อัจฉริยะสมองเพชร 1962-1967

 ตอนที่ 1962 20 เหรียญสำนักดาบ?

“คือ…ผม…” เฉาเฉิงลี่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนสุดขีด


หลังจากได้ฟังคำอธิบายของเฉาเฉิงลี่ จางเซวียนถึงกับพูดไม่ออก


ลงท้าย เฉาเฉิงลี่ก็ยังมีนิสัยแบบจอมโจร โดยขณะที่พยายามหาข่าว ก็ไปพบกับสาวสวยคนหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์สายตรงระดับล่างและพยายามจีบเธอ


สุดท้ายก็เกือบถูกฆ่าตาย


“เฉาเฉิงลี่ ผมละเว้นให้คุณแล้วนะด้วยการพาคุณมาที่นี่ ไม่ว่าคุณจะเคยเป็นอะไรมาก่อน ผมก็หวังว่าคุณจะทำตัวอยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ตราบใดที่คุณยังอยู่ภายใต้คำสั่งของผม ผมไม่ต้องการคนกระด้างกระเดื่อง” จางเซวียนพูดอย่างเคร่งขรึม


เฉาเฉิงลี่ช่างกล้านัก!


บรรดาศิษย์สายตรงระดับล่างของสำนักดาบเมฆเหินล้วนแต่เป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 เป็นอย่างน้อย หมอนี่กล้าจีบคนพวกนั้นทั้งที่ตัวเองก็มีวรยุทธเท่านี้…รนหาที่ตายแท้ๆ!


ถ้าใครๆไม่รู้ว่าเขาเป็นคนรับใช้ของตั้นเฉี่ยวเทียน คงได้กลายเป็นผีไม่มีญาติ


“แต่นายน้อย คุณก็รู้ว่าผมก็ยับยั้งชั่งใจมากว่า 10 วันแล้ว ไม่ได้แตะต้องเธอเลยด้วยซ้ำ! ผมแค่ถามเธออย่างสุภาพว่า…” เฉาเฉิงลี่หน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย


เขาเคยเป็นชายผู้ขาดความยับยั้งชั่งใจและชอบใช้กำลัง วีรกรรมของเขาในการพาผู้หญิงเข้าโรงเตี๊ยมพร้อมกันถึง 7 คนก็บ่งบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเขาได้มากอยู่แล้ว การที่เขาต้องยั้งใจไว้กว่า 10 วันจึงถือเป็นเรื่องยากเย็นมาก


เฉาเฉิงลี่คิดว่าด้วยรูปร่างหน้าตาอันโดดเด่นของตัวเอง อย่างน้อยก็น่าจะดึงดูดใจศิษย์สายตรงระดับล่างให้ตกลงปลงใจกับเขาได้สักคน แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาจะถูกซ้อมยับเยินทันทีที่เอ่ยปาก?


เห็นเฉาเฉิงลี่ยังยืนกรานความคิดของตัวเอง จางเซวียนเอามือกุมหัว


ตั้นเฉี่ยวเทียนพูดถูก เขาไม่ควรรับหมอนี่ไว้เลย


จางเซวียนรู้สึกว่าชื่อเสียงของเขาจะต้องถูกเฉาเฉิงลี่ทำให้แปดเปื้อนด่างพร้อยไปทีละน้อย!


“พอที! ผมไม่อยากเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เข้าใจไหม? แล้วเรื่องที่ผมมอบหมายคุณไป ได้ความว่าอย่างไรบ้าง?”


เมื่อเห็นว่าตัวเองทำให้นายน้อยโมโหเดือด เฉาเฉิงลี่ไม่กล้าพล่ามต่อ เขารีบโค้งคำนับและรายงาน “นายน้อย ผมไปสืบข่าวเรื่องนั้นแล้ว ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของสำนักดาบเมฆเหินมีขายที่ตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน อันหนึ่งมีสนนราคาอยู่ที่ 20 เหรียญสำนักดาบ!”


“20 เหรียญสำนักดาบ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ฟังดูเหมือนเป็นเงินไม่มากนัก แต่เขาไม่รู้ว่าอำนาจการใช้สอยของเหรียญสำนักดาบเป็นอย่างไร


“สำหรับที่นี่ ยาเม็ดอมตะขั้นต้นเม็ด 1 มีราคากี่เหรียญสำนักดาบ?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“เอ่อ…ผมไม่ได้สอบถามเรื่องนั้น” เฉาเฉิงลี่ตอบหน้าเจื่อน


“แล้วตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายในอยู่ที่ไหน?”


“คือ…” เฉาเฉิงลี่โคลงศีรษะขณะย้อนถาม “ผมต้องรู้เรื่องนั้นด้วยหรือ?”


“ถ้าอย่างนั้นคุณรู้อะไรบ้าง!” จางเซวียนหน้าตายู่ยี่ขึ้นเรื่อยๆ


“สาวน้อยที่ซ้อมผมก่อนหน้านี้เป็นลูกน้องของศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งที่ชื่อหลิวลู่จี่ เธอสูง 1.7 เมตร สัดส่วน 85, 74, 88 เรียวขาของเธอยาวมาก ทั้งขาวทั้งเนียน มีสัดส่วนสมบูรณ์แบบราวกับพระเจ้าปั้นมาเลยทีเดียว…นายน้อย ผมขอบอกคุณเลยว่าชั่วชีวิตนี้ผมเจอผู้หญิงมามากมาย แต่แม่สาวคนนี้กินขาด” เฉาเฉิงลี่ตาโตด้วยความตื่นเต้น


“พอได้แล้ว!” จางเซวียนโบกมือด้วยอาการเดือดจัด


นี่มันบ้าบออะไร?


แทนที่จะทำงานที่เขามอบหมายให้สำเร็จ หมอนี่กลับใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระ


คุณจัดลำดับความสำคัญเป็นไหม?


จำใส่หัวไว้ด้วยว่าคุณมีหน้าที่ทำอะไร! คุณมาที่นี่เพื่อรับใช้พวกเรา ไม่ใช่มัวแต่จีบสาว!


“เอาล่ะ ออกไปเดี๋ยวนี้เลย ไปหามาให้ได้ว่าตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายในอยู่ที่ไหน ถ้ากล้ากลับมาโดยไม่ได้ข้อมูลล่ะก็ ผมจะตอนคุณซะ!” จางเซวียนคำราม


ด้วยการกระดิกนิ้ว กระแสดาบฉีสายหนึ่งก็มารวมตัวกันอยู่เหนือร่างของจางเซวียน มันคำรามลั่นราวกับพร้อมจะทำลายล้างทุกอย่าง


“ดะ-ได้!”


รู้สึกได้ถึงความเย็นวาบที่หว่างขา เฉาเฉิงลี่หน้าซีดขณะหุบขาแน่นด้วยความหวาดหวั่น


“แล้วถ้าคืนนี้ยังไม่ได้เรื่องล่ะก็…ผมจะเทียมพ่อพันธุ์ม้าตัวหนึ่งให้มันไปไหนมาไหนกับคุณด้วย!” จางเซวียนขู่ซ้ำ


เฉาเฉิงลี่กุมก้นทั้งสองข้างไว้แน่นด้วยความพรั่นพรึง


เขาเคยคิดว่าเจ้านายคนใหม่ของเขาจะเป็นคนสุภาพนุ่มนวล ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีความคิดโหดเหี้ยมแบบนี้?


ถึงกับคิดจะเทียมพ่อพันธุ์ม้าตัวหนึ่งให้มาเล่นงานเขา…


ในตอนนั้น เฉาเฉิงลี่พลันนึกได้ถึงม้าที่สำแดงศิลปะการต่อสู้ออกมาในยามค่ำคืนและเสิร์ฟน้ำชาให้จางเซวียน ถ้านายท่านของเขาคิดจะทำแบบนั้น ก็คงทำได้แน่!


ไม่ได้ เราจะปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นไม่ได้ คงมองหน้าใครๆในฐานะผู้ชายคนหนึ่งไม่ได้อีก!


“ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ!” เฉาเฉิงลี่ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว เขาเผ่นพรวดออกจากห้องราวกับกำลังหนีปีศาจ


คราวนี้ ด้วยคำขู่ของจางเซวียน ไม่ช้าเฉาเฉิงลี่ก็กลับมาพร้อมกับข้อมูลที่จำเป็น


“นายน้อย ตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายในอยู่ที่ตีนเขาแห่งนี้เอง และผมไปตรวจสอบราคาของยาเม็ดอมตะขั้นต้นแล้ว เม็ดหนึ่งมีสนนราคาอยู่ที่ 2 เหรียญสำนักดาบ!” เฉาเฉิงลี่รายงานอย่างเป็นทางการ


“ยาเม็ดอมตะขั้นต้น 1 เม็ดมีราคา 2 เหรียญสำนักดาบ ขณะที่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันหนึ่งมีราคาถึง 20 เหรียญสำนักดาบ…ทำไมราคาถึงต่างกันขนาดนี้?” จางเซวียนชะงัก


เมื่อตอนอยู่ที่หอนิรันดร์ในเมืองแสงดาว ยาเม็ดอมตะขั้นต้นเม็ดหนึ่งมีราคาถึง 100,000 เหรียญนิรันดร์ ขณะที่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลหนึ่งอันมีราคาเพียง 20,000 เหรียญนิรันดร์เท่านั้น!


แต่เมื่อเป็นที่นี่ ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมีราคาสูงกว่ายาเม็ดอมตะขั้นต้นถึง 10 เท่า


ภาวะเงินเฟ้อนี่น่าสะพรึงเสียจริง!


“ผมเองก็ไม่แน่ใจในรายละเอียด แต่นี่คือสนนราคาที่ผมได้มา” เฉาเฉิงลี่อธิบายขณะหุบขาแน่นอีกครั้ง กลัวว่าจางเซวียนจะบันดาลโทสะและเล่นงานเขา


“พาผมไปที่ตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน ผมอยากเห็นกับตา!”


รู้ดีว่ารอช้าก็ไม่มีประโยชน์ จางเซวียนลุกพรวดและเดินออกจากห้อง


ตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายในคือศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนซื้อขายอย่างไม่เป็นทางการที่บริหารโดยศิษย์สายตรงฝ่ายในเป็นส่วนใหญ่ มันคือสถานที่ที่พวกเขาจะมาแลกเปลี่ยนซื้อขายข้าวของที่มีอยู่ในครอบครอง


ภายใต้การนำทางของเฉาเฉิงลี่ ไม่ช้าทั้งคู่ก็ไปถึงที่หมาย


ตลาดนั้นดูไม่เป็นเรื่องเป็นราวสักเท่าไหร่ อันที่จริงมันเป็นแค่ลานขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณตีนเขา หลังจากยื่นตราสัญลักษณ์แล้ว จางเซวียนกับเฉาเฉิงลี่ก็ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ตลาด


ทันทีที่เข้าไป ทั้งสองก็เห็นพ่อค้าแม่ขายจำนวนหนึ่งอยู่รายรอบพร้อมกับสินค้าที่อยู่ตรงหน้า


มีทั้งดาบ หนังสือเทคนิควรยุทธ ยาสมุนไพร ยาเม็ด อสูร…ล้วนแต่เป็นข้าวของจำเป็นขั้นพื้นฐานที่นักรบคนหนึ่งต้องการ


สินค้าส่วนใหญ่ที่วางขายไม่ได้มาจากสำนักดาบเมฆเหิน แต่เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวที่บรรดาศิษย์สายตรงได้มาระหว่างการปฏิบัติภารกิจหรือนำมาจากตระกูลของตัวเอง


“เรารับเฉพาะเหรียญสำนักดาบเท่านั้น ไม่รับยาเม็ดอมตะขั้นต้น!”


นี่คือคำตอบที่จางเซวียนได้รับจากเหล่าพ่อค้าแม่ขายที่เขาพยายามจะเจรจาซื้อขายด้วย


เหตุผลหลักที่พวกเขามาขายสินค้ากันที่นี่ก็เพื่อหาเหรียญสำนักดาบให้ได้จำนวนมากพอที่จะได้เข้าสู่หอภูมิปัญญาเพลงดาบและหอดวลดาบ นั่นคือสถานที่ที่บรรดาศิษย์สายตรงมักจะเข้าไปอยู่เนืองๆ เพื่อพัฒนาเส้นทางและวิถีทางเพลงดาบของตัวเอง


แล้วคราวนี้เราจะทำอย่างไร? จางเซวียนท้อใจ


เขาคิดว่าจะแลกเปลี่ยนยาเม็ดอมตะขั้นต้นที่ได้จากเฉาเฉิงลี่เป็นเงินได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าไม่มีพ่อค้าแม่ขายคนไหนยอมรับสิ่งนั้นสักคน!


สิ่งที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในสำนักดาบเมฆเหินไม่ใช่วรยุทธ แต่เป็นความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบ มีแต่ศิลปะเพลงดาบอันเหนือชั้นเท่านั้นที่จะทำให้ศิษย์สายตรงคนหนึ่งโดดเด่นจากเพื่อนร่วมรุ่นของตัวเองและถูกมองเป็นทรัพยากรล้ำค่าของสำนัก ซึ่งทางสำนักก็จะมอบทรัพยากรให้ตามที่เขาต้องการ เพื่อให้อีกฝ่ายได้ยกระดับวรยุทธ


ด้วยเหตุนี้ ทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนวรยุทธอย่างยาเม็ดอมตะขั้นต้นจึงมีค่าไม่มากนักสำหรับที่นี่


“นายน้อย หรือว่าเราควรจะลองขโมยดู? ผมเห็นคน 2-3 คนอยู่ตรงนั้น พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนคุณ ขอแค่เราล่อพวกนั้นเข้ามุมและสังหารพวกเขาได้ ก็จะได้ทุกอย่างที่เราต้องการ…” เห็นสีหน้าท้อใจของจางเซวียน เฉาเฉิงลี่เข้ามายื่นข้อเสนอ


“คุณบ้าไปแล้วหรือไง!” จางเซวียนแทบลมจับด้วยความโมโห


พูดอะไรออกมานี่…ใช้สามัญสำนึกบ้างไหม?


เราอยู่ในสำนักดาบเมฆเหินนะ! ถ้าอยากตายล่ะก็ ลองไปขโมยอะไรสักอย่างดู!


ล่อพวกนั้นเข้ามุม? คุณคิดว่าพวกศิษย์สายตรงนี่งี่เง่าหรือไง?


บรรดานักรบที่มาถึงที่นี่ได้ล้วนแต่มีทักษะพอตัวทั้งนั้น คุณก็รู้! พวกเขาไม่พยายามฉกฉวยอะไรไปจากคุณก็บุญแล้ว!


“ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ล่ะก็ ทำไมไม่ลองให้ผมหว่านเสน่ห์แม่ค้าสักคนล่ะ? เมื่อครู่นี้ ผมเห็นศิษย์สายตรงฝ่ายในหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งกำลังขายของอยู่ตรงนั้น…” เฉาเฉิงลี่ยังเสนอวิธีแก้ปัญหาต่อ


จางเซวียนตบหน้าอีกฝ่ายดังเพียะ ตอนนี้เขาอยากจะเตะเฉาเฉิงลี่ออกไปให้พ้นทาง


“ไปเลย! ไปทำอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ แต่อย่าได้พูดออกไปสักคำนะว่าคุณมีความเกี่ยวข้องกับผม และถ้าเจอปัญหา ก็อย่ามาตามหาผมด้วย!” จางเซวียนโบกมืออย่างหมดความอดทนขณะมุ่งหน้าไปตามถนนต่อไป


หลังจากพูดคุยกับพ่อค้า 2-3 คน เขาพบว่าราคาของตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเป็นมาตรฐาน ทุกที่ล้วนแต่มีมูลค่า 20 เหรียญสำนักดาบ ส่วนยาเม็ดอมตะขั้นต้นก็มีราคาเพียงเม็ดละ 2 เหรียญสำนักดาบเท่านั้น


พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้ขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มี จางเซวียนก็ยังได้เงินไม่มากพอจะซื้อตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลสักอันหนึ่ง


“ทำไมราคาของตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลถึงสูงกว่ายาเม็ดอมตะขั้นต้นมากนัก?” จางเซวียนถามศิษย์สายตรงคนหนึ่งที่กำลังขายของอยู่


“อ้อ คุณคงคุ้นชินกับราคาของตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลในดินแดนห่างไกลล่ะสิ ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลพวกนั้นมีวรยุทธเทียบเท่ากับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 เท่านั้น ราคาจึงต่ำกว่า แต่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่ขายกันในสำนักของเรามีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1จึงแน่นอนว่าต้องมีมูลค่ามากกว่า”


“ถ้าคุณแปลกใจกับราคานี้ ก็ลองไปดูตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่ใช้กันในหมู่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของพวกเขามีวรยุทธขั้นเสมือนอมตะ ราคาจะสูงกว่านี้อีกมาก” ศิษย์สายตรงคนนั้นอธิบาย


“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนพยักหน้า


พูดกันตามตรง เขาไม่คิดว่าคำตอบจะง่ายดายแบบนี้


ตอนที่ 1963 ขายน้ำอาบ

เขาเคยคิดว่าตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่ไหนๆก็เหมือนกันหมด แต่ตอนนี้ก็เห็นชัดแล้วว่าไม่ใช่ ด้วยวรยุทระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 นักรบจะสามารถสำแดงศิลปะเพลงดาบที่ทรงพลังกว่ากันได้มาก จึงเป็นธรรมดาที่ราคาจะสูงกว่า


หลังจากถามอีกสองสามคำถามเพื่อให้แน่ใจ ในที่สุดจางเซวียนก็เอ่ยขึ้น “คืออย่างนี้ เหตุผลที่ผมมาที่ตลาดนี่ก็เพราะกำลังต้องการตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอย่างเร่งด่วน แต่ตอนนี้ผมไม่มีเงินอยู่ในมือเลย พอมีวิธีไหนให้ผมหาเงินได้เร็วๆบ้าง?”


“วิธีหาเงินให้ได้เร็วๆ? บอกผมบ้างก็แล้วกันถ้าคุณมีวิธี…เพราะถ้าผมมีความคิดที่ดีกว่านี้ล่ะก็ คงไม่มัวมาขายของอยู่อย่างนี้หรอก!” ศิษย์สายตรงคนนั้นกลอกตา


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน


เขาออกมา จากนั้นก็เดินไปตามถนนด้วยสีหน้าครุ่นคิด


ตอนนี้เรามีแค่ยาเม็ดอมตะขั้นต้น 7 เม็ดกับแหวนเก็บสมบัติ 1 วง…ต่อให้ขายหมดตัวก็ยังได้เงินไม่ถึง 20 เหรียญสำนักดาบ…


ถ้าเขามีสินค้าที่มีค่าอยู่ในมือ ก็คงพอจะตั้งร้านของตัวเองได้เหมือนที่ศิษย์สายตรงคนอื่นๆทำกันแต่ปัญหาก็คือตอนนี้เขาไม่มีอะไรที่มีค่าอยู่ในมือเลย!


อย่างแหวนเก็บสมบัติ แม้จะเป็นของหายากในเมืองชวนเจียง แต่ทุกคนที่เขาได้พบที่สำนักดาบเมฆเหินก็ล้วนแต่มีแหวนเก็บสมบัติเป็นของตัวเอง เมื่อเขาสอบถามเรื่องนี้ ก็ได้รู้ว่าสามารถหาเช่าแหวนเก็บสมบัติได้จากทางสำนัก ไม่มีทางที่จะซื้อขายมันในตลาด!


ส่วนยาเม็ดอมตะขั้นต้น ต่อให้เขาหาผู้ซื้อได้โดยบังเอิญ ก็ยังได้เงินไม่มากพอจะซื้อตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลสักอันอยู่ดี


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเค้นหัวสมองอย่างหนักเผื่อจะเกิดความคิดดีๆ


“ใช่แล้ว! น้ำที่ได้จากการอาบน้ำเต้าตงฉู่มีอานุภาพน่าทึ่งในการเยียวยาอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว หากเรานำมาขาย ก็น่าจะได้ราคาดี!”


พูดกันตามตรง เขาทำอะไรไม่ได้มากนักหลังจากที่เข้าสู่มิติเบื้องบน นอกจากการเข้าร่วมการดวล ก็ไม่รู้วิธีอื่นใดที่จะทำให้ได้เงินมาเร็วๆ ถ้าจะมีอะไรสักอย่างในตัวเขาที่เป็นของมีค่าสำหรับคนอื่นๆ ก็น่าจะเป็นน้ำที่ได้จากการอาบน้ำเต้านี่แหละ


โชคดีที่เขายังมีสำรองไว้ในแหวนเก็บสมบัติอีกหลายขวด


น้ำอาบน้ำเต้ามีอานุภาพน่าทึ่งในการเยียวยาอาการบาดเจ็บ ถึงขนาดที่ไม่มียาเม็ดชนิดไหนในท้องตลาดจะเทียบชั้นได้ ขอแค่เขาทำการตลาดให้ดีและนำมันมาขาย ก็น่าจะได้เงินมากพอไปซื้อหาตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล


“งั้นก็ตามนี้!”


จางเซวียนนำของสองสามอย่างออกมาจากแหวนเก็บสมบัติของเขาโดยไม่ลังเลและจัดแผง เขานำขวดหยกที่บรรจุน้ำอาบน้ำเต้าออกมาจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบตรงหน้า จากนั้นก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนำผ้าผืนหนึ่งออกมาและเขียนคำว่า ‘น้ำทิพย์เยียวยาขั้นเทพ’ ลงไปก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง


“น้ำทิพย์เยียวยาขั้นเทพ? น้องชาย คุณนี่ไม่กลัวตายเอาเสียเลย! ไม่รู้หรือว่าคำว่า ‘เทพเจ้า’ จะนำมาใช้พล่อยๆไม่ได้ คุณจะถูกลงทัณฑ์แน่หากเทพเจ้ารู้เรื่อง!” ศิษย์สายตรงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างจางเซวียนมองแผ่นป้ายของเขาและอุทานออกมาด้วยความพรั่นพรึง


“คำนั้นนำมาใช้พล่อยๆไม่ได้? ว่าแต่…สำนักดาบเมฆเหินก็มีสถานที่ที่เรียกว่าหอเทพดาบไม่ใช่หรือ?”


“คำว่า ‘เทพ’ ที่ใช้ในหอเทพดาบนั้นเป็นคำที่ผู้ก่อตั้งสำนักของเราฉกฉวยมาจากหอเทพเจ้า แต่ในเมื่อผู้ก่อตั้งนำตัวอักษรมาได้เพียงครึ่งเดียว เขาจึงมีสิทธิ์ใช้มันเป็นชื่อของสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ชื่อสำนัก ทั่วทั้งทวีปนี้มีแต่หอนิรันดร์ที่เดียวที่มีสิทธิ์ใช้ตัวอักษรนี้เป็นชื่อของมัน ตำนานกล่าวว่าผู้ก่อตั้งหอนิรันดร์บุกเดี่ยวเข้าไปที่หอเทพเจ้าและนำตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ ออกมาได้ต่อหน้าต่อตาเทพเจ้าที่อยู่ในนั้น!” ศิษย์สายตรงผู้นั้นอธิบาย


“มิติเบื้องบนจำกัดการใช้ตัวอักษรบางคำด้วยหรือ?” จางเซวียนถึงกับงง


หลังจากถามอีก 2-3 คำถาม ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


มิติเบื้องบนหรือที่รู้จักกันในชื่อทวีปที่ถูกลืมถือได้ว่าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งที่ถูกเทพเจ้าละเลย เหล่าเทพเจ้ามองว่าดินแดนนี้ไร้ค่า และสั่งห้ามไม่ให้สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ที่นี่ใช้ตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ กฎเกณฑ์นี้บังคับใช้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็น 6 สำนักใหญ่หรือพลเมืองธรรมดาสามัญ


ถ้าใครคิดจะใช้ตัวอักษรนี้ ก็มีวิธีเดียวคือต้องเข้าสู่หอเทพเจ้าและขโมยตัวอักษรคำว่าเทพเจ้ามาจากในนั้นให้ได้!


ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา สำนักดาบเมฆเหินและหอนิรันดร์เป็นเพียง 2 ที่ที่ทำสำเร็จ สำนักดาบเมฆเหินฉกฉวยเอาตัวอักษรมาได้ครึ่งหนึ่ง ขณะที่หอนิรันดร์นำตัวอักษรจากหอเทพเจ้ามาได้ทั้งคำ


สำนักอื่นๆก็ล้วนแต่พยายาม แต่พวกเขาไม่เคยทำสำเร็จ


เพียงเท่านี้ก็พอจะมองออกแล้วว่าหอเทพเจ้ามีความน่าสะพรึงแค่ไหน


ดูเหมือนคำว่า ‘เทพเจ้า’ จะไม่อาจถูกนำมาใช้ได้ง่ายๆ


ดังนั้น จางเซวียนจึงลบคำว่า ‘น้ำทิพย์เยียวยาขั้นเทพ’ ออกจากแผ่นผ้าและเปลี่ยนเป็น ‘น้ำทิพย์เยียวยาสวรรค์’ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเติมถ้อยคำลงไป ‘อาการบาดเจ็บและความป่วยไข้ทุกชนิดจะถูกรักษาหายภายในชั่วพริบตา!”


หลังจากเสร็จกระบวนการ เขาก็นั่งรออย่างอดทนให้มีลูกค้าเข้ามา


2 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีลูกค้าจำนวนหนึ่งแวะมาที่แผงของจางเซวียนเพื่อตรวจสอบดู แต่เมื่อพวกเขาเปิดจุกขวดหยกออกสำรวจน้ำที่อยู่ข้างใน ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างผิดหวังแล้วจากไป


ยาฟื้นฟูสภาพร่างกายส่วนมากที่มีขายในท้องตลาดล้วนแต่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้น แต่อะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ในขวดหยกนั้นดูจากไม่ต่างจากน้ำเปล่าเลย ใครจะยอมเสียเหรียญสำนักดาบอันล้ำค่าเพื่อซื้อของไร้ประโยชน์แบบนี้?


ไม่ช้า ดวงอาทิตย์ก็เริ่มจะลับขอบฟ้า จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขากำลังจะเก็บของ ก็พอดีกับที่สาวน้อยคนหนึ่งเดินพรวดพราดเข้ามา


เธอมีอายุราว 20 ต้นๆ แม้จะงดงามเทียบชั้นไม่ได้กับจ้าวหย่าและคนอื่นๆ แต่เรือนร่างสูงโปร่งของเธอก็ทำให้มีความงดงามอย่างหาตัวจับยาก


จางเซวียนรู้สึกได้ว่าคิ้วของเธอกำลังขมวดมุ่น ราวกับมีบางอย่างที่ทำให้หนักใจ


“ยาของคุณได้ผลดีจริงๆหรือเปล่า?” สาวน้อยเดินเข้ามาถามจางเซวียน


“แน่นอน!” จางเซวียนพยักหน้า “มันรักษาอาการบาดเจ็บใดๆก็ตามได้ในชั่วอึดใจ ถ้าไม่ได้ผลล่ะก็ ผมจะชดใช้ให้คุณอย่างเต็มที่เลย!”


“ญาติสนิทคนหนึ่งของฉันได้รับบาดเจ็บจากอสูรขั้นอมตะตัวหนึ่ง เราพยายามรักษาเขาด้วยยาทุกชนิดแล้ว แต่ไม่ได้ผล…ฉันจึงคิดว่าจะลองใช้ยาของคุณรักษาดู ขวดหนึ่งราคาเท่าไหร่?” สาวน้อยครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถาม


ญาติสนิทผู้นั้นของเธอได้รับการวินิจฉัยจากนายแพทย์ที่เก่งกาจที่สุดในสำนัก อีกทั้งทดลองยามาแล้วทุกขนาน แต่ทุกอย่างก็ล้วนไม่ได้ผล เป็นเพราะความท้อใจที่ทำให้เธอตระเวนจากตลาดแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง หวังว่าจะได้พบกับปาฏิหาริย์ ซึ่งแผ่นป้ายที่จางเซวียนติดไว้ก็ดึงดูดความสนใจของเธอด้วยถ้อยคำที่ระบุไว้ว่ายานี้สามารถรักษาอาการบาดเจ็บและความป่วยไข้ทุกชนิดได้


เมื่อไม่มีทางเลือก เธอจึงตัดสินใจจะลองดู


บางที นี่อาจเป็นปาฏิหาริย์ที่ญาติของเธอกำลังต้องการ ถึงอย่างไรเธอก็จำเป็นต้องทดลอง


“ขวดหนึ่งมีสนนราคาอยู่ที่ 20 เหรียญสำนักดาบ” จางเซวียนตอบ


“20 เหรียญสำนักดาบ? คุณไปปล้นธนาคารจะดีกว่าไหม?” สาวน้อยประหลาดใจ


สำหรับยาเม็ดที่มีอานุภาพเยียวยาโดยทั่วไป แม้แต่กับนักรบขั้นเสมือนอมตะ ก็ยังมีสนนราคาอยู่ที่เม็ดละ 10 เหรียญสำนักดาบเท่านั้น ขวดหยกใบนี้บรรจุสิ่งที่ดูจะไม่แตกต่างจากน้ำเปล่าเลย แต่กลับมีราคาถึง 20 เหรียญสำนักดาบ?


คุณต้องพยายามต้มฉันแน่!


“แม่สาวน้อย สินค้าของผมคุ้มค่ากับทุกเหรียญที่คุณเสียไปแน่นอน เหตุผลที่ผมกล้าตั้งราคาสูงขนาดนี้ก็เพราะผมมั่นใจในประสิทธิภาพของมัน ไม่อย่างนั้น การที่ผมมาตั้งแผงแบบนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตาย” จางเซวียนตอบอย่างสุขุม “คุณตัดสินใจเองได้ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อถ้าคุณมองว่ามันราคาสูงเกินไป แต่รู้ไว้นะว่าราคานี้จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง!”


จากนั้นจางเซวียนก็หลับตา ราวกับไม่ใส่ใจสักนิดว่าสาวน้อยจะซื้อสินค้าของเขาหรือไม่


เขาไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน แต่เพราะได้อ่านหนังสือมามากมาย จึงพอรู้ลูกเล่นพื้นๆและยุทธวิธีทางจิตวิทยาที่บรรดานักธุรกิจใช้กัน หากเขาพยายามโปรโมทสินค้าของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็มีแต่จะทำให้สินค้ามีความน่าเชื่อถือลดลง


ในทางตรงกันข้าม ถ้าเขาสงวนท่าทีไว้และทำให้ใครๆดูไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ ก็มีโอกาสที่จะเอาชนะใจลูกค้าได้


อีกอย่าง น้ำอาบน้ำเต้าที่เขานำมาขายนี้ก็มีอานุภาพราวกับปาฏิหาริย์อย่างที่เขากล่าวอ้างไว้จริงๆ!


เท่าที่เห็น ดูเหมือนยุทธวิธีของจางเซวียนจะได้ผล


ถ้าเป็นวันอื่น สาวน้อยคงจะเดินจากไปโดยไม่คิดมาก แต่การที่เธอไม่อาจมองทะลุถึงอานุภาพของน้ำในขวด รวมทั้งความมั่นใจอย่างประหลาดของพ่อค้า ก็ทำให้เธอเกิดความลังเลขึ้นมา


อาการป่วยที่ญาติสนิทของเธอกำลังทุกข์ทรมานอยู่ไม่ใช่สิ่งที่ยาทั่วไปจะรักษาได้ ความลึกลับของยานี้จึงดูดความสนใจของเธอ อีกอย่าง สิ่งที่เธอกำลังตามหาคือปาฏิหาริย์ พลังงานเหนือธรรมชาติบางอย่างที่จะทำให้ภารกิจที่ไม่มีทางเป็นไปได้นี้เป็นจริงขึ้นมา


หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็หยิบขวดหยกขึ้นมา 1 ใบและคำราม “ก็ได้ ฉันจะซื้อยาของคุณ แต่คุณควรรู้ไว้นะว่าฉันไม่ใช่คนที่ใครควรจะมาตุกติกใส่ ถ้ายาของคุณไม่ได้ผลล่ะก็ ฉันจะตามล่าคุณ จะทำให้คุณรู้ว่าผลของการกล้าหลอกลวงฉันเป็นอย่างไร!”


“วางใจเถอะ ถ้ายาของผมไม่ได้ผลล่ะก็ ผมจะทุบร้านของผมทิ้งก่อนที่คุณจะทันได้พูดอะไรเสียอีก” จางเซวียนตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใยดีอย่างสิ้นเชิง ราวกับเคยได้ยินคำพูดแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน


เขาวางแผนจะขายน้ำอาบน้ำเต้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งทันทีที่ได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมา ก็จะไม่ใช้วิธีการแบบนี้หาเงินอีก


เพราะถึงอย่างไร เขาก็เชี่ยวชาญการหาเงินด้วยการดวลมากกว่า!


“ถ้าได้อย่างนั้นก็ดี!” สาวน้อยตอบ เธอหยิบกระเป๋าออกมาใบหนึ่งแล้วโยนให้จางเซวียน “นี่คือเงิน 20 เหรียญสำนักดาบของคุณ!”


จากนั้นเธอก็หันหลังกลับแล้วออกจากตลาดของศิษย์สายตรงไป


จางเซวียนเปิดกระเป๋าอย่างตื่นเต้น จากนั้นก็รีบนับเงิน มีเงินอยู่ในนั้น 20 เหรียญสำนักดาบจริงๆ!


เขานึกว่าจะต้องนอนค้างอ้างแรมที่ตลาดอีกสัก 2-3 วันกว่าจะหาผู้ซื้อได้ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นกว่าที่คิด


จางเซวียนลุกขึ้นยืนและกำลังจะเก็บแผง ก็พอดีกับที่พ่อค้าคนหนึ่งที่ตั้งแผงอยู่ตรงข้ามเขารี่เข้ามาหาและส่ายหน้าอย่างสมเพช


“คุณควรจะรีบเผ่นหนีไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ อันที่จริง ออกจากสำนักดาบเมฆเหินไปได้เสียเลยก็ดี ไม่อย่างนั้น เร็วๆนี้คุณจะต้องถูกสับจนเละเป็นเนื้อบดแน่!”


ตอนที่ 1964 ยานี้ราคาเท่าไหร่?

“ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้น?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


“ทำไมผมถึงพูดแบบนั้น?” ศิษย์สายตรงผู้นั้นมองหน้าจางเซวียนอย่างเห็นใจ “คุณรู้หรือเปล่าว่าแม่สาวน้อยที่มาเมื่อครู่นี้เป็นใคร?”


จางเซวียนส่ายหน้า


“เธอคือไป๋เหรินชิง…หลานสาวของผู้อาวุโสไป๋เย่, หนึ่งในสามผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักของเรา” ศิษย์สายตรงผู้นั้นส่ายหัว “อย่าให้รูปร่างหน้าตาของเธอทำให้คุณไขว้เขว เมื่อครู่นี้เธออาจดูสุภาพดี แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ต่างอะไรกับไดโนเสาร์ตัวเมียเลย ชื่อเสียงของเธอระบือลือลั่นไปทั่วทั้งสำนัก แม้แต่บรรดาศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดด้วยกันก็ยังไม่กล้ามีเรื่องกับเธอ! คุณทำให้เธอต้องเสียเงินก้อนใหญ่ซื้อน้ำไร้ค่าขวดนั้น…ไม่มีทางที่เธอจะยอมปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ในสำนักแน่! ถ้าทำได้ล่ะก็ เขียนจดหมายหาตระกูลของคุณให้เตรียมงานศพได้เลย อย่างน้อยที่สุดก็จะยังมีใครคนหนึ่งคอยเก็บศพของคุณอยู่!”


“ไดโนเสาร์ตัวเมีย?” จางเซวียนเลิกคิ้ว


เขาไม่รู้สึกถึงอะไรแบบนั้นเลยจากทีท่าอ่อนโยนของหญิงสาวเมื่อครู่


“ดูเหมือนคุณจะยังไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูด…เมื่อปีก่อน ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนหนึ่งที่ชื่อซูถงสารภาพความในใจกับเธอ แต่เธอลากเขาขึ้นสังเวียนประลองและเตะที่หว่างขาของเขาอย่างจัง เขายังไม่หายจากอาการบาดเจ็บจนกระทั่งถึงตอนนี้”


“2-3 เดือนต่อมา ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดอีกคนหนึ่งที่ชื่อจางเยว่ดูจะขัดแย้งกับเธอด้วยเรื่องอะไรสักอย่าง เขาถูกซ้อมจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อเป็นเดือน ผมอยากรู้จึงเข้าไปสืบดู…บอกคุณได้เลยว่าสภาพของเขาทุเรศทุรังเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้เลยล่ะ!”


“อ้อ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนหนึ่งชื่อเชวไห่, พยายามขายยาปลอมแบบคุณนี่แหละ เธอจับหัวของเขากดน้ำและเกือบทำให้หมอนั่นจมน้ำตาย นั่นยังไม่จบนะ…เธอถึงกับตัดลิ้นของเขาออกมาครึ่งหนึ่งด้วยเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนอื่นๆ”


“ในเมื่อแม้แต่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดยังตกเป็นเหยื่อของเธอ คุณคิดว่าคุณจะลอยนวลไปได้หรือหลังจากที่หลอกลวงเธอแล้ว?”


“คือ…” จางเซวียนเกาหัว


สาวน้อยเมื่อครู่นี้ดูอ่อนโยนจนยากจะเชื่อว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นปีศาจร้ายอย่างที่ศิษย์สายตรงผู้นี้บรรยายไว้


เห็นจางเซวียนยังไม่อยากเชื่อ อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตั้งคำถาม “คุณรู้หรือเปล่าว่าเธอทรงพลังแค่ไหน?”


จางเซวียนส่ายหน้า


“เมื่อปีก่อน ตอนที่ดวลกับซูถง เธอเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะสรวงสวรรค์แล้ว ส่วนหลังจากนั้นเธอจะพัฒนาไปได้อีกแค่ไหน ผมให้คุณคิดเอาเองก็แล้วกัน!” ศิษย์สายตรงผู้นั้นพูดขณะดึงแผงของเขาให้ออกห่างจากจางเซวียน “เอาเป็นว่าผมขอรักษาระยะห่างระหว่างเราก่อนก็แล้วกันนะ ผมไม่อยากตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดตอนที่เธอมาเชือดคุณ เฮ่อออ…การทำธุรกิจทุกวันนี้ช่างยากเย็นเสียจริง ไม่เพียงแต่จะต้องเก็บปากเก็บคำ ยังต้องระวังตัวไม่ให้อยู่ใกล้พวกรนหาที่ตายด้วย…น่ารำคาญเหลือเกิน!”


“….” จางเซวียนพูดไม่ออก


“ไม่เป็นไรน่ะ คุณไม่ต้องย้ายที่หรอก ผมจะไปเองหลังจากที่ได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลแล้ว” จางเซวียนเก็บข้าวของและลุกขึ้นยืน


เหตุผลหลักที่เขามาที่ตลาดแห่งนี้ก็เพื่อหาตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล ในเมื่อมีเงินมากพอแล้ว ก็แค่ ไปหาซื้อสิ่งที่อยากได้และพร้อมจะจากไป


“ผมต้องการตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันหนึ่ง นี่คือเงิน 20 เหรียญสำนักดาบ” จางเซวียนพูดขณะเดินไปหาพ่อค้าที่ตั้งแผงอยู่ตรงกันข้ามและยื่นถุงเงินให้


“แค่นั้นน่ะไม่พอหรอก ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลขึ้นราคาแล้ว ตอนนี้คุณต้องจ่ายมา 25 เหรียญสำนักดาบ!” ศิษย์สายตรงที่เป็นเจ้าของแผงโยนถุงเงินกลับให้จางเซวียน


“ขึ้นราคาแล้ว? เมื่อครู่นี้คุณยังบอกว่าแค่ 20 เหรียญสำนักดาบไม่ใช่หรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“เมื่อครู่นี้ก็ 20 เหรียญจริงๆ แต่ในเมื่อคุณเพิ่งหาเรื่องไป๋เหรินชิง ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว ผมจะทำไงล่ะถ้าเธอรู้ว่าผมขายของให้คุณ และนั่นทำให้ผมลำบาก? เงิน 5 เหรียญสำนักดาบที่เพิ่มมาน่ะถือเป็นค่ายาและค่ารักษาฉุกเฉิน เพราะเราอยู่ใกล้กันหรอกนะ ผมจึงขึ้นราคาเพียงแค่ไม่กี่เหรียญ ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ ผมไม่ขายให้เลยด้วยซ้ำ!” ศิษย์สายตรงผู้นั้นย้ำหนักแน่น


“คุณ…” จางเซวียนอ้าปากค้าง


แม่ไดโนเสาร์ตัวเมียนั่นน่าสะพรึงขนาดนี้เลยหรือ?


จางเซวียนยังไม่ยอมแพ้ เขาเดินไปที่แผงอื่นที่ขายตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล แต่ไม่มีพ่อค้าสักคนเดียวที่ยอมขายให้ เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เขาหลอกลวงแม่ไดโนเสาร์ตัวเมียคนนั้นแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก จึงไม่มีใครเต็มใจจะทำธุรกิจกับเขาอีก


“เจ้าคนพวกนี้!” จางเซวียนกัดฟันกรอด


ในวินาทีนั้น เขานึกอยากทำตามที่เฉาเฉิงลี่แนะนำ คือขโมยมาดื้อๆเสียเลย


หลังจากลงทุนลงแรงไปมากมาย ก็กลับกลายเป็นว่าไม่มีใครยอมขายตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลให้เขาสักคน


“ช่างมันเถอะ…” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขาก็แค่ต้องหาวิธีอื่นเพื่อให้ได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมา


ขณะที่จางเซวียนกำลังจะออกไป เฉาเฉิงลี่ก็พรวดพราดเข้ามาแล้วพูดว่า “นายน้อย ผมหาตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลตามที่คุณต้องการได้แล้ว!”


จากนั้นเขาก็ยื่นตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล 2 อันให้จางเซวียน


จางเซวียนตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ


เขาเหนื่อยยากอยู่ครึ่งค่อนวัน ยังไม่ได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมาสักอัน แล้วเจ้าลูกน้องที่ไว้ใจไม่ได้คนนี้ได้มาถึง 2 อันได้อย่างไร?


“เมื่อครู่นี้ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือ? ผมเห็นศิษย์สายตรงหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่ง…” เฉาเฉิงลี่หัวเราะหึๆขณะเกาหัว


ขณะที่เขากำลังจะอธิบาย จางเซวียนก็เห็นสาวร่างยักษ์คนหนึ่งที่มีน้ำหนักราว 300 จิงเดินตรงเข้ามา “ที่รัก รีบหน่อยเถอะ เตียงของฉันน่ะแสนจะกว้างใหญ่ แถมนุ่มมากด้วยนะ…”


(300 จิง = 150 กิโลกรัม)


“ได้เลยที่รัก ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” เฉาเฉิงลี่ออดอ้อน เขาหันไปพูดกับจางเซวียน “นายน้อย ผมขอตัวสักครู่นะ กลับมาแล้วจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง…”


จากนั้นเฉาเฉิงลี่ก็กระโจนออกจากตลาดของศิษย์สายตรงไปโดยมีแม่สาวนั่นอยู่ในอ้อมแขน


“….” จางเซวียนกุมขมับ


เขารู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งตาสว่างก็วันนี้


แต่ไม่ว่าเฉาเฉิงลี่จะได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมาด้วยวิธีไหน ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหมอนี่เก่งกาจพอตัว เพียงแค่ 2-3 ชั่วโมง ไม่เพียงแต่จะได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมาถึง 2 อัน ยังได้โควต้าเตียงนอนของแม่สาวคนนั้นด้วย


แต่ถ้าจะคิดกันให้ดี ถ้าเขาขายลูกน้องของเขาเพื่อวัตถุประสงค์แบบนี้ จะไม่ทำให้เขากลายเป็นแมงดาหรือ?


จางเซวียนตัวสั่นเล็กน้อยขณะรีบสลัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัวสมองก่อนจะออกจากตลาดไป


…..


เสียงกู่ร้องเย็นเยียบของอสูรตัวหนึ่งดังขึ้นเหนือที่พักของผู้อาวุโสไป๋เย่ ไป๋เหรินชิงกระโจนลงมา จากนั้นก็รีบผลักประตูและพรวดพราดเข้าไปในที่พัก


“นายหญิงน้อย!” ชายชราผู้หนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับไป๋เหรินชิง


เขาคือพ่อบ้านส่วนตัวของผู้อาวุโสไป๋เย่, ไป๋เฟิง


ไป๋เฟิงเติบโตมาพร้อมกับผู้อาวุโสไป๋เย่ ทั้งคู่เข้าสู่สำนักดาบเมฆเหินพร้อมกัน แม้ไป๋เฟิงจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังมากนักในสำนักดาบเมฆเหิน แต่ผู้ที่คุ้นเคยกับเขาก็รู้ดีว่าเขามีอะไรพิเศษกว่าชายชราทั่วไปมาก


ดูเหมือนจะรู้ว่าไป๋เหรินชิงได้พบสมุนไพรที่มีฤทธิ์เยียวยาสำหรับผู้อาวุโสไป๋เย่อีกแล้ว ไป๋เฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะให้คำแนะนำ “นายหญิงน้อย ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี แต่อาการบาดเจ็บของนายท่านเกิดขึ้นนับตั้งแต่การเดินทางไปสู่เมืองแห่งมิติที่พังทลาย บาดแผลของเขามีพลังงานลึกลับบางอย่างซึมซาบอยู่ในนั้น ซึ่งกัดกร่อนเขาจากภายใน ทางสำนักพยายามทุกวิถีทางแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล ผมไม่คิดว่าคุณจะสามารถซื้อหาอะไรจากตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายนอกและฝ่ายในที่จะมีอานุภาพเพียงพอรักษาอาการของนายท่านได้หรอก!”


เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายคือหนึ่งในสถานที่ที่น่าสะพรึงที่สุดของทวีปที่ถูกลืม มีทรัพย์สมบัติมากมายซุกซ่อนอยู่ที่นั่น แต่อันตรายใหญ่หลวงก็รอคอยผู้ที่อาจหาญเหยียบย่างเข้าไป


ถ้าเป็นแค่อาการบาดเจ็บธรรมดา ด้วยสถานภาพของไป๋เย่ในฐานะผู้อาวุโสที่ 3 ของสำนักดาบเมฆเหิน เขาคงได้รับการรักษาจนหายไปนานแล้ว แต่เพราะความแปลกประหลาดและความซับซ้อนของอาการบาดเจ็บนั้น ทุกอย่างที่พวกเขาพยายามนำมาใช้จึงสูญเปล่า


แถมอาการของอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะแย่ลงเรื่อยๆในแต่ละวัน ดูเหมือนเขาจะเหลือเวลาอีกไม่มาก


ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้ไป๋เหรินชิงตะลอนออกไปทุกวันเพื่อหายาที่มีอานุภาพน่าทึ่งต่างๆนานา หวังว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ แต่ในความเป็นจริง ทุกอย่างก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์


ไป๋เหรินชิงกำหมัดแน่นขณะพูดว่า “ฉันรู้ว่าที่คุณพูดเป็นความจริง แต่…”


มีหรือที่เธอจะไม่รู้ว่าความพยายามของเธอไม่น่าจะเกิดผล แต่จะให้เธอนั่งเฉยและเฝ้ามองท่านปู่ของเธอตายไปตรงหน้า…เธอรับไม่ได้!


“เฮ่ออออ!” รู้ดีว่าไป๋เหรินชิงคิดอะไร ไป๋เฟิงถอนหายใจอย่างอ่อนแรง “แล้วคราวนี้คุณซื้ออะไรมาล่ะ? ขอผมดูหน่อยได้ไหม?”


“อยู่นี่…” ไป๋เหรินชิงยื่นขวดหยกที่เธอเพิ่งซื้อมาให้ไป๋เฟิง


ไป๋เฟิงรับขวดหยกไปเปิดจุกออกและสูดดม ไม่ช้าก็ส่ายหน้า “นายหญิงน้อย นี่มันไม่ใช่ยาด้วยซ้ำ ผมมีชีวิตอยู่ 150 ปีแล้ว เห็นยามาแล้วทุกชนิด แต่น้ำนี่ไม่มีพลังจิตวิญญาณอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว หรือว่าคุณถูกหลอก?”


การที่ยาขนานหนึ่งจะมีอานุภาพน่าทึ่งได้นั้น จะต้องมีพลังจิตวิญญาณบรรจุอยู่ในปริมาณที่มากพอจะบ่มเพาะร่างกายของผู้ป่วยได้ แต่สิ่งที่อยู่ในขวดหยกใบนี้ดูไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่า ไม่มีร่องรอยของพลังจิตวิญญาณอยู่เลย


หรือว่านายหญิงน้อยจะร้อนรนเกินไปและถูกหลอก?


“ศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งขายมันให้ฉัน เขาบอกว่ามันคือยาสวรรค์ที่รักษาบาดแผลและอาการป่วยไข้ได้ทุกชนิด” ไป๋เหรินชิงพูดพร้อมกับก้มหน้า


ตอนที่เธอซื้อมาก็ยังสงสัยอยู่ แต่ท่านปู่ของเธอใกล้เสียชีวิตเต็มทีแล้ว เธอจำเป็นต้องคว้าทุกเศษเสี้ยวของความหวังที่มี


แถมเจ้าคนที่ขายยานี้ให้เธอก็ดูจะมั่นอกมั่นใจมาก ซึ่งนั่นบ่งบอกอะไรบางอย่าง


ถึงอย่างไร เธอก็เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในสำนัก ไม่มีศิษย์สายตรงฝ่ายในหรือศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนไหนที่ไม่รู้จักเธอ หมอนี่ควรจะรู้ดีว่าหากโกหกเธอแล้วจะต้องเจอกับอะไร แต่ก็ยังกล้าโกหกหน้าด้านๆ เขาน่าจะมีบางอย่างที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างของตัวเอง!


“ยาสวรรค์ที่รักษาบาดแผลและความป่วยไข้ได้ทุกชนิด แต่ไม่มีพลังจิตวิญญาณอยู่ในนั้นเลย แล้วเขายังกล้าขายมันให้คุณ…” ไป๋เฟิงคำราม “หมอนั่นกล้าดีอย่างไร! ยานี้ราคาเท่าไหร่?”


“20 เหรียญสำนักดาบ” ไป๋เหรินชิงตอบอ้อมแอ้ม


“20เหรียญ?” ไป๋เฟิงอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะปรี๊ดแตก “นายหญิงน้อย ผมแน่ใจว่าคุณถูกหลอก ด้วยเงิน 20 เหรียญสำนักดาบ คุณสามารถซื้อยาเม็ดอมตะขั้นต้นได้ถึง 10 เม็ด! แต่เขากล้าตั้งราคานี้ สำหรับน้ำเปล่าเพียงขวดเดียว ศิษย์สายตรงคนนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของผู้อาวุโสคนไหน? ผมจะไปที่นั่นเพื่อขอคำอธิบายเดี๋ยวนี้! หมอนั่นคิดว่าจะเอาเปรียบพวกเราได้เพียงเพราะผู้อาวุโสไป๋กำลังได้รับบาดเจ็บหรือ?”


ตอนที่ 1965 ขายของจริงหรือ?

บึ้มมมม!


ด้วยความโกรธขึ้งของเขา พลังงานมหาศาลระเบิดออกจากจุดชีพจร บ้านพักหลังนั้นสั่นสะท้านไม่หยุด ดูเหมือนพร้อมจะพังทลายด้วยแรงโทสะ


ผู้อาวุโสไป๋อาจได้รับบาดเจ็บและกำลังจะตาย แต่ตราบใดที่ตัวเขา, ไป๋เฟิง ยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบนายหญิงน้อยเป็นอันขาด เจ้าศิษย์สายตรงคนนั้นรนหาที่ตายแล้ว!


“ฉัน…ฉันเต็มใจซื้อมันเอง เขาไม่ได้หลอกลวงฉันหรอก…” ไป๋เหรินชิงหน้าแดงก่ำ


อีกฝ่ายพูดว่าเธอมีสิทธิ์ตัดสินใจเองว่าจะซื้อหรือไม่ และเขาก็ไม่ได้บีบบังคับเธอให้รีบร้อนตัดสินใจ


คำนั้นไม่ได้ทำให้ความเดือดดาลของไป๋เฟิงลดลงแม้แต่น้อย “คุณเต็มใจซื้อ? หมอนั่นคงใช้คำพูดหวานๆหว่านล้อมคุณแน่…”


“เอาเถอะ ไม่ว่าจะมีพลังจิตวิญญาณอยู่ในนั้นหรือไม่ ในเมื่อเราซื้อมันมาแล้ว ลองให้ท่านปู่กินดู เผื่อมันอาจได้ผล” ไป๋เหรินชิงขัดขึ้นก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนอนใหญ่


เธอยืนอยู่ข้างเตียง เฝ้ามองใบหน้าเหี่ยวย่นของชายชราที่ดูอ่อนแรง หน้าอกของเขามีรอยบุ๋มขนาดใหญ่ เนื้อหนังที่อยู่ตรงนั้นเริ่มเหี่ยวแห้ง ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา


นัยน์ตาของผู้อาวุโสปิดสนิท แม้แต่ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ไม่อาจทำให้เขาตื่น


“ท่านปู่ คุณจะต้องหายดี” ไป๋เหรินชิงพึมพำขณะพยุงผู้อาวุโสขึ้นมาแล้วรินน้ำในขวดหยกเข้าไปในปากของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ


หลังจากเสร็จสิ้น เธอรีรออยู่ครู่หนึ่ง แต่เนื้อหนังที่เหี่ยวแห้งนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น สีหน้าของเธอเคร่งเครียดขึ้นทีละน้อย


“ไม่มีพลังจิตวิญญาณอยู่ในนั้นเลย เพราะฉะนั้นยานี้เป็นของปลอมแน่ นายหญิงน้อย…ต่อไปคุณจะต้องไม่ฟังคำพูดของพวกคนหลอกลวงอีกนะ เหล่าผู้อาวุโสของสำนักที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคได้พยายามรักษานายท่านแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วยาที่ศิษย์สายตรงคนหนึ่งขายจะมีประสิทธิภาพดีพอได้อย่างไร?” ไป๋เฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่


ในตอนนั้นเอง เสียงอ่อนระโหยก็ดังขึ้น “พวกคุณเอาอะไรให้ผมกินน่ะ?”


ไป๋เหรินชิงกับไป๋เฟิงตาโตด้วยความตกใจขณะหันขวับ ผู้อาวุโสไป๋เย่ที่เคยสลบไสลไม่ได้สติลืมตาขึ้นอีกครั้ง


เขายังคงอ่อนแรงอยู่ แต่ในที่สุดก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาหลังจากที่สลบไปเนิ่นนาน


“ยานี้ได้ผลหรือ?” ไป๋เหรินชิงตาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น


เธอยิ่งกว่ากังวลใจเรื่องอาการของท่านปู่ ถ้าไม่ใช่เพราะวรยุทธที่เหนือชั้นของเขา เขาคงตายไปนานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าร่อแร่เต็มที เป็นไปได้ว่าท่านปู่อาจหมดลมหายใจสุดท้ายในอีกสองวันนับจากนี้ จึงน่าตกใจมากที่ท่านปู่ของเธอฟื้นและพูดได้หลังจากได้ดื่มน้ำเปล่าขวดหนึ่งเข้าไป


แม้แต่ยาเม็ดสืบทอดชีวิตขั้นสูงสุดของสำนักดาบเมฆเหินก็ยังไม่มีอานุภาพเท่านี้!


“นายท่าน!”


ไป๋เฟิงรีบเข้าไปพยุงผู้อาวุโสไป๋เย่ให้ลุกขึ้น จากนั้นก็ขับเคลื่อนพลังปราณเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่ายเพื่อตรวจสอบสภาวะภายใน


ครู่ต่อมา ไป๋เฟิงก็ตาโตด้วยความตกตะลึงขณะตั้งข้อสังเกต “อาการบาดเจ็บของนายท่านได้รับการเยียวยาแล้วจริงๆ…”


แม้ระดับของการเยียวยาจะเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่ข้อเท็จจริงก็คือยานั้นได้ผล พลังงานกัดกร่อนที่บ่อนทำลายอวัยวะภายใน พลังปราณ และจิตวิญญาณของผู้อาวุโสไป๋เย่มาตลอดถูกกดข่มไว้อย่างชะงัด!


พลังงานทำลายล้างนั้นคือพละกำลังพิเศษที่ไม่อาจยับยั้งได้ของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย ในโลกนี้ไม่มียาชนิดไหนที่สามารถรักษามันได้ ใครจะไปรู้ว่าน้ำเปล่าขวดหนึ่งที่ไป๋เหรินชิงซื้อมาจะได้ผลน่าทึ่งขนาดนี้?


“นายหญิงน้อย คุณซื้อยาขวดนั้นมาจากไหน?” ไป๋เฟิงถามอย่างร้อนใจ


“ฉันซื้อมาจากตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน…” ไป๋เหรินชิงรีบฉุดตัวเองขึ้นจากภวังค์


“คุณซื้อมาแค่ขวดเดียวหรือ?”


น่าจะเป็นเพราะปริมาณยาที่มีไม่มากพอ ผู้อาวุโสไป๋เย่จึงฟื้นตัวได้เพียงเล็กน้อย แต่จากสภาพที่เป็นอยู่ ก็เห็นได้ชัดว่าน้ำนั้นมีอานุภาพในการรักษาอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายได้จริงๆ ขอแค่พวกเขาได้มันมาในปริมาณมากพอ ก็มีความเป็นไปได้ที่ผู้อาวุโสไป๋เย่จะฟื้นคืนสภาพจากอาการบาดเจ็บอย่างสมบูรณ์…อาการบาดเจ็บที่ทำให้บรรดานายแพทย์ในสำนักพากันอับจนหนทาง!


“ฉันเองก็คิดว่ามันอาจเป็นการหลอกลวง…จึงซื้อมาเพียงขวดเดียวเพื่อลองดู…” ไป๋เหรินชิงหน้าแดงก่ำ


“ไม่ใช่การหลอกลวงแน่ มันคือน้ำทิพย์สวรรค์จริงๆ…สมชื่อของมัน เร็วเข้า พาผมไปที่นั่นที!” ไป๋เฟิงเร่ง “เราต้องซื้อมันมาให้มากที่สุด เหมาหมดเลยก็ได้ ถ้าได้มันมาในปริมาณมากพอ นายท่านจะต้องหายดีแน่!”


“ดะ-ได้! ไปกันเลย”


ท่าทีของไป๋เฟิงทำให้ไป๋เหรินชิงรู้ทันทีว่าคราวนี้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นจริงๆแล้ว เธอจึงรีบออกไปและกระโจนขึ้นขี่หลังอสูรบินได้


“แบบนั้นก็ช้าไป ผมพาคุณไปดีกว่า!”


ยังไม่ทันที่อสูรบินได้จะออกบิน เสียงของไป๋เฟิงก็ดังขึ้นกลางอากาศ จากนั้น ไป๋เหรินชิงก็รู้สึกว่าร่างของเธอลอยสูงขึ้นจากพื้นและพุ่งตรงไปยังตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายในด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง


เพียง 2-3 อึดใจก็มาถึงที่หมาย สิ่งแรกที่เธอทำหลังจากร่อนลงก็คือรีบตรงไปยังบริเวณที่เธอซื้อน้ำทิพย์นั้น แต่ทุกอย่างว่างเปล่า


ไป๋เหรินชิงตาโตด้วยความพรั่นพรึง เธอรีบหันไปถามพ่อค้าที่อยู่ใกล้ๆอย่างร้อนใจ “ผู้ที่ขายยาในขวดหยกที่ตั้งแผงอยู่ถัดจากคุณก่อนหน้านี้…เขาอยู่ที่ไหน?”


พ่อค้าผู้นั้นแสนจะพรั่นพรึงที่เห็นไดโนเสาร์ตัวเมียรีบร้อนกลับมา แถมยังพ่วงผู้อาวุโสที่บินได้คนหนึ่งมาด้วย! เขาค้อมตัวเล็กน้อยด้วยความหวาดกลัวขณะละล่ำละลัก “ขะ-เขาออกไปแล้ว…”


“คุณรู้ไหมว่าเขามาจากตระกูลไหน อยู่ภายใต้การดูแลของใคร?” ไป๋เหรินชิงซักไซ้


“ผมไม่รู้!” พ่อค้าตอบอย่างกระวนกระวาย “เขาเพิ่งมาถึงวันนี้เอง พวกเราจึงไม่ได้สนิทสนมกับเขามากนัก ถึงเขาจะขายยาปลอมให้คุณ แต่ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมนะ!”


“ใช่! ใช่แล้ว! พวกเราไม่รู้จักเขาเลย เรารู้ว่าเขาทำให้คุณขุ่นเคืองใจ จึงไม่ได้ขายของที่เขาต้องการให้เขาด้วยซ้ำ…”


“ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่คนดี…ถ้าเขากล้าเหยียบย่างเข้ามาในตลาดศิษย์ของสายตรงฝ่ายในอีกล่ะก็ ผมจะต้องสั่งสอนบทเรียนให้เขาแน่…”


พ่อค้าคนอื่นๆพยายามกันตัวเองออกจากชายหนุ่มที่มาเมื่อครู่นี้


พวกเขาจับตามองไป๋เหรินชิงตั้งแต่อีกฝ่ายมาถึงตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน จึงได้เห็นเธอซื้อยาปลอมนั่นจากชายหนุ่มที่มาเมื่อครู่ ในเมื่อไป๋เหรินชิงพรวดพราดกลับมาแบบนี้ ก็มีโอกาสสูงที่เธอจะรู้แล้วว่าตัวเองถูกหลอก และต้องรีบกลับมาเพื่อสั่งสอนบทเรียนให้ชายหนุ่มคนนั้น


เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากกันตัวเองให้ออกห่างจากหมอนั่น ก่อนจะต้องเดือดร้อนเพราะไดโนเสาร์ตัวเมียตัวนี้


เห็นทุกคนพูดถึงชายหนุ่มในแง่ร้าย ไป๋เหรินชิงจังงังไปครู่หนึ่ง เธอตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความงุนงงอย่างเห็นได้ชัด “พวกคุณพูดเรื่องอะไรน่ะ?”


“เขาไม่ได้ขายยาปลอมให้คุณหรอกหรือ?” พ่อค้าที่อยู่ใกล้กับเธอย้อนถาม


“ยาของเขาเป็นของจริง ฉันมาที่นี่เพื่อขอบคุณเขา และอยากจะซื้อเพิ่มอีก 2-3 ขวดด้วย” ไป๋เหรินชิงตอบ


“ยานั่นเป็นของจริง?”


พ่อค้าคนอื่นๆถึงกับจังงัง


แผงที่ตั้งขึ้นมาง่ายๆ แถมโอ้อวดแบบเลื่อนลอย…ขายของจริงหรือ?


“เขามาที่นี่เพื่อขายสินค้าของเขาไม่ใช่หรือไง? ทำไมถึงออกไปเร็วนัก?” ไป๋เหรินชิงถาม เธอรู้สึกได้ทันทีถึงความผิดปกติของทุกคนที่อยู่โดยรอบ จึงสำทับพร้อมกับขมวดคิ้ว “ฉันต้องการรู้ความจริงนะ พวกคุณคงรู้ดีว่าผลของการโกหกฉันคืออะไร”


“เอ่อ…เหตุผลที่เขามาขายยาที่นี่ก็เพื่อหาซื้อตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล แต่พวกเราคิดว่าเขาทำให้คุณขุ่นเคืองใจ จึงปฏิเสธที่จะขายตราสัญลักษณ์ให้เขาและเร่งให้เขารีบจากไป…”


“พวกคุณเร่งให้เขารีบจากไป?” ในที่สุดไป๋เหรินชิงก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าของเธอเคร่งเครียดทันที “เขาเป็นผู้มีพระคุณของท่านปู่ของฉันนะ แต่พวกคุณกล้าขับไล่เขาออกไป ในเมื่อเป็นอย่างนั้น…”


พลั่ก!


สมญานามไดโนเสาร์ตัวเมียของไป๋เหรินชิงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ทันทีที่เธอพบเรื่องที่ทำให้ขัดใจ ก็จะเปิดการโจมตีทันทีโดยไม่ลังเล…และการโจมตีของเธอก็ไร้ความปรานีด้วย


เพียงครู่เดียว พ่อค้าทุกคนที่อยู่ในตลาดของศิษย์สายตรงฝ่ายในก็ลงไปกองอยู่กับพื้น ต่างคนต่างครวญครางด้วยความเจ็บปวด


ไป๋เหรินชิงยืนเท้าสะเอว เธอคำรามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ไปหาตัวเขาให้พบเดี๋ยวนี้! ถ้าพวกคุณหาเขาไม่พบภายในคืนนี้ล่ะก็ ฉันจะซ้อมพวกคุณอีกรอบ อย่าคิดวิ่งหนีล่ะ เพราะไม่มีประโยชน์ ถ้าฉันจับตาดูใครไว้ล่ะก็ ผู้นั้นไม่มีทางหนีไปจากฉันได้!”


“….” ฝูงชน


นี่มันบ้าอะไร! พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่ายาที่ขายในร้านเน่าๆแบบนั้นจะเป็นของจริง?


พวกเขาทำผิดอะไรถึงต้องเจอเรื่องแบบนี้?


…..


ในตอนนั้น จางเซวียนก็กลับสู่ที่พัก


เขานำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่ได้จากเฉาเฉิงลี่ออกมาอันหนึ่งและหยดเลือดหยดหนึ่งลงไป จากนั้นก็เพ่งสมาธิเข้าไปในตราสัญลักษณ์อันนั้น


เพราะมีประสบการณ์ในการเปิดใช้งานตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมาแล้ว การเคลื่อนไหวของจางเซวียนจึงรวดเร็วและราบรื่นกว่าเดิม


หอนิรันดร์ที่นี่ไม่เหมือนกับหอนิรันดร์ในเมืองแสงดาว ไม่มีคำแนะนำจากปรมาจารย์ขงเมื่อเขาเข้าสู่หอนิรันดร์ของสำนักดาบเมฆเหิน จางเซวียนรีบตรวจสอบสภาวะร่างกาย และพบว่าระดับวรยุทธของเขาคือนักปราชญ์โบราณขั้น 1


เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนโล่งอก เขาไม่สามารถทำตัวให้คุ้นชินกับการที่ถูกลดระดับวรยุทธลงเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 1 เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในหอนิรันดร์ของเมืองแสงดาวได้ มีกระบวนท่ามากมายที่เขาไม่สามารถสำแดงออกไปเพราะขีดจำกัดของพละกำลังและความเร็ว จึงเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดไม่น้อย


เราจะเรียกตัวเองว่าเจ้าโลกไม่ได้แล้ว จางเซวียนคิด


เมื่อครั้งอยู่ที่หอนิรันดร์ในเมืองแสงดาว เขาตั้งสมญานามให้ตัวเองว่าเจ้าโลก และสู้กับหัวเจียงเหอและพรรคพวก จนตอนนี้ ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นกับคนอื่นๆคิดว่าตั้นเฉี่ยวเทียนคือเจ้าโลก จึงย่อมผิดปกติแน่หากชื่อนั้นปรากฏในเวลานี้


หากเขากล้าซ้อมท่านเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสด้วยชื่อเจ้าโลก คนพวกนั้นคงมาเคาะประตูที่พักของเขาในทันที!


ในเมื่อเป็นแค่สมญานามที่ใช้ในหอนิรันดร์ ก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ทำไมไม่สุ่มเลือกมาสักชื่อหนึ่ง? จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตกลงใจใช้สมญานามที่เขาพอใจ


เอาชื่อนี้ก็แล้วกัน ‘ผมน่ะถ่อมตัว’!


พูดกันตามตรง เขาออกจะเสียใจที่เคยใช้สมญานามเจ้าโลก


เมื่อไรก็ตามที่มีใครเรียกเขาด้วยสมญานามนั้น เขารู้สึกเหมือนทั้งเส้นผมและเส้นขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว มันออกจะน่าขยะแขยงไม่เบา!


แต่สำหรับชื่อใหม่, ผมน่ะถ่อมตัว ถือว่าเหมาะสมกับบุคลิกและนิสัยถ่อมเนื้อถ่อมตัวของเขามาก


หลังจากเลือกสมญานามได้แล้ว จางเซวียนก็เดินตรงไป เห็นพระราชวังขนาดใหญ่ปรากฏตรงหน้า มีป้ายใหญ่โตแขวนอยู่ เขียนว่า ‘สำนักดาบเมฆเหิน : หอนิรันดร์’


จางเซวียนผลักประตูและเดินเข้าไป ภาพความวุ่นวายที่ปรากฏตรงหน้าเขาถือว่าน่าทึ่งไม่น้อย ฝูงชนมากมายเดินคลาคล่ำอยู่บนถนน แทบทุกคนมีดาบเหน็บหลัง เขารู้สึกได้ถึงเจตจำนงเพลงดาบที่อบอวลอยู่ในอากาศ


ตอนที่ 1966 พนัน(1)

จางเซวียนเดินไปสอบถามข้อมูลเบื้องต้นจากผู้คนที่ผ่านไปมา


ก็เหมือนกับหอนิรันดร์ที่อื่นๆ วิธีที่รวดเร็วที่สุดในการจะได้เหรียญสำนักดาบมาก็คือต้องเข้าร่วมในสังเวียนประลอง เรื่องนี้ถือว่าเข้าทางของจางเซวียน


ดังนั้น สถานที่แห่งแรกที่เขามุ่งหน้าไปจึงเป็นสังเวียนประลอง


ในตอนนั้น ชายหนุ่ม 2 คนกำลังต่อสู้กันอยู่


เพราะทุกคนสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาได้ตามใจเมื่ออยู่ในหอนิรันดร์ จึงไม่มีทางบอกตัวตนที่แท้จริงของนักสู้ทั้ง 2 คนได้ ดังนั้น เพื่อให้ผู้ชมแยกแยะนักสู้แต่ละฝ่ายออกจากกันได้สะดวก ทั้งสองจึงสวมเสื้อผ้าที่มีสีต่างกัน คนหนึ่งสีเขียวและอีกคนสีขาว


ศิลปะเพลงดาบของชายหนุ่มชุดเขียวจัดว่าทรงพลังและเฉียบคม ยากที่จะเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ ส่วนศิลปะเพลงดาบของชายหนุ่มชุดขาวนั้นว่องไวมาก ทั้งยังแผ่วเบาและมีความยืดหยุ่น


แม้ศิลปะเพลงดาบของทั้งคู่จะต่างกันสุดขั้ว แต่พวกเขาก็สู้กันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ


“ไม่เลว!”


หลังจากดูได้สักครู่ จางเซวียนพยักหน้า


สมกับที่เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในของสำนักดาบเมฆเหิน ศิลปะเพลงดาบของพวกเขาอยู่ในระดับที่เหนือชั้นกว่าหัวเจียงเหอกับพรรคพวก ทั้งสองคนพบวิถีทางเพลงดาบของตัวเองแล้ว และทุกกระบวนท่าที่พวกเขาปลดปล่อยออกมาก็มีแนวคิดล้ำลึกอยู่เบื้องหลัง ถึงจะอายุยังน้อย แต่ก็มีบุคลิกของบรมครู


แม้แต่ศิลปะเพลงดาบของเซียนดาบชิงกับคนอื่นๆในทวีปแห่งปรมาจารย์ก็ไม่อาจเทียบชั้นกับทั้งสองได้


“พี่ชาย คุณสนใจจะพนันไหม?”


ขณะที่จางเซวียนกำลังศึกษากระบวนท่าของนักสู้ทั้งสองฝ่าย เสียงหนึ่งก็กระซิบกระซาบเข้าหู เขาหันไป เห็นชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาคนหนึ่งกำลังมองมาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์


รูปลักษณ์อวตารส่วนใหญ่ที่ปรากฏในหอนิรันดร์ล้วนแต่ผ่านกระบวนการขัดเกลาต่างๆมา จึงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่าทุกคนที่นี่ล้วนแต่มีหน้าตาสะสวยและหล่อเหลา แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาคนนี้ก็มีนัยน์ตาที่เป็นประกายหลุกหลิกเจ้าเล่ห์ ซึ่งทำให้ดูไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง


“พนันอย่างไรล่ะ?” จางเซวียนถาม


ในฐานะหนึ่งใน 6 สํานักใหญ่ สำนักดาบเมฆเหินให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของความเที่ยงธรรมและการอยู่ในกฎเกณฑ์ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่ทางสำนักจะอนุญาตให้ศิษย์สายตรงเข้าร่วมการพนันขันต่อใดๆ ดังนั้นจึงไม่มีการเปิดรับพนันอย่างเป็นทางการในการประลอง เป็นไปได้ว่าชายหนุ่มคนนี้น่าจะทำตัวเป็นเจ้ามือรับพนันแบบผิดกฎหมาย เพื่อหวังว่าจะได้เงินพิเศษ


“ง่ายนิดเดียว แต้มต่อของชายหนุ่มชุดเขียวคือ 1 ต่อ 1.5 ส่วนแต้มต่อของชายหนุ่มชุดขาวคือ 1 ต่อ 1.1 แต่ถ้าคุณแทงเสมอ แต้มต่อคือ 1 ต่อ 5” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาตอบ


“ทำไมแต้มต่อของชายหนุ่มชุดขาวถึงต่ำนักล่ะ?” จางเซวียนสงสัย


“เพราะเขามีโอกาสชนะมากกว่า เขาดวลมาแล้วถึง 300 ครั้ง และเอาชนะได้มากกว่า 200 ครั้งทีเดียว นั่นหมายความว่าศิลปะเพลงดาบของเขาไร้เทียมทาน!” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาตอบ “คุณอยากลองแทงสักตาไหม?”


“ได้สิ!” จางเซวียนมองคู่ต่อสู้ที่อยู่บนสังเวียนประลองก่อนจะยิ้มออกมา เขาชูสองนิ้วขึ้นและพูดว่า “ผมพนัน 20 เหรียญสำนักดาบว่าชายหนุ่มชุดเขียวชนะ”


“คุณจะพนัน 20 เหรียญสำนักดาบ?” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาอุทานด้วยความตกใจ นึกไม่ถึงว่าจู่ๆชายแปลกหน้าคนนี้จะทุ่มทุนก้อนโต


ก็เป็นอย่างที่จางเซวียนคิด ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาเป็นเจ้ามือรับพนันแบบผิดกฎหมาย แม้สำนักดาบเมฆเหินจะไม่อนุญาตให้ศิษย์สายตรงเล่นพนัน แต่การบังคับใช้กฎเกณฑ์ข้อนี้ก็ไม่ได้เข้มงวดนัก ตราบใดที่ไม่มีอะไรรั่วไหลออกไป ก็ไม่มีใครเข้ามายุ่งเกี่ยว


โดยทั่วไป การเปิดรับพนันจะไม่ใช้เงินก้อนโตนัก ตกราว 2-3 เหรียญสำนักดาบเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาได้เจอนักพนันหน้าใหม่ที่ทุ่มเงินถึง 20 เหรียญสำนักดาบในตาเดียว


จางเซวียนพยักหน้าอย่างสุขุมเพื่อยืนยัน


“ผมเตือนคุณไว้ก่อนนะว่าถอนคำพูดไม่ได้ ตกลงไหม?” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาพูดขณะชำเลืองมองสังเวียนประลอง


ในตอนนั้น ชายหนุ่มชุดขาวกำลังถือไพ่เหนือกว่า ด้วยการโจมตีอย่างไม่ลดละของเขา ชายหนุ่มชุดเขียวถูกบีบต้องให้ต้องล่าถอยไปครั้งแล้วครั้งเล่า


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาหัวเราะเบาๆ เขายื่นบัตรใบหนึ่งที่มีตัวเลข 20 จารึกอยู่บนนั้นออกมา “วางเงินของคุณมาก่อน เมื่อจบการดวล ถ้าคุณชนะ ก็รับบัตรใบนี้ไป แต่ถ้าคุณแพ้ บัตรนี้ก็จะไร้ประโยชน์”


“ได้!” จางเซวียนพยักหน้า


เขาเตรียมบัตรนิรันดร์ของเขาไว้เรียบร้อยแล้ว และใส่เงินจำนวน 20 เหรียญสำนักดาบไว้ในนั้นแล้วเช่นกัน ด้วยการเคาะเบาๆ เงิน 20 เหรียญก็ถูกยื่นให้ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทา


“ฮ่าาาา!”


เห็นมูลค่าของเงินในบัตรที่เพิ่มขึ้นมา 20 เหรียญสำนักดาบ ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทายิ้มอย่างลิงโลด ก่อนจะแหวกฝูงชนเพื่อหาที่นั่ง


ไม่ช้า สาวน้อยคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับเขาก็เดินเข้ามาถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”


“ผมเพิ่งพบไอ้งั่งคนหนึ่ง หมอนั่นพนัน 20 เหรียญสำนักดาบว่าเจ้าหนุ่มชุดเขียวจะชนะ” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทากระหยิ่มยิ้มย่อง


“20 เหรียญ? โง่สิ้นดี!” สาวน้อยหัวเราะลั่น “เจ้าหนุ่มชุดเขียวไม่มีทางชนะหรอก! ด้วยเครือข่ายข้อมูลข่าวสารของเรา เราพบว่าชายหนุ่มชุดขาวคือศิษย์พี่โม่เหอ ขณะที่ชายหนุ่มชุดเขียวคือศิษย์น้องหูเฉี่ยว ฝ่ายหลังเพิ่งเข้าร่วมสำนักได้ไม่ถึง 2 ปี จะเอาชนะศิษย์พี่โม่เหอได้อย่างไร?”


“จริงด้วย…20 เหรียญสำนักดาบเหนาะๆ!” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาคำรามเยาะ


แต่ในตอนนั้นเอง ขณะที่ชายหนุ่มชุดเขียวถูกบีบให้ถอยไปจนสุดขอบสังเวียนประลอง เขาก็พลัน เปลี่ยนกระบวนท่าและพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายพร้อมกับปลดปล่อยกระแสดาบฉีอันทรงพลังออกมา


พลั่ก!


การโจมตีอย่างฉับพลันนั้นทำให้ชายหนุ่มชุดขาวไม่ทันระวังตัว เขาถูกกระแทกอย่างจังเข้าที่หน้าอก


ด้วยสิ่งนี้ ชายหนุ่มชุดเขียวจึงเป็นผู้ชนะ!


“ฮะ…”


ทั้งคู่ที่กำลังยิ้มกริ่มเงียบกริบทันที


เกิดอะไรขึ้น…ทำไมชายหนุ่มชุดเขียวถึงเอาชนะได้?


เมื่อครู่นี้ยังตกเป็นเบี้ยล่างอยู่เลยไม่ใช่หรือ?


“ชายชุดเขียวรู้ดีว่าศิลปะเพลงดาบของเขาเทียบชั้นกับคู่ต่อสู้ไม่ได้ จึงแกล้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อหลอกให้ชายชุดขาวตายใจ ก่อนจะฉวยโอกาสโจมตี!”


“จริงด้วย การดวลที่นี่เป็นการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย ไม่ใช่แค่การประลองศิลปะเพลงดาบ ต่อให้คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็อาจถูกสังหารได้หากขาดความระมัดระวัง”


เสียงออกความคิดเห็นทำนองนี้ดังเซ็งแซ่


ผู้ชมล้วนแต่เป็นศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน และมองว่าการได้ชมการประลองถือเป็นการฝึกฝนรูปแบบหนึ่งเช่นกัน


เห็นได้ชัดว่าศิลปะเพลงดาบของชายหนุ่มชุดเขียวอ่อนด้อยกว่าชายหนุ่มชุดขาว แต่เขาคือผู้ที่ได้หัวเราะทีหลัง


ในการต่อสู้ของจริง ผู้ที่มีทักษะเพลงดาบเหนือชั้นกว่าอาจไม่ได้เป็นผู้ชนะเสมอไป ยังมีอีกหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง


“หมอนั่นแค่โชคดี!” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาพึมพำก่นด่า


มันเรื่องอะไรที่ไอ้งั่งคนหนึ่งคว้าเงินของเขาไปได้ง่ายๆแบบนี้?


คงเป็นโชคดีของมือใหม่ ไม่น่าเป็นเหตุผลอื่นไปได้!


“นี่ ผมขอรับเงินด้วย!”


ขณะที่ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทายังคงสาปแช่งอย่างโกรธเกรี้ยว ‘ไอ้งั่ง’ เมื่อครู่ก็เดินเข้ามาหาเขาและยื่นบัตรนิรันดร์ให้


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาจ้องหน้า ‘ไอ้งั่ง’ ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นเงิน 30 เหรียญให้อย่างไม่เต็มใจ


ในระหว่างนั้น ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเขียวกับเสื้อคลุมสีขาวต่างก็ลงจากสังเวียนประลอง มีนักสู้คู่ใหม่ เข้าประจำตำแหน่ง


นัยน์ตาของชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาเป็นประกายวาบขณะตั้งคำถาม “คุณจะพนันอีกสักตาไหม?”


โชคดีอาจเป็นของคนๆหนึ่งได้เพียงหนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น แต่ท้ายที่สุด สิ่งที่เป็นตัวกำหนดว่าใครจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายคือแต้มต่อ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมถึงเกิดการล้มละลายขายบ้านกันบ่อยครั้งในบ่อนการพนัน


“ได้สิ” จางเซวียนพยักหน้า


เขาเพิ่งมาถึงที่นี่ได้เพียงนาทีเดียว ยังไม่ทันจะได้กระดิกนิ้ว ก็ทำเงินได้ 10 เหรียญสำนักดาบแล้ว ในเมื่อมาเจอวิธีหาเงินแบบง่ายๆเข้าโดยบังเอิญ ก็ไม่มีทางที่เขาจะหยุดอยู่แค่ 10 เหรียญแน่!


“ได้เลย คราวนี้เราต่างคนต่างแทง เพื่อจะได้ยุติธรรมขึ้น” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทามองสังเวียนประลองที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะตั้งข้อสังเกตด้วยรอยยิ้ม “ขอผมดูก่อนนะ…ผมขอแทงว่าชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำจะชนะ!”


“ถ้าอย่างนั้น ผมขอแทง 30 เหรียญสำนักดาบว่าสาวน้อยเสื้อคลุมสีขาวจะชนะ!” จางเซวียนทุ่มหมดหน้าตักโดยไม่ลังเล


“ผมแทง 30 เหรียญเหมือนกัน!” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาตอบ


เขานึกเย้ยหยันจางเซวียนอยู่ในใจว่าหมอนี่แสนจะโง่เง่า ในฐานะเจ้ามือของสังเวียนประลอง เขามีเครือข่ายข้อมูลข่าวสารกว้างขวางที่ทำให้รู้ตัวตนของผู้ที่เข้าสู่สังเวียนประลองอยู่บ่อยๆ


สำหรับคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายที่เพิ่งขึ้นสู่สังเวียนนั้น ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำคือศิษย์พี่โจวว ขณะที่สาวน้อยเสื้อคลุมสีขาวคือศิษย์พี่หวัง


ทั้งคู่เคยดวลกันมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งศิษย์พี่โจวก็เอาชนะศิษย์พี่หวังได้บ่อยครั้งกว่า


ไม่นานหลังจากทั้งสองตัดสินใจเสร็จสิ้น การดวลก็เริ่ม


เป็นอย่างที่ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาคาดการณ์ไว้ ศิษย์พี่โจวเป็นฝ่ายรุกตั้งแต่แรก ทุกการโจมตีของเขาแม่นยำและเฉียบคม สร้างความกดดันหนักหน่วงให้ศิษย์พี่หวัง ในที่สุด ฝ่ายหลังก็ถูกบีบให้ล่าถอยครั้งแล้วครั้งเล่า ดูเหมือนเธอไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เลย


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาชำเลืองมองจางเซวียนและคำรามเยาะในใจ ฮ่า…รอดูไปเถอะ เดี๋ยวคุณก็หมดตัว!


ดูเหมือนเขาน่าจะเรียก 10 เหรียญที่เสียไปเมื่อครู่กลับคืนมาได้ แถมยังได้กำไรอย่างงามด้วย


ที่สังเวียนประลอง การดวลดำเนินไปจนถึงจุดที่ศิษย์พี่หวังในเสื้อคลุมสีขาวถอยไปจนสุดขอบสังเวียน ดูเหมือนเธอพร้อมจะร่วงลงมาได้ทุกขณะ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงท่วงท่าอย่างปุบปับ เธอก็หลบไปด้านข้างได้ทันท่วงทีราวกับเสือดาวผู้ว่องไว


กระบวนท่านี้ทำให้การโจมตีของศิษย์พี่โจวในเสื้อคลุมสีดำไม่เป็นผล การโจมตีครั้งนี้หนักหน่วงมาก เพราะเขาตั้งใจจะจบการดวลให้สำเร็จเสร็จสิ้น แต่เมื่อมันพลาดเป้า จึงกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ เมื่อรู้ตัวแล้วว่ากลายเป็นเป้านิ่ง ศิษย์พี่โจวรีบยับยั้งการเคลื่อนไหวและพยายามถอยเพื่อเรียกความสมดุลกลับมา


แต่โชคร้ายที่ยังไม่ทันจะได้ทำแบบนั้น ดาบเล่มหนึ่งก็จ่ออยู่ที่ลำคอของเขา


ด้วยเหตุนี้ ศิษย์พี่โจวในเสื้อคลุมสีดำจึงเป็นฝ่ายแพ้!


“ขอโทษเถอะ แต่ผมคิดว่าตานี้ผมก็ชนะ!” จางเซวียนพูดพร้อมกับหัวเราะหึๆ


ตอนที่ 1967 พนัน(2)

เมื่อแพ้ 2 ตาติดต่อกัน ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาอ้าปากค้าง แม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ยื่นเงิน 30 เหรียญสำนักดาบให้จางเซวียน


ที่หอนิรันดร์ของสำนักดาบเมฆเหินมีการดวลเกิดขึ้นเสมอ ทันทีที่การดวลครั้งก่อนเสร็จสิ้น นักสู้คู่ใหม่ก็จะปรากฏตัวบนสังเวียนทันที


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองหน้าจางเซวียนอีกครั้ง


“คุณกล้าพนันต่อไหม?”


เรื่องจริงก็คือโดยปกติเขาทำเงินได้มากมายจากการพนันขันต่อเหล่านี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องสูญเสียหนัก


“แน่นอน! คราวนี้ผมควรเป็นฝ่ายได้เลือกก่อน ถูกไหม?” จางเซวียนถามยิ้มๆ


“เชิญ” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาพยักหน้า


“ผมแทงว่าชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวคนนั้นจะชนะ…พนัน 60 เหรียญสำนักดาบ!” จางเซวียนพูดขณะมองไปที่สังเวียนประลอง


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาเหลือบมองสังเวียนประลองก่อนพยักหน้ารับ “ได้ ผมแทงเจ้าหนุ่มเสื้อคลุมสีดำก็แล้วกัน!”


คราวนี้เขารู้จักคู่ต่อสู้บนสังเวียนเพียงฝ่ายเดียว คือชายหนุ่มเสื้อคลุมสีดำ, ศิษย์พี่ตู้ ส่วนชายเสื้อคลุมสีขาวนั้นเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร


แต่ก็เป็นที่รู้กันในสำนักดาบเมฆเหินว่าศิลปะเพลงดาบของศิษย์พี่ตู้นั้นไร้เทียมทาน มีศิษย์สายตรงฝ่ายในเพียง 10 คนเท่านั้นที่เทียบชั้นกับอีกฝ่ายได้ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวเป็นใคร แต่ก็ไม่น่าจะเป็น 1 ใน 10 คนนั้น ด้วยเหตุนี้ ชัยชนะของศิษย์พี่ตู้จึงเป็นอันรับประกันได้!


สองฝ่ายเริ่มปะทะกัน ไม่ช้าการต่อสู้ก็จบลง


เป็นอย่างที่อีกฝ่ายคาดไว้ ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวเป็นผู้ชนะ ศิษย์พี่ตู้พ่ายแพ้!


“เฮ้ย…เป็นแบบนี้ได้ไง?”


เมื่อแพ้ถึง 3 ตาติดต่อกัน ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาเริ่มตื่นตระหนก


หลายปีที่ผ่านมา เขาทำเงินจากการพนันขันต่อได้ไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจเสียเงินมากขนาดนี้ได้!


จางเซวียนมองความปั่นป่วนของชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาครู่หนึ่งก่อนจะถามยิ้มๆ “พนันต่อไหม?”


“คือ…”


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทามองสังเวียนประลองอีกครั้ง นักสู้คู่ใหม่ขึ้นไปอยู่บนสังเวียนแล้ว แต่คราวนี้เขาไม่มีทีท่าผ่อนคลายเหมือนเดิม แผ่นหลังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ


เขาแพ้ถึง 3 ตาติดกัน เป็นเงินถึง 100 เหรียญสำนักดาบแล้ว ไม่อาจเสียเงินมากกว่านี้ได้อีก


แต่ถ้าเขาไม่พนันต่อ ก็จะต้องเสียทั้ง 100 เหรียญสำนักดาบนี้ไป นั่นเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้เช่นกัน!


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาคิดไม่ตก ก่อนในที่สุดจะกัดฟันและตัดสินใจเด็ดขาด “ก็ได้ ผมจะพนันกับคุณอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมเลือกก่อนนะ!”


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาไม่รู้ตัวว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อของยุทธวิธีการพนันแบบที่เขาใช้อยู่บ่อยๆ


ยิ่งใครคนหนึ่งสูญเสียมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกระเสือกกระสนอยากชดเชยความเสียหายของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ส่วนลึกในหัวใจจะบอกว่าในเมื่อเสียไปมากแล้ว ก็ถึงเวลาเอาคืน แต่ความคิดแบบนี้มีแต่จะฉุดผู้นั้นให้ดำดิ่งลงสู่ความสิ้นหวัง


“ตามสบาย!” จางเซวียนผายมืออย่างสุภาพบุรุษ


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาใคร่ครวญถ้วนถี่ก่อนจะพูดว่า “คราวนี้ผมเลือกเจ้าหนุ่มเสื้อคลุมสีขาว!”


ก็เหมือนกับคราวก่อน เขารู้จักคู่ต่อสู้บนสังเวียนประลองเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น และนั่นคือศิษย์น้องหลัวที่สวมเสื้อคลุมสีขาว


แม้จะอายุยังน้อย แต่ศิษย์น้องหลัวก็เป็นอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่อง เพิ่งเข้าสู่สำนักได้เพียง 2 ปี แต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในแล้ว ต่อให้ตัวเขาก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้ศิษย์น้องหลัว!


ถ้าใครสักคนจะมีโอกาสเอาชนะได้มากกว่า ก็จะต้องเป็นศิษย์น้องหลัวแน่นอน


“ในเมื่อคุณเลือกเจ้าหนุ่มเสื้อคลุมสีขาว ผมก็คิดว่า…” จางเซวียนมองคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจก่อนจะเอ่ยถาม “จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะแทงว่าการดวลครั้งนี้ออกมาเสมอกัน?”


“เสมอกัน?” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาถึงกับผงะ


การดวลในหอนิรันดร์ต่างจากการดวลในโลกของความเป็นจริงมาก ในโลกของความเป็นจริง เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บสาหัสหรือแม้แต่ความตาย คู่ต่อสู้สองฝ่ายที่มีพละกำลังทัดเทียมกันจึงมักจะเลือกลงเอยด้วยการเสมอ


แต่สำหรับหอนิรันดร์ ไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้น ด้วยเหตุนี้ เหล่านักรบจึงมักสู้กันจนหยดสุดท้าย บ่อยครั้งที่ลงเอยด้วยความตายของอีกฝ่าย


มีแต่ในสถานการณ์ที่พิเศษจริงๆเท่านั้นถึงจะเกิดการเสมอกันขึ้น


แต่หมอนี่กลับเลือกแทงเสมอทั้งที่มีความเป็นไปได้น้อยเต็มที สติสตังยังอยู่ดีหรือเปล่า?


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาพยายามหุบยิ้มแล้วย้อนถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คุณแน่ใจนะ?”


“ผมแน่ใจ แต่จะว่าไป ผมก็รู้ว่าโอกาสเสมอกันมีน้อยมาก เพราะฉะนั้น ผมขอแต้มต่อสูงขึ้นได้ไหม?” จางเซวียนถาม


“คุณพูดถูก โดยปกติ แต้มต่อของการแทงเสมอคือ 5 เท่า” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาตอบ


“เยี่ยม ถ้าอย่างนั้นผมแทง 120 เหรียญสำนักดาบ!” จางเซวียนพูด


ด้วยความกลัวว่าจางเซวียนจะคืนคำ ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทารีบตอบตกลง “ผมไม่มีปัญหา!”


การแทงเสมอไม่ต่างอะไรกับการยื่นเงินใส่มืออีกฝ่าย ในที่สุดเขาก็จะได้ชดเชยสิ่งที่เสียไปสักที!


ทันทีที่ทั้งคู่ตกลงกันได้ การดวลบนสังเวียนก็เริ่ม


ตั้งแต่ต้น เห็นได้ชัดว่าคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทาน กระแสดาบฉีแผ่ซ่านไปทั่วทั้งสังเวียนประลอง พร้อมจะฉีกกระชากอีกฝ่ายให้เป็นชิ้นๆอย่างไร้ความปรานี กระบวนท่าเพลงดาบอันงดงามถูกสำแดงออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เรียกเสียงเชียร์กึกก้องจากฝูงชนที่อยู่ด้านล่าง


ศิษย์น้องหลัวในเสื้อคลุมสีขาวจัดว่าเก่งกาจมาก การโจมตีของเขาดุดันราวกับอสูรร้าย แต่คู่ต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้าก็ไม่ได้อ่อนแอ แม้การต้องรับมือกับการโจมตีอย่างไม่ลดละของศิษย์น้องหลัวจะทำให้เขาซวนเซไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้รับบาดเจ็บแม้เวลาจะผ่านไประยะหนึ่งแล้ว


ทั้งคู่แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันอย่างนั้นกว่า 300 ครั้ง แต่ก็ไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ


“ศิษย์น้องหลัว คุณทำได้น่ะ!”


ขณะที่การต่อสู้ยืดเยื้อออกไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาก็เริ่มจะตื่นตระหนก แผ่นหลังของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่ออีกครั้ง


การดวลยืดเยื้อยาวนานแบบนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย บางทีอาจมีแค่เดือนละหนเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าเขาจะโชคดีถึงขนาดมาเจอกับการดวลแบบนี้ในช่วงเวลาที่กำลังเข้าตาจน?


นักสู้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอีกกว่า 100 ครั้ง แต่ก็ไม่มีใครได้เปรียบอย่างชัดเจน ถ้าจะมี ก็ดูเหมือนพวกเขาทำได้แค่บั่นทอนพละกำลังของอีกฝ่ายเท่านั้น


ในที่สุด ศิษย์น้องหลัวในเสื้อคลุมสีขาวก็กระโจนถอยไปและพูดว่า “สหาย ผมยอมรับว่าศิลปะเพลงดาบของคุณไม่ธรรมดา คุณได้รับความชื่นชมจากผม แต่ผมไม่คิดว่าการที่เราดวลกันต่อไปเรื่อยๆแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร ต่อให้ใครคนหนึ่งได้ชัยชนะ ก็ชนะแบบไม่สง่างาม ทำไมเราไม่ เสมอกันในวันนี้ แล้วค่อยมาดวลกันใหม่วันหลังล่ะ?”


อีกฝ่ายพยักหน้ารับ “ผมก็คิดแบบนั้นแหละ!”


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทารู้สึกเหมือนโลกรอบตัวเขามืดมิด แทบลมจับตรงนั้น


เขามาเจอการดวลแบบไม่ธรรมดาเข้า และนั่นก็จำเพาะเจาะจงจะต้องเป็นการดวลนัดที่เขาพนันกับอีกคนหนึ่งเสียด้วย


“ไม่น่ะ ดูเหมือนผมจะชนะอีกแล้ว” จางเซวียนชำเลืองมองชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทา


แน่นอนว่าเหตุผลที่เขาชนะไม่ใช่แค่ความสามารถในการหยั่งรู้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขาใช้หอสมุดเทียบฟ้า หอสมุดเทียบฟ้าทำให้จางเซวียนมองทะลุทั้งศิลปะเพลงดาบ สภาวะจิต และเทคนิคการต่อสู้ที่คู่ต่อสู้แต่ละฝ่ายได้ฝึกฝน


ในเมื่อทุกคนมีระดับวรยุทธเท่ากัน ความเหลื่อมล้ำของความแข็งแกร่งของสภาวะจิตและเทคนิคการต่อสู้จึงส่งผลให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แต่ละคนสำแดงออกมาแตกต่างกันมาก


ก็เพราะข้อมูลดังกล่าวที่ทำให้จางเซวียนตัดสินใจได้อย่างถูกต้องแม่นยำว่าใครจะเป็นผู้ชนะ และชนะพนันด้วย


“ผมแทงเสมอ ซึ่งก็อย่างที่คุณพูดไว้ เงินที่ได้จะเพิ่มเป็น 5 เท่า” จางเซวียนพูด “เพราะฉะนั้น คุณต้องจ่ายผมมา 600 เหรียญสำนักดาบ!”


“600 เหรียญสำนักดาบ?” ได้ยินคำนั้น ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาตัวแข็งด้วยความพรั่นพรึง


หมอนี่ต้องเป็นแฮกเกอร์แน่ๆ!


ไม่อย่างนั้น จะทำนายผลการดวลทุกนัดได้แม่นยำขนาดนี้ได้อย่างไร?


เขาทำเงินได้เสมอจากการเป็นเจ้ามือ แต่ใครจะไปรู้ว่าจะต้องสูญเสียเงินที่มีไปเกือบทั้งหมดภายใน 10 นาที…เรื่องนี้ทำให้เขาแทบบ้า!


10 ปีแล้วที่เขาได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน และได้สะสมเงินไว้จำนวนหนึ่งจากการปฏิบัติภารกิจต่างๆและการสวมบทบาทเป็นเจ้ามือรับพนัน แต่ถึงอย่างนั้น เงินเก็บของเขาก็ยังมีไม่ถึงพันเหรียญ ยังไม่ทันรู้ตัว ก็ต้องเสียมันไปเกือบหมดแล้ว!


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาหน้าตาเคร่งเครียดขณะกัดฟันพูด “ผมไม่มีเหรียญสำนักดาบอยู่กับตัวมากขนาดนั้นหรอก”


“คุณไม่มีเงินจ่าย? มันเป็นการพนันแบบแฟร์ๆนะ แต่คิดจะชักดาบหรือ?” จางเซวียนถามขณะที่รอยยิ้มของเขาค่อยๆจางหายไป


“ก็ใช่น่ะสิ! 600 เหรียญสำนักดาบน่ะ…ผมไม่จ่ายคุณหรอก แล้วคุณจะทำอะไรได้?” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาคำราม “คุณรู้หรือไงว่าผมคือใคร และจะหาตัวผมได้ที่ไหน?”


เพราะการพนันเป็นสิ่งต้องห้ามในสำนักดาบเมฆเหิน เขาจึงเปลี่ยนไปใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอีกอันหนึ่งเมื่อสวมบทบาทเจ้ามือ เว้นเสียแต่ศิษย์สายตรงอีกสองสามคนที่ทำงานร่วมกับเขา ก็ไม่มีใครรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นใคร


“เฮ้ออออ…..” จางเซวียนส่ายหน้าราวกับจะเยาะเย้ยความไร้เดียงสาของชายหนุ่ม


จากนั้น เขาก็เตะชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาโดยไม่ลังเล


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาถึงกับผงะ เขารีบไถลตัวไปด้านข้างเพื่อหลบการโจมตี นัยน์ตาของเขาฉายแววเคร่งเครียดออกมาขณะพูดว่า “คุณจะเล่นงานผมตรงนี้เลยหรือ? ลืมไปแล้วหรือไงว่าเราอยู่ในหอนิรันดร์? ต่อให้คุณฆ่าผม ทั้งหมดที่ผมจะเสียไปก็คือตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะทำอะไรที่นี่ มันก็ไม่ก่อให้เกิดความแตกต่างอะไรกับผมหรอก!”


“อย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังขณะมองหน้าชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทา “ผมคิดว่าผมจะไปขอเข้าพบผู้อาวุโสหานแห่งยอดเขาเมฆขาว แล้วแจ้งให้เขาทราบว่าศิษย์สายตรงคนหนึ่งภายใต้การดูแลของเขาเปิดบ่อนการพนันที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ขึ้นในหอนิรันดร์ จะว่าไป นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่เอาการนะ จริงไหม? คุณไม่คิดหรือว่าเขาจะรีบสอบสวนเรื่องนี้ทันที และเล่นงานเจ้างั่งอวดดีพวกนั้นที่กล้าฝ่าฝืนกฎของสำนัก?”


“ผมอยากรู้เหลือเกินว่าเขาจะทำอะไรกับเจ้างั่งพวกนั้น…อ้อ ในเมื่อคุณถามผม ผมก็คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ผู้อาวุโสหานจะขับเจ้างั่งอวดดีพวกนั้นออกจากสำนัก! คุณมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไรล่ะ, ศิษย์พี่จูเหยียนจื่อ?”


“คุณ…”


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทา, จูเหยียนจื่อ ถอยกรูดด้วยความหวาดกลัวราวกับเห็นปีศาจ ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว แผ่นหลังก็เปียกโชก


“คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นใคร?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)