ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1968-1985
ตอนที่ 1968 สรุปได้คำเดียวว่าซับซ้อนไง
หลังทานเกี๊ยวหอมกรุ่นทั้งครอบครัวแล้วก็นั่งดูรายการปีใหม่ด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศสนุกสนาน เหยียนหมิงซุ่นส่งสายตาให้จ้าวอิงหัวแวบหนึ่งก่อนที่พวกเขาสามคนจะไปที่ห้องหนังสือ ทิ้งไว้เพียงสองแม่ลูกเหมยเหมยในห้องนั่งเล่น
“โอหยางซานซานนั่นอย่างไรกันแน่? ทำไมฉันรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ดูแปลก ๆ!” จ้าวอิงหัวถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
แม้เขาจะใช้เวลากับการสัมมนางานต่างแดนเป็นส่วนมากแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเขารู้ทุกอย่าง โดยเฉพาะการแก่งแย่งชิงดีทั้งที่แจ้งและที่ลับระหว่างลูกสาวตนกับคุณนายเฮ่อเหลียนนั้น ยิ่งทำให้จ้าวอิงหัวต้องคอยติดตามข่าวอยู่เสมอ
จ้าวเสวียหลินเองก็เช่นกัน สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าคุณนายเฮ่อเหลียนคนนี้มีความแค้นต่อน้องสาวตนอย่างมาก ซึ่งจุดนี้ไม่เหมือนโอหยางซานซานคนที่เขาเคยรู้จัก
“เธอเป็นคนฆ่าโอหยางสยงจริงเหรอ? โอหยางซานซานมีความสามารถนี้ตั้งแต่เมื่อไร?” จ้าวเสวียหลินสงสัย
เหยียนหมิงซุ่นทำท่าให้พวกเขานั่งลงก่อนจะเริ่มเล่าความจริงอย่างไม่รีบร้อน ทำเอาสองพ่อลูกคู่นี้ตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“แบบนี้ก็เข้าใจได้ละ มิน่าฉันถึงรู้สึกว่าโอหยางซานซานคนนี้แปลกไป เฮ่อเหลียนเช่อร้ายกาจนักที่ใช้แผนตัวตายตัวแทนแบบนี้!”
จ้าวอิงหัวกลับกังวลอีกเรื่องมากกว่า “เหมยเหมยจะมีอันตรายไหม?”
“ไม่มีหรอก ผมไม่มีวันให้ใครมาทำร้ายเหมยเหมยแน่นอน แต่พวกคุณต้องระวังตัวหน่อย ตอนนี้อู่เยวี่ยกำลังจนตรอก และเป็นคนใจโหดเหี้ยม ไม่แน่อาจจะลงมือกับพวกคุณได้” เหยียนหมิงซุ่นเตือน
จ้าวเสวียหลินแค่นหัวเราะทีหนึ่ง “ขอแค่เธอกล้ามา ฉันจะส่งเธอไปหาเหอปี้อวิ๋นที่นรกทันที!”
จ้าวอิงหัวเองก็ไม่เก็บมาคิดมาก เขากลับนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งแทน “นายคิดจะให้อู่เยวี่ยคลอดลูกอย่างราบรื่นจริงเหรอ?”
“ขอแค่เธอคลอดออกมาได้ ผมไม่ถึงขนาดต้องลงมือทำร้ายเด็กทารกคนหนึ่งเองหรอก แต่…” เหยียนหมิงซุ่นเผยยิ้มประหลาดในฉับพลัน อารมณ์ค้างคานี้ทำเอาจ้าวอิงหัวใจคันยุบยิบเอ่ยปากเร่งให้เขารีบพูดให้จบ
“อย่าพูดครึ่ง ๆกลาง ๆได้ไหม แต่อะไร?”
จู่ ๆจ้าวเสวียหลินก็ตบกบาลตัวเอง “ประวัติของเฮ่อเหลียนเช่อพ่อลืมไปแล้วเหรอ เด็กเวรอย่างเฮ่อเหลียนเช่อจะมีลูกปกติได้อย่างไร? ไม่ต้องให้เราลงมือทำอะไรพระเจ้าก็คงไม่ปล่อยไปหรอก”
จ้าวอิงหัวก็นึกเรื่องนี้ขึ้นได้ อย่างว่าแหละอย่าหาว่าพวกเขาจิตใจเหี้ยมโหดที่ไปสาปแช่งเด็กที่ยังไม่ลืมตาดูโลกเลย ใครใช้ให้คนบ้านนี้โรคจิตกันขนาดนี้ล่ะ หากมีเด็กโรคจิตตัวน้อยออกมาสร้างความปั่นป่วนแก่โลกนี้ก็สู้อย่าเกิดมาเลยดีกว่า!
เหยียนหมิงซุ่นพูดเสียงเรียบ “เด็กไม่ใช่ลูกของเฮ่อเหลียนเช่อ เขาใช้อสุจิของหนิงเฉินเซวียน”
อะไรนะ?
จ้าวอิงหัวกับจ้าวเสวียหลินตาค้างพร้อมกัน ดีใจเก้อไปสิ
“แต่…เด็กคนนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะผิดปกติ” เหยียนหมิงซุ่นกล่าว สายตาฉายแววรังเกียจวูบหนึ่ง
เรื่องนี้เขาเพิ่งตามสืบได้ในช่วงระยะนี้เอง ความรู้สึกตอนรับรู้น่ารังเกียจยิ่งกว่าแมลงวันเข้าปากเสียอีก และในขณะนั้นเองที่เขาเกิดเห็นใจคู่อริอย่างเฮ่อเหลียนเช่อเป็นครั้งแรก
เกิดในครอบครัวโรคจิตแบบนั้นแล้วเติบโตมาได้อย่างนั้นนับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากแล้ว!
“หนิงเฉินเซวียนก็เกิดจากคนสายเลือดเดียวกัน พ่อของเขากับแม่ของเขามีความสัมพันธ์เป็นแม่ลูกกัน ส่วนแม่ของเฮ่อเหลียนเช่อหนิงเฉินซีความจริงแล้วเป็นพี่น้องคนละแม่กับหนิงเฉินเซวียน แม่ของหนิงเฉินซีเป็นพี่สาวของพ่อหนิงเฉินเซวียน ส่วนคุณยายของหนิงเฉินซีความจริงเป็นแม่ของหนิงเฉินเซวียน ฉะนั้นหนิงเฉินเซวียนเป็นทั้งพี่ชายของหนิงเฉินซีและเป็นคุณลุงของเขาเช่นกัน!”
เหยียนหมิงซุ่นพูดยาวเป็นพรวนวกวนไปมาจนจ้าวอิงหัวกับจ้าวเสวียหลินมึน ตาหมุนกลอกเป็นวงกลม
“รอเดี๋ยว แกพูดช้าๆ อะไรคุณยายพี่สาวคุณลุง? นี่มันความสัมพันธ์อะไรเนี่ย? ทำไมฉันยิ่งฟังยิ่งสับสนล่ะ!” จ้าวอิงหัวถามด้วยความมึนงง ส่วนจ้าวเสวียหลินที่อยู่ข้าง ๆก็ทำหน้างุนงง
พี่สาวพี่ชายคุณลุงคุณยายอะไรนั่น สรุปได้คำเดียวก็คือ ‘ซับซ้อน’ ไง!
……………………….
ตอนที่ 1969 ตระกูลโรคจิต
เหยียนหมิงซุ่นมองสองพ่อลูกคู่นี้อย่างนึกรังเกียจ มิน่าภรรยาของเขาถึงไม่ฉลาดดูยีนที่ถูกถ่ายทอดนี้สิ หากมีระดับสติปัญญาที่สูงสิแปลก!
เขาเองก็คร้านจะพูดใหม่เลยหยิบกระดาษปากกามาวาดแผนผังต้นไม้ แบบนี้จะได้เข้าใจแจ่มแจ้งในทีเดียว จ้าวเสวียหลินเป็นคนที่เข้าใจก่อนคนแรกเลยอ้าปากค้างมองรูปแผนผังอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
“พระเจ้า คนตระกูลนี้ป่วยเป็นโรคประสาทเหรอ? ทำไมถึงไม่ไปหาภรรยาจากข้างนอกนะ?”
จ้าวอิงหัวเองก็เข้าใจเลยรู้สึกสะอิดสะเอียนใจขึ้นมาชั่วขณะ ลำพังเขาแค่เห็นแผนผังนี่ก็รู้สึกแย่มากแล้ว คนตระกูลหนิงใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างไรกัน?
ไม่รู้สึกละอายใจสักนิดเลยหรือ?
แม่กับลูก พี่สาวกับน้องชาย ลุงกับหลาน แล้วก็แม่ลูกที่มีสามีคนเดียวกัน…
แบบนี้ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก!
จ้าวอิงหัวถอนหายใจยาวแล้วพูดเสียงสลดใจ “เฮ่อเหลียนเช่อ…ไม่ง่ายเลยจริง ๆ!”
จ้าวเสวียหลินกับเหยียนหมิงซุ่นทั้งหวั่นใจทั้งเศร้าใจในเวลาเดียวกัน ลูกหลานจากตระกูลที่มีความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงแบบนี้แต่ยังมีลูกหลานที่เติบโตมาได้อย่างเฮ่อเหลียนเช่อก็ถือว่าเป็นดั่งดอกบัวสีขาวที่ผุดขึ้นกลางโคลนตมแล้วจริง ๆ!
“คนอื่น ๆของตระกูลหนิงก็เป็นแบบนี้เหรอ?” จ้าวอิงหัวถามด้วยความแปลกใจ
เหยียนหมิงซุ่นพยักหน้าแต่ก็ส่ายศีรษะตอบ “ช่วงร้อยปีที่ผ่านมาตระกูลหนิงมีขนบธรรมเนียมแบบนี้ แต่งงานกับแวดวงญาติสนิท ตระกูลหนิงมีชื่อเสียงในพื้นที่มากแต่ตระกูลหนิงไม่ค่อยติดต่อสัมพันธ์กับคนนอกเท่าไร คนในพื้นที่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องครอบครัวพวกเขา แต่ก็ใช่ว่าทุกคนในตระกูลหนิงจะยอมทำตามกฎของบรรพบุรุษ ถ้าขัดขืนไม่เป็นผลก็หนีออกจากบ้านไป”
เขาเว้นช่วงแล้วพูดต่อ “พอนานวันเข้าคนอื่น ๆในตระกูลหนิงก็เริ่มไม่ทำตามกฎธรรมเนียมที่บรรพบุรุษกำหนดไว้ เริ่มไปหาภรรยาจากข้างนอกแล้วมีครอบครัวเหมือนคนปกติ แต่มีแค่หนิงเฉินเซวียนคนเดียวที่โรคจิตขึ้นเรื่อย ๆเพราะแต่งงานกับญาติสนิททำให้เด็กที่เกิดมาส่วนมากตายหมด มีน้อยคนนักที่จะอยู่รอด ฉะนั้นสุดท้ายการแต่งงานด้วยกันของแม่ลูก พ่อลูกหรือพี่น้องกันเองก็กลายเป็นเรื่องปกติไป”
“อุ๊บ…”
จ้าวเสวียหลินทนไม่ไหวแล้วจริง ๆเลยวิ่งไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ
โลกอันกว้างใหญ่มีสิ่งน่าประหลาดใจมากมาย แต่ตระกูลที่โรคจิตจนน่าเหลือเชื่อแบบนี้เขาเพิ่งเคยพบเคยเห็นเป็นครั้งแรก!
จ้าวอิงหัวกรอกน้ำแก้วใหญ่เข้าปากถึงรู้สึกสบายขึ้นบ้าง ก่อนถามต่อ “ทำไมบรรพบุรุษตระกูลหนิงถึงตั้งกฎแบบนี้ขึ้นล่ะ? อย่างไรเสียก็ต้องมีสาเหตุสินะ!”
“แน่นอน!”
เหยียนหมิงซุ่นพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเริ่มบอกเล่าเหตุผล “ต้นตระกูลหนิงมีสายเลือดเชื้อพระวงศ์ ได้ข่าวว่าในยุคสมัยที่รุ่งเรืองถูกแบ่งพื้นที่ให้อย่างกว้างขวาง แต่ภายหลังก็เสื่อมคลายอำนาจลงเป็นแค่มหาเศรษฐีในพื้นที่ คนตระกูลหนิงอยากกลับมาผงาดรุ่งเรืองเหมือนในอดีตอีกถึงได้ให้ความสำคัญกับสายเลือดของลูกหลานอย่างมาก”
จ้าวเสวียหลินพูดแทรก “คนตระกูลหนิงคิดว่าผู้หญิงตระกูลอื่นไม่คู่ควรที่จะมีลูกของตระกูลพวกเขา เพราะจะส่งผลกระทบต่อสายเลือดบริสุทธิ์อันสูงส่งของพวกเขาสินะ?”
“ใช่ คนตระกูลหนิงคิดแบบนี้ พวกเขาคิดว่ามีเพียงผู้หญิงของตระกูลหนิงเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เลี้ยงดูลูกหลานตระกูลเชื้อพระวงศ์”
จ้าวอิงหัวใจเต้นตุบตับแล้วถามด้วยความตกใจ “หรือว่าคนตระกูลหนิงอยากเป็นฮ่องเต้อีกครั้ง?”
จ้าวเสวียหลินสะดุ้งเด้งตัวลุกขึ้น “ไม่ใช่หรอกมั้ง นี่มันยุคไหนแล้วยังมีคนคิดจะเป็นฮ่องเต้อีกเหรอ?”
“ทำไมถึงจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ? หรือนายคิดว่าที่หนิงเฉินเซวียนรวบรวมคนมีความสามารถมากมายตลอดหลายปีนี้เพียงเพื่อต่อกรกับพ่อบุญธรรมฉันเล่น ๆเหรอ?” เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะประชด
หนิงเฉินเซวียนต้องเตรียมชุดฮ่องเต้ที่เป็นพวกของใช้ไว้สำหรับขึ้นครองราชย์ไว้แล้วแน่ๆ ตอนนี้เขาขาดเพียงผู้สืบทอดเท่านั้น!
“บ้าไปแล้ว…บ้าไปแล้ว…บ้ากันหมดแล้ว!” จ้าวอิงหัวส่ายศีรษะอย่างไม่เชื่อหูราวกับได้ฟังเรื่องเล่าในตำนาน แต่นี่กลับเป็นความจริง
จ้าวเสวียหลินพูดขึ้นอย่างร้อนใจ “แล้วเราจะรออะไรอีก รีบจับตัวเจ้าบ้านี่ซะสิ!”
ตอนที่ 1970 เลี้ยงหมูหรือ
“จับยังไง? แม้แต่นายใหญ่ยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแล้วนายมีสิทธิ์อะไรไปจับเขา?” เหยียนหมิงซุ่นกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง ตอนเด็กดูฉลาดดีแต่ทำไมยิ่งโตยิ่งโง่นะ
“แล้วจะทำไงล่ะ? หรือว่าจะเอาแต่จับตาดูอยู่อย่างนี้เหรอ?”
“จะรีบร้อนอะไรเล่า คนอย่างหนิงเฉินเซวียนพระเจ้าไม่มีวันให้เขาทำสำเร็จหรอก!”
เหยียนหมิงซุ่นกล่าวด้วยสีหน้าแน่วแน่มั่นใจ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงหวาดระแวงหนิงเฉินเซวียนแต่ตอนนี้เขาไม่กังวลเลยสักนิด เงื่อนไขของการมีชีวิตอยู่ของสรรพสิ่งบนโลกใบนี้คือเข้ากับกฎธรรมชาติ
เกิดขึ้นตามกฎธรรมชาติ หากผิดกฎธรรมชาติย่อมตาย นี่เป็นความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
หนิงเฉินเซวียนผิดกฎธรรมชาติต้องโดนธรรมชาติลงโทษในไม่ช้าก็เร็ว นี่เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว
หากเขาเดาไม่ผิดบาปกรรมนี้จะตกไปอยู่ที่เด็กในท้องของอู่เยวี่ย
เขาให้ลูกน้องตามสืบพื้นหลังตระกูลหนิงพบว่าตอนนี้ต้นสายของหนิงเฉินเซวียนเหลือเพียงเขากับเฮ่อเหลียนเช่อสองคนเท่านั้น อีกอย่างพ่อของหนิงเฉินเซวียนมีลูกหลายคนแต่คนที่รอดชีวิตมีเพียงเขากับหนิงเฉินซี ลูกคนอื่น ๆส่วนมากถ้าไม่พิการสภาพอนาถก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน น้อยคนนักที่จะอยู่รอดเกินสิบปี
มีความเป็นไปได้ที่เด็กตระกูลหนิงจะพิการไม่สมประกอบสูงมาก ฉะนั้นเด็กในท้องของอู่เยวี่ยมีความเป็นไปได้ที่จะปกติต่ำมาก หนิงเฉินเซวียนต้องดีใจเก้ออย่างไม่ต้องสงสัย!
เขาไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่รอดูเรื่องสนุก ๆเงียบ ๆก็พอ!
เหมยเหมยหัวเราะเสียงเอิกเกริกเพราะละครตลกเรื่องสั้นของอาจารย์จ้าวลี่หรงอย่างเรื่อง “ต่ากงฉีอวี้” อยู่ในห้องนั่งเล่น แม้เวทีในยุคสมัยนี้ไม่ได้หรูหราเท่าชาติก่อนแต่ทักษะการแสดงของอาจารย์จ้าวดีไร้ที่ติ แสดงบทบาทคุณยายคนแก่ใสซื่อคนหนึ่งได้อย่างสมบทบาท เธอในตอนนี้หัวเราะจนปวดท้องไปหมดแล้ว
เธอตั้งใจฟังท่อนที่อาจารย์จ้าวร้องเพลงเพราะได้ข่าวว่านั่นไม่ได้ผ่านการซักซ้อมมาก่อนล่วงหน้า แต่เพราะสุขภาพของอาจารย์จ้าวไม่ค่อยดีนักเลยทรุดฮวบลงไป แต่ตอนนั้นคนทั้งประเทศไม่มีใครดูออกต่างพากันชื่นชมในทักษะการแสดงของท่านอย่างแท้จริง
เหมยเหมยจับจ้องดูการแสดงของอาจารย์จ้าวไม่กะพริบตา หากตั้งใจดูก็พอจะดูออกว่าคุกเข่ากระแทกแรงมากซึ่งคิดว่าต้องเจ็บแน่ ๆ แต่อาจารย์จ้าวกลับไม่แสดงออกทางสีหน้าสักนิด ยังคงแต้มยิ้มเบิกบาน มิน่าผู้ชมถึงไม่มีใครดูออก
เธอปรบมืออย่างอดไม่ได้แต่ส่วนมากคือความเสียดาย ไม่กี่ปีหลังจากนั้นศิลปินผู้น่าเคารพนับถือท่านนี้ก็จากโลกนี้ไปเพราะอาการป่วย น่าเสียดายเหลือเกิน!
เหยียนซินหย่าเอ่ยติ “อยู่บ้านปรบมือทำไม? ยัยโง่เอ้ย!”
“ก็มันสนุกนี่นา…” เหมยเหมยอ้อนแล้วคว้าเมล็ดถั่วสนในจานมาแกะทาน ใบหน้ามุมข้างงดงามดั่งภาพวาดที่ทำเอาเหยียนซินหย่าใจเหลวเป็นน้ำ อดยกแขนลูบศีรษะลูกสาวไม่ได้
“ทานพวกถั่วเปลือกแข็งเยอะ ๆ ถั่วมีสารอาหารสูง แม่ได้ยินมาว่าที่ชาวยิวฉลาดขนาดนี้ก็เพราะชาวยิวชอบทานถั่วเปลือกแข็ง อย่างถั่วเฮเซล เมล็ดถั่วสน วอลนัท ถั่วลิสง ถั่วพีแคน ถั่วเซียงเฝ่ย อัลมอนด์ แปะก๊วย…พรุ่งนี้แม่จะเอากระปุกเก็บแยกไว้ให้ลูกนะ ลูกทานวันละนิด อนาคตหลานของแม่จะได้ฉลาด”
เหยียนซินหย่าเอ่ยเสียงระริกระรี้ มีเพียงพระเจ้าที่รู้ว่าเธอได้วาดรูปเด็กทารกไว้นับไม่ถ้วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงในท่านอน ท่านั่ง หัวเราะ ร้องไห้…เยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหว
เหมยเหมยหน้าแดงระเรื่อ คุณย่าหยางเพิ่งพูดเรื่องอยากมีเหลนผู้หญิงมาหยก ๆ กลับมาแม่ก็พูดเรื่องนี้อีก
“แม่ หนูยังเหลือเวลาอีกตั้งสองปีกว่าจะเรียนจบนะ!” เหมยเหมยเอ่ยเตือนอย่างระอา
“ก็ให้ลูกเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าไง บำรุงสุขภาพตั้งแต่ตอนนี้ อนาคตจะได้มีลูกที่น่ารักแข็งแรงและฉลาด นี่เรียกว่าการวางแผนเลี้ยงลูกไง”
เหยียนซินหย่าพูดเป็นตุเป็นตะและไม่รู้ว่าเธอไปฟังทฤษฎีมาจากไหน เหมยเหมยร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออกได้แต่คอยฟังอยู่เงียบ ๆ
“เฮ้อ นโยบายรัฐนี้น่าหงุดหงิดจริง ๆ ทำไมถึงให้มีลูกได้แค่คนเดียวกันนะ? ถ้าคนเดียวเกิดมาดีก็แล้วไป ถ้าเกิดมาไม่ดีละจะทำอย่างไร? ทิ้งลูกก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? สมัยก่อนสิดี มีได้เป็นคอก ยังไงซะก็ต้องมีดี ๆสักคนล่ะนะ!”
เหยียนซินหย่าถอนหายใจแล้วบ่นอุบอิบ
เหมยเหมย ‘…หนึ่งคอก…นี่เลี้ยงหมูหรือไง!’
………………….
ตอนที่ 1971 ทางเลือกที่ยากลำบาก
ค่ำคืนแห่งความสุขในวันส่งท้ายปีเก่าก็ได้ผ่านพ้นไป ช่วงเช้าทั้งครอบครัวต่างพากันตื่นสายจึงรวบรัดกินมื้อเช้าและมื้อเที่ยงไปด้วยกันเลยทีเดียว เหมยเหมยและเหยียนหมิงซุ่นกลับไปที่บ้านตระกูลเหยียนอีกครั้ง พวกเขารู้สึกกระวนกระวายใจตลอดทางกลัวว่าเหยียนหมิงต๋าจอมหัวรั้นจะถามถึงเรื่องของถานซูฟาง
“ไม่ต้องกังวลนะ ถ้าถามมาก็แค่ตอบไปตามความจริง ถ้าหมิงต๋าคิดไม่ได้ก็ช่างเขาเถอะ!” เหยียนหมงิซุ่นลูบเบา ๆที่มือเหมยเหมย
เมื่อวานเขานอนไม่หลับเพราะคิดเรื่องนี้มาตลอดทั้งคืน สุดท้ายเลยตัดสินใจที่จะไม่ปิดบังน้องชายตนแล้วพูดความจริงกับเขา หากเหยียนหมิงต๋าโกรธแค้นเขา เขาเองก็คงต้องยอมรับ
ตั้งแต่วินาทีที่ถานซูฟางทำให้แม่ของเขาตาย เขาและเหยียนหมิงต๋าก็ได้ถูกลิขิตไม่ให้เป็นพี่น้องที่สนิทกันอีกต่อไป!
บรรยากาศภายในบ้านตระกูลเหยียนค่อนข้างน่าอึดอัดไม่ได้ครึกครื้นเหมือนอย่างเมื่อวาน คุณย่าหยางกวาดลานบ้านซึ่งไม่ได้กวาดขยะออกไปด้านนอกเหมือนทุกทีแต่เป็นการกวาดเข้าด้านใน นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิถีพิถันอย่างหนึ่ง ว่ากันว่าการกวาดบ้านในวันที่ 1 เดือน 1 (วันขึ้นปีใหม่) จำเป็นต้องกวาดเข้าด้านในจะเป็นการเรียก (กอบโกย) ความมั่งคั่งเข้าบ้าน
คุณปู่เหยียนนั่งรับแสงแดดอยู่ในสวน เมื่อเห็นพวกเหมยเหมยกลับมาก็พลันฉีกยิ้มกว้างทันที แต่กลับไม่เห็นเหยียนหมิงต๋า
“คุณย่าครับ หมิงต๋าไปไหนแล้ว?” เหยียนหมิงซุ่นถาม
คุณย่าหยางชี้เข้าไปในบ้าน “ขังตัวเองอยู่ในห้องน่ะ ข้าวเช้าก็ไม่ยอมกิน หลานกับเหมยเหมยกินมาหรือยัง หรือจะให้ยายทำเกี๊ยวน้ำให้?”
“ไม่ต้องครับ พวกเราเพิ่งทานก่อนกลับมา ทำไมหมิงต๋าถึงได้อารมณ์เสียล่ะ?” เหยียนหมิงซุ่นถามเสียงนิ่ง
คุณย่าหยางวางไม้กวาดลงพลางถอนหายใจแล้วพูดว่า “เมื่อคืนย่าเปิดอกคุยกับหมิงต๋าแล้วก็บอกเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่พ่อกับแม่ของเขาทำลงไป จริงสิ หลานอย่าเพิ่งบอกว่าตัวเองเป็นคนสั่งย้ายสองคนนั้นไปนะ ย่าบอกไปว่าเป็นย่าเองที่สั่งให้หลานออกคำสั่งย้าย ถ้าไม่เห็นหน้าเห็นตากันจะได้ไม่ต้องมานั่งรำคาญใจ ก่อนตายก็ไม่อยากเห็นหน้าพวกเขาอีก”
เมื่อคืนคุณย่าหยางยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจ แม้ว่าเธอจะรักหลานชายคนโตมากแต่เธอก็รักใคร่หลานชายคนเล็กไม่ต่างกัน สิ่งที่เธอไม่อยากเห็นที่สุดคือความขัดแข้งของสองพี่น้อง เพราะงั้นคุณย่าถึงขบคิดมาตลอดทั้งคืนตัดสินใจที่จะดึงความผิดทุกอย่างมาไว้ที่ตนเอง
ให้เธอเป็นคนชั่วเอง หากเหยียนหมิงต๋าจะเกลียดก็ขอให้เกลียดเธอ อย่าได้โทษหลานชายคนโตเลย!
เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกอุ่นใจ กางแขนสองข้างโผเข้ากอดคุณย่าหยาง พลางพูดปลอบใจ “ไม่ต้องกังวลไปครับ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก”
คุณย่าหยางทอดถอนหายใจ ลังเลอยู่สักพักก่อนจะเอ่ย “หมิงซุ่น หลานเอาตัวถานซูฟางกลับมาดีไหม อย่าให้เธอไปเป็นนักข่าวภาคสนามเลย อาชีพนั้นอันตรายเกินไป ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาในใจของหมิงต๋าคง…”
ประโยคถัดไปคุณย่าไม่ได้พูดออกมา นั่นคือผลลัพธ์ที่เธอไม่อยากเห็นมัน
แม้ว่าเธอจะอยากให้ผู้หญิงอย่างถานซูฟางตายไปเสีย แต่พอนึกถึงเหยียนหมิงต๋าเธอก็พลันใจอ่อน ช่างขัดแย้งเป็นที่สุด
คุณย่าหยางพูดเกลี้ยกล่อมต่อไปว่า “หลานย้ายเธอไปที่ที่พ่อของหลานอยู่ ปล่อยให้พวกเขาสองคนปรับปรุงตัวอยู่ในเขตภูเขาห่างไกลทุรกันดารนั่นเถอะ”
ในเขตภูเขาห่างไกลแม้จะทั้งลำบากทั้งเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ยังดีที่ไม่อันตรายถึงชีวิต ไอ้พวกไร้คุณธรรมทั้งสองต้องไปอยู่ในที่แบบนั้นเพื่อปรับปรุงตัวชดใช้ให้กับแม่ของเหยียนหมิงซุ่น!
เหมยเหมยมองเหยียนหมิงซุ่นที่อารมณ์บนใบหน้ายังไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่เธอรู้ดีว่าในตอนนี้ใจของเหยียนหมิงซุ่นนั้นสับสนมากแค่ไหน ถานซูฟางเป็นคนที่ทำให้แม่ของเขาตายเลยนะ!
ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีใจคิดไม่ซื่อ คิดจะจัดการกับเหยียนหมิงซุ่นนับครั้งไม่ถ้วน ผู้หญิงคนนี้ตายไปก็ยังไม่พอให้เสียดายเลย!
แต่ที่คุณย่าหยางพูดก็มีเหตุผล ช่างเป็นการเลือกที่ยากจัง!
เฮ้อ!
บรรยากาศเงียบอยู่นานกว่าเหยียนหมิงซุ่นจะเอ่ยเสียงตอบรับ “ได้ครับ!”
เหมยเหมยมองเขาอย่างแปลกใจและรู้สึกร้อนผ่าวตรงขอบตา
กว่าเหยียนหมิงซุ่นจะตัดใจพูดคำนี้ได้มันช่างยากเย็นเหลือเกิน!
เหมยเหมยดึงมือของเขามากุมไว้แน่นพลางส่งยิ้มให้ เหยียนหมิงซุ่นเองก็ยิ้มตอบ นัยน์ตาเจือด้วยความโล่งใจอยู่บ้าง
เขาเกลียดถานซูฟางจริง แต่ต่อให้ผู้หญิงคนนี้ตายไปกี่ร้อยครั้งแม่ของเขาก็ไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้อีกแล้ว
เมื่อครู่เขาพลันนึกถึงเด็กผู้ชายตัวน้อย ๆจอมซื่อบื้อที่คอยแอบส่งข้าวส่งน้ำให้เขา และยังเข้ามาบังไม้แทนเขาด้วย และนั่นคือแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในตอนที่เขายังเป็นเด็ก เขาไม่อยากสูญเสียมันไป
เอาตามนี้แล้วกัน!
ตอนที่ 1972 จัดเลี้ยงวันเกิดช่วงต้นฤดูไม้ใบผลิ
คุณย่าหยางยิ้มร่าด้วยความปิติ น้ำตาคลอเบ้าพูดขึ้นอย่างดีใจ “ย่าจะไปบอกหมิงต๋าเดี๋ยวนี้แหละ”
เหยียนหมิงซุ่นพยักหน้า “ผมออกไปโทรศัพท์ก่อนนะครับ”
เขาต้องกลับไปที่ฐานประจำการเพื่อโทรหาลูกน้อง ให้พวกเขาพาถานซูฟางกลับมาเจอหน้าเหยียนหมิงต๋าสักครั้ง ให้พวกเขาแม่ลูกได้อยู่ด้วยกัน หลังจากนั้นค่อยให้ถานซูฟางไปอยู่ที่เดียวกับเหยียนโฮ่วเต๋อ
ความผิดของคนตายอาจได้รับการยกเว้น ความผิดของคนเป็นนั้นยากที่จะหลบหนี!
เหยียนหมิงซุ่นขับรถออกไปอีกครั้งแต่เหมยเหมยไม่ได้ตามไปด้วย คุณย่าหยางเดินไปตามเหยียนหมิงต๋า เธอจึงปลีกตัวไปดูทีวี เรื่องแบบนี้เธอไม่ควรเข้าไปข้องเกี่ยว
ผ่านไปได้สักพักเหยียนหมิงต๋าก็เดินออกมาพร้อมกับคุณย่าหยาง ขอบตาแดงก่ำดูเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา แต่อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อยเพราะมุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม
“ย่าไปทำเกี๊ยวน้ำให้หลานนะ หลานไม่ต้องกินเยอะ อีกสักพักก็จะได้เวลากินมื้อเที่ยงแล้ว ”
คุณย่าหยางเองก็อารมณ์ดีขึ้นมาก คาดผ้ากันเปื้อนเตรียมจะเดินเข้าห้องครัว
“ผมไม่หิว เดี๋ยวรอกินมื้อเที่ยงเลยก็ได้ พี่ผมละครับ?” เหยียนหมิงต๋ายื่นมือไปคว้าแอปเปิลลูกหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาขึ้นมากัดพร้อมถามว่าเหยียนหมิงซุ่นไปไหน
“พี่ของหลานออกไปโทรศัพท์สั่งให้คนรับแม่ของหลานกลับมา โธ่ แอปเปิลยังไม่ได้ปอกเลยกัดเข้าไปได้ไง ไม่รู้กฎรู้เกณฑ์เอาเสียเลย รีบปอกเปลือกเลยนะ”
คุณย่าหยางยื่นมีดปอกผลไม้ให้เหยียนหมิงต๋าพลางจ้องเขาปอกเปลือก ปากบ่นอุบอิบไม่หยุด ตอนนี้แอปเปิลใส่ยาฆ่าแมลงเยอะ ถ้าไม่ปอกเปลือกกินไม่ได้…
“การกินไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องความสะอาดนักหรอกครับ คุณย่านับวันยิ่งขี้บ่นขึ้นเรื่อย ๆนะเนี่ย!”
แม้ว่าเหยียนหมิงต๋าจะนึกรำคาญแต่ก็ยอมปอกเปลือกอย่างเชื่อฟัง สายตากลับจับจ้องลานบ้านตลอดเวลาเฝ้ารอเหยียนหมิงซุ่นกลับมา
เหมยเหมยทอดถอนหายใจ ต่อให้ถานซูฟางจะน่ารังเกียจแค่ไหน แต่ในใจของเหยียนหมิงต๋าเธอกลับอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญมาก และถานซูฟางก็เป็นแม่ที่ใจดีสำหรับเหยียนหมิงต๋า เหยียนหมิงต๋าจะยอมอยู่เฉยแล้วปล่อยให้แม่ตัวเองไปตายได้อย่างไรเล่า!
ช่างเป็นเนื้อร้ายที่ดึงไม่ออกตัดไม่ขาดกันจริง ๆ!
ช่วงมื้อเที่ยงเหยียนหมิงซุ่นก็กลับเข้ามา เขาพยักหน้าให้เหยียนหมิงต๋า “แจ้งพวกเขาไปแล้ว นายคงได้เจอกับแม่ช่วงเทศกาลโคมไฟ”
ใบหน้าของเหยียนหมิงต๋าเต็มไปด้วยรอยยิ้มโผเข้าหาตัวเหยียนหมิงซุ่น “ขอบคุณครับพี่!”
ขอเพียงแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว!
ต่อให้อยู่ที่ไหนก็ย่อมได้ ตอนนี้เขาโตแล้วสามารถดูแลพ่อแม่ได้แล้ว เขาจะพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อให้พวกท่านใช้ชีวิตในเขตภูเขาทุรกันดารอย่างสุขสบายมากขึ้น
เรื่องอื่นเขาจะไม่ทำให้พี่ชายลำบากใจอีก!
เหยียนหมิงต๋าไม่ใช่พวกดื้อดึงเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว เขารู้จักคิด รู้ว่าเรื่องที่แม่ของเขาทำมันเกินกว่าเหตุ ไม่ใช่คนดีอะไร แต่เขาก็ทำใจไม่ได้ที่จะต้องตัดขาดกับแม่ตัวเอง เป็นเหมือนอย่างตอนนี้มันก็ดีมากพอแล้วล่ะ
เหยียนหมิงซุ่นตบไหล่น้องชายตัวเองโดยไม่พูดอะไร ดวงตาฉายแววอบอุ่น เหมยเหมยเองก็ยิ้มอย่างปิติ นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว!
อู่เยวี่ยนอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดีเอาเสียเลย เธอผ่าตัดมาแล้วถึงสามครั้ง รอยสักตรงสะบักและหน้าอกถูกลบออกไปแล้ว ตำแหน่งที่ถูกลบเกิดรอยแดงจ้ำ ๆและรอยแผลจาง ๆแต่ก็ถือว่าดีกว่าตอนนั้นมาก พอจะกลบด้วยแป้งได้
การผ่าตัดทั้งสามครั้งทำให้อู่เยวี่ยเจ็บปวดเจียนตาย ในใจที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นนั้นมีมากขึ้นกว่าเดิม
เธอเกลียดทุกคน ทั้งเฮ่อเหลียนเช่อ หนิงเฉินเซวียน เหยียนหมิงซุ่น จ้าวเหมย โจวจื่อหัว…
คนพวกนี้ล้วนทำผิดต่อเธอ!
เฮ่อเหลียนเช่อเดินเข้ามามองอู่เยวี่ยที่อยู่บนเตียงด้วยสายตาเย็นชา “คุณลุงจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดในเดือนมีนาคม ครั้งนี้เป็นงานฉลอง(เจิ่งโซ่ว[1]) จำเป็นต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่ เธอรักษาร่างกายให้แข็งแรง ถึงเวลานั้นต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดด้วย”
อู่เยวี่ยตกปากรับคำอย่างว่าง่าย เธอนึกถึงข่าวที่ได้ยินมาก่อนหน้านั้นก็พลันเกิดแผนการในใจ หันไปพูดกับเฮ่อเหลียนเช่อว่า “คุณชายเช่อ เหยียนหมิงต๋ากลับมาแล้ว เขาต้องคิดถึงแม่ของเขามากแน่นอน”
[1] เป็นการจัดเลี้ยงเพื่อต่ออายุ เนื่องจากคนโบราณมีอายุสั้น บุคคลที่มีอายุถึง 50 ปีถือได้ว่าอายุยืน ดังนั้นการจัดฉลองวันเกิดอย่างยิ่งใหญ่จึงมักจะจัดในช่วงอายุ 50 60 70 ปี เป็นต้นไป
…………………………………………………
ตอนที่ 1973 เกิดเรื่องแล้ว
ข่าวคราวเรื่องงานเลี้ยงวันเกิด(เจิ่งโซ่ว)ครบรอบเจ็ดสิบปีของหนิงเฉินเซวียน เพิ่งผ่านพ้นวันที่สามของวันตรุษจีนไปก็เริ่มแจกจ่ายบัตรเชิญอย่างกว้างขวางซึ่งต่างไปจากนิสัยในอดีตของหนิงเฉินเซวียนที่ไม่เคยสนใจใคร แต่ครั้งนี้กลับกลายเป็นว่าทำตัวเป็นจุดสนใจ เฮ่อเหลียนชิงและเหยียนหมิงซุ่นต่างก็ได้รับบัตรเชิญเช่นกัน
งานเลี้ยงวันเกิดกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 3 ของเดือนมีนาคม เข้าสู่ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิพอดี สภาพอากาศค่อย ๆอบอุ่นขึ้น
จ้าวอิงหัวเองก็ได้รับบัตรเชิญเช่นเดียวกันจนรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย “ไอ้แก่หนิงนี่นิสัยเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไรกัน? เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเขาจัดงานเลี้ยงวันเกิดเลย ครั้งนี้มันเกิดอะไรขึ้น!”
“อาจจะเพราะอายุเยอะแล้วเลยอยากเชิญแขกมากหน้าหลายตามาร่วมอวยพรให้เขามั้ง ส่วนใหญ่แล้วอายุยิ่งมากก็ยิ่งกลัวตายกันไม่ใช่เหรอ!” จ้าวเสวียหลินคาดเดา
เหมยเหมยเองก็คิดเช่นเดียวกัน รู้สึกว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นแหละ!
แต่เธอก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย ตอนแรกคิดว่าอู่เยวี่ยไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆอย่างแน่นอน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าการยั่วยุของโจวจื่อหัวในครั้งนี้จะทำให้ยัยชั่วอู่เยวี่ยเป็นเหมือนกับเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง ไม่ใช่สไตล์การกระทำของเธอเหมือนแต่ก่อนเลยสักนิด
“พี่คะ ตอนนี้อู่เยวี่ยท้องกี่เดือนแล้ว คงใกล้คลอดแล้วใช่ไหม?” เหมยเหมยเป็นห่วงก้อนเนื้อในท้องของอู่เยวี่ยก้อนนั้นมาก
“เพิ่งห้าเดือนกว่า ๆเอง ไม่เร็วขนาดนั้นหรอก” เหยียนหมิงซุ่นตอบ
เขาให้คนคำนวณไว้นานแล้ว เด็กในท้องของอู่เยวี่ยจะคลอดช่วงประมาณปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน เพราะเขาเองก็รอคอยอยู่เหมือนกัน!
ไม่นานก็ใกล้จะถึงเทศกาลโคมไฟแล้ว กลิ่นอายประเพณีของปีใหม่ก็ค่อย ๆจางหายไป เหยียนหมิงต๋ารอคอยการกลับมาของถานซูฟางอย่างใจจดใจจ่อ
คำนวณเวลาดูแล้ว ถานซูฟางคงจะอยู่ในระหว่างการเดินทางแล้วล่ะ
คุณย่าหยางแม้จะไม่ได้ยินดีกับการกลับมาของผู้หญิงคนนี้ แต่เพื่อความสุขของหลานชายคนเล็กเธอจึงเลือกที่จะทำความสะอาดห้องรับแขกห้องหนึ่ง ถึงอย่างไรเสียก็มาพักแค่ไม่กี่วันไม่ชอบใจแค่ไหนก็ต้องอดทนไว้
“พี่คะ ช่วงไม่กี่วันนี้เรากลับไปพักที่บ้านเถอะ” เหมยเหมยออกความเห็น เธอไม่อยากเจอถานซูฟางเลยสักนิด
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มน้อย ๆ ลูบหัวของเธอเบา ๆ “ได้สิ!”
เมื่อสักครู่ลูกน้องโทรเข้ามาหาเขาแจ้งว่าเขาไปรับถานซูฟางที่สนามรบประเทศ F เรียบร้อย หากไม่เกินกว่าที่คาด พรุ่งนี้ก็คงได้เจอถานซูฟางแล้ว อารมณ์ของเขาในตอนนี้เหมือนกับเหมยเหมยไม่อยากเจอหน้าถานซูฟางเลยสักนิด
ทั้งบ้านก็คงไม่มีใครดีใจมากไปกว่าเหยียนหมิงต๋าแล้วล่ะ ถึงแม้เขาจะพยายามเก็บซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ แต่ใคร ๆ ต่างก็สัมผัสได้ว่าเขาตั้งตารอคอยการกลับมาของถานซูฟางมากเหลือเกิน
แม้ว่าจะเป็นกฎธรรมชาติของมนุษย์แต่ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
ไม่กี่วันมานี้บรรยากาศในบ้านตระกูลเหยียนค่อนข้างมาคุ คุณย่าหยางและคุณปู่เหยียนยิ่งไม่ค่อยสบายใจ แต่เพื่อเหยียนหมิงต๋าแล้วพวกเขาจำต้องฝืนยิ้ม
พรุ่งนี้เป็นเทศกาลโคมไฟแล้ว ถนนทุกเส้นในเมืองหลวงกลับมาครึกครื้นมีชีวิตชีวาอีกครั้ง คุณย่าหยางก็เริ่มยุ่งเตรียมทำบัวลอยไส้งาดำ
เหมยเหมยกลับนอนขี้เกียจอยู่บนเตียง การนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มในวันที่อากาศเหน็บหนาวเป็นสิ่งที่สบายใจที่สุด เธอยื่นมือออกไปลูบคลำข้าง ๆเตียงกลับพบความว่างเปล่า
ไม่รู้ว่าเหยียนหมิงซุ่นไปไหน
เธอกำลังจะเรียกหาแต่เหยียนหมิงซุ่นก็เดินเข้ามาพอดีพร้อมกลิ่นอายสังหาร เหมยเหมยหวาดผวาระคนตัวสั่น และได้สติขึ้นมาทันที
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เหมยเหมยถามขึ้นอย่างเป็นกังวล
เธอเห็นสายตาเย็นชาดุดันของเหยียนหมิงซุ่นก็มั่นใจได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ แถมยังเป็นเรื่องใหญ่เสียด้วย ในใจเธอพลันรู้สึกถึงเรื่องไม่ดีเอามาก ๆ ใจหายวูบดิ่งลงเหว
“ระหว่างทางกลับมาถานซูฟางถูกศัตรูโจมตี คนที่ไปรับเธอบาดเจ็บสาหัสไปสองราย ตายไปหนึ่งราย” เหยียนหมิงซุ่นตอบกลับเสียงเย็นชา ไฟโทสะในใจปะทุขึ้น
เหมยเหมยใจเต้นแรง เหมยเหมยแอบขอพรในใจอย่าให้เรื่องมันแย่ไปกว่าที่เป็นเลย เธอถามอย่างระแวดระวัง “ถานซูฟางเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อช่วยชีวิตแล้ว ตอนนี้ยังไม่รู้ผล” เหยียนหมิงซุ่นพูดพลางเปลี่ยนเสื้อผ้า หันหน้ากลับมาพูดอีกว่า “พี่จะรีบไปชายแดนเดี๋ยวนี้ เธอเป็นเด็กดีอยู่ที่บ้านนะ”
ตอนที่ 1974 ถานซูฟางบาดเจ็บสาหัส
ความจริงคือเหยียนหมิงซุ่นยังพูดไม่หมด อาการของถานซูฟางไม่ดีเอาเสียเลย โอกาสที่จะช่วยชีวิตกลับมาได้นั้นน้อยมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องรีบไปที่นั่นก็เพราะอยากลองใช้ยาวิเศษดู
ไม่ว่าจะอย่างไรแค่รักษาชีวิตของถานซูฟางเอาไว้ได้ก็พอแล้ว
เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกกลุ้มใจมากเพราะมันไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะยอมตัดสินใจ แต่ตอนนี้กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถ้าถานซูฟางตายไปจริง ๆ เขาไม่รู้เลยว่าเหยียนหมิงต๋าจะเป็นเช่นไร?
เหตุการณ์ครั้งนี้เขาจะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่ามันเป็นเพราะความโชคร้ายหรือมีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลังกันแน่!
“พี่คะ ฉันไปกับพี่ด้วยนะ!”
เหมยเหมยเองก็ลุกออกจากเตียงพร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอไม่วางใจเหยียนหมิงซุ่น
ต่อให้เหยียนหมิงซุ่นจะเข้มแข็งมากแค่ไหน เก่งกาจสักแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่มีเลือดเนื้อเชื้อไข ตอนนี้อารมณ์และจิตใจของเขาคงย่ำแย่อย่างถึงที่สุด เธอจะต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนเขา
“เธอเป็นเด็กดีรออยู่ที่บ้าน พี่ไปไม่นานก็กลับ” เหยียนหมิงซุ่นไม่เต็มใจเลย
ชายแดนไม่ค่อยสงบนักเขาไม่อยากให้เหมยเหมยไปเผชิญอันตราย แต่เขาดูถูกฝีมือการรบเร้าและกวนใจของผู้หญิงเกินไปหน่อย เขาโดนเหมยเหมยทั้งออดอ้อนออเซาะ ทั้งเล่นแง่แม่งอนใส่ ทั้งเอาอกเอาใจ…
เหยียนหมิงซุ่นอยู่ในสภาวะกลัดกลุ้มจึงจำใจต้องพาติดสอยห้อยตามไปด้วยอย่างระอา
“พอไปถึงที่นั่นห้ามออกห่างจากพี่เกินระยะสามเมตรเด็ดขา ได้ยินไหม?” เหยียนหมิงซุ่นกำชับ เหมยเหมยก็พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
เหยียนหมิงซุ่นขับเครื่องบินไปที่ชายแดนด้วยตัวเองเพราะมันเร็วที่สุดแล้ว ตลอดการเดินทางเหมยเหมยกังวลเป็นอย่างมาก ประสานมือขอพรอยู่ตลอด แม้ว่าถานซูฟางจะกลายเป็นผักไปแล้วก็ตาม ถึงอย่างไรก็ดีกว่าการที่เธอตายจากไปหลายร้อยเท่า
ต่อให้ช่วยชีวิตกลับมาไม่ได้แต่ขอยื้อเวลาไว้อีกสักปีหรือครึ่งปี เพื่อให้เหยียนหมิงซุ่นและเหยียนหมิงต๋าสองพี่น้องได้มีเวลาปรับความเข้าใจกัน
“ไม่เรียกเหยียนหมิงต๋ามาด้วยเหรอ?” เหมยเหมยไม่เห็นเหยียนหมิงต๋า เธอรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆว่าควรจะเรียกเขามาด้วย
หากว่าช่วยถานซูฟางกลับมาไม่ได้จริง ๆ อย่างน้อยก็ให้พวกเขาสองแม่ลูกได้เจอหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อไม่ให้หลงเหลือความเสียใจทิ้งไว้
เหยียนหมิงซุ่นเม้มปากแน่น “ใกล้ถึงแล้ว”
ในเมื่อเหมยเหมยคิดได้เขาเองก็คิดได้ หลังจากที่ได้รับสายจากลูกน้องเขาก็โทรหาเหยียนหมิงต๋าทันทีให้เขารีบมาที่จุดเตรียมพร้อมของสนามบินรบโดยเร็วที่สุด
“พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกับแม่ผมเหรอ?” เหยียนหมิงต๋าโผเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู
เหมยเหมยรีบแย่งตอบพยายามใช้คำพูดอ้อมค้อมที่สุด “ตอนที่คนของพี่หมิงซุ่นไปรับแม่ของนาย ระหว่างทางถูกศัตรูลอบโจมตีลูกน้องของพี่หมิงซุ่นบาดเจ็บสาหัสและตาย…”
เหยียนหมิงต๋าหน้าเปลี่ยนสีทันที พูดขัดเธอว่า “แม่ของผมเป็นอย่างไรบ้าง?”
“บาดเจ็บสาหัสกำลังช่วยชีวิตอยู่ รีบขึ้นเครื่องบินเถอะ” เหยียนหมิงซุ่นเข้าไปนั่งในห้องนักบินด้วยท่าทีสงบ
เหยียนหมิงต๋ารีบขึ้นเครื่องบินด้วยท่าทีร้อนรน เหมยเหมยเองก็ขึ้นตามมาด้วยความรู้สึกที่แย่ไม่ต่างกัน
พระเจ้าโปรดช่วยคุ้มครอง ขอให้ถานซูฟางอย่าตายเลย!
สี่ชั่วโมงให้หลังพวกเขาก็มาถึงชายแดนพร้อมกับมีคนมารับพวกเขาไปที่โรงพยาบาลเขตทหาร
“เล่าเหตุการณ์มาให้ละเอียด ที่นั่นเป็นโซนปลอดภัยไม่ใช่เหรอ? แล้วศัตรูมาจากไหน? จับตัวได้หรือยัง?” เหยียนหมิงซุ่นสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชาเสียงนิ่ง เหยียนหมิงต๋าเองก็ทำหูตั้งเช่นเดียวกัน
เมื่อกี้ตอนอยู่บนเครื่องบินเขาถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับถานซูฟางก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกัน เมื่อก่อนเขาเองก็เคยมาปฏิบัติภารกิจที่ชายแดนจึงเข้าใจสถานการณ์ของที่นี่เป็นอย่างดี สถานที่ที่ถานซูฟางเกิดเหตุเป็นโซนปลอดภัย ตามหลักแล้วไม่ควรจะมีพวกศัตรูโผล่มา
แต่กลับถูกลอบโจมตี มันเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากจริง ๆ
ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบกลับ “ศัตรูถูกฝ่ายเรายิงตายไม่เหลือผู้รอดชีวิตสักคน ดูจากเครื่องแต่งกายและสีผิวของพวกมัน น่าจะเป็นกองโจรท้องถิ่นของประเทศ F ครับ เหตุใดถึงเข้ามาอยู่ในโซนปลอดภัยได้พวกเรากำลังตรวจสอบอยู่ครับ”
เหยียนหมิงต๋าถามออกไปอย่างทนไม่ไหวว่า “แม่ของผมเป็นไงบ้าง?”
ผู้ใต้บังคับบัญชามองเขาอย่างลำบากใจ พูดอ้ำ ๆอึ้ง ๆว่า “กำลังช่วยชีวิตอยู่ครับ”
ความเป็นจริงอาการบาดเจ็บของถานซูฟางนั้นสาหัสมาก ตามหลักการทั่วไปแล้วคงไม่อาจมีชีวิตรอดได้แต่เขาเองก็ไม่กล้าพูดออกไป
…………………………………………………………………
ตอนที่ 1975 ช่วยชีวิตเอาไว้ไม่ได้
เหยียนหมิงซุ่นเห็นท่าทีของผู้ใต้บังคับบัญชาก็รู้เลยว่าในคำพูดของเขานั้นมีความหมายที่สื่อออกมาไม่หมด ดูเหมือนว่าอาการของถานซูฟางจะไม่ดีเอาเสียเลย
“ขับเร็วกว่านี้หน่อย!” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยเสียงนิ่ง
หวังว่าจะยังทันการนะ!
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงโรงพยาบาลทหาร ถานซูฟางยังคงถูกทำการช่วยชีวิตอยู่ในห้องผ่าตัด ผู้ใต้บังคับบัญชาอีกสองนายที่บาดเจ็บสาหัสก็ได้ถูกทำการช่วยชีวิตเอาไว้อยู่
เหยียนหมิงซุ่นล้วงยาวิเศษออกมายื่นให้หมอที่ทำการช่วยชีวิต ดังนั้นเหตุผลที่เขารีบมาที่นี่ไม่ใช่เพราะถานซูฟาง เพราะสิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
ถานซูฟางสิบคนก็เทียบกับชีวิตของผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเพียงหนึ่งคนไม่ได้ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ถานซูฟางจะตาย
เหมยเหมยและคนอื่น ๆรออยู่หน้าห้องผ่าตัด เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับหอยทากพร้อมกับความทุกข์ทรมาน
เหยียนหมิงต๋าเดินวกไปวนมาตรงระเบียงทางเดิน ทุก ๆห้านาทีจะเดินไปดูสถานการณ์หน้าห้องผ่าตัด เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้สนใจเขาแต่กลับพิงพนักเก้าอี้พักสายตา
ประตูเปิดออกมา
หนึ่งในผู้บาดเจ็บสาหัสถูกเข็นออกมา โชคดีที่ช่วยชีวิตเอาไว้ได้แล้ว
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงผู้บาดเจ็บสาหัสอีกหนึ่งรายก็ถูกเข็นออกมา และเป็นข่าวดีเช่นเดียวกัน เหลือเพียงถานซูฟางที่ยังกำลังช่วยชีวิตอยู่
ในใจของเหมยเหมยพลันจุดประกายความหวัง บางทีวันนี้มัจจุราชคงหยุดงาน!
เพียงแต่…
“ขอโทษครับ แต่พวกเราพยายามอย่างเต็มที่แล้ว” คุณหมอมีท่าทีนิ่งสงบ ความเป็นความตายเป็นเรื่องปกติมากสำหรับพวกเขา
เหยียนหมิงต๋ามีท่าทีเปลี่ยนไปมากพุ่งพรวดเข้าไปในห้องผ่าตัด ถานซูฟางได้ถูกคลุมโปงด้วยผ้าขาวไปแล้ว
“แม่…”
เสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดของเหยียนหมิงต๋าดังลอยออกมา เขาโผเข้าหาร่างไร้วิญญาณของถานซูฟางพลางร้องห่มร้องไห้อย่างหนัก บรรยากาศอบอวลไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
เหมยเหมยทอดถอนหายใจ เหตุการณ์แบบนี้มันช่าง…
ทำไมถึงตายได้ล่ะ?
เหยียนหมิงซุ่นตบไหล่เธอ “ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ!”
เกิดเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องเตรียมตั้งรับกับเรื่องที่เลวร้ายที่สุด
ก่อนจะทำอะไรเขามักจะเตรียมตั้งรับกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดไว้เสมอ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงดูสงบ ซ้ำยังดูโล่งใจเสียด้วยซ้ำเพราะผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองนายของเขาถูกช่วยชีวิตไว้ได้แล้ว
ถานซูฟางไม่ควรค่าแก่การเสียสละของผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาฝึกฝนมาอย่างหนัก แม้แต่คนเดียวก็ทำให้เขาต้องเสียใจไปอีกนาน
“มอบคุณงามความดีให้กับทหารที่เสียสละหนึ่งขั้น พร้อมกับประกาศว่าเป็นผู้ยอมสละชีพเพื่อหน้าที่นำเงินจำนวน 200,000 หยวนจากกองทุนของฉันมอบให้กับครอบครัวเขาด้วย” เหยียนหมิงซุ่นกำชับ
นี่คือกฎเกณฑ์ที่เขาตั้งเอาไว้ ตราบใดที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล ต่อให้ต้องสละชีพ พ่อแม่ภรรยาและลูกของเขาเหยียนหมิงซุ่นจะช่วยดูแลจนถึงที่สุด ไม่ปล่อยให้ครอบครัวของผู้พลีชีพต้องพบกับความลำบากแน่นอน
“ครับ!” ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบรับ พลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้จงรักภักดีต่อเหยียนหมิงซุ่น
ศพของถานซูฟางถูกเผาที่นั่น เหยียนหมิงต๋าเองยังคงเซื่องซึมจมอยู่กับอาการโศกเศร้าอยู่ตลอด จนถึงช่วงเวลาที่ต้องกลับเขาก็ยังคงไร้ชีวิตชีวา แถมไม่สนใจใครทั้งนั้นเอาแต่กอดเถ้ากระดูกของถานซูฟางไว้
เหยียนหมิงซุ่นก็ไม่ได้สนใจเขา ปล่อยให้เขาก้าวเดินออกมาเอง
“พี่ใหญ่ ผมอยากอยู่ที่นี่ต่อ” ก่อนขึ้นเครื่องบินเหยียนหมิงต๋าเอ่ยขึ้นกะทันหัน
เหยียนหมิงซุ่นมุ่นคิ้ว พอมองปราดเดียวก็รู้ถึงจุดประสงค์ของเขาทันทีจึงเอ่ยค้านว่า “ไม่ได้ นายยังมีภารกิจอื่นรออยู่ พอหมดวันหยุดนายต้องกลับกอง(ทัพ)”
เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่ ศัตรูติดอาวุธไม่กี่คนที่ถูกสังหารเขาได้ไปดูศพแล้ว เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เสียดายที่ไม่มีใครรอดชีวิตไม่งั้นเขาคงสามารถสอบปากคำได้
คนไม่กี่คนที่เขาสงสัยกลับไม่ใช่พวกศัตรูติดอาวุธแต่ตอนนี้เขายังไม่มีหลักฐานมัดตัวดังนั้นไม่อาจพูดอะไรได้ หากสืบหาความจริงได้เขาจะบอกเหยียนหมิงต๋าอย่างชัดเจน
“เรื่องนี้พี่จะให้คำอธิบายกับนายเอง”
เหยียนหมิงซุ่นมองน้องชายของตนด้วยท่าทีเคร่งขรึม น้ำเสียงหนักแน่นและทรงพลัง
ตอนที่ 1976 บุคคลที่น่าสงสัยที่สุด
ถานซูฟางเป็นคนเมืองจิน พ่อแม่ของเธอรวมถึงพี่น้องของเธอก็อยู่ที่เมืองจินจึงต้องนำเถ้ากระดูกกลับมาที่เมืองจิน เหมยเหมยและคนอื่น ๆไม่ได้กลับไปที่เมืองหลวงแต่บินตรงไปที่เมืองจินเลย
“ผมจะไปที่บ้านของคุณตาคุณยาย” เหยียนหมิงต๋ากอดโกศเถ้ากระดูกไว้ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ข่าวการตายของถานซูฟางเหยียนหมิงซุ่นได้โทรไปแจ้งคุณย่าหยางและคนอื่น ๆแล้ว ผู้เฒ่าทั้งสองอดที่จะใจหายไม่ได้ กว่าหลานชายคนโตของเขาจะยอมละทิ้งความโกรธแค้นในใจได้แต่กลับต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้เสียก่อน
ฟ้ากลั่นแกล้งกันหรือไร!
เหยียนหมิงต๋าไปที่บ้านของคุณตาคุณยายพร้อมโกศเถ้ากระดูกของถานซูฟางและหนังสือรับรองการพลีชีพในหน้าที่
จนถึงวันตายถานซูฟางก็ยังคงอยู่ในสถานะของแพทย์สนาม(รบ) ดังนั้นเธอจึงมีสิทธิ์เป็นผู้พลีชีพในหน้าที่ ถือว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำให้เหยียนหมิงต๋าได้ก็แล้วกัน!
เหยียนหมิงซุ่นพาเหมยเหมยไปยังที่พักของเขาในเมืองจิน คุณย่าหยางได้คืนบ้านพักอาศัยในเขตอีจงให้กับทางโรงเรียนไปแล้ว ส่วนบ้านของเหยียนโฮ่วเต๋อเขายิ่งไม่มีทางไปพักแน่นอน
ทางโรงพยาบาลของถานซูฟางก็ได้ทราบข่าวการตายของถานซูฟางแล้ว พิธีบำเพ็ญกุศลจะจัดขึ้นในวันมะรืนนี้ เหยียนโฮ่วเต๋อเองก็ได้รับแจ้งแล้ว วันมะรืนก็น่าจะมาถึง อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นสามีของถานซูฟางอยู่
“เหยียนหมิงต๋าเขาคงไม่คิดสั้นหรอกนะ?” เหมยเหมยถามด้วยความกังวล
ตั้งแต่ถานซูฟางตายไปเหยียนหมิงต๋าก็เหมือนกับท่อนไม้ ไม่พูดไม่จาสักคำ สายตาแน่นิ่งทำเอาทุกคนต่างพะว้าพะวงไปตาม ๆกัน
เหยียนหมิงซุ่นลูบเบา ๆอย่างปลอบใจ “ถึงจะคิดสั้นก็ไม่เป็นไร นอนเถอะ”
เหมยเหมยถอนหายใจแผ่วเบา บ่นพึมพำอย่างขุ่นเคือง “จะเกิดเรื่องเร็วกว่านี้หรือช้ากว่านี้หน่อยก็ไม่ได้ ดันมาเกิดตอนนี้ซะได้ น่าโมโหชะมัด”
ทันใดนั้นเหมยเหมยก็ดวงตาเป็นประกาย “พี่คะ หรือจะมีคนบงการอยู่เบื้องหลัง? จงใจทำร้ายถานซูฟางให้ตาย?”
แต่เธอก็ปฏิเสธความคิดตัวเองอย่างรวดเร็ว “จริงสิ ถานซูฟางไม่ลงรอยแค่กับพี่ ไม่มีศัตรูคนอื่น ใครกันที่จะลงแรงลอบทำร้ายเธอถึงขนาดนั้น ต่อให้มีคนคิดที่จะจัดการกับเธอ บุคคลที่น่าสงสัยที่สุดก็คือพี่แล้วล่ะ!”
ประโยคหลังเธอพูดติดตลก ความจริงก็เป็นเช่นนั้นเพราะบนโลกนี้คนที่อยากให้ถานซูฟางตายที่สุดก็คือเหยียนหมิงซุ่น และคนที่ส่งถานซูฟางไปเป็นแพทย์สนาม(รบ)ก็คือเหยียนหมิงซุ่นอีกด้วย หากเป็นคนอื่นคงคิดว่าคนที่ทำให้ถานซูฟางตายก็คือเหยียนหมิงซุ่น
เหมยเหมยรู้ดีว่าเหยียนหมิงซุ่นไม่มีทางทำแบบนี้แน่นอน ถ้าเขาอยากทำให้ถานซูฟางตาย มีวิธีที่ปลอดภัยกว่านี้อยู่นับไม่ถ้วน ไม่จำเป็นต้องทำให้ถานซูฟางมาตายในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้หรอก
เพราะงั้นการตายของถานซูฟาง ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้วสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือความโชคร้ายของเธอ ขนาดอยู่ในโซนปลอดภัยยังเจอการโจมตีจากพวกศัตรูติดอาวุธได้ คงพูดได้เพียงว่าหมดอายุขัยแล้วจริง ๆ
เหยียนหมิงซุ่นเลิกคิ้ว เมื่อกี้เหมือนจะมีบางอย่างแวบเข้ามาในหัวแล้วก็ผ่านไป เขามองหน้าเหมยเหมยและพูดว่า “เธอลองพูดประโยคเมื่อกี้อีกทีซิ!”
เหมยเหมยถามด้วยความงงงวย “ประโยคไหน?”
“ก็ที่เธอเพิ่งพูดไป พูดใหม่อีกรอบสิ”
เหมยเหมยคิดไปคิดมาพลางพูดขึ้นว่า “ต่อให้มีคนคิดที่จะจัดการกับเธอจริง ๆ บุคคลที่น่าสงสัยที่สุดก็คือพี่แล้วล่ะ ใช่ประโยคนี้ไหม?”
เหยียนหมิงซุ่นพึมพำเสียงเบา เมื่อกี้พอได้ฟังประโยคนี้ในหัวเขาก็เกิดความคิดใหม่บางอย่างแล่นผ่านขึ้นมาแต่มันก็แล่นผ่านไปเสียแล้ว ตอนนี้ต้องใจเย็น ๆค่อย ๆคิด
เหมยเหมยไม่ได้รบกวนเขา บรรยากาศเงียบสงัด เหยียนหมิงซุ่นคิดอยู่สักพักถึงได้ลืมตาขึ้นแล้วหันไปส่งยิ้มให้เหมยเหมย “นอนเถอะ!”
“พี่คิดอะไรออกเหรอ?” เหมยเหมยแปลกใจมาก
“ไม่มีอะไร ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ พี่ต้องให้คนไปตรวจสอบดูก่อน รอตรวจสอบได้แล้วจะบอกเธออีกทีนะ”
เหมยเหมยรู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรมาเหยียนหมิงซุ่นจะไม่พูดในสิ่งที่ตนไม่มั่นใจจึงไม่ได้เค้นถามต่อ เธอปิดตาลงและผล็อยหลับไป
สองวันถัดมาพิธีบำเพ็ญกุศลจัดขึ้นตามกำหนด เหมยเหมยและเหยียนหมิงซุ่นไปร่วมพิธีด้วยแต่พวกเขาไม่ได้สวมชุดดำ แค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ
……………………………………………………….
ตอนที่ 1977 เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง
ครอบครัวของถานซูฟางต่างปรากฏตัวอยู่ในพิธีบำเพ็ญกุศล เหยียนโฮ่วเต๋อก็มาด้วย ช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งปีอดีตข้าราชการที่เต็มไปด้วยมันสมองผู้นี้ บัดนี้ได้กลายเป็นคนผิวดำคล้ำและผอมซูบ แลดูมีอายุขึ้นไม่ต่ำกว่าสิบปี เส้นผมขาวหงอกไปเกินครึ่ง หลังค่อมเล็กน้อย ท่าทีน่าสงสารแต่ไม่ควรค่าแก่การได้รับความน่าเห็นใจเลยสักนิด
เหยียนหมิงต๋ายืนอยู่ในระนาบแถวเดียวกันกับเหยียนโฮ่วเต๋อเพื่อคอยต้อนรับแขกที่เข้ามาร่วมแสดงความเสียใจ เหยียนหมิงต๋ามีท่าทีเศร้าโศก ส่วนเหยียนโฮ่วเต๋อกลับมีท่าทีไร้ความรู้สึกที่เป็นเพียงเครื่องจักรก้มคำนับเท่านั้น
“ซูฟางเอ๋ย ลูกตายได้น่าเวทนานัก…ซูฟางของแม่…ลูกต้องให้คนผมหงอกอย่างแม่มาส่งคนผมดำอย่างลูก มันคือการแล่เนื้อบนตัวแม่ชัด ๆเลย…”
ทันใดนั้นเสียงร้องไห้อันน่าเวทนาก็ดังขึ้น ผู้ที่ได้ยินต่างหลั่งน้ำตา ผู้ที่ได้เห็นต่างเศร้าเสียใจ
หญิงชรารูปร่างสันทัดล้มลงกลิ้งเกลือกลงบนพื้น ดูจากการแต่งกายดูดีไม่น้อย แต่จากการแสดงออกที่เห็นก็รับรู้ได้เลยว่าหญิงชราผู้นี้ไม่ใช่คนที่น่าคบหาเท่าไรนัก
หญิงชราผู้นี้ก็คือแม่ของถานซูฟาง หล่อนสามารถอบรมเลี้ยงดูผู้หญิงอย่างถานซูฟางออกมาได้แค่คิดก็รู้แล้วว่าหญิงชราคนนี้ไม่ใช่คนที่รับมือง่ายแต่อย่างใด
พิธีบำเพ็ญกุศลใกล้จะสิ้นสุดลง หญิงชราก็เกิดอาการบ้ากำเริบขึ้นมากะทันหัน สถานการณ์ในตอนนี้จึงวุ่นวายขึ้นมาทันที เหยียนหมิงต๋ารีบย่างสามขุมเข้าไปพยุงตัวหญิงชราหมายจะทำให้เธอลุกขึ้นและหยุดสร้างความวุ่นวาย
แต่หญิงชราจะยอมลุกขึ้นง่าย ๆได้อย่างไรเล่า…
“ซูฟางเอ๋ย ลูกเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อกับแม่ ความหวังของครอบครัวเราอยู่ที่ลูก แต่ลูกสิลงไปเสวยสุขตัวคนเดียวทิ้งแม่กับพ่อของลูกสองตายายที่แก่เฒ่าไว้ ต่อจากนี้ลูกจะให้พ่อกับแม่มีชีวิตต่อไปอย่างไร…”
หญิงชราร้องห่มร้องไห้ต่อไปไม่หยุด คำพูดแรก ๆไม่กี่ประโยคยังทำให้ผู้อื่นรู้สึกเห็นใจอยู่บ้าง หัวหงอกมาส่งหัวดำ นับว่าเป็นโศกนาฏกรรมของโลกมนุษย์จริง ๆ
เพียงแต่…
“เงินบำนาญรายเดือนของพ่อก็แค่น้อยนิด แม่ก็เป็นแค่แม่บ้าน พี่ชายพี่สาวของแกต่างก็ไม่เอาไหน ถ้าไม่เป็นเพราะมีซูฟางที่ช่วยดูแล แม่กับพ่อของแกก็คงไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้หรอก…ตอนนี้แกจากไปแล้ว แม่ก็จะตามแกไปด้วย มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว…”
บรรดาแขกทั้งหลายต่างก็มีท่าทีแปลกใจ มาถึงตอนนี้แล้วแม้แต่คนโง่ยังดูออกถึงจุดประสงค์ของหญิงชราคนนี้
ไม่เกินความคาดหมายก็คงเพื่อเงิน!
ผู้นำของโรงพยาบาลก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย บรรยากาศน่าอึดอัดเหลือเกิน
พ่อแม่และพี่ชายพี่สาวของถานซูฟางกลับทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย ก้มหน้าร้องไห้น้ำตาไหลแต่กลับคอยเงียหูฟัง
ใบหน้าของเหยีนหมิงต๋าแดงขึ้นมา พลันรู้สึกว่าคุณยายทำตัวน่าอับอายขายขี้หน้าเกินไปแล้ว
“คุณยายรีบลุกขึ้นเถอะ อย่าพูดแบบนี้เลย ต่อไปนี้ผมจะดูแลยายกับตาเอง…”
คุณยายถานสะบัดมือเขาทิ้งอย่างไม่พอใจ “แกเป็นทหารเงินเดือนน้อยนิด เลี้ยงตัวเองยังไม่ได้เลย…ยายไม่อาจทำใจรับเงินของแกได้หรอก หลานชายผู้น่าสงสารของยาย…สินสอดบ้านรถก็ไม่มี เมียก็ยังหาไม่ได้เลย!”
เหยียนหมิงต๋าก้มหน้างุดอย่างอับอายแต่ในใจกลับขมขื่น
เมีย?
เขาจะหาเมียไปเพื่ออะไรอีก ในเมื่อเขาคนนั้นไม่อยู่แล้ว!
“ยายครับ ยายทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ…รีบลุกขึ้นมาเถอะ!” เหยียนหมิงต๋าพูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุด แต่หญิงชราก็ดึงดันจะทำต่อ แถมยังไม่สนใจเขาเลยสักนิด
เหยียนโฮ่วเต๋อรีบก้าวเข้ามาหา เขาไม่ได้รู้ถึงเหตุการณ์ภายในที่แน่ชัดแต่ตอนนี้ก็พอจะเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นพวกขี้ขลาดไร้ความสามารถแต่ถึงอย่างไรก็เคยอยู่ในแวดวงข้าราชการ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าถานซูฟางสละชีพเพื่องานคงจะต้องได้รับเงินบำนาญจำนวนไม่น้อยแน่ ๆ
เงินก้อนนี้เพียงพอที่จะทำให้เขาได้เสวยสุขไปได้สักระยะหนึ่ง!
เขามองปราดเดียวก็รับรู้ถึงจุดประสงค์ของยายเฒ่าถานแล้ว หึ!
คิดจะแย่งชิงเงินก้อนนี้กับเขาเหรอ?
ไม่มีทางหรอก!
“แม่ครับ ผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ซูฟางเธอสละชีพเพื่อชาติถือเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวเรา ถึงแม้ซูฟางจะไม่อยู่แล้ว แต่ต่อจากนี้ไปผมก็คือลูกชายของพวกคุณ ผมจะต้องดูแลแม่กับพ่อให้ถึงที่สุด”
ท่าทีซื่อสัตย์จริงใจของเหยียนโฮ่วเต๋อได้รับความชื่นชมจากผู้ที่เฝ้าชมเหตุการณ์จำนวนมาก
มีสติสัมปชัญญะสูง มีความชอบธรรมและมีความรับผิดชอบ ผู้ชายดี ๆแบบนี้หาได้จากที่ไหนอีก?
ตอนที่ 1978 หมากัดกัน
เหยียนหมิงซุ่นที่ลอบมองสถานการณ์อยู่ในที่ลับมาตลอดหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา
ในที่สุดก็ทนไม่ไหว!
วันนี้มาได้คุ้มค่าจริง ๆ ไม่งั้นจะได้เห็นฉากหมากัดกันสนุก ๆแบบนี้เหรอ?
ตอนนั้นถานซูฟางโมโหแม่ของเขาแทบตาย พ่อแม่และครอบครัวของเธอต่างก็ร่วมกันออกความเห็นไม่น้อย หนำซ้ำตอนเขายังเด็กไม่ใช่แค่ถานซูฟางที่เคยทารุณกรรมเขา แต่คนในตระกูลถานก็รังแกเขาไม่น้อย ถึงขั้นตบตีด่าทอเขาต่อหน้าของถานซูฟางเลยด้วย
เรื่องเหล่านี้เขาจำได้หมด ต้องทบบัญชีเก่าทีละบัญชี รวมถึงดอกเบี้ยด้วย
เขาจะเอาคืนให้หมด!
เหมยเหมยที่เห็นก็ส่ายหน้าไม่หยุด ถ้าถานซูฟางได้เห็นคนในครอบครัวญาติพี่น้องเป็นแบบนี้ เกรงว่าฝาโรงศพก็คงจะปิดไม่ได้แล้ว!
คุณยายถานและเหยียนโฮ่วเต๋อสองคนนี้รับมือยากพอกัน แรก ๆทั้งคู่ยังไว้หน้าพูดจาอ้อมค้อมใส่กันบ้าง พอถึงตอนท้ายกลับฉีกหน้าเผยธาตุแท้ออกมาหมด ใคร ๆต่างก็รับรู้ถึงธาตุแท้ที่แสนจะอัปลักษณ์นั่น
บรรดาแขกที่ก่อนหน้านี้เคยชื่นชมเหยียนโฮ่วเต๋อต่างพากันผิดหวัง นัยน์ตาฉายแววดูถูกเหยียดหยาม
เถ้ากระดูกของเมียยังไม่ทันเย็น ฝ่ายนี้กลับวางแผนจะเอาเงินบำนาญของเมียตัวเองแล้ว ช่างน่าผิดหวังและเจ็บปวดใจเสียจริง!
เช่นเดียวกันกับการกระทำของคุณยายถานที่ยิ่งทำให้ผู้คนดูถูกดูแคลนเธอมากขึ้นกว่าเดิม เหยียนโฮ่วเต๋อเป็นเพียงสามี เดิมทีคู่สามีภรรยาก็เป็นดั่งนกในป่าใหญ่ เมื่อประสบเภทภัยก็แยกย้ายกันบินหนีจึงไม่ต้องคาดหวังอะไรกับเขามาก
แต่อีกคนเป็นแม่กลับคิดวางแผนจะเอาเงินบำนาญของลูกสาวด้วยวิธีเดียวกัน ช่างไร้ความเป็นคนเกินไปแล้ว!
“เหยียนโฮ่วเต๋อ แกอย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกหย่ากับถานซูฟางไปนานแล้ว ทำไมซูฟางถึงต้องไปเป็นแพทย์ภาคสนามที่นั่นด้วย? ไม่ใช่เพราะคนตระกูลเหยียนของแกหรอกเหรอ แกยังมีหน้าจะมาเอาเงินบำนาญของซูฟางอีกเหรอ?”
“แม่พูดจาแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ ไปเป็นแพทย์ภาคสนามมีเกียรติจะตายไป ผมรู้สึกภูมิใจมากที่มีภรรยาอย่างซูฟาง อีกอย่างผมกับซูฟางก็ยังรักใคร่กันดี ไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์ดีขนาดไหนแล้วจะหย่ากันได้อย่างไรล่ะครับ?”
“ถุย…พูดพล่ามไร้สาระอะไรของแก ถานซูฟางบอกฉันหมดแล้ว อย่าคิดว่าฉันไม่รู้!”
…
ทั้งคู่ทะเลาะกันอย่างไม่ลดละ บรรดาแขกต่างพากันส่ายหน้าไปมา เหยียนหมิงต๋านึกอยากจะหาที่มุดหลบหนีไป
“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว ขอให้แม่จากไปอย่างสงบได้ไหมครับ?” เหยียนหมิงต๋าตะโกนขึ้นอย่างเจ็บปวด
ต่อให้แม่ของเขาจะเคยทำความผิดแต่ก็ควรให้ความสำคัญกับผู้ตายสิ แม่ของเขาจ่ายค่าตอบแทนด้วยราคาของชีวิต ทำไมเหยียนโฮ่วเต๋อกับคุณยายต้องทำแบบนี้ด้วย?
พวกเขาเคยเห็นแม่เป็นคนในครอบครัวบ้างไหม?
ผู้นำของโรงพยาบาลได้เดินเข้ามา พวกเขาตรงเข้ามาหาเหยียนหมิงต๋า เขาสังเกตอยู่นานจึงพบว่าเหยียนหมิงต๋าค่อนข้างมีเหตุมีผลมากที่สุด
ผู้นำได้มอบเงินบำนาญของโรงพยาบาลให้กับเหยียนหมิงต๋า เงินได้ไม่มากแต่ก็ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ โดยเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นหยวน
“ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ เงินพวกนี้นายเก็บเอาไว้เถอะ ต่อจากนี้ถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้ไปที่โรงพยาบาล ถ้าพวกเราช่วยได้ก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเลย”
“ขอบคุณครับ!”
เหยียนหมิงต๋าไม่ได้ต้องการเงินพวกนี้ เขาอยากให้แม่มีชีวิตอยู่ต่อไปมากกว่า มือของผู้นำค้างอยู่กลางอากาศอยู่นานพอสมควร
ผู้นำทอดถอนหายใจ เขาเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของเหยียนหมิงต๋าดีจึงได้ยัดเงินใส่อุ้งมือของเขาไป
คุณยายถานและเหยียนโฮ่วเต๋อดวงตาลุกวาวพุ่งพรวดเข้ามาตรงหน้าของเหยียนหมิงต๋าหมายจะแย่งเงินในมือของเขาไป
เหยียนหมิงต๋าไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาแย่งเงินไปแน่นอน ไม่เสียแรงที่อยู่ในกองทัพมา เขาพลิกมืออย่างรวดเร็วก็ยัดเงินเข้ากระเป๋าเรียบร้อย
“หมิงต๋า พ่อจะเก็บเงินไว้ให้ลูกเอง เอาไว้แต่งสะใภ้เข้าบ้านให้ลูกในอนาคตไง”
“หมิงต๋า ไม่ต้องไปฟังพ่อของหลาน เขาต้องหาแม่เลี้ยงให้หลานแน่ ๆ ไม่รู้ว่าเงินจะถูกพวกจิ้งจอกตัวไหนเอาไป ยายจะเป็นคนเก็บไว้ให้หลานเอง”
…
เหมยเหมยเห็นดังนั้นก็บันดาลโทสะ
แม้ว่าความเป็นจริงเธอจะไม่ชอบถานซูฟางแต่คนเขาตายไปแล้ว บุญคุณความแค้นทุกอย่างล้วนปล่อยให้หายไปกับสายลม แต่สองคนนี้กลับแย่งชิงเงินบำนาญของถานซูฟางในงานอย่างออกนอกหน้าโดยไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น
ไม่ดูน่าเกลียดไปหน่อยเหรอ!
เหยียนหมิงซุ่นก้าวเท้าเดินออกไป เหมยเหมยจึงรีบเดินตามหลังไปติด ๆ
………………………………………………………………
ตอนที่ 1979 พวกคุณนี่ไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว
เหยียนหมิงซุ่นกระชากตัวเหยียนโฮ่วเต๋อออกมาด้วยมือเดียว อีกนิดเดียวก็แทบล้มคะมำ เขาไม่สะดวกจัดการกับทางคุณยายถานจึงทำได้แค่ปล่อยให้เธอรออยู่อย่างนั้น เพียงแต่…
เหมยเหมยที่เดินตามหลังสามีมาใช้สองมือออกแรงผลักจนยายเฒ่าจอมน่ารังเกียจนั่นกระเด็นออกไป พี่ชายพี่สาวของถานซูฟางจึงรีบเข้ามาพยุงไว้พร้อมจ้องหน้าเหมยเหมยด้วยความโมโห
“แม้แต่คนแก่ก็ยังผลัก แกยังมีคุณธรรมอยู่ไหม?” พี่สาวหน้าตาคล้ายถานซูฟางมากแต่นิสัยแย่กว่าหน่อย แถมรูปร่างดูแข็งแรงบึกบึนกว่ามาก
เพราะยัยป้าคนนี้เป็นคนงานในโรงงานเครื่องโม่ของโรงงานเครื่องจักร พละกำลังแข็งแกร่ง ปากคอเราะรายเสียยิ่งกว่ามีดที่ใช้กับแท่นกลึงเสียอีก
แต่เหมยเหมยไม่กลัวเธอเลยสักนิด ก่นด่ากลับไปว่า “ใครกันแน่ที่ไร้คุณธรรม? คนเป็นแม่ยื้อแย่งเงินบำนาญของลูกสาวกลางพิธีบำเพ็ญกุศล แบบนี้ยังมีความเป็นคนอยู่ไหม? พวกเธอเป็นลูกชายลูกสาวกลับไม่คิดจะห้ามปรามแต่กลับช่วยเธอยื้อแย่ง หึ…ฉันว่าพวกเธอก็ไม่ได้มีคุณธรรมอะไรเหมือนกันนั่นแหละ!”
พี่สาวของถานซูฟางได้ยินก็นึกโกรธเอามาก แม้ว่าสิ่งที่เหมยเหมยพูดจะเป็นความจริง แต่เธอไม่มีทางยอมรับอย่างเด็ดขาด
ยังจะเอาศักดิ์ศรีอยู่ไหมล่ะ?
ยัยป้าคนนี้ยกสองมือเท้าสะเอว ยืดตัวตรง ตั้งท่าเตรียมด่ากราด หนำซ้ำไม่ใช่แค่จะขยับปากด่าแต่เธอยังหมายที่จะฉีกปากของยัยปีศาจตรงหน้านี่ด้วย
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะเสียงเย็นพลันดึงเหมยเหมยมาไว้ด้านหลัง และไม่จำเป็นต้องลงไม้ลงมือเลย แค่สาดแววตาสังหารออกไปเท่านั้น…
ต่อให้พี่สาวของถานซูฟางจะวางอำนาจบาตรใหญ่แค่ไหนแต่ก็เป็นเพียงแค่เสือกระดาษ ขนาดเห็นคนเชือดสัตว์กำลังฆ่าหมูยังหายใจหอบด้วยความกลัวเลย แล้วเธอจะต้านสายตาอันแหลมคมของพญายมบาลได้อย่างไร!
ขาทั้งสองข้างกลับไม่ยอมเชื่อฟัง ยิ่งสั่นก็ยิ่งอ่อนปวกเปียกแล้วเกาะพี่ชายของถานซูฟางไว้แน่น นั่นถึงทำให้เธอไม่ล้มลงไปกองกับพื้น
“ไสหัวไป!”
เหยียนหมิงซุ่นเป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก แค่คำพูดคำเดียวก็ทำเอาพี่ชายพี่สาวของถานซูฟางตกใจจนต้องหนีเตลิดเปิดเปิง เหลือแค่คุณยายถานที่กล้าเผชิญหน้าอยู่ตามลำพัง ถึงอย่างไรเธอก็หนังหน้าหนาอยู่แล้ว เพื่อเงินเธอยอมขายขี้หน้า!
“นี่มันเป็นเรื่องธุระภายในครอบครัวของเรา แกยุ่งอะไรด้วย?” คุณยายถานโมโห
เหมยเหมยมุดออกมาจากวงแขนของเหยียนหมิงซุ่นแล้วเอ่ยประชดว่า “คุณยายคงอายุเยอะจนสมองเสื่อมแล้วสินะ ถานซูฟางเป็นสะใภ้ตระกูลเหยียน ดังนั้นก็ถือว่าเป็นคนในตระกูลเหยียน ไม่ว่าจะด้านความรู้สึกหรือด้านกฎหมาย เงินก้อนนี้ก็ควรจะเป็นสิทธิ์ของสามีและลูกชายของเธอทั้งหมด คุณมีสิทธิ์ส่วนไหนกับเงินก้อนนี้เหรอ?”
บรรดาแขกต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย นั่นสิ ลูกสาวที่แต่งออกไปก็เหมือนดั่งน้ำที่สาดทิ้ง คนตระกูลถานนี่หน้าไม่อายเกินไปแล้ว!
เหมยเหมยหัวเราะเยาะ “คุณยายคะ คุณยายอย่าคิดว่าตัวเองอายุมากแล้วจะมาทำตัวไร้ยางอายได้นะ ไม่มีเหตุผลข้อนี้หรอกนะคะ!”
“แกสิที่หน้าไม่อาย มันเป็นเรื่องธุระภายในครอบครัวของพวกฉัน!” คุณยายถานยื่นมือออกมาชี้หน้าด่ากราด
“เธอเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของผม” เหยียนหมิงต๋าพูดเสียงนิ่งขรึม
แขกท่านหนึ่งที่ทนดูต่อไปไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า “เขาต่างหากที่เป็นครอบครัวเดียวกัน คุณยายกับถานซูฟางกลายเป็นสองครอบครัวไปแล้ว ทำไมยังคิดที่จะเอาเงินบำนาญของเธออีกล่ะ?”
“นั่นสิ ไม่เห็นสมเหตุสมผลเลย!”
ทุกคนต่างประสานเสียงพูดอย่างให้ความร่วมมือ ไม่เคยเห็นใครสุดยอดเท่าคนตระกูลถานอีกแล้ว!
แม้แต่เงินของคนตายก็คิดจะเอา ไม่คิดเกรงกลัวว่าคนตายจะกระโดดออกจากหลุมมาคิดบัญชีเลยหรือไง!
คุณยายถานแสดงความไม่พอใจ “ฉันเป็นแม่แท้ ๆของถานซูฟาง เธอมีหน้าที่จะต้องเลี้ยงดูฉันกับพ่อของเธอตามกฎหมายเลี้ยงชีพผู้สูงอายุ ตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว ฉันจะเอาเบี้ยเลี้ยงผู้สูงอายุสักหน่อยมันไม่สมควรเหรอ?”
เหมยเหมยหัวเราะเยาะ “คุณยายคะ ดูเหมือนว่าคุณยายจะศึกษาเรื่องนี้มาโดยเฉพาะเลยนะ ช่างลำบากคุณเสียจริง!”
แขกคนอื่น ๆต่างพากันส่ายหน้า ลูกสาวตายแต่ไม่เสียใจเลยสักนิด นึกไม่ถึงว่าจะไปค้นหาความรู้ด้านกฎหมายอีก มันน่าปวดใจเหลือเกิน!
คุณยายถานหัวเราะเยาะเย้ย นัยน์ตาฉายแววพึงพอใจ อย่าคิดจะรังแกยายเฒ่าอย่างเธอว่าไม่รู้ความเชียวละ เธอยอมจ่ายค่าสอบถามทนายเชียวนะ ใครหน้าไหนก็อย่าคิดจะมาหลอกเธอเลย!
ตอนที่ 1980 แบงค์กงเต็กเอาไหม
เหมยเหมยมองคุณยายถานอย่างดูแคลน ขึ้นเสียงแล้วพูดว่า “คุณยายคะ ทนายความที่คุณยายสอบถามนี่ไม่ได้เรื่องเลยนะคะ ทำไมเขาถึงไม่บอกข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับผู้หญิงที่ต้องเลี้ยงดูผู้สูงอายุกับคุณยายด้วยละว่าผู้หญิงคนนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ ถ้าไม่มีชีวิตแล้วจะเอาอะไรมาเลี้ยงดูคุณยายละคะ? หรือว่าเอาเงินกงเต็ก[1]เหรอ?”
พอนึกถึงเงินกงเต็ก เหมยเหมยก็คิดอะไรขึ้นมาได้จึงทำทีแสร้งหยิบของจากกระเป๋าล้วงเอาเงินกงเต็กที่เหลือจากครั้งที่ไปวางบนหลุมศพของพ่อสวีจื่อเซวียนออกมาจากมิติ เนื่องจากเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนซื้อมาเยอะเกิน เผาในระยะเวลาสั้น ๆคงไม่หมดเธอจึงเก็บเอาไว้ วันนี้มีโอกาสได้ใช้มันเสียที
“นี่ค่ะ มากขนาดนี้พอกินพอใช้ไหมคะ?”
เหมยเหมยยัดเงินกงเต็กก้อนโตปึกหนาใส่อ้อมอกของคุณยายถาน คุณยายถานสายตายาวเลยมองไม่ชัดแต่หลังจากเงินมาอยู่ในมือ เธอถึงเพิ่งเข้าใจจึงสะบัดมือทิ้งเหมือนกับถูกเงินกงเต็กทิ่มแทง
“แกมันนังคนชั่ว กล้าเอาเงินกงเต็กมาเล่นกับฉัน…ฉันจะฆ่าแก!”
คุณยายถานเป็นผู้หญิงเจ้าอารมณ์ จึงเลิกแขนเสื้อขึ้นเตรียมทะเลาะวิวาท เหมยเหมยทำหน้าทะเล้นใส่เธอ จากนั้นก็วิ่งไปหลบหลังเหยียนหมิงซุ่นทันที
ทุกเรื่องล้วนมีสามีคอยกำบังอยู่ด้านหน้า เธอมีหน้าที่แค่ขยับปากเท่านั้น!
เหยียนหมิงซุ่นแค่นเสียงเบา พร้อมกับส่งสายตาพิฆาตอันเย็นเยือกดั่งขั้วโลกเหนือไปให้คุณยายถาน…
คุณยายถานเก่งกว่าลูกชายลูกสาวของเธอเล็กน้อยแต่ต้านได้เพียงไม่กี่นาทีก็เข่าอ่อนล้มลงกับพื้น ความถืออำนาจบาตรใหญ่ก่อนหน้านั้นพลันหายไปหมดไม่มีเหลือ
ใบหน้าไร้เลือดฝาด คุณยายถานงุดหน้าลงด้วยความหวาดกลัวไม่กล้าสบสายตากับเหยียนหมิงซุ่นตรง ๆ
เมื่อกี้มีอยู่ช่วงหนึ่งคุณยายถานรู้สึกขึ้นมาจริง ๆว่าเหยียนหมิงซุ่นจะฆ่าเธอให้ตายได้ ซ้ำยังง่ายกว่าการฆ่ามดสักตัวหนึ่งด้วยซ้ำ
“ไสหัวไป อย่าริอาจจะคิดอะไรที่เป็นไปไม่ได้!” เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้พูดเสียงดังแต่คนตระกูลถานกลับไม่มีใครกล้าโต้ตอบแม้แต่คนเดียว เอาแต่ก้มหน้าหลบตา
“ฉันเป็นแม่ของซูฟาง…เธอจะต้องให้เงินเบี้ยชราฉันสิ!” คุณยายถานยังไม่คิดที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ บ่นพึมพำอย่างหัวรั้น น้ำตาของหญิงชราไหลพรากด้วยความเจ็บปวด
เพียงแค่ตอนนี้กลับไม่มีใครเห็นใจเธอแล้ว!
เหมยเหมยมุดออกมาอีกครั้งเอ่ยประชดเสียงดัง “สองคนที่อยู่ข้าง ๆคุณยายเป็นคนตายหรือไง? มีลูกชายลูกสาวอยู่ ยังจะบอกว่าไม่มีคนเลี้ยงจนแก่อีกเหรอ? สมองของคุณยายถูกลาถีบจนฟั่นเฟือนแล้วหรือไง?”
“พรืด”
ในกลุ่มแขกมีคนหลุดหัวเราะออกมาและพยายามฝืนมันเอาไว้ ถึงอย่างไรก็เป็นพิธีบำเพ็ญกุศลที่เคร่งครัด ไม่ควรเสียมารยาท เพียงแต่…
สาวสวยคนนั้นช่างพูดจาได้ตลกจริง ๆนี่นา!
คุณยายถานเถียงกลับอย่างโมโห “พวกมันหาเงินได้น้อย แค่ครอบครัวตัวเองยังดูแลไม่ไหวแล้วจะเอาเงินจากไหนมาเลี้ยงฉันกับตาแก่ล่ะ!”
เหยียนหมิงต๋ารีบพูดว่า “ผมจะ…”
เหยียนโฮ่วเต๋อผลักลูกชายคนเล็ก คำรามเสียงเบา “เกี่ยวอะไรกับแก หุบปาก!”
เหมยเหมยหัวเราะร่า “ลูกชายลูกสาวของคุณไร้ความสามารถแล้วจะโทษใครได้ล่ะ? คงต้องโทษที่คุณไม่มีปัญญาอบรมสั่งสอนพวกเขาตั้งแต่แรก บาปนี้คุณเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง ตอนนี้ก็คงต้องลิ้มรสของความทุกข์ทรมานแล้วล่ะ!”
เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้มีความอดทนพอที่จะเสวนากับคนตระกูลถานจึงหันไปพูดกับเหยียนหมิงต๋าว่า “เงินบำนาญของแม่นายให้ย่าเป็นคนเก็บ ห้ามให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น!”
“ครับ ผมจะกลับเอาไปให้คุณย่า” เหยียนหมิงต๋าตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง
แม้ว่าการตายของถานซูฟางจะทำให้เขารู้สึกไม่พอใจพี่ใหญ่ แต่ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเคยชินต่อการที่จะต้องเชื่อฟังพี่ชายคนโตมาโดยตลอดจึงตกปากรับคำไปโดยไม่รู้ตัว
เหยียนโฮ่วเต๋อกระวนกระวายขึ้นมา “ย่าของแกอายุเยอะแล้วความจำไม่ดี ถ้าหากทำของแกหายจะทำไงล่ะ พ่อเก็บไว้ให้แกไปสู่ขอสะใภ้แล้วกัน!”
ครั้นเขายื่นมือออกไปหมายจะแย่งเงิน แววตาเย็นชาของเหยียนหมิงซุ่นพุ่งออกมาราวกับแสงเลเซอร์ เหยียนโฮ่วเต๋อตกใจจนต้องหดมือกลับแต่สายตายังคงจับจ้องอย่างละโมบ
คนที่ไม่เคยใช้ชีวิตลำบากมาก่อนไม่มีทางรับรู้ถึงความสำคัญของเงินทองหรอก พอเขาไปอาศัยอยู่ในเขตภูเขาทุรกันดานมาครึ่งค่อนปี เหยียนโฮ่วเต่อถึงตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่าการไม่มีเงินนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวเพียงใด
……………………………………………………………..
ตอนที่ 1981 ไม่ได้เงินสักแดงเดียว
เหยียนหมิงซุ่นมองพ่อแท้ ๆตรงหน้าอย่างนึกดูถูกดูแคลนแวบหนึ่ง ถ้าแม่ของตนมีความสัมพันธ์กับผู้ชายมากมายไร้ศีลธรรม เขาคงสงสัยว่าตนไม่ใช่ลูกแท้ ๆของเหยียนโฮ่วเต๋อไปแล้ว!
ทำไมถึงได้มีผู้ชายที่หน้าด้านไร้ยางอายขนาดนี้?
มีชีวิตอยู่ยังนับว่าเป็นเวรกรรมเสียด้วยซ้ำ!
“ฝังถานซูฟางเสร็จพ่อก็กลับไปทำงาน ช้าหนึ่งวันหักหนึ่งร้อยหยวน” เหยียนหมิงซุ่นพูดทิ่มแทงใจอย่างไม่ไว้หน้า ทำเอาเหยียนโฮ่วเต๋อเจ็บปวดใจเหมือนโดนมีดทิ่มแทง
เงินทั้งเดือนของเขาแค่แปดร้อยกว่าหยวน ถ้าหักไปแปดวันคงไม่เหลืออะไรแล้ว งั้นเขาจะใช้ชีวิตอย่างไรล่ะ?
ลูกชายคนโตของเขาใจเหี้ยมเหลือเกิน!
เหมยเหมยเบะปาก ต่อให้ใจเหี้ยมอย่างไรก็สู้ชายโฉดอย่างคุณไม่ได้หรอก คนใจดำอำมหิต!
สุสานของถานซูฟางอยู่ที่ภูเขาเฟิ่งหวง เหยียนหมิงซุ่นสั่งให้ลูกน้องจัดซื้อไว้ซึ่งเป็นเพียงสุสานธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ทั้งหมดเพราะเขาเห็นแก่เหยียนหมิงต๋า ไม่อย่างนั้นเหยียนหมิงซุ่นคงไม่สนใจหรอกว่าจะเอาเธอไปฝังไว้ที่ไหน
ภูเขาเฟิ่งหวงยังคงหน้าตาเหมือนชาติที่แล้วไม่มีผิดซึ่งมีการปรับแต่งเป็นสุสานตั้งแต่ปีที่แล้ว เพียงแต่ตำแหน่งภูเขาที่มีสุสานของเหมยเหมยในตอนนั้นถูกเหมยซูหานซื้อเอาไว้แล้ว เขาปลูกดอกลิลลี่ที่เหมยเหมยชื่นชอบมากที่สุดในชาติที่แล้วเต็มไปหมด ทั้งสีแดง สีขาว สีเหลือง…มีครบทุกสี
พอถึงฤดูใบไม้ผลิทีไรภูเขาแห่งนี้จะผลิบานไปด้วยดอกลิลลี่แล้วค่อย ๆกลายเป็นภาพทิวทัศน์ที่งดงามประจำเมืองจิน
ฤดูใบไม้ผลิจะมีคนมาถ่ายรูปหรือวาดรูปประจำซึ่งเหมยซูหานก็เปิดให้พวกเขาเข้ามาตามอัธยาศัย มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือห้ามเด็ดดอกลิลลี่บนภูเขาแห่งนี้ เขาได้จ้างคนมาเฝ้าโดยเฉพาะ หากจับได้จะถูกสั่งห้ามไม่ให้ก้าวเข้ามาในเขตนี้อีกตลอดชีวิต
เหยียนหมิงซุ่นสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของเหมยเหมยเลยก้มหน้ากระซิบถาม
เหมยเหมยถอนหายใจเฮือกหนึ่งพลางชี้ไปที่ภูเขาที่ห่างออกไปไกล “ในฝันฉันถูกฝังไว้ที่นั่น”
เหยียนหมิงซุ่นใจหล่นวูบรีบก้มหน้าดูเหมยเหมย พอเห็นว่าเธอยังยิ้มออกไม่ได้มีสีหน้าเศร้าสลดนักถึงสบายใจขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังรู้สึกปวดใจไม่หาย
“เธอว่างเกินไปถึงได้นึกถึงเรื่องในฝันอยู่เรื่อย คืนนี้เรามาออกกำลังกายให้หนักไปเลย…” เสียงแผ่วลงเรื่อย ๆ ลมร้อนปะทะซอกคอเธอจนขาอ่อนยวบ
เหมยเหมยรีบประกบมือทำท่าเหมือนสวดมนต์พลางกล่าวขอโทษภูตผีเทวดารอบทิศว่าอย่าได้คาดโทษเธอเลย!
“พี่ทำอะไรน่ะ ที่มันสุสานสาธารณะนะ ระวังคืนนี้จะมาหาพี่!”
เหมยเหมยยื่นแขนหยิกเอวเขาแรง ๆทีหนึ่ง กล้าหยอกเย้ากลางสุสานสาธารณะแบบนี้มันจริง ๆเลยนะ…
เหยียนหมิงซุ่นเลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ เขาไม่กลัวคนชั่วช้าแล้วจะกลัวผีได้อย่างไร?
ส่วนทางเหยียนหมิงต๋ากราบไหว้เสร็จแล้ว ดวงตาแดงก่ำเช่นเดียวกับเหยียนโฮ่วเต๋อ แต่เขากำลังเศร้าใจแทนตัวเองที่ต้องไปที่ที่ห่างไกลทุรกันดารนั่นอีกแล้วมากกว่า เขาคงไม่มีวันกลับมาผงาดอีกไปจนวันตาย
ถ้ารู้ว่าจะมีวันนี้ต่อให้ตายอย่างไรเขาก็จะใช้ชีวิตกับโม่เหวินเซียงให้ดี!
ทุกอย่างเป็นเพราะนังแพศยาถานซูฟาง!
ตายไปก็สมน้ำหน้าแล้ว!
เหยียนโฮ่วเต๋อถลึงตาจ้องรูปถ่ายของถานซูฟานบนแท่นสุสานอย่างรังเกียจ ชีวิตของเขาต้องพังเพราะผู้หญิงคนนี้ ถึงตายไปก็ลบล้างความแค้นในใจเขาไม่ได้!
ต่อให้ไม่สมยอมอย่างไรแต่เหยียนโฮ่วเต๋อก็ก้าวขึ้นขบวนรถไฟสู่ทางใต้ ไม่รู้ต้องรอถึงชาติปางไหนถึงจะได้กลับมาเมืองจินอีกครั้ง
คนตระกูลถานยังอยากหาเรื่องอยู่แต่พวกเขาไม่มีความกล้านั่น ได้แต่มองเหยียนหมิงต๋าหอบเงินกลับเมืองหลวงอย่างนั้นด้วยความรู้สึกปวดใจ
พออู่เยวี่ยที่ดูแลครรภ์อยู่เมืองหลวงได้รับสายจากเมืองจินสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ไร้ประโยชน์สิ้นดี พ่ออย่าไปสนใจพวกเขาเลย เรื่องที่ฉันสั่งพ่อทำเสร็จหรือยัง?”
“จดทะเบียนบริษัทไปแล้วชื่อบริษัทภาพยนตร์เสินฮั่ว ตอนนี้รอแค่เงินทุน ถ้าเงินเข้าบัญชีเมื่อไรก็เริ่มงานได้เลย” ผู้ชายปลายสายเอ่ยด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
อู่เยวี่ยจุกอยู่ในอก ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องเงินเธอจะนึกถึงเงินหนึ่งล้านนั่นพลันก็เหมือนมีมีดมาปักอยู่กลางอก
“รีบร้อนอะไร? อีกไม่กี่วันก็เอาให้แล้ว” อู่เยวี่ยวางสายไปอย่างไม่สบอารมณ์
พวกไร้ประโยชน์ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังทำไม่สำเร็จ ไม่ได้การ เธอต้องคิดวิธีหาเงินใหม่!
……………………..
[1] ธนบัตรที่ใช้เผาเซ่นไหว้ผู้ตาย
ตอนที่ 1982 ความเจ้าแผนการของผู้หญิง
เพราะเกิดเรื่องเหนือคาดของถานซูฟางทำให้เทศกาลหยวนเซียวไม่สามารถอยู่ร่วมฉลองกับผู้เฒ่าทั้งสองที่เมืองหลวงได้ พวกเหมยเหมยกลับถึงเมืองหลวงก็เลยวันเทศกาลหยวนเซียวมาสองวันแล้ว ไม่นานทางมหาวิทยาลัยก็จะเปิดเทอมและหลายบริษัทก็เริ่มเปิดทำการ ตามถนนเส้นใหญ่เส้นน้อยกลับมาครึกครื้นเหมือนอย่างเคย
ปีใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว
คุณย่าหยางเห็นหลานชายคนเล็กที่เงียบขรึมไปมากก็รู้สึกแย่จับใจ
แม้ปากเธอมักพูดเสมอว่าอยากให้ถานซูฟางตาย ๆไปเสียแต่พอตอนนี้ตายขึ้นมาจริง ๆเธอกลับไม่ได้มีความสุขนัก ในเมื่อนั่นคือชีวิตของคนทั้งคน
แต่คุณย่าหยางเห็นเหยียนหมิงต๋าไม่ได้โทษเหยียนหมิงซุ่นเลยสบายใจขึ้นมาก ตอนที่ได้รับโทรศัพท์สิ่งที่เธอกังวลใจมากที่สุดก็คือหลานชายคนเล็กจะเกลียดหลายชายคนโตเพราะความตายของถานซูฟางแล้วจะทำให้ความสัมพันธ์พี่น้องพังทลายลง
ตอนนี้เธอโล่งใจแล้ว
เหยียนหมิงซุ่นหยิบสมุดบัญชีอออมเงินเล่มหนึ่งจากกระเป๋าออกมายื่นให้เหยียนหมิงต๋า “นี่เงินช่วยเหลือกรณีทุพพลภาพของแม่นาย ให้คุณย่าช่วยเก็บไว้ให้นายแล้วกัน”
เหยียนหมิงต๋าเปิดสมุดบัญชี พอเห็นจำนวนเลขบนนั้นก็ตกใจเฮือกใหญ่ “ทำไมเยอะขนาดนี้?”
สองแสนถ้วน!
เงินช่วยเหลือกรณีทุพพลภาพในหน่วยกองทัพทหารให้เยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
“ให้นายก็เก็บไว้เถอะ” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาทำให้เหยียนหมิงต๋าไม่กล้าซักไซ้อีกก่อนจะยื่นบัญชีให้คุณย่าหยางรวมถึงเงินจากโรงพยาบาลหนึ่งหมื่นหยวน
คุณย่าหยางเองก็ตกใจกับจำนวนยอดเงินในสมุดบัญชีเช่นกัน เธอเก็บสมุดบัญชีไว้อย่างรอบคอบ “เงินก้อนนี้ย่าจะไม่ใช้เลยแม้แต่แดงเดียว รอหลานแต่งงานมีครอบครัวเมื่อไรแล้วจะเอาให้ไปขอแต่งงานนะ”
เหยียนหมิงต๋าฉีกยิ้มมุมปากอย่างขมขื่น
วันเวลาผ่านพ้นไปจนเหมยเหมยเปิดเทอม อากาศเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ และไม่นานก็มาถึงเดือนมีนาคม
ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว
งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของหนิงเฉินเซวียนก็มาถึงแล้วเช่นกัน
เหยียนหมิงต๋ากลับค่ายทหารไปแล้ว เขาไม่ได้ใช้วันหยุดครบแต่เลือกจะกลับก่อนล่วงหน้า การตายของถานซูฟางสร้างความสะเทือนใจแก่เขามากไป หลังเสร็จสิ้นงานศพเหยียนหมิงต๋าก็ไม่เคยมีความสุขอีกเลย
เขากลับไปค่ายทหารก็ดี พอมีอะไรทำก็จะได้ไม่คิดเหลวไหล
ปมความบาดหมางระหว่างเขากับเหยียนหมิงซุ่นทำได้เพียงให้วันเวลาลบล้างมันไปช้า ๆ!
แม้จะถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วแต่กลับเหน็บหนาวเสียยิ่งกว่าเดือนธันวาคมในช่วงฤดูหนาวเสียอีก อีกทั้งสองวันก่อนเพิ่งจะหิมะตกครั้งใหญ่ไป ตอนเช้าพระอาทิตย์ขึ้นแล้วแต่เหมยเหมยกลับยังรู้สึกหนาวยิ่งกว่าช่วงเดือนธันวาคมเสียอีก
“อากาศนี่ก็แปลกจริง ๆ ถ้าอยู่เมืองจินดอกท้อคงผลิบานหมดแล้ว ฉันคงไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวหนา ๆแบบนี้ด้วย”
เหมยเหมยแต่งชุดกี่เพ้าสีม่วงลายดอกโบตั๋นที่ดูสง่าราศีจับ ทั้งหยิบเสื้อคลุมขนมิงค์ตัวหนาจากตู้เสื้อผ้าออกมา วันนี้เป็นวันฉลองวันคล้ายวันเกิดของหนิงเฉินเซวียน เธอกับเหยียนหมิงซุ่นต้องไปร่วมงานด้วยกันทั้งคู่
เดิมคิดว่าเดือนมีนาคมเป็นฤดูใบไม้ผลิอากาศจะอุ่นขึ้นแล้ว เหมยเหมยอยากสวมกี่เพ้าตัวงามแล้วเอาผ้าคลุมไหล่บาง ๆคงงดงามมากแน่
เธอได้จ้างคนถักเสื้อคลุมลายดอกให้โดยเฉพาะจะได้ใส่คู่กับชุดกี่เพ้าพอดี ตอนนี้กลับไม่ได้ใส่ จำต้องรออากาศอุ่นขึ้นกว่านี้ค่อยใส่!
ตอนนี้ถึงต้องเปลี่ยนมาใส่เสื้อขนมิงค์แทน
“ไม่รู้ว่าฮีทเตอร์บ้านตระกูลหนิงจะอุ่นพอไหม ไม่งั้นเสื้อคลุมตัวหนานี้ฉันต้องใส่มันตลอดแน่เลย” เหมยเหมยพึมพำเสียงเบา
งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของหนิงเฉินเซวียนจัดขึ้นที่บ้านตัวเองย่อมมีสถานที่กว้างใหญ่มากพอ ต่อให้จัดโต๊ะจีนสักพันโต๊ะก็ไม่มีปัญหา แต่พอสถานที่กว้างขึ้นฮีทเตอร์ก็ทำงานได้ไม่ทัน ถึงเมื่อนั้นหากอากาศเย็นฉ่ำเธอคงต้องสวมเสื้อขนมิงค์นี้ตลอดเวลา
ชุดกี่เพ้าตัวงามข้างในคงไม่มีโอกาสได้อวดโฉมแล้ว
มันน่าเสียดายอยู่บ้างนี่นา!
กี่เพ้าตัวนี้เธอสั่งตัดเพื่ออู่เยวี่ยโดยเฉพาะเลยเพราะกี่เพ้าเป็นชุดที่อวดรูปร่างผู้หญิงได้มากที่สุด ตอนนี้อู่เยวี่ยท้องหกเดือนต้องอ้วนเหมือนหมูตัวหนึ่งแน่ ๆ ถึงเมื่อนั้นเธอจะได้ใส่กี่เพ้าเดินวนตรงหน้าหล่อนสักที
เหอะ เอาให้นางแพศยานี้อกแตกตายไปเลย!
เหยียนหมิงซุ่นมองปราดเดียวก็รู้ทันความคิดของภรรยาตัวเองเลยหลุดขำน้อย ๆ
ความเจ้าแผนการของผู้หญิงนี่มันน่ารักจริง ๆ!
………………………..
ตอนที่ 1983 จุดประสงค์ของการจัดงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิด
อู่เยวี่ยในขณะนี้ก็กำลังเปลี่ยนชุดอยู่เช่นกันซึ่งเป็นชุดราตรีที่เฮ่อเหลียนเช่อสั่งคนเอามาให้เป็นชุดกระโปรงยาวสีแดงโชว์ไหล่ กระโปรงเป็นผ้าชั้นดีและสั่งตัดโดยเฉพาะถือว่าสมฐานะคุณนายเฮ่อเหลียนอย่างเธอ
แต่ปัญหาคือ–
ไม่เหมาะกับสภาพอากาศของวันนี้เลยสักนิด
อากาศที่จูบหน่อยลิ้นก็แข็งได้แล้วให้โชว์ไหล่แบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะน้ำเข้าสมองก็จงใจรนหาที่ตายชัด ๆ!
อู่เยวี่ยไม่ได้น้ำเข้าสมองและไม่อยากตาย แต่เธอจำเป็นต้องสวมชุดราตรีนี้แต่โดยดี
เพราะเป็นคำสั่งของเฮ่อเหลียนเช่อ
เธอไม่กล้าขัดขืน
“คุณนาย ร่างกายของคุณนายจะรับไม่ไหวเอานะ” คุณหมอประจำตระกูลสกุลเกา เขากังวลใจอย่างมากและเขาถูกอู่เยวี่ยซื้อตัวไปแล้ว ความงามและเงินทองย่อมเป็นอาวุธชั้นดีในการซื้อใจผู้คนได้เสมอ
อู่เยวี่ยใช้ทั้งสองอย่างแล้วคุณหมอจะหนีไปไหนได้อีกจึงยอมอยู่ใต้อาณัติของอู่เยวี่ยแต่โดยดี อีกทั้งยังจงรักภักดีกับเธอด้วย ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้วความสัมพันธ์ย่อมลึกซึ้งเป็นธรรมดา!
อีกอย่างใช้ชีวิตใต้ชายคาเดียวกันทุกวันก็เหมือนเป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงไปแล้ว ขาดเพียงแค่สถานะเท่านั้น
หนิงเฉินเซวียนคงคาดไม่ถึงว่าคุณหมอดูแลครรภ์ที่เขาจัดหามาให้โดยเฉพาะจะผันตัวไปอยู่ฝั่งเดียวกับอู่เยวี่ย และเขาคงคิดไม่ถึงว่าอู่เยวี่ยจะอาจหาญกล้าคบชู้อย่างโจ่งแจ้งภายใต้การจับตามองของเขา
สถานที่ที่อันตรายมากที่สุดย่อมเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด!
ช่างสมเหตุสมผลจริง ๆ!
อู่เยวี่ยกัดฟันแล้วถอดเสื้อต่อหน้าคุณหมอเผยให้เห็นรูปร่างอันอวบอั้นของเธอ ลายสักตั้งแต่ซอกคอยันไหล่ด้านหลังหายไปแล้ว เหลือเพียงนกฟินิกซ์ครึ่งตัวที่เหลืออยู่ตรงหน้าอกราวกับถูกคนเอามีดฟันคอ ดูน่าเกลียดสิ้นดี
เพราะตั้งท้องหน้าอกของอู่เยวี่ยจึงยานลงมากแต่เธอได้ถือโอกาสตอนลบรอยสักให้คุณหมอหาคนมาผ่าเอาหน้าอกปลอม ๆออกไปเลยช่วยลดภาระไปมากทีเดียว ตอนนี้ดูขนาดกำลังพอดีแค่หย่อนยานไปเสียเล็กน้อย
รอยแผลเป็นตรงอกซ้ายยังไม่สมานดีและยังเห็นรอยด้ายสีแดงดำเข้มอย่างชัดเจน ผิวพรรณก่อนลบรอยสักก็ไม่ได้ขาวมากจึงทำให้ดูแล้วสีแตกต่างจากบริเวณอื่น
อู่เยวี่ยมองเรือนร่างตัวเองอย่างรังเกียจ ทานผักต้มเป็นเวลาสองปีถึงได้หุ่นเซ็กซี่ขนาดนี้ ตอนนี้กลับพังทลายทุกอย่าง หลังคลอดลูกเธอจะต้องกลับมาหุ่นดีอย่างเดิมให้ได้
คุณหมอเกามองเรือนร่างที่ไม่ได้งดงามของอู่เยวี่ยอย่างหลงใหล เรือนร่างอวบอิ่มที่อู่เยวี่ยรังเกียจแต่กลับเซ็กซี่ยิ่งกว่ามอนโรในสายตาเขา
รสนิยมพิสดารนี้ก็น่างงงวยเสียจริง!
อู่เยวี่ยกระตุกยิ้มมุมปากอย่างได้ใจและค่อยพอใจกับหน้าตาธรรมดาของคุณหมอเกาขึ้นบ้าง เนื่องจากปกติเธอไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้ในสายตาจึงเติมเต็มความหยิ่งทะนงที่อยู่ในตัวเธอขึ้นมา
ต่อให้เธออู่เยวี่ยหุ่นแย่ลง หน้าตาน่าเกลียดก็สามารถปั่นหัวผู้ชายได้เหมือนเดิมอยู่ดี!
คนแพศยาจ้าวเหมยมีสิทธิ์อะไรมาเทียบกับเธอเล่า?
“ช่วยใส่เสื้อให้ฉันแล้วกัน!” อู่เยวี่ยเชิดปลายคางขึ้นราวกับนางพญาแล้วออกคำสั่งคุณหมอเกา
ต่อให้หนาวแค่ไหนเธอก็ต้องใส่ชุดราตรีชุดนี้อยู่ดี เพื่อให้ทุกคนได้เห็นชัดเต็มสองตาว่าบนตัวคุณนายเฮ่อเหลียนอย่างเธอมีรอยสักหรือไม่และตรงไหปลาร้ามีไฝสีแดงหรือเปล่า!
นี่ต่างหากจุดประสงค์ที่เฮ่อเหลียนเช่อวางแผนทุ่มเทจัดงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดในครั้งนี้!
คุณหมอเกาช่วยรูดซิปให้เธอแล้วมองตรงไหปลาร้าเปลือยเปล่าอย่างเสียดาย ไฝสีแดงที่เขาลุ่มหลงหายไปแล้ว น่าเสียดายจริง ๆ!
“คลุมเสื้อคลุมหนา ๆไว้หน่อยระวังอย่าโชว์ไหล่นานเกินไป ทางที่ดีอย่าเกินสามนาที” คุณหมอเกาเตือนด้วยเสียงอ่อนโยนด้วยความกังวลใจมากเช่นเคย
แม้อุณหภูมิในห้องสูงกว่าข้างนอกแต่ก็ยังติดลบอยู่ดี เพราะแขกไปมาขวักไขว่ทำให้ความอุ่นกระจายหายอย่างรวดเร็วและเป็นไปไม่ได้ที่จะมีฮีทเตอร์อยู่ทั่วทุกมุม
“รู้แล้ว คุณไปเรียกช่างแต่งหน้าเข้ามาเถอะ”
อู่เยวี่ยนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งรอให้ช่างแต่งหน้าเข้ามาแต่งหน้าให้ วันนี้จ้าวเหมยก็มาด้วยเธอจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
ตอนที่ 1984 งดงามท่ามกลางความหนาวเหน็บ
คฤหาสน์ตระกูลหนิงคึกคักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แขกส่วนมากเดินทางมาถึงแล้วแม้จะต้องต้านลมหนาวมาความอบอุ่นนี้ก็ไม่ลดลงเลย
วันนี้หนิงเฉินเซวียนแต่งตัวได้มีชีวิตชีวาอย่างมากไม่เหมือนอย่างเคยที่เอาแต่ใส่เสื้อสีดำทำให้ดูดุดันขึงขัง วันนี้เขาใส่เสื้อโค้ทสีน้ำตาลแล้วสวมหมวกหนังสีเดียวกันขับให้ดูเป็นพิธีการอย่างมาก
ใบหน้าแต้มยิ้มยืนรับแขกอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ที่ทำเอาทุกคนตื่นตระหนกตกใจ นานทีจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เลยนะ!
เหมยเหมยลงจากรถ ลมหนาวพัดเข้ามาจนตัวสั่นเทาอย่างอดไม่ได้ ลอบด่าหนิงเฉินเซวียนในใจว่าเกิดวันไหนไม่เกิดดันมาเกิดในวันอากาศหนาวเช่นนี้
เธอกระชับปกคอเสื้อโค้ทแน่นแล้วสอดมือคล้องแขนเหยียนหมิงซุ่นเพื่อหาความอบอุ่น
แต่พอเธอเห็นอู่เยวี่ยพลันก็รู้สึกว่าหนิงเฉินเซวียนเลือกวันเวลาเกิดได้ดีเหลือเกิน พระเจ้าก็ช่างเป็นใจ
อู่เยวี่ยสวมชุดราตรีสีแดงปาดไหล่เผยให้เห็นผิวขาวเนียน ซึ่งมีเพียงเสื้อคลุมขนมิงค์ที่แม้จะเป็นขนมิงค์แต่นั่นเป็นเพียงผ้าชิ้นเล็ก ๆ แล้วมันช่วยต้านลมหนาวได้สักเท่าไรกันเชียว?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอู่เยวี่ยกับเฮ่อเหลียนเช่อที่กำลังยืนรับแขกอยู่ตรงประตูเลย!
หนิงเฉินเซวียนยืนรับแขกอยู่ข้างนอกส่วนสองสามีภรรยาคู่นี้อยู่ในห้องโถง แม้จะอยู่ในห้องโถงแต่วันนี้อากาศหนาวเกินไปอุณหภูมิจึงต่ำจนน่าตกใจ
เห็นอู่เยวี่ยโชว์ไหล่ให้เห็นวับ ๆแวม ๆ เหมยเหมยที่เห็นยังรู้สึกหนาวแทนแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกดีใจเบิกบาน
ให้ลมหนาวพัดมาแรงกว่านี้เถอะ!
“ยินดีด้วยนะ!” เหมยเหมยหน้ายิ้มกว้างเดินเข้าไปหาสองสามีภรรยาคู่นี้
เฮ่อเหลียนเช่อกลับไม่ค่อยหนาวสักเท่าไรเพราะเหมยซูหานได้เตรียมเสื้อโค้ทตัวหนาไว้ให้เขาแล้ว ต่อให้ไปทางเหนือก็ไม่หวั่น พอเขาเห็นเหยียนหมิงซุ่นกับเหมยเหมยสายตาก็เย็นยะเยือกลงแต่ใบหน้ากลับยิ้มแก้มปริ
“ยินดีต้อนรับ คุณชายหมิงงานยุ่งยังอุตส่าห์สละเวลามาด้วยตัวเอง เป็นเกียรติจริง ๆ!”
เฮ่อเหลียนเช่อแสร้งยิ้มแล้วจับมือทักทายเหยียนหมิงซุ่น ทั้งคู่แอบประลองเรี่ยวแรงกันลับ ๆด้วยรอยยิ้มฉาบหน้าแต่สายตากลับไม่ยิ้มไปด้วยเลย
เหมยเหมยเห็นอู่เยวี่ยที่หนาวจนใบหน้าซีดเซียวเลยอมยิ้มน้อย ๆ “วันนี้ชุดของคุณนายเฮ่อเหลียนสวยจัง สั่งตัดจากไหนเหรอ ไว้ฉันจะไปสั่งตัดกระโปรงด้วยสักชุด”
เมื่อครู่เธอเห็นอู่เยวี่ยเลิกชายกระโปรงขึ้นท่าทางเหมือนจะเข้าไปเสาะหาความอุ่นจากในห้อง เธอจะให้โอกาสนางแพศยานี้ได้หรือ?
ให้หนาวตายไปเลย!
อู่เยวี่ยเตรียมจะไปผิงลมอุ่นจากฮีทเตอร์ในห้องอย่างว่าจริง ๆ แม้เฮ่อเหลียนเช่อจะใช้วิธีนี้เพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่โจวจื่อหัวเอ่ยถึงแต่ก็กังวลว่าร่างกายของเธอจะแบกรับไม่ไหวจึงให้เธอกลับไปผิงลมอุ่นในห้องสักพัก
ไม่อย่างนั้นเธอคงรับไม่ไหว เด็กในท้องก็เช่นกัน
“กระโปรงนี้อาเช่อสั่งตัดมาให้ฉันเอง คุณจ้าวถามเขาได้” อู่เยวี่ยพูดขึ้นลวก ๆแล้วถือชายกระโปรงขึ้นเตรียมกลับเข้าห้องไป
เฮ่อเหลียนเช่อรู้ทันแผนร้ายของเหมยเหมยเลยเตรียมตอบแทน เหยียนหมิงซุ่นกลับห้ามเขาไว้ “เฮ่อเหลียนเช่อเสื้อโค้ทที่แกใส่ดูดีไม่หยอก ซื้อมาจากไหนเหรอ?”
เฮ่อเหลียนเช่อไม่สบอารมณ์อย่างมากแต่เขาจะหักหน้าก็ไม่ได้ในเมื่อวันนี้เป็นวันฉลองวันคล้ายวันเกิดของหนิงเฉินเซวียน เขาในฐานะเจ้าบ้านหากหักหน้าแขกไม่รู้เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปอย่างไร!
ทางเฮ่อเหลียนเช่อมีเหยียนหมิงซุ่นคอยรั้งไว้คุยเรื่องไร้สาระ คนนอกเห็นพวกเขาสนิทสนมกันขนาดนี้ก็แอบคิดในใจว่าคู่อริสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
เหมยเหมยขยิบตาให้เหยียนหมิงซุ่น เธอกับสามีของเธอคือคู่รักรู้ใจในตำนานชนิดที่ต่างฝ่ายต่างรู้ใจกันดีโดยไม่ต้องพูดอะไรมากมาย แค่มองตาก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการทำอะไร
สมแล้วที่เกิดมาคู่กัน คู่สร้างคู่สมชัด ๆ
“ฉันดูกระโปรงเธอหน่อยได้ไหม โอ้โฮ กระโปรงตัวนี้ฉันยิ่งดูก็ยิ่งชอบแฮะ!”
เหมยเหมยเอียงตัวขวางทางอู่เยวี่ยไว้แล้วยิ้มท้าทายอีกฝ่าย แต่ในสายตาคนนอกกลับคิดว่าพวกเธอกำลังคุยกันอย่างออกรสอยู่
………………………
ตอนที่ 1985 ทำไมบนตัวไม่มีรอยสักแล้ว
ในขณะนี้อู่เยวี่ยหนาวจนพูดไม่ออก ดวงหน้าขาวซีดปากช้ำม่วงแต่เพราะแต่งหน้าไว้บาง ๆ อีกทั้งการตั้งครรภ์ส่งผลทำให้เธอผิวเสียอย่างมาก แล้วยังตากลมหนาวนานขนาดนี้เลยดูสภาพเยี่ยงผีก็ไม่ปาน
“ต่อให้คุณจ้าวจะชอบขนาดไหนก็เปล่าประโยชน์ ชุดนี้มีแค่ตัวเดียวไม่มีตัวที่สอง เห็นทีคุณจ้าวคงต้องลองตัวอื่นแล้วละ”
แม้อู่เยวี่ยจะหนาวแทบแย่แต่เธอกลับไม่ยอมทิ้งโอกาสที่จะได้โจมตีเหมยเหมยไปง่าย ๆ เอ่ยปากพูดหยันและทำหน้าได้ใจ
เหมยเหมยยิ้มตาหยีไม่มีท่าทีเคืองโกรธเพียงเพราะประโยคดูถูกไม่กี่ประโยคนี่หรอก เธอสวมเสื้อขนมิงค์สวมหมวกหนังอย่างครบครัน ต่อให้มีลมพายุพัดกระหน่ำสิบระดับก็ไม่หวั่น
อู่เยวี่ยยิ่งหนาวเธอก็ยิ่งดีใจ
“ที่แท้ก็สั่งตัดส่วนตัวนี่เอง ต้องใช้เงินมากเลยสิท่า คุณชายเช่อดีกับเธอจริง ๆทำเอาฉันอิจฉาตาร้อนไปด้วยเลย!” เหมยเหมยมองชุดราตรีบนตัวอู่เยวี่ยด้วยสีหน้าอิจฉาแถมยังยื่นมือไปลูบด้วย
เธอสังเกตเห็นว่าผ้าคลุมไหล่ของอู่เยวี่ยไม่ได้ปิดมิดชิดเผยให้เห็นลาดไหล่ขาวเนียนสะอาดสะอ้านไร้ซึ่งรอยสักลายพญาหงส์ที่โจวจื่อหัวพูดถึง
พลันก็เข้าใจจุดประสงค์ที่ทำไมหนิงเฉินเซวียนทุ่มเทจัดงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดมากขนาดนี้ ช่างลำบากเสียจริง!
ถ้าอย่างนั้นเธอจะช่วยหน่อยแล้วกัน!
มือที่เดิมทีเหมยเหมยคิดจะลูบจับชุดราตรีแต่กลับเลื่อนไปข้างบนตรงผ้าคลุม อู่เยวี่ยหนีไม่ทันเลยถูกเหมยเหมยสัมผัสเข้าอย่างจัง
“ผ้าคลุมอันนี้ทำจากมิงค์รัสเซียสินะ ดูแล้วเสื้อผ้าตัวนี้คลับคล้ายคลับคลากับเสื้อโค้ทของฉันแต่ของฉันจับแล้วนุ่มกว่า ฉันว่าสินค้าในประเทศเราดีกว่า โอหยางซานซานนิสัยที่เธอชื่นชอบของต่างประเทศไม่ดีเลยสักนิด ตอนนี้สถานะของเธอไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ ต้องระวัง…”
เหมยเหมยปากคุยจ้อพร่ำบ่นราวกับคุณป้าจอมจุ้น สุดท้ายแล้วก็เพื่อต้องการประชดประชันความชื่นชมของต่างชาติ การตกเป็นทาสตะวันตกของอู่เยวี่ยนั่นเอง
อู่เยวี่ยที่เริ่มคุกรุ่นหายหนาวเป็นปลิดทิ้ง
“คุณหนูจ้าวจุ้นจ้านมากเกินไปหรือเปล่า เธอกล้าสาบานหรือว่าตัวเองไม่เคยใช้ของนำเข้าน่ะ?”
เหมยเหมยเอียงศีรษะแสร้งทำเป็นครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วยิ้มอย่างเคอะเขิน “แหม ฉันไม่กล้าตอบจริง ๆว่าไม่เคยใช้ ตอนเด็กเคยทานนมผงธัญพืชนำเข้ามาก่อนด้วยละ รสชาติดีไม่หยอก โอหยางซานซานเธอเคยทานมาก่อนไหมละ?”
อู่เยวี่ยรู้สึกอัดอั้นในอกอีกครั้ง ทำไมเธอจะไม่เคยทานมาก่อนล่ะ?
เมื่อก่อนเหอปี้อวิ๋นซื้อนมผงธัญพืชนำเข้าให้เธอทั้งนั้นแต่นางแพศยาจ้าวเหมยกลับชอบแอบขโมยทานนมผงธัญพืชของเธอ ต่อมาเหอปี้อวิ๋นไม่มีอำนาจในการใช้เงินมากนักเลยเปลี่ยนมาเป็นสินค้าในประเทศ พอถูกไล่ออกจากตระกูลอู่ก็แทบไม่มีเงินซื้อข้าวกินด้วยซ้ำไป
อู่เยวี่ยรู้สึกปวดใจเหลือเกิน หลังจากผ่านอุปสรรคมากมายจึงทำให้เธอรู้ว่าเหอปี้อวิ๋นเป็นเพียงคนเดียวบนโลกนี้ที่ดีกับเธอจากใจจริง
แต่กลับตายไปแล้ว
เพราะนางแพศยาจ้าวเหมย!
สายตาอู่เยวี่ยดุดันเย็นยะเยือก รอเธอแข็งแกร่งมีอำนาจเป็นของตัวเองได้เมื่อไรจะต้องให้นางแพศยาจ้าวเหมยตายทั้งเป็น จะต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน!
“แค่นมผงธัญพืชเอง ใครจะไม่เคยทานบ้าง” อู่เยวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เหมยเหมยหัวเราะคิกคักแต่สายตากลับจดจ้องลำคอของอู่เยวี่ยราวกับเจอเรื่องน่าสนุกเลยปรับเสียงดังขึ้น “โอหยางซานซาน ที่แท้บนตัวเธอไม่มีรอยสักเหรอเนี่ย ไหนว่าบนตัวเธอสักลายนกฟินิกซ์ไม่ใช่เหรอ?”
บรรดาแขกที่แสร้งทำเป็นไม่สนใจแต่กำลังเงี่ยหูแอบฟังอยู่ตัวสะท้านเฮือกและยืนนิ่งอยู่กับที่ แสร้งทำเป็นกระซิบกระซาบกันเอง
เฮ่อเหลียนเช่อสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยและไม่ชอบใจน้ำเสียงของเหมยเหมยอย่างมาก ทว่าก็เข้าทางเขาพอดี ยืนรับแขกมากมายขนาดนี้กลับไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ เวลานี้ประจวบเหมาะพอดีเลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น