กระบี่จงมา 198.2-199
บทที่ 198.2 เด็กหนุ่มอยากเดินทางไกล
โดย
ProjectZyphon
จู่ๆ หร่วนซิ่วก็หัวเราะ “ท่านพ่อ ท่านคงไม่คิดว่าข้าชอบเฉินผิงอันหรอกกระมัง? อืม ชอบที่ข้าพูดถึงนี้คือชอบแบบความรักระหว่างหนุ่มสาวน่ะ”
หร่วนฉงเริ่มสับสนขึ้นมาบ้างแล้ว แม้จะรู้สึกร้อนตัวอยู่บ้าง แต่ก็ยังแสร้งทำท่าผ่อนคลาย พูดปากแข็งว่า “เจ้าจะชอบเจ้าเด็กนั่นได้ยังไง นี่ไม่เกี่ยวข้องกับชาติกำเนิด เพราะพ่อเองก็เป็นเด็กยากจนที่มาจากตระกูลคนจนเหมือนกัน ข้อนี้ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก แต่หน้าตา พรสวรรค์และนิสัยแบบเฉินผิงอันนั่น พ่อไม่ชอบจริงๆ ไหนเลยจะคู่ควรกับซิ่วซิ่วของข้า”
หร่วนซิ่วร้องอ้อหนึ่งที ยืดแขนสองข้างเหยียดตรง สิบนิ้วประสานกัน มองไปยังทิศไกล “ที่แท้ท่านพ่อไม่ชอบนี่เอง”
อริยะสำนักการทหารผู้ยิ่งใหญ่เกือบจะโมโหตายเพราะประโยคนี้ของบุตรสาวตัวเอง
หร่วนฉงแข็งใจถามต่อว่า “แล้วเจ้าล่ะ ซิ่วซิ่ว?”
คำตอบของหร่วนซิ่วเห็นได้ชัดว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับคำถาม อีกทั้งยังบ่ายเบี่ยงเต็มที “เฉินผิงอันชอบผู้หญิงแค่คนเดียวเท่านั้น ข้ารู้ดียิ่งกว่าใคร”
ตอนที่กล่าวมาถึงตรงนี้ เด็กสาวก็ยิ้มอย่างมีความสุข
นี่ทำให้หร่วนฉงมึนงง ไม่เข้าใจว่าซิ่วซิ่วคิดอย่างไร เพราะอย่างไรซะเขาก็ไม่ใช่มารดาของหร่วนซิ่ว เรื่องรักๆ ใคร่ๆ แบบนี้ เขาที่เป็นผู้ชายหยาบกระด้างคนหนึ่งไม่สะดวกจะซักไซ้ให้ถึงที่สุดจริงๆ
หร่วนซิ่วหรี่ดวงตาชุ่มชื้นด้วยประกายน้ำคู่นั้นลงพลางหัวเราะคิกคัก “ขนมกุ้ยฮวาอร่อยจริงๆ”
หร่วนฉงลุกพรวดขึ้นยืน กล่าวอย่างอัดอั้นว่า “พ่อจะไปซื้อจากเมืองเล็กมาให้เจ้า”
หร่วนซิ่วตอบอ่อนหว่าน “ดีเลยเจ้าค่ะ”
หร่วนฉงเดินไปก็โมโหไปด้วย เจ้าลูกหมาเฉินผิงอัน ทำให้ซิ่วซิ่วของข้าได้แต่จดจ้อง ไม่กล้ากินขนมมาตั้งเกินครึ่งปี!
ลูกสาวข้าผอมหมดแล้ว!
……
เรื่องที่หร่วนฉงเปิดเตาหลอมกระบี่ได้แจ้งให้พวกปีศาจและผู้ฝึกตนอิสระที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่เขตการปกครองหลงเฉวียนทราบหมดแล้ว ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ พวกเขาก็ล้วนมุ่งหน้าไปที่ภูเขาทางทิศตะวันตก ส่วนเรื่องที่ว่าจะสามารถจ่ายเงินฟาดเคราะห์ เข้าไปในภูเขาสำเร็จ อาศัยโชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำต้านทานปณิธานแห่งกระบี่ที่แผ่ออกมาหลังเปิดเตาหลอมกระบี่ได้หรือไม่ ยังต้องดูว่ากองกำลังบนภูเขาเต็มใจหรือไม่ถึงจะได้ ดังนั้นภูตผีปีศาจส่วนใหญ่ที่มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่จึงมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ปีศาจบางตนไม่เห็นสำคัญกับเรื่องนี้ ด้วยคิดว่าตบะของตนสูงล้ำมากพอ มีหรือจะตกใจไปกับการหลอมกระบี่ที่อยู่ไกลถึงริมลำคลองหลงซวี ด้วยเหตุนี้จึงดึงดันที่จะอยู่ต่อในบ้านที่ซื้อใหม่ไว้ในเมืองเล็ก เหล่าขุนนางท้องถิ่นที่มาจากที่ว่าการเขตการปกครองและที่ว่าการอำเภอต่างก็ไม่บังคับฝืนใจ เพียงแค่มอบรายชื่อของคนเหล่านั้นให้กับสายลับต้าหลีที่อยู่ในพื้นที่เท่านั้น
ความมหัศจรรย์แห่งมหามรรคานั้นอยู่ที่ว่าการหลอมกระบี่ครั้งนี้ของหร่วนฉงค่อนข้างจะแปลกประหลาด เขาป่าวประกาศว่าจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อพวกภูตผีปีศาจเท่านั้น ผู้ฝึกลมปราณเผ่ามนุษย์กลับไม่เป็นปัญหาอะไร ต่อให้เป็นชาวบ้านร้านตลาดธรรมดาที่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอก็ไม่มีทางได้รับคลื่นที่เหลือจากการหลอมกระบี่ของหร่วนฉง
มิน่าเล่าถึงมีคำพูดโบร่ำโบราณซึ่งกล่าวขานกันใน ‘ตีนเขา’ ของตระกูลเซียนว่า ‘ไม่ขึ้นภูเขาลูกนี้ก็ไม่ได้เสวยสุข’ แต่ขณะเดียวกันก็สามารถลดปัญหายุ่งยากได้มาก ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ก่อนหน้านี้ถ้ำสวรรค์หลีจูห้ามใช้คาถาอาคมทุกชนิด นับตั้งแต่อริยะฉีจิ้งชุนไปจนถึงหลี่ไหว และจากบุรพาจารย์ตระกูลหลี่ไปจนถึงผู้ฝึกลมปราณธรรมดาทุกคน อันที่จริงพวกเขาต่างก็กำลังรับโทษทัณฑ์ แต่เมื่อหันกลับมามองชาวบ้านทั่วไป พวกเขากลับไม่เป็นอะไรสักนิด
จากนั้นผู้ฝึกตนอิสระที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ชาวบ้านของเมืองเล็กเกือบร้อยคนก็เกิดการปะทะกันหลายครั้งระหว่างที่เดินทางขึ้นเขา เพียงพูดไม่เข้าหู พวกเขาก็ลงไม้ลงมือกันถึงตาย ราชสำนักต้าหลีไม่ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ ขอแค่สองฝ่ายเข่นฆ่ากันโดยที่ไม่ทำลายฮวงจุ้ยของภูเขา พวกเขาก็เลือกหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง แต่พอเป็นปีศาจขอบเขตหกตนหนึ่งที่ไม่ยอมย้ายออกจากเมืองเล็กไปทะเลาะกับขุนนางตอนเอาข่าวไปแจ้งที่ว่าการอำเภอ ระเบิดความดุร้าย หมัดเดียวก็ต่อยให้ขุนนางท่านนั้นกระอักเลือดไม่หยุด แถมยังทำร้ายเลขาฝ่ายบู๊ที่ติดตามขุนนางคนนั้นไปพร้อมกันด้วย ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็มีกระบี่บินส่งข่าวไปยังที่ว่าการแห่งใหม่ซึ่งสร้างไว้ทางทิศเหนือของภูเขาใหญ่ เจ้าเมืองอู๋ยวนจึงออกคำสั่งให้สังหารปีศาจตนนั้นทันที
ตั้งแต่ต้นจนจบ ที่ว่าการเขตการปกครองไม่ได้เรียกใช้นักพรตซึ่งเป็นบุรพาจารย์ของตระกูลใหญ่ในเมืองเล็ก ยิ่งไม่ได้เรียกใช้ปีศาจตนอื่นๆ ที่พึ่งพาอาศัยอยู่ใต้ชายคา คอยดูดซับปราณวิญญาณ แต่แค่ส่งเลขาฝ่ายบู๊สามท่านที่ขอบเขตค่อนข้างสูง บวกกับยอดทหารที่มีฝีมืออีกสองร้อยนายของต้าหลี ภายใต้การนำของขุนพลฝ่ายบู๊ท่านหนึ่ง ไปโอบล้อมบ้านที่ปีศาจตนนั้นพักอาศัยอย่างแน่นหนาจนแม้แต่น้ำก็ซึมออกไปไม่ได้ บนหลังคายังมีพลธนูที่ยิงแม่นอีกกลุ่มหนึ่งคอยง้างคันธนูคอยท่า และลูกธนูทุกดอกก็ยิ่งถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษจากที่ว่าการลับของกรมโยธาธิการ และสุดท้ายก็เปิดฉากสังหารปีศาจตนนั้นจนตายคาที่
สวี่รั่วจอมยุทธ์สำนักโม่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทวีปแผ่นดินกลาง และหลิวอวี้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทยืนเคียงไหล่กันอยู่บนหลังคาแห่งหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกล พวกเขาแค่ยืนมองเฉยๆ ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย
ตอนนั้นคนที่มองการต่อสู้อยู่ไกลๆ ยังมีกองกำลังจากภายนอกที่ซื้อภูเขาไว้อีกหลายกองกำลัง
หากต้าหลีส่งนักพรตที่แข็งแกร่งคนหนึ่งออกมาบดขยี้ปีศาจที่ไม่เคารพกฎตนนั้น การโจมตีที่มีต่อพวกคนที่มาชมศึกคงน้อยกว่าภาพที่พวกเขาได้เห็นอยู่มาก ภาพที่ว่าคือภาพที่เลขาธิการฝ่ายบู๊ของต้าหลีซึ่งเป็นนักพรตจากสำนักการทหาร ร่วมมือกับเหล่าทหารที่ผ่านมาร้อยสมรภูมิรบ แต่ละคนบุกและถอยอย่างเป็นระเบียบ สังหารปีศาจที่แข็งแกร่งตนนั้นได้อย่างง่ายดาย คนสองกลุ่มที่มาจากบนภูเขาและล่างภูเขากลับร่วมมือสอดประสานกันได้อย่างไร้ช่องโหว่
นี่ต่างหากถึงจะเป็นความน่ากลัวที่แท้จริงของราชวงศ์ต้าหลี
……
ฝึกหมัดวันนี้แค่ชำระล้างจิตวิญญาณ แต่เฉินผิงอันต้องเผชิญกับหายนะรุนแรงมากกว่าเก่า
ตอนที่ถูกเด็กชายชุดเขียวแบกออกมา แขนขาเขายังชักกระตุก น้ำลายฟูมปาก ต่อให้ถูกวางลงในถังยาใบใหญ่ของชั้นล่างแล้วก็ยังมีสภาพชวนสังเวชเช่นนี้
รอจนเฉินผิงอันปีนออกมาจากถังยา เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่สะอาดเอี่ยมก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว เขาหิ้วกาเหล้ากานั้น พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที ยืดแขนบิดขี้เกียจ นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู เฉินผิงอันดื่มเหล้ารสร้อนแรง แม้จะยังสำลักและคิดว่ามันไม่อร่อย แต่กลับให้ความรู้สึกที่ดีมาก ดีกว่าตอนดื่มครั้งแรก
เฉินผิงอันจิบคำเล็กๆ หรี่ตาลง รู้สึกกรึ่มๆ เล็กน้อย
เขาอาศัยรสเหล้าร้อนแรงเอ่ยถามว่า “ข้ารู้ว่าบนโลกมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ พวกเจ้าว่าที่ร้านผ้าห่อบุญจะมีขายหรือไม่?”
เด็กน้อยสองคนหันมามองหน้ากัน
ก่อนที่เด็กชายชุดเขียวจะถอนหายใจ “นายท่าน ไม่ใช่ว่าข้าไม่เต็มใจให้ท่านยืมเงินหรอกนะ อีกอย่างยังไม่ต้องพูดถึงว่าที่ร้านผ้าห่อบุญมีขายหรือไม่ ต่อให้มีขายจริงๆ ข้อแรก ไม่แน่เสมอไปว่านายท่านจะแย่งชิงมาได้ ข้อที่สองต่อให้ข้าเอาทรัพย์สินทั้งหมดออกมากอง ทุบหม้อขายเหล็ก ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะซื้อน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ธรรมดาที่สุดใบหนึ่งได้”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงเล็กน้อย “แพงขนาดนั้นเลยหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวพยักหน้าอย่างแรง “ไม่มีแพงที่สุด มีแต่แพงยิ่งกว่า! แพงจนถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางก็ยังรู้สึกเสียดายเงิน!”
เด็กชายชุดเขียวลุกขึ้นยืน เพิ่มระดับน้ำเสียง “เอาแค่สหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงของข้า ชีวิตนี้ความฝันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือมือซ้ายถือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งใบ มือขวาก็ถือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อีกหนึ่งใบ หึ เขาไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่ดันต้องมาโมโหเอาเป็นเอาตายกับพวกผู้ฝึกกระบี่ที่เย่อหยิ่งเหล่านั้น ผลกลับกลายเป็นว่าป่านนี้แล้วเขาถึงเพิ่งจะมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ระดับต่ำมากลูกหนึ่ง แน่นอนว่านี่ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายด้วย ลำพังแค่กับเทพธิดาคนนั้นก็ทำให้เขาผลาญทรัพย์สมบัติที่สะสมมาถึงสี่ห้าร้อยปี และบางคนที่ชื่นชอบเขา เขาก็ทุ่มเงินให้พวกนางด้วยเหมือนกัน เฮ้อ นารีเป็นเหตุแท้ๆ เพราะฉะนั้นถือว่านายท่านโชคดีที่ไม่มีโชคดอกท้อ (โชคด้านความรัก) อะไรกับเขา ไม่ต้องกลัดกลุ้มกับเรื่องพวกนี้”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรีบเถียง “ไม่ถูก! พี่หญิงหร่วนชอบนายท่านของพวกเรา!”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “นั่นเป็นเพราะแม่นางหร่วนเป็นคนดี ไม่ใช่ว่านางชอบข้า คำพูดแบบนี้วันหน้าอย่าพูดส่งเดช ไม่อย่างนั้นถ้าพี่หญิงหร่วนโกรธขึ้นมาจริงๆ ข้าช่วยพวกเจ้าไม่ได้หรอกนะ”
ระหว่างที่พูดเฉินผิงอันก็แอบเดาะลิ้นอยู่กับตัวเอง ที่แท้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็มีมูลค่าควรเมืองขนาดนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเมื่อลงจากเขา เรื่องแรกที่ต้องทำคือไปส่งจดหมายให้หลี่เป่าผิงที่จุดพักม้า บอกให้นางเก็บรักษาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินลูกนั้นไว้ให้ดี อย่าทำแตกเด็ดขาด เขารู้ดีว่าแม่นางน้อยเป่าผิงมีนิสัยติดเล่น ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจจะลากเชือกแดงหิ้วน้ำเต้าใบน้อยวิ่งไปทั่วภูเขา และอาจทำมันแตกโดยไม่ทันระวัง
เด็กทั้งสองหันมาถลึงตาใส่กัน ต่างก็อดกลั้นไว้ไม่พูดอะไรต่อ
เฉินผิงอันครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วก็พูดเสริมมาว่า “แม่นางหร่วนไม่ค่อยเหมือนกับคนอื่น จะให้พูดอย่างเป็นรูปธรรม ข้าก็พูดไม่ถูก หากจะบอกว่าแม่นางหร่วนชอบข้า ข้าก็ชอบแม่นางหร่วนเหมือนกัน แต่ความชอบแบบนี้ไม่ใช่แบบที่พวกเจ้าคิด”
เด็กชายชุดเขียวรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างเป็นกังวลว่า วันใดวันหนึ่งชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้เป็นอริยะที่ไม่ชอบพูดผู้นั้นจะบุกมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ต่อยเฉินผิงอันตายด้วยหมัดเดียวก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยต่อยอีกหมัดให้ตนตาย
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
แน่นอนว่านางชอบนายท่านของตัวเองมากที่สุด แล้วก็ชอบพี่หญิงหร่วนเหมือนกัน หากคนที่นางชอบทั้งสองคนต่างก็ชอบกัน แบบนั้นจะไม่ยิ่งดีหรอกหรือ?
แล้วนายท่านชอบใครกันแน่นะ?
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้ว่านายท่านแอบชอบแม่นางคนหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่นางแอบมองใบหน้าด้านข้างของนายท่าน มองแววตาและสีหน้าของเฉินผิงอันก็รู้แล้วว่านายท่านเริ่มคิดถึงแม่นางคนนั้นอีกแล้ว
เฉินผิงอันใจลอยไปไกลนับพันนับหมื่นลี้
มีแม่นางคนหนึ่งที่คิ้วทอดตัวดุจเทือกเขายาวไกล
นอกจากนางจะสวยมากแล้ว นางยังเป็นคนดีมากด้วย
ต่อให้นางจะแค่นั่งอยู่ในห้องเก่าโทรมของตรอกหนีผิงเฉยๆ โดยไม่พูดอะไร ก็สามารถทำให้เด็กหนุ่มเกิดความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยมต่ออนาคตได้
แต่เฉินผิงอันเองก็รู้ว่า ชอบหรือไม่ชอบนางเป็นเรื่องของตน นางจะชอบตนหรือไม่ก็เป็นเรื่องของนาง
ไม่ว่าจะอย่างไร เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะบอกนางต่อหน้าสักครั้ง
ก็เหมือนที่ตอนนั้นทั้งๆ ที่นางจากไปไกลมากแล้ว แต่พอคิดขึ้นได้ว่าควรต้องบอกลากับเขาสักคำ นางก็ควบคุมกระบี่หันกลับมาบอกลากับเขาต่อหน้า
เฉินผิงอันไม่กล้าพูดว่าชีวิตนี้จะชอบแม่นางแค่คนเดียว แต่เขาไม่มีทางชอบแม่นางสองคนในเวลาเดียวกันแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงอยากจะออกเดินทางไกลเพื่อตัวเองสักครั้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มคิดอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อตัวเอง
……
การฝึกหมัดวันที่สอง ก่อนจะเริ่มฝึกหมัด เฉินผิงอันได้ถามคำถามหนึ่งว่าฝึกกระบี่จำเป็นต้องหาคัมภีร์กระบี่ดีๆ สักเล่มหรือไม่
ผลกลับกลายเป็นว่าผู้เฒ่าโมโหหนัก เดิมทีตกลงว่าจะชำระขัดเกลาเรือนกาย กลับกลายมาเป็นทุบตีหล่อหลอมจิตวิญญาณ อีกทั้งก่อนหน้านั้นยังใช้คำว่า ‘แลกเปลี่ยนฝีมือ’ มาทดสอบประสิทธิภาพของวิชาหมัด ใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าถึงยี่สิบห้าหมัดเต็มๆ ต่อยจนเฉินผิงอันเกือบจะร้องเรียกหาบิดามารดา
เฉินผิงอันที่หายใจรวยรินนอนบนพื้น จะตายมิตายแหล่
เขาเข้าใจผิดอยู่หลายครั้งว่าตัวเองจะตายจริงๆ
ผู้เฒ่าหลุบตามองลงมาจากมุมสูง หัวเราะเสียงเย็นถามว่า “โลภมากมักลาภหาย ยังไม่ทันฝึกหมัดให้ดีก็คิดจะแบ่งสมาธิไปฝึกกระบี่แล้วรึ?!”
เฉินผิงอันที่ทั่วใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสดเจ็บแค้นปานขาดใจ กระอักเลือดพลางตอบเสียงแหบไปด้วย “ข้าแค่จะถามว่าหลังจากฝึกวิชาหมัดแล้ว ควรจะฝึกกระบี่อย่างไร…”
ผู้เฒ่าอึ้งตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสังเกตเห็นสายตาที่เริ่มพ่นไฟของเด็กหนุ่ม ผู้เฒ่าก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ยกเท้ากระทืบเต็มแรงจนเด็กหนุ่มหมดสติไป
ก็ช่วยชำระล้างร่างกายไงล่ะ สลบไปแล้วเดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นมา ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่
ผลกลับกลายเป็นว่าคืนนั้นพอเฉินผิงอันออกจากถังยามาเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาที่อยู่ชั้นหนึ่งก็หันไปแผดเสียงด่าใส่ชั้นสอง สีหน้าเขียวคล้ำ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เขาด่าได้อย่างชัดเจนไม่คลุมเครือเลยสักนิด ไม่เสียแรงที่เป็นเด็กหนุ่มซึ่งมีชาติกำเนิดจากตรอกหนีผิง
เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ด้านข้าง แม้แต่เด็กชายชุดเขียวก็ยังเริ่มนับถือนายท่านของตัวเอง ฝึกหมัดมานานขนาดนี้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาแค่ความกล้าหาญนี้ก็มากพอให้ต้องชื่นชมแล้ว
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ดื่มเหล้าอย่างอัดอั้น เหล้าที่เหลือเกือบครึ่งกาเล็กถูกเขาดื่มจนหมดรวดเดียว
——————————
บทที่ 199 นกขมิ้นจากไปแล้วย้อนกลับมา
โดย
ProjectZyphon
หลังผ่านพ้นช่วงปีใหม่ ในแจกันสมบัติทวีปก็เกิดเรื่องใหญ่อยู่หลายเรื่อง
หนึ่งคือนักพรตของสำนักโองการเทพที่อายุยังน้อยแต่มีศักดิ์อาวุโสสูงล้ำผู้นั้น เมื่อได้รับการสนับสนุนอย่างสุดกำลังจากฉีเจินศิษย์พี่เจ้าสำนักผู้เป็น ‘เทียนจวิน’ ก็ได้รับเชื้อเชิญจากสำนักเบื้องบนของสำนักโองการเทพซึ่งเป็นสำนักลัทธิเต๋าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ให้เขามารับผิดชอบหน้าที่เจินเหรินอาลักษณ์ ดูแลตำรา ‘ต้งเสวียนจิง’ งานประพันธ์อันยิ่งใหญ่ของลัทธิเต๋าซึ่งทรงคุณค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ตำราเล่มนี้ถูกขนานนามให้เป็น ‘รากเหง้าแห่งกถามรรค’
ข่าวนี้ไม่เป็นรองข่าวที่สำนักโองการเทพจัดงานพิธีเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่ฉีเจินได้รับการแต่งตั้งเป็นเทียนจวินเลย
เรื่องที่สองคือภูเขาเจินอู่หนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหาร เมื่อปีก่อนรับลูกศิษย์ใหม่มาคนหนึ่ง ภายในหนึ่งปีเขาฝ่าทะลุขอบเขตได้ติดต่อกันถึงสามขอบเขต เป็นเหตุให้ภูเขาเจินอู่ที่เดิมทียังตกเป็นรองศาลลมหิมะอยู่เล็กน้อยพลันมีชื่อเสียงและพลังอำนาจเพิ่มพูน และมีแววว่าจะข่มศาลลมหิมะลงไปได้ ต้องรู้ว่านี่ยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะเลื่อนขั้นเป็นเซียนกระบี่พสุธาแล้วด้วย เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีพรสวรรค์สูงล้ำเพียงใด
เรื่องที่สามเป็นข่าวเล็กๆ บอกว่าราชวงศ์ต้าหลีชาวเหนือผู้ป่าเถื่อนยืนกรานจะเลื่อนขั้นภูเขาบางลูกทางทิศใต้ของเขตแดนพวกเขาขึ้นเป็นขุนเขาเหนือแห่งแคว้นราวกับเสียสติ ในถ้อยคำดูแคลนเย้ยหยันจำนวนมากนั้นกล่าวว่า สกุลซ่งบ้านนอกคอกนาไม่เพียงแต่ความรู้ตื้นเขิน ที่แท้แม้แต่ทิศเหนือใต้ออกตกก็ยังแยกไม่ออก มีเพียงสำนักศึกษากวานหูเท่านั้นที่ห้ามนักเรียนในสำนักศึกษาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ นับว่ามีเลศนัยอย่างยิ่ง
ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นไม่ได้น่าตกใจเท่าสามเรื่องแรก อีกทั้งยังเป็นข่าวเล็กข่าวน้อยที่เล่าลือกันปากต่อปาก ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าจริงหรือเท็จในช่วงเวลาสั้นๆ ยกตัวอย่างเช่นฝูหนันหัวนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้สุดของทวีปจะแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับหลานสาวสายตรงตระกูลร่ำรวยตระกูลหนึ่งของแคว้นหนันเจี้ยน ตระกูลของฝ่ายหญิงคือตระกูลใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในแจกันสมบัติทวีป แต่ข่าวลือบอกว่าผู้หญิงคนนั้นหน้าตาอัปลักษณ์อย่างถึงที่สุด เป็นหญิงแก่ที่อายุถึงสามสิบปีแล้ว
หรือยกตัวอย่างเช่นดินแดนต้าสุยทางทิศเหนือที่กำลังระส่ำระสายไม่เป็นสุข มีนักพรตใหญ่จำนวนมากแอบเดินทางออกจากแคว้นอย่างเงียบเชียบ พวกเขาเลือกที่จะ ‘เดินทางท่องเที่ยว’ ไปทางใต้ ว่ากันว่าเพื่อหลบภัย หลบหอกระบี่บินป๋ายอวี้จิงของต้าหลีที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่
ส่วนเรื่องที่สำนักศึกษาซานหยาซึ่งถูกถอดตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา และไปตั้งรกรากอยู่ที่เมืองหลวงต้าสุยกลับไม่ใช่ข่าวใหญ่อะไรนัก
และยังมีอีกก็คือต้าสุยป่าวประกาศกับคนนอกว่าพวกเขามีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบที่ฝีมือน่าครั่นคร้ามเพิ่มมาหนึ่งคน ทว่าคนทางใต้ของแจกันสมบัติทวีปต่างคิดว่านี่เป็นแผนลวงตาชั้นเลวที่สกุลเกาต้าสุยเลือกใช้
เทศกาลโคมไฟเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วันก็มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นมากมายถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าบุรพแจกันสมบัติทวีปจะไม่เคยครึกครื้นขนาดนี้มาก่อน
เมื่อเว่ยป้อไปเดินเล่นที่ภูเขาลั่วพั่วทุกวัน ภูเขาลูกนี้ก็คึกคักตามไปด้วย เดิมทีตระกูลเซียนในภูเขาสามลูกที่อยู่ใกล้เคียงเห็นภูเขาลั่วพั่วที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้างหรูหราเป็นเรื่องตลก แต่ตอนนี้กลับเริ่มไปที่ภูเขาลั่วพั่วบ่อยๆ หากไม่ไปพบปะกับมหาเทพแห่งขุนเขาเหนือก็จะต้องไปจุดธูปสักดอกในศาลเทพภูเขาที่ตั้งอยู่บนยอดเขา
การกระทำนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากตระกูลเซียนจะเข้าไปจุดธูปในศาลจะต้องทำตามกฎระเบียบ ส่วนใหญ่แล้วจะมีการห้ามไม่ให้เซียนเข้าไปในศาลเทพ และยิ่งไม่สามารถจุดธูปได้ง่ายๆ เว้นเสียแต่ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเพิ่งมีการผูกสมัครเป็นพันธมิตร ‘ยอดธูป’ กัน ยกตัวอย่างเช่นตนเองมีการสร้างจวนไว้บนภูเขาลูกหนึ่ง และบนภูเขาลูกนี้มีศาลที่ทางราชสำนักเป็นผู้แต่งตั้ง ถ้าเช่นนั้นก็จะต้องไปจุดธูปหนึ่งดอกที่ศาลแห่งนั้น ไม่ใช่สามดอก ถือเป็นการทักทาย หากธูปจุดติดแล้วเผาไหม้จนหมดดอก ก็หมายความว่าเทพภูเขาหรือเทพแม่น้ำที่อยู่ในศาลพยักหน้ายอมรับ แต่หากธูปที่ปักลงไปในกระถางไม่ยอมไหม้ลงไป ก็เท่ากับว่า ‘ไฟแรงไม่พอ’ ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากนั้นตระกูลเซียนจะแตกหักหรือพยายามเอาอกเอาใจกันต่อไป ก็ต้องดูที่ความมั่นใจของใครของมัน หรือจะพูดอีกอย่างก็คือต้องดูว่าแขนของราชวงศ์เบื้องใต้ภูเขาหนาเท่าใด และหมัดใหญ่เท่าใด
เพียงแต่ว่าแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ อย่างไรก็สู้ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ร้อยบุปผาเบ่งบานไม่ได้ เล่าลือกันว่าที่นั่นเคยมีราชวงศ์แข็งแกร่งราชวงศ์หนึ่งที่ยืนหยัดมานาน ทุกครั้งที่แคว้นเสื่อมโทรมใกล้จะล่มสลาย ก็จะต้องมีจักรพรรดิผู้ทรงพระปรีชาออกมาร่วมมือกับขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊หยุดยั้งสถานการณ์นั้นไว้ ราชวงศ์นั้นให้ความเคารพเลื่อมใสผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวอย่างถึงที่สุด ในอดีตพวกเขาเคยมีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมาปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์และจะไม่มีเกิดขึ้นในอนาคต นั่นคือจักรพรรดิท่านหนึ่งของพวกเขาโง่เขลาเบาปัญญาจนเกือบจะทำให้ชะตาแคว้นขาด เพื่อสาวงามแล้ว เขาโมโหจนขาดสติถึงขั้นยกกำกำลังของแคว้นไปล้อมโจมตีขุนเขาใหญ่แห่งหนึ่ง นอกจากจะต้องใช้อาวุธอาคมของผู้ฝึกลมปราณและกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ในแคว้นแล้ว ยังมีมือธนูทรงพลังที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวจำนวนนับไม่ถ้วน เครื่องโยนหินที่สลักอักขระยันต์ของลัทธิเต๋าอีกหกพันเครื่อง นอกจากนี้ยังวางหน้าไม้ยักษ์ที่เชิญให้ปรมาจารย์ด้านกลไกของสำนักโม่มาสร้างให้อีกหมื่นกว่าคัน เรียกได้ว่าขนทุกอย่างที่อยู่ในคลังสรรพาวุธของราชวงศ์ตัวเองออกมา ลูกธนูและลูกหน้าไม้ทุกดอกล้วนใหญ่เท่าคานของตำหนักใหญ่…สุดท้ายระดมยิงจนขุนเขาใหญ่ลูกนั้นกลายมาเป็นเม่นตัวหนึ่ง
เมืองเล็กหลงเฉวียนยังคงครึกครื้นดังเดิม แต่สองวันมานี้ในภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกกลับเงียบสงบผิดปกติ อย่าว่าแต่ตระกูลเซียนต่างถิ่นที่มาปักหลักอาศัย ณ ที่แห่งนี้เลย แม้แต่พวกภูตผีปีศาจจอมพยศยากจะกำราบทั้งหลายต่างก็ไม่กล้าหายใจดัง เพราะราชครูชุยฉานเริ่มลาดตระเวนไปยังภูเขาลูกต่างๆ แล้ว
ได้ยินว่าครั้งแรกที่เท้าของผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อคนนี้เหยียบเข้ามาในเขตการปกครองหลงเฉวียน ผู้เฒ่าสำรวมกิริยา พาผู้ติดตามไปด้วยแค่สองคน เดินจากเหนือลงใต้ เดินจากที่ว่าการเขตการปกครองที่อยู่ทางเหนือเข้าไปในภูเขา
เพราะผู้เฒ่าไม่ได้คิดจะปลอมตัวไปเยี่ยมเยียนใครเป็นการส่วนตัว จึงบอกกล่าวกับเจ้าเมืองอู๋ยวนผู้เป็นศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้ภูเขาใหญ่แต่ละลูกจึงได้รับจดหมายแจ้งจากทางที่ว่าการมาตั้งนานแล้วว่า ช่วงเวลาอันใกล้นี้ให้จัดเตรียมการต้อนรับรอไว้ให้ดี เพราะท่านราชครูอาจจะไปชมทัศนียภาพบนภูเขาได้ทุกเมื่อ
ไม่ได้ถึงขั้นสร้างความลำบากใจให้ใคร เพราะไม่ได้เรียกร้องให้สรรหาเอาตับมังกรไขกระดูกหงส์อะไรมารับรอง หรือต้องถึงขั้นปัดกวาดบ้านช่องถนนหนทางจนสะอาดไร้ฝุ่น เพียงแค่มีการเตรียมการให้พอเป็นพิธี อย่างน้อยในฐานะเจ้าบ้านก็ควรต้องมีสักคนที่รออยู่ในภูเขา ไม่ออกไปไหนส่งเดช ไม่ใช่ว่าพอราชครูขึ้นไปบนภูเขาแล้ว ถามอะไรก็ไม่รู้สักอย่าง แบบนั้นคงไม่เหมาะ
และในบรรดาภูเขาทั้งหลาย แน่นอนว่าภูเขาเสินซิ่วในนามของหร่วนฉง และภูเขาหนิวเจี่ยวที่ตั้งของร้านผ้าห่อบุญย่อมต้องเป็นสถานที่สำคัญในสำคัญอีกที อู๋ยวนจึงจำต้องส่งขุนนางใหญ่ตระกูลหยวนและเฉาที่คนหนึ่งรับตำแหน่งนายอำเภอ อีกคนรับตำแหน่งผู้ตรวจการงานเตาเผาให้แยกกันไปประจำอยู่ในสองสถานที่นี้ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเนื่องจากดูแลได้ไม่ทั่วถึง
ส่วนภูเขาพีอวิ๋นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อีกไม่นานฮ่องเต้ก็จะเสด็จมาเยือนด้วยพระองค์เอง แล้วก็จริงดังคาด ราชครูชุยฉานมาพักอาศัยอยู่ในภูเขาพีอวิ๋นเป็นระยะเวลาสั้นๆ แค่สองวัน ระหว่างตรวจดูสถานที่ตั้งของศาลเทพขุนเขาเหนือรวมไปถึงสำนักศึกษาแห่งใหม่ จะต้องมีคนผู้หนึ่งคอยติดตามอยู่ข้างกายราชครูตลอดเวลา ชักนำให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหลไม่น้อย เพราะเขาก็คือ ‘เฉิงสุ่ยตง’ ซื่อหลางเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิง เป็นเหตุให้ผู้คนคาดเดากันไปสะระตะ หรือว่าสกุลหงแคว้นหวงถิงที่เป็นแคว้นใต้อาณัติของต้าสุยจะสละพันธมิตรทิ้งแล้ว?
สุดท้ายชุยฉานเดินมาถึงภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ทางทิศใต้สุด เข้าไปในศาลเทพภูเขา ซ่งอวี้จางปรากฏตัวด้วยร่างทองคำ ตอนที่ซ่งอวี้จางมาขอศึกษาเล่าเรียนตอนยังเป็นหนุ่มก็เลื่อมใสราชครูท่านนี้มาก ตอนนี้ไม่เพียงแต่ได้เห็นตัวจริงในระยะประชิด ยังได้พูดคุยด้วยอีกหลายคำ นี่ทำให้ซ่งอวี้จางที่ตอนนี้กลายมาเป็นเทพภูเขาแล้วซาบซึ้งใจปลื้มปริ่มอย่างสุดซึ้ง
ออกจากศาลเทพภูเขา ชุยฉานให้ซ่งอวี้จางไปที่ภูเขาพีอวิ๋นเพื่อปรึกษาเรื่องที่ภูตผีปีศาจเข้ามาในภูเขากับเว่ยป้อ ให้สวี่รั่วและหลิวอวี้ผู้ติดตามสองคนกลับไปที่เมืองเล็ก จับตามองเซี่ยสือกับเฉาซีต่อไป ท่ามกลางแสงสนธยา ราชครูต้าหลีเดินลงภูเขาไปช้าๆ เพียงลำพัง เดินไปบนเส้นทางสายเล็กที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง สุดท้ายเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู คนหนึ่งฝึกตนอยู่ริมหน้าผา อีกคนกำลังนั่งแทะเมล็ดแตงกินขนมอยู่ใต้ชายคา พอเห็นผู้เฒ่า เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็กะพริบตาปริบๆ นายท่านของนางหมดสติอยู่ในถังยา นางเองก็ไม่กล้าปิดประตูไล่แขก แล้วก็ไม่กล้าปล่อยให้ผู้เฒ่าแปลกหน้าบุกเข้าไปในหอไม้ไผ่โดยพลการด้วย
ช่วงที่ผ่านมานี้เด็กชายชุดเขียวมุมานะในการฝึกตนอย่างยิ่ง เขาจะต้องนั่งเข้าฌานอย่างตั้งใจไม่มีหยุดพักทั้งวันและคืน นอกจากตอนที่แบกเฉินผิงอันลงมาจากชั้นสองแล้วก็แทบไม่เคยอยู่ห่างจากริมหน้าผา สองหูไม่ฟังสองตาไม่มองเรื่องใด ผลกลับกลายเป็นว่าพอลืมตาขึ้นมาก็เห็นผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อตบะลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง อีกทั้งดูแล้วยังไม่ใช่พวกที่นิสัยดีสักเท่าไหร่ด้วย เด็กชายชุดเขียวถึงขั้นคิดอยากจะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย เดินบนถนนในเมืองเล็กหรือเดินบนทางในตรอกหนีผิงแล้วเจอคนที่ต่อยตนให้ตายได้ด้วยหมัดเดียวก็ช่างเถอะ เดินบนเส้นทางบนภูเขาลั่วพั่วเจออีก เขาก็ทน แต่นี่ข้าผู้อาวุโสฝึกตนอย่างสงบอยู่หน้าบ้านตัวเอง นี่หน้าบ้านของตัวเอง ก็ยังมีคนที่สามารถต่อยให้ตนตายได้ด้วยหมัดเดียวโผล่มาอีกหรือ?
สีหน้าของเด็กชายชุดเขียวทึ่มทื่อ เมื่อไม่กลัวตายความกล้าหาญย่อมบังเกิด เขาจึงเอ่ยกับผู้เฒ่าคนนั้นว่า “ช่วงนี้นายท่านของข้าไม่รับแขก หากเจ้าอารมณ์ไม่ดีจะต่อยข้าให้ตายด้วยหมัดเดียวก็ได้ จะอย่างไรซะเจ้าก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อนอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับสีหน้าเฉยเมย “เจ้าอยากตายใช่ไหม?”
เด็กชายชุดเขียวกำลังจะพูด เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกลับชิงเอ่ยถามขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงของเด็กน้อย “ท่านผู้เฒ่า ท่านมาข้าใครหรือ?”
ชุยฉานหันหน้ามาตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าชื่อชุยฉาน เป็นราชครูต้าหลี ไม่ได้จะมาหานายท่านของเจ้า แต่จะมาหาคนที่อยู่บนชั้นสอง”
เด็กชายชุดเขียวเหมือนถูกฟ้าผ่า เขารีบกลอกตามองสูง มือหนึ่งวางบนหัว อีกมือหนึ่งโบกเป็นพัลวันเหมือนคนร้อนตัว “เมื่อครู่นี้ข้าพูดอะไรนะ ทำไมถึงจำไม่ได้แล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้นะ…”
ผู้เฒ่าที่อยู่บนชั้นสองมายืนตรงราวระเบียง พูดกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูว่า “ให้เขาขึ้นมา เจ้าพางูน้ำน้อยตัวนั้นไปเล่นที่อื่นก่อน ไม่ต้องห่วง ไม่เกี่ยวอะไรกับเฉินผิงอันนายท่านของพวกเจ้า”
ราชครูชุยฉานหยิบเก้าอี้ไม้ไผ่สองตัวเดินขึ้นไปบนชั้นสอง วางลงบนระเบียงเบาๆ คนทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้คนละตัว
ผู้เฒ่าถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
ชุยฉานตอบเรียบๆ “เพื่อมหามรรคาของตัวเอง ข้าจึงหาร่างที่มหาเซียนบรรพกาลลอกคราบไว้มาร่างหนึ่ง แล้วแบ่งดวงวิญญาณครึ่งหนึ่งเข้าไปข้างใน หนึ่งร่างแบ่งเป็นสอง ใช้ร่างของเด็กหนุ่มเดินทางมายังถ้ำสวรรค์หลีจี ผลคือเล่นงานฉีจิ้งชุนไม่สำเร็จ กลับกันยังถูกเขาทำร้ายจนตบะถอยฮวบ จิตวิญญาณไม่มั่นคง หลังจากนั้นจึงทำการแลกเปลี่ยนกับนักโทษประหารคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนาน เรียนวิชาลับมาหนึ่งวิชา นั่นถึงทำให้จิตวิญญาณมั่นคงได้ ภายหลังซิ่วไฉเฒ่ามาที่นี่ เขาเลือกข้าที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่ม ทอดทิ้งข้าที่อยู่ในเมืองหลวงต้าหลี ตัดขาดความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณ ทำให้หนึ่งร่างแบ่งเป็นสองอย่างแท้จริง นับแต่นั้นมาบนโลกก็มีชุยฉานสองคน…”
ผู้เฒ่ายังคงสีหน้าเย็นชาดุจเดิม หมัดสองข้างวางไว้บนหัวเข่า ทอดสายตามองไปไกล “ผิดแล้ว ต้องเป็นชุยฉานฉาน”
ชุยฉานทั้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธในเรื่องนี้ “ข้าคือชุยฉาน นับตั้งแต่นาทีที่จากบ้านเกิดมาก็เป็นเช่นนี้แล้ว ส่วนเด็กหนุ่มที่แบ่งจิตวิญญาณของข้าไปครึ่งหนึ่งผู้นั้น ตอนนี้ก็ได้เลือกชื่อใหม่ที่เกี่ยวข้องกับภูเขา ชุยตงซาน แต่ข้าว่าชื่อชุยฉานน่าจะเหมาะกว่า (ชื่อเดิมที่ปู่ตั้งให้คือชุยฉานฉาน ฉานสองคำนี้อ่านเหมือนกันแต่เขียนต่างกัน ชุยฉานที่เป็นราชครูใช้ คือตัวอักษรฉาน 瀺 เกี่ยวข้องกับสายน้ำ หรือแปลว่าเสียงน้ำไหล ส่วนชุยฉานที่บอกว่าเด็กหนุ่มควรใช้คือ 巉 ฉานที่เกี่ยวกับภูเขา แปลว่าภูเขาที่สูงและอันตราย) ชุยฉาน (崔瀺) ชุยฉาน (崔巉) น้ำและภูเขาไม่แยกจากกัน น้ำและภูเขาได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งถึงพอจะเป็นลางดีได้บ้าง”
ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมา “ทำไมเจ้าถึงแก่ขนาดนี้แล้ว?”
ชุยฉานเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ออกจากบ้านตอนอายุยี่สิบ อายุยี่สิบสี่ไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ร้อยปีกว่าให้หลัง ชีวิตมีขึ้นมีลง หลังทรยศออกจากสำนักก็ไปพเนจรทั่วหล้าอีกสามสิบกว่าปี พอกลับมาถึงแจกันสมบัติทวีก็อยู่กับราชวงศ์ต้าหลีมานานถึงขนาดนี้ คนอายุสองร้อยปีแล้ว หนุ่มไม่ได้แล้วล่ะ”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่ฉานฉานในความทรงจำของข้า”
ชุยฉานคลี่ยิ้ม ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ท่านปู่ รู้หรือไม่ว่าท่านเป็นแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าอะไรก็ล้วนใช้คำว่า ‘ข้ารู้สึกว่า’ เสมอ ราวกับว่าทุกคนและทุกเหตุผลในใต้หล้าแห่งนี้ล้วนหมุนรอบตัวท่าน เกรงว่าคงมีแค่ตอนที่ท่านเป็นบ้าเท่านั้นถึงจะไม่เป็นเช่นนี้ แม้ข้าจะไม่รู้สาเหตุและการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ไม่รู้ว่าเหตุใดสกุลชุยถึงไม่ขังท่านเอาไว้ แต่ข้าไม่คิดว่าการที่ท่านมาหาข้าครั้งนี้จะมีประโยชน์ต่อทั้งตัวข้าและตัวท่านเอง”
ผู้เฒ่ายังคงส่ายหน้า “ข้ามาหาอาจารย์ของพวกเจ้า”
ชุยฉานหัวเราะหยัน “ซิ่วไฉเฒ่า? เขาไปจากแจกันสมบัติทวีปตั้งนานแล้ว เห็นว่าไปที่นาตยทวีป ก่อเรื่องครึกโครมใหญ่โต ขนาดพระอาทิตย์ดวงหนึ่งที่อยู่เหนือหัวไหล่ของบุรพาจารย์สกุลเฉินอิ่งอินก็ยังถูกซิ่วไฉเฒ่าขโมยไป ทำเอาทั่วทั้งใต้หล้าโกลาหลปั่นป่วนกันไปหมด เพียงแต่ว่าตอนนี้ใครก็ทำอะไรซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้ สง่างามยิ่งนัก”
ผู้เฒ่าเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ฉานฉานตอนเด็กไม่มีทางพูดแบบนี้ หากเขาจะด่าใครบางคน ทุกครั้งหลังจากด่าเสร็จจะพูดเสริมไปอีกประโยคว่า แต่คนคนนั้นดีกับคนในครอบครัว แต่ว่าคนคนนั้นเขียนบทกลอนได้ดีมาก แต่ว่า…”
ชุยฉานแค่นเสียง “พอที! เรื่องเก่าแก่นานนมในบัญชีเก่าค้างปี พลิกเปิดไปมาก็เจอแต่ฝุ่น”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่เสียแรงที่เป็นราชครูต้าหลี บุคคลยิ่งใหญ่ที่คุมแนวโน้มของสถานการณ์ในครึ่งทวีป”
ชุยฉานถอนหายใจ
ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยตัวเอง “มิน่าเล่าตอนนั้นข้าถึงจำเจ้าไม่ได้ ฉานฉานในความทรงจำของข้าไม่ค่อยเหมือนเจ้าสักเท่าไหร่”
ชุยฉานลุกขึ้นยืน ใช้มือหนึ่งค้ำราวระเบียง “ใจคนเหมือนน้ำ หากไม่ขยับเคลื่อนไม่แปรเปลี่ยนเสียบ้างก็คือน้ำที่ตายแล้ว”
ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนช้าๆ “ข้ามองออกว่านอกจากมือกระบี่ข้างกายเจ้า ในเมืองเล็กยังมีบุคคลที่ร้ายกาจอีกสองคน ทำไม พวกเขามาเพื่อเล่นงานเจ้าอย่างนั้นหรือ? ต้องการให้ข้าทำอะไรหรือเปล่า?”
ชุยฉานลังเลไปชั่วครู่ก็ถามกึ่งเล่นกึ่งจริง “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูก่อนว่าท่านกล้าสังหารเทียนจวินคนหนึ่งของอุตรกุรุทวีปหรือไม่”
ผู้เฒ่าหัวเราะเฮอๆ สองที
ชุยฉานหันหน้ากลับมามองผู้เฒ่า ก็ไม่ได้ต่างจากอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ เพราะผู้เฒ่าในความทรงจำตอนที่เขาเป็นหนุ่มก็แตกต่างไปจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิงเช่นเดียวกัน บรรพบุรุษสกุลชุยในเวลานั้นถือไม้เท้า อยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่ง อีกทั้งทั่วร่างยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของตำราดุจลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อผู้งามสง่า
ผู้เฒ่าหลับตาลง
เริ่มค้นหาลมปราณของคนบางคนในเมืองเล็ก
……
ตรอกเถาเย่ของเมืองเล็ก บ้านเก่าตระกูลเซี่ย
เฉาซีมาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน
เซี่ยสือคร้านจะแนะนำเขาให้ทุกคนรู้จัก เฉาซีเองก็ไม่อยากยกยอตัวเองให้ใครฟัง คนทั่วทั้งตระกูลเซี่ยจึงไม่มีทางรู้ได้ว่าเศรษฐีเฒ่าผู้นี้เป็นถึงเซียนกระบี่พสุธาของนาตยทวีป
เซี่ยสือกำลังรอคำตอบยืนยันที่แน่ชัดจากฮ่องเต้ต้าหลี ในบรรดาคนสามคน เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพ หม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่ หลี่ซีเซิ่งแห่งเมืองเล็ก สุดท้ายแล้วจะมอบให้ฝ่ายเขาได้สักกี่คน
แม้จะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเฉาซีอย่างชัดเจน แต่ในเมื่อเป็น ‘สหาย’ ของท่านบรรพบุรุษเซี่ยสือ ตระกูลเซี่ยก็ยังไม่กล้าเพิกเฉยละเลย
ในห้องโถงใหญ่ เฉาซีกำลังดื่มชา ปรายตามองไปยังคนจิ๋วควันธูปตัวเล็กน่ารักคู่หนึ่งที่หลบซ่อนอยู่ในกรอบป้าย และกำลังยื่นหน้าออกมามองเขา
เซี่ยสือรำคาญท่าทีของเฉาซีอย่างยิ่ง กำลังจะเปิดปากไล่คน คนทั้งสองกลับหันขวับมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้อย่างพร้อมเพรียงกัน
เฉาซีหรี่ตาลง รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
เซี่ยสือสีหน้าเป็นปกติ แต่ลึกๆ ในใจกลับตื่นตะลึงไม่น้อย
พลังอำนาจของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด
มุมใดมุมหนึ่งของภูเขาฝั่งตะวันตกเฉียงใต้กำลังมีคนใช้วิธีที่โอหังไร้ยำเกรงมา ‘สำรวจตรวจตรา’ ไปทั่วทั้งเมืองเล็ก
สุดท้ายจ้องเขม็งมาที่เซี่ยสือ
เฉาซีเซียนกระบี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตรงข้อมือยังผูกแม่น้ำหนึ่งสายซึ่งเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเอาไว้
มือกระบี่ ‘หนุ่ม’ คนหนึ่งไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวอยู่ในตรอกเถาเย่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาก็คือสวี่รั่วจอมยุทธ์สำนักโม่ พาด กระบี่ไว้ด้านหลังในแนวขวาง ก้าวเดินเอื่อยเฉื่อย
ชื่อเสียงของเขาในแจกันสมบัติทวีปไม่โดดเด่นนัก
แต่หากอยู่ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลับมีชื่อเสียงเลื่องระบือ ทว่าต่อให้เป็นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเอง คนส่วนใหญ่ก็ยังรู้แค่ว่ากระบี่ของสวี่รั่วจอมยุทธ์สำนักโม่เน้นป้องกันไม่เน้นโจมตี กระบวนท่ากระบี่โบราณเรียบง่าย ปราณกระบี่ลึกล้ำ ปณิธานแห่งกระบี่หนาเข้มข้น มีชื่อเสียงในด้านการป้องกันตัว ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้ววิชากระบี่ที่สวี่รั่วเชี่ยวชาญคือการประหัตประหารศัตรู หาไม่แล้วหากแค่ ‘ถือกระบี่เฉยๆ’ จะ ‘ไร้พ่าย’ ได้อย่างไร?
จอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งในใต้หล้า แม้เจตจำนงของสำนักจะเพื่อขจัดผู้มีอิทธิพล ประคับประคองคนอ่อนแอ แต่ไม่ว่าจะอยู่ในยุทธภพหรือในสมรภูมิรบ ลูกศิษย์ของสำนักโม่ก็มีพลังการสังหารที่ไม่ต่ำเตี้ย ด้วยเหตุนี้นอกจากสำนักการทหารแล้ว สำนักโม่จึงเป็นหนึ่งในนักพรตร้อยสำนักที่ได้รับความสำคัญและการพึ่งพาจากแม่ทัพฝ่ายบู๊มากที่สุด
ตอนนี้จู่ๆ ก็มีผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อย่างน้อยก็อยู่ในขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดโผล่มาทำท่าจะลงไม้ลงมือ เห็นได้ชัดว่าเจตนาไม่ดีต่อเซี่ยสือ
บวกกับอริยะหร่วนฉงที่ยังไม่รู้ว่าอยู่ฝ่ายใดอีกคนหนึ่ง
เซี่ยสือดื่มน้ำชา กวาดตามองไปรอบด้าน
และวินาทีก่อนที่เซี่ยสือจะวางถ้วยชากลับลงไปบนโต๊ะนั้นเอง
นกขมิ้นตัวหนึ่งก็พุ่งสวบแหวกอากาศลงมาจากเพดานที่เปิดอ้า ปากเพดานเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก แต่ไม่นานก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
นกขมิ้นตัวเล็กน่ารักมาหยุดอยู่ตรงหัวไหล่ของเซี่ยสือ ใช้ปากจิกเสื้อของชายฉกรรจ์เบาๆ
นกขมิ้นตัวนี้ เฉินผิงอันเคยเห็น ฉีจิ้งชุนเคยเห็น และชาวบ้านในเมืองเล็กอีกหลายคนต่างก็เคยเห็นมาก่อน
เฉาซีทำสีหน้ากังขา แต่จากนั้นก็พลันหน้าเปลี่ยนสี สุดท้ายเหงื่อเย็นๆ ผุดเต็มหน้าผาก ยิ้มซีดเซียว ทั้งเคารพหวาดเกรง อีกเสี้ยวหนึ่งคือความรู้สึกโชคดี
สวี่รั่วถอนหายใจหนึ่งที คลายมือข้างที่กำด้ามกระบี่ออก เขาคิดว่าไม่ว่าตนจะชักกระบี่หรือไม่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม เพราะว่าช้าเกินไป
มือที่ตีเหล็กของหร่วนฉงหยุดชะงักไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาหลอมกระบี่ของเขาต่อไป
มีเพียงผู้เฒ่าที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วเท่านั้นที่หัวเราะเสียงดัง ปณิธานการต่อสู้ไหล่บ่าท่วมท้น
—————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น