อัจฉริยะสมองเพชร 1976-1981

 ตอนที่ 1976 เริ่มกันเถอะ!”

“อะ-อะไรกัน…”


หวังเจี้ยนตงมองโลกที่หมุนติ้วอยู่รอบตัว ทั้งหมดที่อยู่ในสมองของเขาคือความไม่อยากเชื่อ


แม้แต่ตอนที่กำลังจะตาย เขาก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น


เขาขับเคลื่อนเจตจำนงเพลงดาบ ขัดเกลามันจนเข้มข้นถึงขีดสุด เตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกอย่างที่ขวางทาง เขาตั้งใจจะยื้อการดวลออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้เล่นงานอีกฝ่ายและเกิดเป็นการต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ


แต่ทันทีที่หมอนั่นเคลื่อนไหว โลกก็หมุนติ้วรอบตัวเขา ทุกอย่างจบลงโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว


หมอนั่นสำแดงกระบวนท่าตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วทำได้อย่างไร? เขาไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง!


ศิลปะเพลงดาบของมนุษย์สามารถรวดเร็วว่องไวได้ขนาดนี้หรือ?


ลู่จี่, ผมขอโทษ ผมคิดจะหยั่งกระบวนท่าของเขาเพื่อเป็นข้อมูลให้คุณ แต่พละกำลังของผมมีจำกัด สำหรับหมอนั่น ผมไม่ต่างอะไรกับเหยื่อที่เป็นเป้านิ่ง…


หวังเจี้ยนตงเสียใจสุดขีด ร่างของเขาแหลกสลายไป


ที่ด้านล่างสังเวียนประลอง หลิวลู่จี่เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตา เขาแทบลมจับ


นั่นคือผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับ 3 ในบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในนะ!


แต่กลับถูกสังหารในกระบวนท่าเดียวแบบไม่มีทางสู้


เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร?


แล้วเราจะสู้กับศิลปะเพลงดาบที่รวดเร็วขนาดนั้นได้หรือ?


หลิวลู่จี่ครุ่นคิดหนัก ในใจลึกๆเขารู้คำตอบ ไม่มีทางที่เขาจะต้านทานการโจมตีนั้นได้เลย


แต่เขาก็ยังไม่อยากยอมแพ้ ความดื้อดึงไม่ปล่อยให้เขาถอดใจเพียงเพราะมีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่ายืนอยู่ตรงหน้า ไม่เคยมีอุปสรรคใดทำลายความตั้งใจของเขาได้ และเขาก็ไม่คิดว่าครั้งนี้จะแตกต่าง


ทันใดนั้น สัญชาตญาณการต่อสู้ในดวงตาของหลิวลู่จี่ก็เปล่งประกายขึ้นอีกรอบ “เรารู้…เรารู้แล้ว! เจี้ยนตง ความตายของคุณไม่สูญเปล่าแน่”


“คุณไม่สามารถบีบให้เขาเปิดเผยไม้ตายสุดยอดออกมาได้ แต่ผมพบข้อบกพร่องในศิลปะเพลงดาบของเขาแล้ว!”


หลิวลู่จี่กำหมัดแน่นขณะพลังปราณพลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย ในที่สุดเขาก็พบทางออก


จากการวิเคราะห์ของเขา สิ่งที่เรียกว่าไม้ตายของอีกฝ่ายนั้นเรียบง่ายกว่าที่พวกเขาคาดเดาไว้มาก ซึ่งนั่นก็คือความว่องไว!


ศิลปะเพลงดาบของอีกฝ่ายรวดเร็วว่องไวเสียจนคู่ต่อสู้ส่วนใหญ่ไม่อาจตอบโต้การโจมตีของเขาได้


เป็นไปได้ว่าหมอนั่นน่าจะสำเร็จความเข้าใจแก่นสารของเพลงดาบที่เน้นความเร็ว


พละกำลังมหาศาลอาจถูกเอาชนะได้ แต่ความเร็วนั้นไม่อาจถูกทำลายได้เลย


เขามัวแต่วุ่นกับการค้นหาชนิดของกระบวนท่าที่อีกฝ่ายสำแดงออกมาจนหลงลืมข้อเท็จจริงง่ายๆข้อนี้ไป อันที่จริง หมอนั่นแค่สำแดงกระบวนท่าง่ายๆ และนั่นก็คือความรวดเร็วว่องไวของเขา


ขอแค่ศิลปะเพลงดาบของใครคนหนึ่งรวดเร็วพอ ต่อให้ผู้เชี่ยวชาญระดับหวังเจี้ยนตงก็ต้องพ่ายแพ้


“มีทางเดียวที่จะหลบเลี่ยงศิลปะเพลงดาบอันว่องไวได้ นั่นก็คือต้องเปิดฉากก่อน หรือพูดอีกอย่างก็คือเราต้องไวกว่านี้”


เมื่อเข้าใจแก่นสารของพละกำลังของอีกฝ่าย หลิวลู่จี่ได้คำตอบในการเอาชนะศิลปะเพลงดาบของคู่ต่อสู้ขึ้นมาทันที


การป้องกันตัวถือว่าไม่เพียงพอจะกดข่มความรวดเร็วของศิลปะเพลงดาบได้ วิธีเดียวที่ใช้ได้ก็คือต้องปรับความเร็วให้ทัดเทียมกัน มีแต่การโจมตีอีกฝ่ายเท่านั้นที่จะทำให้เขาบีบบังคับให้ผมน่ะถ่อมตัวเผยจุดอ่อนของตัวเองออกมาได้สำเร็จ!


หลิวลู่จี่หลับตา เขาคิดคำนวณกระบวนท่าโจมตีอยู่ในใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ เขารู้สึกว่าขอแค่สำแดงมันออกมาได้อย่างถูกต้อง ก็มีโอกาสเอาชนะได้เกินกว่า 70%


ขณะที่หลิวลู่จี่กำลังครุ่นคิดหนัก ศิษย์สายตรงฝ่ายในอีก 20 คนก็กระโจนขึ้นสู่สังเวียนประลองทีละคน ซึ่งก็เหมือนกับผู้ที่ขึ้นไปก่อนหน้า ศีรษะของทุกคนกระเด็นหลุดจากบ่า ไม่มีใครอยู่ได้เกินกว่าหนึ่งอึดใจ


ถึงตอนนี้ ฝูงชนพากันตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึงต่อพละกำลังของผมน่ะถ่อมตัว ทุกคนเริ่มรู้ซึ้งแก่ใจ


ภายในไม่ถึงสามนาที ผมน่ะถ่อมตัวก็สังหารคู่ต่อสู้ไปถึง 40 คนแล้ว ซึ่ง 7 คนในนั้นรั้งอันดับ 100 คนแรกในการประลองศิษย์สายตรงฝ่ายในด้วย มีแม้กระทั่งผู้รั้งอันดับ 3 อย่างหวังเจี้ยนตง!


แต่ก็ไม่มีใครเล่นงานผมน่ะถ่อมตัวได้เลยสักกระบวนท่า ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายสังหารพวกเขาได้อย่างไร


ตอนแรก ทุกคนต่างคิดว่าสุดท้ายก็คงเอาชนะหมอนี่ได้ด้วยจำนวนคนที่มากกว่า แต่ตอนนี้ ความมั่นใจของพวกเขากำลังถูกสั่นคลอน


ในความคิดของแต่ละคน ‘ผมน่ะถ่อมตัว’ ได้แปรสภาพจากคนธรรมดาสามัญไปเป็นมือสังหารผู้โหดเหี้ยมแล้ว


ทุกการเคลื่อนไหวของเขาก่อเกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่


ราวกับว่าสิ่งนี้ได้กลายเป็นกฎเกณฑ์ของการประลองไปแล้ว ไม่ได้สำคัญเลยว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะมีจำนวนมากแค่ไหนหรือทรงพลังอย่างไร


เห็นฝูงชนเริ่มใจเสีย หลิวลู่จี่ตะโกน “ทุกคน อย่าตื่นตระหนก เขาเป็นแค่คนธรรมดา กำลังคนของเรามีมากพอจะโค่นเขาได้ ถ้าเราปล่อยให้เขาฆ่าเราอยู่แบบนี้ จะต้องมีพวกเราสักกี่คนที่ล้มตาย?”


“ก็จริง…เขาอาจทรงพลัง แต่ก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น!”


“เราจะแพ้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้น…คนอื่นจะมองพวกเราอย่างไร?”


“เสียเงินน่ะเรื่องเล็ก ที่สำคัญกว่าคือทางสำนักจะต้องลงโทษเราอย่างหนักแน่โทษฐานที่อ่อนด้อย”


เสียงตะโกนของหลิวลู่จี่ทำให้ทุกคนคลายความหวาดหวั่น นัยน์ตาของพวกเขาฉายประกายของจิตวิญญาณการต่อสู้อีกครั้ง


“พวกเรา ผมวิเคราะห์ศิลปะเพลงดาบของเขาแล้ว หัวใจของมันอยู่ที่ความเร็ว ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่พวกคุณคิดหรอก ขอแค่เราเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าเขา เขาก็ทำอะไรไม่ได้!” หลิวลู่จี่พูดขณะออกเดินช้าๆไปยังสังเวียนประลอง


“ผมจะฆ่าเขาเสียเดี๋ยวนี้ เพื่อแสดงให้พวกคุณเห็นว่ายังมีผู้เชี่ยวชาญอีกมากมายในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน!”


ได้ฟังคำพูดของหลิวลู่จี่ ทุกคนพากันตาโต


จริงด้วย! เพราะพวกเขาไม่อาจทำความเข้าใจการโจมตีของผมน่ะถ่อมตัวได้ อีกฝ่ายจึงดูน่าสะพรึงกว่าความเป็นจริง แต่ถ้าสิ่งที่หมอนั่นมีเป็นแค่ความเร็ว…ขอแค่พวกเขาเคลื่อนไหวได้เร็วกว่า หมอนั่นก็ทำอะไรไม่ได้!


ศิลปะเพลงดาบที่รวดเร็วนั้นถือว่าไร้เทียมทาน แต่ก็ต้องใช้ทั้งพลังชีวิตและพลังปราณในปริมาณมาก ด้วยขีดจำกัดของระดับวรยุทธที่หอนิรันดร์กำหนดมา ผมน่ะถ่อมตัวจะรักษาความเร็วระดับนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน?


“มองเห็นทะลุปรุโปร่งขนาดนี้ ดูเหมือนสหายคนนั้นจะเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงนะ”


“ผมว่าเขาน่าจะเอาชนะผมน่ะถ่อมตัวได้!”


“ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะเอาชนะผมน่ะถ่อมตัวได้หรือไม่ ความรู้ที่ว่าหมอนั่นใช้ความเร็วเพื่อโค่นคู่ต่อสู้ของเขาถือเป็นข้อมูลชิ้นสำคัญเลยทีเดียว นั่นหมายความว่าการเสียสละของพวกเราที่ลงแรงไปก่อนหน้านี้ไม่ได้สูญเปล่า ขอแค่พวกเราเล่นงานเขาอย่างไม่ลดละ ในที่สุดเขาก็ต้องแพ้!”


ขณะที่หลิวลู่จี่มุ่งหน้าไปยังสังเวียนประลอง ฝูงชนก็เปิดทางให้เขาโดยอัตโนมัติพร้อมส่งเสียงโห่ร้องกึกก้อง


ตอนนี้หลิวลู่จี่ใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันใหม่ สมญานามที่เขาใช้ก็ต่างไปจากเดิม ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาคืออัจฉริยะหมายเลข 1 ของศิษย์สายตรงฝ่ายใน!


ได้ยินคำประกาศอย่างมั่นใจจากผู้รับคำท้า จางเซวียนอดหัวเราะหึๆไม่ได้ “คุณบอกว่าความเร็วคือหัวใจของพละกำลังของผมหรือ?”


การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วที่ไหนกัน?


มันไม่มีอะไรเลยนอกจากการกวัดแกว่งดาบแบบธรรมดาๆหลังจากที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบแล้ว


ยิ่งเจตจำนงเพลงดาบของนักรบผู้หนึ่งมีความทรงพลังมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นภาระหนักของพลังปราณ กายเนื้อ และจิตวิญญาณของผู้นั้นมากขึ้น วรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 ของเขาในตอนนี้ไม่อาจทำให้เขาสำแดงศิลปะเพลงดาบที่รวดเร็วขนาดนั้นออกมาได้


อันที่จริง ต่อให้กายเนื้อที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 โลกจารึกของเขาก็ยังต้านทานแรงกดดันจากการปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบที่ได้มาจากหน้าหนังสือสีทองไม่ได้เลย


ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เขาแสดงออกไปจึงเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของความสามารถที่เขามีเท่านั้น!


ถึงการวิเคราะห์ของอีกฝ่ายจะไม่ได้ถูกต้องแม่นยำเท่าไหร่ แต่ก็เป็นความพยายามที่ดี เท่าที่เห็น ดูเหมือนผู้รับคำท้าคนใหม่จะเป็นนักดาบที่เก่งกาจไม่เบา


โดยทั่วไป เขามักสนใจใคร่รู้ว่าคู่ต่อสู้จะมีความสามารถขนาดไหน แต่น่าเสียดายที่ตัวเขาตอนนี้ออกจะอ่อนแรงไปสักหน่อย ไม่อาจใช้พละกำลังอย่างสิ้นเปลืองได้ แถมเวลาก็ไม่คอยท่า


จึงต้องจบทุกอย่างให้เร็วที่สุด


“เริ่มกันเถอะ!”


ขณะที่ความคิดต่างๆวิ่งพล่านอยู่ในสมองของจางเซวียน หลิวลู่จี่ก็ก้าวขึ้นสู่สังเวียนประลองและเตรียมพร้อม


ฟึ่บ!


หลิวลู่จี่หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับดาบ และพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายด้วยความเร็วอันน่าทึ่งราวกับพายุใหญ่ เพราะความเร็วที่ใช้ ปลายดาบที่พุ่งแหวกอากาศมาจึงส่งเสียงคำรามราวกับฟ้าร้อง


“รวดเร็วเหลือเกิน!”


“กระบวนท่านี้ดูคุ้นตานะ ผมรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง…”


“มันคือเพลงดาบเสียงเรียกของพายุ!”


“ตำนานกล่าวไว้ว่าผู้อาวุโสที่คิดค้นเทคนิคนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากสายฟ้าที่ฟาดอยู่กลางอากาศ ศิลปะเพลงดาบนี้ทำให้ผู้ฝึกฝนสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วราวกับสายฟ้าและมีพละกำลังน่าสะพรึงเหมือนพายุ มันเป็น 1 ใน 3 ศิลปะเพลงดาบชั้นยอดที่อยู่ในหอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน แต่ก็ฝึกยากฝึกเย็นเสียจนคนส่วนใหญ่ถอดใจไปก่อน ดังนั้น ในบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน จึงมีเพียงคนเดียวที่ประสบความสำเร็จ…เดี๋ยวก่อน คุณคงไม่ได้จะบอกว่าผู้ที่อยู่บนสังเวียนประลองคือ…”


ผู้รับคำท้าคนใหม่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเสียจนฝูงชนมองตามไม่ทัน เกิดเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่


เป็นที่รู้กันทั่วไปว่ามีแต่ศิษย์พี่หลิวลู่จี่เท่านั้นที่เชี่ยวชาญกระบวนท่านี้ ซึ่งนั่นก็เพียงพอจะยืนยันตัวตนของผู้รับคำท้าคนใหม่แล้ว!


ดูเหมือนว่าแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ของศิษย์สายตรงฝ่ายในก็ตัดสินใจรับคำท้าเพื่อสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าคนอวดดีนั่น!


“เจ้านั่นจบเห่แน่!”


“กลยุทธของเขาถูกความเฉลียวฉลาดของศิษย์พี่หลิวปราบราบคาบ!”


ทุกคนตาโตด้วยความตื่นเต้นขณะส่งเสียงเชียร์หลิวลู่จี่


ในหัวใจของพวกเขา หลิวลู่จี่คือตำนานที่ไม่มีใครปราบได้ เขาเป็นที่ 1 มาถึง 7 ปีแล้ว และยังไม่มีใครเก่งกาจพอจะเขย่าตำแหน่งของเขาได้เลย


เมื่อผู้เชี่ยวชาญออกโรงเอง ผมน่ะถ่อมตัวยอมพ่ายแพ้แน่ ไม่มีทางที่เขาจะเชิดหน้าอวดดีได้อีก!


บนสังเวียนประลอง หลิวลู่จี่ไม่รู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผยแล้ว ในตอนนั้น ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ศิลปะเพลงดาบ


รู้ดีว่าคู่ต่อสู้สามารถเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่ผิดจากมนุษย์ทั่วไป หลิวลู่จี่จึงไม่กล้าปล่อยให้การ์ดตกแม้แต่เสี้ยววินาที การเปิดเผยจุดอ่อนใดๆก็ตามย่อมหมายถึงความผิดพลาด


ด้วยความรวดเร็วอันเหลือเชื่อของเขา เขารุดหน้าไปได้เกินกว่า 12 เมตรในชั่วพริบตา แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง บางทีอาจเป็นเพราะผมน่ะถ่อมตัวไม่ทันระวัง หรือไม่ก็มั่นใจในความเก่งกาจ จนเกินไป อีกฝ่ายจึงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว


“คุณไม่คิดจะเคลื่อนไหว หรือคุณเคลื่อนไหวไม่ได้?”


ดูเหมือนการคาดเดาของเขาจะถูกต้อง สิ่งเดียวที่หมอนั่นมีก็คือความเร็ว เมื่อเขาเอาชนะความเร็วของหมอนั่นได้ ก็ไม่มีอะไรที่อีกฝ่ายจะทำได้อีก


ชัยชนะอยู่ในมือของเขาแล้ว!


ตอนที่ 1977 ภาพเหมือนของเขา?

แต่ขณะที่ความคิดนั้นวนเวียนอยู่ในหัว หลิวลู่จี่ก็พลันรู้สึกถึงความเย็นเยือกที่อยู่เหนือศีรษะ


เขาเงยหน้ามอง ตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ ในชั่วขณะใดขณะหนึ่งนั้น อีกฝ่ายเงื้อดาบขึ้นแล้วจ้วงแทงเข้าไปที่ศูนย์กลางกระบวนท่าของเขา เฝ้ารอให้เขาพุ่งเข้าไปหา


“เฮ้ยยยย….”


เพราะหลิวลู่จี่เคลื่อนไหวเร็วเกินไป จึงไม่อาจยั้งตัวได้ ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร ดาบนั้นก็ฟันศีรษะของเขาแยกเป็น 2 ซีก


พลั่ก!


ร่างของเขาร่วงลงกับพื้น


“คนต่อไป!” จางเซวียนตะโกน


อีกฝ่ายเคลื่อนไหวรวดเร็วมากจนเขาต้องตัดสินใจใช้ดาบขวางทาง ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดไว้ หมอนั่นวิ่งเข้าหาคมดาบของเขาเอง ทำให้เขาสังหารอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำโดยแทบไม่ต้องออกแรง


“ศิษย์พี่หลิวถูกฆ่า?”


“ที่น่าสะพรึงกว่าก็คือผมน่ะถ่อมตัวไม่ได้ใช้พละกำลังใดๆเลย ทั้งหมดที่เขาทำก็แค่เงื้อดาบค้างไว้ แล้วศิษย์พี่หลิวก็พุ่งเข้าใส่มันเอง!”


“ศิษย์พี่หลิวพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการเอาชนะความเร็วด้วยการใช้ความเร็วกว่าใช่ไหม?”


ฝูงชนพากันตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ถึงตอนนี้ พวกเขาใกล้เสียสติเต็มที


ขนาดผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ของศิษย์สายตรงฝ่ายในก็ยังถูกสังหารอย่างง่ายดาย ผมน่ะถ่อมตัวจะต้องทรงพลังขนาดไหน!


“มีอะไร? ไม่มีใครกล้าสู้กับผมแล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นผมจะถือว่าพวกคุณทุกคนยอมแพ้ได้หรือยัง?” จางเซวียนอดรู้สึกไม่ได้ว่าทุกคนพากันเงียบกริบหลังจากเขาสังหารคู่ต่อสู้คนล่าสุดไป จึงได้แต่ขมวดคิ้วและตั้งคำถาม


แม้แต่ตอนที่เขาสังหารหวังเจี้ยนตง ทุกคนก็ยังไม่แสดงทีท่าแบบนี้


หรือว่าคู่ต่อสู้คนเมื่อกี้คือคนดังในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน?


เขาจึงหันไปถามศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่ง “ผู้ที่ผมเพิ่งสังหารไป…คือผู้ที่ได้รับการเคารพอย่างสูงในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในหรือเปล่า?”


“คะ-คุณ…” ได้ยินคำถามนั้น อีกฝ่ายแทบลมจับ “คุณไม่รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่างเลยหรือตอนที่สู้กับเขาน่ะ?”


คุณกำลังสู้กับผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ของศิษย์สายตรงฝ่ายในอยู่นะ! น่าจะรู้สึกได้ถึงรังสีพิเศษและความแข็งแกร่งเหนือชั้นของเขา!


“แตกต่าง?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “ผมควรจะรู้สึกอะไรหรือ? นอกจากความเร็วของเขา ก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษเลย!”


จริงอยู่ว่าคู่ต่อสู้คนล่าสุดของเขามีความรวดเร็วว่องไว แต่การที่อีกฝ่ายไม่สามารถควบคุมความเร็วของตัวเองได้ก็ทำให้ตกเป็นเป้าสังหารได้ง่าย


สถานการณ์ตอนนี้เหมือนกับมดฝูงหนึ่งที่พยายามโจมตีมนุษย์ มนุษย์จะต้องรับรู้ด้วยหรือว่ามดตัวไหนแข็งแกร่งกว่าตัวไหน?


ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างนี่!


“ขะ-เขา…เขาคือผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ของศิษย์สายตรงฝ่ายใน, ศิษย์พี่หลิวลู่จี่!” ศิษย์สายตรงผู้นั้นร้องออกมา


“อ้อ…เขาคือผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 หรือ?” จางเซวียนสงสัย “…อ่อนแอแบบนั้นน่ะนะ?”


“….” ฝูงชน


ในลานบ้านบริเวณยอดเขาซึ่งเป็นที่พำนักของศิษย์สายตรงฝ่ายใน หวังเจี้ยนตงค่อยๆลืมตา รู้สึกเวียนหัวจนต้องกุมขมับไว้ครู่หนึ่ง


หวังเจี้ยนตงทำสมาธิอยู่สักพักเพื่อปรับสภาพร่างกายให้เป็นปกติก่อนจะพึมพำพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “รู้สึกไม่ค่อยดีเลยที่หัวหลุดกระเด็น”


โดยปกติ เขาคือผู้ที่สังหารใครต่อใครในการประลอง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับประสบการณ์การถูกตัดหัว แม้อาการบาดเจ็บทางร่างกายที่เกิดขึ้นในหอนิรันดร์จะไม่ถูกส่งต่อมาถึงโลกแห่งความเป็นจริง แต่ความกดดันในตอนนั้นก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัว


“ถึงเราจะเสียตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไป แต่ก็หวังว่าจะได้ทำให้ศิษย์พี่ลู่จี่มองเห็นข้อบกพร่อง ในศิลปะเพลงดาบของหมอนั่น คงจะดีถ้าเขาได้ชัยชนะ” หวังเจี้ยนตงพึมพำ


พูดกันตามตรง เขามีความยำเกรงอย่างเต็มเปี่ยมในตัวหลิวลู่จี่


ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะได้ร่ำเรียนกระบวนท่าที่ไร้เทียมทานสักแค่ไหนหรือสำแดงศิลปะการต่อสู้ใดๆออกมา ก็ล้วนแต่ไร้ค่าหากต้องเผชิญกับพละกำลังของหลิวลู่จี่ เขาไม่ต่างอะไรกับเด็กคนหนึ่งที่พยายามวุ่นวายกับผู้ใหญ่


สำหรับตัวเขา ความแข็งแกร่งของหลิวลู่จี่เหมือนหลุมดำที่ล้ำลึกเกินหยั่ง


ก็เหมือนกับการสอบในโรงเรียน ต่อให้คุณได้ 99 คะแนน ขณะที่อัจฉริยะคนหนึ่งได้ 100 คะแนน ความแตกต่างระหว่างคุณกับอัจฉริยะคนนั้นก็ไม่ได้มีเพียงแค่คะแนนเดียว แต่เป็นเพราะข้อสอบนั้นมีคะแนนเต็มแค่ 100 คะแนนต่างหาก


ขอแค่หลิวลู่จี่มองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ทะลุปรุโปร่ง ก็คงเอาชนะหมอนั่นได้สบาย


ก๊อก ก๊อก ก๊อก!


ขณะที่หวังเจี้ยนตงกำลังครุ่นคิด ก็พลันได้ยินเสียงเคาะประตูอยู่ด้านนอก


ใครกันที่จะมาตอนนี้? หวังเจี้ยนตงพึมพำขณะลุกขึ้นยืนและเดินไปยังทางเข้า


ที่นี่คือบ้านพักของหลิวลู่จี่ คงไม่เหมาะนักหากเขาจะเที่ยวไปเปิดประตูต้อนรับแขกในบ้านของคนอื่น แต่ในเมื่อตอนนี้หลิวลู่จี่กำลังต่อสู้กับผมน่ะถ่อมตัวอยู่ที่หอนิรันดร์ เขาก็คงต้องทำหน้าที่รับแขกของที่นี่ไปก่อน


แอ๊ดดด!


เมื่อเปิดประตู หวังเจี้ยนตงเห็นศิษย์สายตรงจำนวนหนึ่งมองมาที่เขา จากนั้นก็ก้มศีรษะลงด้วยความหวาดกลัว หนึ่งในนั้นละล่ำละลัก “ศิษย์พี่หลิว พวกเราขออภัยที่มาขอพบคุณอย่างกะทันหันแบบนี้…”


แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ก็พลันรู้สึกตัวว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่หลิวลู่จี่ ต่างคนต่างหัวเราะเจื่อนๆก่อนจะรีบแก้ไขคำพูด “ขออภัยด้วยเถอะ ศิษย์พี่หวัง…ไม่ทราบว่าศิษย์พี่หลิวอยู่ข้างในหรือเปล่า?”


“มีอะไร?” หวังเจี้ยนตงตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


เขาจำคนเหล่านี้ได้ แต่ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน พวกนี้ไม่ได้อยู่ใน 1000 อันดับแรกของการประลองศิษย์สายตรงด้วยซ้ำ ทำไมถึงมาตามหาศิษย์พี่หลิว?


“ศิษย์พี่หลิวคือผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ในบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน เขามีอิทธิพลมากที่นี่ พวกเรามีเรื่องสำคัญที่ต้องขอรบกวนเขา” ศิษย์สายตรงคนหนึ่งเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำ


“เขาไม่ว่าง!” เมื่อเห็นว่าคนพวกนี้มาขอความช่วยเหลือ หวังเจี้ยนตงตอบอย่างหมดความอดทนและเตรียมปิดประตู


จริงอยู่ว่าหลิวลู่จี่มีอิทธิพลมากในหมู่ศิษย์สายตรง แต่เขาจะต้องเหนื่อยยากสักแค่ไหนหากต้องคอยช่วยเหลือใครก็ตามที่มาเคาะประตู?


ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้น ในอนาคตจะต้องมีปัญหามากมายแน่


“ไม่ว่างหรือ? คำตอบห้วนอะไรอย่างนั้น! ทุกวันนี้ศิษย์สายตรงฝ่ายในหยิ่งผยองขนาดนี้กันหมดแล้วหรือไง?”


ทันทีที่หวังเจี้ยนตงพูดจบ เสียงเย็นเยียบของสตรีคนหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังศิษย์สายตรงกลุ่มนั้น เขาเงยหน้ามอง เห็นสาวน้อยคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าขัดใจอย่างรุนแรง


เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ หวังเจี้ยนตงเลิกคิ้วด้วยความพรั่นพรึง เขารีบประสานมือและทักทาย “ศิษย์พี่ไป๋!”


ผู้ที่เพิ่งปรากฏตัวไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดตัวฉกาจผู้โด่งดัง, ไป๋เหรินชิง!


ไป๋เหรินชิงไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดหรือปราดเปรื่องที่สุดในหมู่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด แต่เธอมีท่านปู่ผู้ไร้เทียมทานซึ่งเป็น 1 ใน 3 ผู้อาวุโสใหญ่, ผู้อาวุโสไป๋เย่!


แม้ตอนนี้ผู้อาวุโสไป๋เย่กำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่มีใครกล้าฉวยโอกาส


ดังนั้น ต่อให้ไป๋เหรินชิงเล่นงานศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนไหน ก็ไม่มีใครกล้าแหยม ทุกคนมีแต่จะอยู่ให้ห่างจากเธอเอาไว้และพยายามเต็มที่ที่จะไม่ล้ำเส้น


เธอไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจธุระของศิษย์สายตรงฝ่ายใน แล้วทำไมจู่ๆถึงมาขอพบศิษย์พี่หลิว?


ไป๋เหรินชิงเห็นความข้องใจของหวังเจี้ยนตง เธออธิบาย “ฉันมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากหลิวลู่จี่ในการหาตัวศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่ง เขาน่าจะทำได้ ใช่ไหม?”


“แน่นอน ศิษย์พี่หลิวกับผมไม่มีทางปฏิเสธคำขอของคุณแน่, ศิษย์พี่ไป๋” หวังเจี้ยนตงพยักหน้า


เขาจะทำให้ไดโนเสาร์ตัวเมียตัวนี้โมโหได้อย่างไร?


ถ้าทำท่าฮึดฮัดใส่อีกฝ่าย ก็เสี่ยงกับการถูกเตะไข่แตก ถึงเขาจะหงุดหงิดแค่ไหนก็ต้องฝืนไว้


ขนาดศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดยังไม่กล้าปฏิเสธคำขอของไป๋เหรินชิงเลย นับประสาอะไรกับศิษย์สายตรงฝ่ายในอย่างพวกเขา!


“ศิษย์พี่ไป๋ เชิญเข้ามาก่อน” หวังเจี้ยนตงรีบเชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้ามาในบ้านพัก


หลังจากได้ที่นั่งในห้องโถงใหญ่แล้ว หวังเจี้ยนตงขยับเข้าใกล้เธอเล็กน้อยและตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่ามีศิษย์สายตรงฝ่ายในโง่เง่าคนไหนทำให้คุณขุ่นเคืองใจ, ศิษย์พี่ไป๋? บอกชื่อเขามาเลย ผมจะให้คนของผมไปจัดการสืบเสาะเรื่องราวทันที!”


“เขาไม่ได้ทำให้ฉันขุ่นเคืองใจหรอก แต่ฉันมีธุระกับเขา” ไป๋เหรินชิงตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ยอมอธิบายรายละเอียด เธอสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำภาพวาดชิ้นหนึ่งออกมาและพูดว่า “นี่คือภาพเหมือนของเขา”


ไป๋เหรินชิงไม่ได้เป็นแค่นักดาบที่มีทักษะสูงส่ง เธอยังเชี่ยวชาญการวาดภาพด้วย ฝีมือการวาดภาพจางเซวียนของเธอนั้นแม่นยำในทุกรายละเอียด ทำให้ดูสมจริงมาก


“ภาพเหมือนของเขา?” หวังเจี้ยนตงนำภาพวาดมาพิจารณา ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “ต้องขออภัยด้วย แต่ผมไม่เคยพบชายผู้นี้มาก่อน!”


เขาเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในมาหลายปีแล้ว รู้จักศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคนในสำนักดาบเมฆเหิน แต่ก็แน่ใจว่าไม่เคยเห็นชายผู้นี้


“คุณไม่เคยเห็นเขา? แล้วหลิวลู่จี่ล่ะ เขาอยู่ไหน? ตามตัวเขามาดูภาพนี้ที!” ไป๋เหรินชิงสั่งการ


“ตอนนี้ศิษย์พี่หลิวกำลังดวลกับใครคนหนึ่งอยู่ที่หอนิรันดร์” หวังเจี้ยนตงรีบตอบ


“ดวล?” ไป๋เหรินชิงขมวดคิ้ว “เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ของศิษย์สายตรงฝ่ายในไม่ใช่หรือ? ในหอนิรันดร์มีคนที่เทียบชั้นกับเขาได้ด้วยหรือไง?”


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ของบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน หลิวลู่จี่ย่อมเอาชนะคู่ต่อสู้คนไหนก็ตามได้อย่างง่ายดายไม่ใช่หรือ? มีเหตุผลอะไรถึงต้องไปดวลกับใครต่อใคร?


“เมื่อไม่นานมานี้ มีนักดาบผู้อาจหาญคนหนึ่ง ใช้สมญานามว่า ‘ผมน่ะถ่อมตัว’ ปรากฏตัวขึ้นในหอนิรันดร์ แต่ตอนนี้คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ ศิษย์พี่หลิวออกโรงด้วยตัวเองแล้ว เขาคงเล่นงานหมอนั่นได้สบาย…” หวังเจี้ยนตงตอบยิ้มๆ


แต่ยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงของหนักๆตกลงมาบนลานบ้าน เมื่อมองไป หวังเจี้ยนตงเห็นหลิวลู่จี่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเผือด


“ศิษย์พี่หลิว…”


หวังเจี้ยนตงกับศิษย์สายตรงฝ่ายในคนอื่นๆรีบลุกขึ้นทักทาย


ไป๋เหรินชิงยังคงนั่งนิ่ง เธอชำเลืองมองชายหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาและถามว่า “คุณคือหลิวลู่จี่หรือ?”


เมื่อรู้ว่ามีแขกผู้ทรงเกียรติอยู่ในห้อง หลิวลู่จี่รีบประสานมือและทักทาย “คารวะศิษย์พี่ไป๋!”


“ศิษย์พี่ เป็นอย่างไรบ้าง? เอาชนะเขาได้หรือเปล่า?” หวังเจี้ยนตงร้อนใจ


หลิวลู่จี่ส่ายหน้าและตอบอย่างหม่นหมอง “ผมแพ้เขา”


“คุณแพ้?” หวังเจี้ยนตงทวนคำด้วยความตกใจ “ศิษย์พี่หลิว…แล้วคุณบีบให้เขาสำแดงเทคนิคขั้นสุดยอดออกมาได้ไหม?”


“เอ่อ…” หลิวลู่จี่ส่ายหน้าอีกครั้ง “ผมเล่นงานเขาทันทีที่มีโอกาส แต่เขาก็ใช้ดาบฟันหัวผมแบะเป็น 2 ซีก…ก็ตามนั้นแหละ ผมตาย”


“เขาใช้ดาบฟันหัวคุณ?” หวังเจี้ยนตงถึงกับผงะ


ตัวเขาเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ แต่นี่คือศิษย์พี่หลิว ผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ของศิษย์สายตรงฝ่ายใน!


ถูกปราบราบคาบในกระบวนท่าเดียว…


ตอนที่ 1978 ช่างกล้านัก!

หมอนั่นเป็นใครกันแน่?


โผล่มาจากไหน?


เมื่อรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป ไป๋เหรินชิงตั้งคำถาม “เกิดอะไรขึ้น?”


“ศิษย์พี่ไป๋ เรื่องเป็นอย่างนี้…” หลิวลู่จี่ทบทวนเรื่องราวทั้งหมดให้ไป๋เหรินชิงฟัง


“ใครคนหนึ่งเอ่ยปากท้าทายศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคนอย่างอาจหาญในหอนิรันดร์?” ไป๋เหรินชิง งงงันกับข่าวที่ได้รับ “ในสำนักนี้ยังมีใครบ้าบิ่นกว่าฉันอีกหรือ?”


สำนักดาบเมฆเหินมีศิษย์สายตรงฝ่ายในกว่าหมื่นคน…หมอนั่นท้าทายทุกคนพร้อมกันในคราวเดียว


บ้าไปแล้ว!


ไป๋เหรินชิงเคยคิดว่าตัวเธอคือผู้ที่อาจหาญและอวดดีที่สุดในสำนักเพราะมีท่านปู่คอยให้ท้าย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครคนหนึ่งเหนือชั้นกว่าเธออีก!


ที่สำคัญกว่านั้น ทั้งที่เล่นใหญ่ขนาดนี้ ก็ยังกล้าใช้สมญานามว่าผมน่ะถ่อมตัว…ราวกับจะเย้ยหยันทุกคน…


ช่างกล้านัก!


ไม่มีใครหลงตัวเองไปกว่าหมอนี่อีกแล้ว!


“ฉันอยากพบเขา!” ไป๋เหรินชิงลุกพรวด สัญชาตญาณการต่อสู้เป็นประกายอยู่ในดวงตาของเธอ


เหตุที่เธอได้รับการขนานนามว่าไดโนเสาร์ตัวเมียนั้นไม่ใช่เพียงเพราะอารมณ์หุนหันพลันแล่นของเธอเพียงอย่างเดียว ที่สำคัญกว่านั้น ยังเป็นเพราะเธอชื่นชอบการต่อสู้ และทำได้ดีเสียด้วย!


จู่ๆก็มีผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน…แล้วเธอจะอยู่เฉยได้อย่างไร? ความกระหายการต่อสู้ของเธอถูกจุดประกายขึ้นแล้ว และจะไม่มีวันมอดดับจนกว่าเธอจะได้ดวลกับหมอนั่น!


“ศิษย์พี่ไป๋ คุณเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดนะ ถ้าคุณไปที่นั่น…จะเป็นการฝ่าฝืนกฎของสำนัก” หลิวลู่จี่หน้าแดงก่ำ


ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นการต่อสู้ในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน คงดูไม่เหมาะสมหากศิษย์พี่ไป๋จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว


“ฉันแค่อยากไปดูให้เห็นกับตาว่าเขาเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดที่ปลอมตัวเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในเพื่อสร้างปัญหาหรือเปล่า?”


ไป๋เหรินชิงหาข้อแก้ตัวได้ทันควัน “อีกอย่าง ฉันก็แค่อยากเห็นว่าเขาใช้กระบวนท่าแบบไหน!”


“คือ…” หลิวลู่จี่ลังเลเล็กน้อย


ก่อนหน้านี้ เขาเคยพูดว่าผมน่ะถ่อมตัวไม่น่าจะเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน แต่ถ้าเป็นจริงขึ้นมาล่ะ? หลังจากที่เขาสู้กับอีกฝ่ายแล้ว ความสงสัยนั้นก็เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง


ข้อแก้ตัวของไป๋เหรินชิงฟังขึ้น มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหากเธออยากไปดูสักหน่อย นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายคือศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดปลอมตัวมาหรือเปล่า


ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจริง การที่เขาพ่ายแพ้ให้หมอนั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่


“ผมขอรบกวนคุณด้วย, ศิษย์พี่ไป๋” หลิวลู่จี่ตอบ


เขานำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลออกมา 2 อัน ยื่นอันหนึ่งให้ไป๋เหรินชิง ส่วนอีกอันเขาจะใช้เอง


เพื่อช่วยเรื่องการปลอมตัว ศิษย์สายตรงฝ่ายในส่วนใหญ่มักพกตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไว้กับตัวทีละ 2-3 อัน ก็เหมือนการที่ใครสักคนจะมีบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ทีละหลายบัญชีเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป


“ไม่มีปัญหาอะไรหรอกน่ะ เมื่อฉันได้เห็นหมอนั่นแล้ว ฉันจะช่วยคุณค้นหาข้อบกพร่องในกระบวนท่าของเขาเพื่อที่คุณจะได้เอาชนะเขาได้ จากนั้นฉันก็อยากให้คุณช่วยฉันสืบเสาะว่าเขาเป็นใคร” ไป๋เหรินชิงพูดขณะชี้นิ้วไปที่ภาพวาด “ฉันไม่ชอบติดค้างบุญคุณกับใคร เพราะฉะนั้นก็ถือว่าเราหายกัน!”


“ได้ ศิษย์พี่ไป๋!” หลิวลู่จี่พยักหน้า


ทั้งสามเปลี่ยนสมญานามและรูปลักษณ์ใหม่ ไป๋เหรินชิงไม่ลืมที่จะปกปิดตัวตนที่แท้จริงของเธอเพื่อป้องกันไม่ให้ใครจดจำเธอได้


หลังจากปลอมตัวเสร็จ พวกเขาก็มุ่งหน้าสู่สังเวียนประลอง


ตอนที่ไปถึง มีผู้คนกลุ่มใหญ่ออกันอยู่ทั่วบริเวณ


ตอนที่หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงไม่อยู่ ข่าวก็แพร่สะพัดออกไปในหมู่ศิษย์สายตรงราวกับไฟป่า ผู้ที่ไม่ได้ปรากฏตัวก่อนหน้านี้ต่างรีบเข้าสู่หอนิรันดร์ บรรยากาศของความตึงเครียดและความกระหายการต่อสู้อบอวลไปทั่ว


เมื่อหลิวลู่จี่กับพรรคพวกกลับไปที่นั่นอีกครั้ง มีศิษย์สายตรงฝ่ายใน 12 คนกำลังอยู่บนสังเวียนประลอง แต่ก็ถูกผมน่ะถ่อมตัวสังหารในชั่วพริบตา ครู่ต่อมา อีกกลุ่มหนึ่งก็ก้าวขึ้นสู่สังเวียนประลอง ดูเหมือนคลื่นที่ซัดสาดอย่างไม่มีวันหยุด


หลิวลู่จี่คว้าตัวศิษย์สายตรงที่อยู่ใกล้ๆคนหนึ่งมาซักไซ้ “ตอนนี้มีคนถูกกำจัดไปเท่าไหร่แล้ว?”


“ราวๆ 200 คนนะ ผมคิดว่าอย่างนั้น…ผู้ที่ขึ้นสู่สังเวียนประลองมักถูกฆ่าตายในชั่วพริบตา ไม่มีใครยืนหยัดอยู่ได้เกินกว่า 1 กระบวนท่า แม้แต่ศิษย์พี่หลิวลู่จี่ก็ยังถูกฟันหัวแบะเป็น 2 ซีก” ศิษย์สายตรงผู้นั้นตอบอย่างตื่นเต้น


แม้เขาจะไม่พอใจคำท้าอันแสนอวดดีของหมอนั่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกฝ่ายทรงพลังจริงๆ


ขนาดผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ในหมู่ศิษย์สายตรงก็ยังถูกสังหารอย่างง่ายดาย จึงไม่มีทางที่คนอื่นๆจะสู้กับเขาได้!


พวกเขาได้แต่ส่งกองกำลังไปเพิ่ม และหวังว่าจะใช้จำนวนคนที่มากกว่าเอาชนะหมอนั่น


เมื่อหมอนั่นค่อยๆหมดเรี่ยวแรงไป ก็ค่อยใช้ไม้ตายขั้นเด็ดขาด


“เขาฆ่าคนไป 200 คนแล้วหรือ?” หลิวลู่จี่เลิกคิ้ว


ตัวเขาเพิ่งออกจากหอนิรันดร์ไปได้นานแค่ไหน? 3 นาที? 5 นาที?


แต่หมอนั่นกำจัดคนได้ถึง 170 คนภายในระยะเวลาอันสั้นแค่นั้น?


บ้าแล้ว!


นี่มันเกินไป!


ในสายตาของอีกฝ่าย บรรดาศิษย์สายตรงคงไม่ต่างอะไรกับฝูงมด!


หลิวลู่จี่หันไปถามไป๋เหรินชิง “ศิษย์พี่ไป๋ หมอนั่นคือศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดปลอมตัวมาหรือเปล่า?”


“เอ่อ…หลังจากประเมินชายบนสังเวียนประลองได้ครู่หนึ่ง ไป๋เหรินชิงส่ายหน้า “ในหมู่พวกคุณ…ไม่มีใครบีบให้เขาสำแดงไม้ตายขั้นสูงสุดออกมาได้เลย ฉันจึงไม่แน่ใจ!”


ในแง่ของรูปร่างหน้าตาและบุคลิก ไป๋เหรินชิงนึกไม่ออกว่ามีศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนไหนที่ใกล้เคียงกับผมน่ะถ่อมตัว แต่ก็นั่นแหละ อีกฝ่ายย่อมปลอมตัวมาแล้วก่อนเข้าสู่หอนิรันดร์ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะสันนิษฐานจากสิ่งที่เห็น วิธีที่ดีที่สุดในการค้นหาตัวตนของเขาก็คือต้องบีบให้อีกฝ่ายเปิดเผยความสามารถที่แท้จริงออกมา!


ผมน่ะถ่อมตัวต่อสู้มาสักพักหนึ่งแล้ว แต่กระบวนท่าที่เขาใช้ก็ล้วนไม่ต่างอะไรกับการตบแมลงวัน ด้วยการกวัดแกว่งดาบแต่ละครั้ง เขาจะสังหารคู่ต่อสู้ได้ไม่ 1 ก็ 2 คน ไม่มีทางประเมินอะไรจากกระบวนท่าเรียบง่ายแบบนั้นได้เลย ถึงเธอจะคุ้นเคยกับบรรดาศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดดี แต่ก็ไม่มีทางจดจำอีกฝ่ายได้จากการกวัดแกว่งดาบอย่างง่ายๆแบบนั้น!


“เขาทรงพลังเกินไป พวกเราสร้างแรงกดดันอะไรให้เขาไม่ได้เลย” หลิวลู่จี่ตั้งข้อสังเกตพร้อมกับยิ้มแห้งๆ


พวกเขาเคยคิดว่าหวังเจี้ยนตงน่าจะบีบให้อีกฝ่ายเผยไม้ตายได้ แต่หวังเจี้ยนตงก็ถูกฆ่าตายด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว ส่วนเมื่อถึงตาหลิวลู่จี่ ก็ถูกฟันจนหัวแบะเป็นสองซีก ทั้งคู่เป็นถึงศิษย์สายตรงฝ่ายในอันดับ 1 และอันดับ 3! ถ้าแม้แต่พวกเขายังทำไม่สำเร็จ แล้วคนอื่นๆจะมีหวังอะไร?


อีกอย่าง หมอนั่นสังหารศิษย์สายตรงฝ่ายในไปกว่า 200 คนแล้ว แต่ก็ดูไม่เหน็ดเหนื่อยสักนิด ด้วยทักษะของอีกฝ่าย ก็ดูไม่น่าแตกต่างอะไร ต่อให้จะมีคู่ต่อสู้ขึ้นสู่สังเวียนประลองสักกี่คนก็ตาม


“ไม่ต้องห่วง ฉันขอลองดู!” ไป๋เหรินชิงนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น


ในฐานะศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดและหลานสาวของ 1 ใน 3 ผู้อาวุโสใหญ่ เธอมีความเข้าใจอันล้ำลึกในศิลปะเพลงดาบตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าอยู่ในโลกของความเป็นจริง เธอน่าจะเล่นงานผมน่ะถ่อมตัวได้สบาย สังหารอีกฝ่ายได้ด้วยการฟาดฟันเพียงครั้งเดียว แต่ด้วยร่างอวตารที่ทางหอนิรันดร์กำหนดให้ใช้ เธอไม่มีพลังชีวิตหรือพลังปราณมากพอจะฆ่าผู้คนมากมายและยืนหยัดจนถึงวินาทีสุดท้ายได้


พูดอีกอย่างก็คือ มีความเป็นไปได้สูงที่ชายซึ่งอยู่บนสังเวียนประลองจะแข็งแกร่งกว่าเธอมาก เมื่อเจอกับผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ จึงเป็นธรรมดาที่ไป๋เหรินชิงย่อมอยากพิสูจน์ตัวเอง!


“ศิษย์พี่ไป๋…” หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงสบตากันอย่างลำบากใจ “คุณเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดนะ ถ้าถูกจับได้ว่าเข้ามาก้าวก่ายความขัดแย้งในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในล่ะก็…”


จริงอยู่ว่าพวกเขายังสงสัยว่าผมน่ะถ่อมตัวอาจเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด แต่ก็มีโอกาสเช่นกันที่อีกฝ่ายอาจเป็นแค่ศิษย์สายตรงฝ่ายในสักคนที่ฝึกฝนวรยุทธอย่างหนักมาหลายปี จึงสามารถ เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้มากมายได้ในคราวเดียว หากพวกเขานำศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนหนึ่งเข้ามายุ่งเกี่ยว ชื่อเสียงก็จะต้องด่างพร้อย


เพียงแค่ความอับอายก็เกินพอจะฆ่าพวกเขาแล้ว!


“ตอนนี้ฉันใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของคุณอยู่ ขอแค่พวกคุณไม่พูดอะไร ก็ไม่มีใครรู้หรอก” ไป๋เหรินชิงพูดพร้อมกับโบกมืออย่างวางมาด “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันจะเข้าไปทดสอบหมอนั่นและค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเขา ทันทีที่ฉันแน่ใจว่าเขาไม่ใช่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ก็จะยอมแพ้ทันที พวกคุณวางใจเถอะว่าฉันไม่คิดจะก้าวก่ายเรื่องนี้ แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเขาเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดล่ะก็ ฉันจะกำจัดเขาทันทีตามกฎของสำนัก!”


“คือ…” หลิวลู่จี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโค้งคำนับอย่างงาม “พวกเราขอรบกวนศิษย์พี่ไป๋ด้วย”


สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาก็ฟังขึ้น ถ้าเธอเข้าสู่สังเวียนประลองเพียงเพื่อทดสอบทักษะของผมน่ะถ่อมตัว ก็ไม่ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎของสำนัก


“ศิษย์พี่ไป๋ ระวังตัวด้วยนะ ดาบของหมอนั่นว่องไวมาก” หวังเจี้ยนตงแนะ


“ว่องไว? ฮ่า…นั่นคือสิ่งที่ฉันไม่เคยกลัว ตั้งแต่ฉันอายุ 5 ขวบ ในทุกๆปีท่านปู่ไป๋เฟิงจะพาฉันไปยังดินแดนอันหนาวเหน็บที่อยู่ตอนเหนือสุดเพื่อให้ฉันฝึกฝนศิลปะเพลงดาบดงหิมะ นับจากตอนนั้นมาก็ 15 ปีแล้ว ซึ่งฉันก็เชี่ยวชาญเทคนิคนี้ถึงขั้นการประสบความสำเร็จในภาพรวม ด้วยศิลปะเพลงดาบดงหิมะ คุณคิดว่าฉันจะกลัวความว่องไวในเพลงดาบของหมอนั่นหรือ?” ไป๋เหรินชิงตอบอย่างภาคภูมิใจ


อีกฝ่ายอาจมีทักษะเก่งกล้า แต่เธอก็ไม่น้อยหน้า


เพราะการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วว่องไว จึงทำให้เธอสามารถเล่นงานจุดอ่อนของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนอื่นๆได้โดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว


“ศิลปะเพลงดาบดงหิมะ?”


หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงเคยได้ยินว่าไป๋เหรินชิงเป็นนักดาบผู้ไร้เทียมทาน แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอฝึกฝนศิลปะเพลงดาบชนิดไหน เมื่อได้รู้ชื่อศิลปะเพลงดาบของเธอ ทั้งคู่พากันตาโตด้วยความตื่นเต้น


ศิลปะเพลงดาบดงหิมะเป็นที่ขึ้นชื่อในสำนักดาบเมฆเหิน ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคิดค้นมันขึ้นมาเมื่อพันปีก่อนในวันที่หิมะตกหนัก หากนักรบคนไหนฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุดได้ ก็จะสามารถรับมือกับการจ้วงแทงได้ถึง 6 ครั้งในชั่วพริบตา เพียงแค่หิมะเกล็ดหนึ่งร่วง


เกล็ดหิมะที่ร่วงพรูนั้นไม่ต่างอะไรกับลูกบอลหิมะ ทำให้ตกลงมาได้อย่างรวดเร็ว นี่คือแรงบันดาลใจที่อยู่เบื้องหลังชื่อของเทคนิคนี้, ศิลปะเพลงดาบดงหิมะ


เกล็ดหิมะเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องความเบา ถึงขนาดที่แม้แต่สายลมแผ่วๆก็สามารถพัดพามันไปได้ ดังนั้น ผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบชนิดนี้จึงต้องควบคุมพละกำลังของตัวเองให้ได้ในระดับที่ละเอียดอ่อนที่สุด อีกทั้งความเร็วในการสำแดงกระบวนท่าก็จะต้องสูงส่งอย่างน่าทึ่ง


ตอนที่ 1979 นรกอะไรกันนี่!

ในฐานะนักรบที่สำเร็จความเข้าใจในภาพรวมของเทคนิคนี้ ทั้งความเร็วและการควบคุมพละกำลังของไป๋เหรินชิงสูงส่งเกินกว่าที่พวกเขาจะเข้าถึง!


“ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ผมน่ะถ่อมตัวเทียบชั้นกับศิษย์พี่ไป๋ไม่ได้แน่” หลิวลู่จี่ตั้งข้อสังเกตพร้อมกับพยักหน้า เขาโค้งคำนับอย่างจริงใจอีกครั้งและพูดว่า “ศิษย์พี่ไป๋ ขออภัยด้วยที่ต้องพูดแบบนี้ แต่ผมขอวิงวอนคุณให้หยุดทันทีหลังจากทดสอบตัวตนของเขาแล้ว ได้โปรดให้บรรดาศิษย์สายตรงรับมือกับเขาแทนเถอะ”


ไม่ว่าผมน่ะถ่อมตัวจะเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหรือไม่ แต่เรื่องจริงก็คือหมอนั่นท้าทายและเหยียดหยามศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคน หากพวกเขายืมมือคนนอกให้มาจัดการ ก็มีแต่จะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง


“ไม่นึกเลยว่าคุณจะจุกจิกจู้จี้ขนาดนี้ ก็ได้…ก็ได้! ฉันจะปล่อยเขาไว้ให้คุณ!” ไป๋เหรินชิงโบกมืออย่างหงุดหงิดขณะก้าวขึ้นไปบนสังเวียนประลอง


“ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้! ฉันจะสู้ตัวต่อตัวกับเขา” ไป๋เหรินชิงสั่งการ


ในฐานะศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของเธอเหนือชั้นกว่าศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคนที่อยู่ตรงนั้น แม้ยังไม่ได้เคลื่อนไหว เธอก็แผ่แรงกดดันมหาศาลออกมาใส่ทุกคนที่อยู่โดยรอบแล้ว


“ผมไม่รู้นะว่าเธอคือใคร แต่ดูเหมือนจะทรงพลังมาก รู้สึกเหมือนกับว่าเจตจำนงเพลงดาบของผมถูกกดข่มเสียจนไม่อาจขับเคลื่อนมันอย่างสมบูรณ์แบบได้อีก!”


“ผมก็เหมือนกัน ไม่เคยรู้สึกถึงเจตจำนงเพลงดาบที่ทรงพลังขนาดนี้จากศิษย์สายตรงฝ่ายในคนไหนมาก่อน เธอน่าจะเป็นนักดาบตัวยง ในแง่ของศิลปะเพลงดาบ อาจเทียบชั้นกับศิษย์พี่หลิวได้เลยทีเดียว”


“พวกเราถอยมาสังเกตการณ์ก่อนเถอะ เธออาจเล่นงานหมอนั่นและล้างแค้นให้พวกเราได้!”


ด้วยความยำเกรงในเจตจำนงเพลงดาบอันทรงพลังที่ไป๋เหรินชิงแผ่ออกมา บรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในที่ตั้งใจจะก้าวขึ้นสู่สังเวียนประลองตัดสินใจฟังคำสั่งของเธอและล่าถอย


นักดาบตัวยงนั้นหายาก แต่ก็ปรากฏตัวอยู่เนืองๆในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน นักรบส่วนใหญ่จึงรู้ว่ามีคนพวกนี้อยู่ แม้จะไม่มีชื่อเสียงโด่งดังอะไร แต่พละกำลังที่แท้จริงของพวกเขาก็สามารถเอาชนะ 10 อันดับแรกของศิษย์สายตรงฝ่ายในได้


มีความเป็นไปได้สูงว่าศิษย์พี่ที่เพิ่งก้าวขึ้นสู่สังเวียนประลองและผมน่ะถ่อมตัวจะเป็นนักดาบตัวยงด้วยกันทั้งคู่!


เห็นนักดาบผู้หลงตัวเองอีกคนขึ้นมาบนสังเวียน จางเซวียนส่ายหน้าและถอนหายใจอย่างหมดความอดทน “ให้ไวเถอะ ถ้าคุณอยากดวลล่ะก็ คุณก็เห็นนี่นาว่ามีคนต่อคิวเยอะแยะ รอให้ตัวเองถูกสังหาร!”


คู่ต่อสู้พรรค์นี้น่าเบื่อน่ารำคาญมาก ราวกับพวกเขาเกิดมาพร้อมกับความอยากดังและกัดไม่ปล่อย ไม่อย่างนั้น ทำไมถึงต้องเจาะจงเรียกร้องจะสู้ตัวต่อตัวและทำให้คนอื่นเสียเวลาแบบนี้?


“ฉันไม่ได้เจอคนอวดดีอย่างคุณมานานแล้ว!” ไป๋เหรินชิงคำรามขณะชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วฟาดฟันเข้าใส่จางเซวียนอย่างรุนแรง


ศิลปะเพลงดาบดงหิมะ!


เธอใช้ไม้ตายขั้นสุดยอดตั้งแต่เริ่ม กระแสดาบฉีระเบิดออกมาและก่อตัวเป็นพายุหิมะที่พัดกระหน่ำบนสังเวียนประลอง เกล็ดหิมะสีขาวพรั่งพรูลงมาจากกลางอากาศ ทำให้ทุกคนตาพร่า


“ว่าไง?ฉันเร็วพอไหม?” ไป๋เหรินชิงไม่รีบร้อนดำเนินการโจมตีขั้นต่อไปหลังจากปลดปล่อยศิลปะเพลงดาบของเธอ เธอจ้องหน้าจางเซวียนพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ


ถึงเธอจะคุยโวกับหลิวลู่จี่และคนอื่นๆไว้ว่าเธอเข้าถึงความสำเร็จในภาพรวมของศิลปะเพลงดาบดงหิมะแล้ว แต่เรื่องจริงก็คือความเชี่ยวชาญของเธอยังอ่อนด้อยอยู่สักหน่อย ไม่อาจสำแดงพละกำลังเต็มที่ได้ในทุกครั้ง


คราวนี้ เธอรู้ดีว่ากำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ทรงพลัง จึงใช้เรี่ยวแรงเต็มพิกัด ภายใต้แรงกดดันนี้ เธอสามารถปล่อยพละกำลังที่เหนือชั้นกว่าที่เคยทำได้ มันรุนแรงกว่าการปลดปล่อยพลังตามปกติของเธอถึง 10 เท่า


ด้วยเหตุนี้ ไป๋เหรินชิงจึงตื่นเต้นที่จะได้เห็นผลจากการสำแดงกระบวนท่าของเธอ


ถ้าเป็นเมื่อครู่ก่อน เธอคงไม่กล้าอวดอ้างว่าสามารถเอาชนะผมน่ะถ่อมตัวด้วยความมั่นใจสูงสุดแบบนี้ แต่ด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลที่ใช้ไป ชัยชนะย่อมอยู่แค่เอื้อม


“เร็วเรอะ?” จางเซวียนถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ก็ใช่ คุณก็เร็วอยู่ ว่าแต่สำแดงเทคนิคของตัวเองเสร็จหรือยัง ผมรออยู่นะ!”


จากนั้น เขาก็เงื้อดาบขึ้นและฟันฉับ


ฟึ่บ!


ทันทีที่จางเซวียนเงื้อดาบ ไป๋เหรินชิงเข้าประจำตำแหน่งป้องกันตัวทันที แต่ยังไม่ทันที่เธอจะรู้ตัว ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ พริบตาต่อมา ก็พบว่ากำลังจับจ้องนิ้วเท้าของตัวเอง


พลั่ก!


ศพร่างหนึ่งร่วงลงไปกองกับพื้น


ไป๋เหรินชิงถูกสังหาร ไม่ต่างอะไรกับมดตัวหนึ่งที่ถูกบี้


เมื่อจางเซวียนเห็นว่าฝูงชนที่ออกันเข้ามามีปริมาณมากกว่าที่เขาจะสังหารได้ทัน ก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างหงุดหงิดในความไร้ประสิทธิภาพของระบบ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจ


“ช่างมันเถอะ แบบนี้ก็ช้าไป พวกคุณเข้ามาพร้อมกันเลยทีเดียวดีกว่า! หรือว่าสังเวียนประลองมันเล็กไป ผมควรลงไปข้างล่างเพื่อสู้กับพวกคุณดีไหม?”


จากนั้น จางเซวียนก็กระโจนเข้าสู่ฝูงชนโดยไม่ลังเล


สังเวียนประลองนี้ออกจะเล็กไปสักหน่อย รับคนได้ทีละประมาณ 10 คนเท่านั้น หากเกินกว่านั้นก็แออัด ถ้าเป็นแบบนี้ คงต้องใช้เวลานานมากกว่าเขาจะกำจัดคู่ต่อสู้หลายพันคนที่ออกันอยู่ด้านล่างสังเวียนได้


แถมยังมีพวกอยากดังโผล่ขึ้นมาเป็นระยะๆ เรียกร้องจะสู้ตัวต่อตัวด้วย น่าเบื่อน่ารำคาญเหลือเกิน เขาควรจะพุ่งเข้าใส่ฝูงชนแล้วสู้กับทุกคนพร้อมกันในคราวเดียว


“อะ-อะไรกัน? คุณรนหาที่เองนะ!”


“ทุกคน จัดการพร้อมกันเลย! ผมไม่เชื่อหรอกว่าสองมือของเขาจะต่อกรกับหลายพันมือของพวกเราได้!”


ฝูงชนแทบไม่เชื่อว่าศิษย์พี่ผู้ดูเหมือนจะทรงพลังจะต้านทานผมน่ะถ่อมตัวได้ไม่ถึงหนึ่งอึดใจ แถมพวกเขายังไม่ทันหายตะลึง อีกฝ่ายก็กระโจนลงจากสังเวียนและเริ่มสังหารหมู่แล้ว


ในชั่วพริบตา สถานการณ์ก็เข้าขั้นวิกฤต


อันที่จริง สังเวียนประลองที่มีขนาดเล็กนั้นทำให้ผมน่ะถ่อมตัวได้เปรียบ เพราะสามารถป้องกันไม่ให้ใครแทงข้างหลังหรือลอบสังหารเขาได้ง่าย แต่หมอนั่นกลับไม่ใส่ใจความได้เปรียบข้อนี้ กลับพุ่งเข้าใส่ฝูงชนเสียดื้อๆอย่างนั้น


นั่นหมายความว่าเขาจะต้องรับมือกับการโจมตีจากทุกทิศทาง!


จะทำได้หรือ?


ต่อให้ผมน่ะถ่อมตัวจะรวดเร็วว่องไวแค่ไหน ก็ไม่มีทางรับมือกับดาบ 20 เล่ม…50 เล่ม…หรือแม้แต่ 100 เล่มพร้อมๆกันได้แน่!


ฟิ้ววววว!


ในชั่วพริบตา กระแสดาบฉีทุกรูปแบบก็พุ่งเข้าใส่ผมน่ะถ่อมตัวจากทุกทิศทางราวกับห่าฝน ดูเหมือนทั้งโลกไม่อยากให้เขามีชีวิตอยู่!


“ศิษย์พี่ไป๋…”


หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงแทบคลั่งเมื่อเห็นว่าแม้แต่ศิลปะเพลงดาบดงหิมะที่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดตัวฉกาจผู้นี้สำแดงออกมาก็ยับยั้งผมน่ะถ่อมตัวไว้ไม่ได้


พวกเขายังเกรงว่าศิษย์พี่ไป๋อาจพลั้งมือสังหารอีกฝ่าย แต่เท่าที่เห็น…ดูเหมือนเธอจะทำอะไรผมน่ะถ่อมตัวไม่ได้เลย ไม่ว่าหมอนั่นจะกำลังสังหารพวกเขาหรือศิษย์พี่ไป๋ ก็ไม่ได้สร้างความกดดันให้หมอนั่นสักนิด!


ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่ได้เห็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด, นักรบขั้นเสมือนอมตะ หรืออาจเป็นนักรบอมตะตัวจริงก็ได้ ต้องถูกสังหารอย่างง่ายดายแบบนั้น


หวังเจี้ยนตงส่ายหน้า “เอาเถอะ ผมต้องยอมรับว่าผมน่ะถ่อมตัวคือผู้ไร้เทียมทานจริงๆ แต่เขาก็อวดดีเกินไป ความอวดดีของเขามีแต่จะนำไปสู่ความล่มจม ไม่มีทางที่เขาจะรับมือกับการตีวงล้อมของศิษย์สายตรงฝ่ายในจำนวนมากมายขนาดนั้นได้หรอก!”


ต่อให้ใครสักคนจะทรงพลังแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องมีขีดจำกัดของตัวเอง ไม่ใช่หรือ?


ทุกคนล้วนแต่เป็นนักรบระดับนักปราชญ์ขั้น 1 เมื่ออยู่ในหอนิรันดร์ ในแง่ของพละกำลังก็ถือว่าไม่ต่างกัน ต่อให้ใครสักคนจะมีทักษะสูงส่งแค่ไหน ก็ไม่มีทางรับมือกับกองทัพคนนับพันที่มีพละกำลังพอๆกันกับเขาได้!


“หมอนั่นตายแน่…” หลิวลู่จี่เห็นด้วยกับความคิดของหวังเจี้ยนตง


เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับผมน่ะถ่อมตัวมากนัก


“ศิษย์พี่หลิว ที่นี่มีคนเยอะแยะ เราควรใช้โอกาสนี้ลอบโจมตีหมอนั่นไหม?” หวังเจี้ยนตงเปรยขณะใช้นิ้วหัวแม่มือปาดลำคอ แสดงสัญญาณของการสังหาร


“ทำแบบนั้นไม่ดีแน่!” หลิวลู่จี่ส่ายหัวดิก


“พวกเราสู้กับเขาแล้ว และแพ้ไปแล้วด้วย คราวนี้เราเข้าสู่หอนิรันดร์ในฐานะผู้สังเกตการณ์ เท่านั้น ถ้าใครต่อใครกลับมาสู้ใหม่ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลังจากพ่ายแพ้ไป การดวลครั้งนี้ก็ย่อมหาความยุติธรรมไม่ได้!”


ผมน่ะถ่อมตัวท้าทายศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ถึงจะดูน่าอับอายแค่ไหน แต่พวกเขาก็ควรจะเข้าสู่การดวลคนละครั้ง หากทุกคนยังสู้กับหมอนั่นต่อไปโดยเปลี่ยนตัวตนเสียใหม่หลังจากถูกสังหารไปแล้ว ก็มีแต่จะถูกหัวเราะเยาะให้อับอายขายหน้าหากใครๆรู้เข้า


พวกเขาอาจแพ้ได้ แต่จะไม่ยอมสละเกียรติยศและศักดิ์ศรี!


อย่างน้อยที่สุด นี่ก็คือหัวใจของความเป็นผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน!


“ศิษย์พี่หลิว…คุณพูดถูก ผมถามอะไรไม่เหมาะสมเลยจริงๆ” หวังเจี้ยนตงก้มหน้าอย่างละอายใจ


เขาหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่จะกำจัดผมน่ะถ่อมตัวจนเกิดความคิดนั้นขึ้นมา เมื่อใคร่ครวญอีกครั้ง ก็เห็นด้วยว่าการทำแบบนั้นไม่เหมาะสมจริงๆ


ดาบคือผู้นำของอาวุธทั้งมวล รากฐานของการจะเชี่ยวชาญวิถีแห่งเพลงดาบเริ่มจากการบ่มเพาะสภาวะจิตของผู้นั้น หากนักดาบทำไม่ได้แม้แต่จะควบคุมตัวเองให้รักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรีไว้ เจตจำนงเพลงดาบของเขาก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนแอและด่างพร้อย


“พูดก็พูดเถอะ ในเมื่อศิษย์พี่ไป๋แพ้แล้ว พวกเราควรรีบกลับนะ ไม่อย่างนั้น ผมเกรงว่าเมื่อกลับถึงโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว…เธออาจคลุ้มคลั่งขึ้นมาก็ได้” หลิวลู่จี่พูด


เขากำลังจะออกจากหอนิรันดร์ ก็พอดีกับที่รู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ เขาพยายามหันกลับไป แต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว ก็พบว่ากำลังจ้องมองบั้นท้ายของตัวเอง


นรกอะไรกันนี่!


เมื่อมองจากหางตา เขาเห็นผมน่ะถ่อมตัวกำลังเดินหน้าฟาดฟันราวกับเครื่องจักรสังหาร ทุกย่างก้าวของเขาจะมีศีรษะจำนวนหนึ่งปลิวว่อนขึ้นสู่กลางอากาศ ราวกับเทศกาลนองเลือด


เหตุผลที่เขาถูกฆ่าก็เพราะเข้าใกล้การต่อสู้มากเกินไป กระแสดาบฉีบางส่วนที่หลุดรอดจากใจกลางทุ่งสังหารจึงตรงเข้าเล่นงานเขา


แค่เสี้ยวหนึ่งของกระแสดาบฉีของอีกฝ่ายก็รุนแรงพอจะฆ่าเขาแล้ว แล้วพวกเขาจะสังหารคนแบบนั้นได้อย่างไร?


ให้ตายเถอะ พวกเขาไม่มีหวังเลย!


ศีรษะของหลิวลู่จี่กระดอนขึ้นลงหลายครั้งก่อนจะไปหยุดนิ่งอยู่ที่สนามหญ้าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไป ศีรษะนั้นมีสีหน้าเศร้าหมอง ภาพติดตาภาพสุดท้ายของเขาคือศีรษะของหวังเจี้ยนตงที่กำลังกระดอนขึ้นลงเช่นกัน…


สีหน้าของหวังเจี้ยนตงก็หดหู่ไม่ต่างกับเขา


ทั้งคู่เป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย


โลกนี้เป็นอะไรไปหมดแล้ว? ทำไมคนบริสุทธิ์อย่างพวกเขาถึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายครั้งนี้?


ตอนที่ 1980 พวกเราควรทำอย่างไร?

ฟึ่บ!


จิตใต้สำนึกของทั้งคู่สลายไปจากหอนิรันดร์ นำพาพวกเขากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง


ขณะที่สติสัมปชัญญะของหลิวลู่จี่ถูกดึงกลับเข้าสู่กายเนื้อ เขาก็อดหวนนึกถึงการปะทะกับผมน่ะถ่อมตัวไม่ได้ ครั้งแรก เขาถูกแทงเข้าที่ศีรษะ ส่วนครั้งที่สอง ศีรษะของเขาถูกตัดขณะที่กำลังเฝ้ามองการต่อสู้จากระยะไกล


เขาคือผู้รั้งตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในตลอด 10 ปีที่ผ่านมา นัยน์ตาของเขาจับจ้องอยู่แต่เทพดาบสิบลี้ แล้วเขาต้องกลายเป็นตัวประกอบที่ถูกสังหารอย่างง่ายดายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ขณะที่หลิวลู่จี่ยังคงท้อใจกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่เห็นคือศิษย์พี่ไป๋เหรินชิงกำลังตัวสั่นอยู่ตรงหน้า ทั้งห้องกำลังปั่นป่วนยุ่งเหยิงอย่างหนัก


ดูเหมือนไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่รับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ใครคนหนึ่งที่ถูกตัดหัวทันทีหลังจากที่สำแดงเทคนิคขั้นสุดยอดออกไปก็รับไม่ได้กับความพ่ายแพ้ และกำลังระบายความแค้นใส่เครื่องเรือนของเขา


โชคดีที่ข้าวของพวกนั้นไม่มีราคาค่างวดอะไร ไม่อย่างนั้นคราวนี้เขาคงต้องสูญเสียครั้งใหญ่


“ศิษย์พี่ไป๋ ใจเย็นก่อนเถอะ…” หลิวลู่จี่รีบลุกขึ้นยืนและประสานมือ


ไป๋เหรินชิงส่งสายตาเย็นเยียบ เธอจ้องหน้าหลิวลู่จี่ขณะกัดฟันกรอด “ใจเย็น? แล้วฉันไปโมโหอะไรคุณหรือไง?”


หลิวลู่จี่ใจหายวาบ ขณะที่เขากำลังหมดปัญญาจนไม่รู้ว่าควรตอบคำถามอย่างไร ภาพที่เห็นตรงหน้าก็พร่าเลือน


ตุ้บ! พลั่ก! ปึ้ก!


เสียงหมัดและลูกเตะประเคนเข้าใส่เนื้อสดๆดังสนั่นไปทั่ว


ไม่ช้า ศิษย์สายตรงทุกคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้น รวมทั้งจูเหยียนจื่อกับเว่ยสุ่ยเฟิงก็นอนระเกะระกะอยู่กับพื้น ใบหน้าฟกช้ำดำเขียวและดั้งหัก เป็นภาพที่แสนจะน่าสมเพช


“เอาล่ะ ฉันรู้สึกฉันรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยแล้ว…”


การใช้ความรุนแรงเมื่อครู่บรรเทาความแค้นของไป๋เหรินชิงได้เล็กน้อย เธอสูดหายใจลึก จากนั้นก็วางท่าสง่างามดังเดิมและสั่งการ “จับตาดูคนที่ฉันสั่งพวกคุณไว้ให้ดี อีกอย่าง ปิดเรื่องที่ฉันมาพบกับพวกคุณคืนนี้ไว้เป็นความลับด้วย อย่าให้รั่วไหลเข้าหูใครเป็นอันขาด ถ้าฉันได้ยินใครพูดเรื่องนี้ล่ะก็ ฉันจะทำให้พวกคุณเสียใจที่เกิดมาบนโลกใบนี้เลยทีเดียว!”


หลิวลู่จี่ หวังเจี้ยนตง และคนอื่นๆตัวสั่นงอด้วยความหวาดกลัวขณะรีบหุบต้นขาเข้าหากัน


“ฉันไปล่ะ!”


ในชั่วพริบตา ไป๋เหรินชิงก็ขึ้นขี่หลังอสูรตัวหนึ่ง แล้วบินหายลับไปจากสายตาของทุกคน


ไม่น่าเชื่อว่าศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดผู้เย่อหยิ่งอย่างเธอจะพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียวให้กับศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งที่หอนิรันดร์…เธอมีแต่จะอับอายขายหน้าหากยังอยู่ที่นั่น!


หวังเจี้ยนตงตรวจดูจนแน่ใจว่าในว่าไดโนเสาร์ตัวเมียตัวนั้นกลับไปแล้ว ก่อนจะตั้งคำถามด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “แล้วทีนี้เราจะทำอย่างไร?”


“จะทำอะไรได้ล่ะ? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ปิดได้ไม่นานหรอก ต้องรายงานเหล่าผู้อาวุโส” หลิวลู่จี่พูด


ถึงการที่ผมน่ะถ่อมตัวสังหารพวกเขาได้จะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ตอนนี้ อีกฝ่ายสังหารศิษย์สายตรงฝ่ายในไปกว่า 200 คนแล้ว แถมยังเล่นงานศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนหนึ่งได้อย่างง่ายดายด้วย สถานการณ์บานปลายเกินกว่าที่พวกเขาจะควบคุมได้!


ถ้าไม่รีบรายงานเหล่าผู้อาวุโส คงแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหวแน่


“คุณพูดถูก เราควรรายงานเรื่องนี้ให้เหล่าผู้อาวุโสรับทราบและปล่อยให้เป็นธุระของพวกเขา!” หวังเจี้ยนตงรีบพยักหน้า


เมื่อเห็นพ้องต้องกัน ทั้งคู่รีบออกจากลานบ้าน ตั้งใจจะขึ้นขี่หลังอสูรเพื่อมุ่งหน้าไปยังโซนที่พักของเหล่าผู้อาวุโส แต่ในตอนนั้น เสียงกรีดร้องแหลมของอสูรตัวหนึ่งก็ดังอยู่เหนือศีรษะ


เมื่อเงยหน้ามอง หลิวลู่จี่กับคนอื่นๆเห็นผู้อาวุโส 10 คนขี่หลังอสูรตัวหนึ่ง กำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา เมื่ออสูรตัวนั้นมาอยู่เหนือบ้านพัก ทุกคนก็กระโจนลงมาที่ลานบ้าน


ทุกคนคือผู้อาวุโสที่มีหน้าที่รับผิดชอบและดูแลศิษย์สายตรงฝ่ายใน


“หลิวลู่จี่ หวังเจี้ยนตง, เกิดอะไรขึ้นในหอนิรันดร์?” ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่หน้าสุดตั้งคำถาม


ผู้อาวุโสคนนี้มีใบหน้าซูบตอบและเครายาวเขียวครึ้ม สวมเสื้อคลุมสีเทาอ่อนที่พลิ้วไหวไปตามท่วงท่าของเขา


เขาคือผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดและรั้งตำแหน่งสูงสุดในการดูแลศิษย์สายตรงฝ่ายใน, ผู้อาวุโสมู่!


เขาคือคนเดียวกันกับ “สหาย” ที่ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นได้พบที่ด้านนอกสภาผู้อาวุโส คนที่คอยจิกกัดผู้อาวุโสลู่อวิ๋นไม่หยุดหย่อน


ถ้าจางเซวียนอยู่ด้วย ก็จะจำได้ทันทีว่าผู้อาวุโสลู่อวิ๋นยืนอยู่ในหมู่ 10 ผู้อาวุโสที่เพิ่งมาถึงบ้านพักของหลิวลู่จี่


เขาเพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้อาวุโสฝ่ายใน ในสถานการณ์ปกติ เขาไม่มีสิทธิ์ติดตามคนเหล่านี้มา แต่ด้วยความดีความชอบที่รับศิษย์สายตรงผู้ปราดเปรื่องอย่างน่าทึ่งคนหนึ่งมาได้ ทางสำนักจึงยกเว้นให้


“ผู้อาวุโสมู่, นักดาบคนหนึ่งที่มีสมญานามว่าผมน่ะถ่อมตัวปรากฏตัวขึ้นในหอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายใน เขาท้าทายศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคน…” หลิวลู่จี่รีบรายงานเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นต่อผู้อาวุโสมู่


เขาเฝ้าดูพฤติกรรมของผมน่ะถ่อมตัวตั้งแต่ต้นจนจบ จึงรู้รายละเอียดทั้งหมด


“คนคนเดียวท้าทายศิษย์สายตรงทุกคน และสังหารไปได้ถึงหลายร้อยคน แม้แต่คุณทั้งคู่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น คุณสู้กับเขาไม่ได้เลยหรือ?” ผู้อาวุโสมู่ขมวดคิ้วขณะสีหน้าเคร่งเครียด


“ผมสั่งสอนพวกคุณมาตั้งหลายปี ไม่น่าเชื่อว่าพวกคุณจะไร้ค่าขนาดนี้”


“พวกเรา…” หลิวลู่จี่หน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย


“ไม่ว่าเขาจะเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในหรือศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ระดับวรยุทธของเขาก็ถูกจำกัดอยู่ที่นักปราชญ์โบราณขั้น 1 เท่านั้นเมื่อเข้าสู่หอนิรันดร์” ผู้อาวุโสมู่อุทานอย่างขัดใจ “ขนาดเจอคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน พวกคุณตั้งหลายร้อยคนยังเอาชนะเขาไม่ได้ นี่ถือเป็นความน่าอับอายครั้งใหญ่ของศิษย์สายตรงฝ่ายใน ดูเหมือนในหมู่พวกคุณ ไม่มีใครจดจำคำสอนของผมจนขึ้นใจเลยสักคนเดียว!”


“ผู้อาวุโสมู่ ผมขออภัย…แต่ผมน่ะถ่อมตัวเป็นนักดาบที่ทรงพลังจริงๆ” หวังเจี้ยนตงทักท้วงอย่างหมดหวัง


“เจ้าพวกหน้าโง่!” ผู้อาวุโสมู่ขัดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว “คู่ต่อสู้เพียงคนเดียวจะทรงพลังสักแค่ไหนกัน? ต่อให้กระบวนท่าของเขาจะไร้เทียมทานสักแค่ไหน ก็ยังเป็นศิลปะเพลงดาบที่มาจากสำนักของเราอยู่ดี หยุดแก้ตัวเรื่องความอ่อนด้อยของพวกคุณเดี๋ยวนี้ มันน่าสมเพช!”


“เอ่อ…ขอรับ!” หวังเจี้ยนตงยังอยากทักท้วงคำพูดของผู้อาวุโสมู่ แต่หลิวลู่จี่ส่งสัญญาณให้เขาหยุดพูดด้วยการดึงแขนเสื้อ จึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับอย่างไม่เต็มใจ


อันที่จริง เขารู้ดีว่าผู้อาวุโสมู่เป็นแค่ชายปากร้ายใจดี บ่อยครั้งที่สิ่งที่เขาพูดออกมาไม่ได้สะท้อนถึงความคิดที่แท้จริงของเขา แต่หวังเจี้ยนตงก็ยังรู้สึกแย่ที่ต้องถูกตำหนิอย่างรุนแรงซึ่งหน้า


หลังจากผู้อาวุโสลู่เทศนาจบ หลิวลู่จี่มองหน้าอีกฝ่ายและตั้งคำถาม “ผู้อาวุโสมู่ แล้วพวกเราควรทำอย่างไร?”


สิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุดในตอนนี้คือแก้ไขปัญหา ไม่อย่างนั้น ผู้ที่จะต้องเดือดร้อนจะไม่ใช่แค่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน แต่เป็นเหล่าผู้อาวุโสด้วย


เหล่าผู้อาวุโสใช้ทรัพยากรของทางสำนักไปมากมาย แต่บรรดาศิษย์สายตรงที่พวกเขาบ่มเพาะกลับลงเอยด้วยการพ่ายแพ้ให้ใครคนหนึ่งอย่างง่ายดายแบบนี้…หากเรื่องราวรั่วไหลออกไป คงไม่เป็นผลดีแน่!


“ในเมื่อพวกเราอยู่ที่นี่แล้ว ก็จะขอไปดูสักหน่อย ผมอยากรู้ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้มาจากไหน ถึงทำตัวอยู่เหนือกฎเกณฑ์แบบนี้” ผู้อาวุโสมู่โบกมือ


ถ้าคุณเก่งกาจจริง ก็ควรจะเข้ารับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหรือแม้แต่ผู้อาวุโสของทางสำนัก คุณจะได้รับชื่อเสียงเงินทองตามที่ปรารถนา…แต่คุณกลับเลือกท้าทายบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน เรื่องนี้ดูไม่สมเหตุสมผลเลย!


ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เขารู้สึกแปลกๆ


เหล่าผู้อาวุโสอยากรู้ว่าตัวป่วนคนนี้เป็นใคร


“หลังจากแน่ใจในตัวตนของเขาแล้ว พวกเราจะไปพบเขาเพื่อปรึกษาหารือ เราจะพยายามเต็มที่ที่จะระงับเรื่องราวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อย่างนั้น พวกคุณจะกลายเป็นกลุ่มศิษย์สายตรงฝ่ายในที่ไร้ค่าที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักเลยทีเดียว!” ผู้อาวุโสมู่คำราม


“ขอรับ!” หลิวลู่จี่กับคนอื่นๆพยักหน้า


“เตรียมตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลให้พวกผมด้วย ควไม่เหมาะสมนักหากพวกผมเข้าสู่หอนิรันดร์ในฐานะผู้อาวุโส” ผู้อาวุโสมู่พูด


หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายในคือสถานที่ที่เปิดให้ศิษย์สายตรงฝ่ายในเข้าไปแสวงหาทรัพยากร และทำการต่อสู้เพื่อเพิ่มพูนความรู้ โดยทั่วไป เหล่าผู้อาวุโสจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปที่นั่น


หากพวกเขาเข้าไปแก้ปัญหาที่หอนิรันดร์ในฐานะผู้อาวุโสก็มีแต่จะทำให้เรื่องราวบานปลาย ผู้คนมากมายจะเริ่มซุบซิบกัน ทำให้การปิดข่าวทำได้ยากขึ้นอีก


“ผู้อาวุโสมู่ กรุณารอสักครู่…” หลิวลู่จี่รีบเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมากกว่า 12 อัน


แม้ไป๋เหรินชิงจะกลับไปแล้ว แต่บรรดาศิษย์สายตรงที่พาเธอมาที่นี่ยังไม่กลับ พวกเขาคือเหล่าพ่อค้าที่อยู่ในตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน จึงมีตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมากมายในมือ และเมื่อเป็นคำขอจากเหล่าผู้อาวุโส ทุกคนจึงไม่กล้าปฏิเสธ


ผู้อาวุโสแต่ละคนรีบเปิดใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล ก่อนจะเพ่งสมาธิเข้าไปในนั้น


ก็เหมือนกับไป๋เหรินชิง ทุกคนปกปิดรูปลักษณ์ที่แท้จริงของตัวเองไว้ โดยปลอมตัวเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในธรรมดาๆคนหนึ่ง


ภายใต้การนำของหลิวลู่จี่ ทั้งกลุ่มรีบกลับเข้าสู่บริเวณสังเวียนประลอง


ในตอนนั้นมีผู้คนอยู่คลาคล่ำ กระแสดาบฉีพุ่งฉิวไปทั่วราวกับถึงวันสิ้นโลก ศีรษะมากมายนับไม่ถ้วนปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ลำแสงที่ฉายวาบจากการแหลกสลายของศพเกิดขึ้นทุกหนแห่ง


ตอนที่หลิวลู่จี่กับพรรคพวกไม่อยู่ มีศิษย์สายตรงถูกสังหารไปแล้วอย่างน้อย 800 คน


หรือพูดอีกอย่างก็คือ ถึงตอนนี้ ผมน่ะถ่อมตัวสังหารศิษย์สายตรงฝ่ายในไปมากกว่า 1000 คน แล้ว ซึ่งเท่ากับ 1 ใน 10 ของจำนวนศิษย์สายตรงฝ่ายในทั้งหมดเลยทีเดียว!


ช่างเก่งกล้าเหลือเกิน!


“ทั้งพลังปราณและพลังชีวิตของเขาดูเหมือนจะไม่พร่องไปสักเท่าไหร่เลย” หลิวลู่จี่ตั้งข้อสังเกตอย่างประหลาดใจขณะมองไปที่ใจกลางฝูงชน ที่ที่ผมน่ะถ่อมตัวยังคงเดินหน้าปฏิบัติการอย่างไม่ลดละ


เขาจะไม่มีวันเชื่อเลยว่านักรบผู้หนึ่งสามารถสังหารผู้ที่มีวรยุทธระดับเดียวกันได้กว่าพันคนโดยไม่แสดงอาการเหน็ดเหนื่อย…แต่สิ่งนี้ก็กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา!


“ผู้อาวุโสมู่ คุณก็เห็นแล้วว่าตอนนี้มีผู้คนมากมาย พวกเราทำอะไรไม่ได้มากหรอก…” หลิวลู่จี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่


ตอนที่ 1981 ถูกหมอนั่นตัดหัวหรือ?

การต่อสู้ไม่อาจหยุดลงได้ง่ายๆ เพราะมันไม่ใช่แค่การสังหารจากผมน่ะถ่อมตัวเพียงฝ่ายเดียว แต่บรรดาศิษย์สายตรงที่ต่อสู้กับเขาต่างก็กำลังโมโหเดือด ต่อให้ผู้อาวุโสมู่เข้าขวางและสั่งให้หยุดการต่อสู้เดี๋ยวนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าคนเหล่านั้นน่าจะไม่ฟังคำสั่งของเขา


“เหตุผลเดียวที่คุณคิดอย่างนั้นก็เพราะคุณน่ะอ่อนแอ ดูให้ดีล่ะ!”


ผู้อาวุโสมู่ออกอาการหงุดหงิดสุดขีด เขาสั่งการ “เหล่าผู้อาวุโส ตามผมมา…ยับยั้งหมอนั่นให้หยุดสังหารผู้คนเสียที!”


“ขอรับ!”


ผู้อาวุโสฝ่ายในที่แข็งแกร่งที่สุด 10 คนพยักหน้ารับก่อนจะเดินหน้า


แม้รูปลักษณ์ของพวกเขาจะดูไม่ต่างจากศิษย์สายตรงฝ่ายในโดยทั่วไป แต่ก็เห็นได้ชัดจากเจตจำนงเพลงดาบที่สำแดงออกมาว่าทุกคนคือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง ฝูงชนพากันเปิดทางให้


ทั้งกลุ่มเดินตรงเข้าหาจางเซวียน ผู้อาวุโสมู่กวัดแกว่งดาบ ปล่อยกระแสดาบฉีให้แผ่ออกไปทั่วทั้งพื้นที่โดยรอบ


“พอทีเถอะ วันนี้คุณทำมากพอแล้ว ถึงเวลาต้องหยุดเสียที!” ผู้อาวุโสมู่ออกคำสั่ง


เห็นผู้รับคำท้ากลุ่มใหม่เดินอาดๆเข้ามาเพื่อยับยั้งการต่อสู้ จางเซวียนส่ายหน้าอย่างหมดความอดทน “พวกอยากดังอีกกลุ่มแล้วหรือนี่? อยากสู้ตัวต่อตัวใช่ไหม? แต่ขอโทษเถอะ ผมไม่มีเวลามากพอจะมาเสียกับพวกคุณจริงๆ!”


“คุณ…”


นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะดูถูกพวกเขาแบบนั้น ผู้อาวุโสมู่โกรธจัด เขาเงื้อดาบในมือขึ้น ตั้งใจจะสั่งสอนบทเรียนให้ชายหนุ่ม แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ


ในชั่วพริบตา ศีรษะของเขาก็กลิ้งหลุนๆไปกับพื้น ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะเลือนหาย ผู้อาวุโสมู่เห็นศีรษะของเหล่าผู้อาวุโสที่มาด้วยกันกับเขากำลังกลิ้งหลุนๆไปกับพื้นเช่นกัน


“ผู้อาวุโสมู่…” หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงยืนตัวแข็ง


ผู้อาวุโสมู่กับพรรคพวกมาแก้ปัญหาให้พวกเขา แต่กลับถูกสังหารทันทีที่เริ่มลงมือจัดการ


คนกลุ่มนี้คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักดาบเมฆเหิน!


พี่ชาย…


คุณสู้กับพวกเขา ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลยหรือ? ไม่รับรู้ถึงเจตจำนงเพลงดาบที่เข้มข้นกว่าปกติบ้างหรือไง? เห็นกันชัดๆไหมว่าพวกนี้ไม่ใช่ศิษย์สายตรงฝ่ายในธรรมดา?


แต่คุณก็ยังสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย…


สิ่งที่ยากเกินกว่าจะรับไหวก็คือผู้อาวุโสมู่กับพรรคพวกพยายามตอบโต้การโจมตีของผมน่ะถ่อมตัวแล้ว แต่ผลที่ออกมาก็ไม่ต่างจากเดิม คือถูกสังหารด้วยการฟาดฟันเพียงครั้งเดียว


การที่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนหนึ่งไม่อาจต้านทานผมน่ะถ่อมตัวได้ยังเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้อยู่ แต่ทั้งกลุ่มคือผู้อาวุโสที่เป็นนักรบอมตะตัวจริง อีกฝ่ายสังหารพวกเขาเป็นสิบคนด้วยการฟันฉับเพียงครั้งเดียว…เหลือเชื่อสิ้นดี!


ผมน่ะถ่อมตัวจะต้องทรงพลังขนาดไหน?


น่าหัวเราะเหลือเกินที่ครั้งหนึ่งตัวเขาเคยคิดว่าจะเอาชนะหมอนั่นได้อย่างง่ายดาย…


หลิวลู่จี่จับจ้องที่ผมน่ะถ่อมตัวขณะฟันกระทบกันไม่หยุด เขาคิดไม่ออกว่าปีศาจชนิดไหนที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูเหมือนกับมนุษย์นั้น


ส่วนผมน่ะถ่อมตัว ทันทีที่เอาชนะผู้อาวุโสทั้งสิบได้ ก็ตรงเข้าเล่นงานศิษย์สายตรงฝ่ายในคนอื่นๆทันที ราวกับการปะทะเมื่อครู่นี้ไม่ส่งผลอะไรต่อเขาเลย หรือไม่…เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนทั้งสิบที่เขาเพิ่งเผชิญหน้าไปเมื่อครู่คือเหล่าผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติของสำนัก!


ราวกับทุกคนเป็นแค่ฝูงมดที่พยายามต่อสู้กับยักษ์ตัวหนึ่ง


“แหม คนเยอะดีจริงๆ…”


เป็นอย่างที่หลิวลู่จี่คาดไว้ จางเซวียนไม่รู้เลยว่าคู่ต่อสู้ทั้งสิบคนที่เขาเพิ่งสังหารไปคือเหล่าผู้อาวุโสของสำนัก


คนพวกนั้นแต่งตัวเหมือนกับศิษย์สายตรงฝ่ายในคนอื่นๆ และเท่าที่ดูจากรูปลักษณ์ ก็น่าจะมีอายุราว 20 ต้นๆ แถมไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมายด้วย


แน่นอนว่าถ้าเป็นครั้งอื่น จางเซวียนย่อมดูออกถึงความแตกต่าง แต่โชคร้ายที่ตอนนี้เขารีบร้อนเกินไป เขารู้ดีว่าพลังปราณของตัวเองมีจำกัด ถ้าไม่รีบปิดจ๊อบการต่อสู้ จะต้องลงเอยด้วยความพ่ายแพ้แน่


ถ้าเขาแพ้ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้เงินสักเหรียญสำนักดาบ ยังต้องสูญเสีย 32 เหรียญสำนักดาบที่มีอยู่กับตัวไปด้วย


นั่นคือทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามี!


ไม่มีทางที่เขาจะยอมหมดตัวแบบนั้น!


ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว


คุณอยากสู้กับผมตัวต่อตัวหรือ?


อย่าทำให้ผมเสียเวลาน่ะ!


อยากคุยกับผมใช่ไหม?


หุบปากไปก่อนเลย!


ถ้าอย่างน้อยที่สุดคุณต้านทานผมไว้ได้สัก 1 กระบวนท่า ผมก็อาจจะรับไว้พิจารณาในการอนุญาตให้คุณสู้กับผมตัวต่อตัว ถ้าไม่อย่างนั้นละก็ อย่ามาพูดเหลวไหลให้เสียเวลา!


ด้วยเหตุนี้ เมื่อผู้อาวุโสมู่กับพรรคพวกพ่ายแพ้ไปในกระบวนท่าเดียว จางเซวียนจึงเข้าใจโดยอัตโนมัติว่าคนเหล่านั้นไม่ได้แตกต่างอะไรกับศิษย์สายตรงฝ่ายในทั่วไป ถ้าจะแตกต่างอยู่บ้าง ก็เพียงแค่ความปากกล้าอวดดีเท่านั้น


“เราใช้พลังปราณไป 3 ส่วนแล้ว…ต้องรีบแล้วล่ะ”


จางเซวียนเงยหน้า และเห็นว่าฝูงชนที่เมื่อเริ่มแรกมีอยู่ราว 800 คน ได้เพิ่มจำนวนจนกลายเป็น คนกลุ่มมหึมาที่มีอยู่ราว 5,000 คน ยิ่งเวลาผ่านไป บรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในก็ยิ่งมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่อาจเสียเวลาได้แม้แต่วินาทีเดียว


ฟึ่บ!


ร่างของจางเซวียนหายวับไปกลายเป็นภาพติดตา ขณะที่เขาเร่งความเร็วของการเคลื่อนไหวขึ้นอีก


“แม้แต่ผู้อาวุโสมู่กับพรรคพวกก็ยังเทียบชั้นกับเขาไม่ได้ ดูเหมือนผมน่ะถ่อมตัวจะไร้เทียมทานกว่าที่พวกเราคิดไว้มาก รีบกลับกันเถอะ ไม่อย่างนั้น ถ้าผู้อาวุโสมู่เกิดปรี๊ดแตกขึ้นมาที่ไม่เห็นหน้าพวกเราล่ะก็…” หลิวลู่จี่พูด


“ได้สิ” หวังเจี้ยนตงพยักหน้ารับ


เห็นชัดแล้วว่าสถานการณ์บานปลายจนอยู่เหนือการควบคุม ต่อให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์


แต่ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะจากไป ประกายคมปลาบก็สว่างวาบขึ้นกลางอากาศ ตัดศีรษะของพวกเขา


ฉับ! ฉับ!


ทั้งคู่รู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคออีกครั้ง ศีรษะกระเด็นกระดอนอยู่กับพื้นหลายรอบกว่าจะหยุดนิ่ง


“บ้าที่สุด!”


“นี่ครั้งที่ 3 แล้วนะ!”


หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงแทบปล่อยโฮออกมา


พวกเขาทำอะไรผิด ถึงถูกตัดหัวถึง 3 รอบภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง?


บ้าสิ้นดี!


ทั้งคู่ไม่เคยเผชิญกับอะไรหนักหนาสาหัสแบบนี้มาก่อนนับตั้งแต่เริ่มต้นฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ แต่หลังจากที่ผมน่ะถ่อมตัวปรากฏตัวได้เพียงไม่นาน ทั้งคู่ก็ตายไปแล้วถึงสามครั้งสามหน


ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียสติ


ขณะที่จิตใต้สำนึกของพวกเขาถูกถอดออกจากหอนิรันดร์และกลับสู่ห้องโถงใหญ่ หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงพบว่าตัวเองฟื้นขึ้นมาในบรรยากาศที่แสนตึงเครียด ผู้อาวุโสมู่กับเหล่าผู้อาวุโสนั่งเงียบอยู่กับที่ ไม่พูดอะไรสักคำ


ห้องนั้นเงียบกริบจนแม้เข็มตกสักเล่มก็คงได้ยิน


เกิดความเงียบงันอันยาวนานและน่าหวาดหวั่นที่ทำให้หลิวลู่จี่ครั่นเนื้อครั่นตัว สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว ต้องเอ่ยปากขึ้นมา “ผู้อาวุโสมู่…”


ในตอนนั้นเองที่เหล่าผู้อาวุโสซึ่งกำลังจังงังพากันได้สติ


“ผมถูกหมอนั่นตัดหัวหรือ?”


“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น…”


“เราพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วขนาดนั้นได้ไง?”


“ผมไม่มีเวลาตอบโต้เลยด้วยซ้ำ…”


“ผมก็ไม่มีเหมือนกัน…”


ผู้อาวุโสทั้งสิบมีสีหน้าตะลึงงันราวกับเพิ่งผ่านความฝันอันเหลือเชื่อ


ในฐานะนักรบอมตะตัวจริง พวกเขาใช้เวลายาวนานหลายปีดำดิ่งเข้าสู่ความล้ำลึกของศิลปะเพลงดาบ แม้อาจยังไม่ใช่นักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนัก แต่ทักษะของพวกเขาก็เหนือชั้นกว่าศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดโดยทั่วไป


ต่อให้ถูกลดระดับวรยุทธลงเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 1 ก็ไม่เคยคิดสักนิดว่าจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายแบบนั้น


แต่เมื่อครู่ก่อน ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรสักคำ ศีรษะก็หลุดจากบ่าแล้ว


เหลวไหล! เหลือเชื่อ! เป็นไปไม่ได้!


ดูเหมือนสามัญสำนึกที่พวกเขายึดถือมาตลอดจะผิดเพี้ยนไปหมด


โดยเฉพาะกับผู้อาวุโสมู่ เขาอับอายเสียจนอยากจะหายตัวไปเดี๋ยวนั้น


เมื่อครู่นี้เองที่เขาเพิ่งประกาศกร้าวว่าที่หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงพ่ายแพ้ให้หมอนั่นก็เพราะทั้งคู่อ่อนแอ เขาพูดเหมือนว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยทันทีที่เขาปรากฏตัว แต่สุดท้ายก็ถูกสังหารตั้งแต่ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ไม่ต่างอะไรกับวายร้ายหน้าโง่คนหนึ่ง


ช่างน่าอับอายเหลือเกิน!


เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้สักครั้งตลอดระยะเวลาหลายปีในฐานะผู้อาวุโส


เกิดความเงียบงันอันยาวนานขึ้นอีกครั้งก่อนที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งจะเปิดประเด็น “แล้วตอนนี้เราควรทำอย่างไร?”


“เอ่อ…” ผู้อาวุโสมู่ครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะหันไปถามหลิวลู่จี่ “หมอนั่นชื่ออะไรนะ?”


“ผมน่ะถ่อมตัว” หลิวลู่จี่ตอบ


“ถ่อมตัว?” ผู้อาวุโสมู่เจ็บหัวใจจี๊ดขึ้นมาทันที เขายกมือกุมหัวใจไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองลมจับไปตอนนั้น


คนที่สร้างความปั่นป่วนอย่างหนักด้วยการท้าทายศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคนและสังหารได้แม้แต่ผู้อาวุโสอย่างไม่ลังเล…


แบบนี้เรียกว่าถ่อมตัวหรือ?


ทำไมคำนี้ถึงขัดหูเหลือเกิน!


ผู้อาวุโสมู่ลุกขึ้นยืนขณะสั่งการอย่างเคร่งเครียด “อย่าบอกใครนะว่าพวกผมมาที่นี่!”


“ฮะ?” หลิวลู่จี่ผงะ


นี่หมายความว่า…แม้แต่ผู้อาวุโสมู่กับเหล่าผู้อาวุโสที่เหลือก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือ?


“ไปกันเถอะ!” ผู้อาวุโสมู่พูดขณะเดินออกไป


เพียงครู่เดียว สิบผู้อาวุโสก็หายลับไปจากบ้านพัก ราวกับไม่เคยเหยียบที่นี่มาก่อน


“ศิษย์พี่หลิว…” หวังเจี้ยนตงหน้าถอดสีด้วยความตกใจ


“ผู้อาวุโสมู่ไม่มีทางเลือก ในฐานะผู้อาวุโส เขาควรจะแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่ลงท้ายก็กลับถูกสังหาร สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาทำได้เพียงอย่างเดียวคือเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย ไม่อย่างนั้น ต่อไปเขาจะสู้หน้าใครๆในสำนักได้อย่างไร” หลิวลู่จี่พูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


ไม่ใช่เพราะเหล่าผู้อาวุโสไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้!


ถ้าใครต่อใครรู้ว่าพวกเขาถูกศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งสังหาร คงถูกหัวเราะเยาะไม่มีที่สิ้นสุด


…..


บนหลังอสูรบินได้ ผู้อาวุโสคนหนึ่งหันไปตั้งคำถามกับผู้อาวุโสมู่ที่ยังเงียบกริบ “พวกเราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนั้นจริงๆหรือ?”


“ไม่อย่างแน่นอน!” ผู้อาวุโสมู่ตอบ “เรากำลังจะมุ่งหน้าไปศาลาเพลงดาบเพื่อตรวจสอบข้อมูลของผมน่ะถ่อมตัว!”


“ศาลาเพลงดาบ? นั่นคือสถานที่ที่ทางสำนักใช้ควบคุมหอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายในใช่ไหม? การจะแกะรอยผมน่ะถ่อมตัวจากที่นั่นย่อมทำได้แน่ แต่ในฐานะผู้อาวุโสฝ่ายใน พวกเราไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวแบบนั้นนี่!” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งแย้ง


ถ้าตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลคือเครื่องมือที่ใช้สำหรับการเข้าสู่เครือข่ายสังคม ศาลาเพลงดาบก็คือสถานที่ที่คอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางตั้งอยู่


เมื่อใช้คอมพิวเตอร์ส่วนกลาง การจะแกะรอยหาตำแหน่งที่แท้จริงของบรรดานักรบที่อยู่ในหอนิรันดร์ก็ย่อมทำได้ แต่ข้อมูลแบบนั้นไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้าถึงได้ง่ายๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)