ยอดหญิงสกุลเสิ่น 198.1-199.1
ตอนที่ 198-1 เพียงแค่ต้องการทำให้พวกเ...
“จ้าวเกิงเถียนคนไม่ตายดีผู้นี้ เขามีสิทธิ์อะไรมาขับลูกสาวข้า ข้าจะไปคิดบัญชีเขา” มารดาแซ่เหอฟังคำร้องของลูกสาวจบ ใกล้จะระเบิดขึ้นมาแล้ว บ่นพึมพำ “ลืมบุญคุณ ครอบครัวอกตัญญู น้องรองเจ้าเป็นขุนนางครอบครัวเขาได้ผลประโยชน์ไปตั้งเท่าไร หากไม่ใช่ว่ามีเจ้า ครอบครัวเขาจะมีชีวิตเช่นทุกวันนี้ได้หรือ ไม่รู้จักขุดดินเก็บตัวอยู่ในมุม ตอนนี้เห็นครอบครัวพวกเราลำบากก็หักหลังทรยศทันที ใจร้ายใจดำ ขอให้ฟ้าผ่าตาย” คำสาปแช่งของมารดาแซ่เหอคล่องแคล่วยิ่งนัก
เหอต้านิวกุมหน้าร้องไห้มาโดยตลอด “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าไม่อยากถูกขับ ข้าคิดถึงจินเป่า ข้าคิดถึงลูกสาวคนโตลูกสาวคนรอง ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าจะทำอย่างไรดี ท่านแม่ท่านรีบคิดหาทางให้ข้าที” นางร้องไห้จนน้ำตาน้ำมูกไหล ในใจเสียใจอย่างถึงที่สุด เสียใจที่ตนกุมหัวใจลูกๆ ทั้งสามไว้ไม่อยู่ มิเช่นนั้นพวกแก่หนังเหนียวสองคนนั้นจะกล้าขับนางได้อย่างไร
“ร้องๆๆ เจ้ายังมีหน้ามาร้องอีก ปกติเจ้าเก่งนักมิใช่หรือ วิ่งจนตรอกกลับมาเช่นนี้เสียแล้ว” มารดาแซ่เหอมองบุตรสาวที่ร้องไห้ไม่หยุดในใจก็เริ่มหงุดหงิด “เคยบอกเจ้าแล้วว่า อย่าเอาแต่วิ่งไปนู่นไปนี่ทั้งวัน ต้องกุมหัวใจผู้ชายของเจ้าให้อยู่ แต่เจ้าก็ดันไม่ฟัง เจ้า เจ้า เจ้าจะให้ข้าพูดอะไรดี” นางแสดงท่าทางเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้
“ไม่ใช่เป็นเพราะน้องรองทั้งหมดหรือไร!” เหอต้านิวยังคงร้องความไม่เป็นธรรม “ปกติก็ดีๆ อยู่ เกิงเถียนเชื่อฟังข้าตลอด คนแก่หนังเหนียวสองคนนั้นก็ไม่กล้าหาเรื่องข้า ไม่ใช่เพราะว่าน้องรองเข้าคุก เกิง
เถียนจึงรังเกียจที่ครอบครัวเราประพฤติตัวไม่เหมาะสม บอกว่าข้าเลี้ยงลูกแย่ ท่านแม่ เป็นเพราะน้องรองพาข้าซวย ท่านต้องช่วยข้านะ!”
“เจ้า ข้าจะตีลูกอกตัญญูเช่นเจ้าให้ตาย คนนอกพูดก็ช่าง แต่นั่นคือน้องชายแท้ๆ ของเจ้า เจ้าไม่รักเขาแล้วยังโทษว่าเขาพาเจ้าซวย ก่อนหน้านี้เจ้าอาศัยอำนาจของเขารับผลประโยชน์เหตุใดถึงไม่พูดเล่า” มารดาแซ่เหอโมโหจนเจ็บใจ มองบุตรสาวออกแรงทุบหลังหลายครา
เหอต้านิวหลบไปพลางร้องโอดโอยไปพลาง “เดิมก็เป็นน้องรองที่พาข้าซวย ท่านแม่ ข้าไม่สน ท่านต้องคิดหาทางให้ข้า ข้าไม่อาจออกจากตระกูลจ้าวได้ ไม่อาจจากจินเป่าได้ ข้าต้องการเกิงเถียนของพวกเรา” สูญเสียไปแล้วถึงได้รู้ว่าเสียใจ เกิงเถียนดียิ่งนัก หน้าตาครบเครื่อง ทั้งยังขยัน มีความสามารถ ดีกับนาง นางจะไปหาผู้ชายที่ดีเช่นนี้ได้ที่ไหนอีก
“เจ้าเกลียดแม่กับน้องชายเจ้ามิใช่หรือ คิดหาทางเอง แม่ไม่สนแล้ว” มารดาแซ่เหอเองก็เดือดดาล นางถูกบุตรสาวคนนี้ทำให้โมโหจริงๆ นางหวังเสี่ยวชุ่ยเฉลียวฉลาดมาทั้งชีวิต เหตุใดถึงได้มีบุตรสาวไร้ประโยชน์ที่เอาแต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่กับคนในบ้านเล่า ลูกชายลูกสาวต่างก็เป็นหนี้ นี่มันลูกชายลูกสาวที่ไหน เห็นชัดๆ ว่าเป็นผีทวงเวร
“ท่านแม่ ท่านโปรดระงับโทสะ น้องสาวกำลังเสียใจ อาจจะพูดจาไม่มีสติ ท่านอย่าได้ต่อปากต่อคำกับนางเลย” สะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอรีบพยุงแม่สามีไปนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็ส่งสายตาให้เหอต้านิว “ต้านิว เจ้าดูสิว่าเจ้าทำท่านแม่พวกเราโกรธแล้ว ท่านแม่รักเจ้าที่สุด ยังไม่เข้ามาขอโทษท่านแม่อีก”
เหอต้านิวกลับเชื่อฟังสะใภ้ใหญ่ผู้นี้อย่างยิ่ง เดินเข้าไปดึงแขนเสื้อแม่นางตามคำบอก กล่าว “ท่านแม่ ท่านแม่ เป็นความผิดของข้าเอง ท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย”
มารดาแซ่เหอพเยิดหน้า แม้ว่าสีหน้าจะเรียบเฉย แต่ในใจกลับอ่อนลงแล้ว สะใภ้แซ่เหอช่วยพูดดีๆ อีกสองสามประโยค มารดาแซ่เหอก็เผยรอยยิ้มออกมา “พอแล้ว ในเมื่อกลับมาแล้วก็พักก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยให้พี่ชายพี่สะใภ้เจ้ากลับไปเป็นเพื่อนเจ้า” ปากบอกว่าไม่สน แต่จะไม่สนได้หรือ ต่อให้บุตรสาวจะทำให้ตนผิดหวังก็ยังเป็นเลือดเนื้อจากร่างกายนางอยู่ดี
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด วันนี้อับจนหนทางแล้วจริงๆ
วันรุ่งขึ้น บุตรคนโตแซ่เหอสองสามีภรรยาก็ไปยังเรือนเล็กตระกูลจ้าวพร้อมเหอต้านิว ตอนที่ไปไปอย่างมีความสุข ตอนที่กลับร่ำไห้กลับมา ในใจมารดาแซ่เหอก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีทันที “เป็นอะไรไป ตระกูลจ้าวไม่ยอมรับหรือ หรือว่าตระกูลจ้าวจะตั้งตนเป็นศัตรูกับตระกูลพวกเรา” ให้เกียรติไม่รับเกียรติจริงๆ เดี๋ยวข้าจะจัดการตระกูลเขาเสียให้ราบคาบ
“ตระกูลจ้าว ตระกูลจ้าวหนีไปแล้ว เกิงเถียนหนีไปแล้ว จินเป่าหนีไปแล้ว ลูกสาวคนโตลูกสาวคนรองก็หนีไปแล้ว พวกเขาทิ้งข้าไว้คนเดียว” เหอต้านิวร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง จบแล้ว จบแล้ว เกิงเถียนไม่ต้องการนางแล้วจริงๆ นางกลายเป็นสตรีที่ถูกสามีทิ้งแล้ว
“หนีหรือ หนีไปไหน” มารดาแซ่เหอไม่เข้าใจเล็กน้อย รีบไต่ถาม
บุตรคนโตตระกูลเหอรีบกล่าวอธิบาย “ท่านแม่ ตอนที่พวกข้าไปเรือนเล็กหลังนั้นของตระกูลจ้าวก็เปลี่ยนคนอยู่แล้ว บอกว่าจ้าวเกิงเถียนพาพ่อแม่กับลูกๆ กลับชนบทตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
คราวนี้มารดาแซ่เหอตะลึงงันแล้ว ตระกูลจ้าวกลับชนบทแล้วบุตรสาวจะทำอย่างไรเล่า เห็นบุตรสาวที่ร้องไห้ไม่หยุดกับลูกชายคนโตและภรรยาที่นิ่งเงียบไม่พูด มารดาแซ่เหอก็คิดอะไรไม่ออกเป็นครั้งแรก
ที่แท้แล้วตระกูลจ้าวก็ตัดสินใจจะกลับสู่จงมาก่อนแล้ว อย่างไรเสียนั่นก็คือบ้านเก่า แม้ว่าเมืองอวิ๋นโจวจะเจริญรุ่งเรือง แต่อย่างไรเสียก็เป็นที่แปลกถิ่น! บิดามารดาตระกูลจ้าวอายุมากแล้วก็ยิ่งหวังว่าจะกลับไปตายที่บ้านเกิดเมืองนอนได้ จ้าวเกิงเถียนเป็นลูกกตัญญู ก่อนหน้านี้ห่วงแต่บ้านฝั่งภรรยาของเขา ตอนนี้ขับภรรยาแล้ว เขาก็เตรียมตัวจะพาพ่อแม่และลูกๆ กลับบ้านเกิด กลัวว่าตระกูลเหอรู้แล้วจะมารบเร้า จึงรอให้เหอต้านิวไปก่อน พวกเขาจึงหอบข้าวหอบของออกเดินทางทันที
เหอเทียนเสียงนั่งอยู่ในห้องหนังสือนอกของตระกูลปลัดอำเภอด้วยใจที่ร้อนดังไฟสุม มีเด็กรับใช้เข้ามาเปลี่ยนชา เขาถามขึ้นอีกครั้ง “คุณชายของเจ้าจะกลับมาเมื่อไรกันแน่” ตอนนี้เขาไหนเลยจะมีอารมณ์ดื่มชา
เด็กรับใช้มีสีหน้าลำบากใจ “คุณชายใหญ่เหอท่านอย่าได้ทำให้บ่าวลำบากใจเลย เรื่องของนาย บ่าวไหนเลยจะทราบ” เติมชาเสร็จแล้วเขาก็ถอยออกไปทันที พูดในใจ คุณชายใหญ่เหอผู้นี้เป็นคนอ่านสถานการณ์ไม่ออก คุณชายไม่ได้ออกจากจวน อยู่ในเรือนดีๆ อยู่เลย เพียงแค่ไม่อยากเจอเขาก็เท่านั้นเอง
ผ่านไปอีกกว่าครึ่งชั่วยาม ชั่วพริบตาก็กำลังจะตกบ่ายแล้ว จ้าวชิ่งคุณชายใหญ่ตระกูลปลัดอำเภอสหายคนสนิทของตนยังคงไม่เห็นเงา เด็กรับใช้ยังคงพูดประโยคเดิมคือ ไม่รู้
เหอเทียนเสียงไหนเลยจะดูพิรุธไม่ออก ไม่อยู่บ้านที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่าไม่อยากเจอตนก็เท่านั้นเอง เขาทั้งโมโหทั้งจนปัญญา
เมื่อก่อนตอนที่ท่านอารองยังไม่เข้าคุก เหอเทียนเสียงสนิทกับหลานชายปลัดอำเภอผู้นี้อย่างยิ่ง เขามักจะเชิญตนมาดื่มสุราแต่งกลอนในบ้านบ่อยๆ ปลัดอำเภอจ้าวอัธยาศัยดีต่อตนอย่างถึงที่สุด ชื่นชมลูกชายเพื่อนไม่หยุดปาก แต่ตอนนี้เล่า ตนมาขอพบถึงหน้าบ้าน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะช่วยหรือไม่ก่อน แต่ปล่อยให้ตนรออยู่ในห้องหนังสือด้านนอก ไม่ให้พบแม้แต่หน้า สังคมไร้น้ำใจยิ่งนัก
เหอเทียนเสียงออกจากบ้านปลัดอำเภอด้วยความเศร้าโศก เมื่อเขาออกไปจ้าวชิ่งก็ได้ข่าวแล้วจึงถอนหายใจยาวออกมาอย่างอดไม่ได้ เบื้องลึกในใจก็รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วยจริงๆ แต่ช่วยไม่ได้ต่างหาก พ่อเขาเคยเตือนเขาแล้ว เรื่องนายอำเภอเหอนี้มีลับลมคมใน ไม่อนุญาตให้เขาเจอคนของตระกูลเหออีก มิเช่นนั้นจะตัดขาเขาทิ้งเสีย จ้าวชิ่งกลัวพ่อเขาที่สุด อีกทั้งต่อให้เจอหน้าเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่จะทำให้ลำบากใจ ไม่สู้หลบหน้าไปเสียดีกว่า
เหอเทียนเสียงวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกอีกสองวัน ท้ายที่สุดยังคงเป็นคุณชายตระกูลพัศดีสวี่ที่ทนดูไม่ได้จึงบอกความจริงแก่เขา “น้องเทียนเสียง เห็นแก่มิตรภาพเมื่อก่อนของพวกเราข้าจะบอกความจริงแก่เจ้าให้ เจ้าเองก็อย่าได้ตำหนิพวกเราที่ถือตัวเลย อันที่จริงเรื่องนี้พวกเรายื่นมือเข้าไปไม่ได้ อย่าว่าแต่พวกเราเลย ต่อให้เป็นพ่อข้าและคนอื่นๆ ก็ยังไม่ได้ พ่อข้าบอกข้าว่า คดีของอาเจ้าเป็นคดีที่ใต้เท้าข้าหลวงประจำจังหวัดจัดการเอง เป็นคดีที่มีหลักฐานมัดตัวนานแล้ว อีกทั้งยังคล้ายกับว่าเบื้องบน…” เขาใช้นิ้วชี้ขึ้นฟ้า “ตระกูลเจ้าอย่าได้สิ้นเปลืองความคิดอีกเลย ของที่มีค่าในบ้านก็เก็บไว้ให้ดี ใช้ชีวิตที่ดีต่อไปเถอะ”
เหอเทียนเสียงได้ยินดังนั้นร่างทั้งร่างก็มึนงง เขาเดินยังไม่รู้ว่าตนเดินออกมาจากบ้านพัศดีสวี่ได้อย่างไร ในใจมีเพียงความคิดเดียว ท่านอารองจบแล้ว ตระกูลเหอจบแล้ว!
“ไปแล้วหรือ” พัศดีสวี่มองลูกชายที่เดินเข้ามาถามเสียงเรียบ
คุณชายสวี่พยักหน้า “ไปแล้วขอรับ” บนใบหน้าเต็มไปด้วยความท้อใจ เมื่อก่อนเหอเทียนเสียงเป็นคนที่มีอิสระทำอะไรตามอำเภอใจ ตอนนี้วิ่งหาความช่วยเหลือไปทั่ว ร่างทั้งร่างก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา
พัศดีสวี่ไหนเลยจะไม่เข้าใจความคิดในใจลูกชาย แค่นเสียงหนึ่งคราแล้วกล่าว “แกว่งเท้าหาเสี้ยน เรื่องนี้ของตระกูลเหอไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาสร้างขึ้นเองหรือ เจ้ารู้จักเหอเทียนเสียงมานานเพียงนี้ เคยได้ยินเขาเอ่ยถึงฮูหยินนายอำเภอเหอบ้างหรือไม่ หากไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องนี้ พวกเราไหนเลยจะรู้ว่าฮูหยินนายอำเภอเหอเป็นสตรีสูงศักดิ์ของจวนโหว เห็นเขายกย่องเชิดชูอี๋เหนียงเช่นนี้ ยังคิดว่าฮูหยินภรรยาเอกตระกูลเขาเป็นหญิงชนบทไม่มีความรู้เสียอีก เหอจังหมิงคนผู้นี้ก็เป็นคนเขลา มีของที่ดีเพียงนี้ไม่รู้จักใช้ประโยชน์ ขอเพียงแค่ประจบประแจงบ้านภรรยาให้ดี เขาแบ่งเศษเงินเศษทองให้เจ้าก็สบายแล้ว หากเป็นคนอื่นก็คงจะยกย่องฮูหยิน ใครจะเหมือนตระกูลเขา ทรมานนางจนเกือบตาย เหอะๆ คิดไปเองว่าตระกูลสูงส่งเหล่านั้นทำอะไรไม่ได้! เขาขยับนิ้วนิดเดียวครอบครัวเจ้าก็พังทลายได้แล้ว”
สีหน้าพัศดีสวี่เหยียดหยามทั้งใบหน้า เห็นลูกชายคล้ายเข้าใจอะไรขึ้นมาก็กล่าวต่อ “กับภรรยา ต้องรักใคร่ซึ่งกันและกัน การสมรสเป็นการตกลงปลงใจกันทั้งสองฝ่าย ต่อให้ในใจจะไม่ชอบ ไม่ว่าอย่างไรภรรยาเอกก็ต้องให้ความเคารพ โปรดปรานอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอก นั่นคือลางร้ายทำลายครอบครัว เจ้าเองก็โตแล้ว อีกสามเดือนคุณหนูตระกูลหลิ่วจะมาที่บ้าน เจ้าก็เตรียมใจให้ดี คนไม่กี่คนข้างกายนั้นก็ส่งไปที่หมู่บ้านให้หมด ไม่อาจทำให้ภรรยาขุ่นเคืองใจได้ ถ้าหากเจ้า…พ่อเจ้าไม่ได้ใจดีเหมือนตระกูลเหอเช่นนั้นนะ!”
ชั่วขณะคุณชายสวี่ก็หวาดกลัวในใจ “ขอรับ ลูกเข้าใจแล้ว ลูกขอบคุณท่านพ่อที่ชี้แนะ” แม้ว่าเขาจะเป็นบุตรคนโตของภรรยาเอกในบ้าน แต่หลังจากเขาก็ยังมีน้องชายสองคนและน้องชายบุตรอนุภรรยาอีกสองคน พ่อเขาไม่ขาดแคลนลูกชาย หากเขาทำผิด พ่อเขาก็สามารถไล่เขาออกไปได้ทันที
เหอเทียนเสียงกลับมาถึงบ้านด้วยสติที่หลุดลอย พบหน้าแม่เขา สะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอก็ตกใจ “เป็นอะไร เป็นอะไรไป”
“จบแล้ว ท่านอารองจบแล้ว ตระกูลเหอจบแล้ว ข้าก็จบแล้วเช่นกัน” ดวงตาเหอเทียนเสียงนิ่งงัน ปากบ่นพึมพำ
สะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอร้อนใจแล้ว ลูกถูกอะไรเข้าสิงมา ปีศาจหรือ มิหนำซ้ำยังพูดว่าน้องสามีไม่มีทางช่วยเหลือแล้ว นางดึงลูกชายเข้าห้องทันที “อะไรจบ เสียงเกอเอ๋อร์เจ้าค่อยๆ พูด”
เหอเทียนเสียงเพิ่งจะได้สติกลับมา บอกข่าวที่สืบได้ สะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอไม่สบายใจแล้ว นางยังหวังว่าน้องสามีจะออกมาเสวยสุขต่อได้ ตอนนี้น้องสามีออกมาไม่ได้แล้ว ร้านค้ากับของมีค่าในบ้านก็ไม่มีแล้ว ชีวิตหลังจากนี้จะทำอย่างไรเล่า
“เสียงเกอเอ๋อร์ เจ้ารีบเอาข่าวไปบอกท่านปู่ท่านย่าเจ้า” สะใภ้ใหญ่ตระกูเหอได้สติกลับมาก็ออกคำสั่งทันที เหอเทียนเสียงพยักหน้าวิ่งไปที่เรือนของปู่ย่าเขาแล้ว
ตอนที่ 198-2 เพียงแค่ต้องการทำให้พวกเ...
เมื่อลูกชายไป สะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอก็คิดคำนวณ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าน้องสามีไม่มีทางช่วย ดังนั้นสามีและลูกชายทั้งสามคนของนางจึงออกไปหาความช่วยเหลือผูกสัมพันธไมตรี ลงเงินลงแรงนางก็ไม่ได้ขัดขวาง แต่ตอนนี้น้องสามีออกมาไม่ได้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลืองเงินอีกต่อไป เงินที่เหลืออยู่ในครอบครัวพวกเขาก็ไม่เยอะแล้ว ยังมีครอบครัวใหญ่ให้ต้องเลี้ยงอีก จะไม่ประหยัดได้อย่างไร
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามารดาแซ่เหอได้รับข่าวแล้วผิดหวังสิ้นหวังเพียงใด ฝั่งของเสิ่นเวย พ่อบ้านรองกับสาวใช้หลายคนข้างกายนางต่างก็ไม่เข้าใจอย่างถึงที่สุด เห็นชัดๆ ว่าคดีนี้สามารถตัดสินได้ในเร็ววัน แต่เหตุใดคุณหนูถึงยังรออยู่อีก รีบตัดสินรีบเสร็จเรื่อง พวกเขาเองก็จะได้กลับเมืองหลวงเร็วขึ้นมิใช่หรือ
พวกเขาไหนเลยจะรู้ความคิดในใจเสิ่นเวย นางเพียงแค่ต้องการมองดูตระกูลเหอวิ่งวุ่นเฉยๆ เช่นนี้ มองดูตั้งแต่พวกเขากอดความหวังจนผิดหวัง กระทั่งสิ้นหวัง นางต้องการให้ทุกๆ วันของพวกเขามีชีวิตอยู่อย่างทรมานและไม่ปลอดภัย
อ่านข่าวที่ทหารลับส่งมาในมือ มุมปากนางก็ยกขึ้น สูญเสียเหอจังหมิงผู้ที่ร่วมแบ่งปันผลประโยชน์ผู้นี้ไป สะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอก็มีแผนการเล็กๆ ของตนเองทันที มารดาแซ่เหอจะยังเป็นนผู้นำตระกูลเหอได้อยู่อีกหรือ ในเมื่อออกมาจากโคลนตม เช่นนั้นก็กลิ้งกลับไปเสียเถอะ
คดีของเหอจังหมิงตัดสินแล้ว โทษไม่ได้มีเพียงแค่ประพฤติผิดในหน้าที่ ยังมีคดีใหญ่คดีเล็กยิบย่อยนับไม่ถ้วนอีกสิบกว่าคดี ตัดสินให้เนรเทศไปยังเหลียวตง ไม่ถึงสามพันลี้แต่ถึงสองพันลี้ก็มากแล้ว หากไม่ได้นิรโทษกรรมชีวิตนี้ก็อย่าได้คิดว่าจะกลับมาอีกเลย
เดิมคดียังเกี่ยวเนื่องไปถึงบุตรคนโตตระกูลเหอ อย่างไรเสียก็เป็นร้านค้าที่เขาแย่งคนอื่นมา เหอ
จังหมิงกลับฉลาด รู้ว่าตนไปไม่รอดจึงรับโทษทั้งหมดไว้เอง ตระกูลเหอมีลูกชายสองคน ไม่อาจให้ตกหลุมพรางทั้งหมดได้มิใช่หรือ เขาเพียงแต่หวังว่าพี่ใหญ่เขาจะเห็นแก่ที่เขารับโทษไว้เอง สามารถเลี้ยงดูลูกชายหลายคนของเขาให้เป็นผู้เป็นคนได้
เรื่องที่เขาคิดมากที่สุดตอนที่อยู่ในคุกก็คือเขาเดินมาจนถึงจุดนี้ได้อย่างไร เขาเลอะเลือนจนเมินเฉยภรรยาเอกแล้วยกย่องม้าซูบผอมต่ำช้าคนหนึ่งได้อย่างไร เขาเองก็เคยอยากทำให้อีกฝ่ายมีความสุข แต่เหตุใดถึงกลายเป็นนักโทษอย่างในวันนี้ได้ เขาเสียใจ เสียใจอย่างถึงที่สุด แม้แต่ฝันยังเป็นภาพของเสิ่นซื่อในตอนแรก เด็กสาวที่ขาวผ่อง เรือนร่างที่อวบอิ่ม ดวงหน้าที่ราวกับภาพวาด ยังมีแววตาที่เขินอายเปี่ยมรักเวลาที่มองเขา เมื่อตื่นขึ้นมากลับพบความหนาวเย็น เหอจังหมิงตีศีรษะด้วยเองด้วยความเจ็บปวด ส่งเสียงร้องคำรามราวกับสัตว์ป่าออกมา
เมื่อตระกูลเหอได้รับข่าว นอกจากบิดามารดาแซ่เหอแล้ว คนที่เหลือต่างก็นิ่งเงียบอย่างมาก เตรียมใจไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือ
เหอจังหมิงถูกลงโทษ จวนก็ย่อมอยู่ไม่ได้แล้ว พวกเขาต้องรีบหาบ้านย้ายออกไป คนรับใช้ก็ขายหมดไปนานแล้ว แม้แต่อี๋เหนียงสามคนของเหอจังหมิงก็ถูกขายทั้งหมด เหลือเพียงสาวใช้อนุภรรยาที่ซื่อสัตย์ผู้นั้น แต่ครอบครัวที่ใหญ่เกือบยี่สิบคนก็ไม่อาจอยู่ในเรือนเล็กๆ ได้ ในมือพวกเขามีเงินเพียงสองสามร้อยตำลึง ซื้อบ้านเสร็จแล้วก็เหลือเงินอยู่ไม่มาก ยังต้องเหลือไว้เป็นต้นทุนทำการค้าอีก
เดิมทีตามเจตนาของผู้เฒ่าเหอก็คืออยากกลับสู่จง ใช้เงินในมือซ่อมแซมบ้านหลังใหญ่ในชนบท ซื้อที่นาจำนวนหนึ่ง ชีวิตก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดี
ทว่าบุตรคนโตแซ่เหอกับลูกๆ ต่างก็ไม่เห็นด้วย เคยเห็นความเจริญรุ่งเรืองในเมืองแล้ว จะยอมกลับไปใช้ชีวิตลำบากในชนบทได้อีกอย่างไร บุตรคนโตแซ่เหออวดตนว่าเคยดูแลร้านค้ามาหลายปี มีประสบการณ์มีคนรู้จัก ไม่นานก็สามารถผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง เหอเทียนเสียงก็รู้สึกว่าตนมีความรู้ความสามารถ อยากอยู่แสดงความมุ่งมาดปรารถนาที่อวิ๋นโจว
ผู้เฒ่าแซ่เหอขัดลูกหลานไม่ได้ ทำได้เพียงอยู่ที่อวิ๋นโจวต่อ
อ้อ ตระกูลเหอยังเคยถกเถียงเรื่องการกลับมาของเหอหลินหลิน มารดาแซ่เหอยืนกรานจะเอาเหอ
หลินหลินกลับมาให้ได้ นางยังคิดถึงคฤหาสน์มูลค่าสูงหลังนั้นอยู่ อีกทั้งยังมีความแค้นต่อหลานสาวผู้นี้อยู่ด้วย เกลียดนางที่มองดูพ่อนางถูกเนรเทศหน้าตาเฉย มีสิทธิ์อะไรถึงปล่อยให้ครอบครัวข้าเผชิญความลำบากแต่เจ้ากลับสุขสบายร่ำรวยได้
ไม่ได้ ต้องเอานางกลับมา ในบ้านกำลังขาดเด็กสาวให้เรียกใช้อยู่พอดี เมื่ออายุถึงแล้ว ค่อยหาตระกูลที่มีเงินส่งออกไป ยังคงได้สินสอดก้อนใหญ่อยู่
สะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอเองก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของแม่สามี เหตุผลก็ไม่ต่างกันนัก เป็นสตรีอายุสิบสามปีแล้ว สามารถเป็นผู้ใหญ่ให้เรียกใช้ได้แล้ว อีกทั้งหลินเจี่ยเอ๋อร์ก็หน้าตาดี ส่งออกไปสมรสจะต้องนำผลประโยชน์มาให้ลูกชายแน่นอน
แต่ผู้เฒ่าเหอกับบุตรคนโตต่างไม่เห็นด้วย ผู้เฒ่าเหอถลึงตามองมารดาแซ่เหอ “หลินเจี่ยเอ๋อร์ก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของเหล่าเอ้อร์มิใช่หรือ เจ้าเอานางกลับมาสามารถหาข้าวดีๆ ให้นางกินหรือว่าหาเสื้อผ้าดีๆ ให้นางใส่ได้หรือ อย่างไรเสียนางก็เป็นเลือดเนื้อตระกูลเหอของพวกเรา เจ้าไม่เห็นค่านางเพียงนี้เลยหรือ หญิงชราหนังเหนียวเช่นเจ้าอย่าหลอกข้าเสียให้ยาก ไม่ให้ไป ให้หลินเจี่ยเอ๋อร์อยู่กับแม่นาง ทำอะไรต้องเหลือทางหนีทีไล่ วันหน้าจะได้ไม่ลำบาก”
ผู้เฒ่าเหอไม่โง่ ไม่ว่าหลินเจี่ยเอ๋อร์จะอยู่กับใครก็หนีความจริงที่ว่านางเป็นคนตระกูลเหอไม่ได้ นางอยู่กับแม่นางจึงจะมีชีวิตที่ดีมีคู่สมรสที่ดีได้ รอหลานชายคนโตทั้งหลายเข้าเมืองหลวงสอบขุนนางแล้ว ค่อยไปขอร้องนางที่หน้าประตู เป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน นางคงจะไม่ไล่คนออกมากระมัง
บุตรคนโตแซ่เหอเองก็กล่าว “สงบเสงี่ยมกันหน่อย ได้รับบทเรียนยังไม่พออีกหรือไร คนอ่อนแอสู้คนแข็งแกร่งไม่ได้ ดึงดูดสายตาคุณชายจวนโหวผู้นั้นอีกที ครอบครัวพวกเราจะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ”
เสิ่นเวยไม่สนว่าตระกูลเหอจะคิดเห็นเช่นไร อย่างไรเสียนางก็รู้สึกว่าตระกูลเหอยังน่าเวทนาไม่พอ ความโกรธของนางยังระบายออกไม่หมด ด้วยเหตุนี้พ่อบ้านรองจึงได้รับหน้าที่ใหม่ คุณหนูสี่บอกว่า ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีใด ขโมยมาก็ดี แย่งมาก็ดี อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องตัดกำลังทรัพย์ในมือตระกูลเหอให้เกลี้ยง ข้าจะทำให้พวกเขาไม่เหลือเงินสักแดงเดียวจนต้องขอทานไสหัวกลับบ้านเก่าที่สู่จง นางอยากดูว่ามารดาแซ่เหอที่เลี้ยงดูใต้เท้านายอำเภอขึ้นมาจะเลี้ยงหลานต่อไปได้อีกหรือไม่
หน้าที่นี้กลับไม่ยาก ทว่าพ่อบ้านรองกลับตื่นตัวขึ้นมา คุณหนูสี่มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้เขาต้องตั้งใจปฏิบัติงาน ห้ามทำให้คนผู้นี้ไม่พอใจเป็นอัดขาด อุบายเจ้าเล่ห์กลับกลอกนี้ พ่อบ้านรองเก่งจริงๆ!
ประสิทธิภาพการจัดการของพ่อบ้านรองสูงอย่างยิ่ง เพียงแค่วางกับดักง่ายๆ สองแห่ง คนตระกูล
เหอที่กระหายผลประโยชน์ก็ตกลงไปแล้ว ผลประโยชน์ไม่ได้รับ แต่กลับเทเงินกว่าสองร้อยตำลึงที่เหลืออยู่ลงไปหมดแล้ว คราวนี้พวกเขาไม่อยากกลับชนบทก็ต้องกลับแล้ว
เห็นคนตระกูลเหอที่เสื้อผ้าขาดวิ่นสีหน้าด้านชาข้างถนน เสิ่นเวยก็อารมณ์ดีมากขึ้นแล้ว ท้ายที่สุดก็จัดการคนน่ารำคาญเหล่านี้หมดแล้วก็ถึงเวลากลับเมืองหลวงแล้ว
ส่วนเหตุผลที่ไม่ฆ่าคนตระกูลเหอให้ตาย เสิ่นเวยคิดว่าอยากแก้แค้นคนคนหนึ่งแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่ความตาย ตายแล้วก็เสียเปล่า ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น กลับเป็นการเสียเปรียบพวกเขา มีชีวิตอยู่จึงจะดี มีชีวิตอยู่จึงจะสามารถรับโทษที่สมควรจะรับได้ มีชีวิตดีกว่าตาย ยิ่งทำให้คนมีความสุขไม่ใช่หรือ
เสิ่นหย่าสองแม่ลูกรู้ว่าเหอจังหมิงถูกตัดสินให้เนรเทศไปยังเหลียวตงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นี่ก็คือพ่อแท้ๆ ของหลินเจี่ยเอ๋อร์ หากตายอยู่ในมือของคนตระกูลนาง แค่นางคิดภาพนี้ในใจก็อึดอัดแล้ว
เหอหลินหลินเองก็เหมือนกัน ในขณะที่เคียดแค้นพ่อนางก็ไม่ได้หวังให้เขาตาย ผลลัพธ์เช่นนี้กลับไม่เลว อย่างน้อยยังไว้ชีวิต นางไม่เลอะเลือนเหมือนแม่ของนาง นางรู้ว่าญาติผู้พี่นางจะฆ่าพ่อนางเป็นเรื่องที่ง่ายเพียงแค่ดีดนิ้ว ตอนนี้พ่อนางสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ล้วนแต่เป็นญาติผู้พี่ที่คิดแทนนาง
ด้วยเหตุนี้เหอหลินหลินจึงคำนับเสิ่นเวยหนึ่งครา “ท่านพี่ ขอบคุณท่าน”
เสิ่นเวยรับการคำนับจากนางอย่างไร้กังวล ชื่นชมอย่างยิ่ง ญาติผู้น้องคนนี้เป็นคนฉลาด เชื่อว่านางจะมีชีวิตอยู่ในจวนโหวได้ไม่เลว เช่นนั้นนางก็เบาใจไปได้ไม่น้อย
เรื่องที่อวิ๋นโจวจัดการเสร็จแล้ว ควรกลับเมืองหลวงได้แล้ว
บังเอิญอย่างยิ่ง วันนั้นที่ออกเดินทางเหอจังหมิงถูกคุมตัวออกมาพอดี บนคอเขาสวมเครื่องลงโทษที่หนักอึ้ง ศีรษะยุ่งเหยิง หนวดเครารุงรัง ไหนเลยจะยังเป็นใต้เท้าเหอที่งามสง่าอยู่อีก แทบไม่ต่างอะไรจากคนเร่ร่อนในคูน้ำ
ขบวนรถยาวเหยียดของเสิ่นเวยผ่านสายถนน นำหน้าโดยรถม้าที่หรูหรามากเป็นพิเศษหนึ่งคัน ดึงดูดสายตาคนบนถนน เสียงถกเถียงดังเซ็งแซ่
“นี่คือตระกูลใด เหตุใดถึงมีอำนาจเพียงนี้”
“ตระกูลใครอะไรเล่า เมืองอวิ๋นเหอของพวกเราไม่เคยเห็นการเดินทางรูปแบบเช่นนี้มาก่อน ไม่เห็นหรือว่าพวกเขาออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเสิ่น ตระกูลเสิ่นรู้จักหรือไม่ บ้านฝั่งมารดาของฮูหยินนายอำเภอเหอผู้นั้นของพวกเราอย่างไรเล่า ไม่ใช่ว่าหย่าแล้วหรือ วันนี้นางจึงกลับเมืองหลวง” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอิจฉา
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังไปถึงหูของเหอจังหมิง บนใบหน้าที่สับสนมึนงงของเขาก็ตื่นตัวขึ้นมาในชั่วขณะ หย่าเอ๋อร์ หลินเจี่ยเอ๋อร์ รีบมาช่วยข้าเร็ว! เขาหันหลังกลับกำลังจะไล่ตาม แต่กลับถูกขุนนางตรวจการณ์ที่คุมตัวเขาดึงกลับมา “ไปไหน ยังคิดจะหนีอีกหรือ”
เหอจังหมิงดิ้นพล่าน ดวงตาจ้องมองขบวนรถยาวเหยียดนั้นแน่นิ่ง ริมฝีปากสั่นระริก กระทั่งขบวนรถออกไปไกลแล้วก็ไม่ได้พูดออกมาแม้แต่คำเดียว แววตาของเขามืดลง ราวกับไม่มีปราณชีวิตแล้ว
มีขุนนางที่เข้าใจสถานการณ์หัวเราะเยาะคราหนึ่ง “ไปเถอะ ใต้เท้าเหอ นั่นมันจวนจงอู่โหว ไม่ใช่สิ่งที่นักโทษเช่นเจ้าจะปีนป่ายได้ หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรทำตั้งแต่แรก รีบไป รีบไป ยังต้องเร่งเดินทางอีก” เขาผลักเหอจังหมิงจนสะดุด เกือบจะล้มลงบนพื้น
เสิ่นหย่าที่นั่งอยู่ในรถม้าหรูหราแสนสบายเกิดความรู้สึกร้อยแปดพันเก้า นางมองลูกสาวที่แววตาเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ ในใจก็พอใจอย่างยิ่ง “หลินเจี่ยเอ๋อร์ ประเดี๋ยวพวกเรากลับไปถึงจวนโหวก็ดีแล้ว ตาเจ้าเป็นคนที่มีความสามารถมากเป็นพิเศษ ไม่อาจมีใครมากลั่นแกล้งพวกเราได้อีก ตาเจ้าชอบเด็กที่ฉลาดกล้าหาญ เจ้าอย่าได้อ่อนแอเหมือนแม่เจ้า” นางชี้แนะลูกสาวด้วยความจริงใจ
“เหมือนญาติผู้พี่สี่ใช่หรือไม่” เหอหลินหลินถาม แม้นางกับญาติผู้พี่สี่จะรู้จักกันมาไม่นาน แต่ในใจนางญาติผู้พี่สี่ก็คือคนที่เก่งกาจมีความสามารถที่สุดผู้นั้น ช่วยพวกนางสองแม่ลูกจากความลำบากยากแค้น มิน่าเล่าท่านตาถึงได้ให้เขามาอวิ๋นโจว
เสิ่นหย่าพยักหน้า “ใช่ ตาเจ้าชอบเด็กแบบญาติผู้พี่สี่ของเจ้า ไม่ชอบคนที่ร้องไห้งอแงที่สุด รอได้พบท่านผู้เฒ่า ความกล้าหาญของเจ้าจะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน”
“อืม ข้าทราบแล้ว ท่านแม่” เหอหลินหลินดวงตาเป็นประกาย เต็มไปด้วยการรอคอยชีวิตในภายหน้า
ขณะที่กำลังเดินทาง จู่ๆ รถม้าก็หยุด เสิ่นหย่าสองแม่ลูกประหลาดใจ จากนั้นก็เห็นเสิ่นเวยขึ้นมาบนรถม้า
“หลานสี่ มีเรื่องอันใดหรือ” เสิ่นเวยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางรู้สึกสนิทกับหลานชายคนนี้แล้ว
เสิ่นเวยลูบจมูก กล่าวด้วยความเคอะเขินหลายส่วน “ท่านอา หลานสี่มายอมรับผิดกับท่าน หลานสี่ไม่ใช่หลานชายของท่าน แต่เป็นหลานสาวของท่าน ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะจัดการเรื่องได้สะดวกจึงต้องทำเช่นนี้ ปิดบังท่านกับญาติผู้น้องมานานเพียงนี้ เป็นความผิดของหลานสี่จริงๆ” อย่างไรเสียไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องรู้ ไม่สู้บอกความจริงไปเสียตอนนี้เลยดีกว่า
“อะไรนะ หลานสาวหรือ” เสิ่นหย่างงงวยแล้ว “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นสตรีงั้นหรือ” จะเป็นไปได้อย่างไร หลานสี่ไหนเลยจะเหมือนสตรี เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นคุณชายสูงส่งงามสง่าต่างหากเล่า
สบสายตาที่สงสัยของเสิ่นหย่าสองแม่ลูก เสิ่นเวยก็พยักหน้า “อืม หลานสี่มีชื่อว่าเสิ่นเวย ในจวนอยู่ในลำดับที่สี่ พ่อข้าคือพี่สามของท่าน แม่ข้าก็คือพี่สะใภ้สามของท่าน นางไม่อยู่แล้ว ตอนนี้ฮูหยินสามในจวนแซ่หลิว เป็นหลานสาวฝั่งมารดาของท่านย่า อ้อจริงสิ ข้ายังมีน้องชายแม่เดียวกันอีกหนึ่งคน ปีนี้ก็อายุสิบเอ็ดปีแล้ว” เสิ่นเวยอธิบายทีละเรื่องๆ
เสิ่นหย่ายังคงไม่อยากเชื่อ หลานชายที่มีความสามารถมีอุบายเช่นนี้จะกลายเป็นหลานสาวได้อย่างไร สตรีตระกูลใดกันที่นำคนวิ่งมาพันลี้เพื่อหนุนหลังให้อา นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
เย่ว์กุ้ยที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ก็กล่าว “กูไหน่ไน คุณหนูญาติผู้น้อง นี่เป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ นี่คือคุณหนูสี่ของพวกเราจริงๆ ไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นจู่ เจ้านายท่านอื่นๆ ในจวนต่างก็มีภาระแยกตัวออกมาไม่ได้ นายท่านผู้เฒ่าโหวจึงให้คุณหนูสี่มาเที่ยวนี้แทน คุณหนูสี่ของพวกเราเก่งมาก นายท่านผู้เฒ่าโหวยังพูดอยู่บ่อยๆ ว่าลูกหลานทั้งจวนยังเทียบคุณหนูของพวกเราไม่ได้แม้แต่คนเดียว” นางมีท่าทางได้รับเกียรติอย่างยิ่ง
“ท่านอา ญาติผู้น้อง หลานสี่ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง พวกท่านอย่าโกรธข้านะ” เสิ่นเวยขอโทษอีกครั้ง
“ไม่โกรธๆ” เหอหลินหลินแย่งพูดขึ้นก่อน สายตาที่มองเสิ่นเวยก็ยิ่งสนิทชิดเชื้อ ที่แท้แล้วนี่ก็ไม่ใช่พี่ชายสี่ แต่เป็นพี่สาวสี่ ชอบจริงๆ เลื่อมใสจริงๆ
รู้ว่าเสิ่นเวยไปแล้วเสิ่นหย่ายังคงจมดิ่งอยู่ในความตกใจ นางไม่รู้มาก่อนว่าที่แท้แล้วสตรีก็เก่งกาจขนาดนี้ได้ มิน่าเล่าท่านพ่อถึงวางใจให้นางมาอวิ๋นโจว
ส่วนเหอหลินหลินก็ดีใจทั้งอกทั้งใจ เดิมนางก็เลื่อมใสญาติผู้พี่สี่ผู้นี้อยู่แล้ว ตอนนี้รู้ว่านางเป็นพี่สาว ความรู้สึกเลื่อมใสก็เพิ่มมากขึ้น ญาติผู้พี่สี่ใช้ชีวิตได้อย่างสง่าผ่าเผยจริงๆ นางเองก็อยากเป็นเหมือนญาติผู้พี่สี่ ดูสิว่าใครจะยังกล้ากลั่นแกล้งนางได้อีก
ตอนที่ 199-1 คนไม่ดูตาม้าตาเรือระหว่า...
เดือนสามต้นฤดูใบไม้ผลิ สายลมอุ่นพัดผ่านหน้า
เสิ่นเวยยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือทอดสายตาออกไปไกล ผืนน้ำที่สงบนิ่งเสมือนกระจกเงินบานใหญ่ ส่องแสงสีขาวแวววับออกมาใต้เงาสะท้อนของแสงอาทิตย์ ต้นหลิวเขียวชอุ่มขนาบชายฝั่ง กิ่งไม้ที่โอนอ่อนพลิ้วไหวท่ามกลางสายลมโชย ลมพัดผ่านหน้าราวกับมือที่อ่อนโยนข้างหนึ่ง ทำให้ความรู้สึกของคนเปรมปรีดิ์ไปตามกัน
“ท่านพี่ ที่แท้แล้วท่านก็อยู่ที่นี่เอง” เหอหลินหลินเดินเข้ามา คิ้วโค้งเปื้อนรอยยิ้ม
เสิ่นเวยยิ้มน้อยๆ “ออกมาทำไม ท่านอาดีขึ้นแล้วหรือ”
ขากลับพวกนางเดินทางทางน้ำ อย่างไรเสียเรือก็มีแรงกระแทกน้อยกว่ารถม้ามาก อันที่จริง เดินทางโดยนั่งรถม้าเหน็ดเหนื่อยจริงๆ เพียงหนึ่งวันก็ปวดไปทั่วทั้งร่าง
ร่างกายของท่านอาเสิ่นหย่าไม่ดีอย่างยิ่ง เพื่อที่จะให้นางได้สบายขึ้นหน่อยเสิ่นเวยจึงเลือกเดินทางทางน้ำ แต่ปัญหาใหม่ก็ตามมา ท่านอาเมาเรือ ทั้งยังเมาหนักยิ่งนัก แม้แต่ดื่มน้ำเปล่ายังอาเจียน โชคดีที่มีหมออยู่บนเรือ ฝีมือการรักษาไม่อาจเทียบเท่าหมอหลิ่ว แต่ดูแลอาการเมาเรือถูกลมต่างๆ ก็ยังพอใช้ได้
เสิ่นหย่าดื่มน้ำแกงยาที่หมอสั่งให้ จึงดีขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่ในหนึ่งวันยังต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นส่วนใหญ่ ออกจากห้องใต้ท้องเรือน้อยอย่างยิ่ง เหอหลินหลินที่เป็นลูกสาวย่อมต้องเป็นห่วงอย่างถึงที่สุด มักจะอยู่เป็นเพื่อนในห้องใต้ท้องเรือ
“ท่านแม่ทานบ๊วยดองผลไม้แช่อิ่มไปหลายลูกแล้ว ดีขึ้นเล็กน้อย เย่ว์กุ้ยกำลังนวดศีรษะให้นางอยู่” เหอหลินหลินเดินมายืนข้างๆ เสิ่นเวย ทอดสายตาไปไกลตามนาง รู้สึกเพียงแค่ฟ้าดินกว้างใหญ่ ทรวงอกก็กว้างโล่งไม่น้อย
“ท่านอาทานแล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้น อีกไม่กี่ชั่วยามพวกเราก็จะถึงท่าเรือทงโจวแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราขึ้นฝั่งไปกินข้าวก่อน แล้วค่อยไปซื้อของสวยๆ งามๆ หากท่านอากับน้องชอบพวกเราจะพักบนฝั่งสักคืนก็ย่อมได้” เสิ่นเวยกล่าว
ดวงตาแม่นางน้อยเหอหลินหลินเป็นประกายทันที “ดีจริงๆ” นางโตมาเพียงนี้แต่มีโอกาสได้ออกจากเรือนหลังจวนตระกูลเหอน้อยอย่างถึงที่สุด เด็กผู้หญิงไหนเลยจะไม่ชอบเที่ยวเล่น ตั้งแต่ที่ออกจากเมืองอวิ๋นโจวดวงตาของนางก็ทอดมองไปข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าจะเป็นเพียงต้นไม้ก็มองได้เนิ่นนาน เสิ่นหย่าสงสารลูกสาว จึงปล่อยนาง บางครั้งยังมองทิวทัศน์และสิ่งต่างๆ ข้างทางเป็นเพื่อนนาง
“คุณหนู คุณหนู ข้าด้วย ข้าก็อยากกินของอร่อยๆ” เถาฮวาไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าที่ร้อนใจ ราวกับกลัวว่าเสิ่นเวยจะไม่พานางไปด้วย
เสิ่นเวยหลุดหัวเราะ “วางใจ ไม่ทิ้งเจ้าหรอก” กินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็ไม่เห็นหัวคน ไม่รู้ว่าวิ่งไปหลบที่มุมไหนแล้ว ตอนนี้ได้ยินเรื่องกินก็วิ่งมาเร็วอย่างยิ่ง ไม่เสียชื่อที่เป็นปรมาจารย์จอมตะกละน้อย
เถาฮวาตะโกนอย่างดีใจ “คุณหนูดีจริงๆ คุณหนูดีที่สุดเลย” มีความสุขราวกับเด็กตัวน้อยๆ
เสิ่นเวยมองลูกผู้น้องและเถาฮวาที่ยิ้มเหมือนดอกทานตะวันสองดอก ดวงตาของนางก็โค้งขึ้นมาเช่นกัน จิตใจผ่อนคลาย เบิกบานมีความสุข สมกับทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิที่ดีเช่นนี้
เรือเทียบท่าแล้ว เสิ่นเวยกับเหอหลินหลินช่วยกันพยุงเสิ่นหย่าขึ้นฝั่ง เดิมเสิ่นหย่าไม่อยากลงเรือ ร่างกายนางอ่อนแอ ทั้งยังเมาเรือ ถึงฝั่งแล้วจะต้องรบกวนหลานสาวและลูกสาวแน่นอน แต่หลานสาวกับลูกสาวต่างก็ยืนกราน บอกว่าลงเรือไปเดินเล่นอารมณ์จะได้ดี จะได้ไม่รู้สึกพะอืดพะอมอีก
เมืองทงโจวเป็นเมืองที่ค่อนข้างเจริญ เสิ่นเวยเดินนำแถวคนสิบกว่าคนอย่างยิ่งใหญ่ มีสาวใช้มีแม่นม มีพ่อบ้านมีเด็กรับใช้ ซ้ำยังมีองครักษ์ เพียงแค่ดูจากเครื่องแต่งกายและท่าทางก็รู้แล้วว่าร่ำรวยสูงส่ง เมื่อลงเรือก็ดึงดูดสายตาคนเดินถนนไม่น้อย
เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี พ่อบ้านรองนำเสิ่นเวยและคนอื่นๆ ไปทานข้าวที่เหลาสุราซึ่งจองไว้ก่อนหน้านี้
สือเหวยเทียน (อาหารเทียมฟ้า) อักษรตัวใหญ่ทาสีทองสามตัวส่องแสงประกายทองภายใต้แสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ ลักษณะการเขียนยิ่งใหญ่มีพลังทั้งยังเรียบง่ายสามส่วน เสิ่นเวยแอบชื่นชมในใจว่าอักษรดี เพียงแค่เห็นป้ายร้านนี้เหลาสุราแห่งนี้ก็ควรค่าให้เข้าไปแล้ว เสิ่นเวยอดมองพ่อบ้านรองด้วยความชื่นชมปราดหนึ่งไม่ได้
แม้ว่าสีหน้าพ่อบ้านรองจะไม่แสดงอาการอะไร แต่ในใจกลับดีใจอย่างยิ่ง เดินนำทางด้วยความกระตือรือร้น “กูไหน่ไน คุณชายสี่ คุณหนูญาติผู้น้อง เชิญขอรับ บ่าวจองห้องโยวหลานห้องส่วนตัวที่ชั้นสองไว้แล้วขอรับ”
ห้องโยวหลานอยู่ฝั่งถนนพอดี เปิดหน้าต่างออกก็มองเห็นทัศนียภาพบนถนนได้ เหอหลินหลินวิ่งเข้าไปอย่างดีใจ เกาะขอบหน้าต่างมองออกไปข้างนอก หลังจากนั้นก็หันหน้ากลับมาเรียก “ท่านแม่ ท่านพี่ รีบมาดูเร็ว ข้างล่างนี่น่าสนใจยิ่งนัก”
“เด็กคนนี้นี่” เสิ่นหย่ามองลูกสาวด้วยความเอ็นดู “เจ้าคิดว่าใครจะเหมือนเจ้าที่เห็นอะไรก็แปลกใหม่ไปหมด สตรีเกาะขอบหน้าต่างเหมือนอะไรดี รีบนั่งเร็วเข้า”
เสิ่นเวยฝั่งนี้ไล่พ่อบ้านรองออกไปแล้ว เดินเข้ามายืนอยู่อีกฝั่งของหน้าต่าง “ไม่เป็นไร น้องยังเล็ก กฎมารยาทอะไรเหล่านี้กลับเมืองหลวงไปแล้วค่อยเรียนก็ยังไม่สาย ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือทงโจว ไม่มีใครรู้จักพวกเรา ให้น้องได้ผ่อนคลายสักหน่อยเถอะ”
เสิ่นหย่าไม่ยอมเอากฎระเบียบมาผูกตัวลูกสาว แต่อย่างไรเสียสังคมนี้ก็โหดร้ายกับสตรีเล็กน้อย กลับเมืองหลวงครั้งนี้ แม้จะบอกว่ากลับบ้าน แต่ชื่อเสียงที่หย่าร้างไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ดี หลินเอ๋อร์พ่อนางก็เป็นคนแบบนั้น สายตาที่คนทั่วไปมองหลินเอ๋อร์ก็อาจจะจุกจิกยิ่งขึ้น เพื่อที่หลินเอ๋อร์จะได้มีอนาคตที่ดี กฎระเบียบจึงจำเป็นต้องเข้มงวด
แต่เห็นรอยยิ้มบนหน้าลูกสาวแล้ว หัวใจของเสิ่นหย่าก็อ่อนลง “เจ้าเด็กคนนี้เริงร่านัก ลูกผู้พี่เจ้าเอ็นดูเจ้า” ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องกฎระเบียบ
“ท่านพี่ ท่านดูน้ำตาลปั้นรูปคนนั่นสิ เหมือนจริงๆ ท่านพี่ ท่านพี่ ที่แดงๆ นั่นคือผลไม้เคลือบน้ำตาลใช่หรือไม่ มันมีรสเปรี้ยวหรือหวาน” เหอหลินหลินชี้ไปบนถนนพูดไม่หยุดปาก ทั้งใบหน้าตื่นเต้นดีใจ
เสิ่นเวยอดยิ้มไม่ได้ เด็กน้อยจริงๆ เป็นเด็กที่ทำให้คนเอ็นดู อายุสิบสามแล้วยังไม่เคยกินผลไม้เคลือบน้ำตาล มิน่าเล่าถึงได้ขี้สงสัยเพียงนี้
“เหอฮวา เย่ว์กุ้ย เจ้าสองคนไปซื้อของที่คุณหนูญาติผู้น้องชอบมาให้หมด” เสิ่นเวยสั่งโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับ นางชอบลูกผู้น้องคนนี้มากจริงๆ หนึ่งเพราะลูกผู้น้องคนนี้นิสัยไม่เลว ไม่ทำให้คนรำคาญ สองก็คือลูกผู้น้องคนนี้ถูกทรมานอยู่ในตระกูลเหอจนเศร้าซึมเล็กน้อย ไม่เริงร่ามีชีวิตชีวาเหมือนเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน เผยนิสัยของเด็กผู้หญิงที่ถูกกดเก็บไว้เนิ่นนานเล็กน้อย นางก็ทำใจบีบบังคับไม่ได้
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่” เหอหลินหลินแลบลิ้น ท่าทางใสซื่อน่ารัก ทั้งยังมีความเกรงใจอยู่มาก
เสิ่นเวยลูบศีรษะของนาง ส่งรอยยิ้มปลอบใจให้นาง เสิ่นหย่าปากก็ตำหนิ แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับไม่หุบลงเลย แม่นมมั่วที่เข้มงวดกับกฎระเบียบที่สุดก็ยืนอยู่ข้างๆ อย่างสงบเสงี่ยม ทำเหมือนมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น นี่ทำให้เสิ่นเวยรู้สึกพอใจมาก
สายลมเบาๆ พัดผ่านหน้า แม้แต่ในอากาศยังคล้ายมีหลิ่นหอมของดอกไม้ในวสันตฤดู คุณชายวัยหนุ่มผู้หนึ่งกับแม่นางน่ารักอ่อนหวานผู้หนึ่ง ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนิทชิดเชื้อ ภาพๆ นี้ตกอยู่ในสายตาของใครล้วนแต่เป็นภาพที่งดงามภาพหนึ่ง
“นายท่านสาม ท่านมองอะไรหรือขอรับ” บนเหลาสุราฝั่งตรงข้ามเด็กรับใช้ที่โค้งเอวผู้หนึ่งขมวดคิ้วถามเจ้านาย
ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่านายท่านสามดูเหมือนอารมณ์ดี ชี้พัดพับได้ไปยังฝั่งตรงข้าม กล่าว “ดูคู่รักคู่นั้นสิ”
เด็กรับใช้มองไปตามทิศทางที่ชี้ กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “บ่าวคิดว่าไม่เหมือนคู่รักนะขอรับ กลับเหมือนพี่น้องคู่หนึ่ง ท่านดู หน้าตาของพวกเขาคล้ายกันเล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นคุณชายคุณหนูตระกูลใด หน้าตาดีจริงๆ”
นายท่านสามตกตะลึง มองดูอย่างละเอียด อืม หน้าเหมือนกันเล็กน้อยจริงๆ “เอ้อร์กุ้ยเจ้ากลับตาดี ข้าคุ้นเคยกับเมืองทงโจว แต่กลับไม่เคยเห็นตระกูลใดมีบุตรที่โดดเด่นเพียงนี้ คงจะผ่านทางมาสินะ”
เอ้อร์กุ้ยเด็กรับใช้หัวเราะแหะๆ สองครา “ไม่ใช่ว่านายท่านสอบมาดีหรอกหรือ” ประจบประแจงจนนายท่านสามอารมณ์ดียิ่งกว่าเดิม
เอ้อร์กุ้ยลอบมองรอยยิ้มบนใบหน้านายท่านอย่างระมัดระวัง จู่ๆ ก็เกิดความคิดขึ้นมา เขาเดินไปข้างหน้าสองก้าวเบาๆ กล่าวเสียงเบา “นายท่านสาม ในเมื่อพวกเขาผ่านทางมา เช่นนั้นพวกเรา…” สองมือของเขาทำท่ากำราบ เจตนาไม่ต้องบอกก็รู้ “นายท่านสามบ่าวเห็นว่าหน้าตาของคุณชายผู้นั้นคล้ายโดดเด่นกว่าใคร ท่านว่าหากส่งเขาไปให้เบื้องบน จะมีประโยชน์บ้างหรือไม่ ถึงตอนนั้นนายท่านใหญ่นายท่านรองพวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติมาแข่งกับท่านแล้ว”
นายท่านสามฟังแล้วก็ใจเต้น อืม เป็นความคิดที่ไม่เลวจริงๆ “เอาสิเจ้าหนุ่ม ในที่สุดก็มีอนาคตแล้ว เรื่องนี้เจ้าพาคนไปทำด้วยตัวเอง เก็บหางให้เรียบร้อยอย่าให้มีเงื่อนงำอะไรหลุดออกไปได้
“ขอรับ นายท่านสามวางใจ บ่าวจักต้องจัดการให้เรียบร้อย” เอ้อร์กุ้ยถอยออกไปด้วยสีหน้าตื่นเต้นทั้งใบ
เหอหลินหลินเห็นของที่เหอฮวาเย่ว์กุ้ยซื้อมาก็ดีใจอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เสิ่นเวยบอกว่ากินข้าวก่อน นางก็คงจะยัดลูกซานจา (พุทราจีน) สีแดงๆ นั้นเข้าไปในปากทันที
ทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ความตื่นเต้นของเหอหลินหลินก็ยังคงสูงอย่างยิ่ง แต่เสิ่นเวยกลับเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าท่านอานาง คิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “ท่านอา พวกเราไปพักที่โรงเตี๊ยมก่อนดีกว่า” เสิ่นหย่าเองก็เหนื่อยจริงๆ จึงไม่ได้ปฏิเสธ
โรงเตี๊ยมเองก็มีพ่อบ้านรองเป็นคนจอง ห่างจากเหลาสุราไม่ไกล เดินเพียงหนึ่งเค่อก็ถึงแล้ว พ่อบ้านรองจองเรือนข้างหลังเล็กไว้ ไม่ใหญ่ แต่กลับได้ความเงียบสงบ
หลังจากที่เสิ่นหย่าพักผ่อนแล้ว เหอหลินหลินก็ยังคงกะพริบตาปริบๆ อยู่ข้างหลังเสิ่นเวย แววตาเต็มไปด้วยความหวัง เสิ่นเวยจะไม่รู้ความคิดของนางได้อย่างไร สั่งแม่นมมั่วหนึ่งครา “ข้าจะออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนลูกผู้น้อง กลับมาท่านอาตื่นแล้วก็บอกนางเสียหน่อย ไม่ให้นางต้องเป็นห่วง”
เหอหลินหลินได้ยินดังนั้นดวงตาก็โค้งขึ้นอีกครั้ง “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่”
เสิ่นเวยโบกมือ ไม่เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย อย่างไรเสียนางเองก็เหนื่อย ได้ถือโอกาสดูว่าเมืองทงโจวแห่งนี้มีของอะไรให้ซื้อกลับไปบ้าง ออกมาเที่ยวนี้ อย่างไรเสียก็ควรนำของขวัญกลับไปให้ญาติผู้ใหญ่และพี่น้องทั้งหลายบ้างไม่ใช่หรือ
ทิ้งกำลังคนจำนวนหนึ่งไว้ในโรงเตี๊ยม คนที่ตามเสิ่นเวยออกมามีเพียงโอวหยางไน่กับเหอฮวา นอกจากนียังมีเด็กรับใช้ที่ดูแลเรื่องจิปาถะสองคน เถาฮวาเด็กคนนั้นกินอิ่มแล้วก็นอนเหมือนกับหมู
เสิ่นเวยพาเหอหลินหลินเดินไปพลางดูไปพลาง ซื้อของมาไม่น้อย ในมือเด็กรับใช้ต่างก็ถือไม่ไหวแล้ว กลับโรงเตี๊ยมไปสองรอบแล้ว แต่ความต้องการซื้อของของเหอหลินหลินก็ยังไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย เห็นอะไรก็ตาลุกวาวไปหมด เสิ่นเวยเองก็ขี้เกียจจะเตือนนาง อย่างไรเสียก็ใช้เงินเพียงไม่เท่าไร ถือเสียว่าซื้อความสุขให้นาง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น