อัจฉริยะสมองเพชร 1972-1975

 ตอนที่ 1972 ผู้ทำลายล้างมิติ

จางเซวียนออกจากหอนิรันดร์ เขาเปิดใช้งานค่ายกลที่อยู่บนตราสัญลักษณ์ แล้วยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐาน 5 เม็ดก็ปรากฏตรงหน้า


เขานำออกมาเม็ดหนึ่ง วางมันไว้บนฝ่ามือและสำรวจอย่างถี่ถ้วน ถ้าเปรียบเทียบกับยาเม็ดอมตะขั้นต้น มันมีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นกว่ามาก คุณภาพของพลังจิตวิญญาณก็สูงกว่า เมื่อเห็นว่าอย่างน้อยที่สุดยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานเหล่านี้ก็มีคุณภาพดี จางเซวียนค่อยใจชื้นขึ้นมา


จางเซวียนสูดหายใจลึก เขากำลังจะกลืนยานั้นลงไปเพื่อผลักดันให้เกิดการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นสูงสุด ก็พอดีกับที่มีแสงสว่างวาบเข้าตา น้ำเต้าตงฉู่กระโจนออกจากจุดตันเถียนของเขาอีกครั้ง มันจ้องยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานในมือของจางเซวียนด้วยนัยน์ตาเป็นมัน


“หอมจัง”


“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”


เห็นน้ำเต้าตงฉู่กระโจนออกมา จางเซวียนรีบยกมือขึ้นและตวาดให้หยุด


เขาเจ็บใจมาหลายหนแล้วกับการถูกน้ำเต้าตงฉู่ขโมยข้าวของไป


ทันทีที่จางเซวียนได้ของดีๆมา น้ำเต้าตงฉู่ก็จะได้กลิ่นทันทีราวกับหมาพันธุ์ดี มันจะพุ่งตัวออกมาและกลืนกินสิ่งนั้นลงไปในชั่วพริบตา ที่ผ่านๆมาเขาพอมองข้ามได้ แต่นี่คือยาเม็ดที่ต้องจ่ายเงินซื้อถึง 200 เหรียญสำนักดาบ!


ถ้าแกกินยาของฉัน แล้วฉันจะยกระดับวรยุทธได้อย่างไร?


“ขอให้ผมเถอะ ผมอยากได้!” น้ำเต้าตงฉู่ร่ำร้องขณะส่ายก้น “ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือว่าน้ำเต้าลูกนี้เป็นแค่ร่างชั่วคราว แท้ที่จริงผมคืออสูรในตำนานซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจทั่วทั้งดินแดน ขอแค่ผมฟื้นคืนพละกำลังดังเดิม ก็จะมอบพละกำลังให้คุณเหนือกว่าที่คุณจะจินตนาการได้เสียอีก จะไม่มีใครกล้าหาเรื่องคุณอีกแล้ว เพราะฉะนั้นมอบยานั่นให้ผมดีกว่าจะเอาไปยกระดับวรยุทธที่ไม่เอาไหนของคุณ”


“ไปให้พ้น!” เส้นเลือดของจางเซวียนปูดโปนเมื่อได้ยินคำนั้น


เขาเตะน้ำเต้าตงฉู่กระเด็นโดยไม่ลังเล จากนั้นก็รีบกินยาที่อยู่ในมือ


แกจะฉกสมบัติของฉันอีกหรือ? ฝันไปเถอะ!


ยาเม็ดนั้นแตกตัวอย่างรวดเร็วในปาก ปล่อยกระแสพลังงานอันทรงพลังออกมา วรยุทธที่หยุดชะงักของจางเซวียนรุดหน้าไปอีกครั้ง


ผู้ทำลายล้างมิติ ขั้นสูง!


ผู้ทำลายล้างมิติ ขั้นสูงสุด!


ผู้ทำลายล้างมิติ ขั้นสมบูรณ์แบบ!


ผู้ทำลายล้างมิติ โลกจารึก!


ต้องใช้ยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานถึง 2 เม็ดกว่าที่วรยุทธของเขาจะเข้าถึงระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 โลกจารึก อีกเพียงก้าวเดียวก็จะได้เป็นนักรบเสมือนอมตะแล้ว


จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานเข้มข้นที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย


รู้ดีว่าพละกำลังของเขาตอนนี้ยังเทียบชั้นไม่ได้กับเหล่าผู้เชี่ยวชาญตัวจริงของสำนักดาบเมฆเหิน แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เป็นรองศิษย์สายตรงฝ่ายในคนไหน


ส่วนยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานที่เหลืออยู่อีก 3 เม็ด จางเซวียนมอบให้ตัวโคลนของเขา 2 เม็ดเพื่อให้มันฝ่าด่านวรยุทธ และเม็ดสุดท้ายมอบให้ไอ้โหด ซึ่งทั้งคู่ก็ยกระดับวรยุทธไปเป็นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกได้สำเร็จ


เพราะถึงอย่างไร ทั้งตัวโคลนและไอ้โหดก็เป็นไม้ตายของเขายามตกอยู่ในอันตราย จึงจำเป็นต้องยกระดับวรยุทธให้ทั้งคู่


“แล้วของผมล่ะ?” น้ำเต้าฟาดหัวฟาดหางร่ำร้องเมื่อเห็นว่าไม่ได้ยาทั้ง 5 เม็ดที่เหลือ


“แกเอาแต่กินกับกิน ทำอะไรได้มากกว่านี้ไหม? เสียใจด้วย ฉันไม่มียาเหลือแล้ว!” จางเซวียนยักไหล่อย่างไม่แยแส


“แต่คุณดื่มน้ำที่อาบตัวผมนะ!”


“ก็แล้วแกทำอะไรได้อีกล่ะ? เคยทำอะไรดีๆบ้างหรือเปล่า? ขนาดฉันตกอยู่ในอันตรายแกก็ยังไม่มาช่วย ฉันจะต้องให้แกกินยาทำไม?”


“แต่คุณดื่มน้ำที่อาบตัวผมนะ!”


“คิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่าแกขโมยพลังปราณเทียบฟ้าของฉันด้วย! แอบอยู่ในจุดตันเถียนและขโมยพลังงานของฉัน ทำตัวไม่ต่างกับเชื้อโรค มันเรื่องอะไรถึงอาจหาญขนาดนี้ ควรจะดีใจแล้วนะที่ฉันไม่อเปหิแกออกไป!”


“แต่คุณดื่มน้ำที่อาบตัวผมนะ!”


จางเซวียนถึงกับพูดไม่ออก “ช่วยหยุดพูดเรื่องน้ำอาบของแกสักทีได้ไหม?”


“น้ำที่อาบตัวผมน่ะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ คุณยังขายมันให้คนอื่นและได้กำไรด้วย!” น้ำเต้าตงฉู่ประท้วงอย่างขัดใจ


จางเซวียนปวดหัวหนึบ “เอาเถอะ สมมุติว่าที่แกบอกมาเป็นเรื่องจริง ไอ้เรื่องที่ว่าแกคืออสูรในตำนานที่มีอำนาจทั่วทั้งดินแดนน่ะ ฉันจะซื้อยาเม็ดที่แกต้องการให้ตอนนี้เลยก็ได้ แต่นับจากนี้ไป แกต้องยอมรับฉันเป็นเจ้านายและทำตามคำสั่งของฉัน ฉันช่วยแกหายาที่มีคุณภาพดีกว่านี้ก็ยังได้นะ แกจะได้ฟื้นคืนพละกำลังโดยเร็วที่สุด!”


“คุณอยากให้ผมรับคุณเป็นเจ้านายหรือ?” น้ำเต้าตงฉู่ย้อนถามขณะส่ายก้น


“ก็ใช่น่ะสิ โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีหรอก แค่ยอมเป็นอสูรของฉัน ฉันก็จะปล่อยให้แกซึมซับพลังปราณของฉันตามสบาย แล้วจะหาเงินให้ได้มากๆเพื่อซื้อยาเม็ดที่แกต้องการด้วย” จางเซวียนพูด


เขาไม่รู้ว่าน้ำเต้าตงฉู่อยู่ในระดับขั้นไหนหรือแม้แต่แท้ที่จริงแล้วมันคืออะไร แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าน้ำที่ได้จากการต้มน้ำเต้าตงฉู่สามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บได้ดีกว่าพลังปราณเทียบฟ้าก็ชี้ชัดแล้วว่ามันต้องไม่ธรรมดา


ต่อให้สิ่งที่มันอวดอ้างว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองคืออสูรในตำนานที่มีอำนาจทั่วทั้งดินแดนเป็นเรื่องคุยโม้ เขาก็คงทำอะไรไม่ได้


ถึงอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือต้องทำให้น้ำเต้าตงฉู่ยอมจำนนให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้น น้ำเต้าตงฉู่อาจกระด้างกระเดื่องทันทีที่มันได้พละกำลังกลับคืนมา


“ผมคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจทั่วทั้งดินแดน แทนที่จะนอบน้อมและดูแลผม คุณกลับอยากให้ผมยอมจำนน? กล้าดีอะไรอย่างนี้…” น้ำเต้าตงฉู่คำราม


แต่ยังไม่ทันที่มันจะพูดจบ จางเซวียนก็สะบัดข้อมือ แล้วยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานเม็ดหนึ่งก็มาอยู่ในฝ่ามือของเขา


“ฮึ่มมม! ผมคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจทั่วทั้งดินแดน คุณคิดว่าผมจะยอมจำนนให้คุณเพียงเพราะยาเม็ดเดียวหรือ?” น้ำเต้าตงฉู่น้ำลายสอ แต่พยายามหักห้ามใจเต็มที่


จางเซวียนสะบัดข้อมืออีกครั้ง แล้วยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานอีกเม็ดหนึ่งก็มาอยู่ในฝ่ามือของเขา


เขาใช้เงินที่เหลืออยู่ 400 เหรียญสำนักดาบซื้อยา 2 เม็ดนี้มา


“เชอะ, 2 เม็ดนะไม่พอหรอก อย่างน้อยที่สุดคุณก็ต้อง…ต้องมีสัก 20 เม็ด! ไม่ใช่สิ อย่างน้อยก็ 100 เม็ดน่ะ!” น้ำเต้าตงฉู่เบือนหน้าหนีอย่างดื้อดึง


“100 เม็ด? ก็ได้ ถ้างั้นแกไปเล่นตรงนู้นเลย ฉันจะพักผ่อน” จางเซวียนยักไหล่อย่างไม่ยี่หระขณะเก็บยาเม็ดเข้าแหวนเก็บสมบัติ


เขารู้ว่าน้ำเต้าตงฉู่มีความสามารถพิเศษเกี่ยวกับมิติ จึงใช้พลังปราณปกปิดยาไว้


ยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานมีราคาถึงเม็ดละ 200 เหรียญสำนักดาบ เพราะฉะนั้น สนนราคาของยา 100 เม็ดก็จะอยู่ที่ 20,000 เหรียญ! ต่อให้เขาเข้าร่วมในสังเวียนประลองจนตายไปข้างก็คงหาเงินไม่ได้ขนาดนั้น


ก็ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว จะวุ่นวายไปทำไม?


“เดี๋ยวก่อน จะล้มเลิกกันดื้อๆแบบนี้หรือ? ผมหมายถึง…ทำไมไม่คุยกันอีกสักหน่อย ผมก็ไม่ใช่อสูรในตำนานที่ไร้หัวใจนะ…”


น้ำเต้าตงฉู่ตกใจที่จางเซวียนตัดบทเอาดื้อๆ มันรีบหันกลับมาและร่ำร้อง น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นหายวับไป แทนที่ด้วยอาการประจบประแจง “ทำไมเราไม่ทำแบบนี้ล่ะ? คุณมอบยาที่เหลืออีก 2 เม็ดให้ผม แล้วผมจะพิจารณาอีกทีว่าควรรับคุณเป็นเจ้านายหรือไม่”


ถึงวรยุทธของชายหนุ่มคนนี้จะไม่สูงส่งนัก แต่พลังปราณในร่างกายของเขาอบอุ่นและสร้างความสบายได้มาก แถมมันยังรู้สึกได้ถึงความเหนือชั้นโดยธรรมชาติที่อยู่ในร่างของเขาด้วย จึงไม่ได้น่าขัดอกขัดใจอะไรถ้าชายผู้นี้จะมาเป็นเจ้านายของมัน


เพียงแต่…อสูรในตำนานชนิดไหนที่จะยอมรับชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นเจ้านายเพียงเพราะอีกฝ่ายสั่งให้ทำ?


ตอนนี้มันอาจเป็นแค่น้ำเต้าลูกหนึ่ง แต่ก็ยังมีศักดิ์ศรีอยู่!


“นี่!”


เมื่อเห็นว่าในที่สุดน้ำเต้าตงฉู่ก็เงียบปาก จางเซวียนโยนยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐาน 2 เม็ดที่เหลือให้


ฟึ่บ!


น้ำเต้าตงฉู่กลืนยาทั้ง 2 เม็ดลงไปพร้อมกัน มันเรอเสียงดังสนั่น จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าพออกพอใจ “ยาเม็ดนี้ไม่เลว แต่ระดับขั้นยังต่ำไปหน่อย ผมอยากได้อะไรที่เด็ดกว่านี้!”


จางเซวียนเลิกคิ้ว


เขาเองก็กินไป 2 เม็ด และวรยุทธของเขาก็เพิ่มจากขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นสูงไปเป็นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึก ส่วนน้ำเต้าที่กินไป 2 เม็ดกลับดูจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุด มันจะทรงพลังขนาดไหน?


หรือว่าต้องใช้ยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐาน 100 เม็ดหรือบางอย่างที่มีอานุภาพรุนแรงกว่านั้นเพื่อให้มันกลับคืนสู่ ‘สภาพเดิม’?


การที่น้ำเต้าไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆหลังจากกินยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานเข้าไปถึง 2 เม็ดก็บอกชัดแล้วว่าระดับขั้นของมันจะต้องสูงกว่าที่เราคิดไว้มาก เราจะต้องรีบจัดการให้มันยอมจำนนเสียก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น จางเซวียนคิด


เขารู้ดีว่าน้ำเต้าตงฉู่ต่างจากบรรดาอสูรที่เขาเคยจัดการให้ยอมจำนนมาก่อนหน้านี้ วิธีการฝึกอสูรด้วยการอัดให้น่วมอันเป็นที่เลื่องลือของเขาคงใช้กับมันไม่ได้


หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนปล่อยให้น้ำเต้าตงฉู่กลับสู่จุดตันเถียนของเขาขณะเพ่งสมาธิเข้าสู่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเพื่อกลับไปที่หอนิรันดร์อีกครั้ง


เพียงไม่ถึง 4 ชั่วโมง เขาก็ใช้เงินหมดแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่ใครๆพูดกันว่านักรบถังแตกย่อมไปไหนไม่ได้ไกล


ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาเหลืออยู่แค่ 32 เหรียญสำนักดาบ ซึ่งไม่พอจะซื้อแม้แต่ยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐาน 1 ใน 5 ส่วนเสียด้วยซ้ำ


เมื่อไหร่เราจะพ้นจากความยากจนข้นแค้นเสียที?


จางเซวียนคิดขณะมุ่งหน้าสู่สังเวียนประลองอีกครั้ง


…..


บนยอดเขาที่สูงที่สุดของภูเขาแห่งหนึ่งซึ่งบรรดาศิษย์สายตรงพำนักอยู่ มีบ้านพักหลังหนึ่งตั้งอยู่ริมหน้าผา


ที่ลานบ้าน ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวที่ชื่อหลิวลู่จี่กำลังนั่งอยู่กับพื้น นัยน์ตาปิดสนิท


พลังจิตวิญญาณเข้มข้นจากโดยรอบค่อยๆรวมตัวกันอยู่รอบตัวเขาและก่อตัวขึ้นเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่ เขาเปิดจุดชีพจรทั้งหมดในร่างกายและซึมซับพลังจิตวิญญาณเข้มข้นนั้นอย่างรวดเร็ว


ครู่ต่อมา เขาก็อ้าปากกว้าง


ฟิ้วววววว!


กระแสดาบฉีพุ่งออกไป ตัดก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก


หากพิจารณาใกล้ๆ กระแสดาบฉีนี้มีพลังงานแบบเดียวกันกับพลังจิตวิญญาณที่เขาเพิ่งซึมซับไปเมื่อครู่


แทนที่จะขัดเกลาพลังจิตวิญญาณให้กลายเป็นพลังปราณ เขากลับแปรสภาพมันให้กลายเป็นกระแสดาบฉีและปลดปล่อยมันออกมา


เมื่อทำสิ่งนั้นแล้ว หลิวลู่จี่ค่อยๆลืมตา


ที่บริเวณทางเข้าลานบ้าน เขาชำเลืองมองชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีน้ำเงินคนหนึ่งซึ่งรอเขาอยู่ตรงนั้นมาได้สักพักแล้ว


ตอนที่ 1973 ผมน่ะถ่อมตัว

ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินเดินเข้ามาและตั้งคำถาม “คุณยังไม่ยอมฝ่าด่านวรยุทธอีกหรือ คิดจะกดข่มวรยุทธไปอีกนานแค่ไหน?”


“ผมอยากขัดเกลาเจตจำนงเพลงดาบของผมก่อน เรื่องการฝ่าด่านวรยุทธน่ะพร้อมทุกเมื่ออยู่แล้ว” หลิวลู่จี่ตอบ


“คุณขัดเกลาเจตจำนงเพลงดาบของคุณมา 3 ปีแล้วนะ” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินตั้งข้อสังเกต


“3 ปีน่ะยังไม่นานพอหรอก ผมได้ยินว่าเทพดาบสิบลี้ในสำนักของเราขัดเกลาเจตจำนงเพลงดาบของเขาอยู่ถึง 10 ปีเต็มก่อนจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะ เพราะการสั่งสมพละกำลังแบบนี้ที่ทำให้เขาสร้างวีรกรรมครั้งใหญ่ได้ ถึงสติปัญญาของผมจะอ่อนด้อยกว่า แต่ผมก็เชื่อว่าความอดทนของผมจะต้องพาผมให้ประสบความสำเร็จได้ระดับหนึ่ง” หลิวลู่จี่ตอบ


“พูดก็พูดเถอะ ออกจะแปลกอยู่นะที่คุณแวะมาเยี่ยมเยียนผม อยากดวลหรือไง?”


“ไม่ ผมสู้คุณไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินตอบพร้อมกับโบกมือ จากนั้นนัยน์ตาของเขาก็เป็นประกายขณะพูดต่อ “จูเหยียนจื่อกับเว่ยสุ่ยเฟิงเพิ่งมาพบผม ทั้งคู่พูดอะไรบางอย่างซึ่งผมรู้สึกว่าน่าสนใจมาก คุณอยากฟังไหม?”


“สองคนนั่นมัวเสียเวลากับเรื่องไร้สาระอยู่เสมอแทนที่จะฝึกฝนวรยุทธ ผมว่าสิ่งที่พวกเขาพูดออกมาไม่มีความหมายอะไรหรอก” หลิวลู่จี่พูด “ผมอยากฝึกฝนวรยุทธต่อ เพราะฉะนั้นคงต้องขอให้คุณกลับไปก่อน”


“เฮ่ เฮ่ อย่ารีบร้อนไล่ผมแบบนั้น อย่างน้อยก็ให้ผมพูดจบก่อนน่ะ ดีไหม?” ราวกับรู้อยู่แล้วว่าหลิวลู่จี่จะมีปฏิกิริยาแบบนี้ ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินโบกมืออย่างสบายใจและยิ้มให้ “สองคนนั้นบอกว่ามีนักดาบผู้ทรงพลังคนหนึ่งเพิ่งปรากฏตัวในหอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายใน ขนาดทั้งคู่ ใช้ศิลปะเพลงดาบเล่นงานหมอนั่นแล้ว ก็ยังบีบให้อีกฝ่ายเปิดเผยไม้ตายของเขาไม่ได้!”


“อ้อ? สองคนนั่นลดตัวขนาดนั้นเลยหรือ?” หลิวลู่จี่ชะงักกับข่าวที่ได้รับ “ถึงจูเหยียนจื่อกับเว่ยสุ่ยเฟิงจะเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระอยู่เสมอ แต่พวกเขาก็เข้ามาอยู่ในสำนักดาบเมฆเหินได้หลายปีแล้ว”


“วรยุทธของสองคนนั้นคือนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึก และอย่างน้อย ศิลปะเพลงดาบของพวกเขาก็จัดว่าเหนือกว่ามาตรฐาน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถบีบคู่ต่อสู้ให้เปิดเผยไม้ตายของตัวเองก่อนจะยอมแพ้ได้หรือ? เรื่องนั้น…ไม่น่าเป็นไปได้!”


“พวกเขานำบันทึกภาพมาด้วย ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณอยากดูไหมล่ะ?” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินถาม


“ก็ได้ ผมจะให้สองคนนั้นเข้ามา” หลิวลู่จี่พยักหน้า


“ได้สิ” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินหันไปที่ประตูแล้วตะโกน “พวกคุณได้ยินไหม เข้ามาได้!”


ไม่ช้า ชายหนุ่มคนหนึ่งกับหญิงสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามา ทั้งคู่คือคู่ต่อสู้ที่จางเซวียนได้พบที่หอนิรันดร์, จูเหยียนจื่อกับแสงสนธยา


แน่นอนว่าแสงสนธยาเป็นแค่สมญานาม ชื่อจริงของเธอคือเว่ยสุ่ยเฟิง


“คารวะศิษย์พี่หลิวและศิษย์พี่หวัง!”


ทันทีที่ทั้งคู่มาถึง ก็รีบโค้งคำนับอย่างงาม


ชาย 2 คนที่คุยกันก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศิษย์สายตรงฝ่ายในหมายเลข 1 หลิวลู่จี่ และศิษย์สายตรงฝ่ายในหมายเลข 3 หวังเจี้ยนตง


“คุณบอกว่ามีนักดาบผู้เก่งกาจคนหนึ่งเพิ่งปรากฏตัวในหอนิรันดร์หรือ?” หลิวลู่จี่มองทั้งคู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“ใช่แล้ว ศิษย์พี่หลิว” จูเหยียนจื่อพยักหน้า เขารีบนำผลึกบันทึกออกมายื่นให้ “นี่คือบันทึกภาพการดวลของพวกเรากับเขา ลองดูสิ!”


หลิวลู่จี่ชำเลืองมองหวังเจี้ยนตงก่อนจะเคาะนิ้วเบาๆลงบนผลึกบันทึกเพื่อถ่ายทอดกระแสพลังปราณเข้าไป


วิ้งงงง!


ผลึกบันทึกเริ่มปลดปล่อยภาพออกมา


หลังจากเฝ้าดูได้ครู่หนึ่ง หลิวลู่จี่ตาโตด้วยความประหลาดใจ “เขามองเห็นข้อบกพร่องในเทคนิคขั้นสุดยอดของคุณและเอาชนะได้ด้วยกระบวนท่าที่เรียบง่ายที่สุดแบบนั้นหรือ?”


ในฐานะนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน ความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของหลิวลู่จี่จัดว่าน่าทึ่ง การดวลระหว่าง ‘ผมน่ะถ่อมตัว’ กับจูเหยียนจื่อใช้เวลาไม่นานนัก แต่หลิวลู่จี่ก็ยังดูออกว่าศิลปะเพลงดาบของอีกฝ่ายไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย!


หมอนั่นมองเห็นจุดอ่อนของเพลงดาบหัวใจโดดเดี่ยวได้ภายในแวบเดียว…นั่นเป็นสิ่งที่แม้ตัวเขาก็ยังทำได้ยาก


แน่นอนว่าเขาไม่อาจปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ว่าอีกฝ่ายอาจมีความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบนั้นอยู่แล้ว เพราะใครก็ตามที่ได้เป็นศิษย์สายตรงและมีเหรียญสำนักดาบมากพอ ก็สามารถเข้าถึงหนังสือและทำสำเนารายละเอียดของมันได้ง่ายๆ


แต่ต่อให้ผมน่ะถ่อมตัวมีความเข้าใจในเพลงดาบหัวใจโดดเดี่ยวเป็นอย่างดี ก็ไม่น่าจะทำแบบเดียวกันได้กับเพลงดาบพายุคลั่งและเพลงดาบที่ใช้การจ้วงแทงดาบถึง 10 ครั้งติดต่อกัน!


ตลอดระยะเวลาหลายพันปีของการสร้างความก้าวหน้า สำนักดาบเมฆเหินรวบรวมศิลปะเพลงดาบที่บรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในสามารถเข้าถึงได้ไว้อย่างน้อยก็หนึ่งแสนชนิด และเพื่อให้โดดเด่นจากคนอื่นๆ ศิษย์สายตรงส่วนใหญ่จึงมักเลือกศิลปะเพลงดาบที่มีลักษณะพิเศษกว่าทั่วไป


ต่อให้ผมน่ะถ่อมตัวบังเอิญศึกษาเพลงดาบหัวใจโดดเดี่ยวและเพลงดาบพายุคลั่งมาก่อน ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้กับศิลปะเพลงดาบที่ใช้การจ้วงแทง 10 ครั้งรวด มันจะประหลาดขนาดไหนถ้าอีกฝ่ายเลือกศึกษาศิลปะเพลงดาบเหมือนจูเหยียนจื่อทั้งหมด


และจะว่าไป ก็ไม่มีเวลามากพอให้ทำอย่างนั้นด้วย!


เพียงเท่านี้ก็พอสันนิษฐานได้แล้วว่าผมน่ะถ่อมตัวไม่ได้เอาชนะได้เพราะมีความคุ้นเคยอยู่ก่อนในศิลปะเพลงดาบเหล่านั้น แต่น่าจะเป็นเพราะความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของเขาเข้าถึงระดับที่สูงมาก ทำให้มองเห็นจุดอ่อนในศิลปะเพลงดาบของคนอื่นๆได้อย่างง่ายดาย


หลังจากนั้นก็เป็นการดวลระหว่างผมน่ะถ่อมตัวกับเว่ยสุ่ยเฟิง การดวลครั้งนี้สั้นกว่าครั้งแรก เพียงเสี้ยววินาที ดาบก็ถูกจ่อเข้าที่ลำคอของเว่ยสุ่ยเฟิงแล้ว


“ประสิทธิภาพการต่อสู้ของหมอนั่นไม่ได้ด้อยไปกว่าผมเลย!” หลิวลู่จี่หรี่ตาขณะตั้งข้อสังเกต เขาโยนผลึกบันทึกคืนให้จูเหยียนจื่อ


“ใช่ ผมก็คิดว่าหมอนี่น่าสนใจมาก หลังจากดูผลึกบันทึกแล้วผมจึงมาพบคุณ” หวังเจี้ยนตงพูด “ว่าอย่างไร? สนใจจะดวลกับเขาไหม?”


“แน่นอน!” หลิวลู่จี่ตอบ สัญชาตญาณการต่อสู้แผดกล้าอยู่ในดวงตาของเขา “ความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของผมมาถึงด่านคอขวดแล้ว ผมอยากสู้กับใครสักคนที่มีพละกำลังระดับเดียวกัน เพื่อกระตุ้นศักยภาพและผลักดันให้เกิดการฝ่าด่านวรยุทธ ผมเชื่อว่าเขานี่แหละคือคู่ต่อสู้ที่เหมาะกับผมที่สุด!”


เหตุผลที่เขากดข่มวรยุทธมาตลอดก็เพื่อขัดเกลาเจตจำนงเพลงดาบและพัฒนาความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบให้มีมากขึ้น


แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีใครในบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในเทียบชั้นกับเขาได้เลย เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาต้องสู้กับศิษย์สายตรงฝ่ายในคนอื่นๆ ก็จะต้องออมมือเล็กน้อยทุกครั้ง ดังนั้นจึงได้แต่ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมปรากฏตรงหน้า


เขาเชื่อมั่นว่านี่คือบุคคลที่คู่ควรกับการที่เขาจะต่อสู้ด้วยพละกำลังเต็มพิกัด!


“ว่าแต่หมอนั่นเป็นใคร? ถ้าเขามีความเข้าใจอย่างล้ำลึกขนาดนี้ในศิลปะเพลงดาบ ก็น่าแปลกที่พวกเราไม่เคยพบเขามาก่อน หรือว่าจะเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดปลอมตัวมา?” หวังเจี้ยนตงตั้งคำถามด้วยความสงสัย


“ไม่น่าเป็นไปได้” หลิวลู่จี่ส่ายหน้า “ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดภาคภูมิใจในตำแหน่งของพวกเขามาก ไม่มีใครยอมลดตัวลงมาเข้าสู่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายในเพื่อลับฝีมือหรอก!”


“แต่…ถ้ามีผู้เก่งกาจขนาดนี้อยู่ในหมู่พวกเราจริงๆ เราก็ควรจะได้พบเขาแล้ว พวกเราอยู่ในสำนักมาก็เนิ่นนาน” หวังเจี้ยนตงยังคงสงสัย


หลิวลู่จี่มีความเห็นแบบเดียวกัน


บรรดาศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดมีสถานภาพเป็นสุดยอดของสำนัก จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะลดตัวลงมาเข้าสู่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายในเพียงเพื่อกลั่นแกล้งศิษย์สายตรงฝ่ายในสัก 2-3 คน เพราะนั่นคือการลดทอนศักดิ์ศรีของตัวเอง


“สำนักดาบเมฆเหินอยู่มาหลายพันปีแล้ว มีศิษย์สายตรงฝ่ายในมากมายที่อุทิศเวลาให้กับการฝึกฝนเจตจำนงเพลงดาบ พวกเขาไม่แยแสชื่อเสียงหรือเงินทอง และไม่ต้องการเป็นจุดสนใจด้วย อาจดูเหมือนว่าผมคือผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ของศิษย์สายตรงฝ่ายใน แต่อันที่จริง ยังมีศิษย์สายตรงฝ่ายในอีกมากมายที่ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าผมเลยหากพวกเขาแสดงพละกำลังที่แท้จริงออกมา” หลิวลู่จี่พูด


ตัวเขามีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ของบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน แต่ก็ไม่ได้หลงระเริงกับชื่อเสียงนั้น


มีศิษย์สายตรงฝ่ายในอีกมากของสำนักดาบเมฆเหินที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเพลงดาบตัวจริง ก็เหมือนกับนักบวชผู้ปลีกวิเวก พวกเขาฝึกปรือวรยุทธอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากเพื่อบ่มเพาะสภาวะจิตและเจตจำนงเพลงดาบของตัวเอง โดยหวังว่าจะได้ความเข้าใจที่สมบูรณ์แบบที่สุดในวิถีของเพลงดาบมา


คนเหล่านั้นไม่ใส่ใจเรื่องการจัดอันดับ หลังจากที่ผ่านการทดสอบของศิษย์สายตรงฝ่ายในแล้ว พวกเขาก็จะทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกฝน ด้วยเหตุนี้ อันดับของพวกเขาจึงไม่สูงนัก


แต่ใครก็ตามที่โง่เง่าพอจะสบประมาทคนเหล่านี้ก็มีแต่จะต้องตกตะลึง


แม้แต่หลิวลู่จี่ก็ยังไม่กล้าประมาทเลินเล่อหากต้องเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้น


“จริงด้วย นักดาบพวกนั้นน่าสะพรึงมาก” หวังเจี้ยนตงพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง


หลิวลู่จี่มองจูเหยียนจื่อกับเว่ยสุ่ยเฟิงและสั่งการ “รายงานผมทันทีที่ผมน่ะถ่อมตัวมาที่หอนิรันดร์อีกครั้ง ผมอยากเห็นศิลปะเพลงดาบของเขา!”


“วางใจเถอะศิษย์พี่หลิว คนของผมตรึงกำลังพร้อมแล้ว ทันทีที่พบหมอนั่น ก็จะรายงานผมทันที” จูเหยียนจื่อตอบยิ้มๆ


ทันใดนั้น เขาก็สะบัดข้อมือแล้วมองลงไปที่ตราหยกสื่อสาร จากนั้นก็ตาโตด้วยความตื่นเต้น “ศิษย์พี่หลิว ผมเพิ่งได้ข่าวว่าผมน่ะถ่อมตัวเข้ามาที่หอนิรันดร์!”


“เจี้ยนตง ไปดูกัน!”


หลิวลู่จี่นำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของเขาออกมาและเข้าสู่หอนิรันดร์อย่างรวดเร็ว คนอื่นๆตามเขาไปติดๆ


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!


ทั้ง 4 มาปรากฏตัวที่หอนิรันดร์ พวกเขารีบบ่ายหน้าไปยังสังเวียนประลอง


“ศิษย์พี่หลิว หมอนั่นคือผมน่ะถ่อมตัว” จูเหยียนจื่อพูดขณะชี้นิ้วไป


หลิวลู่จี่มองตาม เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าสังเวียนประลองด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายสุดขีด หมอนั่นหาวไม่หยุดหย่อน ราวกับการต่อสู้ที่กำลังดำเนินไปบนสังเวียนประลองแสนจะน่าเบื่อสำหรับเขา


ศิษย์สายตรงอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเกิดอาการขัดหูขัดตา จึงตวาดออกมา “จะมัวยืนอยู่ตรงนี้หาอะไรในเมื่อคุณไม่ใส่ใจแม้แต่จะชมการดวล เว้นที่ว่างไว้ให้คนอื่นที่สนใจเรื่องการดวลดีกว่า…”


ครู่ต่อมา ผมน่ะถ่อมตัวก็หันกลับมามองศิษย์สายตรงผู้นั้นและยิ้มให้ “คุณอยากพนันกับผมไหม? ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่นักหรอก สองสามร้อยเหรียญสำนักดาบก็พอ”


“คุณ…” ศิษย์สายตรงผู้นั้นกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว


ช่างอาจหาญนัก!


ตอนที่ 1974 สงสัยจะบ้าไปแล้ว!

หมอนี่อาจหาญเหลือเกิน!


ขนาดเจ้ามือรับพนันก็ยังเปิดกิจการของตัวเองอย่างลับๆล่อๆ เกรงว่าจะถูกเหล่าผู้อาวุโสเล่นงาน แต่หมอนี่กล้าโพล่งออกมาต่อหน้าผู้คนมากมาย


ระเบียบกฎเกณฑ์ของสำนักไม่มีความหมายอะไรกับคุณเลยหรือไง!


“สองสามร้อยเหรียญสำนักดาบ? ทำไมคุณไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ!” ศิษย์สายตรงผู้นั้นตวาดก้องด้วยใบหน้าแดงก่ำ


ผมน่ะถ่อมตัวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะย้อนถาม “เอ่อ ทำแบบนั้นก็ได้หรือ?”


“ได้สิ!” อีกฝ่ายคำรามกลับ “ ก็ดูเอา มีพวกเราอยู่ที่นี่ตั้งมากมาย ถ้าคุณเอาชนะพวกเราได้ทั้งหมดล่ะก็ ทุกเหรียญสำนักดาบที่พวกเรามีจะตกเป็นของคุณ!”


“นี่พูดจริงหรือเปล่า?” ผมน่ะถ่อมตัวตาโตด้วยความตื่นเต้น เขาสนใจความคิดนี้มาก “แล้ว…มันจะไม่ผิดกฎของสำนักหรือ?”


“ถ้าคุณปล้นคนๆเดียว นั่นเป็นการฝ่าฝืนกฎของสำนักอย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณเอาชนะทุกคนได้ล่ะก็ ทางสำนักจะตำหนิความอ่อนด้อยของพวกเราแทน!” ศิษย์สายตรงผู้นั้นคำราม


ถึงเขาจะพูดออกมาด้วยแรงโทสะ แต่คำพูดเหล่านั้นก็มีส่วนจริง


การฉกฉวยลักขโมยในหมู่ศิษย์สายตรงด้วยกันถือเป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของสำนักดาบเมฆเหิน แต่ถ้าใครสักคนสามารถท้าทายคนมากมายและเอาชนะพวกเขาได้…ทางสำนักก็ไม่ว่าอะไรหากผู้นั้นจะกอบโกยไปทุกเหรียญสำนักดาบ!


ฆ่าคนคนหนึ่ง…คุณจะกลายเป็นฆาตกร แต่หากฆ่าคนนับล้าน คุณจะกลายเป็นวีรบุรุษที่อยู่เหนือคนเป็นล้านทันที!


ผู้แข็งแกร่งย่อมถูกอิจฉาริษยา แต่ผู้ที่มีพละกำลังมากเกินกว่าที่ใครๆจะจินตนาการได้จะได้รับความยำเกรง


กฎเกณฑ์เป็นเรื่องสำคัญในสำนักดาบเมฆเหิน แต่ที่สำคัญยิ่งกว่ากฎเกณฑ์ก็คือเหล่าสมาชิก ทางสำนักมีจุดอ่อนอยู่ที่ความเก่งกาจของสมาชิกแต่ละคน


เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในสำนักดาบเมฆเหินมาแล้ว ในอดีต ศิษย์สายตรงคนหนึ่งที่ได้เป็นเทพดาบสิบลี้ได้ท้าทายศิษย์สายตรงฝ่ายในพร้อมกันทีเดียวถึง 30 คน เขาเอาชนะคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายและมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งสำนัก


ศิษย์สายตรงที่พูดเรื่องนี้กับจางเซวียนคิดว่าอีกฝ่ายคงถอยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือหมอนั่นตาโตขึ้นเรื่อยๆด้วยความตื่นเต้น “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆล่ะก็ เยี่ยมที่สุดเลย…”


“เยี่ยมที่สุด?” อีกฝ่ายถึงกับงง


หมอนี่โง่หรือบ้า?


ในหมู่ศิษย์สายตรงมีผู้เชี่ยวชาญแฝงตัวอยู่มากมาย หมอนี่คิดจะท้าทายและเอาชนะพวกเขาให้ได้พร้อมๆกัน…


ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเสียก่อนเถอะ ต่อให้อัจฉริยะชั้นยอดในหมู่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้!


ที่ทำไม่ได้ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่แข็งแกร่ง แต่หอนิรันดร์จำกัดระดับวรยุทธและปริมาณพลังปราณของนักรบแต่ละคนไว้ การรับมือกับคู่ต่อสู้ 1 หรือ 2 คนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือต่อให้ขยับไปเป็น 4-5 คนก็ยังพอทำได้ แต่การต้องสู้กับคนหลายสิบคนพร้อมๆกันนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน


ต่อให้ใครสักคนมีทักษะดีพอจะทำแบบนั้น ก็ไม่มีทางเหลือพลังปราณมากพอจนจบการต่อสู้!


แถมบรรดาศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินก็ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะที่มีศิลปะเพลงดาบสูงส่ง การจะเอาชนะพวกเขาแค่สักคนก็ยากแล้ว นับประสาอะไรกับปราบทีเดียวพร้อมกันหลายๆคน


คุณฝันกลางวันแล้วล่ะ!


ขณะที่ศิษย์สายตรงผู้นั้นกำลังจะบอกจางเซวียนให้กลับสู่ความเป็นจริงและเลิกเพ้อฝัน อีกฝ่ายก็พลันหัวเราะลั่นออกมา เขาหันกลับไปและประกาศก้อง “ผมขอท้าพวกคุณทุกคนเข้าสู่การดวล ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เดิมพันคือทุกเหรียญสำนักดาบที่พวกเรามี มีใครกล้ารับคำท้าไหม?”


“ผมหูฝาดหรือเปล่า? หมอนั่นท้าพวกเราทุกคนหรือ?”


“เดิมพันคือทุกเหรียญสำนักดาบที่พวกเรามี?”


“บ้าไปแล้วล่ะ ใช่ไหม?”


“ไม่ใช่แค่บ้า เขาหวังกอบโกยเงินทั้งหมดของพวกเรา เจ้าบ้าที่กล้าพูดจาอวดดีขนาดนี้เป็นใครกัน?”


“ขนาดศิษย์พี่หลิวยังไม่กล้าเอ่ยปากท้าแบบนี้เลย!”


“หมอนั่นหลงตัวเองเกินไปแล้ว ผมทนไม่ไหว… ผมรับคำท้า ไอ้สารเลว!”


คำท้าที่จางเซวียนประกาศออกไปในหมู่ศิษย์สายตรงกระพือความโกรธแค้นให้เกิดขึ้นทันที


นักรบส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนี้ผ่านการดวลมาอย่างน้อยเป็นสิบครั้ง ได้ชมการดวลมาแล้วก็หลายร้อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยพบใครที่อาจหาญขนาดท้าทายทุกคนพร้อมๆกันแบบนี้ หมอนั่นจะต้องถูกซ้อมให้ยับ จะได้ไม่กล้าพูดจาอวดดีแบบนี้อีก!


“แล้วชื่อนั่น มันคืออะไร…นี่คือสิ่งที่เขาหมายความถึง ‘ความถ่อมตัว’ หรือ?


ในตอนนั้น หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงเพิ่งมาถึง พวกเขาแทบกระอักเลือดออกมา


จะบ้าหรือไง!


ตอนที่พวกเขาได้รู้สมญานามของอีกฝ่าย ก็คาดเดาว่าหมอนั่นคงจะเป็นคนสุภาพอ่อนน้อมที่ไม่ชอบเรียกร้องความสนใจ เพราะแม้แต่พวกเขาก็ยังไม่เคยพบอีกฝ่ายมาก่อน


แต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว หมอนั่นก็เอ่ยปากท้าทายทุกคนเสียแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ยังเห็นได้ชัดด้วยว่าจงใจจะกอบโกยเงินทุกเหรียญที่พวกเขามี


ได้โปรดเถอะ พฤติกรรมของคุณน่ะไม่ได้เข้าข่ายของคำว่า ‘ถ่อมตัว’ เลยสักนิด!


ช่างคุยโวโอ้อวดเสียเหลือเกิน!


หวังเจี้ยนตงอ้าปากค้างอยู่นานกว่าจะปิดปากได้อีกครั้ง เขาหันไปถามหลิวลู่จี่ “พวกเราจะรับคำท้าไหม?”


เขาเองก็จังงังกับความอาจหาญของผมน่ะถ่อมตัว


หวังเจี้ยนตงรู้ดีว่าตัวเขาคือหนึ่งในนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน มีเพียงไม่กี่คนที่เอาชนะเขาได้ในการดวล แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะเอ่ยปากท้าทายผู้คนทีละมากๆแบบนี้


ต่อให้พวกนั้นเข้ามาสู้กับเขาทีละคน ทั้งพลังชีวิต พลังปราณ และสมาธิของเขาก็คงไม่มากพอจะรับไหว


หลิวลู่จี่เหยียดริมฝีปากและหัวเราะหึๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกตื่นเต้น


“ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว คงไม่ดีกระมังหากจะปฏิเสธคำท้าอย่างจริงใจแบบนี้ เจี้ยนตง…ยื่นบัตรของคุณกับบัตรของผมที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าที ถ้าเขาเอาชนะผมได้ ผมก็ไม่เดือดร้อนหากเขาจะนำเหรียญสำนักดาบทั้งหมดของผมไป แต่ถ้าเขาเอาชนะพวกเราไม่ได้…ต่อให้เราไม่ทำอะไร ทางสำนักก็คงไม่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับพฤติกรรมแบบนี้ เขาจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักที่สุด!”


สำนักดาบเมฆเหินมีจุดอ่อนที่ความเก่งกาจปราดเปรื่องของเหล่าสมาชิก แต่นั่นก็ต้องเป็นวีรกรรมบางอย่างที่มีน้ำหนักมากพอ ถ้าผมน่ะถ่อมตัวสามารถทำเรื่องน่าทึ่งแบบนี้ได้ ทางสำนักก็คงไม่ใส่ใจพฤติกรรมของเขา แต่ถ้าเขาพ่ายแพ้ยับเยิน ก็จะถูกลงโทษแบบรุนแรงที่สุดอย่างแน่นอน


ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน นักรบผู้หนึ่งก็จะต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเองและแสดงออกให้เหมาะสม


ไม่อย่างนั้น ถ้าใครต่อใครพากันเลียนแบบพฤติกรรมนี้ ทั้งสำนักคงปั่นป่วนแน่


“ได้สิ” หวังเจี้ยนตงพยักหน้าขณะนำบัตรนิรันดร์ของหลิวลู่จี่เดินไปที่เคาน์เตอร์


มีนักรบอีกมากมายที่ของขึ้นเพราะคำท้าของจางเซวียน พวกเขารีบนำเหรียญสำนักดาบออกมาใส่มือของเจ้าหน้าที่ ด้วยวิธีนี้ ต่อให้พวกเขาถูกสังหาร ก็ยังสามารถชำระหนี้ได้


“หมอนั่นรนหาที่เองนะ…”


เห็นภาพนั้น จูเหยียนจื่อกับเว่ยสุ่ยเฟิงตื่นเต้นเสียจนแทบกระโดดโลดเต้นออกมา


เหตุผลที่พวกเขาพาหลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงมาก็ไม่มีอะไร แค่อยากยืมมือทั้งคู่สั่งสอนบทเรียนให้หมอนั่นก็เท่านั้น รวมทั้งเพื่อบีบบังคับให้อีกฝ่ายเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เพื่อที่พวกเขาจะได้จัดการนำเงินที่เสียไปกลับคืนมา ใครจะไปรู้ว่าหมอนั่นจะกล้าหาญชาญชัยขนาดนี้? เขาคิดจริงๆหรือว่า ลำพังตัวคนเดียวจะเอาชนะศิษย์สายตรงทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ได้?


สงสัยจะบ้าไปแล้ว!


ปฏิเสธไม่ได้ว่าหมอนั่นทรงพลัง แต่ก็อย่างคำกล่าวที่ว่า ‘สองมือยากจะต่อกรกับสี่มือ’…ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่มีมากกว่าพันมือด้วยซ้ำ!


ถ้าหมอนั่นไม่สำแดงเทคนิคขั้นสุดยอดออกมา ก็ไม่มีทางที่เขาจะสู้กับใครๆได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะต้องถูกทางสำนักลงโทษอย่างหนักสำหรับพฤติกรรมอวดดีครั้งนี้


เมื่อคิดขึ้นได้ ทั้งคู่รู้สึกอุ่นใจกว่าเดิม


ตอนแรกพวกเขาโมโหเดือดที่ถูกเชิดเงินไปแบบนั้น แต่เพียงแค่คิดถึงชะตากรรมที่รอคอยเจ้าคนหลงตัวเองนั่นอยู่ ก็บรรเทาความโกรธของพวกเขาไปได้มากโข


“หมอนั่นอาจเก่งกาจไร้เทียมทาน แต่ก็น่าเสียดายที่สมงสมองไปหมดแล้ว!”


“คนคนเดียวจะเอาชนะคนมากมายพร้อมๆกันได้อย่างไร บ้าไปแล้วจริงๆ!”


“ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าผลการต่อสู้จะออกมาเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ชื่อของเขาจะต้องกระฉ่อนไปทั่วทั้งสำนักแน่…”


ศิษย์สายตรงส่วนใหญ่โกรธเกรี้ยวกับคำท้าของจางเซวียน แต่ก็มีส่วนหนึ่งซูฮกความกล้าของเขา


อย่างน้อยที่สุด ตลอดสองสามศตวรรษที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมีใครในสำนักดาบเมฆเหินที่กล้าเอ่ยปากท้าอย่างอาจหาญแบบนี้มาก่อน


“ใครจะเป็นคนแรก?”


จางเซวียนไม่แยแสเสียงออกความคิดเห็นเซ็งแซ่ของฝูงชน เขากระโจนขึ้นสู่สังเวียนประลองก่อนจะมองไปโดยรอบ ราวกับจะท้าทายทุกคนพร้อมๆกัน


ถ้าเขารู้ว่าจะสามารถท้าทายทุกคนและกอบโกยเงินทองของคนพวกนี้ได้ คงทำไปนานแล้ว จะไม่มัวเสียเวลาเป็น 10 นาทีเพื่อใคร่ครวญว่าควรทำอะไร


“ช่างอาจหาญเสียจริง…ทนไม่ไหวแล้ว ผมจะฆ่าเขา!”


เมื่ออดรนทนไม่ไหว ศิษย์สายตรงคนหนึ่งกระโจนขึ้นไปบนสังเวียนประลอง


“ผมคืออู๋เฟิง ในการประลองศิษย์สายตรงฝ่ายในครั้งล่าสุด ผมอยู่อันดับที่ 157 ผมอาจไม่ใช่ศิษย์สายตรงฝ่ายในที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ผมจะไม่ปล่อยให้คนอย่างคุณมาดูถูกผมได้!”


อู๋เฟิงคำรามกร้าวด้วยเจตนาสังหารเต็มเปี่ยม เขาชักดาบและพุ่งเข้าใส่ผมน่ะถ่อมตัว


อีกฝ่ายประกาศศักดาชัดเจนแบบนั้น ก็แปลว่าคงมีพละกำลังไม่น้อย อู๋เฟิงรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าเขาน่าจะรับมือกับหมอนั่นไม่ไหว…แต่แล้วอย่างไรล่ะ? ต่อให้เขาต้องตายที่นี่ เขาก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกเหยียดหยามแบบนี้!


ฟิ้ววววว!


ในชั่วพริบตา เขาก็สำแดงการจ้วงแทงออกไปถึง 18 ครั้งติดต่อกัน แต่ละครั้งรวดเร็วกว่าครั้งก่อนๆ มันคือศิลปะเพลงดาบเส้นทางภูผา 18 โค้ง!


นี่คือเทคนิคการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา เขาเอาชนะคู่ต่อสู้มากมายบนสังเวียนประลองได้ด้วยเทคนิคนี้


การสำแดงเทคนิคของอู๋เฟิงราบรื่นและได้รับการขัดเกลาอย่างดี กระแสดาบฉีที่ถูกปล่อยออกจากปลายดาบของเขาดูราวกับกระแสน้ำเชี่ยว


“สำแดงกระบวนท่าของคุณออกมา!” อู๋เฟิงคำรามก้องขณะใช้กระแสดาบฉีล้อมร่างของเขาไว้


“สำแดงกระบวนท่าของผม?” จางเซวียนส่ายหัวพร้อมกับยิ้มอ่อน “ผมสำแดงแล้ว”


“คุณสำแดงกระบวนท่าของคุณแล้ว?” อู๋เฟิงถึงกับจังงัง


ในตอนนั้นเองที่อู๋เฟิงรู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ เขาพยายามจะก้มลงมอง แต่เลือดสดๆก็พุ่งกระฉูดออกมาราวกับน้ำพุ


พลั่ก!


ศีรษะของเขาร่วงลงมาที่พื้น


“เป็นไปได้อย่างไร?”


นั่นคือคำสุดท้ายที่อู๋เฟิงพึมพำออกมาอย่างอ่อนระโหย ก่อนที่ร่างของเขาจะแหลกสลาย


เขาใช้มาตรการป้องกันตัวอย่างแน่นหนาแล้ว แต่หมอนั่นก็ยังตัดหัวของเขาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว มันเป็นแบบนั้นได้อย่างไร?


ฝูงชนต่างก็งงงัน


พวกเขาคิดว่าผมน่ะถ่อมตัวกล้าดีเกินไปที่ท้าทายออกมาแบบนั้น แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนความอวดดีของอีกฝ่ายจะมีเหตุผล


ขนาดทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่สังเวียนประลอง ก็ยังไม่มีใครเห็นเลยว่าผมน่ะถ่อมตัวตัดหัวของอู๋เฟิงได้อย่างไร!


ตอนที่ 1975 แล้วเราควรทำอย่างไร?

“น่าสนใจจริงๆ!”


“ต่อให้เขาทรงพลัง ก็แล้วอย่างไรล่ะ ถ้าเราเล่นงานเขาทีละคนๆ ไม่ช้าไม่นานพลังปราณของเขาก็ต้องหมด”


“จริงด้วย ไม่เห็นต้องกลัวเขาเลย อย่างมากที่สุดพวกเราก็แค่สูญเสียตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล”


“ค่อยๆเล่นงานเขาไป ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะยังปากดีอยู่ได้เมื่อเจอกับพวกเราจำนวนหนึ่งแล้ว”


ฝูงชนค่อยๆหายตกตะลึงจากการเสียชีวิตของอู๋เฟิง ไม่ช้าก็มีเสียงคำรามก้อง ผู้รับคำท้าคนใหม่กระโจนขึ้นไปบนสังเวียนประลอง


ถ้าพวกเขาต้องเสี่ยงชีวิต หลายคนคงลังเล แต่ในเมื่อการดวลเกิดขึ้นในหอนิรันดร์ อย่างมากที่สุดก็แค่สูญเสียตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเท่านั้น ขอแค่พวกเขาสังหารหมอนั่นได้ ทุกการสูญเสียก็จัดว่าคุ้มค่า


ต่อให้ต้องมีอีกหลายศพที่ถูกสังหาร แต่ทุกคนก็ตั้งใจจะเล่นงานผมน่ะถ่อมตัวให้ได้!


“ผมคือ…”


ศิษย์สายตรงที่เพิ่งกระโจนขึ้นสู่สังเวียนประลองเงื้อดาบขึ้นขณะเริ่มแนะนำตัว แต่ยังพูดไม่จบ ก็รู้สึกคันคะเยอขึ้นมาที่ลำคอ ยังไม่ทันจะรู้ตัว ก็พบว่ากำลังจ้องมองเท้าของตัวเอง


ศีรษะของเขาถูกตัดออกไปแล้วเช่นกัน


“พวกคุณที่เหลือน่ะ จะว่าอย่างไร?” จางเซวียนขมวดคิ้วอย่างขัดใจ “พูดตามตรงนะ พวกคุณขึ้นมาทีละคนน่ะเสียเวลามาก ผมจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนถ้าต้องสังหารพวกคุณทีละคนสองคนแบบนี้? เข้ามาพร้อมๆกันให้หมดเลย!”


ถึงเขาจะดีใจที่มีคนจำนวนมากรับคำท้า แต่ทำแบบนี้ก็ใช้เวลานานเกินไป หากต้องฆ่าทีละคน กว่าจะเสร็จภารกิจก็หมดวัน มันเรื่องอะไรคนพวกนี้ถึงอ้อยอิ่งจนทำให้เขาต้องเสียเวลา?


“แก ไอ้สารเลว รนหาที่เองนะ!”


ฝูงชนที่อยู่ด้านล่างโมโหเดือดจนลืมตัว


เพราะอยากให้การดวลเป็นไปอย่างยุติธรรม พวกเขาจึงตัดสินใจกระโจนขึ้นไปบนสังเวียนทีละคน แต่หมอนี่เรียกร้องต้องการให้ทุกคนเข้าไปเล่นงานเขาพร้อมกันทีเดียว อยากถูกรุมใช่ไหม!


“งั้นก็ไปพร้อมกันเลย!”


ฟึ่บ!


ในชั่วพริบตา ศิษย์สายตรง 5 คนก็กระโจนขึ้นสู่สังเวียนประลอง


ทั้ง 5 ไม่ใช่นักรบที่อ่อนด้อย พวกเขาอยู่ใน 300 อันดับแรกของการประลองศิษย์สายตรงฝ่ายใน


หัวหน้ากลุ่มคำราม “วางใจเถอะ พวกเราจะไม่ใช้ค่ายกลผนึกกำลังเล่นงานคุณหรอก!”


การที่ศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินผู้หยิ่งผยองอย่างพวกเขาจะมะรุมมะตุ้มเล่นงานคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวนั้นเป็นเรื่องไร้ศักดิ์ศรี พวกเขาจะไม่มีวันลดตัวลงไปทำอะไรอย่างการใช้ค่ายกลผนึกกำลังเด็ดขาด


“แล้วแต่เลย” จางเซวียนเงื้อดาบขึ้นแล้วฟาดฟันกลางอากาศ จากนั้นก็หันไปตะโกนใส่ฝูงชน “คนต่อไป!”


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!


ทันทีที่สิ้นเสียง ศีรษะของศิษย์สายตรงฝ่ายในทั้ง 5 ก็กลิ้งหลุนๆไปกับพื้นก่อนที่ร่างของพวกเขาจะแหลกสลาย


จางเซวียนรู้ขีดจำกัดของพลังชีวิตและพลังปราณของเขาเป็นอย่างดี ถ้าเป็นกายเนื้อของเขาที่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าและผ่านการทดสอบสถาปนาเซียนและอื่นๆมาแล้ว เขาคงไม่กังวลเรื่องการต้องสูญเสียพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่เขาได้รับอนุญาตให้ใช้ในหอนิรันดร์ จึงไม่อาจใช้พลังปราณโดยฟุ่มเฟือยแบบนั้นได้


เขาจึงตัดสินใจสังหารคนพวกนี้ให้เสร็จสิ้นภายในกระบวนท่าเดียว ไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ตอบโต้ สิ่งนี้จะช่วยเขาประหยัดพลังปราณและพลังชีวิตได้มาก


“คนต่อไป!”


“ศิลปะเพลงดาบของหมอนั่นไวจริงๆ เราจะต้องไม่มัวเสียเวลาพูดจากับเขา ต้องสำแดงศิลปะเพลงดาบที่แข็งแกร่งของเราออกมาให้เร็วที่สุดทันทีที่ก้าวขึ้นสู่สังเวียนประลอง!”


“จริงด้วย ทุกคนห้ามยั้งมือ ปลดปล่อยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของคุณออกมา ต่อให้สังหารเขาไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็พยายามบั่นทอนพลังชีวิตและพลังปราณของเขาให้ได้มากที่สุด!”


นึกไม่ถึงว่าศิษย์สายตรงทั้ง 5 จะถูกสังหารตั้งแต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ฝูงชนส่งเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่


ทุกคนตัดสินใจจะไม่ให้จางเซวียนมีโอกาสหยุดพัก ศิษย์สายตรงฝ่ายในอีก 5 คนกระโจนขึ้นสู่สังเวียนประลองทันที


ตอนนี้ ไม่มีใครกล้าสบประมาทผมน่ะถ่อมตัวอีกแล้ว


แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเอาชนะทุกคนได้ด้วยพละกำลังของเขาเพียงคนเดียว ถ้าทุกคนผนึกกำลังกันแล้วยังเอาชนะหมอนั่นไม่ได้ ใครๆจะคิดอย่างไร? ศักดิ์ศรีของพวกเขาคงป่นปี้ไม่มีเหลือ คงบากหน้ากลับมาที่นี่ไม่ได้อีก!


ศิษย์สายตรงฝ่ายในทั้ง 5 ที่เพิ่งกระโจนขึ้นสู่สังเวียนปลดปล่อยมหาสมุทรของกระแสดาบฉีออกมาทันที พวกเขาขับเคลื่อนพลังปราณจนเต็มพิกัด จากนั้นก็สำแดงกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่แต่ละคนรู้จัก


สิ่งนี้ทำให้ทั้ง 5 คนไม่อาจผนึกกำลังกันสร้างค่ายกลได้ แต่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ พวกเขายังคงสามารถควบคุมการโจมตีไม่ให้พลาดพลั้งไปทำร้ายพวกเดียวกัน กระแสการโจมตีพุ่งเข้าใส่จางเซวียนทุกทิศทาง จนเขาหมดโอกาสหลบหนี


เห็นคู่ต่อสู้กลุ่มนี้ออกจะเก่งกาจกว่ากลุ่มที่แล้ว จางเซวียนยิ้ม เขาก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง


ควั่บ! ควั่บ!


ไม่มีใครเห็นว่าเขาขยับดาบอย่างไร แต่สองศีรษะก็กลิ้งหลุนๆไปกับพื้น


จางเซวียนถอยกลับมาก้าวหนึ่ง อีกศีรษะหนึ่งร่วงลงกับพื้น


นักรบอีก 2 คนที่เหลือก็ไม่ต่างอะไรกับหมู 2 ตัว ด้วยการกวัดแกว่งดาบอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็หายวับไปจากสังเวียนประลองภายในไม่ถึงอึดใจ


“เฮ้ย…” เห็นภาพนั้น หลิวลู่จี่ตัวสั่นด้วยความตกตะลึง “หมอนั่นดูออกว่าการผนึกกำลังของทั้ง 5 คนไม่สมบูรณ์แบบ จึงปลดปล่อยการโจมตีที่พุ่งเข้าสังหารโดยตรง!”


“นี่ทำให้เขาประหยัดพลังปราณได้มาก ลดการใช้พลังงานลงไปจนถึงระดับต่ำสุด” หวังเจี้ยนตงตาโต


สิ่งที่ผมน่ะถ่อมตัวทำลงไปคือการใช้พละกำลังเพียงเล็กน้อยพุ่งเข้าโจมตีศิษย์สายตรงทั้ง 5 ทีละคน แม้ทั้ง 5 คนพยายามจะผนึกกำลังกัน แต่ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะรักษาเสถียรภาพของทั้งกระบวนท่าและการโจมตีไว้ได้ นั่นคือจุดอ่อนที่ทำให้ผมน่ะถ่อมตัวเล่นงานคนทั้ง 5 ได้อย่างง่ายดาย


แม้จะฟังดูง่าย แต่การปฏิบัติจริงยากกว่านั้นมาก


อันดับแรก ผมน่ะถ่อมตัวจะต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในกระบวนท่าของทั้ง 5 คน เช่นแรงโน้มถ่วงในการโจมตีและกระบวนท่าต่อไปที่พวกเขาจะใช้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะฝ่าวงล้อมเข้าไปได้โดยมั่นใจว่าตัวเขาจะไม่เป็นอันตราย


อันดับที่ 2, การคำนวณของเขาจะต้องแม่นยำมาก ท่ามกลางกระแสการโจมตีอย่างไม่ลดละของทั้ง 5 ผมน่ะถ่อมตัวจะต้องอ่านเกมขาดและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำว่าควรปลดปล่อยกระบวนท่าไหนออกไป


อันดับที่ 3 เขาจะต้องมั่นใจเต็มเปี่ยมในความเก่งกาจของตัวเอง การลังเลเพียงเล็กน้อยจะส่งผลให้เกิดความผิดพลาดใหญ่หลวง และผู้ที่ถูกสังหารย่อมเป็นเขา !


3 ประเด็นนี้ทำให้เขาเอาชนะได้สำเร็จ


หวังเจี้ยนตงมั่นใจว่าเขาเองก็สามารถเอาชนะศิษย์สายตรง 5 คนนั้นได้ แต่ไม่มีทางที่จะทำได้อย่างง่ายดายแบบนี้!


เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลิวลู่จี่ อยากรู้ว่าผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ของศิษย์สายตรงฝ่ายในคนนี้ จะปฏิบัติภารกิจนี้ได้สำเร็จหรือไม่


“ผมทำไม่ได้หรอก…” หลิวลู่จี่ส่ายหน้า “หมอนั่นสังหาร 5 คนนั้นด้วยการใช้กระแสพลังปราณเพียงสายเดียว แต่ผมต้องใช้อย่างน้อยก็ 5 สาย…”


เขาอาจพุ่งเข้าใส่และโจมตีศิษย์สายตรงทั้ง 5 ให้พ่ายแพ้ได้ในชั่วพริบตา แต่หากจะให้ปล่อยการโจมตีที่พุ่งเข้าใส่ทีละคนๆอย่างแม่นยำแล้วทำให้พวกนั้นพ่ายแพ้โดยแทบไม่ต้องทำอะไรเลย…นั่นถือว่าเหนือความสามารถของเขา


เห็นได้ชัดว่าสไตล์การต่อสู้ของใครที่เหนือชั้นกว่า


หลิวลู่จี่อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสริม “การควบคุมที่แม่นยำ การอ่านเกมการต่อสู้ได้ขาด และศิลปะเพลงดาบของเขาที่ไร้เทียมทานล้วนแต่เป็นของจริง ขอแค่ผมได้รู้ว่าเทคนิคขั้นสุดยอดและไม้ตายของเขาคืออะไร ผมก็จะใช้พละกำลังเต็มพิกัดของผมสังหารเขาได้!”


แน่นอนว่ากระบวนท่าของอีกฝ่ายทั้งรวดเร็วและไม่ธรรมดา แต่เขาก็ทำได้เหมือนกัน ในแง่ของ ทักษะเพลงดาบ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะอ่อนด้อยกว่าผมน่ะถ่อมตัว


ขอแค่เขาค้นพบว่ากระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของอีกฝ่ายคืออะไรและหามาตรการป้องกัน ด้วยพละกำลังของเขา การจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป


นักรบคนอื่นๆเริ่มมองเห็นแก่นสารของกระบวนท่าของจางเซวียน พวกเขาอุทานอย่างพรั่นพรึง


“ทุกคน ระวังตัวนะ! อย่าใช้ค่ายกลผนึกกำลังหรือเข้าไปหาเขาพร้อมกันทีละหลายๆคน ไม่อย่างนั้น เขาจะเล่นงานพวกคุณให้ร่วงทีละคนเลยทีเดียว!”


หากพวกเขารวมกลุ่มเข้ารุมหมอนั่น แทนที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องสิ้นเปลืองพลังปราณและอ่อนแรง ก็มีแต่จะกลายเป็นเหยื่อให้เขาสังหาร


“แล้วเราควรทำอย่างไร?”


ถ้าไม่เข้าไปรุม ก็คงตายอย่างน่าสมเพชไปทีละคน”


ในตอนนั้น บริเวณรอบสังเวียนประลองเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าขึ้นสู่สังเวียน


สู้กันตัวต่อตัวก็ไม่ได้ผล เข้าไปรุมก็มีแต่จะต้องตายเหมือนใบไม้ร่วง ดูเหมือนพวกเขากำลังหมดหนทาง ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ผลที่ได้ก็น่าหดหู่พอๆกัน!


เห็นทุกคนไม่เคลื่อนไหว หวังเจี้ยนตงชำเลืองมองหลิวลู่จี่ก่อนจะก้าวยาวๆขึ้นไปบนสังเวียนประลอง “ผมเอง!”


แต่ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นไป ก็แอบส่งโทรจิตหาหลิวลู่จี่ “ผมจะพยายามบีบให้เขาสำแดงกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาให้ได้ ดูให้ดีล่ะ และพยายามทำความเข้าใจมันด้วย! เมื่อถึงตาของคุณ สังหารเขาให้ได้ภายในกระบวนท่าเดียว อย่าเปิดโอกาสให้เขาได้ตอบโต้!”


รู้ดีว่าหวังเจี้ยนตงคิดอะไร หลิวลู่จี่พยักหน้า “ได้!”


ผู้ที่รับคำท้าของผมน่ะถ่อมตัวก่อนหน้านี้ล้วนแต่ไม่แข็งแกร่งนัก ไม่มีสักคนที่อยู่ใน 50 อันดับแรกของการประลองศิษย์สายตรงฝ่ายใน


ส่วนหวังเจี้ยนตงคือผู้รั้งอันดับ 3, ด้วยพละกำลังของเขา เขาน่าจะบีบให้ผมน่ะถ่อมตัวเปิดเผยพละกำลังที่แท้จริงออกมาได้ ซึ่งจะทำให้หลิวลู่จี่ประเมินอีกฝ่ายได้ถี่ถ้วนมากขึ้น


ด้วยวิธีนี้ เมื่อถึงตาของหลิวลู่จี่ เขาก็จะมีโอกาสเอาชนะได้


“ผมคือหวังเจี้ยนตง ขอให้ผมได้เห็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของคุณด้วย” หวังเจี้ยนตงพูด


รังสีแผ่วๆที่ล้อมรอบตัวเขาหายวับไปทันทีที่ก้าวขึ้นสู่สังเวียนประลอง พลังปราณในร่างกายของหวังเจี้ยนตงพลุ่งพล่าน รังสีของเขาทะลุขึ้นสู่สวรรค์ ในชั่วพริบตา ก็ดูราวกับเขากลายร่างเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม


ราวกับจะตอบสนองต่อเจตจำนงเพลงดาบของเขา ดาบของหวังเจี้ยนตงสั่นสะท้านอย่างตื่นเต้น คล้ายเสียงคำรามของมังกรตัวมหึมา


“นั่นคือศิษย์พี่หวังเจี้ยนตง!”


“เขามาแล้ว เยี่ยมจริงๆ!”


“เขารั้งอันดับ 3 ในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในใช่ไหม? ด้วยศิลปะเพลงดาบอันไร้เทียมทานของเขา คงเล่นงานหมอนั่นได้ในชั่วพริบตา”


“ใช่ ต่อให้ผมน่ะถ่อมตัวเกิดเอาชนะได้ขึ้นมา ก็ต้องเสียพลังปราณมากโขทีเดียวในการดวลครั้งนี้”


ได้ยินชื่อนั้น ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้น


หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงไม่ได้ปรากฏตัวในสังเวียนประลองบ่อยครั้งนัก อีกทั้งยังใช้ทั้งรูปลักษณ์และชื่อปลอม ด้วยเหตุนี้ หากไม่เอ่ยชื่อออกมา ก็ไม่มีใครจดจำพวกเขาได้


ได้ยินเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ของฝูงชน จางเซวียนถามหวังเจี้ยนตง “คุณรั้งอันดับ 3 ในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในหรือ?”


“ใช่ เราจะเริ่มกันได้หรือยัง?” หวังเจี้ยนตงถามกลับ


เขาปลดปล่อยกระแสดาบฉีเข้าสู่ดาบในมือ พร้อมจะเล่นงานคู่ต่อสู้ได้ทุกขณะ


“ไม่เลวนี่!” จางเซวียนออกความเห็น


เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง


ตุ้บ!


ศีรษะของหวังเจี้ยนตงกลิ้งหลุนๆไปกับพื้น


เงียบกริบ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)