กระบี่จงมา 197.3-198.1

 บทที่ 197.3 เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้ว

โดย

ProjectZyphon

ม่านรัตติกาลเยื้องกรายมาเยือน เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่พอจะคลายใจได้บ้างเล็กน้อยเดินออกไปนอกหอเรือน ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ข้างกายเด็กชายชุดเขียว


ทั้งสองเงียบงันกันไปนาน แล้วจู่ๆ เด็กชายชุดเขียวก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “นังเด็กโง่ ข้าตัดสินใจแล้วว่า ข้าจะตั้งใจฝึกตนอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่รู้สึกสนใจเท่าใดนัก จึงตอบกลับอย่างไร้เรี่ยวแรง “ทำไมล่ะ? ไหนเจ้าเคยบอกว่าการฝึกตนของพวกเราอาศัยแค่พรสวรรค์อย่างเดียวไม่ใช่หรือ แถมยังบอกด้วยว่าเจ้านอนอยู่เฉยๆ ขอบเขตก็ทะยานสูงพรวดๆๆ”


เด็กชายชุดเขียวไหล่ลู่คอตกอย่างที่ไม่ค่อยจะเป็นบ่อยนัก “ข้าไม่อยากเจอกับคนที่สามารถต่อยข้าตายด้วยหมัดเดียวทุกครั้งที่ลงเขาหรือขึ้นเขา”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่วันนี้นายท่านของนางน่าเวทนามากพอแล้ว จึงไม่อยากจะโจมตีซ้ำเติมคนที่อยู่ข้างกายอีก เพราะอย่างไรซะนี่ก็ยังอยู่ในเดือนแรกของปีใหม่


เด็กชายชุดเขียวเชิดหน้า ชูกำปั้นสูง “ข้าจะพยายามฝึกตนให้เก่ง จะตายได้ก็ต่อเมื่อคนพวกนั้นต้องต่อยข้าสองทีเท่านั้น!”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกพิลึกพิลั่นอย่างบอกไม่ถูก


ปณิธานยาวไกล? เหมือนจะไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ สายตาตื้นเขิน? ก็เหมือนไม่ถูกอีกนั่นแหละ


เด็กชายชุดเขียวพูดให้กำลังใจตัวเอง “ข้าคือวีรบุรุษชายชาตรีที่ให้ความสำคัญกับคุณธรรมในยุทธภพถึงเพียงนี้ ไม่ต้องการให้ทุกครั้งที่พบเจอกับคนพวกนั้นแล้วทำได้แค่หลบอยู่ข้างหลังเฉินผิงอัน มันผิดต่อนาม ‘ยอดชายน้อยผู้ผดุงคุณธรรมแห่งแม่น้ำอวี้เจียง’ ของข้ามากเกินไป ข้าจะต้องมีคุณธรรมอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่สักแต่ปากพูดเท่านั้น!”


คราวนี้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูชูกำปั้นเล็กๆ ขึ้นโบกเบาๆ ด้วยความจริงใจ “สู้ๆ!”


ทันใดนั้นเด็กชายชุดเขียวที่ดูแคลนงูหลามไฟมาโดยตลอดพลันเกิดความซาบซึ้งใจ นังเด็กโง่คนนี้อาจจะโง่ไปหน่อย แต่ก็น่ารักน่าเอ็นดูอยู่มากเหมือนกัน


แล้วเขาก็ทำหน้าแป้นแล้นยิ้มเป็นเหมือนเดิม ถามกลั้วหัวเราะชั่วร้าย “นังเด็กโง่ เรื่องที่พูดกันคราวก่อน เจ้าคิดได้หรือยัง? มาเป็นเมียของข้าเถอะ เวลาว่างๆ ก็มากลิ้งผ้าห่มกันดีไหม? ต่อให้ตอนนี้ข้าจะยังไม่ค่อยชอบเจ้าเท่าไหร่ แต่คนเป็นผัวเมียกัน มีสัญญาหมั้นหมายกัน มีสัญญาแต่งงานต่อกันแล้ว ความรู้สึกนั้นปลูกฝังกันได้ ขอแค่เจ้าชอบข้าก็พอแล้ว คนเราเมื่อมีความจริงใจตั้งใจ ฟ้าดินก็รับรู้ แม้หินแกร่งยังแยกออกได้ สักวันหนึ่งข้าจะเปลี่ยนมาเป็นชอบเจ้าอย่างที่เจ้าชอบข้า พอคิดถึงเรื่องนี้เจ้าก็มีความสุขแล้วใช่ไหมล่ะ?”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูน้ำตาคลอเจียนหยด “เจ้ามันหน้าไม่อาย! ข้าจะไปฟ้องนายท่าน!”


“นายท่านของเราหลับอยู่นะ เขาไม่มีเวลามาสนใจเจ้าหรอก”


เด็กชายชุดเขียวหัวเราะคิกคักมีความสุข “ขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่จากฟ้าหล่นลงมาใส่หัวเจ้า เจ้ายังไม่รู้จักจะรับไว้ ช่างเถอะๆ เจ้านี่มันสมกับเป็นเด็กโง่จริงๆ! ก็มีแต่เฉินผิงอันที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างเท่านั้นที่ถึงจะมองเจ้าเป็นสมบัติล้ำค่า หากเปลี่ยนมาเป็นข้า อย่างมากมอบหินดีงูชั้นดีให้เจ้าก้อนเดียวก็พอแล้ว”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแก้มพอง กล่าวอย่างโมโห “เจ้าต้องเรียกว่านายท่าน!”


เด็กชายชุดเขียวเงียบไปครู่หนึ่ง เขายกสองมือหนุนท้ายทอย มองไปยังทิศไกล เอ่ยเบาๆ “ใช่สิ เฉินผิงอันคือนายท่านของพวกเรา”


……


เฉินผิงอันตื่นขึ้นมากลางดึก เขาเดินได้โดยไม่มีปัญหา แต่สภาพลมปราณในร่างกายกลับอนาถยิ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่ากระดูกซี่โครงที่แตกหักประสานตัวเข้าด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แน่นอนว่ายังไม่ได้หายสนิท แต่ก็มากพอจะเห็นได้ว่าเงินแปดหมื่นตำลึงที่เว่ยป้อจ่ายไปไม่ได้เอามาตำน้ำพริกละลายจริงๆ เพราะในความเป็นจริงแล้ว หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นที่ไปซื้อของจากร้านผ้าห่อบุญ เงินหนึ่งแสนหกหมื่นตำลึงก็ใช่ว่าจะซื้อมาได้ นี่ก็คือราคาสำหรับเทพแห่งขุนเขาเหนือ


เฉินผิงอันเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่เอี่ยม เขาไม่กล้าเดินออกไปนอกเรือนไม้ไผ่แห่งนี้ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจึงไปยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กมาให้อย่างคนที่เข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี เฉินผิงอันจึงนั่งเงียบๆ ใกล้กับธรณีประตู


เขาไม่พูดอะไร เพียงนั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนเดินไปบนนอนหลับบนเตียงเล็กที่ตั้งอยู่ในชั้นหนึ่ง


บ่ายของวันนั้น ผู้เฒ่าลืมตาขึ้นแล้วลุกยืน กล่าวเสียงหนัก “เริ่มฝึกวิชาหมัด วันนี้ฝึกหล่อหลอมแค่จิตวิญญาณเท่านั้น เพื่อให้เจ้าขจัดสิ่งสกปรกทั้งหมดทิ้งไป เก็บไว้แค่แก่นที่สำคัญ”


เฉินผิงอันลืมตาขึ้นหลังจากนั้น เขาถอนหายใจ เดินขึ้นไปบนห้องชั้นสองเงียบๆ


หลังจากนั้นก็ถูกเด็กชายชุดเขียวแบกลงมาจากชั้นสอง พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลางดึกก็กินข้าวไปหนึ่งมื้อ ต่อให้จะไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิด แต่เฉินผิงอันก็ยังฝืนกลืนมันลงไป มองมือที่จับตะเกียบซึ่งสั่นอยู่ตลอดเวลาของนายท่านตัวเอง หลายครั้งที่คีบกับข้าวแล้วกับข้าวหล่นกลับลงไปในจาน เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็ร้องไห้น้ำตาอาบแก้มทันที


เด็กชายชุดเขียวเอาแต่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว


ครั้งนี้เฉินผิงอันพักผ่อนเล็กน้อย เขานั่งอยู่ตรงหน้าประตู ใช้มือทั้งคู่ที่สั่นระริกฝึกท่าเจี้ยนหลู เพียงไม่นานก็ไปนอน


เวลาสามวันเต็มที่ใช้หล่อหลอมจิตวิญญาณ หนึ่งวันขัดเกลาร่างกาย


ทุกครั้งที่ผู้เฒ่าลงมือจะกะน้ำหนักอย่างพอดี เพื่อรับประกันว่าจะทำให้เฉินผิงอันทรมานยิ่งกว่าวันก่อน ดังนั้นจึงไม่มีความเป็นไปได้เลยที่เฉินผิงอันจะรู้สึกคุ้นเคย หรือปรับตัวเข้ากับความเจ็บปวดนั้นได้


เฉินผิงอันยิ่งเงียบงันมากขึ้นทุกวัน เวลาในแต่ละวันที่มีสติแจ่มชัด เขาก็มักจะไม่พูดไม่จา


บางครั้งหากเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถามอะไร หรือไม่ก็อยากทำให้นายท่านของตัวเองอารมณ์ดีสักหน่อย ตอนแรกๆ เฉินผิงอันก็จะยิ้มแล้วส่ายหน้า แต่หลังจากนั้นมากลับขมวดคิ้ว สุดท้ายมีครั้งหนึ่งถึงกับทำหน้าโกรธเคือง แม้จะมองออกว่าเฉินผิงอันพยายามควบคุมมันเต็มที่ แต่เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็ตกอกตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ


ตอนนั้นเฉินผิงอันจะพูดแต่ก็ไม่พูด ริมฝีปากสั่นระริก แต่สุดท้ายก็เดินไปนอนบนเตียงโดยไม่ได้พูดอะไร เขาหลับตาลง ไม่รู้ว่าหลับหรือตื่น ถึงขั้นทำให้คนไม่รู้ด้วยว่าเขาเป็นหรือตาย


เด็กชายชุดเขียวเคยหยั่งเชิงถามเว่ยป้อว่าตอนที่เฉินผิงอันถูกต่อยตี เขาต้องเจ็บปวดมากแค่ไหนกันแน่


เว่ยป้อคิดแล้วก็บอกว่าความเจ็บปวดที่เฉินผิงอันได้รับวันแรก น่าจะประมาณมนุษย์ธรรมดาถูกคนใช้มีดตัดนิ้วทั้งสิบทิ้งกระมัง เป็นการตัดแบบที่เอาทั้งเนื้อและกระดูกออกไปพร้อมกัน อีกทั้งยังต้องทำให้เจ้ารู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ส่วนหลังจากวันนั้นก็ยิ่งรุนแรงเข้าไปอีก


นั่นเป็นแค่วันที่หนึ่งเท่านั้น


หลังจากนั้นมาเด็กชายชุดเขียวก็ไม่เคยถามคำถามทำนองนี้อีก


เขาเริ่มหันมาฝึกตนแทน


กลายเป็นว่าขยันหมั่นเพียรยิ่งกว่าเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูซะอีก


วันนี้เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ท่ามกลางม่านราตรี พิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนเปลี้ย เว่ยป้อเดินช้าๆ มาหา มาหยุดยืนอยู่ข้างกายเขา มองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่กลางฟ้ายามค่ำคืนเป็นเพื่อนเขา


เฉินผิงอันถามเสียงแหบแห้ง “เว่ยป้อ รบกวนช่วยถามแทนข้าหน่อยได้หรือไม่ว่า อาจารย์หร่วนจะหลอมกระบี่สำเร็จเมื่อไหร่?”


คราวนี้เว่ยป้อยิ้มไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจหนึ่งทีแล้วพยักหน้ารับ “ข้าจะไปถามให้ แต่บอกไว้ก่อนว่าการเปิดเตาหลอมกระบี่ครั้งนี้ของหร่วนฉง เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาออกมาจากศาลลมหิมะ ย่อมต้องให้ความสำคัญอย่างมาก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากว่าหร่วนฉงจะไม่เต็มใจแบ่งสมาธิไปสนเรื่องอื่น ซึ่งก็ไม่แน่เสมอไปว่าเขาจะตอบกลับข้า”


เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที


เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องที่จ่ายเงินไปราวน้ำไหลอีกแล้ว ช่วงวันแรกๆ เขายังแอบจดบัญชีไว้ในใจอยู่บ้าง แต่ภายหลังกลับไม่มีอารมณ์นี้เหลืออยู่เลย


ช่วงนี้ทั้งเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็ปล่อยให้เฉินผิงอันอยู่คนเดียว ไม่มารบกวน


ตอนที่เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เขาก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ช่วยบอกพวกเขาแทนข้าทีว่า ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่ว่ามีบางครั้งที่มันอดไม่ไหวจริงๆ”


เว่ยป้อถาม “แล้วทำไมถึงไม่พูดเองล่ะ?”


เฉินผิงอันตะลึง ก่อนจะยิ้มเจื่อน “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ราวกับว่าแค่คิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกเหนื่อยมากแล้ว ข้ากลัวว่าหากพูดประโยคนั้นออกไป พรุ่งนี้ตอนฝึกวิชาหมัดจะยืนหยัดไม่ไหวอีก”


เว่ยป้อพยักหน้ารับ “แม้จะลึกลับซับซ้อนอยู่บ้าง แต่ข้าก็พอจะเข้าใจได้อย่างกล้อมแกล้ม วางใจเถอะ ข้าจะช่วยพูดให้เจ้าเอง และพวกเขาก็ต้องให้อภัยเจ้า”


การฝึกวรยุทธ์ใต้หล้านี้ หากจะฝึกฝนเรือนกายและจิตใจหนึ่งครั้งหรือหลายครั้งโดยเว้นระยะห่างกัน ถือเป็นเรื่องปกติมาก แต่คนที่จำเป็นต้องทนรับความยากลำบากติดต่อกันทุกวันแบบนี้ เกรงว่าคงมีไม่มากจริงๆ


ผู้เฒ่ามายืนอยู่ใต้ชายคาชั้นสองอย่างเงียบเชียบ พอได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสอง ก็เพียงคลี่ยิ้มแล้วหมุนกายกลับไปนั่งในห้อง


การที่เว่ยป้อไม่อาจทำความเข้าใจได้นั้น เป็นเรื่องที่ปกติมาก เพราะเดิมทีการออกหมัดด้วย ‘กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า’ ของผู้เฒ่าก็เป็นการสั่งสมเพิ่มพูนพลังอย่างต่อเนื่องอย่างหนึ่งอยู่แล้ว เป็นการทุบตีหล่อหลอมอย่างลึกล้ำในส่วนที่ลึกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ของหัวใจ


หล่อหลอมเรือนกาย ชำระล้างเส้นชีพจร ตัดเอ็นต่อกระดูกคือก้าวแรก เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับจิตวิญญาณถึงจะเป็นก้าวที่สอง สิ่งที่เป็นการทดสอบยิ่งใหญ่ที่สุดยังคงเป็นการคว้านหัวใจ ผู้เฒ่าเหมือนใช้เหล็กหมาดที่แหลมคมตอกเข้าไปที่หัวใจของเด็กหนุ่มอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่า รสชาตินั้นจะเป็นเช่นไร แค่คิดก็พอจะรู้ได้


อันที่จริงผู้เฒ่าเองก็ตกใจอยู่มาก หนึ่งเพราะจนถึงทุกวันนี้เด็กหนุ่มยังไม่เสียสติ ยังคงกัดฟันอดทน ให้ตายก็ไม่ยอมพูดประโยคที่ว่า “ข้าไม่ฝึกหมัดอีกแล้ว” ออกมา สองคือความลี้ลับของเรือนไม้ไผ่นี้ที่มหัศจรรย์จนไร้คำบรรยาย


เฉินผิงอันล้มตัวนอนบนเตียง ตลบผ้าห่มขึ้นมา ขดตัวอยู่ในผืนผ้า หันหน้าเข้าหาผนัง ยกมือข้างหนึ่งอุดปากของตัวเองเอาไว้เต็มแรง


เสียงสะอื้นดังลอดมาจากร่องนิ้ว


ผ่านไปอีกสิบวัน


สิบวันมานี้ หายนะที่ต้องเผชิญยิ่งชวนสังเวชจนแทบไม่เชื่อว่ามีอยู่บนโลกใบนี้


หนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าบอกให้เฉินผิงอันลอกหนังและดึงเส้นเอ็นของตัวเอง ให้เขาทำด้วยตัวเอง!


มีอยู่คืนหนึ่ง เฉินผิงอันที่ติดผ้าพันแผลทั่วตัวเหมือนบ๊ะจ่างนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ แต่แล้วจู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืน ร่างส่ายโอนเอนเล็กน้อย เขาเดินไปทางหน้าผานอกประตู


ดูเหมือนเขาคิดจะฝึกเดินนิ่งที่ไม่ได้ฝึกมานาน เพียงแต่ฝึกได้แค่รอบเดียวก็ต้องล้มเลิกความคิดไป


เฉินผิงอันหันไปมองทางเมืองเล็กอย่างเหม่อลอย ริมฝีปากสั่นระริก อยากจะร้องไห้ก็ร้องไห้ไม่ออก


เขาพลันถามขึ้นว่า “เว่ยป้อ ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ใกล้ๆ นี้ เจ้าเอาเหล้ามาให้ข้าสักกาได้ไหม?”


เว่ยป้อพยักหน้ารับ “ที่ตัวข้ามีอยู่พอดี”


 กาเหล้าใบหนึ่งที่เปิดจุกเรียบร้อยลอยลงจากที่สูงมายังเบื้องหน้าเฉินผิงอันช้าๆ เฉินผิงอันยื่นมือไปรับไว้แล้วก็หันหน้ามองไปทางเรือนไม้ไผ่ “ดื่มได้หรือไม่?”


เสียงแค่นหัวเราะดังมาจากชั้นสอง “แค่ดื่มเหล้าจะนับเป็นอะไรได้ มีความสามารถจริงวันหน้าก็ลองงัดข้อกับมรรคาจารย์เต๋าหรือศาสดาพุทธดูเถอะ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าห้าวหาญอย่างแท้จริง!”


เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา ดวงจันทร์และดวงดาวทอแสงนวลลออ ทอดสายตามองไกลไปยังภูเขาและแม่น้ำทางทิศใต้ ก่อนที่เขาจะก้มหน้าดมกลิ่นสุรา


เขาเคยแบกซิ่วไฉเฒ่าที่เมามายคนหนึ่งขึ้นหลัง ผู้เฒ่าตบไหล่ของเขาอย่างแรงพลางโหวกเหวกพูดว่า “เป็นเด็กหนุ่มต้องดื่มเหล้านะ!”


เด็กหนุ่มที่ใบหน้าแห้งเหี่ยวมานานพลันยิ้มกว้างสดใส กรอกเหล้ารสร้อนแรงเข้าปากอึกเดียวก็ไอสำลักไม่หยุด เขาชูกาเหล้าขึ้นสูง พยายามตะโกนสุดเสียง “ดื่มเหล้าก็ดื่มเหล้า! ฝึกหมัดก็ฝึกหมัด!”


ครู่หนึ่งต่อมา เด็กหนุ่มที่อดกลั้นมานาน สุดท้ายก็ยังอดสำลักเหล้าร้อนแรงที่ดื่มเข้าไปอึกใหญ่จนน้ำตาไหลไม่ได้ เขาจึงบ่นเบาๆ “เหล้านี่ไม่อร่อยเลยจริงๆ …”


แต่เด็กหนุ่มก็ยังบังคับให้ตัวเองดื่มเข้าไปอีกอึกใหญ่ เขาสำลักพลางพูดเสียงดังไปด้วย “ในตำราบอกไว้ว่า สาวงามส่งมีดจินชว่อ (มีดพกที่หล่อด้วยทอง) ให้แก่ข้า ข้าควรใช้สิ่งใดตอบแทนนาง! เหล้าไม่อร่อย แต่ประโยคนี้งดงามมากจริงๆ!”


แล้วจู่ๆ เด็กหนุ่มก็หน้าแดงก่ำอย่างไร้สาเหตุ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดื่มเหล้า หรือเป็นเพราะขัดเขิน เขาร้องเรียกไปทางทิศไกลเบาๆ หนึ่งที


ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะกำลังถามเด็กสาวบางคนที่เขาแอบชอบว่า ‘นี่ เจ้าน่ะ ได้ยินหรือไม่?’


 —–


บทที่ 198.1 เด็กหนุ่มอยากเดินทางไกล

โดย

ProjectZyphon

อริยะกล่าวว่า สวรรค์จะมอบภารกิจสำคัญให้แก่ใคร จำเป็นต้องทดสอบขัดเกลาจิตใจ ใช้ความหิวโหยและความเหนื่อยยากมาทดสอบร่างกายของคนผู้นั้นก่อน


เว่ยป้อมาเยือนภูเขาลั่วพั่วแทบทุกวันเพื่อนำตัวยาล้ำค่าจากร้านผ้าห่อบุญมามอบให้เฉินผิงอัน


สำหรับสภาพอเนจอนาถที่เฉินผิงอันต้องเผชิญยี่สิบกว่าวันมานี้ แม้เว่ยป้อจะพูดไม่ได้ว่ารู้สึกเห็นอกเห็นใจราวกับตัวเองก็เผชิญในสิ่งเดียวกัน แต่สำหรับความอดทนของเฉินผิงอัน รวมไปถึงความโหดเหี้ยมของผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรกคนนั้นล้วนทำให้เว่ยป้อตกตะลึงและแปลกใจอย่างมาก


นี่ต้องเป็น ‘ภารกิจสำคัญ’ ที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน ถึงจำเป็นต้องเผชิญกับหายนะขนาดนี้? คงไม่ถึงขั้นที่ว่า เมื่อใต้หล้าเกิดกลียุค มีข่าวร้ายส่งมาจากภูเขาห้อยหัวแล้วต้องให้เด็กหนุ่มเฉินผิงอันใช้หนึ่งกระบี่สังหารศัตรูนับล้านหรอกกระมัง?


เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ขนาดตัวเว่ยป้อเองก็ยังรู้สึกว่าเหลวไหลสิ้นดี


ท้องฟ้าสูงแค่ไหน ผืนดินนั้นกว้างขวางเท่าไหร่ ต้องรู้ว่าแจกันสมบัติทวีปยังเป็นแค่ทวีปที่เล็กที่สุดในบรรดาเก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาลเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ทวีปใหญ่ที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดยังมีนาตยทวีปที่เขียวขจีไปด้วยผืนป่า เซียนกระบี่พสุธาที่พลังการต่อสู้สูงล้ำอย่างเฉาซี เมื่ออยู่ในทักษินาตยทวีปก็ยังยากที่จะเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือสูงสุด นักพรตที่อยู่บนยอดสูงสุดของภูเขาอย่างแท้จริงต้องเป็นอย่างพวกบุรพาจารย์สกุลเฉินอิ่นอิงเท่านั้น


ระหว่างนี้ซ่งอวี้จางเทพภูเขาลั่วพั่วเคยมาขอพบเว่ยป้อครั้งหนึ่ง เว่ยป้อพูดคุยกับเขาอย่างเฉยชาแค่ไม่กี่คำ แตกต่างจากความกระตือรือร้นและเกรงอกเกรงใจตอนพบกันครั้งแรกมากนัก สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันดีแก่ใจ ซ่งอวี้จางต้องการเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ ภักดีอย่างโง่เขลา ทุกอย่างล้วนเอาผลประโยชน์ของต้าหลีเป็นที่ตั้ง ครานั้นตอนที่อยู่ในศาลเทพภูเขาบนยอดเขา ต่อให้อยู่ต่อหน้าเว่ยป้อ ซ่งอวี้จางก็ยังพูดเรื่องของเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมา เว่ยป้อเองก็ไม่ใช่รูปปั้นดินพระโพธิสัตว์ที่ไร้โมหะ ทั้งสองจึงจากลากันอย่างไม่สบอารมณ์


วันนี้เว่ยป้อหิ้วห่อผ้าเดินขึ้นยอดเขาอย่างสบายอารมณ์ เมื่อมาถึงเรือนไม้ไผ่ก็พบว่าเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ใกล้ราวระเบียงด้านหน้าห้องฝึกบนชั้นสองเพิ่งจะฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งเสร็จ อีกทั้งยังมีอารมณ์เป็นฝ่ายโบกมือทักทายเขาก่อน เว่ยป้อโยนห่อผ้าที่มีมูลค่าหนึ่งแสนตำลึงเงินให้กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ปรายตามองเด็กชายชุดเขียวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ริมหน้าผาแวบหนึ่ง ก่อนวิ่งเหยาะๆ ขึ้นไปบนชั้นสองจนเกิดเสียงตึงๆๆ ดังเป็นระลอก ไม่มีมาดของทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือที่กำลังจะได้รับพระราชโองการทองคำอะไรเลย กลับเหมือนลูกจ้างในโรงเตี๊ยมเสียมากกว่า


แม้ว่าอีกเดี๋ยวเฉินผิงอันก็จะต้อง ‘มุ่งหน้าสู่ลานประหาร’ แล้ว แต่เขาก็ยังพูดพลางอมยิ้มน้อยๆ ได้ว่า “ลำบากเว่ยเซียนซือแล้ว”


“ไม่ลำบากๆ แค่เดินไม่กี่ก้าวเท่านั้น แถมทุกวันยังได้เดินชมทัศนียภาพ อีกอย่างข้าเองก็เป็นเทพภูเขา เดิมทีก็มีหน้าที่ต้องสำรวจตรวจตราพื้นที่บนภูเขาอยู่แล้ว”


เว่ยป้อใช้ข้อศอกอิงราวระเบียง หันหน้ามามองเด็กหนุ่ม “ดื่มเหล้าไปแค่เกือบครึ่งกาเท่านั้น มันได้ผลดีขนาดนี้เชียวหรือ?”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างขัดเขิน “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไม พอดื่มเข้าไปแล้ว อารมณ์ก็แตกต่างไปจากเดิม”


เว่ยป้อพยักหน้า “เป็นเรื่องดี”


น้ำเสียงขุ่นมัวหนาหนักของผู้เฒ่าดังออกมา “เข้ามาเสวยสุขได้แล้ว!”


เฉินผิงอันยิ้มอย่างจนใจ บอกลาเว่ยป้อ เว่ยป้อได้แต่ยิ้มจืด เสวยสุข? ตาเฒ่านี่ก็ช่างพูดออกมาได้


คำพูดว่าปลดเกราะ (หมายถึงทหารที่ปลดเสื้อเกราะ แสดงว่าไม่ทำศึกอีกแล้ว หรืออาจแฝงความหมายถึงการยอมแพ้) ฟังแล้วน่าสนใจมากใช่ไหมล่ะ? แต่ความจริงล่ะเป็นอย่างไร? ความจริงก็คือต้องให้เฉินผิงอันฉีกผิวหนังชั้นนอก งัดเล็บของตัวเองออก!


ส่วนคำพูดว่าสาวไหม แท้จริงแล้วก็คือบอกให้เฉินผิงอันดึงเส้นเอ็นของตัวเองออกมา!


วิธีการที่โหดร้ายทารุณเช่นนี้ การทดสอบจิตใจคนอย่างแท้จริงอยู่ที่ จงใจให้เฉินผิงอันลงมือด้วยตัวเอง แถมยังต้องเบิกตามอง และทำอย่างรวดเร็วไม่ได้ ต้องค่อยๆ ‘สาวเส้นไหม’ ให้กับตัวเองไปทีละนิด


แต่นอกจากความรู้สึกขนหัวลุกแล้ว เว่ยป้อเองก็ค่อนข้างคาดหวังและรอคอยที่จะได้เห็นพัฒนาการของขอบเขตวรยุทธ์เฉินผิงอัน


ขอบเขตสามที่ปูพื้นฐานด้วยการผ่านความทรมานเช่นนี้ จะต้องหนาและมั่นคงมากเท่าใด วันหน้าเวลาประหัตประหารกับศัตรู พลังการต่อสู้จะต้องแข็งแกร่งมากเท่าใด?


เฉินผิงอันถอดรองเท้าแตะเดินเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่า พอปิดประตูแล้วก็พบว่าผู้เฒ่าที่กำลังนั่งขัดสมาธิเปิดอ่าน ‘ตำราเขย่าขุนเขา’ ขมวดคิ้วมุ่น


วันนี้ขณะที่เฉินผิงอันกำลังฝึกท่าเจี้ยนหลู จู่ๆ ผู้เฒ่าก็เกิดความสงสัยใคร่รู้ บอกว่าอยากจะเห็นตำราหมัดของท่าเจี้ยนหลูและท่ายืนนิ่งนี้สักหน่อย เฉินผิงอันอธิบายโดยใช้คำพูดไม่ต่างจากที่เคยบอกแม่นางหนิงไว้ บอกว่าวิชาหมัดนี้เขาเก็บรักษาแทนคนอื่นชั่วคราว ไม่ใช่ของเขาเฉินผิงอัน วิชาหมัดและภาพที่บันทึกไว้ในตำราไม่สามารถแพร่งพราย ฯลฯ ทำเอาผู้เฒ่าโมโหจนเกือบจะลงมือสั่งสอนเด็กหนุ่มเสียตรงนั้น


“นี่ก็คือตำราหมัดเขย่าขุนเขานั่นหรือ?”


ผู้เฒ่าโยนตำราหมัดให้เด็กหนุ่มแล้วหัวเราะเฮอๆ กล่าวด้วยใบหน้าที่มีแต่ความดูแคลน “บทคำนำของวิชาหมัดกล่าวไว้ว่า ‘บ้านเกิดมีแมลงน้อยที่เรียกว่ามดตะนอย ชั่วชีวิตของมันแปลกแยกไปจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน พวกมันล้วนย้ายหินภูเขาลงน้ำ’ ฮ่าๆ ที่แท้ก็เป็นชาวบู๊ในยุทธภพที่มาจากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป เจ้าลองฟังภาษาที่ไอ้หมอนี่ใช้ดูสิ กลิ่นอายบ้านนอกเต็มเปี่ยม พอจะรู้ได้เลยว่าชีวิตของอาจารย์หมัดมวยที่เขียนตำราหมัดเล่มนี้คงไม่ได้ดิบได้ดีเท่าไหร่กระมัง?”


“ยังดีที่ไอ้หมอนี่รู้จักประมาณตนอยู่บ้าง จึงเขียนประโยคหนึ่งไว้ในตำราหมัดอย่างชัดเจนว่า ‘ไม่เคยกระโดดขึ้นเป็นตำราหมัดชั้นสูงของโลก’ ไม่อย่างนั้นข้าผู้อาวุโสคงต้องด่าว่าเขาหน้าไม่อายไปแล้ว”


“ ‘วิชาหมัดของข้า แบ่งเป็นตายแต่ไม่แบ่งแพ้ชนะ ให้ความสำคัญกับปณิธานแห่งหมัด ไม่เน้นกระบวนท่าหมัด’ จุ๊ๆ ประโยคนี้ช่างพูดได้ใหญ่โตเหมือนคางคกสกปรกที่แค่อ้าปากก็หวังกลืนฟ้ากินดิน เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมวิชาหมัดถึงเขียนบรรยายไว้อย่างนี้? ง่ายมาก เพราะหากแบ่งแพ้ชนะ ย่อมต้องแพ้มากกว่าชนะ ดังนั้นถึงได้พร่ำพูดว่าแค่แบ่งแยกเป็นตาย เพราะอย่างมากก็แค่ตายให้จบๆ กันไปไงล่ะ”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หากตำราหมัดเล่มนี้แย่ขนาดนั้น แล้วทำไมท่านผู้อาวุโสถึงจดจำเนื้อหาในตำราได้แม่นขนาดนี้เล่า?”


ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดัง “วิชาหมัดที่บันทึกไว้ห่วยแตกจริงๆ แต่ไอ้หมอนี่พูดจาไม่กลัวลิ้นขาด ข้าผู้อาวุโสอ่านแล้วก็ขำ จึงมองมันเป็นบันทึกท่องเที่ยวที่เอาไว้อ่านเล่นเพลินๆ เล่มหนึ่ง”


เฉินผิงอันไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่ก็ไม่พอใจนัก


เขาเห็นค่าตำราหมัดเล่มนี้มาก เห็นค่าและทะนุถนอมมันยิ่งกว่าสิ่งใด!


ลึกๆ ในใจของเฉินผิงอันรู้สึกซาบซึ้งใจในตำราเขย่าขุนเขาเล่มนี้ไม่ด้อยไปกว่าปราณกระบี่สามเส้นจากวิญญาณกระบี่เลย


หนึ่งคือยาช่วยชีวิต อีกหนึ่งคือยันต์คุ้มกันชีวิต ไม่มีการแบ่งสูงต่ำ แล้วก็ไม่ควรมี อันที่จริงเฉินผิงอันเห็นประโยชน์เห็นข้อดีของตำราเขย่าขุนเขาไม่น้อย แต่หนิงเหยารู้สึกว่ามันธรรมดามาก แค่ฝึกหมัดไปตามลำดับขั้นตอนก็พอแล้ว และนางก็ไม่คิดว่ามันจะสร้างความสำเร็จให้ได้สักเท่าไหร่ จูเหอที่เคยเห็นการเดินนิ่งยืนนิ่งของเฉินผิงอันกับตาตัวเองก็ไม่รู้สึกว่าน่าทึ่งตรงไหน


แต่เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องพวกนี้


ต่อให้ผ่านไปอีกสิบปี หนึ่งร้อยปี ไม่ว่าถึงเวลานั้นความสำเร็จในการฝึกวรยุทธ์ของเขาจะสูงแค่ไหน สำหรับความชื่นชอบที่เขามีต่อ ‘ตำราเขย่าขุนเขา’ ก็มีแต่จะยิ่งมากขึ้น ไม่มีทางลดน้อยลง!


ผู้เฒ่าถามยิ้มๆ “ก่อนที่จะฝึกหมัดวันนี้ ข้าผู้อาวุโสอยากถามคำถามเล็กๆ จากเจ้าข้อหนึ่ง หากตอบถูก ก็จะมีรางวัลให้ แต่ถ้าตอบผิด หึหึ”


เฉินผิงอันกลืนน้ำลาย รู้สึกหวาดผวาเล็กน้อย


ผู้เฒ่าหุบยิ้ม ถามเสียงหนัก “เจ้ารู้สึกว่าในวิชาหมัดเล่มนี้ หากโยนกระบวนท่าหมัดทิ้งไป เจ้าชอบประโยคไหนมากที่สุด?”


เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ ‘คนรุ่นหลังที่เรียนวิชาหมัดเขย่าขุนเขาของข้า ต่อให้เผชิญหน้ากับบุรพาจารย์ของสามลัทธิ จงจำไว้ว่าวิชาหมัดของเราอ่อนด้อยได้ สามารถแพ้ได้เมื่อต้องช่วงชิงชัยชนะ มีเพียงปณิธานแห่งหมัดเท่านั้นที่ห้ามอ่อนข้อ!’”


ผู้เฒ่าลุกพรวดขึ้นยืน “ฝึกหมัด!”


……


ทางฝ่ายร้านตีเหล็กทางทิศใต้ของเมืองเล็ก มีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังบ่นบิดาของนาง “ทำไมถึงไม่ให้ข้าช่วยหลอมกระบี่เล่มนี้ล่ะ?”


ชายฉกรรจ์ปรายตามองไปยังทิศทางของเตาหลอมกระบี่ใหม่เอี่ยม “รู้หรือไม่ว่าทำไมพ่อถึงรับปากเด็กสาวคนนั้นว่าจะยอมหลอมกระบี่เล่มนี้ให้นาง?”


เด็กสาวพยักหน้า “รู้สิ นางมอบแท่นสังหารมังกรก้อนใหญ่ขนาดนั้นให้พวกเรา มากพอจะซื้อกระบี่ดีๆ เล่มหนึ่งได้แล้ว”


หร่วนฉงส่ายหน้า “ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น พ่อหวังว่ากระบี่เล่มแรกที่ข้าหร่วนฉงหลอมหลังจากก่อตั้งสำนักเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะหลอมให้ใครก็ล้วนสามารถสร้างความตื่นตะลึงให้แก่ผู้คน ให้คนทั้งแจกันสมบัติทวีป หรือแม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปก็ยังรู้ถึงความคมกริบของกระบี่เล่มนี้!”


กล่าวมาถึงตรงนี้ ทั่วร่างของชายฉกรรจ์ตีเหล็กที่แม้แต่สตรีขายสุราในเมืองเล็กก็ยังกล้าพูดจาหยอกเย้าพลันแผ่แสงแปลกประหลาดขุมหนึ่ง เหมือนบุรุษธรรมดาที่คุยโวโอ้อวด เหมือนนักพรตเต๋าที่กล่าวกถามรรค เหมือนหลวงจีนที่เทศนาพระธรรม บุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กำมือเป็นหมัดทุบลงบนเข่าเบาๆ สายตาคมปลาบ ไหนเลยจะยังมีลักษณะหยาบกร้านทึ่มทื่อเหมือนในยามปกติ “ถ้าอย่างนั้นมอบให้ใครถึงเหมาะสมที่สุด? เว่ยจิ้นที่เดิมทีก็มาจากศาลลมหิมะ นับว่าเป็นคนกันเองครึ่งหนึ่ง ตามเหตุตามผลแล้วก็เหมาะสมดี เสียดายก็แต่ก่อนหน้าที่หนิงเหยาจะปรากฏตัว เว่ยจิ้นปิดด่านมาโดยตลอด ในเมื่อหนิงเหยาเป็นฝ่ายขอให้หลอมกระบี่ แถมยังจ่ายด้วยแท่นสังหารมังกร ข้าย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เมื่อผ่านภูเขาห้อยหัวไป ที่นั่นนับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกกระบี่ยิ่งกว่าที่อุตรกุรุทวีป ร้ายกาจยิ่งกว่าและดึงดูดสายตาของผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้าได้มากกว่า”


การดำรงอยู่ของภูเขาห้อยหัวถูกขนานนามให้เป็นตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เดิมทีเป็นเพียงแค่ตราประทับขนาดเล็กชิ้นหนึ่ง แต่พอหล่นลงมาจากฟ้าก็กลายมาเป็นขุนเขาตระหง่านง้ำ เห็นได้ชัดว่าต้องการสร้างความสะอิดสะเอียดให้กับพวกอริยะลัทธิขงจื๊อ ลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าที่ปฐมสำนักตั้งอยู่ในใต้หล้าแห่งอื่นไม่เพียงแต่ตอกตะปูชิ้นนี้ลงในใต้หล้าไพศาล ยังเรียกร้องให้ผู้ฝึกลมปราณของแต่ละทวีปที่ต้องผ่านภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่จำเป็นต้องเซ็น ‘สัญญาแห่งขุนเขา’ ฉบับหนึ่งด้วย


คนทั่วไปไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพราะอย่างไรซะนั่นก็เป็นพื้นที่ที่อยู่ริมขอบที่สุดของใต้หล้าไพศาล อย่างสำนักบนภูเขาขนาดเล็กทั่วไปของแจกันสมบัติทวีปที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กันดาร ชั่วชีวิตก็ไม่เคยได้ยินสองคำนี้ หากเป็นสำนักที่พื้นที่ขยับใกล้เข้ามาอีกนิดก็แค่เคยได้ยินมาก่อน พูดถึงแค่ผ่านๆ เพราะเป็นหัวข้อที่ยากจะพูดคุยกันอย่างลึกซึ้ง หนึ่งเพราะข่าวสารติดขัด นอกจากนี้ก็เพราะมีภูเขาและแม่น้ำกางกั้นนับหมื่นลี้ เป็นเรื่องที่อยู่ห่างไกลไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง และต่อให้เป็นสำนักระดับสูงสุดของแจกันสมบัติทวีปอย่างศาลลมหิมะก็ยังรับรู้ถึงสภาพการณ์ของที่แห่งนั้นอย่างพร่าเลือน เหมือนมองดอกไม้โดยมีหมอกกั้นกลางชั้นหนึ่ง จะอย่างไรซะภูเขาห้อยหัวที่ขวางกั้นไว้ก็มาจากฝีมือของศิษย์รองมรรคาจารย์เต๋าที่มา ‘สร้าง’ สวนหลังบ้านของตัวเองไว้ในใต้หล้าแห่งนี้


การกระทำของเขานั้นโอหังอย่างถึงที่สุด


ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นบ้านของลัทธิขงจื๊อ แต่นักพรตลัทธิเต๋าอย่างข้าอยากจะสร้างสวนดอกไม้เล็กๆ ที่เป็นของตัวเองไว้ในบ้านของเจ้า


มิน่าเล่าตอนที่เหวินเซิ่งยังไม่ได้กลายเป็นอริยะถึงได้วิ่งไปยังจุดตัดของสองใต้หล้า ด่ากราดลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าผู้นั้น จนกลายเป็นหนึ่งในวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อภาคภูมิใจมากที่สุด


ตามคำพูดบางอย่างที่เล่าลือกันมานาน บอกว่าเมื่อเจ้าไปที่ภูเขาห้อยหัวแล้วจะดูอะไรหรือเดินไปที่ไหนก็ตามใจ แต่กับเรื่องบางเรื่องเจ้าห้ามแพร่งพรายออกไปข้างนอกเด็ดขาด หากเจ้าเอาไปเล่า ย่อมต้องมีศิษย์ลูกศิษย์หลานของหนึ่งในเจ้าประมุขลัทธิเต๋าที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลมาคิดบัญชีกับเจ้า อีกทั้งเมื่อเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ สามสถาบันศึกษาเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อมักจะไม่ยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยว อย่างมากสุดก็แค่พูดจาเป็นกลางไกล่เกลี่ยสถานการณ์แค่ไม่กี่คำเท่านั้น


ส่วนข้อที่ว่าทำไมเหล่าอริยะที่มีรูปปั้นองค์เทพอยู่ในศาลเจ้าบุ๋นถึงเลือกจะมองข้ามเรื่องนี้ เกรงว่าคงเกี่ยวพันกับเรื่องวงในที่สำคัญอย่างมาก


พูดได้แค่ว่า ‘สวรรค์’ เท่านั้นที่รู้


หร่วนซิ่วกล่าวอย่างอัดอั้น “ท่านพ่อ ท่านพูดมามากมายขนาดนี้ แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ไม่ให้ข้าช่วยท่านตีเหล็กหลอมกระบี่ด้วย?”


หร่วนฉงพยักหน้า “ระดับของกระบี่เล่มนี้สูงเกินไป คุณภาพดีเกินไป ตอนนี้ขอบเขตของเจ้าสูงพอแล้ว แต่พ่อกลัวว่าหากเจ้าลงมือตีจนเกิดไฟที่แท้จริงเมื่อไหร่ จะสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนมากเกินไป ตอนนี้ในเมืองเล็กมีคนดีคนชั่วปะปนกันมั่วไปหมด เพียงแค่ลมพัดใบไม้ไหวก็จะกลายเป็นเรื่องที่คนครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปรับรู้กันทั่ว”


หร่วนซิ่วยิ่งแปลกใจมากกว่าเดิม “ข้าก็แค่ตีเหล็กเท่านั้น จะยังตีให้เกิดเป็นขนมกุ้ยฮวาได้อย่างนั้นหรือ?”


หร่วนฉงแค่นเสียงเย็น “หากแค่ตีให้เกิดเป็นขนมกุ้ยฮวาชิ้นหนึ่ง พ่อก็วางใจแล้ว”


หร่วนซิ่วร้อง “ห๊ะ” อย่างกระอักกระอ่วน แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก


หนึ่งปีที่ผ่านมานี้นางกินขนมไม่มาก พูดแล้วก็น้ำลายไหล ค่อนข้างจะอัดอั้นตันใจอยู่บ้าง


หร่วนฉงอดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็กลั้นไม่ไหว “พอเจ้าเด็กนั่นได้ยินว่าจะต้องเอากระบี่ไปส่งให้หนิงเหยาก็ตอบรับทันทีทันใด ไม่แม้แต่จะถามว่าระยะห่างระหว่างแจกันสมบัติทวีปกับภูเขาห้อยหัวไกลกันมากแค่ไหนด้วยซ้ำ คางคกคิดอยากกินเนื้อหงส์ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”


หร่วนซิ่วหันหน้ามาพูดเบาๆ “ท่านพ่อ เขาก็แค่ชอบแม่นางคนหนึ่งเท่านั้น ยังต้องสนใจเรื่องความเหมาะสมด้วยหรือ ไม่ได้จะหมั้นหมายแต่งงานกันสักหน่อย ถึงเวลานั้นค่อยสนใจชาติกำเนิดก็ยังพอมีเหตุผลให้เข้าใจได้ แต่ตอนนี้ก็แค่ชอบคนคนหนึ่ง ฟ้าและดินไม่สนใจหรอก”


หร่วนฉงอึ้งงัน “เจ้ารู้ว่าเขาชอบหนิงเหยา?”


หร่วนซิ่วเบิกตากว้าง “ข้าไม่ได้ตาบอดสักหน่อย อีกอย่างท่านพ่อเองก็ไม่ใช่ไม่รู้นี่ว่า ข้ามองเห็นใจคนได้ เพราะฉะนั้นข้ารู้มานานแล้ว”


หร่วนฉงโมโหจนพูดไม่ออก เจ็บใจก็แต่ไม่อาจเดินไปที่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วแล้วต่อยเจ้าเด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงผู้นั้นให้ตายด้วยหมัดเดียว


บุตรสาวบ้านใดบ้างที่รังแกคนในครอบครัวตัวเองเช่นนี้


——————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)