ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 197-200

 บทที่ 197 สิบล้าน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ปกติแล้ววินนี่จะกินอาหารแค่เพียงเล็กน้อย แต่อาหารกลางวันที่กินในวันนี้คือปลาที่เธอตกขึ้นมาด้วยตัวเอง ดังนั้นเธอจึงทุ่มเทกับการกินเป็นอย่างมาก เธอได้กินเนื้อปลาแมคเคอเรลไปหนึ่งชิ้น และเนื้อปลาเก๋าสืออีกสองชิ้น จากนั้นก็ใช้มือหนึ่งลูบคลำไปที่ท้องเล็กๆและเอานิ้วมือของอีกมือหนึ่งชี้ไปที่ลำคอ


นี่คือท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าตัวเองได้กินจนอิ่มแล้วของคนแคนาดาที่พบเห็นได้บ่อย โดยมีความหมายว่าอาหารได้ดันขึ้นมาจนถึงคอหอยแล้ว แต่ทว่าเมื่อฉินสือโอวเห็นวินนี่ทำท่าทางเช่นนี้ บางตำแหน่งในร่างกายของเขาจึงกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมา เขาแอบคิดไม่ดีขึ้นมาในใจว่า ถ้าหากต่อไปวินพูดกับเขาเช่นนี้อีก เมื่อบางตำแหน่งได้ดันมาถึงลำคอแล้วก็ควรที่จะรู้สึกสบายมากขึ้น


ขณะที่คิดเช่นนั้นอยู่ ฉินสือโอวก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆ จากนั้นจึงรีบทำเสียงหายใจดังออกมาและกินอย่างตะกละตะกลามเพื่อระงับจิตใจและอารมณ์ที่ผิดปกติไปของตนเอง


วินนี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงพยายามบอกให้เขากินให้ช้าลงหน่อย ฉินสือโอวจึงหาเหตุผลมาอ้างเรื่อยเปื่อย โดยบอกกับเธอว่าเขากินข้าวกับอีวิลสันหลายครั้งแล้วจึงทำให้เคยชินกับการกินอาหารอย่างเร่งรีบ


วินนี่เชื่อเขาอย่างสนิทใจ เพราะจากที่เธอเห็น ไม่ว่าใครก็ตามที่กินข้าวกับอีวิลสันแล้วหลายครั้งต่างก็จะมีนิสัยหรือความเคยชินเช่นนี้ เพราะถ้าหากคุณลงมือกินช้า ถ้าเช่นนั้นคุณก็จะสามารถทำได้แค่เลียก้นจาน


หลังจากที่กินอาหารเสร็จแล้ว วินนี่ก็เอาถ้วยชามไปทำความสะอาดและจัดเก็บไว้ในห้องครัว จากนั้นก็กลับมานั่งที่บนโซฟาแล้วมองดูท้องเล็กๆอันแบนราบด้วยความงุนงง เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “พระเจ้า ฉันยืนยันได้แล้วว่า มื้อนี้ทำให้ท้องของฉันอิ่มจนพุงกาง จะทำยังไงดี?”


ฉินสือโอวหัวเราะและบอกกับเธอว่าผมจะนวดให้คุณเอง ในขณะที่พูดอยู่ก็เอามือยื่นออกไป วินนี่ยิ้มหัวเราะและขัดขวางเขาไว้ ฉินสือโอวจึงผิวปากออกมาหนึ่งที ฉงต้า หู่จือและเป้าจือที่กำลังติดใจอยู่กับรสชาติอาหารที่อร่อยอยู่นั้นก็ได้โผเข้ามาหาเขาพร้อมกัน


ในขณะที่วินนี่กำลังหัวเราะคิกคักอยู่นั้น เธอไม่ทันที่จะได้ระวังตัว สุดท้ายฉินสือโอวจึงมีโอกาสได้สัมผัสท้องเธออย่างสะดวกสบาย


ช่วงเวลาที่ทั้งสองคนกำลังหยอกล้อกันอยู่นั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา เมื่อฉินสือโอวเห็นว่าเป็นเบอร์ของแอนโทนี่ ไวท์ ผู้จัดการทั่วไปของสำนักงานบัญชีเดลเลอร์ สาขาออตตาวาได้โทรศัพท์เข้ามา เขาจึงรีบรับสายทันที


ไวท์มักจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ช้าและเร็วจนเกินไป เขาบอกกับฉินสือโอวว่า “คุณฉิน สวัสดีครับ ผมได้ส่งรายละเอียดใบเสร็จทั้งหมดเกี่ยวกับภาษีในไตรมาสที่ 2 ไปในอีเมลของคุณแล้วนะครับ ถ้าคุณมีเวลาก็ตรวจสอบดูสักหน่อย หากมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็โทรศัพท์หาผมได้ทุกเวลา และถ้าหากไม่มีปัญหาอะไร ถ้าอย่างนั้นคุณก็จำหมายเลขบิลและหมายเลขซีเรียลประกันของผู้มีถิ่นที่อยู่อาศัยในประเทศนี้ และไปที่ซีอาร์เอประจำท้องถิ่น ทำตามระเบียบขั้นตอนต่างๆก็ได้แล้ว”


ซีอาร์เอคือกรมสรรพากรของแคนาดา (Canada-Revenue-Agency) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงด้านภาษีเงินได้ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กอย่างธุรกิจของฉินสือโอว


และใช่แล้ว แม้ว่าฉินสือโอวจะอ้างว่ามีฟาร์มปลาที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านหยวน แต่ในความเป็นจริงแล้วในแคนาดาธุรกิจแบบนี้จะถือว่าเป็นแค่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก นอกจากนี้ในการกำหนดไม่ได้ขึ้นอยู่กับมูลค่าของธุรกิจเป็นเกณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการเสนอตำแหน่งหน้าที่งานอีกด้วย


ฉินสือโอวได้เข้าอินเทอร์เน็ตไปดูอีเมล พูดแล้วก็รู้สึกละอายใจ ในความเป็นจริงแล้วรายได้ในไตรมาสที่2นั้นมาจากการประมูลสินค้า แต่การชำระภาษีไม่ใช่เพียงแค่ชำระภาษีการประมูลงานศิลปะ แต่ในแคนาดาแค่เพียงซื้อผัก ซื้อข้าวหรือซื้อเส้นก๋วยเตี๋ยวก็ต้องชำระภาษีเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการซื้อรถ ภาษีเหล่านี้ต่างก็เอามารวมเข้าด้วยกัน


แม้ว่าเขาจะมีทรัพย์สมบัติมาก แต่ก่อนที่ฉินสือโอวจะเปิดใบเรียกเก็บภาษีขึ้นมาดู เขาก็ยังรู้สึกตื่นกลัวเล็กน้อย กลัวว่าทรัพย์สินของครอบครัวครึ่งหนึ่งจะหลุดลอยหายไป


นี่ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย ข้อแรกคือ ภาษีของการประมูลงานศิลปะนั้นสูงมาก โดยคิดเป็นสัดส่วนที่เยอะจนน่าหวาดกลัวถึง 22% ในตอนแรกฉินสือโอวได้เงินจากการประมูลประมาณหกสิบล้านดอลลาร์แคนาดา ซึ่งภาษีที่ต้องจ่ายก็คือสิบสามล้านดอลลาร์แคนาดา!


หากแปลงเป็นเงินหยวนจะเป็นเท่าไรกันนะ? หกสิบห้าล้านหยวน! ทั้งหมดหกสิบห้าล้านหยวน!


นอกจากนี้ ฟาร์มปลายังติดหนี้รัฐบาลอยู่อีก ในครั้งนี้คงจะต้องชำระพร้อมกับภาษีอย่างแน่นอน แต่เพียงแค่นี้แฮมเล็ตก็ไว้หน้าเขามากแล้ว โดยที่ไม่เคยไล่ตามก้นทวงเงินจากเขาเลย


สุดท้ายเมื่อเปิดใบเรียกเก็บภาษีขึ้นมาดู จำนวนเงินที่เขาต้องชำระภาษีทั้งหมดก็คือ 10,855,542 ดอลลาร์แคนาดา ซึ่งก็คือสิบล้านกว่า แต่ไม่ถึงสิบเอ็ดล้าน


จิตสำนึกของฉินสือโอวคิดว่าต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ เพราะแค่ภาษีของการประมูลงานศิลปะก็ควรจะเป็นสิบสามล้านดอลลาร์แคนาดาแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภาษีที่เขาซื้อรถ ซื้อเรือยอชต์อีก ดังนั้นภาษีควรที่จะสูงขึ้นกว่านี้ถึงจะถูก


บนใบเรียกเก็บภาษีได้แสดงให้เห็นชุดตัวเลขที่ถี่ยิบ ฉินสือโอวมองดูจนตาลาย วินนี่จึงเอ่ยถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงอธิบายทั้งหมดให้เธอฟัง


“คุณต้องจ่ายค่าภาษีสิบเอ็ดล้านดอลลาร์แคนาดาเหรอ? วินนี่อ้าปากค้างเพราะความตกใจ ถึงแม้ว่าเธอจะคุ้นเคยกับเหล่ามหาเศรษฐี แต่หลังจากที่ได้ยินจำนวนเงินนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก


ฉินสือโอวเกาศีรษะและเอ่ยออกมาว่า “น่าจะเป็นสิบสี่สิบห้าล้านนะ? ดูเหมือนจะคำนวณผิด”


วินนี่มองดูเอกสารและอธิบายขึ้นมาว่า “ไม่ผิดหรอก สำนักงานบัญชีเดลเลอร์ไม่น่าจะคิดภาษีผิด ไม่ต้องมามองฉัน ไม่ใช่ว่าฉันมีความเชื่อมั่นในตัวพวกเขา แต่ประโยคนี้คือสโลแกนของพวกเขา อ้อ ฉันดูเข้าใจแล้ว พวกเขาดำเนินการหลีกเลี่ยงภาษีให้กับคุณ”


 “คุณได้เสนอตำแหน่งหน้าที่งานสามอย่าง นั่นก็คือรับเลี้ยงเด็กสี่คนและเยาวชนที่มีพัฒนาการทางสมองช้าอีกหนึ่งคน อีกทั้งพวกเด็กๆและเยาวชนคนนี้ต้องประสบกับความเคราะห์ร้ายเพราะความละเลยของรัฐบาลในประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถหลีกเลี่ยงภาษีได้มากนอกจากนี้คุณยังเลี้ยงสุนัขแลบราดอร์อีกสองตัว นี่ก็สามารถที่จะหลีกเลี่ยงภาษีได้เช่นกัน”


ฉินสือโอวหัวเราะชอบใจออกมา “อย่ามาล้อเล่นเลย เลี้ยงสุนัขก็สามารถหลีกเลี่ยงภาษีได้เหรอ?”


วินนี่พยักหน้าอย่างจริงจังและเอ่ยออกมาว่า “แน่นอนสิ เพราะว่าสุนัขที่คุณเลี้ยงคือแลบราดอร์ ซึ่งเป็นสัตว์พื้นเมืองของรัฐนิวฟันด์แลนด์ กฎหมายภาษีได้กำหนดไว้แล้วจริงๆ ถ้าหากคุณสนับสนุนในการคุ้มครองสัตว์เลี้ยงที่เป็นสายพันธุ์ของท้องถิ่นก็สามารถที่จะหลีกเลี่ยงภาษีได้ นี่เป็นการส่งเสริมให้คนในท้องถิ่นอนุรักษ์สัตว์สายพันธุ์พื้นเมืองของตัวเอง”


เมื่อได้ยินดังนั้นฉินสือโอวจึงเกาหัว มิน่าล่ะที่เกาะแฟร์เวลแทบจะเลี้ยงสุนัขแลบราดอร์กันทุกบ้าน


เดลเลอร์คู่ควรที่จะเป็นสำนักงานบัญชีชั้นนำระดับโลก พวกเขามีความชำนาญในการหลีกเลี่ยงภาษีเป็นอย่างมาก ฉินสือโอวซื้อลูกปลา ซ่อมแซมท่าเรือ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่ต้องจ่ายภาษี แต่ยังสามารถหลีกเลี่ยงภาษีได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อลูกปลา สำนักงานบัญชีได้ใส่สมญานามให้กับเขาว่า “ผู้ใจบุญที่มีความกระตือรือร้นในการฟื้นฟูฟาร์มปลาในนิวฟันด์แลนด์ให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง” ซึ่งในส่วนนี้สามารถประหยัดเงินภาษีได้เกือบหนึ่งล้านดอลลาร์แคนาดา


แค่ใบเสร็จแสดงรายการภาษีเงินได้ใบเดียว ฉินสือโอวจะต้องจ่ายเงินให้กับสำนักงานบัญชีเดลเลอร์เป็นจำนวนเงินถึงแปดหมื่นดอลลาร์แคนาดา แต่ทว่ามันก็คุ้มค่ามากจริงๆ หากในตอนแรกเขาเลือกที่จะประหยัดเงินในส่วนนี้ ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะต้องจ่ายเงินภาษีอย่างน้อยยี่สิบห้าเท่าของเงินส่วนนี้


ในเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องชำระค่าภาษี ในช่วงบ่ายฉินสือโอวเห็นว่าสำนักงานสรรพากรของเมืองแฟร์เวลได้เปิดทำการอยู่ เขาจึงจะเอาบัตรธนาคารไปชำระค่าภาษีที่นั่นเสียเลย


สุดท้าย เมื่อเขาขับรถมาถึงกรมสรรพากร ก็มีกลุ่มคนที่สวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อยเข้ามาพอดิบพอดี ซึ่งกลุ่มคนจีนที่มีลักษณะสง่าผ่าเผยเหล่านี้ได้มาเยี่ยมชมรัฐบาลเมืองที่ตั้งอยู่ข้างๆ ในจำนวนนั้นได้มีแฮมเล็ตและเออร์บักยืนเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆด้วย


นี่คือการพบเจอเพื่อนร่วมชาติที่มาท่องเที่ยวศึกษาดูงาน ไม่ว่าอย่างไรฉินสือโอวก็จะต้องขึ้นไปทักทายเสียหน่อย


แฮมเล็ตแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน โดยบุคคลที่เป็นหัวหน้าในการนำคณะศึกษาดูงานในครั้งนี้ชื่อว่า ‘เอี๋ยนตงเหล่ย’ ซึ่งเป็นผู้ชายที่สวมแว่นตา ดูแล้วมีวิชาความรู้และมีความสง่า มีอายุราวๆสี่สิบปีและมีลักษณะนิสัยเฉพาะตัวที่ดี แค่ดูก็รู้แล้วว่าเขาได้ถูกอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี


ฉินสือโอวได้จับมือกับเขา และคิดว่าเขาเป็นแค่พวกเจ้าของบริษัทการท่องเที่ยว สุดท้ายเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อแฮมเล็ตได้พูดแนะนำให้เขารู้จัก เพราะว่าบุคคลท่านนี้เป็นคนที่มีภูมิหลังที่ดีมาก เขาเป็นประธานของสมาคมช่วยเหลือคนแคนาดาเชื้อสายจีนแห่งนิวฟันด์แลนด์


สมาคมช่วยเหลือคนแคนาดาเชื้อสายจีน (Canadian-Chinese-Societies) มีชื่อย่อว่าซีซีเอส ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองที่มีชื่อเสียงมากในแคนาดา เป็นหน่วยงานที่เป็นหัวใจสำคัญของคนแคนาดาเชื้อสายจีนและชาวจีนโพ้นทะเล เมื่อขณะที่ฉินสือโอวไปทำวีซ่า สถานทูตก็ได้บอกกับเขาไว้หนึ่งประโยคว่า “เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่าพึ่งไปหาตำรวจหรือทนายความ ให้ไปหาซีซีเอสก่อน”


ดังนั้นจึงเป็นการแสดงให้เห็นว่ากลุ่มการเมืองกลุ่มนี้มีศักยภาพมากเพียงใดในแคนาดา


ฉินสือโอวไม่เข้าใจว่าเกาะแฟร์เวลเป็นสถานที่ที่ทั้งเล็กและทรุดโทรมขนาดนี้ อีกทั้งยังเป็นแค่เส้นทางบุกเบิกการท่องเที่ยวเฉพาะในประเทศ แต่ทำไมถึงสามารถไปกระตุกความสนใจของคนใหญ่คนโตขนาดนี้ได้ แต่ในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะเอ่ยถามออกมา เขาจึงทำได้เพียงแค่เก็บความสงสัยไว้ในใจ


“คุณฉินมาที่นี่มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ?” เอี๋ยนตงเหล่ยพูดออกมาอย่างสุภาพ “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจหรอกครับเพราะว่าเราเป็นเพื่อนร่วมชาติกัน คุณควรจะเข้ามาทักทายสักเล็กน้อย เชิญคุณยุ่งกับงานของคุณก่อนเถอะครับ เสร็จงานแล้วค่อยมาคุยกันก็ได้ครับ”


ฉินสือโอวได้สะบัดใบเรียกเก็บภาษีที่ถืออยู่ในมือและเอ่ยขึ้นว่า “ผมมาที่นี่เพื่อชำระภาษี ไม่ได้มีธุระอะไรมาก ถือว่าเป็นพรหมลิขิตที่ได้มาพบเจอคนชาติเดียวกัน ยังไงก็ต้องมาพูดคุยสักเล็กน้อย”


แค่ได้ยินคำพูดนี้ แววตาของแฮมเล็ตก็เป็นประกาย และรีบเอ่ยถามขึ้นว่า “ฉิน ชำระเงินภาษีไปเท่าไร?”


คนแคนาดากับคนเชื้อสายจีนนั้นแตกต่างกัน คนเชื้อสายจีนจะให้ความสำคัญกับการปกปิดเรื่องทรัพย์สิน โดยเฉพาะเมื่อมีคนนอกอยู่ด้วย แต่สำหรับคนแคนาดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนบ้านชาวอเมริกันของพวกเขาคนพวกนี้จะแตกต่างจากคนเชื้อสายจีนมาก พวกเขามีความตรงไปตรงมา และยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเงินแล้ว ต้องมีความเปิดเผย ไม่สามารถที่จะหลบๆซ่อนๆได้


ฉินสือโอวนั้นมีสติปัญญาที่เฉียบไว เขาได้เอาใบเรียกเก็บภาษียื่นให้กับแฮมเล็ต เมื่อท่านนายกเทศมนตรีได้ดูเพียงครู่เดียว แววตาก็ได้เป็นประกายคล้ายกับไฟดักปลาขึ้นมาทันที “พระเจ้า สิบล้านแปดแสนดอลลาร์แคนาดา?”


คนที่มาศึกษาดูงานที่อยู่รอบๆและสามารถฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง ต่างก็แสยะปากออกมาทันที


 ……………………………………………………….


บทที่ 198 จะเจาะหาช่องทางอย่างไร

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผู้คนมากกว่าครึ่งที่อยู่ตรงนั้นได้ใช้สายตาที่แปลกประหลาดใจมองมาที่ฉินสือโอวทันที เหลือเพียงไม่กี่คนที่ฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยออก เพราะว่าแฮมเล็ตพูดด้วยความเร็ว ดังนั้นคนที่ฟังไม่ออกจึงเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงเบาๆว่า “ทำไมเหรอ ทำไมพวกเธอทำหน้าแบบนี้กันหมดล่ะ?”


“พ่อหนุ่มคนนี้มาจ่ายค่าภาษี และต้องจ่ายภาษีมากกว่าสิบล้านดอลลาร์แคนาดา!”


“ไอ้หยา อะไรเนี่ย มากกว่าสิบล้านเลยเหรอ ค่าภาษีในแคนาดาช่างโหดร้ายจริงๆ เงินจำนวนนี้สามารถซื้อบ้านสองหลังในเมืองหลวงได้เลย”


“เธอล้อฉันเล่นใช่ไหม เงินมากกว่าสิบล้านดอลลาร์แคนาดา ซื้อวิลล่าสองหลังยังได้เลย!”


ฉินสือโอวแอบคิดอยู่ในใจ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ที่อยู่ในประเทศจีน ถ้าเขาสามารถชำระค่าภาษีสิบล้านได้ เขาแทบอยากที่จะให้คนรอบข้างทุกคนรู้


แต่ในตอนนี้เมื่อเขาได้มาอยู่ที่เกาะแฟร์เวล เขากลับไม่คิดเช่นนั้นแล้ว ซึ่งเหตุผลข้อแรกเป็นเพราะว่าเมืองเล็กๆ มีประเพณีนิยมของสังคมที่ธรรมดาและเรียบง่าย ทำให้อารมณ์ที่ดุร้ายของเขาสงบลง ข้อที่สองคือการที่เขาได้ใช้ชีวิตแบบคนรวยมาหลายเดือน ทำให้ระดับชนชั้นของเขาสูงขึ้นมาก จึงเรียนรู้ที่จะซ่อนเร้นความสามารถของตัวเองได้ และชอบที่จะจัดการความฟุ้งเฟ้อหรูหราอย่างเงียบๆ


ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนทันที เขารู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยจึงยิ้มออกมาและไม่ได้ขานรับคำพูดของแฮมเล็ต


ในขณะนั้นเอี๋ยนตงเหล่ยก็ยิ้มมุมปากออกมาเช่นกัน จากนั้นจึงเอ่ยถามฉินสือโอวออกมาอย่างตรงไปตรงมา “คุณฉิน คุณสนใจการเมืองบ้างไหม? มีความเข้าใจเกี่ยวกับพวกพรรคเสรีนิยมไหม?”


ฉินสือโอวยิ้มอย่างเก้อเขินและเอ่ยออกมาว่า “ขอโทษด้วยนะครับ ประธานเอี๋ยน ผมพึ่งมาแคนาดาได้ไม่กี่เดือนเองครับ และมาอยู่ที่สถานที่เล็กๆอย่างเมืองแฟร์เวล จึงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเมืองสักเท่าไรครับ”


เขาขยิบตาให้กับเออร์บัก คุณลุงเป็นเหมือนคนรู้ใจสำหรับเขาอยู่เสมอ เออร์บักจึงหันหลังและเดินเข้าไปที่กรมสรรพากรที่อยู่ข้างๆ รัฐบาลเมืองอย่างเงียบๆ


ทันทีหลังจากนั้น เมื่อเออร์บักออกมาได้ประมาณสองนาที เจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรคนหนึ่งก็ได้เดินออกมาและเอ่ยขึ้นว่า “พวกคุณจะมาชำระภาษีใช่ไหม? รีบหน่อยนะคะ เพราะเครื่องพิมพ์ใบเสร็จของเรามีปัญหา อีกสักครู่ต้องส่งไปซ่อมที่นครเซนต์จอห์น”


ฉินสือโอวใช้โอกาสนี้กล่าวคำบอกลาและเดินออกมา เขาเดินเข้าไปในกรมสรรพากร เอาเอกสารอาทิเช่นใบเรียกเก็บภาษีและหมายเลขซีเรียลประกันสังคม ยื่นให้กับเจ้าหน้าที่


สำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กอย่างเขา การชำระภาษีจึงไม่ง่ายเหมือนกับการชำระภาษีของบุคคลธรรมดา เมื่อเซ็นชื่อเสร็จแล้ว จำเป็นที่จะต้องกรอกเอกสารและแบบฟอร์มรายงานสามสี่ชุด อีกทั้งเขาก็ยังไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ยุ่งยากมากยิ่งขึ้น


ใช้เวลาในการกรอกเอกสารต่างๆไปกว่าครึ่งชั่วโมง ฉินสือโอวถึงจะสามารถเอาหนังสือรับรองการชำระภาษีมาได้ สังคมทุนนิยมนั้นก็มีข้อดีเหมือนกัน ซึ่งก็คือสวรรค์สำหรับคนมีเงิน เพราะว่าฉินสือโอวชำระภาษีไปมากกว่าสิบล้านดอลลาร์แคนาดา ดังนั้นระดับชั้นประกันสังคมของเขาก็เลื่อนขึ้นเช่นกัน สิ่งนี้เปรียบเหมือนกับรัฐบาลในประเทศได้มอบเหรียญที่มีประโยชน์อย่างเหรียญ “ผู้ชำระภาษีรายใหญ่” ให้กับคุณ


ปัจจุบันระดับชั้นประกันสังคมของเขาเพียงพอที่จะคุ้มครองเขาเมื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อกรณีพิพาททางกฎหมายแพ่งและอาญาในอนาคต สถานีตำรวจท้องที่ต้องได้รับหมายค้นจากศาลเขตปกครองก่อนถึงจะสามารถค้นบ้านเขาได้ นอกจากนี้เขายังได้รับหลักประกันในการเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดของรัฐบาลอีกด้วย


สังคมทุนนิยมคือสังคมที่ไม่มีความยุติธรรม ในประเทศจีนการรู้จักคนเยอะและตำแหน่งหน้าที่จะเป็นตัวตัดสินทุกอย่าง แต่สำหรับที่แคนาดากลับเป็นเงินทองที่เป็นตัวตัดสินทุกอย่าง


ขอเพียงแค่คุณมีเงินเพียงพอแก่ความต้องการ ต่อให้คุณเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่ง คนอเมริกันก็ยินดีที่จะก้มหัวให้กับคุณ นี่คือภาพยนตร์ที่โด่งดังมาก ซึ่งมีชื่อว่า ‘กาลครั้งหนึ่งในอเมริกา(Once upon a time in America)’ ซึ่งแม็กซ์ได้เคยพูดกับตัวเอกที่ชื่อนูดเดิลด้วยประโยคหนึ่งว่า “จี้ถูกจุดสำคัญ”


หลังจากที่รูดบัตรชำระค่าภาษีได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ของฉินสือโอวก็ดังขึ้น ซึ่งอลัน แบรนดอน นายธนาคารของธนาคารมอนทรีออลสาขานิวฟันด์แลนด์เป็นคนโทรศัพท์เข้ามา เขาได้พูดด้วยความกระตือรือร้นขึ้นว่า “ฉิน ผู้จัดการที่ดูแลบัญชีธนาคารของนายบอกกับฉันว่าบัตรธนาคารของนายได้สูญเสียเงินไปมากกว่าสิบล้านดอลลาร์แคนาดา ถ้าฉันเดาไม่ผิด นายจ่ายค่าภาษีแล้วใช่ไหม?”


สำหรับอลัน แบรนดอน ฉินสือโอวยังคงมีความรู้สึกที่ดีต่อเขาเป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนช่วยให้ฉินสือโอวได้รับใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ดังนั้นเขาจึงเอ่ยออกมาว่า “ใช่แล้ว ฉันพึ่งชำระไปเมื่อสักครู่นี้เอง”


แบรนดอนโทรศัพท์เข้ามาโดยที่ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไร แต่ยังคงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงิน เขาได้พูดอ้อมค้อมไปต่างๆนานาตั้งแต่เรื่อง ครอบครัว ฟาร์มปลา บาสเกตบอล การแข่งขันม้า ไปจนถึงเรื่องของไวน์ และสุดท้ายเขาก็ได้วกกลับมาพูดเข้าเรื่องอย่างจริงจังขึ้นว่า “ไตรมาสหน้าถ้านายอยากได้ใบเสร็จแสดงรายการภาษีเงินได้ ฉันแนะนำให้นายลองใช้บริการธนาคารของเราดู เรามีผู้จัดการเฉพาะทางที่ทำงานเกี่ยวกับสรรพากร ทั้งหมดต่างเป็นบุคลากรที่มีความสามารถที่ได้รับเงินเดือนสูงจากกรมสรรพากร”


ฉินสือโอวจึงรับปากแบรนดอน เพราะว่าไตรมาสนี้ตัวเขาเองคงจะไม่ได้รับรายได้อะไรที่มากมาย อีกทั้งยังเป็นการไว้หน้าให้กับแบรนดอนอีกด้วย


สุดท้าย ในความเป็นจริงมักมีการเปลี่ยนแปลงแผนอยู่เสมอ


ขณะที่เขายังคงคิดคำนวณอยู่ว่าในตัวเขายังเหลือเงินอยู่เท่าไรนั้น โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้นักดำน้ำที่ชื่อบิลลี่ สเต็มเมอร์ ของบริษัทโอดิสซีย์ มารีน เอ็กซ์โพลเรชั่นเป็นคนโทรเข้ามา “ฉิน ฉันมาถึงนครเซนต์จอห์นแล้ว นายอยู่ที่เมืองแฟร์เวลใช่ไหม? ถ้าฉันจะไปหาตอนนี้นายสะดวกไหม?”


ฉินสือโอวแอบพูดในใจขึ้นว่า นายมาถึงเซนต์จอห์นแล้ว ฉันจะบอกได้เหรอว่าตัวเองไม่สะดวก? ดังนั้นฉินสือโอวจึงบอกที่อยู่กับเขาไป และบอกว่าตัวเองจะไปรอเขาที่ท่าเรือ


บิลลี่เหมือนกับรู้ว่าฉินสือโอวไม่ค่อยอยากที่จะต้อนรับเขา เขาจึงพูดอย่างตรงประเด็นออกมาว่า “ที่ฉันมาในครั้งนี้ ฉันได้เอาแผนงานที่จะช่วยนายเอาวัตถุเงินหนึ่งร้อยตันขึ้นมาจากทะเลมาด้วย ถ้าหากไม่มีปัญหาอะไร ใช้เวลามากสุดหนึ่งเดือนวัตถุเงินเหล่านี้ก็จะกลายเป็นเงินสดแล้ว!”


‘อะไรวะเนี่ย’ เมื่อวางสายโทรศัพท์แล้วฉินสือโอวจึงสบถคำด่าระดับชาติขึ้นมาในใจ เขาพึ่งจะนึกออกว่า ไตรมาสนี้รายรับของเขาคงจะไม่ใช่ค่อนข้างน้อยอีกแล้ว แต่น่าจะเป็นค่อนข้างเยอะมาก! ถึงตอนนั้นหากเขาให้ธนาคารมอนทรีออลเป็นคนช่วยจัดการเรื่องหลีกเลี่ยงภาษีให้ ไม่รู้ว่าจะสามารถเชื่อถือได้หรือไม่


กว่าที่บิลลี่จะมาถึงเกาะแฟร์เวลคงยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก ฉินสือโอวจึงกลับไปที่วิลล่าเพื่อที่จะวางหนังสือรับรองการชำระภาษีก่อน จากนั้นจึงบอกกับวินนี่ว่าจะมีเพื่อนมาที่วิลล่า


เมื่อวินนี่ฟังเขาพูดจบ เธอจึงเอ่ยออกมาว่า “บิลลี่ สเต็มเมอร์เหรอ? ฉันรู้จักคนนี้ เขามีชื่อเสียงมากในไมอามี เขาคือ อืม” เธอเม้มปากยิ้มและพูดต่อ “เขาคือเพลย์บอยที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากคนหนึ่ง และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดำน้ำที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่งอีกด้วย”


เมื่อได้ยินว่าเจ้าหมอนี่เป็นเพลย์บอย ฉินสือโอวจึงรีบพูดหักล้างความสัมพันธ์ทันที “ผมไม่รู้จักเขา ที่เขามาในครั้งนี้ก็เพื่ออยากมาเอาสมุดบันทึกจากผม ผมเคยได้สมุดบันทึกนี้มาจากในทะเล เป็นสมุดบันทึกของกัปตันเรือดังเคิลออสเตียสของเนเธอร์แลนด์ และดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับคดีของอเมริกากับเนเธอร์แลนด์”


วินนี่ตะลึงงันและรีบเอ่ยออกมาทันทีว่า “ดูเหมือนจะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าคุณสังเกตไหมว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทโอดิสซีย์ มารีน เอ็กซ์โพลเรชั่นกับรัฐบาลของเนเธอร์แลนด์นั้นค่อนข้างตึงเครียด ทั้งสองฝ่ายแทบอยากจะให้อีกฝ่ายล้มละลายขึ้นมาทันทีทันใด ฉันคิดว่าที่คุณสเต็มเมอร์รีบมาหาคุณขนาดนี้ คงตั้งใจที่จะสร้างความลำบากให้กับรัฐบาลเนเธอร์แลนด์”


ฉินสือโอวไม่รู้จริงๆว่าข้างในนั้นมีเรื่องอะไร เขาจึงเอ่ยถามออกมาว่า “หมายความว่ายังไงเหรอ? บริษัทกู้เรืออับปางกับรัฐบาลเนเธอร์แลนด์จะสามารถมีพิรุธอะไรกันได้เหรอ? หรือว่าพวกเขากู้ของอะไรขึ้นมาได้ แล้วรัฐบาลเนเธอร์แลนด์แย่งเอาไป?”


วินนี่จึงยิ้มและเอ่ยออกมาว่า “คุณนี่ความรู้สึกไวเหมือนกันนะเนี่ย ใช่แล้ว คือเรื่องนี้แหละ แต่ของที่บริษัทโอดิสซีย์ถูกแย่งไปนั้นไม่ใช่ของที่ธรรมดาเลย แต่มันคือสมบัติล้ำค่าทั้งหมดที่เก็บไว้บน ‘เรืออับปางเมอซี่’ ซึ่งมีมูลค่ารวมมากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ข้างบนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเหรียญทองคำและเหรียญเงิน ซึ่งมีน้ำหนักถึงสี่หมื่นเก้าพันปอนด์!”


“แม่ง ดีมากเลย!” ฉินสือโอวไม่สนใจหญิงสาวอันเป็นที่รักที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาได้อ้าปากสบถคำด่าระดับชาติคำใหม่ออกมา


วินนี่เห็นว่าฉินสือโอวไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแท้จริง เธอจึงพูดแนะนำให้เขาฟังว่า “เรื่องนี้โด่งดังในอเมริกามาก เป็นเรื่องที่ทุกคนพูดถึงกันมาก เกาะแฟร์เวลเป็นเมืองในอุดมคติที่มีแต่ความสงบสุข อาจจะไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับข่าวสารประเภทนี้”


“เรือรบเมอซี่ เป็นเรือรบคุ้มกันลำหนึ่งของสเปน ในวันที่ 5 เดือนตุลาคม ปี 1804 เรือรบลำนี้ได้ออกจากมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย ลำเลียงและคุ้มกันเหรียญทองมูลค่า 58.09 ล้านเปโซ เหรียญเงินมูลค่า900,000เปโซ เหรียญทองแดงและแท่งดีบุกอีกราวๆ 2000 โดยจะลำเลียงไปยังท่าเรือการ์เด”


“ก่อนที่จะมาถึงท่าเรือการ์เดหนึ่งวัน เรือรบเมอซี่ได้ถูกโจมตีโดยกองทัพเรืออังกฤษที่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจสูงสุดในยุโรปกับฝรั่งเศส หลังจากที่มีการต่อสู้ทางทะเลไม่กี่นาที เรือรบเมอซี่ก็ได้จมหายลงไป และเนื่องจากไม่มีใครรู้สถานที่ที่เรือจมที่แน่นอน ทรัพย์สมบัติที่อยู่บนเรือจึงได้จมอยู่ที่ก้นทะเลตลอดมา”


“เมื่อห้าปีที่ผ่านมาบริษัทโอดิสซีย์ มารีน เอ็กซ์โพลเรชั่นได้ก่อตั้งโครงการกู้เรือทางทะเล โดยใช้ชื่อโครงการว่า ‘ไนส์ กูซ’ ซึ่งพวกเขาได้หาเรือรบเมอซี่พบแล้ว และใช้เรือดำน้ำขนาดเล็กกู้เหรียญทองคำและเหรียญเงินประมาณ 500,000 เหรียญขึ้นมาจากเรืออับปาง จากนั้นก็ส่งไปที่รัฐฟลอริดา”


“หลังจากที่รัฐบาลสเปนได้รู้ข่าวนี้ ก็ได้ส่งหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องไป อาทิเช่น กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงกลาโหม กระทรวงกฎหมาย สถานทูตสหรัฐอเมริกา และกรมวิจัยโบราณคดีแห่งชาติ และได้ว่าจ้างสำนักงานกฎหมายสตาร์ให้ขึ้นศาลพิจารณาคดีกับบริษัทโอดิสซีย์ มารีน เอ็กซ์โพลเรชั่น สุดท้ายก็ชนะการฟ้องร้องคดีในศาลยุติธรรมสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกา และเมื่อต้นปีเครื่องบินขนส่งสองลำได้ถูกนำมาใช้เพื่อขนทรัพย์สินเหล่านั้นกลับประเทศไป”


“และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทั้งบริษัทโอดิสซีย์ต่างไม่พอใจกับเรื่องนี้มาก เพราะนี่คือทรัพย์สินมูลค่านับหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ พวกเขากู้พวกมันขึ้นมาอย่างยากลำบาก สุดท้ายแค่เนเธอร์แลนด์ขยับปากไม่กี่คำก็สามารถแย่งเอาไปได้แล้ว ถ้าหากจะบอกว่าพวกเขาไม่อยากจะแก้แค้น นั่นก็คงไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอน”


“ดังนั้น ฉันว่านะ สมุดบันทึกเล่มนี้ของคุณ อาจจะเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดข้อพิพาทครั้งใหญ่”


วินนี่ได้พูดอธิบายเรื่องนี้อย่างกระชับได้ใจความ และในขณะเดียวกันก็แสดงความคิดเห็นที่คลุมเครือของเธอออกมาว่า พยายามอย่าไปคลุกคลีกับข้อพิพาทระหว่างองค์กรขนาดใหญ่กับรัฐบาลนักเลง จะไม่เป็นผลดีกับตัวของเขาเอง


ในขณะที่ฟัง ฉินสือโอวก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง เขาเอามือลูบคาง แต่ความคิดของเขากลับคิดไปถึงเรื่องอื่น เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเอง แต่ดูจากภายนอกแล้วก็ยังสามารถเจาะหาช่องทางของโอกาสเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัวได้


…………………………………………….


บทที่ 199 เจ้าของสมบัติมาแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

เวลาบ่ายสองโมงครึ่ง ดวงอาทิตย์สาดแสงแผดเผา ราวกับว่าต้องการตากทุกอย่างให้แห้ง


อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของเกาะแฟร์เวลที่มีทะเลล้อมรอบ ทำให้มันไม่หวั่นไหวต่อแสงแดดอันแผดเผานั้น สายลมทะเลที่แสนอ่อนโยนพัดพาเอาไอน้ำจำนวนมหาศาลมาด้วย ทำให้อุณหภูมิก็ยังคงสูงเหมือนเดิม แต่ตราบใดที่ไม่ได้ยืนตากแดดเป็นเวลานาน สายลมทะเลที่พัดโชยอยู่นั้น จะทำให้ไม่รู้สึกถึงความเลวร้ายของอากาศ


บางบริเวณที่มีไอน้ำปริมาณมาก ในฤดูร้อนจะทำให้ผู้คนรู้สึกอยู่ในหม้อนึ่งตลอดเวลา แต่เกาะแฟร์เวลแห่งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากพวกมันใกล้ทะเลเป็นอย่างมาก ทำให้ลมทะเลที่พัดโชยมานั้นเย็นสบายตลอดเวลา


เมืองแฟร์เวลแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มากนัก ดังนั้นเรือเฟอร์รี่ที่แล่นมาจากนครเซนต์จอห์นมีเพียงวันละสองเที่ยวเท่านั้น เที่ยว 9.30 น.และเที่ยว 14.30 น.


ฉินสือโอวขับรถมารอที่ท่าเรือก่อนเวลา เวลา 14.40 น. เรือโดยสารค่อนข้างเก่าลำหนึ่งเทียบท่า มีคนเดินออกมาประปราย


เมืองเล็กนิดเดียว แค่หันซ้ายหันขวาก็เจอกัน ฉินสือโอวจำได้เกือบทุกคนแล้วล่ะ ดังนั้น เมื่อวัยรุ่นผมทองคนหนึ่งที่ถือกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กและใส่แว่นกันแดดขนาดใหญ่เดินลงมาจากท่าเรือ เขาก็รู้ทันทีว่าคนคนนั้นคือบิลลี่ สเต็มเมอร์


บิลลี่ สเต็มเมอร์เองก็รู้ได้ในทันทีว่าใครคือฉินสือโอว ท่าเรือนี้มีคนจีนเพียงคนเดียว หาตัวไม่ยาก


ฉินสือโอวเดินหน้าและยืนมือออกไป จับมือของบิลลี่แน่นและพูดว่า “ฉันคือฉิน พรรคพวก ยินดีต้อนรับเข้าสู่เกาะแฟร์เวล เดินทางเหนื่อยกันเลยล่ะสิ”


บิลลี่ดูเหมือนราวๆ 27 – 28 ปี สูงประมาณ 180 โครงใหญ่ไหล่กว้าง ผมสีทองถูกตัดจนสั้น ผมทุกเส้นตั้งตรงราวกับว่าบนหัวเต็มไปด้วยเหล็กหนาม ทำให้เขาดูเป็นคนก้าวร้าวอย่างมาก


เขาสวมเสื้อนอร์ธเฟซและกางเกงขายาวเจ็ดส่วนของไนกี้ ดูกระฉับกระเฉงและกำลังวังชา แสดงถึงวัยรุ่นของสหรัฐอเมริกา ที่มีความมั่นใจ ดื้อรั้น กล้าหาญและเอาแต่ใจ


แต่แน่นอนว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินสือโอว เขาจำเป็นต้องเก็บความดื้อรั้นและเอาแต่ใจไว้ จากนั้นถอดแว่นและยื่นมือไปจับมือในเวลาเดียวกัน บิลลี่พูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “ไม่หรอก ระหว่างทางก็ไม่เลว เพียงแต่แอร์โฮสเตสบนเครื่องบินจากไมอามี่ถึงเซนต์จอห์นเกรดต่ำไปหน่อย ไม่อย่างงั้นฉันคิดว่าการเดินทางครั้งนี้จะเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก”


ฉินสือโอวยิ้มอย่างสุภาพ ไม่แปลกใจเลยทำไมวินนี่จึงบอกว่าเจ้านี่เป็นเพลย์บอยที่มีชื่อเสียง กับคนแปลกหน้าอย่างตนที่เพิ่งพบกันครั้งแรกเจ้านี่ก็ได้พูดคุยถึงเรื่องผู้หญิง นี่มันม้าพ่อพันธุ์ในร่างคนชัดๆ


สิ่งเหล่านี้พูดไม่ได้ ฉินสือโอวแนะนำเกาะแฟร์เวลคร่าวๆ แล้วพาบิลลี่ขึ้นรถ


เมื่อเห็นรถคาดิลแลควัน บิลลี่หัวเราะและพูดว่า “นายได้ม้าดีแล้วล่ะ พรรคพวก เกร็กพี่ชายฉันก็มีคันหนึ่ง สมรรถนะดีเยี่ยม คนงานของดีทรอยต์ได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะชั้นยอดเลยล่ะ”


ตามปกติแล้ว ฉินสือโอวไม่ชอบคนที่ชอบตีสนิทอย่างบิลลี่เท่าไร แต่กับเจ้าบิลลี่คนนี้กลับผิดแปลกไป


เพิ่งรู้จักกันเขาก็กล้าที่จะโอบไหล่กอดคอกับฉินสือโอว แต่การพูดคุยเสียงดังและพูดหยอกล้อนั้น ไม่ได้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกรังเกียจแต่อย่างไร กลับรู้สึกสนิทกันมากขึ้นเพราะความเป็นกันเองของเขา ราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนกับคนอื่น


ขึ้นรถไม่นาน บิลลี่ก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉิน ฉันมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์สองข้อ ข้อแรกคือช่วยนายแก้ปัญญาเรื่องเงิน ข้อสองคือต้องการมาดูสมุดบันทึกของกัปตันเรือแห่งเรือดังเคิลออสเตียส หากเป็นไปได้ ฉันอยากได้มันมา”


ฉินสือโอวกล่าวว่า “รายละเอียดพวกนี้ เราค่อยคุยกันตอนถึงบ้านฉันแล้วกัน”


รถคาดิลแลควันขับเข้าไปในฟาร์มปลา และขับต่อไปอีกสักพักก่อนจะจอดหน้าบ้านพักตากอากาศ บิลลี่ทำเสียงจุๆ และพูดว่า “ว้าว พรรคพวก พื้นที่ส่วนตัวของนายกว้างเสียจริง ไม่แปลกเลยที่นายไม่สนใจเงินเหล่านั้น หากฉันมีฟาร์มปลาขนาดใหญ่อย่างนี้ แม้ว่าสมบัติของกษัตริย์โซโลมอนจะวางอยู่ข้างหน้าฉัน ฉันก็ไม่สนใจแล้วล่ะ”


ฉินสือโอวหัวเราะและบอกว่าชมเกินไปแล้ว เขาลงจากรถ หู่จือและเป้าจือวิ่งออกมาจากประตูอย่างมีความสุข บิลลี่อยากตีสนิทด้วย จึงผิวปากใส่แลบราดอร์สองตัว และพูดขึ้นว่า “หนุ่มน้อยทั้งสอง มานี่เร็ว ฉันชอบพวกแกมากเลย”


ความเป็นมิตรของเขาไม่ได้รับความสนใจ เมื่อหู่จือและเป้าจือได้ยินเสียงผิวปากของเขาก็เอนหัวมองไปที่เขา จากนั้นละสายตาจากเขาอย่างไม่ไยดี แล้วยังคงกระดิกหางและเดินตามฉินสือโอว


บิลลี่หัวเราะเสียงดัง เขาเดินนำหน้าฉินสือโอวและต้องการเข้าไปในบ้าน แต่ร่างอ้วนกลมร่างหนึ่งโผกระโจนออกมา แล้วชนเข้ากับอกของเขา


เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน เขาเดินถอยหลังอย่างรวดเร็วแต่เหยียบบันไดพลาดทำให้เขาเกือบหงายหลัง ดีที่ฉินสือโอวจับเขาไว้ทัน


เมื่อทรงตัวอยู่ บิลลี่ขวัญเสียเล็กน้อย เบิกตากว้างแล้วมองเจ้าขนฟูรูปร่างอ้วนกลมที่อยู่ตรงหน้า และพูดขึ้นว่า “พระเจ้า นี่มันอะไรกัน อย่าบอกฉันว่ามันคือหมีตัวหนึ่ง มีหมีที่รูปร่างหน้าตาอย่างนี้เชียวเหรอ”


ฉงต้ามองบิลลี่ด้วยสายตาบริสุทธิ์ ต้าป๋ายกระโดดขึ้นไปตรงไหล่ของมัน ทั้งสองขวางทางเอาไว้


ถูกหมีสีน้ำตาลที่มีความสูงเป็นครึ่งหนึ่งของคนโผกระโจนเข้าใส่ เขาตกใจเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่หมีเลย เมื่อคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย แม้แต่การถูกสุนัขตัวหนึ่งโผกระโจนเข้าใส่ ก็น่าจะตกใจจนตัวสั่นเลยล่ะ ดังนั้น บิลลี่รู้สึกกลัวเล็กน้อย


ฉินสือโอวอธิบายว่านี่คือสัตว์เลี้ยงของตน วินนี่เดินตามหลังมา กวักมือพูดกับฉงต้าว่า “มาหาแม่มา เด็กดี อย่าทำให้แขกตกใจสิ”


วินนี่ยังคงแต่งกายด้วยชุดเดรสสไตล์โบฮีเมียนและเสื้อชีฟอง ความเนิบนาบไม่เร่งรีบและบุคลิกภาพที่สง่างามผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว การปรากฏตัวของเธอทำให้บ้านหลังนี้ดูสดใสมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม


บิลลี่ส่งเสียง ‘ว้าว’ ออกมา จากนั้นหันไปขยิบตาให้ฉินสือโอว และยกนิ้วโป้งขึ้น


วินนี่ยิ้มให้เขาอย่างสุภาพเป็นการทักทาย จากนั้นพาหู่จือ เป้าจือและฉงต้าเดินเข้าไปในบ้าน


เมื่อเธอเดินเข้าไปในบ้านแล้ว บิลลี่พูดชื่นชมฉินสือโอวว่า “นายนี่มันผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตจริงๆ พรรคพวก นายเป็นคนที่ทำให้ผู้ชายสามพันล้านคนอิจฉาได้! นั่นคือแฟนสาวนายเหรอ เธอเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบเลยล่ะ!”


หลังจากที่นั่งรถกลับมาด้วยกันตลอดทาง บิลลี่และฉินสือโอวก็สนิทกันมากขึ้น เมื่อเข้าไปในบ้าน ทั้งสองหยิบเบียร์มาคนละขวดและนั่งลงตรงหน้าประตู และตัดเข้าสู่ประเด็นหลักในทันที


บิลลี่แนะนำตัวเป็นอันดับแรก เขาเป็นหุ้นส่วนเล็กๆ ของบริษัทโอดิสซีย์ มารีน เอกซ์พลอเรชั่น ตอนนี้เกร็ก สเต็มเมอร์ผู้จัดการของบริษัทเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขา จบด้านโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ตอนนี้เป็นนักดำน้ำในบริษัท


บิลลี่พูดถึงวิธีการจัดการกับเงินเหล่านั้นก่อน และพูดขึ้นว่า “เรือดังเคิลออสเตียสได้หายไปหลังจากพายุลมฝนครั้งหนึ่ง ตอนนั้นไม่มีใครทราบถึงตำแหน่งคร่าวๆ ที่มันจมลงไป ดังนั้นจึงไม่สามารถทำการกอบกู้มันขึ้นมาจากน้ำได้ ตอนนี้นายเป็นคนพบมัน มันอยู่ในทะเลลึกหรือทะเลตื้นล่ะ”


ไม่รอให้ฉินสือโอวตอบ เขาก็รีบอธิบายว่า “ฉันหมายความว่า หากอยู่ในทะเลลึก ฉันคงต้องให้เรือกู้ภัยของเรามาช่วยนายช้อนเงินน่ะ แต่หากว่าอยู่ในทะเลตื้น แน่นอนว่านายสามารถจัดการทั้งหมดนี้ด้วยตัวนายเอง แล้วฉันจะช่วยนายขายเงินเหล่านั้น”


ฉินสือโอวพูดว่า “การจัดการกับเงินเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร ฉันเพียงแต่ขายมันให้กับธุรกิจจำพวกโลหะมีค่าก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”


บิลลี่ส่ายหน้าและพูดว่า “มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น พรรคพวก ประการแรก เงินของนายบริสุทธิ์มากแค่ไหนล่ะ หากขายให้กับธุรกิจจำพวกโลหะมีค่าโดยตรง พวกเขาจะไม่ให้ราคาที่เป็นธรรมกับนาย ประการที่สอง เงินของนายมีปริมาณมากเกินไป ขาดแคลนหลักฐานที่แน่ชัดของแหล่งที่มา พวกเขาไม่กล้ารับซื้อหรอก ประการสุดท้าย แม้นายจะบอกว่านายช้อนมันขึ้นมาจากใต้ทะเล แต่ว่า พวกมันมาจากไหนกันล่ะ? ทะเลหลวง? น่านน้ำแห่งชาติ? ฟาร์มปลาส่วนตัว? แหล่งที่มาที่แตกต่างกันก็มีวิธีจัดการที่ไม่เหมือนกัน ระวังนายจะถูกรัฐบาลของนายจัดการเอาล่ะ”


ฉินสือโอวหัวเราะ ก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยถามเออร์บัก จริงที่ว่า เงินล็อตนี้มีปริมาณมากเกินไป จัดการได้ไม่ง่ายนัก


เห็นฉินสือโอวหัวเราะ บิลลี่เองก็หัวเราะตาม จากนั้นพูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ถ้าเราช่วยกัน เรื่องมันก็ง่ายเลยล่ะ โอดิสซีย์ของเราจัดการกับสมบัติที่ถูกกู้ขึ้นมาจากมหาสมุทรโดยเฉพาะ ดังนั้น ในด้านการจำหน่ายนั้น เรามีช่องทางของเราเอง เพียงแค่นำเงินของนายไปเผาและเข้ากระบวนการสารละลายเคมีอีกครั้ง ได้ราคาดีอย่างแน่นอน”


……………………………………….


บทที่ 200 มากันอย่างไม่ขาดสาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

บิลลี่ สเต็มเมอร์อยากเห็นสมุดบันทึกของกัปตันเรือแห่งเรือดังเคิลออสเตียส ฉินสือโอวหยิบสมุดบันทึกที่ชำรุดทรุดโทรมเล่มนี้ออกมาจากกล่องเก็บสุญญากาศ หลังจากที่ได้รู้ถึงความสำคัญของมัน เขาก็ได้ซื้อกล่องเก็บสุญญากาศมาเพื่อเก็บรักษามัน


กล่องเก็บสุญญากาศเป็นกล่องโลหะผสมที่มีเครื่องสูบอากาศขนาดเล็ก ตรงปากเปิดคล้ายหน้าต่างบานเล็กๆ เพียงดึงมันออกก็สามารถเอาของที่อยู่ด้านในออกและเก็บของเข้าไปได้ เมื่อปิดปากเปิด สามารถใช้เครื่องสูบอากาศทำการสูบก๊าซที่อยู่ด้านใน เหมาะแก่การเก็บรักษาสมุดบันทึกที่ชำรุดทรุดโทรมเป็นที่สุด


เป็นบันทึกประจำวันที่มีรูปแบบเก่าแก่และเรียบง่าย มีสัญลักษณ์บนปลอกสมุด เป็นปีศาจหญิงสามหัวที่ถือดาบและคันชั่ง


ทันทีที่บิลลี่เห็นสัญลักษณ์นี้ เขาก็พยักหน้าอย่างตื้นตันใจและพูดว่า “ใช่แล้วล่ะ นี่ก็คือตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลเฟอร์ดินันของผู้ที่รับผิดชอบการขนส่งเงินล็อตนี้ สมุดบันทึกนี้เป็นของแท้”


ฉินสือโอวเปิดสมุดบันทึกออกด้วยความไม่สบายใจเท่าไร สิ่งที่เขียนไว้ข้างในเริ่มเลือนราง ตัวอักษรที่สามารถเห็นได้ชัดในแต่ละหน้ามีไม่มากนัก บวกกับลายมือหวัดอ่านยากของผู้เขียนด้วย


แต่บิลลี่ไม่ได้สนใจ เขาเช็กสมุดบันทึกอย่างละเอียดหนึ่งรอบ แล้วพูดว่า  “เก็บรักษาได้ดี ดูแล้วสมุดบันทึกเล่มนี้เคยผ่านการเคลือบสารป้องกันการกัดกร่อนและสารเคลือบกันน้ำ”


หลังจากฟังการประเมินนี้ ฉินสือโอวแทบหยุดหัวเราะไม่ได้ นี่หรือที่เรียกว่าเก็บรักษาได้ดี? แล้วถ้าเก็บรักษาไม่ดีล่ะจะมีสภาพไหน? ช้อนขึ้นมาแล้วเจอแต่แป้งเปียกเหรอ?


บิลลี่ไม่ได้หลอกเขาเพียงเพราะว่าเขาไม่ใช่คนในแวดวง จึงอธิบายว่า “แม้ตัวหนังสือจะเริ่มเลือนราง แต่เมื่อนำไปเข้ากระบวนการภาพพิมพ์แกะสลักไมโครบรูคส์ ก็จะสามารถดูเนื้อหาของบันทึกบนคอมพิวเตอร์ได้”


จากนั้น เขาได้อธิบายให้ฉินสือโอวฟังว่า วัสดุของสมุดบันทึกเล่มนี้ไม่ใช่กระดาษ แต่เป็นหนังวัวอ่อน เมื่อมีคนเขียนอะไรลงไป เนื่องจากหนังวัวอ่อนที่ไม่ดูดซับหมึกโดยง่าย ดังนั้น จึงต้องออกแรงในการเขียน และทำให้ทิ้งรอยเอาไว้


และแม้ว่าหนังวัวอ่อนจะถูกแช่น้ำ แต่รอยที่แตกต่างกันที่ถูกแช่ในเวลาเดียวกัน น้ำทะเลส่วนเดียวกันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เหมือนกัน ใช้การฟื้นฟูสภาพของคอมพิวเตอร์ในการเทียบเคียง ก็จะสามารถหาร่องรอยที่ถูกกดทับบนนั้นได้


ตอนเย็นฉินสือโอวเชิญบิลลี่ไปรับประทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารของคุณลุงฮิคสัน และส่งเขากลับโรงแรมเพื่อพักผ่อน จากนั้นเขาได้โทรศัพท์หาโรเบิร์ต เบลค ผู้จัดการของบริษัทจัดประมูลริชชี่ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับเงิน


แม้การกระทำเช่นนี้จะไม่ดีนัก แต่ตอนนี้ฉินสือโอวได้เรียนรู้แล้วกับคำที่ว่า ธุรกิจก็คือธุรกิจ


ครั้งนี้บิลลี่ไม่ได้มาเพื่อช่วยเขาอย่างเดียวเป็นแน่ เขาก็มาเพื่อผลประโยชน์เหมือนกัน และได้แสดงให้เห็นถึงเงื่อนไขของเขาแล้ว นั่นก็คือ เพื่อช่วยฉินสือโอวจัดการเรื่องเงิน และเพื่อสมุดบันทึกของเรือดังเคิลออสเตียส


แต่ฉินสือโอวมีจุดประสงค์อื่นกับโอดิสซีย์ ดังนั้นเขาจึงพยายามไม่นำเรื่องเงินไปข้องเกี่ยวกับบิลลี่


เบลครับสาย ดูเหมือนว่าเขากำลังอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังมาก เสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มและเสียงกรีดร้องของผู้คน ทำให้ฉินสือโอวผู้คุ้นเคยกับความเงียบขมวดคิ้วและถามว่า “นายกำลังทำอะไรน่ะ?”


เบลคหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ฉันกำลังสนุกสนานในงานเลี้ยงของเพื่อนน่ะ ยังไงล่ะ ฉิน สนใจหรือเปล่า? อีกสองวันฉันก็จะจัดงานเลี้ยงเหมือนกัน จะมีไวน์และสาวงามมากมาย มาไหมล่ะ?”


ฉินสือโอวพูดว่า “นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบสภาพแวดล้อมลักษณะนี้ ในเมื่อนายกำลังอยู่ในงาน ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะพูดสั้นๆ ละกัน ฉันมีเงินล็อตหนึ่ง เจ้ามีวิธีจัดการกับมันหรือไม่? ประมาณหนึ่งร้อยตัน”


“เงินหนึ่งล็อต แถม… ฟัค รอก่อน นายว่ายังไงนะ? เงินประมาณหนึ่งร้อยตันเหรอ?”เบลคหยุดหัวเราะในทันที จากนั้นมีเสียงออดอ้อนส่งมา “ที่รัก ฉันคันหน้าอกนิดหน่อย ช่วยฉันเกาหน่อยได้ไหม?”


ฉินสือโอวคิดว่าตนกำลังไปขัดความสุขของอีกฝ่าย จึงรีบพูดว่า “ช่างเถอะ เรื่องนี้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้ละกัน”


เบลครีบถามขึ้นว่า “จะคุยพรุ่งนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าที่นายถามมาคือเงินหนึ่งร้อยตัน คือเงินหนึ่งร้อยตันถูกไหม?”


เมื่อได้รับการยืนยันคำตอบ เบลคก็วางสายไป ฉินสือโอวยิ้มขื่นๆ และส่ายหัว คาดว่าเจ้านี่น่าจะไปนวดหน้าอกและเก็บที่นอนให้สาวสวย ตนชีวิตรันทดที่สุด มีสาวงามอยู่ที่บ้าน แต่ดูได้เพียงอย่างเดียว


เมื่อกลับถึงบ้านพัก วินนี่ยังคงรอเขาอยู่ เมื่อเห็นเขากลับมาก็ยื่นนมอุ่นให้เขาหนึ่งแก้ว จากนั้นโบกมือพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วพาหู่จือและเป้าจือขึ้นห้องไป


ฉินสือโอวถือนมอุ่น และรู้สึกอบอุ่นในใจ เขาอยากพูดอะไรบางอย่างในตอนที่มองไปที่ด้านหลังของวินนี่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดมันออกไป


ก่อนนอน ฉินสือโอวได้ออกไปลาดตระเวนที่ฟาร์มปลาก่อน เงินกองทับซ้อนกันอยู่ตามแนวปะการัง ดูเหมือนพักนี้เหล่าฉลามแมวจะสนใจเงินเหล่านี้เป็นพิเศษ แหวกว่ายในนั้นไปมา ราวกับว่าต้องการลงหลักปักฐานที่นี่


ฉินสือโอวได้นิสัยไม่ดีมาจากบอลหิมะและไอซ์สเกต เมื่อเขาเห็นเหล่าฉลามแมวก็อยากจะรังแกพวกเขา ทันใดนั้น ฉลามขาวความยาวกว่าสิบเมตรพุ่งตรงไปยังเหล่าฉลามแมว


มันเดย์สังเกตเห็นฉลามขาวตัวนี้ก่อน ฉินสือโอวรู้สึกว่าเจ้านี่กลัวจนตาตั้ง จากนั้นเหล่าฉลามแมวว่ายหนีกระเจิดกระเจิง


ฉินสือโอวควบคุมให้ฉลามขาวไล่ตามฉลามแมวไปทั่ว กำลังสนุกเลยเชียว จู่ๆ บอลหิมะและไอซ์สเกตก็พุ่งมาหาพร้อมกับจ้องด้วยสายตาที่พร้อมจะตะครุบดั่งพญาเสือ ทั้งสองยาวไม่ถึงสองเมตร แต่กลับไม่รู้สึกกลัวฉลามขาวเลยสักนิด


ไอซ์สเกตยังคงจำเรื่องราวที่ตนเกือบถูกฉลามกินในตอนแรกเกิดได้ ครั้งนี้เมื่อได้พบฉลามขาวก็คิดอยากล้างแค้น ส่วนบอลหิมะในฐานะเพื่อนสนิทของเขาก็ไม่ยอมเช่นกัน สองจิ๋วโจมตีฉลามขาวจากทางด้านซ้ายและขวา


แต่ฉินสือโอวไม่ต้องการทำร้ายสัตว์เลี้ยงของตน จึงส่งฉลามขาวกลับไปใต้ทะเลลึก เมื่อชนะการรบ ทั้งบอลหิมะและไอซ์สเกตต่างดีใจเป็นพิเศษ


แต่อีกเรื่องที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้น เมื่อมันเดย์และเหล่าฉลามแมวเห็นถึงความเก่งกาจของสองจิ๋วนี้ ต่างเข้ามาฝากตัวเป็นศิษย์


พวกมันถือว่าฉลาดเลยล่ะ ดูสิบอลหิมะและไอซ์สเกตยังเด็กอยู่เลย แต่สามารถไล่ฉลามขาวไปได้ หากโตขึ้น  จะเก่งกาจแค่ไหน กอดขา รีบกอดขาสิ


ทุกสิ่งอย่างในฟาร์มปลาเกิดขึ้นตามปกติ ฉินสือโอวเห็นว่าไม่มีปัญญาอะไรจึงเข้านอน


ในตอนเช้า ฉินสือโอวกลับมาจากการวิ่ง เห็นบนหน้าจอโทรศัพท์มีสองสายที่ไม่ได้รับ ล้วนแต่เป็นสายจากเบลค เขาจึงทำการโทรกลับ คิดว่าเบลคเพิ่งจบจากงานปาร์ตี้


แต่เมื่อเบลครับสายกลับพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉิน ฉันถึงท่าเรือเซนต์จอห์นแล้ว เก้าโมงครึ่งถึงเกาะแฟร์เวลของนาย”


ฉินสือโอวเกือบจะเป็นลม เขาพูดว่า “พระเจ้า อย่าบอกนะว่า เมื่อคืนพอนายได้รับโทรศัพท์ฉัน ก็รีบตรงมาเซนต์จอห์นเลย นายบ้าไปแล้วเหรอ?”


เบลคหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “เงินทองสามารถทำให้คนเป็นบ้าได้ นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกเหรอ?”


ฉินสือโอวตอบด้วยความรู้สึกจนปัญญา “แต่ประเด็นคือ ฉันเพียงแต่โทรไปสอบถามเท่านั้น ฉันไม่มีเงินหนึ่งร้อยตันหรอก!”


เบลคไม่สนใจ พูดขึ้นว่า “อย่ามาทำมุกนี้ ฉิน ฉันรู้จักนิสัยของนายดี ตอนนี้นายอาจยังไม่มีเงินหนึ่งร้อยตัน แต่ฉันกล้าพนัน นายมีความมั่นใจ 90% ที่จะได้เงินหนึ่งร้อยตันมา ไม่อย่างนั้นนายไม่โทรมาหาฉันตอนเที่ยงคืนหรอก!”


“ถ้าอย่างนั้นนายค่อยมาตอนกลางวันก็ได้นี่”


“ไม่ๆๆ ฉิน ทำธุรกิจต้องรู้จักคว้าโอกาส อย่าว่าแต่ช้าไปแค่วันเดียว หากฉันช้าไปเพียงนาทีเดียว ก็อาจพลาดและสูญเสียรายการใหญ่นี้ไปได้”


ฉินสือโอวยิ้มขื่นๆ เมื่อวางสายเขาเตรียมจะไปรับเบลค แต่ตอนเก้าโมง อลัน แบรนดอนประธานกรรมการธนาคารมอนทรีออลรัฐนิวฟันด์แลนด์ก็ได้โทรมาหาเขา “ฉิน ฉันกำลังจะขึ้นเครื่อง เจอกันตอนบ่าย”


“อะไรกัน? อลัน นายกำลังจะทำอะไร?”


“อย่ามาทำมุกนี้ เบลคบอกทั้งหมดให้กับฉันแล้ว เงินหนึ่งร้อยตันไม่ใช่เหรอ? ฮ่าๆ นายคิดว่าเขาคนเดียวก็สามารถจัดการของที่มีมูลค่ากว่าร้อยล้านให้นายเหรอ? เชื่อฉัน ฉันเองก็เป็นผู้ช่วยที่ดีในการขายของโจรเหมือนกัน”


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)