อัจฉริยะสมองเพชร 1982-1983

 ตอนที่ 1982 ยังไม่พบเลย…

เหตุผลที่สำนักดาบเมฆเหินสร้างหอนิรันดร์ของตัวเองขึ้นก็เพราะผลประโยชน์ที่จะได้รับ พวกเขาปรารถนาจะสร้างโลกเสมือนจริงที่บรรดาศิษย์สายตรงสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันและต่อสู้กันได้โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงตัวตนและสถานภาพเดิมของตัวเอง


ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ท่านเจ้าสำนักจึงยังไม่กล้าก้าวล่วงข้อมูลเหล่านั้นโดยปราศจากเหตุผล เพราะไม่อย่างนั้น ความเป็นหอนิรันดร์จะเปลี่ยนไปทันทีหากบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในรู้ว่าตัวตนเสมือนจริงของพวกเขากำลังถูกคุกคาม และนั่นจะเป็นการบ่อนทำลายทุกอย่างที่หอนิรันดร์สั่งสมมา


“ผมไม่ได้อยากรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาหรืออยากรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน” ผู้อาวุโสมู่ส่ายหน้า “ที่ผมอยากรู้ก็คือพละกำลังที่แท้จริงของหมอนั่น!”


“พละกำลังที่แท้จริงของหมอนั่น?”


เพราะการเปิดใช้งานตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจะต้องมีการหยดเลือดหยดหนึ่งลงไป จึงมีความเป็นไปได้ที่ระบบจะสามารถตรวจสอบพละกำลังของนักรบผู้นั้นได้อย่างแม่นยำ


ผู้อาวุโสคนหนึ่งพลันเข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้อาวุโสมู่ทันที “คุณพยายามจะตรวจสอบว่าเขาเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในจริงๆหรือเปล่าใช่ไหม?”


“ใช่ เท่าที่เห็นศิลปะเพลงดาบของผมน่ะถ่อมตัว ผมสงสัยเหลือเกินว่านี่เป็นฝีมือของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหรือเปล่า ซึ่งถ้าวรยุทธของเขายังไม่ถึงขั้นเสมือนอมตะ ก็หมายความว่าเขาคือศิษย์สายตรงฝ่ายในจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก” ผู้อาวุโสมู่พูด


ฝูงชนพยักหน้ารับ


ถ้าผมน่ะถ่อมตัวเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด พวกเขาในฐานะผู้อาวุโสก็มีสิทธิ์เข้าไปขัดขวาง เพราะไม่อย่างนั้น จะเกิดเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ต่อบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน


แต่ในทางกลับกัน ถ้าผมน่ะถ่อมตัวเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน อย่างมากที่สุดก็เป็นแค่การที่ศิษย์สายตรงฝ่ายในพ่ายแพ้ให้กับศิษย์สายตรงฝ่ายในด้วยกันเท่านั้น ถือเป็นกิจการภายใน ไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอายอะไรมากมาย


อันที่จริง ถือเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ


พละกำลังอันน่าทึ่งที่ผมน่ะถ่อมตัวสำแดงออกมาจะกลายเป็นตัวอย่างอันสมบูรณ์แบบของการที่ศิษย์สายตรงฝ่ายใดคนหนึ่งสามารถเข้าถึงได้ และบางที อาจเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่เหลือหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธให้หนักกว่าเดิมหลังจากเห็นแล้วว่ามีแต่ท้องฟ้าเท่านั้นที่สามารถสกัดกั้นพวกเขา


ไม่ช้าอสูรบินได้ก็มาถึงศาลาเพลงดาบ


ผู้อาวุโสมู่นำตราสัญลักษณ์ที่แสดงตัวตนของเขาออกมาและพูดว่า “ผมอยากตรวจสอบพละกำลังของนักรบที่ใช้สมญานามว่า ‘ผมน่ะถ่อมตัว’!”


วิ้งงงง!


เกิดแสงสว่างวาบขึ้นบนกำแพง ตัวอักษรแถวหนึ่งปรากฏ – ผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึก


“เขาเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึก?”


“ถ้าอย่างนั้น…เขาก็เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งจริงๆ”


“เงื่อนไขต่ำสุดของการจะได้เป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคือจะต้องสำเร็จวรยุทธขั้นเสมือนอมตะ เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่บรรลุเงื่อนไขนั้น”


“ว่าแต่ผู้ที่เก่งกาจไร้เทียมทานขนาดนี้ปรากฏตัวขึ้นในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในตั้งแต่เมื่อไหร่?”


ผู้อาวุโสทั้งสิบพากันจังงังกับผลลัพธ์ที่ปรากฏตรงหน้า


หลังจากได้เห็นฝีไม้ลายมือของผมน่ะถ่อมตัว ทุกคนคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นอัจฉริยะชั้นยอดในหมู่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด แต่ผลลัพธ์ที่ปรากฏในศาลาเพลงดาบก็บอกชัดเจนแล้วว่าเขาเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งจริงๆ!


แต่…ในฐานะผู้อาวุโส พวกเขาไม่รู้ได้อย่างไรว่ามีศิษย์สายตรงฝ่ายในที่เก่งกาจขนาดนี้?


…..


ที่บ้านพักของผู้อาวุโสไป๋ เมื่อเห็นไป๋เหรินชิง ไป๋เฟิงรีบเข้ามาถามไถ่ “เป็นอย่างไรบ้าง? คุณพบพ่อค้าขายยาคนนั้นไหม?”


เขาต้องดูแลนายท่าน ดังนั้น หลังจากที่พาสาวน้อยไปที่ตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายในแล้ว ก็รีบกลับมาที่บ้านพักทันที


“ยังไม่พบเลย…” ไป๋เหรินชิงส่ายหน้า


เห็นสภาพผิดปกติของไป๋เหรินชิง ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เธอดูจะหม่นหมองไปเล็กน้อย ไป๋เฟิงถามไถ่ด้วยความกังวล “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”


“เอ่อ…ใช่ เมื่อครู่นี้น่ะ มีใครคนหนึ่งเอ่ยปากท้าทายศิษย์สายตรงฝ่ายในทั้งหมด เมื่อฉันรู้เรื่อง ก็เข้าสู่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายในและท้าหมอนั่นดวลทันที…” ไป๋เหรินชิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น


“คุณพ่ายแพ้ภายในกระบวนท่าเดียว ขนาดสำแดงศิลปะเพลงดาบดงหิมะที่ผมถ่ายทอดให้คุณนี่นะ?” ไป๋เฟิงตาโตด้วยความตกตะลึง


“ใช่” ไป๋เหรินชิงตอบอย่างกระอักกระอ่วน “ฉันอธิบายไม่ถูก แต่ศิลปะเพลงดาบของเขาทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่าศิลปะเพลงดาบดงหิมะไร้ประโยชน์ไปเลย”


“จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร?” ไป๋เฟิงขมวดคิ้ว “ถึงศิลปะเพลงดาบดงหิมะจะไม่ใช่ศิลปะเพลงดาบที่ทรงพลังที่สุดในสำนักดาบเมฆเหิน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งจะต้านทานได้…”


ไป๋เฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “คุณมีตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลสักอันไหม? ผมอยากไปเห็นกับตา!”


“ฉันไม่มีเลยสักอัน…” ไป๋เหรินชิงส่ายหน้า “ท่านปู่เฟิง คุณอยากไปที่นั่นหรือ?”


“ศิลปะเพลงดาบดงหิมะทั้งล้ำลึกและทรงพลัง ผมไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครเอาชนะมันได้ง่ายดายขนาดนั้น” ไป๋เฟิงตอบ “ผมคิดว่าเขาน่าจะใช้ลูกไม้บางอย่าง ผมอยากท้าเขาดวลให้เห็นกับตา!”


ถึงไป๋เหรินชิงจะขยันหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธแค่ไหน ก็ยังมีขีดจำกัดเรื่องอายุ แม้จะประสบความสำเร็จในภาพรวมของศิลปะเพลงดาบแล้ว แต่เรื่องจริงก็คือเธอเข้าถึงแก่นสารที่แท้จริงของมันได้แค่ผิวเผินเท่านั้น


ไป๋เฟิงรู้สึกว่าถ้าเขาสำแดงศิลปะเพลงดาบนั้นด้วยตัวเอง ก็น่าจะเอาชนะผู้ที่ไป๋เหรินชิงพูดถึงได้ ด้วยสิ่งนี้ เขาจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นในศิลปะเพลงดาบของไป๋เหรินชิงกลับคืนมา


“ท่านปู่เฟิง…เขาเป็นแค่ศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งเท่านั้น ถึงคุณไม่ใช่ผู้อาวุโส แต่พละกำลังของคุณก็เหนือชั้นกว่าผู้อาวุโสส่วนใหญ่เสียอีก ฉันคิดว่าคงไม่เหมาะสมนักถ้าคุณจะดวลกับเขา” ไป๋เหรินชิงพูดอย่างลำบากใจ


การที่เธอเข้าไปยุ่มย่ามที่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายในก็ดูไม่เหมาะสมอยู่แล้ว หากไป๋เฟิงเข้าไปอีกคน ไม่ว่าเขาจะแพ้หรือชนะ ก็มีแต่จะเสียชื่อ


“ผมแค่อยากเข้าไปดูศิลปะเพลงดาบของหมอนั่นเท่านั้น อาจไม่ต้องลงไม้ลงมือก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์” ไป๋เฟิงตอบยิ้มๆ “อีกอย่าง ผมเป็นแค่คนรับใช้เก่าแก่ ไม่มีอะไรที่เรียกว่าไม่เหมาะสมหรอก”


ถึงไป๋เฟิงจะทรงพลัง แต่เขาก็เป็นแค่คนรับใช้ของผู้อาวุโสไป๋เย่ ตัวเขาไม่ได้ถูกบังคับจากระเบียบกฎเกณฑ์ของสำนักดาบเมฆเหินเหมือนศิษย์สายตรงคนอื่นๆ


เห็นไป๋เฟิงตัดสินใจแล้ว ไป๋เหรินชิงรู้ดีว่าคงเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้ยาก จึงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปเตรียมการให้”


จากนั้น ตัวเธอกับไป๋เฟิงก็กลับไปที่บ้านพักของหลิวลู่จี่


เมื่อหลิวลู่จี่เห็นไดโนเสาร์ตัวเมียกลับมาอีกครั้งหลังจากที่เขาเพิ่งต้อนรับผู้อาวุโสมู่กับเหล่าผู้อาวุโสไปหยกๆ ก็หายใจหายคอไม่ออกขึ้นมาทันที เนิ่นนานมาแล้วที่เขาไม่เคยรู้สึกอยากร้องไห้


มันเรื่องอะไรพวกคุณถึงตบเท้าเข้าออกบ้านพักของผมอย่างสะดวกสบายแบบนี้?


ผมเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในนะ ไม่ใช่เจ้าของโรงเตี๊ยม!


แต่ก็แน่นอนว่าไม่มีทางที่หลิวลู่จี่จะกล้าเอ่ยคำว่า ‘ไม่’ กับคำขอของไป๋เหรินชิง เขาทำได้แค่ส่งคนไปจัดหาตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลให้อีกฝ่ายอย่างว่าง่าย


ด้วยเหตุนี้ ไม่ช้าทั้งกลุ่มก็กลับสู่หอนิรันดร์อีกครั้ง


พูดตามตรง เขาไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกแล้ว แต่ด้วยสายตาดุดันเชือดเฉือนของไป๋เหรินชิง หลิวลู่จี่รู้ดีว่าคงถูกอัดบี้แบนกับพื้นแน่หากไม่ยอมทำตาม


เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา จากนั้นก็เข้าสู่หอนิรันดร์อีกครั้งพร้อมกับหวังเจี้ยนตง ทั้งคู่พาไป๋เหรินชิงกับไป๋เฟิงไปยังสังเวียนประลอง


ตอนนั้นผ่านไปราว 10 นาทีแล้ว ดูเหมือนมีศิษย์สายตรงฝ่ายในอีกกว่า 1 พันคนที่ถูกสังหาร


ในเวลานี้ ผู้คนที่ออกันอยู่มีจำนวนลดลงมาก


ไม่ว่าบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในจะขัดอกขัดใจแค่ไหน แต่เมื่อสมาชิกในหมู่พวกเขาถึง 2 พันคนถูกสังหารไป ก็แน่นอนว่าย่อมมีบางส่วนที่เริ่มหวาดกลัวและล่าถอย


ในสายตาของพวกเขา ผมน่ะถ่อมตัวไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักรสังหารที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดูเหมือนเขาสามารถฆ่าคนได้อย่างต่อเนื่องอีกหลายวันโดยไม่จำเป็นต้องหยุดพัก


“ศิลปะเพลงดาบนี้…”


หลังจากพิจารณากระบวนท่าของผมน่ะถ่อมตัว ไป๋เฟิงขมวดคิ้ว


มีเพียงคำเดียวที่เขาจะใช้บรรยายศิลปะเพลงดาบที่อยู่ตรงหน้าได้-พื้นๆ! เพียงแวบเดียว เขาก็มองเห็นมันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่มีเทคนิคหรือทักษะใดๆอยู่ในนั้นเลย ดูเหมือนหมอนี่เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้จักศิลปะเพลงดาบ รู้จักแต่จะกวัดแกว่งและฟาดฟันดาบเท่านั้น


แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่อธิบายไม่ได้ อีกฝ่ายสามารถปลดปล่อยพละกำลังอันน่าทึ่งออกมาได้ด้วยกระบวนท่าที่เรียบง่ายแบบนั้น ใครก็ตามที่ขวางทางของเขาจะต้องตายอย่างหมดหนทางสู้


นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋เฟิงรู้สึกขัดแย้งในใจเมื่อได้เห็นศิลปะเพลงดาบ เขาไม่รู้จริงๆว่ามันทรงพลังหรือไม่ แต่ที่ชัดเจนกว่านั้นก็คือ ความเหลื่อมล้ำในพละกำลังระหว่างผมน่ะถ่อมตัวกับบรรดาคู่ต่อสู้ของเขาถือว่าห่างชั้นกันมาก จนไม่มีทางใช้ศิลปะเพลงดาบทดสอบได้


ก็เหมือนกับการที่เด็ก 3 ขวบคนหนึ่งสำแดงศิลปะการต่อสู้ออกมา ไม่มีทางประเมินได้เลยว่าเด็กคนนั้นทรงพลังจริงๆหรือเปล่า


“ท่านปู่เฟิง…” ไป๋เหรินชิงมองหน้าไป๋เฟิง


“ศิลปะเพลงดาบของเขาไร้เทียมทานจริงๆ แต่ถ้าเราอยากรู้ความสามารถที่แท้จริงของเขา ผมก็ต้องทดสอบเขาด้วยตัวเอง!” ไป๋เฟิงตอบ


“ทดสอบเขาด้วยตัวเอง?” หลิวลู่จี่เลิกคิ้ว “ผู้อาวุโสเฟิง อย่าถึงขนาดนั้นเลย ผมเกรงว่า…”


“คุณกลัวอะไร? วางใจเถอะ ผมไม่ฆ่าเขาและทำให้คุณตกที่นั่งลำบากหรอกน่ะ!” ไป๋เฟิงตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว


“คือ…ไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่ได้กลัวว่าคุณจะฆ่าเขา แต่…เขาจะฆ่าคุณต่างหาก! นั่นจะทำให้อะไรๆยุ่งยากไปกว่าเดิมอีก” หลิวลู่จี่ตอบพร้อมกับยิ้มแหยๆ


“บังอาจ! คุณรู้หรือเปล่าว่าท่านปู่เฟิงทรงพลังแค่ไหน เขาจะถูกฆ่าได้อย่างไร? คุณกล้าดีอย่างไรถึงพูดแบบนี้!” ไป๋เหรินชิงเดือดจัด


ไป๋เฟิงอาจไม่ได้เป็นผู้อาวุโสของสำนักดาบเมฆเหิน แต่พละกำลังของเขาเหนือชั้นกว่าผู้อาวุโสทั่วไปอยู่มาก!


ไม่ควรจะมีใครพูดถึงความเป็นไปได้แบบนั้นออกมา หลิวลู่จี่สมควรถูกซ้อมให้ตาย!


“ผม…ผมขออภัยที่พูดจาไม่เหมาะสม เชิญตามสบาย…” หลิวลู่จี่ส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือก


ผู้อาวุโสมู่กับคนอื่นๆก็ลองมาแล้ว แต่ลงท้ายพวกเขาก็ถูกสังหาร ผู้อาวุโสเฟิงอาจเก่งกาจไร้เทียมทาน แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่น่าจะเอาชนะผู้อาวุโสฝ่ายในทั้งสิบพร้อมๆกันได้เมื่อมีระดับวรยุทธเท่ากันแบบนี้


แต่นั่นแหละ ในเมื่อเขาพูดไปก็ไม่มีใครฟัง ก็ไม่อยากพูดให้เปลืองน้ำลาย อีกอย่าง เขาก็บอกความจริงไม่ได้ว่าผู้อาวุโสมู่กับสิบผู้อาวุโสเคยมาที่นี่


ไป๋เฟิงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยิน “ถ้าคุณห่วงว่าผมจะถูกฆ่าล่ะก็ บอกได้เลยว่ากังวลโดยเปล่าประโยชน์ นอกจากนายท่านและผู้อาวุโสอีก 2-3 คนในสำนักนี้ ผมก็ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น!”


ตอนที่ 1983 มันยุติธรรมตรงไหน?

แม้เขาจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังในสำนักเพราะนิสัยถ่อมเนื้อถ่อมตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอ่อนแอ


เขาได้รับคำชี้แนะเป็นส่วนตัวจากผู้อาวุโสไป๋เย่และฝึกฝนวรยุทธมากว่าร้อยปีแล้ว ความเข้าใจในวิถีทางแห่งเพลงดาบของเขาอยู่ในระดับที่น่าทึ่ง แทบไม่มีใครในโลกนี้ที่ทำให้เขาหวาดกลัวได้!


ไป๋เฟิงปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบออกมา เขาก้าวยาวๆเข้าสู่ใจกลางฝูงชน


เขาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองให้ใครๆเห็น เหตุผลเดียวที่เขามาที่นี่ก็เพื่อจะดูให้เห็นกับตาว่าหมอนี่เอาชนะศิลปะเพลงดาบดงหิมะได้อย่างไร


ส่วนอีกด้านหนึ่ง ขณะที่ไป๋เฟิงเดินหน้าเข้าสู่ใจกลางฝูงชน หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงอ้าปากค้าง ทั้งคู่รีบถอยหลังและเข้าไปซ่อนอยู่หลังกำแพง


“พวกคุณทำอะไรน่ะ?” ไป๋เหรินชิงขมวดคิ้วเมื่อเห็นทีท่าพิลึกพิลั่นของทั้งคู่


“เอ่อ…ไม่มีอะไรมากหรอก ศิษย์พี่ไป๋ ทำไมคุณไม่มาอยู่กับพวกเราล่ะ? อยู่ตรงนี้มองเห็นอะไรๆได้ชัดกว่านะ ไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้สังเวียนประลองหรอก” หลิวลู่จี่แนะนำอย่างร้อนใจ


เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆก็จริง แต่ความเจ็บปวดจากการถูกตัดหัวไม่ใช่สิ่งที่ใครสักคนจะคุ้นชินได้ เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 4!


“ขี้ขลาดตาขาว! ไม่น่าเชื่อว่าพวกคุณรั้งอันดับต้นๆของศิษย์สายตรงฝ่ายใน น่าอับอายเหลือเกิน!” เมื่อดูออกว่าทั้งคู่คิดอะไร ไป๋เหรินชิงส่ายหน้าอย่างดูถูกขณะเฝ้ามองความวุ่นวายจากจุดที่เธอยืน


ยากจะบอกได้ว่าไป๋เฟิงทำอะไรลงไป แต่ฝูงชนที่ออกันอยู่โดยรอบรีบเปิดทางให้เขาเดิน


ฟิ้ววววว!


ยังไม่ทันจะเข้าใกล้ผมน่ะถ่อมตัว ไป๋เฟิงก็ชูดาบขึ้นและรวบรวมกระแสดาบฉีเข้าสู่ปลายดาบของเขา ด้วยการตวัดดาบเพียงหนึ่งครั้ง ก็เกิดพายุหิมะหนักหน่วงพัดกระหน่ำโดยรอบ


เห็นการสำแดงเทคนิคนั้น ผมน่ะถ่อมตัวหรี่ตาเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวออกมาแล้วฟันฉับลงไป


ศีรษะของไป๋เฟิงร่วงลงไปกลิ้งกับพื้น


ไป๋เหรินชิงตกตะลึงสุดขีด


ขนาดสําแดงเทคนิคที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแล้ว ท่านปู่เฟิงก็ยังต้านทานการโจมตีของผมน่ะถ่อมตัวไม่ได้ เธอขยี้ตาเพื่อให้แน่ใจว่าตาไม่ฝาด แต่พริบตาต่อมาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ


ศีรษะของเธอร่วงลงไปกลิ้งกับพื้นเช่นกัน


แม้ตอนที่กำลังจะตาย ไป๋เหรินชิงก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เธออยู่ห่างจากหมอนั่นราวสามสิบเมตร แต่ก็ยังถูกฆ่าได้


ไม่แปลกใจแล้วที่หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงหนีไปซุกอยู่หลังกำแพง ดูเหมือนสองคนนั้นจะรู้อยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น


ขณะที่ศีรษะของเธอร่วงลงไปกับพื้น เธอก็มองไปด้านหลัง เห็นกระแสดาบฉีอีก 2 สายพุ่งฉิวผ่านเธอไป


ตุ้บ! ตุ้บ!


2 ศีรษะกลิ้งหลุนๆไปกับพื้นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย


ดูเหมือนการซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงจะไม่ช่วยอะไร


“หน้าไม่อายอะไรอย่างนี้!” จางเซวียนพึมพำ


พูดกันตามตรง เขาเหนื่อยหน่ายกับการกำจัดเจ้าพวกนั้นเหลือเกิน


ร่างที่หอนิรันดร์อนุญาตให้เขาใช้ถือว่าอ่อนแอเกินไป เขาจึงพยายามสงวนพลังงานไว้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่หลังจากต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้มากมายขนาดนี้ ลงท้ายเขาก็ใช้พลังปราณไปถึงครึ่งหนึ่งของที่มี แถมหัวสมองก็เริ่มเหนื่อยล้า


ในเมื่อเขาเป็นคนเอ่ยปากท้าเอง จึงต้องดำเนินการทุกอย่างให้เสร็จสิ้น แต่ก็มีเจ้าพวกศิษย์สายตรงหน้าไม่อายจำนวนหนึ่งที่เปลี่ยนตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากถูกฆ่า และเข้ามาร่วมวงอีก


เหลวไหลเลอะเทอะสิ้นดี! ถ้าทุกคนทำแบบนี้ เขาคงต้องสังหารแต่ละคนอย่างน้อยก็ 5 ครั้ง


มันยุติธรรมตรงไหน?


โดยเฉพาะเจ้าหน้าไม่อายสองคนนั่นที่เอาแต่ซุกหัวหลบ เขาสังหารทั้งคู่ไปถึง 3 ครั้งแล้ว แต่สองคนนั่นก็ยังหวนกลับมาซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อหาโอกาสลอบสังหารเขา พวกนั้นคิดจริงๆหรือไงว่าเขาจะจำไม่ได้เพียงเพราะเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตัวเองแล้ว?


เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเพลงดาบฟ้าประทาน การประเมินนักรบแต่ละคนจากเจตจำนงเพลงดาบนั้น ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย แล้วยังแม่สาวคนนั้นอีก! เขาแน่ใจว่าเขาสังหารเธอไปแล้วรอบหนึ่ง!


เจ้าพวกหน้าไม่อาย! ขี้โกง! ขี้โกหก!


“ช่างเถอะ”จางเซวียนสูดหายใจลึกหลายครั้งและพยายามระงับอารมณ์


พวกนั้นอาจหน้าไม่อาย แต่ตัวเขาเป็นสุภาพบุรุษ เขาคือผู้ยึดมั่นในหลักการและจะไม่ยอมลดตัวลงไปทำอะไรต่ำๆ อย่างมากที่สุดเขาก็แค่สังหารพวกนั้นทุกครั้งที่อีกฝ่ายปรากฏตัว ไม่จำเป็นต้องอารมณ์เสียเพราะเรื่องนี้


เพียงแต่…เขาไม่เหลือพลังปราณมากพอจะเล่นสนุกแล้ว มันไม่ควรจะเป็นแค่การเอาชนะบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในอีกต่อไป แต่ต้องทำลายตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของพวกนั้นให้สิ้นซาก!


“ดูเหมือนเราต้องจัดการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียที” ในที่สุดจางเซวียนก็ตัดสินใจ


ถ้าเขาฆ่าทิ้งทีละคน พวกนั้นก็จะหวนกลับมาใหม่พร้อมกับตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันใหม่ในมือ ตราบใดที่ยังมีตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอยู่ การดวลครั้งนี้ก็ไม่มีวันจบสิ้น


ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็มีทางเดียวที่เขาจะเอาชนะการดวลครั้งนี้ได้ คือต้องฆ่าพวกนั้นให้ตายหมดพร้อมกันทีเดียว


ถ้าเขากำจัดทุกคนได้พร้อมกันภายในหนึ่งนาที ก็จะปิดจ๊อบได้สำเร็จ!


“ตอนนี้มีคนอยู่ราวสามพันคน เราจะจัดการพวกเขาให้ราบคาบภายในหนึ่งนาทีได้อย่างไร?”


จางเซวียนใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการสังหารศิษย์สายตรง 2 พันคน สูญเสียพลังงานไปกว่าครึ่งแล้ว หากทำแบบเดิม คงจบลงด้วยความพ่ายแพ้แน่


“ดูเหมือนเราต้องใช้กระบวนท่านั้นแล้วล่ะ…” จางเซวียนกัดฟันและตัดสินใจแม่นมั่น


เขามีกระบวนท่าไม้ตายที่ใช้ได้ผลดีในการสลายฝูงชน แต่กระบวนท่านั้นต้องใช้พลังปราณมาก ทันทีที่สำแดงออกไป ก็มีโอกาสที่พลังปราณของเขาจะเหือดแห้งหมด ซึ่งถ้ายังเหลือคู่ต่อสู้อยู่ เขาก็จะทำอะไรไม่ได้มาก


แต่ในเมื่อถูกบีบให้จนมุมแล้ว ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีวันปิดจ๊อบการดวลได้


“ต้องจัดการ!” จางเซวียนรีบคิดคำนวณในใจ จากนั้นก็โยนดาบออกไปโดยไม่ลังเล


เห็นผมน่ะถ่อมตัวทิ้งดาบของตัวเอง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นถึงกับจังงัง พวกเขาลืมการโจมตีไปครู่หนึ่ง


จางเซวียนรีบขับเคลื่อนพลังปราณก่อนจะเคาะนิ้วเบาๆกลางอากาศ


ฟิ้ววววว!


กระแสดาบฉีที่มีความเข้มข้นอย่างน่าทึ่งพุ่งออกจากปลายนิ้วของเขา แล้วลอยสูงขึ้นกลางอากาศ จากนั้นมันก็แตกตัวกลายเป็นกระแสดาบฉีขนาดเล็กหลายพันสายที่ลอยตัวออกไปอย่างเงียบๆ ราวกับกิโยตินลอยได้


กระบวนท่านี้ไม่ได้มาจากเจตจำนงเพลงดาบที่เขาเพิ่งทำความเข้าใจได้สำเร็จ แต่เป็นการหลอมรวมกันของเพลงดาบฟาดฟันทะเล เพลงดาบเร่งเร้ามหาสมุทร และเพลงดาบฉีกกระชากสวรรค์ที่เขาได้ทำความเข้าใจเมื่อครั้งอยู่ที่สระดาบในทวีปแห่งปรมาจารย์


ก่อนหน้านี้ เขาใช้ศิลปะเพลงดาบเหล่านี้ได้ทีละชนิดเท่านั้น แต่หลังจากที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็สามารถผนวกเอาสามศิลปะเพลงดาบเข้าด้วยกันและปลดปล่อยพละกำลังทำลายล้างที่หนักหน่วงกว่าแต่ก่อนได้หลายเท่า


ในครั้งนั้น จางเซวียนควบคุมดาบได้ถึง 108 เล่มพร้อมๆกัน แต่ละเล่มสำแดงศิลปะเพลงดาบที่แตกต่างกันออกไปเพื่อใช้เล่นงานคู่ต่อสู้ แต่กระบวนท่าที่เขาใช้อยู่ตอนนี้แข็งแกร่งกว่านั้นมาก


แต่ก็นั่นแหละ ร่างกายของเขาในเวลานี้สามารถควบคุมกระแสดาบฉีได้อย่างมากที่สุดก็ 3,000 สาย หากมากกว่านั้น ร่างคงได้เสื่อมสลายแน่


เห็นค่ายกลขนาดมหึมาอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา ศิษย์สายตรงที่อยู่ใกล้ที่สุดขนลุกขนชันไปทั้งตัว เขาอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาอย่างเสียขวัญ ทำลายความเงียบงันบริเวณนั้น


“เขาต้องกำลังทำอะไรสักอย่างแน่ เราจะปล่อยให้เขาทำสำเร็จไม่ได้นะ! เร็วเข้า…”


แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ผมน่ะถ่อมตัวก็ออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึมต่อกระแสดาบฉีหลายพันสายที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ “จัดการพวกนั้นเสีย!”


ฟึ่บ!


กระแสดาบฉีหลายพันสายพุ่งลงมาจากกลางอากาศพร้อมๆกัน


นักรบ 3,000 คน และศีรษะอีก 3,000 ศีรษะร่วงลงไปกลิ้งกับพื้นพร้อมๆกัน ก่อนจะสลายเป็นอากาศธาตุ


หอนิรันดร์อันใหญ่โตนั้นว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


“ท่านปู่เฟิง…พละกำลังของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?” ไป๋เหรินชิงถามอย่างร้อนใจ


พวกเขากลับจากหอนิรันดร์ได้ราว 10 นาทีแล้ว แต่ทันทีที่ได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา ไป๋เฟิงก็เอาแต่หลับตาและตกอยู่ในภวังค์ เมื่อเห็นภาพนั้น ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร


“เจิดจรัส! มันเจิดจรัสมาก!” ไป๋เฟิงลืมตาขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นประกายของความตื่นเต้นที่อยู่ภายใน


“เจิดจรัส?” ทุกคนอ้าปากค้าง


ชายชราผู้นี้สติแตกจากการถูกตัดหัวหรือเปล่า?


หลิวลู่จี่อดไม่ได้ที่จะหันไปสบตากับหวังเจี้ยนตงขณะที่ทั้งคู่ต่างยกมือกุมคอหอย แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นแค่โลกเสมือนจริง แต่การถูกตัดหัวถึง 4 ครั้งติดต่อกันก็ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นไม่น้อย


พูดก็พูดเถอะ ถึงพวกเขาจะถูกตัดหัวถึง 4 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเจิดจรัสอย่างที่ไป๋เฟิงอุทานออกมาสักนิด!


“ผมฝึกฝนศิลปะเพลงดาบดงหิมะมากว่าร้อยปีแล้ว ถึงตอนนี้ ก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันน่าทึ่ง ความเร็วของมันเป็นแค่พละกำลังส่วนหนึ่งในหลายส่วนเท่านั้น ที่สำคัญกว่าคือความสามารถในการถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ดาบและควบคุมมันให้ราบรื่นจนไร้ที่ติ ก่อเกิดเป็นการสำแดงการเคลื่อนไหวที่เหนือชั้นกว่ามนุษย์โดยทั่วไป ทำให้รับมือด้วยได้ยากมาก!” ไป๋เฟิงจ้องมองความว่างเปล่าตรงหน้าด้วยแววตาที่บ่งบอกความยกย่องและชมเชย


“เนิ่นนานหลายปีมาแล้วที่ผมเชื่อว่าศิลปะเพลงดาบดงหิมะไร้ข้อบกพร่อง แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะเอาชนะมันได้ในกระบวนท่าเดียว? ศิลปะเพลงดาบนั้นไร้เทียมทานจริงๆ เหนือชั้นจนผมแทบลืมหายใจ!”


ถึงไป๋เฟิงจะถูกสังหารภายในกระบวนท่าเดียว แต่เขาก็ยังพอจับศิลปะเพลงดาบบางเสี้ยวของอีกฝ่ายได้ ซึ่งเพียงเท่านั้นก็เกินพอจะทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์หลายชั่วโมง เหมือนเด็กที่ได้ของเล่นใหม่


“เอ่อ…” ทุกคนกระพริบตาปริบๆ


ไป๋เหรินชิงมองไป๋เฟิงอย่างไม่แน่ใจก่อนจะตั้งคำถาม “ท่านปู่เฟิง คุณไม่โมโหเลยหรือ?”


ถูกสังหารภายในกระบวนท่าเดียวโดยนักรบต๊อกต๋อยที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธขั้นเสมือนอมตะเลยด้วยซ้ำ ผู้เชี่ยวชาญระดับเขาควรรู้สึกอับอายและเหมือนถูกเหยียดหยามไม่ใช่หรือ?


“ผมน่ะยิ่งกว่ายินดีที่ได้เห็นศิลปะเพลงดาบที่ไร้เทียมทานขนาดนี้ จะโมโหทำไม?” ไป๋เฟิงประหลาดใจเล็กน้อยกับคำถาม


เขามองทั้งสามใบหน้าที่อยู่โดยรอบ และราวกับจะรู้ความคิดของคนเหล่านั้น ไป๋เฟิงหัวเราะหึๆ “ความนอบน้อมและความไม่หยิ่งผยองคือสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับนักรบ วิถีแห่งเพลงดาบนั้นกว้างใหญ่และล้ำลึกมาก เวลาชั่วชีวิตก็ไม่เพียงพอที่จะคลี่คลายข้อสงสัยทั้งหมดของเราได้ แล้วทำไมเราถึงจะปล่อยให้ความเย่อหยิ่งเข้ามามีอิทธิพลต่ออารมณ์ของเราล่ะ? ถ้าผมปรารถนาเกียรติยศและความยิ่งใหญ่ล่ะก็ ป่านนี้ อย่างน้อยๆก็คงได้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักดาบเมฆเหินไปแล้ว!”


“จริงด้วย”


คำสอนอันชาญฉลาดของไป๋เฟิงทำให้ทุกคนหน้าแดงก่ำด้วยความละอายใจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)