน…แต่ดูเหมือนเธอจะถูกสังหารไปถึง 2 ครั้งนะ?” ใครคนหนึ่งตั้งข้อสังเกต


“ชื่อของเธอฟังคุ้นหูเหลือเกิน ใช่หลานสาวของผู้อาวุโสไป๋เย่หรือเปล่า? คุณรู้ไหมว่านั่นน่ะศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด!”


“เดี๋ยวก่อน คุณกำลังบอกผมว่ามีศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนหนึ่งแอบเข้ามาในหอนิรันดร์ของพวกเราเพื่อท้าทายผมน่ะถ่อมตัว จากนั้นก็ถูกสังหารถึง 2 ครั้งหรือ?”


เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ดังขึ้นอีกครั้ง


เมื่อครู่ก่อน พวกเขายังคิดว่าช่างน่าอายเหลือเกินที่หลิวลู่จี่ถูกสังหารถึง 4 ครั้งติดต่อกันในการดวล แต่ใครจะไปคิดว่าศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนหนึ่งก็แอบเข้ามาร่วมวงกับศิษย์สายตรงฝ่ายในด้วย แถมยังถูกสังหารไปถึง 2 ครั้ง!


“ยังมีอีกชื่อหนึ่งที่ไม่คุ้นหูนะ…ไป๋เฟิง ผมไม่คิดว่าเคยได้ยินชื่อนั้นมาก่อน…พวกคุณรู้จักเขาไหม?”


“ผมเคยได้ยินชื่อไป๋เฟิง! เขาเป็นคนรับใช้ของผู้อาวุโสไป๋เย่ แม้จะไม่ใช่ผู้อาวุโส แต่ในแง่ของพละกำลัง ก็แข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสขั้นสูงสุดส่วนใหญ่เสียอีก!”


“เขาแข็งแกร่งกว่าแม้แต่ผู้อาวุโสขั้นสูงสุดส่วนใหญ่ แต่ก็ถูกสังหารนี่นะ?”


ขณะที่บรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในกำลังตรวจสอบรายชื่อ หลายคนก็ดูราวกับจะเสียสติ


พวกเขาพอเข้าใจที่หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงถูกสังหารถึง 4 ครั้งติดต่อกัน เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็มีชื่อเสียงของศิษย์สายตรงฝ่ายในเป็นเดิมพัน จึงพอรับได้ที่ทั้งคู่จะทำตัวไร้ยางอายไปบ้างในช่วงเวลาแบบนี้


แต่การที่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนหนึ่งถูกสังหารถึง 2 ครั้ง แถมผู้ทรงพลังระดับผู้อาวุโสขั้นสูงสุดก็ถูกสังหารไปครั้งหนึ่งด้วย มันออกจะเกินเลยไปไหม?


ดูเหมือนแม้แต่ผู้มีอำนาจบางคนก็เข้ามามีส่วนร่วมในหมู่พวกเขา!


ว่าแต่…เรื่องราวบานปลายใหญ่โตขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีผู้อาวุโสฝ่ายในสักคนเข้ามาแก้ไข?


“จริงด้วย ต่อให้เครือข่ายข้อมูลข่าวสารของเหล่าผู้อาวุโสจะเชื่องช้าแค่ไหน เวลาครึ่งชั่วโมงก็นานพอจะทำให้พวกเขารู้เรื่องแล้ว…”


ทุกคนต่างตั้งข้อสงสัยแบบเดียวกัน


ขนาดศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดมาเข้าร่วมการดวล แถมยังถูกสังหาร ทำไมบรรดาผู้อาวุโสฝ่ายในถึงไม่เข้าขัดขวางเหตุการณ์ใหญ่โตแบบนี้?


“เดี๋ยวก่อน ยังมีรายชื่ออยู่ด้านล่าง!” ใครคนหนึ่งตะโกนออกมา ทุกคนรีบมองตาม ที่ส่วนท้ายของรายชื่อ มีชื่ออีกมากมายค่อยๆปรากฏ


มู่ชวน หวงเหยา จางหลิงโป ลู่อวิ๋น…


“ถ้าผมจำไม่ผิด มู่ชวนคือชื่อเต็มของผู้อาวุโสมู่ใช่ไหม?”


“หวงเหยาคือชื่อของผู้อาวุโสที่ดูแลยอดเขา”


“จางหลิงโปคือผู้อาวุโสฝ่ายในที่สั่งสอนพวกเรา!”


ในตอนนั้น ทุกคนพากันหน้าดำคร่ำเครียดด้วยความตกใจ พวกเขารู้สึกเหมือนหัวใจจะระเบิดเพราะความคับข้องใจที่รู้สึกอยู่


“ผมก็ว่ามันแปลกที่ไม่มีผู้อาวุโสคนไหนเข้ามาจัดการ ไม่น่าเชื่อเลยว่าที่แท้พวกเขาปลอมตัวเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในเพื่อมาท้าทายผมน่ะถ่อมตัวเหมือนกัน แต่แล้วก็ลงเอยด้วยการถูกสังหาร!”


“พวกเขาคือผู้สั่งสอนศิลปะเพลงดาบให้พวกเรา แต่กลับพ่ายแพ้…”


“นี่มันนรกอะไร? ผมน่ะถ่อมตัวทรงพลังขนาดไหนกันแน่?”


ทุกคนใกล้เสียสติเต็มที


โดยเฉพาะบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในที่เรียกร้องให้เปิดเผยรายละเอียดของการดวล พวกเขารู้สึกอยากตบตัวเองให้ตาย


ทุกคนคิดว่าการเปิดเผยครั้งนี้จะเรียกคืนชื่อเสียงของตัวเองกลับมาได้ แต่กลายเป็นตรงกันข้าม


มันคือการดวลของศิษย์สายตรงฝ่ายใน แต่ลงท้าย ก็มีแม้กระทั่งศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดและเหล่าผู้อาวุโสที่สั่งสอนพวกเขาเข้ามาร่วมวงด้วย หากคนเหล่านั้นชนะก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่พวกเขาแพ้!


ก็เหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่ท้าตีท้าต่อยกับเด็กคนอื่นๆในสถานรับเลี้ยง แต่แทนที่จะเข้ามาไกล่เกลี่ย บรรดาครูและผู้ใหญ่กลับร่วมมือกับเด็กคนอื่นๆเพื่อตอบโต้เด็กคนนั้น และลงท้ายก็ถูกเล่นงานเสียเอง…


น่าอับอายอะไรอย่างนี้ ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว!


พวกเขาไม่ควรขอดูรายละเอียดการดวลเลย ตอนนี้แต่ละคนรู้สึกอยากแทรกแผ่นดินหนีด้วยความอับอาย


ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็ฟังบทสนทนาของฝูงชนพร้อมกับตรวจสอบรายชื่อไปด้วย


เขาแสนจะงงงันกับสิ่งที่เห็น


ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดกับผู้อาวุโสพวกนั้นมาสู้กับเขาหรือ?


ทำไมเขาไม่รู้เรื่องเลย?


พูดกันตามตรง ถ้าคนระดับนั้นสำแดงศิลปะการต่อสู้ออกมา เขาก็ต้องดูออก แต่ภายในเวลาครึ่งชั่วโมงของการต่อสู้ ทุกคนถูกฆ่าตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เขาแทบไม่รู้สึกถึงการต่อต้านขัดขืนเลย!


แต่เอาเถอะ นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตราบใดที่เราได้เงินมากพอ ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา…


เมื่อคิดได้ จางเซวียนก็ตัดสินใจโยนเรื่องเหล่านั้นทิ้งไป


เขาหันกลับไปมองบัตรนิรันดร์ของตัวเอง


ตลอดการดวล เขาสังหารผู้คนไปถึง 5,000 คน ภายใต้กฎของการดวล ทุกเหรียญสำนักดาบที่คนพวกนั้นมีจะต้องตกเป็นของเขา ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น เขาก็คงได้เงินไม่น้อย


จางเซวียนใช้นิ้วสั่นเทาแตะลงไปบนบัตรนิรันดร์ ตัวเลขจำนวนหนึ่งปรากฏอย่างรวดเร็ว


283,764!


เราได้เงินกว่า 280,000 เหรียญสำนักดาบเลยหรือ? จางเซวียนอยากจะหัวเราะลั่นให้เหมือนคนบ้า


เพราะเขาสังหารศิษย์สายตรงฝ่ายในไปถึง 5,000 คน นั่นจึงหมายความว่าทำเงินได้ราว 50 เหรียญสำนักดาบต่อหัว หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้เขามีทรัพย์สินราวครึ่งหนึ่งของที่บรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในทั้งหมดมีอยู่กับตัว!


ถ้าเขาใช้เงินจำนวนนี้ซื้อยา คงทำให้น้ำเต้าตงฉู่ยอมจำนนได้สบาย


“ลาก่อน!”


เห็นร่างของตัวเองหมดเรี่ยวแรงจนพร้อมจะเสื่อมสลายได้ทุกขณะ จางเซวียนรีบเดินไปที่ เคาน์เตอร์เพื่อซื้อยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานจำนวนหนึ่ง ก่อนจะออกจากหอนิรันดร์ไป


ในเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอ้อยอิ่งอยู่ที่นั่น


จางเซวียนกลับถึงห้อง จากนั้นก็นำยาเม็ดออกมาก่อนจะปล่อยน้ำเต้าตงฉู่


“นี่คือยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐาน 10 เม็ด ยอมรับฉันเป็นเจ้านายของแกเสีย แล้วฉันจะให้แกทั้งหมด!” จางเซวียนเปิดจุกขวดหยก ปล่อยให้พลังจิตวิญญาณเข้มข้นโชยออกมา


สิ่งนี้ทำให้น้ำเต้าตงฉู่กระตือรือร้นสุดขีด


“ทำไม? แกจะคืนคำหรือ?” จางเซวียนมองน้ำเต้าตงฉู่ยิ้มๆ


“ฮิฮิ คำพูดของผมน่ะเชื่อถือได้เสมอ ไอ้การที่ผมจะยอมรับคุณเป็นเจ้านายน่ะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คุณจะต้องสัญญาว่าจะมอบทั้งยาเม็ดและทรัพย์สมบัติชั้นยอดให้ผม เพื่อที่ผมจะได้ฟื้นคืนพละกำลังอย่างสมบูรณ์” น้ำเต้าตงฉู่ตอบพร้อมกับส่ายก้น


“ตามนั้น” จางเซวียนตอบรับ


ของเหลวหยดหนึ่งกระเซ็นออกมาจากน้ำเต้าตงฉู่ก่อนจะลอยเข้าสู่หว่างคิ้วของจางเซวียน


จางเซวียนทำสัญญา ครู่ต่อมา จิตใต้สำนึกของเขาก็เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำเต้าตงฉู่ แม้ไม่ต้องเอ่ยปากพูด ก็สื่อสารกันได้ผ่านทางโทรจิต


“ตกลงแกเป็นใคร?”


แม้จะสื่อสารกันผ่านทางโทรจิตได้ แต่จางเซวียนก็ยังรู้สึกว่ามีปราการขวางกั้นระหว่างตัวเขากับน้ำเต้าตงฉู่


ยากที่จะอธิบายความรู้สึกนี้ แต่ถ้าต้องพูดออกมา ก็คงจะบอกว่าน้ำเต้าตงฉู่เหมือนไข่ใบหนึ่ง เขาบอกได้ว่าด้านนอกเป็นอย่างไร แต่ไม่อาจมองทะลุเปลือกไข่เพื่อเข้าไปดูสิ่งที่อยู่ข้างในได้


“ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือ? ผมคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งมีอำนาจทั่วทั้งดินแดน!” น้ำเต้าตงฉู่ตอบอย่างภาคภูมิใจ


“เลิกโม้เสียที เอาเถอะ นี่ยาของแก!”


เห็นน้ำเต้าตงฉู่ยังย้ำคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก จางเซวียนคร้านจะพูดต่อ เขาถอนหายใจอย่างจนปัญญาขณะโยนยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานให้อีกฝ่าย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)