อัจฉริยะสมองเพชร 1968-1971

ตอนที่ 1968 ผมน่ะถ่อมตัว

มีศิษย์สายตรงหลายตระกูลและหลายระดับในสำนักดาบเมฆเหิน แต่ละคนอยู่ภายใต้การดูแลของผู้อาวุโสคนหนึ่ง


ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีเทาผู้นี้เป็นศิษย์สายตรงภายใต้การดูแลของผู้อาวุโสหานแห่งยอดเขาเมฆขาว ชื่อของเขาคือจูเหยียนจื่อ


รู้ดีถึงความเสี่ยงจากการทำตัวเป็นเจ้ามือรับพนันโดยฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ จูเหยียนจื่อมีมาตรการป้องกันตัวมากมาย ทั้งปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตา น้ำเสียง ถึงกับเปลี่ยนแปลงบุคลิกด้วย ในสถานการณ์ปกติ ไม่ควรจะมีใครดูออกว่าเขาเป็นใคร แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับเรียกชื่อเขาออกมาได้อย่างเต็มปาก จะไม่ให้ตกตะลึงได้อย่างไร?


“ผมไม่ได้แค่รู้ว่าคุณเป็นใครนะ ยังรู้ด้วยว่าคุณมีเงินอยู่กับตัว 973 เหรียญสำนักดาบ ต่อให้คุณต้องจ่ายไป 600 เหรียญ ก็ยังเหลืออีกบานเบอะ มาโกหกผมแบบนั้นน่ะไม่สวยเลย ไม่รู้หรือว่าความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในการทำมาค้าขาย?” จางเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยๆ


จูเหยียนจื่อรู้สึกเหมือนถูกผลักตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง เขาถอยกรูดไปโดยไม่รู้ตัว


มีคนจํานวนหนึ่งที่ทำตัวเป็นเจ้ามือรับพนันแบบหลบๆซ่อนๆในหอนิรันดร์ ดังนั้น หากจะมีใครสักคนสืบเสาะเรื่องนี้ การขุดรากถอนโคนตัวเขาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่เงินส่วนตัวที่เขามีเป็นความลับที่มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ แม้แต่เพื่อนสนิทที่สุดยังไม่รู้เลย! แล้วหมอนี่รู้ได้อย่างไร?


“คุณเป็นใคร? มาล้วงลึกเรื่องราวของผมทำไม?” จูเหยียนจื่อกำหมัดแน่นอย่างระแวง


ถ้าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เขาก็แค่ออกจากหอนิรันดร์ไปและจบทุกอย่างไว้เพียงเท่านี้ หมอนั่นไม่มีทางหาตัวเขาพบอยู่แล้ว แต่เมื่อถูกเปิดโปงตัวตนที่แท้จริง การหลบหนีก็ไร้ประโยชน์


“ผมคือ ‘ผมน่ะถ่อมตัว’ ส่วนที่ผมล้วงลึกเรื่องราวของคุณ…ขอบอกเลยว่าคุณคิดมากไปแล้วล่ะ ขอแค่คุณจ่ายส่วนของผมมา ผมก็ไม่สนสักนิดว่าแท้ที่จริงแล้วคุณเป็นใคร!” จางเซวียนตอบ


“ผมน่ะถ่อมตัว?” ได้ยินชื่อนั้น จูเหยียนจื่อถึงกับมึนหัว


แม้นักรบทั่วไปจะใช้สมญานามได้ตามใจในหอนิรันดร์ แต่ส่วนมากพวกเขาก็จะเลือกวลีที่มีความหมายล้ำลึกหรือสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับชื่อของตัวเอง แต่สมญาของหมอนี่ช่าง…


ถ่อมตัวบ้านคุณน่ะสิ!


เพิ่งมาถึงได้แป๊บเดียว ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที ก็ดูดเงิน 700 เหรียญสำนักดาบไปจากผมแล้ว คุณเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับคำว่า ‘ถ่อมตัว’ หรือเปล่า?


อย่าเอาคำนี้มาบิดเบือนได้ไหม?


จูเหยียนจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาแสนจะไม่เต็มใจ แต่รู้ดีว่าไม่มีทางเลือก จึงเงยหน้ามองขึ้นอีกฝ่ายและพูดว่า “ก็ได้ ผมยอมแพ้ แต่เมื่อผมจ่ายเงินส่วนของคุณแล้ว ผมจะเชื่อใจคุณได้ไหมว่าคุณจะเก็บความลับเรื่องตัวตนของผมได้?”


จูเหยียนจื่อรู้ดีว่าต่อให้เขาสังหารอีกฝ่ายก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น หมอนั่นก็แค่สูญเสียตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไปอันหนึ่ง แต่ยังสามารถเปิดเผยเรื่องราวของเขาได้ทุกเมื่อ


เขากำลังเพลี่ยงพล้ำอย่างหนัก ทั้งหมดที่ทำได้คือพยายามเจรจาสันติภาพและหวังว่าอีกฝ่ายจะปรานี


“แน่นอน” จางเซวียนพยักหน้า


เขาไม่แยแสสักนิดว่าหมอนี่เป็นเจ้ามือรับพนันหรือเป็นอะไร เพราะตัวเขาก็ไม่ใช่เจ้าสำนักหรือผู้อาวุโสสักหน่อย ทั้งหมดที่เขาอยากทำก็คือถ่อมเนื้อถ่อมตัวไว้และหาเงินเท่านั้น


“ผมจะเชื่อใจคุณนะ…” จูเหยียนจื่อหลุดปากอย่างลังเลขณะแตะเบาๆที่บัตรนิรันดร์


พริบตาต่อมา จางเซวียนก็เห็นเงิน 600 เหรียญสำนักดาบเพิ่มขึ้นในบัตรนิรันดร์ของเขา เขาพยักหน้าอย่างพอใจ “ถ้าคุณยังอยากพนันกับผมอยู่ล่ะก็ เรียกหาผมได้ทุกเมื่อนะ หรือหาเพื่อนมาพนันแทนก็ได้ ผมไม่มีปัญหา!”


“อะ-เอ่อ ไม่เป็นไร การพนันน่ะไม่ดีนักหรอก ผมว่าจะเบนเข็มไปหาอย่างอื่นทำ…” จูเหยียนจื่อมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาหันหลังกลับแล้วรีบจากไป


จูเหยียนจื่อไม่อยากอยู่ต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว เขาเกรงว่าหากตัวเองเกิดโมโหเดือดจนลืมตัวขึ้นมา อาจโง่เง่าจนตกปากรับข้อเสนอของหมอนั่นและพนันต่อ เขาไม่อาจเสียเงินที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดได้อีกแล้ว!


สาวน้อยเสื้อคลุมสีเทาคนเมื่อครู่สังเกตเห็นจูเหยียนจื่อจากไป จึงรีบตามไปติดๆ เธอมีสีหน้าอิจฉาขณะตั้งคำถาม “เป็นอย่างไรบ้าง? สูบเงินไอ้งั่งนั่นได้เท่าไหร่?”


“ไอ้งั่ง?” คำนั้นทำให้จูเหยียนจื่อหวนนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคยพูด เขาแทบปล่อยโฮ “ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายเสีย!”


เมื่อ 10 นาทีก่อน เขายังคิดว่าได้พบถุงเงินถุงทองที่สามารถถลุงได้ตามใจ แต่ไม่ทันไร ตัวเขาเองกลับถูกถลุงจนเกลี้ยง


“คุณแพ้หรือ?” สาวน้อยเสื้อคลุมสีเทาถึงกับจังงัง


จูเหยียนจื่ออึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้สาวน้อยเสื้อคลุมสีเทาฟังด้วยความหงุดหงิด เมื่อจบเรื่อง อีกฝ่ายก็แทบลมจับ


“เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าหมอนั่นไม่เพียงแต่คาดเดาผลการต่อสู้ได้อย่างแม่นยำ ยังรู้ภูมิหลังของคุณด้วย?”


“ก็ใช่น่ะสิ ดูเหมือนหมอนั่นมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่ เขาน่าจะมาที่นี่เพื่อทำลายกิจการของเราแน่! ฮึ่มมม! เขาคิดจริงๆหรือว่าจะลอยนวลไปพร้อมกับเงินนี้ได้? สบประมาทพวกเราเกินไปแล้วล่ะ! เหยียนจื่อ, คุณอยากได้เงินคืนไหม?” สาวน้อยเสื้อคลุมสีเทาตั้งคำถามด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


“อยากสิ แต่…ผมจะเอาเงินคืนจากเขาได้อย่างไร?” จูเหยียนจื่อถอนหายใจอย่างจนปัญญา


“ง่ายนิดเดียว! เราก็แค่พนันกับเขาต่อ” สาวน้อยเสื้อคลุมสีเทาตอบยิ้มๆ


“พนันต่อ?” จูเหยียนจื่อถึงกับพูดไม่ออก “แต่เขาคาดเดาผลการต่อสู้ได้ถูกต้องแม้กระทั่งการแทงเสมอนะ คุณคิดว่าเราจะเอาชนะคนแบบนั้นได้หรือ?”


“สมงสมองไปหมดแล้วหรือไง? เหตุผลที่เขารู้สถานการณ์ของสังเวียนประลองเป็นอย่างดีจะต้องเป็นเพราะเขามีข้อมูลวงใน…มีความเป็นไปได้ว่าเขาร่วมมือกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพื่อเล่นตุกติกกับคุณ!” สาวน้อยเสื้อคลุมสีเทาตอบ


“เอ่อ…” จูเหยียนจื่อครุ่นคิดหนัก


ก็จริง คนที่จะชนะพนันซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ก็ต้องใช้การคดโกงเท่านั้น


เขามัวหมกมุ่นอยู่กับการต้องสูญเสียเงินก้อนใหญ่จนลืมนึกถึงความจริงข้อนี้ แต่เมื่อสาวน้อยชี้ให้เห็น ก็น่าสงสัยจริงว่าหมอนั่นคาดเดาผลการต่อสู้ได้ถูกต้องแม้แต่การแทงเสมอได้อย่างไร


จูเหยียนจื่อพลันรู้ตัวทันทีว่าตัวเองถูกโกง!


หมอนั่นจะต้องมีนอกมีในกับคู่ต่อสู้บนสังเวียนประลองเพื่อเล่นตุกติกกับเขา ไม่อย่างนั้น เรื่องบังเอิญแบบนี้คงไม่มีทางเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า!


“แล้วคุณคิดว่าเราควรทำอย่างไรล่ะ?”


ความคิดนี้ขจัดความกลัวในหัวใจของจูเหยียนจื่อให้หมดสิ้นไป โทสะเข้ามาแทนที่


เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีใครพยายามคดโกงเขาแบบนี้ ดูเหมือนเขาทำตัวสงบเสงี่ยมมานานเกินไปเสียแล้ว!


“เขาอาจควบคุมผลการดวลบนสังเวียนประลองได้ แต่ควบคุมคุณกับฉันไม่ได้นี่ เราท้าทายเขาเข้าสู่การดวล แล้วตั้งเงื่อนไขให้เขาคืนเงินมาทั้งหมดรวมทั้งปิดปากเงียบ เท่านั้นก็สิ้นเรื่อง! คุณอาจเสียเงินไปเยอะ แต่ขอแค่เอาชนะครั้งนี้ได้ครั้งเดียว ก็จะได้ทุกอย่างกลับคืนมา” สาวน้อยเสื้อคลุมสีเทาตอบ


“แล้วเขาจะยอมหรือ? อีกอย่าง ผมก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาทรงพลังแค่ไหน เราจะเอาชนะเขาได้จริงๆหรือเปล่า?” จูเหยียนจื่อค่อนข้างลังเล


แน่นอนว่าหากเขาเอาชนะได้ก็ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าแพ้อีกล่ะก็…เขาจะไม่เหลืออะไรเลย!


“วางใจเถอะน่ะ เขาต้องรับคำท้าแน่ ฉันไม่รู้ตัวตนของเขา แต่ในเมื่อเขากล้ารวมหัวกับพวกที่ขึ้นดวลก่อนหน้านี้ ฉันก็มีวิธีการของฉันเองที่จะเปิดโปงเขาให้ได้! เราสามารถใช้ตัวตนที่แท้จริงของเขาเพื่อข่มขู่ให้เขาตอบรับคำท้าดวล ส่วนเราจะเอาชนะเขาได้หรือไม่นั้นยังไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่ หากเอาชนะได้ก็ย่อมดีที่สุด แต่ต่อให้ถอยไปก้าวหนึ่ง ถึงเราแพ้ ทุกอย่างก็ยังเข้าข้างเราอยู่ดี”


“ศิลปะเพลงดาบของพวกเราอาจไม่ได้เยี่ยมยอดที่สุดในบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน แต่ก็ไม่เลวนัก หากเราทุ่มสุดตัวตั้งแต่เริ่ม ก็น่าจะบีบให้หมอนั่นใช้เทคนิคขั้นสูงสุดของตัวเขาได้ ต่อให้เราเอาชนะเขาไม่ได้ก็เถอะ ขอแค่เขาเปิดเผยไม้ตายออกมา การจะหาตัวว่าเขาคือใครก็ย่อมง่าย ไม่ใช่หรือ? จากนั้น เราก็มีอีกร้อยแปดวิธีที่จะทำให้เขาคายเงินของคุณออกมา!”


“เอ่อ…” จูเหยียนจื่อตาโตด้วยความตื่นเต้น


จริงด้วย!


ขอแค่ทำให้อีกฝ่ายยอมดวลกับพวกเขา ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ที่ทั้งคู่มี ไม่มีศิษย์สายตรงฝ่ายในคนไหนจะเอาชนะพวกเขาได้ ทันทีที่อีกฝ่ายเปิดเผยไม้ตาย การจะหาตัวว่าหมอนั่นเป็นใครก็ไม่ใช่เรื่องยาก


พวกเขาเล่นการพนันก็จริง แต่หมอนั่นก็มีส่วนร่วมด้วย แถมยังพยายามโกงผลการประลอง ซึ่งเป็น อาชญากรรมร้ายแรงกว่า ในกรณีเลวร้ายที่สุด สำนักดาบเมฆเหินอาจสั่งระงับการฝึกฝนวรยุทธของหมอนั่นและขับเขาออกจากสำนักทันทีเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนอื่นๆ


เพราะถึงอย่างไร การกระทำแบบนั้นก็ส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือของสำนัก!


ต่อให้เขาใช้เล่ห์กลบีบให้อีกฝ่ายคืนเงินทุกเหรียญสำนักดาบมา หมอนั่นก็คงไม่กล้าปริปาก


“ตามนั้น!”


จูเหยียนจื่อคิดทบทวนอย่างรวดเร็วจนแน่ใจว่าไม่มีปัญหา จากนั้น ตัวเขากับสาวน้อยเสื้อคลุมสีเทาก็เดินกลับไปหาจางเซวียยอีกครั้ง “สหาย ผมขอเสนอให้คุณพนันกับผมอีกครั้ง”


“พนันอีกครั้ง?” จางเซวียนตาโต


เขาออกจะแปลกใจที่เห็นหมอนี่กลับมายื่นข้อเสนอพนันอีกทั้งที่เสียเงินไปแล้วมากโข


สมกับที่เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในของสำนักดาบเมฆเหิน ช่างตั้งตัวได้เร็วเหลือเกิน!


“ง่ายนิดเดียว เราทั้งคู่จะดวลกับคุณ ขอแค่คุณเอาชนะพวกเราได้ เราจะยอมแพ้ แต่ถ้าเราชนะ ผมขอให้คุณคืนทุกอย่างที่ผมเสียไปกลับมาให้ผม และให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่บอกใครเรื่องตัวตนที่แท้จริงของผมด้วย แต่เพราะคุณอยู่ในฐานะผู้เสียเปรียบในการท้าพนันครั้งนี้ เราจึงจะปล่อยให้คุณตั้งเดิมพันได้ตามใจ” จูเหยียนจื่อพูด


เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน จูเหยียนจื่อตัดสินใจว่าทั้งตัวเขาและสาวน้อยเสื้อคลุมสีเทาจะเข้าร่วมการประลอง เขาต้องการความมั่นใจในการท้าพนันครั้งนี้


มีศิษย์สายตรงฝ่ายในเพียงไม่กี่คนที่รับมือกับพวกเขาได้ในการดวลตัวต่อตัว แต่ไม่มีใครรับมือกับพวกเขาทั้งคู่ได้อย่างแน่นอน!


พูดอีกอย่างก็คือ ขอแค่อีกฝ่ายตกปากรับคำท้า ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะแพ้!


“คุณอยากดวลกับผมหรือ? หากผมเอาชนะคุณทั้งคู่ได้ คุณจะยอมรับเดิมพันเท่าไหร่ก็ตาม…ตามแต่ที่ผมจะตั้งใช่ไหม?” จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น


เขาอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ


เรื่องนี้ทำให้นึกถึงคำพังเพยที่ว่ากันว่า ‘ยื่นหมอนให้ขณะที่ใกล้จะสัปหงก’ เขากำลังคิดอยู่ว่าจะหาเงินเพิ่มได้อย่างไร พระเจ้าก็มอบโอกาสใส่มือเขา


ดูเหมือนโลกนี้จะมีผู้เสียสละอยู่มากมายจริงๆ!


“ใช่แล้ว ถ้าคุณไม่ตกลงล่ะก็ ตามที่เราพนันกันเมื่อครู่ ผมรู้ว่า…” เกรงว่าจางเซวียนจะหักหลัง จูเหยียนจื่อกำลังจะขู่สำทับ ก็พอดีกับที่เห็นชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น


“ผมรับคำท้า! ขอตั้งเดิมพันที่ 720 เหรียญ ถ้าคุณแพ้ คุณจะต้องจ่ายเงินจำนวนนี้ให้ผม!”


จูเหยียนจื่อกับสาวน้อยเสื้อคลุมสีเทาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงง่ายๆ ดูเหมือนทุกคำที่พวกเขา ตั้งใจเตรียมมาบีบบังคับหมอนี่กลายเป็นเรื่องไร้ประโยชน์


ตอนที่ 1969 เพลงดาบหัวใจเปล่าเปลี่ยว!

ทั้งคู่นึกลังเลในการตัดสินใจของตัวเองขึ้นมาครู่หนึ่ง อีกฝ่ายดูกระตือรือร้นเหลือเกิน กระตือรือร้นเสียจนพวกเขาอดลังเลไม่ได้ แต่ก็พยายามให้ความมั่นใจกับตัวเองด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าไม่มีศิษย์สายตรงฝ่ายในคนไหนที่สามารถเอาชนะพวกเขาทั้งคู่


จูเหยียนจื่อถอนหายใจอย่างโล่งอก “ถ้าอย่างนั้นก็มาเถอะ ไปลงทะเบียนสำหรับการขึ้นสังเวียนประลองกัน”


เพราะพวกเขาอยู่ในหอนิรันดร์ จึงใช้สมญานามในการลงทะเบียน


สมญานามของจูเหยียนจื่อคือเสาเส่า


ส่วนสมญานามของสาวน้อยเสื้อคลุมสีเทาคือแสงสนธยา


แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ชื่อจริงของทั้งคู่


การดวลส่วนใหญ่จบลงในเวลาไม่นาน เพียงครู่เดียวก็ถึงตาของพวกเขา


“รอบต่อไป เสาเส่าปะทะผมน่ะถ่อมตัว!” โฆษกประกาศ


“เสาเส่าเป็นชื่อที่ประหลาด แต่อย่างน้อยก็พอรับได้ ส่วนผมน่ะถ่อมตัว…มันชื่อบ้าอะไร?”


“ผมสาบานเลยว่าทั้งชีวิตไม่เคยได้ยินชื่อไหนเลวร้ายกว่านี้!”


“ฮ่า! ถ่อมตัว คุณก็รู้ ผมน่ะอยากเห็นเหลือเกินว่าหมอนั่นจะถ่อมตัวได้แค่ไหน…”


ฝูงชนส่งเสียงเซ็งแซ่เมื่อชื่อของนักสู้ทั้งสองถูกประกาศ


เป็นธรรมดาที่จะใช้สมญานามที่ฟังดูยิ่งใหญ่ล้ำลึกและสร้างความยำเกรง ดังนั้น สมญานามแบบผมน่ะถ่อมตัวจึงถือว่าผิดปกติมาก บางคนถึงกับสงสัยว่าหมอนี่สติดีหรือเปล่า


“เริ่มได้!”


บนสังเวียนประลอง จูเหยียนจื่อจ้องหน้าจางเวียนอย่างเย็นชาขณะสะบัดดาบ เขาปล่อยกระบวนท่าการจ้วงแทงออกมา 8 ครั้งติดต่อกันรวด สกัดกั้นกระบวนท่าของจางเซวียนไว้หมด


นี่คือเทคนิคสุดยอดของเขา เพลงดาบหัวใจเปล่าเปลี่ยว!


ใครที่ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบนี้จนถึงขั้นสุดยอด จะสามารถจ้วงแทงได้ถึง 9 ครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็ว มีการปรับเปลี่ยนรวมแล้วถึง 81 กระบวนท่า ขอแค่เขาสำเร็จขั้นนั้น ก็จะไม่มีใครในหมู่ศิษย์สายตรงที่เทียบชั้นกับเขาได้


ถึงตอนนี้เขาจะยังอ่อนด้อยอยู่สักหน่อย แต่การจ้วงแทงถึง 8 ครั้งและการปรับเปลี่ยนได้ 64 กระบวนท่าก็เกินพอที่จะทำให้เขาเอาชนะศิษย์สายตรงฝ่ายในส่วนใหญ่ได้แล้ว


และโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในหอนิรันดร์ ที่ซึ่งทุกคนเป็นแค่นักปราชญ์โบราณขั้น 1 ก็แทบไม่มีใครเล่นงานเขาได้!


จูเหยียนจื่อไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทรงพลังแค่ไหน แต่เดิมพันก้อนใหญ่ก็ค้ำคออยู่ เขาไม่กล้าปล่อยให้การ์ดตก จึงเลือกใช้กระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดของตัวเองตั้งแต่เริ่ม


เมื่อเจอกับการจ้วงแทงอย่างรวดเร็วของจูเหยียนจื่อ จางเซวียนพยักหน้าด้วยอาการยอมรับ


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่หมอนี่กล้าท้าพนันกับเขาด้วยเดิมพันก้อนใหญ่ เขามีดีอยู่พอตัว!


แต่ก็นั่นแหละ ใช้เทคนิคระดับนี้มาต่อกรกับจางเซวียน…บอกได้เลยว่าทั้งหมดที่ทำได้ก็แค่ขู่เท่านั้น


แทนที่จะหลบ จางเซวียนเลือกเดินหน้าไปอีกก้าว


ทั้งที่มีการโจมตีพุ่งเข้าใส่มากมาย แต่ก็ไม่มีสักครั้งที่จะเล่นงานจางเซวียนได้ ราวกับจูเหยียนจื่อจงใจควบคุมดาบของเขาไม่ให้ถูกตัวจางเซวียน


ขะ–เขา…เขาพบจุดอ่อนของดาบที่ 9 หรือ? เป็นไปได้อย่างไร? หมอนี่เป็นใครกันแน่?


จูเหยียนจื่อแทบไม่เชื่อสายตา


เพลงดาบหัวใจโดดเดี่ยวคือหนึ่งในศิลปะเพลงดาบชั้นยอดของบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน หากใครคนหนึ่งสามารถสำแดงดาบทั้ง 9 ได้ในรวดเดียว เทคนิคนี้ก็จะจัดเป็น 1 ใน 3 เทคนิคอันดับต้นๆ


ถึงจูเหยียนจื่อจะฝึกฝนได้ถึงแค่ดาบที่ 8 แต่ก็ถือว่ายากจะรับมือไหว แต่ถึงอย่างนั้น อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะรู้นอกรู้ในของเทคนิคเป็นอย่างดี ทันทีที่จูเหยียนจื่อเริ่มเคลื่อนไหว เขาก็พุ่งตรงเข้าใส่จุดอ่อนที่เกิดจากการไม่สามารถสำแดงดาบที่ 9 ของจูเหยียนจื่อได้พอดี


แม้เพลงดาบหัวใจโดดเดี่ยวจะทรงพลัง แต่ก็มีข้อบกพร่องใหญ่หลวงอยู่ คือเป็นศิลปะเพลงดาบที่ไม่สมบูรณ์แบบจนกว่าผู้นั้นจะเชี่ยวชาญถึงดาบที่ 9!


จางเซวียนทำลายความไม่สมบูรณ์แบบนี้และพุ่งเข้าใส่จุดอ่อนที่เห็นอย่างจัง ทำให้จูเหยียนจื่อไม่อาจเล่นงานอีกฝ่ายได้ แม้จะอยากทำแค่ไหนก็ตาม


ต่อให้ผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในก็ยังทำไม่ได้แบบนี้!


จูเหยียนจื่อพยายามสำแดงเพลงดาบต่อไปด้วยความร้อนใจ แต่แล้วอีกฝ่ายก็เงื้อดาบในมือขึ้นอย่างกะทันหัน แล้วจ่อมันเข้าที่หว่างคิ้วของเขา


กระบวนท่าอันเรียบง่ายนี้เข้าถึงหัวใจของศิลปะเพลงดาบหัวใจโดดเดี่ยวและการปรับเปลี่ยนกระบวนท่าทั้งหมดของมัน ทุกกระบวนท่าของจูเหยียนจื่อถูกสกัดไว้ ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้เลย


ถ้าอีกฝ่ายออกแรงเพิ่มอีกหน่อย เขาคงเสียชีวิต!


“….” จูเหยียนจื่อตัวเย็นเฉียบด้วยความพรั่นพรึง


เขาคิดว่าอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะบีบหมอนี่ให้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้ด้วยการใช้เทคนิคขั้นสุดยอดของเขา แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาจะถูกปราบราบคาบทันทีที่การดวลเพิ่งเริ่ม?


เจอกับพละกำลังระดับนี้ ตัวเขากับแสงสนธยาจะเปิดเผยตัวตนของอีกฝ่ายได้หรือไม่?


ถ้าทำไม่ได้…ก็โบกมือลา 720 เหรียญสำนักดาบได้เลย!


จูเหยียนจื่อเสียใจสุดขีด เขากำลังคิดว่าไม่ควรฟังคำพูดของคนอื่น ก็พอดีกับที่ดาบที่จ่อเข้าที่หว่างคิ้วของเขาพลันหยุดกึก


จูเหยียนจื่อมองไปด้วยความงงงัน และเห็นสีหน้าขัดแย้งของ ‘ฉันน่ะถ่อมตัว’


เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆฉันน่ะถ่อมตัวถึงเสียสมาธิระหว่างการดวล แต่รู้ดีว่าไม่มีโอกาสไหนดีกว่านี้อีกแล้วที่จะหลบหนีและตั้งตัวใหม่ จึงรีบถอยไปก้าวหนึ่งเพื่อหลบเลี่ยงกระบวนท่านั้น ก่อนจะรวบรวมพละกำลังเพื่อสำแดงเทคนิคขั้นสุดยอดอีกครั้ง


ศิลปะเพลงดาบหัวใจโดดเดี่ยวเป็นไม้ตายขั้นสูงสุดของเขา แต่ในเมื่อมันถูกปราบจนราบคาบแล้ว ก็ไม่มีทางทำอันตรายคู่ต่อสู้ได้อีก คราวนี้กระบวนท่าที่จูเหยียนจื่อสำแดงออกไปมีพละกำลังไม่เท่ากับเพลงดาบหัวใจโดดเดี่ยว แต่เหนือกว่าในแง่ของความเร็ว


เพลงดาบพายุคลั่ง!


ทุกกระบวนท่าที่เขาสำแดงออกไปเร็วกว่าแต่ก่อน เมื่อถึงการโจมตีครั้งที่ 10 ท่วงท่าของเขาก็ดูราวกับเฮอริเคนที่กำลังโกรธเกรี้ยว พร้อมจะฉีกกระชากทุกสิ่งอย่างไม่ลดละ


อันที่จริง นี่เป็นเทคนิคที่เหมาะสมกับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 เท่านั้น การสำแดงมันออกมาด้วยพลังปราณและกายเนื้อของนักรบระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 ออกจะเกินกำลังไปสักหน่อย แต่เพราะเป็นสถานการณ์คับขัน จูเหยียนจื่อจึงยังคงเลือกใช้มัน


ฟึ่บ!


ดาบนั้นถูกจ้วงแทงออกไปท่ามกลางสายลมหวีดหวิว เกิดเป็นภาพติดตามากมายนับไม่ถ้วนกลางอากาศ จูเหยียนจื่อคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะสับสนปั่นป่วนเพราะการโจมตีเป็นชุดของเขา แต่กลับตรงกันข้าม หมอนั่นก้าวออกมาหนึ่งก้าวและใช้ดาบในมือของเขาทำลายทุกอย่าง


ด้วยกระบวนท่าง่ายๆเพียงกระบวนท่าเดียว อีกฝ่ายโจมตีจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเพลงดาบพายุคลั่ง ถ้าการโจมตีนั้นถึงเป้าหมาย เขาคงถูกเฉือนเป็น 2 ท่อนและตายทันที


พูดอีกอย่างก็คือ หลังจากที่เขาสำแดงกระบวนท่าที่สองออกมา ก็ต้องผ่านประสบการณ์เฉียดตายอีกครั้ง


จูเหยียนจื่อแทบบ้า


ขณะที่เขายอมถอดใจต่อโชคชะตา ผมน่ะถ่อมตัวก็หยุดกึกและมีสีหน้าขัดแย้งอีกครั้ง


จูเหยียนจื่อใช้โอกาสนี้กลิ้งหลบไปด้านข้าง รอดพ้นจากหายนะไปได้อย่างหวุดหวิด


แต่เพราะยังไม่อยากยอมแพ้ เขาจึงสำแดงเทคนิคขั้นสุดยอดออกมาอีกครั้ง


เพราะอยู่กับสำนักดาบเมฆเหินมาหลายปีแล้ว จูเหยียนจื่อจึงมีโอกาสได้ทำความเข้าใจศิลปะเพลงดาบที่ไร้เทียมทานมากมาย ทุกกระบวนท่าของเขาล้วนแต่มีพละกำลังมหาศาล


แต่ก็อีกครั้ง เพียงแค่เขาเริ่มเคลื่อนไหว อีกฝ่ายก็จับจุดศิลปะเพลงดาบของเขาได้และโจมตีเข้าที่จุดอ่อนของมันอย่างจัง เขาคงตายแน่ถ้าการโจมตีนั้นถึงเป้าหมาย แต่หมอนั่นก็ไม่ยอมโจมตีต่อ


การดวลดำเนินไปแบบนั้น จูเหยียนจื่อสำแดงเทคนิคการเคลื่อนไหวออกไป 7 เทคนิค รวมถึงศิลปะเพลงดาบอีก 12 ชนิด แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขายังคงเฉียดตายอยู่อย่างเดิม


ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างต่างมองหน้ากันอย่างงงงัน


“เขาสามารถชนะได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทำไมถึงหยุดกึกเอาดื้อๆทุกครั้งที่กำลังจะชนะ?”


“ผมก็ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร ไม่อยากชนะหรือไง?”


“ตอนแรกผมคิดว่าเขากลัวการตอบโต้ของเสาเส่า จึงดำเนินยุทธวิธีแบบปลอดภัยไว้ก่อน แต่ตอนนี้ก็เห็นชัดแล้วว่าไม่ใช่”


“เสาเส่าน่ะสู้ไม่ได้แบบเห็นๆ ผมคิดว่าเราคงเห็นพ้องต้องกันว่าผมน่ะถ่อมตัวจงใจทำแบบนี้…หรือว่าเขากำลังสั่งสอนบทเรียนให้เสาเส่า?”


ทุกคนแสนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น


ในฐานะผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบที่มีทักษะสูงส่ง พวกเขาดูออกว่าผมน่ะถ่อมตัวสามารถเอาชนะการดวลได้สบาย แต่กลับเลือกที่จะหยุดชะงักในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานทุกครั้ง ราวกับเขากำลังยื้อทุกอย่างให้ไปถึงจุดสูงสุด อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะระเบิด แต่ทุกครั้งก็เลือกจะยับยั้งไว้


ถ้าแค่ครั้งเดียว พวกเขายังพอเข้าใจได้ว่านั่นคือจุดอ่อนของผมน่ะถ่อมตัว แต่ในเมื่อเกิดขึ้นไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ต่อให้คนหัวทื่อที่สุดก็ยังบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น


ความจงใจ!


หลังจากแพ้ไปอีกหนึ่งกระบวนท่า จูเหยียนจื่อก็หมดความอดทนและคำรามออกมา “คุณทำบ้าอะไรอยู่?”


เขาผ่านการดวลบนสังเวียนประลองมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยากถูกฆ่าตายเพื่อให้ทุกอย่างจบๆไป!


เห็นจูเหยียนจื่อหยุดการโจมตี จางเซวียนลดแขนที่ถือดาบลงและย้อนถาม “ผมทำอะไร? ผมก็ดวลกับคุณอยู่ไม่ใช่หรือไง?”


“ดวล? คุณมีโอกาสฆ่าผมตั้งหลายครั้งแล้ว หยุดทำไมล่ะ?” จูเหยียนจื่อคำรามก้อง


ในเมื่อทุกคนดูออก เขาก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก


“อ้าว คุณยังไม่รู้อีกหรือ?” จางเซวียนเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน “ถ้าคุณอ่านชื่อของผมล่ะก็ คุณก็ควรจะรู้ว่าผมไม่ใช่คนชนิดที่ชอบเรียกร้องความสนใจ ถ้าผมฆ่าคุณตายภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว นั่นจะไม่เป็นการขัดต่อจุดยืนของผมหรือ? ผมไม่อยากสร้างความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่!”


“คุณไม่อยากสร้างความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่?”


ข้อแก้ตัวเหลวไหลนั้นทำให้จูเหยียนจื่อโมโหเดือดจนหัวใจแทบหยุดเต้น


นั่นคือสิ่งที่คุณเรียกว่าถ่อมตัวหรือ?


ถ่อมตัวบ้านคุณสิ!


คุณเล่นงานจุดอ่อนที่ใหญ่สุดของผม แล้วก็ปล่อยผมไป อย่างกับนักล่าที่เล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับเหยื่อของตัวเอง นั่นไม่ใช่การถ่อมตัวแล้ว แต่คือการอวดความสามารถแบบจงใจ คุณกำลังจะบอกใครต่อใครไม่ใช่หรือว่าศิลปะเพลงดาบของคุณเหนือชั้นแค่ไหน?


แล้วยังไง? ไม่อยากสร้างความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่?


ลองมองไปรอบๆซิ นั่นคือสิ่งที่คุณเชื่อจริงๆหรือ?


ทุกใบหน้าที่มองขึ้นมาล้วนแต่จังงังราวกับอมไข่ไว้ในปาก…คุณจะถ่อมตัวกว่านี้มากถ้าสังหารผมเสียตั้งแต่กระบวนท่าแรก!


“ผมยอมแพ้!” เมื่อหงุดหงิดใจจนไปต่อไม่ไหว จูเหยียนจื่อตะโกนก้องก่อนจะหันหลังและกระโจนลงจากสังเวียนประลอง


ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากได้เงิน แต่เงินมากแค่ไหนก็ไม่มีความหมายหากเขาต้องตายไปตอนนี้เพราะความหงุดหงิด!


พูดกันตามตรง ตอนที่อยู่บนสังเวียนประลอง เขายังคิดอยู่ว่าควรจะฆ่าตัวตายเสียดีไหมเพื่อให้ทุกอย่างจบๆไป


 ตอนที่ 1970 นี่มันตั้งแต่เมื่อไหร่?

“เฮ่ออออ…ดูเหมือนเราจะเข้าใจผิดมหันต์จริงๆ ถ้าเขารู้สักหน่อยว่ามันแย่แค่ไหนเวลาที่ทุกคนหันมาสนใจล่ะก็ เขาคงจะเห็นใจเราบ้าง…” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา


เขารู้สึกไม่ค่อยดีที่กำลังจะได้เงินก้อนใหญ่จากจูเหยียนจื่อ ในเมื่ออีกฝ่ายลงทุนมากมายขนาดนี้ มันจะไม่หยาบคายไปหน่อยหรือหากเขารีบจบการดวลรวดเร็วเกินไป?


นี่มันสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายมีแต่ได้!


ตัวเขาได้เงิน ส่วนจูเหยียนจื่อก็ได้ฝึกฝนเทคนิคของตัวเองและได้ความภาคภูมิใจ


หลังจากเสาเส่ายอมแพ้ สาวน้อยเสื้อคลุมสีเทา, แสงสนธยาก็กระโจนขึ้นมาบนสังเวียนประลอง


“ฉันยอมแพ้ คุณเป็นคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังมาก…” แสงสนธยามองจางเซวียนพร้อมกับหรี่ตาอย่างระแวง


แผนการเดิมของพวกเขาคือเล่นงานอีกฝ่ายและบีบให้เขาสำแดงกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา ซึ่งจากสิ่งนั้น ทั้งคู่จะสันนิษฐานได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของหมอนี่เป็นใคร


แต่ตอนนี้ก็เห็นชัดแล้วว่าแผนการของทั้งคู่ล้มเหลว พวกเขาไม่คิดเลยว่าจูเหยียนจื่อจะพ่ายแพ้โดยไม่อาจทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้เลยแม้แต่น้อย


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ความกดดันทั้งหมดก็ตกอยู่ที่เธอ


“ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากขอร้อง” แสงสนธยาพูด “ฉันหวังว่าคุณจะไม่ออมมือให้ฉัน อยากให้คุณใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของคุณเล่นงานฉันเลย”


“คุณอยากให้ผมใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด?”


คำขอนั้นทำให้จางเซวียนลังเลเล็กน้อย


“ใช่!” แสงสนธยาพยักหน้า


ขอแค่อีกฝ่ายใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ต่อให้เธอแพ้ อย่างน้อยที่สุดเธอก็ยังจะได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย


“เอ่อ…อย่างนั้นก็ได้” เห็นความจริงใจในแววตาของแสงสนธยา ในที่สุดจางเซวียนก็ยินยอม


“เริ่มเลย!”


แสงสนธยาสูดหายใจลึกและขับเคลื่อนพลังปราณ เธอเงื้อแขนขึ้นและกำลังจะพุ่งเข้าใส่ ก็พอดีกับที่ทุกอย่างพร่าเลือน ยังไม่ทันที่เธอจะรู้ตัว ดาบเล่มหนึ่งก็มาจ่ออยู่ที่ลำคอแล้ว ประกายคมปลาบของมันสะท้อนเข้าตา เธอรู้สึกราวกับว่าจะถูกสังหารในทันทีหากกล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว


แสงสนธยาถึงกับจังงัง ทำอะไรไม่ถูกกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น


บ้าแล้ว!


พี่ชาย นี่มันตั้งแต่เมื่อไหร่?


ฉันยังไม่เห็นแม้แต่กระบวนท่าของคุณด้วยซ้ำ ทำไมจู่ๆก็มีดาบมาจ่อคอ?


แสงสนธยาเคยคิดว่าถึงอย่างไรเธอก็น่าจะคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้ แต่ถึงขนาดที่ดาบของชายหนุ่มมาจ่อที่คอของเธอแล้ว เธอก็ยังไม่เห็นแม้แต่กระบวนท่าของเขา นับประสาอะไรจะคาดเดาศิลปะเพลงดาบที่เขาใช้!


คุณจะต้องว่องไวขนาดนี้เลยหรือ?


“คุณแพ้แล้ว” จางเซวียนพูดเสียงเรียบ


เขาเคยคิดว่าจะยื้อการดวลให้ยืดยาวออกไปสักหน่อยเพื่อให้คุ้มค่าเงิน แต่ในเมื่อสาวน้อยยื่นคำขอแบบนั้น เขาก็ควรจะทำตาม การให้บริการที่ดีมันต้องเป็นแบบนี้!


ในตอนนั้น แสงสนธยาตื่นตระหนกสุดขีด


เมื่อมีดาบจ่อคอ เธอก็ปฏิเสธความพ่ายแพ้ไม่ได้ ทุกอย่างจบแล้ว


การดวล 2 นัดผ่านไป ทั้งคู่ทำไม่ได้แม้แต่จะต้อนอีกฝ่ายให้ตกอยู่ในอันตราย นับประสาอะไรกับจะมองเห็นศิลปะเพลงดาบของเขา!


แต่นั่นยังไม่จบ พวกเขาไม่อาจระบุตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้ด้วย แต่ก็พอบีบขอบเขตของตัวเลือกให้แคบลงมาได้


ในบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน มีไม่เกิน 5 คนที่มีความสามารถระดับนี้


แต่ด้วยความที่ทั้ง 5 มีประสิทธิภาพการต่อสู้และความปราดเปรื่องสูงส่ง ทางสำนักดาบเมฆเหินจึงให้ความสำคัญมาก พวกเขาไม่เคยขาดแคลนทรัพยากร และมีวิธีการที่ง่ายกว่านี้อีกมากในการหาเงิน คนทั้ง 5 ไม่มีทางลดตัวลงมารับคำท้าพนันเพียงเพื่อให้ได้เงินเป็นการแลกเปลี่ยน อีกอย่าง พวกเขาจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้ทำลายชื่อเสียงของตัวเองทำไมในเมื่อมีอนาคตรุ่งเรืองรออยู่ข้างหน้า?


แต่ชายหนุ่มที่พวกเขาได้เจอดูเป็นพวกหิวเงิน ทั้งคู่ออกจะสงสัยว่าถ้าพวกเขาโยนเหรียญสำนักดาบลงไปในน้ำ หมอนั่นจะรีบงมลงไปเก็บขึ้นมาทันทีหรือเปล่า?


นี่ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลย!


ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน


หลังจากออกจากสังเวียนประลอง จางเซวียนเดินไปหาทั้งคู่และยื่นมือออกไป “พวกคุณแพ้แล้ว 720 เหรียญสำนักดาบ!”


เขารู้ตัวตนที่แท้จริงของชายหญิงคู่นี้แล้วในระหว่างการดวล จึงไม่กลัวว่าทั้งคู่จะชักดาบ


“นี่…”


เห็นแผนการของพวกเขาล้มเหลว จูเหยียนจื่อกับแสงสนธยาอับจนหนทาง รู้ดีว่าเจอของจริงเข้าให้แล้ว จึงได้แต่ควักเงินออกมาใช้หนี้


“ขอบคุณมากสำหรับอภินันทนาการของพวกคุณ อยากพนันอีกเมื่อไหร่ล่ะก็ เรียกหาผมได้เลย” จางเซวียนตอบอย่างลิงโลด


ถ้อยคำนั้นไม่อาจบรรยายความดีใจของเขาที่ได้พบกับเทพเจ้าและเทพธิดาแห่งโชคลาภ หลังจากเข้าสู่หอนิรันดร์ได้ไม่ถึง 20 นาที เขาก็ทำเงินได้ถึง 1,400 เหรียญสำนักดาบ!


เห็นแววตาจริงใจของอีกฝ่าย จูเหยียนจื่อกับแสงสนธยารู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ


ทำไมถึงดูเหมือนพวกเราเป็นคนดีที่มาคอยยื่นเงินก้อนนี้ใส่มือคุณ? ไม่ใช่นะ เรามาฉกฉวยเงินของคุณต่างหาก!


พวกเขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองกลายเป็นคนโง่


แต่คิดดูอีกที…ก็โง่จริงๆที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดที่มีภายในเวลาไม่ถึง 20 นาที


“คุณบอกชื่อจริงของคุณมาได้ไหม?”


เห็นผมน่ะถ่อมตัวกำลังจะจากไป จูเหยียนจื่ออดไม่ได้


“ฮะ? คุณอยากรู้ชื่อจริงของผมหรือ?” จางเซวียนสบตาที่มีแววของความคาดหวังนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดกิ๊บที่หนีบผมของเขาไว้แล้วรวบมันไปด้านหลัง เขาเอาสองมือไพล่หลังไว้ จากนั้นก็เปิดเผยตัวตนอันน่าทึ่งของเขา “เรียกผมว่า…เกาจิ้ง!”


จางเซวียนไม่แยแสสองร่างที่ยืนจังงังอยู่ตรงหน้า เขาเดินจากไปก่อนจะถอนจิตใต้สำนึกออกจากหอนิรันดร์


เหตุผลที่เขาเข้าสู่หอนิรันดร์ก็เพื่อหาเงิน ในเมื่อหาได้ถึง 1440 เหรียญสำนักดาบแล้ว ตอนนี้ก็ควรพอก่อน ไม่จำเป็นต้องอ้อยอิ่งอยู่ที่นั่นอีก


“เกาจิ้ง?”


“มีศิษย์สายตรงชื่อเกาจิ้งด้วยหรือ? เร็วเข้า รีบไปตรวจสอบ!”


ทั้งคู่รีบเปิดสมุดบันทึกข้อมูลแล้วตรวจสอบรายชื่อบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในที่ประมวลไว้ ครู่ต่อมา ก็ดูราวกับภูเขาไฟกำลังจะระเบิดทะลุดวงตาของพวกเขา


หมอนั่นโกหก!


“ไอ้สารเลว! ผมจะทำให้เขาคืนทุกอย่างที่เอาไปจากเราให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็อย่าเรียกผมว่าจูเหยียนจื่อ!”


ยิ่งคิด จูเหยียนจื่อก็ยิ่งโมโหเดือด


“แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เราจะทำอะไรเขาได้?” แสงสนธยาก็โมโหเดือดไม่แพ้กัน แต่เศษเสี้ยวหนึ่งของความมีเหตุผลของเธอเตือนว่าทั้งคู่ไม่อาจทำอะไรผมน่ะถ่อมตัวได้มากนัก


“ง่ายนิดเดียว เขาอาจทรงพลังก็จริง แต่ไม่มีทางเทียบชั้นกับอัจฉริยะชั้นยอดของบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในได้หรอก ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราก็แค่แวะไปเยี่ยมเยียนคนพวกนั้นและบอกว่ามีนักดาบที่น่าสนใจคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในหอนิรันดร์ และยุให้พวกเขาจัดการ! ระหว่างนั้น เราจะยื่นคำท้าพนันกับหมอนั่นด้วย!” จูเหยียนจื่อพูดขณะนัยน์ตาเป็นประกายวาบ


“คุณพูดถูก เราทำแบบนั้นได้!” แสงสนธยาตาโตด้วยความตื่นเต้น “ตามนั้นเลย!”


“ถึงผมน่ะถ่อมตัวจะดูทรงพลัง แต่ก็ไม่มีทางที่เขาจะประชันขันแข่งกับบรรดาปีศาจที่รั้งอันดับต้นๆในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในได้หรอก ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็น่าจะขอความช่วยเหลือคนพวกนั้นให้สั่งสอนบทเรียนให้หมอนั่นสักหน่อย!”


…..


หลังจากกลับถึงห้อง จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไป


ระดับวรยุทธของเขาอยู่ในขั้นผู้ทำลายล้างมิติมาระยะหนึ่งแล้ว ได้เวลาที่จะก้าวขึ้นสู่วรยุทธขั้นต่อไปสักที


แต่การจะทำแบบนั้นได้ เขาต้องมีเทคนิควรยุทธในปริมาณมากพอ การซื้อหาเทคนิควรยุทธจากหอนิรันดร์ถือว่าแพงเกินไป เขาจึงได้แต่แค่หวังว่าจะได้เข้าสู่หอภูมิปัญญาเพลงดาบเพื่อดูหนังสือที่อยู่ในนั้นสักหน่อย


ถึงอย่างไร นั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้เขาผลักดันตั้นเฉี่ยวเทียนให้ได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในของสำนักดาบเมฆเหิน!


จางเซวียนเดินออกจากห้อง และขณะที่กำลังจะออกจากที่พัก ประตูก็พลันเปิดออก ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น


ในตอนนั้น รังสีของผู้อาวุโสลู่อวิ๋นดูล้ำลึกจนเกินหยั่ง ราวกับมีหมู่เมฆปกคลุมพละกำลังที่แท้จริงของเขาไว้


ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงได้สำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์!


1958 : ศิลปะเพลงดาบของนายน้อยที่ 3ต้นฉบับ


“ยินดีด้วย ผู้อาวุโสลู่”


ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเข้ามาในบ้านพัก ตั้นเฉี่ยวเทียนเดินออกมา เขารู้สึกได้ทันทีถึงการเปลี่ยนแปลงของผู้อาวุโสลู่ จึงประสานมือและกล่าวแสดงความยินดี


“ฮ่าฮ่า ขอบใจมากสำหรับคำอวยพรของคุณ” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นหัวเราะหึๆ “เอาล่ะ ผมเพิ่งกลับจากสภาผู้อาวุโส นี่คือตราสัญลักษณ์ที่บ่งบอกตัวตนของคุณ ด้วยตรานี้ ขอแค่คุณมีเหรียญสำนักดาบมากพอ ก็จะสามารถเข้าสู่หอสมุดและใช้สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆได้ มันจำเป็นนะหากคุณอยากเข้ารับการทดสอบเพื่อตามล่าหารางวัล”


“ส่วนแหวนเก็บสมบัติวงนี้เป็นของกำนัลจากผม ของกำนัลจากทางสำนักสำหรับการที่คุณได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในอยู่ภายในแหวนวงนั้น มียาเม็ดอมตะขั้นต้น 5 เม็ด, ยาฟื้นฟูร่างกาย 1 ขวด และยาเม็ดพลังปราณอีก 1 ขวด”


ตั้นเฉี่ยวเทียนรับตราสัญลักษณ์และแหวนเก็บสมบัติจากผู้อาวุโสลู่ เขาตาโต จากนั้นก็รีบกล่าวคำขอบคุณ


เมื่อเห็นว่าการได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในมีผลประโยชน์มากมาย จางเซวียนเลิกคิ้ว


แน่นอนว่าของกำนัลเหล่านี้ไม่ใช่ของฟรี การรับสิ่งเหล่านี้ไว้ย่อมหมายถึงการแบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับมัน ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าของฟรี!


แต่ถึงอย่างไรตัวเขาก็หาเงินในหอนิรันดร์ได้สบายอยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกอิจฉาตั้นเฉี่ยวเทียนหรือคิดอะไรมากมาย


“นี่คือเทคนิควรยุทธของสำนักและเคล็ดวิชาดาบเมฆเหิน คุณลองฝึกฝนเองก่อน ถ้ามีข้อสงสัยก็ไปพบผมได้ทุกเมื่อ” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูดขณะยื่นหนังสืออีก 2 เล่มให้


“เทคนิควรยุทธของสำนักดาบเมฆเหินมีชื่อว่าศิลปะเมฆเหิน เป็นที่ขึ้นชื่อทั่วทั้งทวีปแห่งนี้ในเรื่องพละกำลังอันน่าทึ่งของมัน ส่วนศิลปะเพลงดาบของเรานั้นก็แน่นอนว่าเป็นที่ 1 ในโลก แต่เพียงแค่มีเทคนิควรยุทธและศิลปะเพลงดาบที่ไร้เทียมทานก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะก้าวขึ้นเป็นสุดยอดได้ สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือจะต้องขยันหมั่นเพียรศึกษาและพยายามทำความเข้าใจแก่นสารของทั้งสองเทคนิคนี้ให้ได้มากที่สุด!”


ตั้นเฉี่ยวเทียนพยักหน้ารับ


แค่เทคนิควรยุทธและศิลปะเพลงดาบที่แข็งแกร่งยังไม่ดีพอจะรับประกันได้ว่านักรบผู้หนึ่งจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นมีความสำคัญกว่า


“แต่สำนักดาบเมฆเหินก็ไม่ได้บีบบังคับศิษย์สายตรงให้เดินตามเส้นทางของเราอย่างเคร่งครัดหรอกนะ ถ้าคุณมีเทคนิควรยุทธหรือศิลปะเพลงดาบที่เหมาะสมกับคุณมากกว่า ก็ฝึกฝนได้ตามสบาย ขอแค่คุณผ่านการทดสอบประจำปีไปได้ ทางสำนักก็จะปล่อยให้คุณฝึกฝนวรยุทธอย่างอิสระ!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูด


เทคนิคการโยนดาบของตั้นเฉี่ยวเทียนคือสิ่งที่แม้แต่หัวเจียงเหอยังรับมือไม่ไหว อันที่จริง ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพยายามทำตามแล้ว แต่แม้ตัวเขาก็ยังไม่มั่นใจนักว่าจะทำความเข้าใจมันได้


เห็นได้ชัดว่าตั้นเฉี่ยวเทียนมีความลับของตัวเขาเอง


ตอนที่ 1971 ก็หลงตัวเองเกินไป!

แต่สำนักดาบเมฆเหินก็จะไม่มีวันบีบบังคับให้เหล่าศิษย์สายตรงคายความลับของตัวเองออกมา


ขอแค่พวกเขาผ่านการทดสอบไปได้และไม่ฝ่าฝืนกฎของสำนัก สำนักดาบเมฆเหินก็จะไม่จุกจิกจู้จี้ว่าบรรดาศิษย์สายตรงในสังกัดของพวกเขาฝึกฝนอะไร


เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ทุกคนใช้ได้’ เมื่อเป็นเรื่องของเทคนิควรยุทธ


หลังจากสนทนาเรื่องระเบียบกฎเกณฑ์ของสำนักกันอีกเล็กน้อย ผู้อาวุโสลู่ก็จากไป


เขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงได้สำเร็จ จึงต้องการเวลาระยะหนึ่งในการขัดเกลาวรยุทธ


“ท่านอาจารย์!”


เมื่อผู้อาวุโสลู่อวิ๋นจากไป ตั้นเฉี่ยวเทียนยื่นหนังสือศิลปะเมฆเหินกับเคล็ดวิชาเพลงดาบเมฆเหินให้จางเซวียน


จางเซวียนเคาะนิ้วลงไปเบาๆ แล้วถ่ายโอนเนื้อหาทั้งหมดเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า จากนั้นเขาก็พลิกดู


เพราะเกรงว่าการฝึกฝนวรยุทธของตั้นเฉี่ยวเทียนจะเกิดการผิดพลาด ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นจึงให้มาแค่หนังสือเคล็ดวิชาของนักรบระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 เท่านั้น หากจะเปรียบเทียบกับเทคนิควรยุทธอื่นๆในทวีปแห่งปรมาจารย์ มันก็ถือเป็นชั้นยอด แต่หากเทียบกับเคล็ดวิชาเทียบฟ้า ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่มากมาย


ในมุมมองของจางเซวียน ของแบบนี้ไม่ได้ควรค่าต่อการฝึกฝน


เคล็ดวิชาเพลงดาบเมฆเหินมีความสง่างามก็จริง แต่ก็เทียบกันไม่ได้กับสิ่งที่เขาได้ทำความเข้าใจก่อนหน้านี้


“สำหรับเทคนิควรยุทธ คุณควรฝึกฝนเฉพาะสิ่งที่ผมถ่ายทอดให้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน ส่วนศิลปะเพลงดาบ ให้ฝึกฝนศิลปะการโยนดาบต่อไป คุณเชี่ยวชาญมันเมื่อไหร่ ผมจะถ่ายทอด เทคนิคระดับที่สูงขึ้นให้!” จางเซวียนพูด


“ขอรับ ท่านอาจารย์” ตั้นเฉี่ยวเทียนพยักหน้าอย่างว่าง่าย


ในโลกนี้ไม่มีใครที่เขาเคารพมากกว่าท่านอาจารย์อีกแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่จะยิ่งกว่าเต็มใจทำตามในสิ่งที่ท่านอาจารย์บอก


ขณะที่จางเซวียนกำลังจะออกจากที่พัก ตั้นเฉี่ยวเทียนก็โพล่งออกมา “อ้อ ท่านอาจารย์! เทคนิคการโยนดาบที่คุณถ่ายทอดให้ผมมีชื่อว่าอะไร?”


ท่านอาจารย์ถ่ายทอดเทคนิคให้เขา แต่ชื่อของมันยังคงเป็นความลับ


แน่นอนว่าเขาไม่อาจเรียกเทคนิคนี้ว่าการโยนดาบได้ตลอดไป ถูกไหม?


คำถามนี้ทำให้จางเซวียนขมวดคิ้ว


พูดตามตรง เขาคิดค้นเทคนิคนี้ขึ้นด้วยความเข้าใจชั่ววูบ ไม่ได้ใส่ใจจะตั้งชื่อให้มัน ดังนั้นจึงไม่มีคำตอบให้กับคำถามของตั้นเฉี่ยวเทียน


จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อคุณคือนายน้อยที่ 3 ของตระกูลตั้น ก็เรียกเทคนิคนี้ว่าศิลปะเพลงดาบของนายน้อยที่ 3 ก็แล้วกัน!”


“ศิลปะเพลงดาบของนายน้อยที่ 3? ไม่ได้หรอก! มันดูไม่เหมาะสม” ตั้นเฉี่ยวเทียนค้านพร้อมกับขมวดคิ้ว


ก็หลงตัวเองเกินไป!


ในโลกนี้ มีใครกันที่นำชื่อของตัวเองมาตั้งเป็นชื่อศิลปะเพลงดาบ?


แถมเทคนิคนี้ ท่านอาจารย์ของเขาก็เป็นผู้คิดค้น เขาจะใช้ชื่อตัวเขาได้อย่างไร?


“มีอะไรไม่เหมาะสม? ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องชื่อเทคนิคอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคุณจะเรียกมันว่าอะไรก็ได้ ตามใจคุณเถอะ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังคิดว่าศิลปะเพลงดาบของนายน้อยที่ 3 ฟังดูเข้าท่าดี!” จางเซวียนโบกมืออย่างเกียจคร้าน


เขาไม่ใส่ใจการถกเถียงเรื่องแบบนี้


ท่านพ่อของเขาเป็นคนไม่เอาไหนเรื่องการตั้งชื่อ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้ชื่อจางเปี่ยวเฟย ในฐานะผู้รับถ่ายทอดยีนนี้มาเต็มๆ เห็นๆกันอยู่ว่าเขาไม่ได้ดีไปกว่าท่านพ่อ เพราะหากทำได้ เขาคงไม่ต้องตั้งชื่อเทคนิคของตัวเองว่าเคล็ดวิชาเทียบฟ้า, ศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้า, ศิลปะเพลงหอกเทียบฟ้า และอื่นๆ ส่วนสมญานามของเขาก็คงไม่ต้องวนเวียนอยู่กับหยางชวน, เซวียนจาง, เทียนหยา และชื่ออันแสนไม่เข้าท่าพวกนั้น


“ก็ได้…” เห็นท่านอาจารย์ตัดสินใจแล้ว ตั้นเฉี่ยวเทียนได้แต่รับคำ


เมื่อพูดจากันเป็นที่เข้าใจ จางเซวียนกำลังจะเดินออกไป ก็พอดีกับที่นึกอะไรบางอย่างได้ เขาหันกลับมาพูดกับตั้นเฉี่ยวเทียน “ขอผมยืมตราสัญลักษณ์ศิษย์สายตรงฝ่ายในของคุณสักครู่”


หลังจากได้ตราสัญลักษณ์จากตั้นเฉี่ยวเทียนแล้ว จางเซวียนก็ออกจากที่พักและมุ่งหน้าไปยังหอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน


หอสมุดตั้งอยู่บนที่ราบแห่งหนึ่งในหุบเขาที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ มันเป็นหอคอยใหญ่โตโอ่อ่าที่จางเซวียนเคยเห็นระหว่างทางที่ไปตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน


เมื่อถึงที่หมาย จางเซวียนยื่นตราสัญลักษณ์ให้


ผู้อาวุโสที่ดูแลหอสมุดพิจารณาตราสัญลักษณ์ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ 2 เหรียญสำนักดาบต่อ 1 ชั่วโมง คุณสามารถเลือกเทคนิควรยุทธหรือเทคนิคการต่อสู้ที่ต้องการและทำสำเนาได้”


จางเซวียนยื่นเงิน 2 เหรียญสำนักดาบให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง


สายเลือดของสำนักดาบเมฆเหินนั้นย้อนกลับไปได้กว่าหลายพันปี ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานนี้ หอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายในจึงเต็มไปด้วยหนังสือศิลปะเพลงดาบและหนังสือเทคนิคการต่อสู้ทุกรูปแบบ หลังจากกะประมาณคร่าวๆ จางเซวียนเชื่อว่าน่าจะมีหนังสือราวหลายล้านเล่มอยู่ในหอสูงแห่งนี้


มีห้องส่วนตัวจำนวนหนึ่งที่ศิษย์สายตรงสามารถเข้าไปอ่านหนังสือได้ แต่เพราะเวลาเป็นเงินเป็นทอง ศิษย์สายตรงส่วนใหญ่จึงมักเลือกหนังสือที่พวกเขาต้องการก่อนจะรีบทำสำเนาหนังสือเล่มนั้นโดยเร็วที่สุดขณะที่ยังอยู่ข้างใน


สำหรับจางเซวียน เขาไม่มีปัญหาอะไรมากนัก สิ่งที่ต้องทำก็คือกวาดสายตามองหนังสือทั้งหมดที่อยู่โดยรอบและพึมพำคำว่า ‘ข้อบกพร่อง’ ในใจ


ฟึ่บ!


เพียงเท่านั้น หนังสือทุกเล่มก็จะถูกถ่ายโอนเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง


จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าประสิทธิภาพการถ่ายโอนหนังสือของหอสมุดเทียบฟ้ายังคงเป็นปกติ เขาเกรงว่าหอสมุดเทียบฟ้าอาจมีบางอย่างเปลี่ยนไปหลังจากเข้าสู่มิติเบื้องบน แต่เท่าที่เห็น ทุกอย่างดูจะใช้การได้ดีเหมือนเดิม


จางเซวียนเดินไปค้นหาหนังสือในระดับที่สูงขึ้นและถ่ายโอนหนังสือทั้งหมดที่เขาหมายตาไว้


เพราะนี่คือหอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน หนังสือเทคนิคการต่อสู้และเทคนิควรยุทธส่วนใหญ่จึงอยู่ในขั้นนักปราชญ์โบราณเท่านั้น ไม่มีเทคนิคขั้นเสมือนอมตะให้เห็น ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่ยังเป็นของนักปราชญ์โบราณขั้น 1 ด้วย


เมื่อวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณเพิ่มสูงขึ้นทีละ 1 ขั้นย่อย ปริมาณหนังสือที่มีก็ดูจะลดลงอย่างฮวบฮาบ


ตอนนี้จางเซวียนเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้น จึงไม่สำคัญนักว่าเขาจะถ่ายโอนหนังสือที่ได้เห็นก่อนหน้านี้หรือไม่


จางเซวียนใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมงเพื่อถ่ายโอนหนังสือทั้งหมดในหอสมุด จากนั้นก็เดินออกมาแล้วจ่ายเงิน 8 เหรียญสำนักดาบก่อนจะกลับที่พัก


“เอาล่ะ ได้เวลาฝ่าด่านวรยุทธเสียที!”


เมื่อถ่ายโอนเทคนิควรยุทธที่จำเป็นไว้ได้มากพอ ก็ถึงเวลาที่เขาจะขยับวรยุทธของตัวเองสักหน่อย


จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนเตียงก่อนจะเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า เขารีบรวบรวมหนังสือเทคนิควรยุทธทั้งหมดของนักปราชญ์โบราณขั้น 4 เข้าด้วยกัน


“ประมวล!”


หนังสือทุกเล่มหลอมรวมกัน ก่อเกิดเป็นหนังสือเทคนิควรยุทธของนักปราชญ์โบราณขั้น 4 เล่มใหม่เอี่ยม


จางเซวียนรีบพลิกดูเพื่ออ่านรายละเอียด ครู่ต่อมาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก


เป็นอย่างที่เขาหวังไว้ สิ่งที่ประมวลออกมาได้อยู่ในระดับขั้นของเคล็ดวิชาเทียบฟ้า


จางเซวียนสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำยาเม็ดอมตะขั้นต้นที่เหลืออีก 7 เม็ดออกมาและกลืนลงไปเม็ดหนึ่ง


ฟิ้ววววววว!


พลังจิตวิญญาณเข้มข้นพวยพุ่งเข้าสู่ร่างของจางเซวียนทันที เขาขับเคลื่อนพลังปราณให้สอดคล้องกับเคล็ดวิชาเทียบฟ้าที่เพิ่งประมวลขึ้นใหม่


ขณะที่พลังจิตวิญญาณแปรสภาพเป็นพลังปราณ พละกำลังของเขาก็เพิ่มสูงขึ้น พลังปราณเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม


บึ้มมมม!


ครู่ต่อมา เกิดเสียงดังลั่นขณะที่จางเซวียนฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นกลางได้สำเร็จ เขากินยาเข้าไปอีกสองสามเม็ดและผลักดันวรยุทธต่อไป


“เอ๊ะ? ดูเหมือนอานุภาพของยาเม็ดอมตะขั้นต้นจะด้อยลงไปนะ?”


ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงให้หลัง วรยุทธของจางเซวียนก็มาถึงขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นสูง เขากินยาเม็ดอมตะขั้นต้นทั้ง 7 เม็ดหมดแล้ว แต่ด้วยประสิทธิภาพที่ลดลง สุดท้ายจึงสำเร็จแค่ขั้นสูงเท่านั้น ยังห่างไกลจากการสำเร็จขั้นโลกจารึก


“เคล็ดวิชาเทียบฟ้าต้องการพลังจิตวิญญาณที่มีคุณภาพสูงจริงๆ!” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะหยุดการฝึกฝนวรยุทธ


โดยทั่วไป ยาเม็ดอมตะขั้นต้นใช้ได้ผลดีแม้แต่กับนักรบเสมือนอมตะ แต่ตอนนี้มันแทบไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาอีกแล้ว


จะว่าไป ต่อให้ไม่มียาเม็ดอมตะขั้นต้น เพียงแค่ซึมซับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทที่อบอวลอยู่ในอากาศ เขาก็ยังพัฒนาตัวเองได้รวดเร็วกว่าเมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์มาก แต่นั่นแหละ ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 เดือนกว่าจะสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึก


คงเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่หากต้องใช้เวลานานขนาดนี้เพียงเพื่อยกระดับวรยุทธให้ก้าวหน้าไปแค่ไม่กี่ขั้น


“ในเมื่อเงินยังเหลือ เราควรจะไปหาซื้อยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานไหม?” จางเซวียนนึกสงสัย


เขาเพิ่งได้เงินมา 1,400 เหรียญสำนักดาบ และใช้ไปแค่ 8 เหรียญเท่านั้น ในเมื่อตอนนี้ไม่มีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องใช้เงิน ก็น่าจะดีที่สุดที่จะยกระดับวรยุทธไปเป็นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกให้ได้เสียก่อน


จางเซวียนนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลออกมาและเข้าสู่หอนิรันดร์อีกครั้ง


คราวนี้เขาไม่ได้มุ่งหน้าไปที่สังเวียนประลอง แต่ตรงไปยังโซนที่มีการซื้อขาย


“ยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐาน? ราคาเม็ดละ 200 เหรียญสำนักดาบ” เจ้าหน้าที่บอกจางเซวียน


“200 เหรียญสำนักดาบ?” จางเซวียนถึงกับงง


นี่มันราคาบ้าบออะไร?


ยาเม็ดอมตะขั้นต้นราคาเพียงเม็ดละ 2 เหรียญสำนักดาบเท่านั้น แต่ยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานมีราคาถึงเม็ดละ 200 เหรียญ ต่างกันเป็นร้อยเท่า!


“ยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานใช้กันในหมู่นักรบอมตะตัวจริง ผู้ที่สำเร็จวรยุทธขั้นนั้นแล้วก็มีแต่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหรือไม่ก็ศิษย์สายตรงฝ่ายใน สำหรับพวกเขา เงิน 200 เหรียญสำนักดาบไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก” เจ้าหน้าที่อธิบาย


“แน่นอนว่าเหตุผลที่มันมีราคาแพงก็เพราะมีองค์ประกอบของสมุนไพรที่มีราคาแพงอยู่มากมาย อีกอย่าง กระบวนการหลอมยาก็ต้องได้รับการควบคุมอย่างใกล้ชิดจากนักปรุงยา ปริมาณยาที่ได้จึงมีจำกัดมาก”


จางเซวียนถอนหายใจเฮือก


ขนาดศิษย์สายตรงอย่างจูเหยียนจื่อยังมีเงินเกือบพันเหรียญอยู่กับตัว ดังนั้น ถ้าเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดและเหล่าผู้อาวุโส ราคาของยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐานก็คงจัดว่าถูกสำหรับพวกเขา


“ผมซื้อ 5 เม็ด!” จางเซวียนตอบอย่างจนปัญญา


เขาเคยคิดว่าเงินที่เพิ่งได้มาคงช่วยให้เขาอยู่ได้สักพัก แต่ความเป็นจริงอันโหดร้ายก็ตีแสกหน้าของเขาอีกครั้ง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)