กระบี่จงมา 196.1-197.2

 บทที่ 196.1 ข้าคือผู้ฝึกยุทธ์

โดย

ProjectZyphon

กระบี่น้อยสีเขียวมรกตที่อยู่กลางฝ่ามือมีชื่อว่า สืออู่ (สิบห้า)


ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็รู้สึกว่าชื่อนี้ตั้งได้อย่างไม่ใส่ใจยิ่งกว่าของเขาซะอีก


เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงลมปราณเย็นๆ ขุมหนึ่งที่แทรกซอนเข้าไปในกล้ามเนื้อ แต่หลังจากนั้นกลับรู้สึกอบอุ่น ทั่วร่างอุ่นสบายคล้ายกำลังอาบแดดในช่วงหน้าหนาว เฉินผิงอันสัมผัสได้ว่าปราณลี้ลับขุมนั้นว่ายวนไปตามเส้นชีพจรในร่างกาย ไหลผ่านช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่งไปอย่างเชื่องช้า สุดท้ายเลือกหยุดพักอยู่ในช่องโพรงที่ก่อนหน้านี้มีปราณกระบี่อยู่เส้นหนึ่ง แล้วผลุบหายเข้าไปข้างใน วนเวียนอยู่ใน ‘จวน’ ที่กว้างขวาง ขานรับกับช่องโพรงอีกแห่งหนึ่งที่ตัวอ่อนกระบี่สีเงินพักอยู่ไกลๆ


หยางเหล่าโถวที่พ่นควันเป็นวงกลมพยักหน้า “อยู่เหนือการคาดการณ์ของข้า กระบี่เล่มนี้ถือว่ามีวาสนากับเจ้า เดิมทีมันไม่ควรจะราบรื่นขนาดนี้ ข้ายังคิดว่าช่วยแล้วก็ช่วยให้ถึงที่สุด จะช่วยกำราบกระบี่บินเล่มนี้ไว้ในช่องโพรงแห่งใดหนึ่งของเจ้าก่อน หลังจากนั้นค่อยอาศัยความเด็ดเดี่ยวของเจ้าทำให้มันเชื่อฟังคำสั่ง”


ผู้เฒ่าจะโคจรวิชาอภินิหาร แต่พอเห็นว่ากระบี่บินเล่มนั้นเข้าไปอยู่ในช่องโพรงลมปราณของเฉินผิงอันอย่างว่าง่ายอ่อนโยนผิดปกติ เขาก็ถามขึ้นอย่างลังเล “อันที่จริงข้าค่อนข้างสงสัย มีคำถามจะถามเจ้าสองข้อ จะเต็มใจตอบหรือไม่ก็อยู่ที่เจ้า เฉินผิงอันเจ้าฝึกวิชาหมัดมานานขนาดนั้น แต่เพิ่งจะเหยียบไปบนธรณีประตูของขอบเขตสาม เจ้าร้อนใจหรือไม่? อีกอย่างก็คือขณะที่เจ้าฝึกวิชาหมัด เป็นเพราะมีความคิดอะไรผุดขึ้นมาหรือไม่ถึงทำให้เจ้ายืนหยัดจนถึงวันนี้?”


เฉินผิงอันตอบไปตามสัตย์จริง “ต้องร้อนใจอยู่แล้ว แต่ก็รู้ว่าร้อนใจไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะนี่ก็เหมือนกับการขึ้นรูปเผาเครื่องปั้น ยิ่งร้อนรนก็ยิ่งผิดพลาด ดังนั้นจึงไม่คิดให้วุ่นวายใจ บางครั้งหยุดความคิดไม่ได้จริงๆ ก็จะปล่อยหัวสมองตัวเองให้โล่งว่าง แล้วฝึกเดินนิ่งไปตามสัญชาตญาณ หรือไม่ก็หาสถานที่ที่มองเห็นได้กว้างไกลฝึกท่าเจี้ยนหลู หากยังไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะอ่านหนังสือ ฝึกคัดตัวอักษร ถ้ายังไม่ได้อีกข้าก็จนปัญญาแล้ว ปล่อยให้ตัวเองคิดวุ่นวายไปเรื่อยนั่นแหละ ยกตัวอย่างเช่นคิดว่าตอนนี้ตัวเองมีเงินเท่าไหร่…”


กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย


หยางเหล่าโถวพูดด้วยสีหน้าปกติ “พูดถึงคำถามข้อที่สองต่อสิ”


เฉินผิงอันยืดเอวตรงโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ได้คิดจะปิดบัง เพราะเดิมทีก็ไม่อยากปิดบังอะไรอยู่แล้ว ก็เหมือนกับคนยากจนบ้านมีแต่ผนังสี่ด้านคนหนึ่ง ที่เอาของที่มีค่ามากที่สุดในบ้านมาโอ้อวดด้วยความมั่นใจอย่างไร้เหตุผล “ตอนที่ข้าสู้กับคนอื่นบนแม่น้ำซิ่วฮวาก็ทำให้ยิ่งมั่นใจในเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเมื่อข้ารู้สึกว่าตัวเองทำถูก ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร ทุกครั้งที่ปล่อยหมัด ข้าก็ล้วนสามารถปล่อยได้ไวมาก! และมีแต่จะเร็วขึ้นในทุกครั้งหลังจากนั้น!”


หยางเหล่าโถวถาม “ไวมาก? ให้เจ้าต่อยหนึ่งหมื่นหมัด หนึ่งแสนหมัด เจ้าจะต่อยโดนชายเสื้อข้าหรือไม่?”


เฉินผิงอันไม่ย่อท้อแม้แต่น้อย เขาหลุดปากออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ “ข้าแข่งกับตัวเองก่อน ถามตัวเองแล้วไม่ละอายใจก็พอแล้ว หลังจากนั้นค่อยไปแข่งกับคนอื่น!”


หยางเหล่าโถวอืมรับหนึ่งที “คิดแบบนี้ สำหรับเจ้าแล้วก็ไม่ผิด”


หม่าขู่เสวียนที่เกิดมาในเมืองเล็กเช่นเดียวกันกลับเดินไปบนความสุดโต่งของทางอีกเส้นหนึ่ง เขาแสวงหาการเป็นผู้ที่อยู่เหนือคนนับหมื่น เป็นผู้นำของคนวัยเดียวกันอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่ว่าหม่าขู่เสวียนมั่นใจในตัวเองมากเกินไป แต่เป็นเพราะพรสวรรค์และฐานกระดูกของเขาล้วนดีเยี่ยม ถ้าไม่กล้าคิดแบบนี้ นั่นต่างหากถึงเป็นการย่ำยีสมบัติแห่งสวรรค์ สวรรค์ประทานให้เจ้า เจ้าไม่รับไว้ กลับกลายเป็นว่าจะถูกสวรรค์ลงโทษ


ส่วนเด็กหนุ่มตรอกยากจนที่เพิ่งจะปลดปิ่นหยกตรงหน้าผู้นี้น่าจะเดินไปบนอีกเส้นทางหนึ่ง มองแรกๆ ไม่สะดุดตา มองอีกทีก็ยังคงไม่โดดเด่น ไม่ว่าจะมองสักกี่ครั้ง อย่างมากสุดก็แค่รู้สึกว่าไม่เลว อันที่จริงเขาก็ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญาอะไรนัก ยังพอจะมีลูกเล่นอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นคนส่วนใหญ่ก็ไม่ให้ความสนใจเขาอีก


หยางเหล่าโถวกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าจะสอนคาถาควบคุม ‘สืออู่’ ให้เจ้าสองบท บทหนึ่งใช้หล่อเลี้ยงพลังกระบี่ให้อบอุ่น อีกบทหนึ่งใช้เปิดปิดวัตถุฟางชุ่น”


เฉินผิงอันถามล่วงหน้า “มีกระบี่บินสองเล่มอยู่ในกายเวลาเดียวกันจะมีปัญหาหรือไม่?”


หยางเหล่าโถวหลุดหัวเราะพรืด “หร่วนฉงก็มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มไม่ใช่หรือไง แล้วนี่ยังเป็นเพราะเขาแสวงหาวิถีแห่งการหลอมกระบี่ ถึงได้จำเป็นต้องสิ้นเปลืองสมบัติวิเศษจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องแบ่งสมาธิบางส่วนให้กับเรื่องส่วนตัว หาไม่แล้วด้วยพรสวรรค์และสมบัติของเขา หากจะเลี้ยงกระบี่อีกสองเล่มก็ยังไม่เป็นปัญหา กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตต้องดูที่โชควาสนา หากยังไม่ถึงเวลา ผ่านไปหนึ่งร้อยปีก็ยังไม่อาจได้มาครอบครอง แต่หากถึงเวลา จะขวางก็ยังขวางไม่อยู่ เพียงแต่วัตถุอย่างกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตนี้ ไม่ใช่กำลังทหารในสนามรบที่มีมากแล้วจะยิ่งดี ขอบเขตที่ผู้ฝึกกระบี่ปรารถนาแม้แต่ในยามหลับฝันเรียกว่า หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคม ทำไมถึงไม่พูดว่า ‘สองกระบี่สามกระบี่’? นั่นก็เพราะว่าสุดยอดผู้ฝึกกระบี่ที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง มีกระบี่บินที่รู้ใจแค่เล่มเดียวก็เพียงพอแล้ว มีมากไปกลับยิ่งจะกลายมาเป็นภาระ ส่วนเจ้าเฉินผิงอัน ฝึกวิชาหมัดก็เพื่อต่อชีวิต แต่จะฝึกกระบี่เพราะสาเหตุใด ข้าคร้านจะคาดเดา แต่พวกภูเขาและสมบัตินอกเหนือจากนั้นก็เหมือนเงินเหรียญทองแดงที่เจ้าหามาได้ หาเงินได้มาก ใส่ไว้ในกระเป๋าแล้วจะลำบากหรือ? เจ้าจะรู้สึกอย่างนั้นหรือไง?”


เฉินผิงอันเกาหัวพูดด้วยความรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย “พื้นที่ใน ‘สืออู่’ กว้างแค่ไหน สามารถใส่ของได้มากน้อยเท่าไหร่?”


หยางเหล่าโถวเอ่ยยิ้มๆ “กว้าง ยาวและสูงพอๆ กับกระบี่ไม้ไหวเล่มนั้นของเจ้า พอใช้ได้ ถือว่าดีกว่าวัตถุฟางชุ่นทั่วไปแล้ว ไม่อาจบรรจุภูเขาเงินภูเขาทองเป็นลูกๆ ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องให้เจ้าแบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่เดินไปทั่วยุทธภพ จำไว้ว่า ของที่มีชีวิต อย่าเอาไปใส่ไว้ในวัตถุฟางชุ่นเด็ดขาด ยกตัวอย่างเช่นชูอีตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้น หากถูกเจ้าจับยัดเข้าไปข้างใน จะไปทำลายกฎเกณฑ์บางอย่างของ ‘ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล’ และต้องแหลกสลายกลายเป็นผุยผง ถึงเวลานั้นเจ้าก็เสียใจไปเถอะ”


หลังจากนั้นหยางเหล่าโถวก็ถ่ายทอดคาถาสองบทให้เฉินผิงอัน พูดซ้ำอยู่สองรอบ เมื่อเฉินผิงอันจดจำได้ขึ้นใจแล้ว ผู้เฒ่าก็สูบยาพ่นควันขโมงลอยอวลต่ออีกครั้ง


ท่ามกลางความมืดมิด เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนได้สร้างสะพานไม้เชื่อมโยงเข้ากับกระบี่เล็กสีหยกมรกตที่อยู่ในช่องโพรงลมปราณ ทำให้สามารถพูดคุยกับมันได้ ความรู้สึกเช่นนี้มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยาย


ความคิดของเฉินผิงอันบังเกิด จิตวิญญาณสั่นสะท้านน้อยๆ กระบี่บินบินออกมาจากร่างเขาอย่างราบรื่นไม่มีสะดุดขัด แต่พอออกมาได้ มันกลับตรงเข้าหาหยางเหล่าโถวทันที หยางเหล่าโถวไม่แม้แต่จะกะพริบตา กระบี่บินเล่มจิ๋วสีเขียวแวววาวก็เหมือนชนเข้ากับกำแพงสูง ดีดกลับมาหาเฉินผิงอันอย่างมึนงง พริบตาเดียวก็กลับเข้าไปในช่องโพรงลมปราณอย่างรวดเร็ว คล้ายเด็กคนหนึ่งที่กำลังโมโห ไม่ว่าเสียงในหัวใจของเฉินผิงอันจะเรียกร้องหาอย่างไรก็ไม่ยอมสนใจ


เฉินผิงอันตกตะลึงและทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง


หยางเหล่าโถวรู้สึกว่าน่าขัน จึงเอ่ยเนิบช้าว่า “อดีตเจ้านายของสืออู่รุ่นที่ผ่านๆ มา มีใครบ้างที่ไม่ใช่บุคคลที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ มันไม่เคยเจอกับเจ้านายที่ทึ่มทื่อ ควบคุมกระบี่ได้ย่ำแย่อย่างเจ้า มันย่อมรู้สึกขายหน้า ก็เลยไม่อยากออกมาปรากฏตัวให้เห็น แต่ไม่เป็นไร ขอแค่ตั้งใจฝึกฝน วันหน้ารอให้ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม รอจนเจ้าได้รับการยอมรับจากมันอย่างแท้จริง เจ้าที่เป็นเจ้านายก็จะได้กุมอำนาจมากกว่าเดิม ต่อให้คิดจะทำให้มันร่างแหลกสลายหายไปจากโลกนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ถอนหายใจโล่งอก ขอแค่เป็นเรื่องที่ต้องก้มหน้าก้มตาทำแล้วจะได้ผลดียิ่งกว่าเดิม เฉินผิงอันก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น


สิ่งที่เขากลัวคือเรื่องที่ไม่ว่าตนจะขยันมากแค่ไหนก็ไม่อาจทำได้ดีมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นการเผาเครื่องปั้น


หยางเหล่าโถวพลันเอ่ยขึ้นว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมทั้งๆ ที่สืออู่รู้ว่าพรสวรรค์ของเจ้าธรรมดา แต่ก็ยังเต็มใจจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเจ้า? เพราะเจ้าคิดถึงคำว่า ‘เร็ว’ ที่มีความสำคัญอย่างถึงที่สุด มันคือคำที่เชื่อมโยงกับรากฐานแห่งปณิธานกระบี่ของสืออู่อย่างเป็นธรรมชาติ กระบี่บินอย่างสืออู่นี้ ก็คือเร็ว เร็วจนคู่ต่อสู้ทุกคนตั้งตัวไม่ทัน ช่วงชิงโอกาสของความได้เปรียบไว้ก่อน ผู้ที่ลงมือก่อนย่อมมิอาจทัดทาน”


เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง ขณะเดียวกันก็ไพล่นึกไปถึงตัวอ่อนกระบี่ที่ชื่อเดิมคือ ‘เสี่ยวเฟิงตู’ ก้อนนั้น การที่มันเกิดความขัดแย้งกับตน น่าจะเป็นเพราะตนยังไม่บรรลุถึงปณิธานกระบี่ของมัน


หยางเหล่าโถวโบกมือ “ช่วงนี้อย่าไปไหนส่งเดช รอฟังข่าวจากหร่วนฉงอย่างสงบ”


เฉินผิงอันจะพูด แต่ก็ไม่พูด


ผู้เฒ่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ของขวัญวันปีใหม่? ยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้าเต็มใจแหกกฎรับไว้หรือไม่ เอาแค่ว่าเจ้าจะหาของอะไรที่เข้าตาข้ามาได้? ถอยไปพูดอีกก้าว ต่อให้มันเข้าตาข้าจริง แล้วเจ้าจะเต็มใจให้หรือ? ไปๆๆ พูดธุระเสร็จแล้วก็รีบกลับไปรอที่ภูเขาลั่วพั่วซะ ส่วนทรัพย์สมบัติที่เจ้าทิ้งไว้ในร้านตีเหล็ก ข้าจะให้คนเอาไปส่งให้ ตอนนี้หากเจ้าไปปรากฏตัวแถวๆ เตาหลอมกระบี่ย่อมสะดุดสายตาเกินไป ไม่เหมาะสม”


เฉินผิงอันรู้นิสัยของผู้เฒ่าดี จึงไม่ได้อิดออด ลุกขึ้นได้ก็เดินออกไปจากร้านยาตระกูลหยาง


เพียงแต่ว่าเพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูของร้านยา เฉินผิงอันก็อดไม่ได้ที่จะหมุนตัวหันกลับไปมอง เดินผ่านห้องข้างก็เห็นว่าผู้เฒ่าที่พ่นควันโขมงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เฉินผิงอันจึงหันไปโค้งตัวคำนับผู้เฒ่า


หยางเหล่าโถวรับการคำนับไว้อย่างเต็มใจ


หลังจากเฉินผิงอันจากไปอีกครั้ง ผู้เฒ่าก็เคาะกระบอกยาสูบที่ตัวกระบอกทำจากท่อนไม้ไผ่สีเขียวออกเหลือง ความคิดล่องลอยไปไกล


ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนาน ผู้เฒ่าแอบทำการค้าแลกเปลี่ยนมานับครั้งไม่ถ้วน ต่อให้เป็นทุกวันนี้ เขาก็ยังคงไม่ค่อยเห็นดีในตัวเด็กหนุ่มผู้นั้นเท่าไหร่นัก คนบางคนชะตาชีวิตดีมากอย่างแท้จริง ดีจนสามารถใช้คำว่าวาสนาเทียมฟ้ามาบรรยายได้ และก็มักจะมีชีวิตที่ดีต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งชะตาร้ายมาเยือน ต่อให้ภูเขาปริพังแผ่นดินแตกแยก ก็ยังน่าชื่นชมน่าสรรเสริญ ทว่าคนที่ชะตายากไร้ก็ยากที่จะเงยหน้าอ้าปากได้ ชีวิตเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เดี๋ยวลงเดี๋ยวขึ้น คิดจะเดินขึ้นไปยังจุดสูงนั้นช่างยากยิ่ง ง่ายนักที่จะถูกพวกลูกรักแห่งสวรรค์ทิ้งระยะห่าง ได้แต่เดินก้มหน้าก้มตากินฝุ่นดินด้านหลังคนอื่น


ในสายตาของผู้เฒ่า เฉินผิงอันก็เหมือนหญ้าป่าต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ข้างไร่นา ถูกเหยียบย่ำครั้งแล้วครั้งเล่าท่ามกลางพายุฝน กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดไปวันๆ แม้แต่หมาสักตัวก็ยังไม่อยากฉี่ใส่ เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน กลับให้บรรยากาศใหม่ๆ เหมือนวันปีใหม่


ดังนั้นหยางเหล่าโถวจึงเต็มใจที่จะปล่อยไปตามธรรมชาติ อีกทั้งยังไม่คิดมากที่จะลงเดิมพัน เดิมพันลงบนร่างของเด็กหนุ่มที่ตัวเองไม่เห็นดีด้วยมากที่สุด แค่เดิมพันเล็กๆ แพ้แล้วก็ไม่ส่งผลร้ายต่อตัวเอง ชนะก็เป็นความปิติยินดีที่เพิ่มขึ้นมา


ชะตาชีวิตดีก็สำเร็จได้ในรวดเดียว


ชะตายากแค้นก็มีกำลังช่วงสุดท้ายเพิ่มมากขึ้น


แต่หยางเหล่าโถวรู้ถึงแนวโน้มของสถานการณ์ส่วนใหญ่ บนโลกที่เต็มไปด้วยการแย่งชิง ร้อยสำนักประชันกัน ทุกหนแห่งมีแต่วีรบุรุษ จะเป็น ‘ปีแห่งความยิ่งใหญ่’ ที่เหล่าผู้มีพรสวรรค์กรูมารวมตัวกัน พันปีก็ยากจะพานพบ


บนเส้นทางการฝึกตน ช้าหนึ่งก้าวก็ช้าไปทุกก้าว เจ้าเฉินผิงอันช่างยากที่จะผงาดโดดเด่นได้จริงๆ


 —–


บทที่ 196.2 ข้าคือผู้ฝึกยุทธ์

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันเดินอยู่บนถนนเส้นเล็ก พูดพึมพำกับตัวเอง “สืออู่ ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เจ้าขายหน้า วันหน้าข้าจะต้องตั้งใจฝึกฝนคาถาควบคุมกระบี่ เจ้าจะได้ไม่ต้องอับอายใครอย่างวันนี้อีก”


เฉินผิงอันรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง


ในขณะที่คนอื่นมอบความหวังดีให้กับตน หากเขาไม่อาจทำอะไรได้เลยสักอย่าง มโนธรรมในใจของเฉินผิงอันก็ยากที่จะสงบ


กระบี่บินสีเขียวมรกตที่อยู่ในช่องโพรงลมปราณดีดเด้งเบาๆ ราวกับว่าอารมณ์ดีในชั่วพริบตา ให้อภัยกับความงุ่มง่ามในการควบคุมกระบี่ของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้อย่างใจกว้าง


เฉินผิงอันยิ้มอย่างอดไม่ได้ ในใจนึกเปรียบเทียบกับชูอีที่มีนิสัยก้าวร้าว เป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเหมือนกัน แต่สืออู่อ่อนโยนกว่ามากนัก


ผลกลับกลายเป็นว่าความคิดนี้ของเฉินผิงอันเพิ่งจะผุดขึ้น ตัวอ่อนกระบี่ชูอีก็ออกมาจากรังนอน ก่อคลื่นพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร ทำเอาเฉินผิงอันเจ็บปวดจนต้องงอตัวยืนอยู่ที่เดิม ก้าวไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว


สืออู่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึงบินสวบออกมาจากช่องโพรงลมปราณ ว่ายทะยานผ่านด่านสำคัญหลายด่านไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายมาหยุดลอยกลางอากาศอยู่ ‘หน้าประตูบ้าน’ ของชูอี ก่อนจะหมุนตัวเบาๆ คล้ายกำลังลังเลว่าควรจะเข้าไปทักทายอีกฝ่ายดีหรือไม่


เฉินผิงอันเดินได้อย่างปกติไม่ไหวจริงๆ จึงได้แต่ขยับเท้าอย่างยากลำบากไปนั่งลงบนขั้นบันไดตรงทางแยกของตรอก


คงจะเป็นเพราะถูกดึงดูดความสนใจจากกระบี่บินสืออู่ ตัวอ่อนกระบี่ชูอีจึงยอมปล่อยเฉินผิงอันไป


กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มเป็นดั่งหญิงสาวสองคนซึ่ง ‘แต่งงานให้กับชายไม่ดี’ ต่างฝ่ายต่างหยุดลอยอยู่ในและนอกประตูช่องโพรงลมปราณ ทั้งเหมือนคุมเชิงกันอย่างดุดัน แล้วก็เหมือนกำลังสองจิตสองใจว่าควรจะพบหน้ากันดีหรือไม่


เฉินผิงอันฉวยโอกาสช่องว่างนี้รีบหอบหายใจคำใหญ่ พักผ่อนเล็กน้อยแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปที่ตรอกฉีหลง เรียกเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูให้กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน


ชูอีไม่ยอมพบสืออู่


ทั้งคู่จึงแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์นัก


ระหว่างที่ขยับเข้าไปใกล้ภูเขาเจินจู ชูอีก็ออกฤทธิ์เล่นงานเฉินผิงอันอีกครั้ง ทำเอาเฉินผิงอันเกือบจะลงไปนอนกลิ้งบนพื้น ได้แต่กัดฟันแน่นนั่งยองลง เหงื่อไหลออกมาตามไขสันหลัง แทบจะตาพร่าหมดสติไป เฉินผิงอันได้แต่พยายามโคจรวิธีหายใจสิบแปดหยุด เนื่องด้วยตอนนี้ทลายคอขวดใหญ่ที่ขวางระหว่างหกและเจ็ดไปได้แล้ว ขณะที่เฉินผิงอันกำลังชักคะเย่ออยู่กับตัวอ่อนกระบี่จึงพอจะรักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้บ้าง แต่ค่าตอบแทนที่เขาต้องจ่ายไปก็คือต้องสัมผัสกับความเจ็บปวดมหาศาลที่มาจากการสั่นสะเทือนทั่วทุกเสี้ยวของจิตวิญญาณอย่างชัดเจน ความทรมานเช่นนี้ไม่เป็นรองความเจ็บปวดจากการถูกถลกหนัง หรือถูกแยกร่างออกเป็นชิ้นๆ เลย


สืออู่อยากจะลงมือเต็มแก่ แต่ก็ยังไม่ยอมออกมาจากที่พักพิงของตัวเอง ราวกับว่าหากยังตัดสินใจไม่ได้ก็จะเลือกที่จะดูไฟชายฝั่งก่อนชั่วคราว


รอจนชูอีกลับคืนสู่ความสงบด้วยความพึงพอใจ ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันก็เหมือนเพิ่งถูกงมขึ้นมาจากในน้ำ เดินกะโผลกกะเผลกไปด้านหน้าอีกครั้ง ท่าเดินนิ่งของเขาเดินอย่างโซซัดโซเซ ตัวโยกเอียงไปมา ทว่าแม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็ยังตระหนักไม่ได้ว่า ปณิธานแห่งหมัดที่มองไม่เห็นซึ่งไหลรินไปทั่วกายเขาเปลี่ยนมาเป็นเข้มข้นหนักแน่นมากกว่าเดิมแล้ว


กลางภูเขาลูกใหญ่มีผู้เฒ่าเปลือยเท้าสวมอาภรณ์ขาดวิ่น เส้นสายตาขุ่นมัวมองเห็นได้ไม่ชัดกำลังเดินโซเซเหมือนแมลงวันไร้หัวที่พุ่งชนไปทั่ว ปากก็พร่ำซ้ำคำเดิมๆ “อาจารย์ของฉานฉานล่ะ อาจารย์ของฉานฉานข้าล่ะ…”


ทันใดนั้นดวงตาของผู้เฒ่าวิปลาสก็พลันสว่างไสวขึ้นมาหลายส่วน หลังจากกวาดตามองไปรอบด้าน เขาก็ไม่ได้ทะยานร่างขึ้นกลางอากาศ ยิ่งไม่ได้บังคับลมโผบิน แต่สูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลับตาลงสำรวจทิศทางการเดินบนภูเขาอย่างละเอียด จากนั้นก็ก้าวออกไปหนึ่งก้าว แล้วก็มาโผล่ตรงหน้าคนทั้งสามโดยตรง ผู้เฒ่ามองไปยังเด็กหนุ่มที่ฝึกเดินนิ่งจนเหงื่อท่วมตัว ถามว่า “เจ้าชื่อเฉินผิงอันใช่หรือไม่?”


เฉินผิงอันเกร็งร่าง พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว ท่านผู้เฒ่ามาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”


เด็กชายชุดเขียวสีหน้าทึ่มทื่อ หมดอาลัยตายอยากอย่างสิ้นเชิง


อะไรกัน เดิมทีออกมาจากเมืองเล็กนึกว่าจะได้เป็นดั่งสกุณาที่โบยบินบนท้องนภากว้างไกล แต่นี่แค่เดินอยู่บนทางเล็กที่รกร้างในภูเขาก็เริ่มมีเทพเซียนตัวประหลาดที่สามารถต่อยตนให้ตายด้วยหมัดเดียวปรากฏตัวอีกแล้วหรือ?


ผู้เฒ่ารีบถามด้วยสีหน้าร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด “ชุยฉานฉานของข้า…ข้าคือปู่ของชุยฉาน ตอนนี้เจ้าคืออาจารย์ของเขารึ?”


เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ยิ่งระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม “ถือว่าใช่”


ผู้เฒ่าพูดรัวเร็ว “ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง? ได้ถูกคนรังแกหรือไม่?”


เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่ายากที่จะตอบคำถามข้อนี้ เพราะครั้งนั้นที่เดินทางไกล เด็กหนุ่มราชครูชุยฉาน หรือควรจะเรียกว่าชุยตงซานที่ไปอยู่สำนักศึกษาซานหยาไม่ได้มีชีวิตที่ดีเท่าไหร่นัก เฉินผิงอันไม่อยากโกหกผู้เฒ่าน่าเวทนาที่เรียกตัวเองว่าเป็นปู่ของชุยฉานผู้นี้ แต่ก็ไม่กล้าพูดความจริงอีก และจิตใต้สำนึกของเฉินผิงอันก็ทำให้เขารู้สึกว่าพลังอำนาจของผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คล้ายคลึงกับวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงอย่างมาก จุดที่ไม่เหมือนมีแค่ตบะของคนทั้งสองสูงต่ำไม่เท่ากัน ส่วนข้อที่ว่าวานรย้ายภูเขาตนนั้นจะมีตบะสูงกว่า หรือผู้เฒ่าตรงหน้าผู้นี้ที่มีตบะสูงกว่ากันแน่ เนื่องด้วยตบะของเฉินผิงอันยังต่ำเกินไปจึงมองตื้นลึกหนาบางอะไรไม่ออก


แค่ผู้เฒ่าขมวดคิ้วก็ทำให้เฉินผิงอันและเด็กน้อยทั้งสองรู้สึกกดดันหายใจไม่ออกกันแล้ว ผู้เฒ่าแค่นเสียงเย็น “แม้ว่าเจ้าจะเป็นอาจาร์ของหลานชายข้า ข้าควรจะให้ความเคารพเจ้า แต่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ยังไม่ถึงขอบเขตสามจะเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้หลานชายข้าได้อย่างไร?! วันหน้าเมื่อหลานข้าเจอปัญหา เจ้าที่เป็นอาจารย์ก็จะทำเพียงชมละครอยู่ไกลๆ เพราะทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านั้นน่ะหรือ?! ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาดเลย!”


สายตาของผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรกคมปลาบราวใบมีด เขาจ้องเฉินผิงอันเขม็ง “พาข้าไปยังสถานที่ที่เจ้าคิดว่าปลอดภัย ข้าจะช่วยเจ้าสักครั้ง”


ไม่รอให้เฉินผิงอันตอบรับ ผู้เฒ่าก็ขยับมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นิ้วทั้งห้าที่เป็นราวกับตะขอคว้าไหล่ของเขาเอาไว้ “รีบบอกมา! เวลาไม่คอยข้า ข้ามีสติแจ่มชัดมากที่สุดแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น อย่ามัวเสียเวลา!”


เฉินผิงอันมึนงงสับสนไปหมด


แต่แค่ผู้เฒ่าจับไหล่ก็ไม่เพียงแต่ทำให้เฉินผิงอันปวดร้าวไปทั้งห้องหัวใจ แม้แต่กระบี่บินอย่างชูอีและสืออู่ก็ยังสั่นสะเทือน ร้องครวญครางดังอื้ออึง จะอย่างไรซะพลังอำนาจที่พวกมันสามารถสำแดงออกมาได้ก็เกี่ยวพันกับตบะและขอบเขตของเฉินผิงอันอย่างใกล้ชิด ดังนั้นจึงไม่อาจห้ามปรามการบีบคั้นจากผู้เฒ่าไว้ได้เลย


เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็ไม่กล้าขยับ ไม่ใช่ว่าไม่อยาก แต่เป็นเพราะทำไม่ได้


เล่าลือกันว่าผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่เดินไปสู่จุดสูงสุด ยกตัวอย่างเช่นขอบเขตยอดเขาของขั้นที่เก้า พลังอำนาจจะมารวมตัวกัน แล้วปลดปล่อยออกไปข้างนอกดุจปราณกระบี่ที่ไหลทะลัก ใครก็มิอาจสกัดกั้น เพียงแค่เสียงคำรามอย่างเดือดดาลทีเดียวก็สามารถสะเทือนขวัญสั่นประสาทของศัตรูให้แหลกสลาย ไม่ว่าจะเป็นในยุทธภพหรือในสมรภูมิรบ ต่างก็มีให้เห็นได้ไม่ยาก


ผู้เฒ่าตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “รีบพูด! หากยังอึกๆ อักๆ ข้าผู้อาวุโสจะตัดแขนขาเจ้าให้ขาดด้วยหมัดเดียว ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะใช่อาจารย์ของหลานชายข้าหรือไม่!”


สายตาของเฉินผิงอันเด็ดเดี่ยว กัดฟันโคจรลมปราณ เตรียมพร้อมจะสู้ตายเพื่อช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งให้กับตัวเอง


ผู้เฒ่าประสานสายตากับเฉินผิงอันแล้วหัวเราะฮ่าๆ เขาปล่อยไหล่ของเด็กหนุ่ม ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “เจ้าเด็กน้อย พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่เลวๆ คือวัสดุที่ดีชิ้นหนึ่ง! หากไปตกอยู่ในมือของปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์เฮงซวยคนอื่น ต่อให้จะทุ่มเทแรงใจสลักกลึงเกลาเจ้าแค่ไหน เจ้าก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ แต่กับข้านั้นไม่เหมือนกัน!”


เว่ยป้อที่สวมชุดขาวพลิ้วกายล่องลอยดุจเซียนมาปรากฏอยู่บนทางภูเขา นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยกับเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่า “ไม่สู้พาผู้เฒ่าท่านนี้ไปที่เรือนไม้ไผ่ หากเจ้าตอบรับ ข้าจะนำทางให้”


ผู้เฒ่ามองไปทางเว่ยป้อ “โอ้โห ไม่เจอเทพภูเขาที่ร่างเป็นคนแต่การกระทำดุจสุนัขเช่นนี้มานานแล้ว น่าสนใจๆ รอให้เรี่ยวแรงของข้าผู้อาวุโสกลับคืนมาสักหน่อย มีโอกาสจะต้องแลกเปลี่ยนฝีมือกับเจ้าบ้างแล้ว”


เว่ยป้อกล่าวยิ้มๆ “ท่านผู้เฒ่าอย่าได้มาแลกเปลี่ยนฝีมือกับข้าเลย แค่ขัดเกลาขอบเขตวรยุทธ์ของอาจารย์หลานชายท่านให้ดีก็คงยุ่งมากพอแล้ว”


ใบหน้าผู้เฒ่าเต็มไปด้วยแววเหยาะหยัน “พูดเรื่องไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย พาข้าไปยังถิ่นของเฉินผิงอันที่เรียกว่าภูเขาลั่วพั่วอะไรนั่นซะ ข้ารู้ว่าที่นั่นมีสถานที่ที่เหมาะกับการลับมีด นำทาง!”


เว่ยป้อไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับพลังอำนาจที่บีบคั้นของผู้เฒ่าเลยแม้แต่น้อย เขายิ้มตาหยีพยักหน้ารับ ดีดนิ้วหนึ่งที แม่น้ำและภูเขาก็พลิกกลับ เพียงชั่วพริบตาคนทั้งกลุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่นอกเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว


เฉินผิงอันมองเว่ยป้อ ฝ่ายหลังพยักหน้าให้เบาๆ


ผู้เฒ่าคว้าไหล่ของเฉินผิงอัน กระโดดเบาๆ ทีเดียวก็ขึ้นมาที่ชั้นสอง เปิดประตูแล้วพาเด็กหนุ่มเข้าไปข้างใน ผู้เฒ่าเลิกคิ้ว หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน “เป็นสถานที่ที่ดี เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ! อย่างน้อยวันหนึ่งข้าก็สามารถมีสติแจ่มชัดได้เป็นชั่วยาม ไม่ด้อยไปกว่าถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเลย ในที่สุดก็พอจะมีมาดของอาจารย์ฉานฉานข้าสักที”


ผู้เฒ่าถอยหลังไปหลายก้าว “เฉินผิงอัน เจ้าทนรับความลำบากได้หรือไม่?”


เฉินผิงอันที่ประหลาดใจมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้พยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว “ทนได้”


ผู้เฒ่าถามอีก “รับความลำบากที่ยิ่งใหญ่ได้หรือไม่?”


เฉินผิงอันไม่กล้าตอบคำถามข้อนี้


ผู้เฒ่าไม่พอใจเล็กน้อย เขาผรุสวาทเสียงดัง “ทำตัวอย่างกะพวกผู้หญิง ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว! ไม่คล่องแคล่วเอาเสียเลย หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ข้าผู้อาวุโสไม่เต็มใจปรนนิบัติรับใช้หรอก!”


เฉินผิงอันบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่าสมองของผู้เฒ่าตรงหน้าผู้นี้ไม่ใคร่จะดีนัก ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ เขาอยากพูดอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไป


ผู้เฒ่าเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ตั้งท่าหมัดที่โบราณเรียบง่ายโดยมือหนึ่งกำหมัดค้างอยู่กลางอากาศ อีกมือหนึ่งกำหมัดแนบติดหน้าอก เรียบๆ ง่ายๆ แต่วินาทีนั้นพลังอำนาจของเขากลับน่าตะลึงอย่างยิ่ง


ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงหนัก “รับความลำบากในความลำบากได้ก็คือคนเหนือคน ผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเราต้องคิดหวังว่าจะเดินสู่เบื้องบน หากยังไม่ไปถึงยอดเขาก็ต้องทำตัวดั่งหมาเร่ร่อนที่ขุดหาอาหารข้างทางเพื่อให้มีชีวิตรอด! ต้องบอกกับตัวเองว่า ข้าต้องมีชีวิตอยู่อย่างสะใจ ต้องช่วงชิงมหามรรคากับฟ้าดิน! ช่วงชิงกับพวกเทพเซียนเฮงซวย! ช่วงชิงกับผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเดียวกัน! สุดท้ายยังต้องแข่งขันกับตัวเอง! ช่วงชิงลมหายใจเฮือกนั้นมาให้จงได้!”


“ยามที่พ่นลมหายใจเฮือกนี้ออกมา ต้องทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี! ต้องทำให้เทพเซียนคุกเข่าโขกหัวให้ ต้องให้ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนบนโลกรู้สึกว่าเจ้าก็คือท้องนภาที่อยู่เหนือสุดเบื้องบน!”


นาทีนั้นผู้เฒ่าที่สภาพทุเรศยิ่งกว่าขอทานกลับมีพลังอำนาจแกร่งกล้า สีหน้าเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอย่างหาสิ่งใดมาเทียบเทียมมิได้!


ดูเหมือนว่าผู้เฒ่ากำลังบอกหลักการข้อหนึ่งให้กับเด็กหนุ่มอย่างตรงไปตรงมา


คนตรงหน้าผู้นี้ ไร้ผู้ใดจะทัดเทียม!


—–


บทที่ 197.1 เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้ว

โดย

ProjectZyphon

ลมหายใจของเฉินผิงอันพลันหยุดชะงัก เหมือนกับตอนที่เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเจอกับจื้อกุย นี่ไม่เกี่ยวกับว่าขอบเขตสูงหรือต่ำ แต่ล้วนเป็นเพราะความกดดันอันหนักอึ้งที่มาจากพลังอำนาจของอีกฝ่ายอย่างเดียวเท่านั้น


คาดว่าแก่นแท้ของสองคำว่าเต็มตัวของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวนั้น ก็น่าจะอยู่ที่พลังซึ่งบริสุทธิ์เต็มที่ของพวกเขานั่นเอง


ซ่งจ่างจิ้งที่เคยอยู่ในที่ว่าการของเมืองเล็กแค่อยู่เฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไร ก็สามารถทำให้หลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตไม่ธรรมดารู้สึกเหมือนทุกกล้ามเนื้อกำลังถูกเข็มทิ่มแทงได้เช่นเดียวกัน


เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว


เฉินผิงอันเตรียมจะขยับตัว แต่คาดไม่ถึงว่าร่างทั้งร่างของเขาจะกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับผนังของเรือนไม้ไผ่อย่างแรง จากนั้นก็ทรุดฮวบลงบนพื้น ดิ้นรนอยู่สองทีก็ได้แต่นั่งพิงผนัง ไม่ว่าอย่างไรก็ลุกไม่ขึ้น มุมปากมีเลือดซึมออกมา


ผู้เฒ่าที่ถีบเข้าที่หน้าท้องของเฉินผิงอันยกสองมือกอดอก หลุบตาลงมองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่มีสภาพอเนจอนาถแล้วแค่นเสียงหัวเราะหยัน “คุมเชิงอยู่กับคนอื่นยังกล้าวอกแวก! รนหาที่ตายจริงๆ!”


เฉินผิงอันใช้มือเช็ดมุมปาก พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที ยืนอยู่ตรงกำแพงเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ


ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเรียบ “คนบนโลกกล่าวแค่ว่าวิถีวรยุทธ์มีเก้าขอบเขต ไม่เคยรู้ว่าเหนือขอบเขตเก้าขึ้นไปยังมีทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงธรณีของขอบเขตสาม และในความเป็นจริงแล้วรากฐานของขอบเขตสองเจ้าก็ถูกปูไว้ได้ธรรมดาอย่างยิ่ง หากข้าผู้อาวุโสไม่เผยกาย เจ้าที่แสวงหาการฝ่าทะลุขอบเขตที่รวดเร็ว เมื่อใดที่เลื่อนสู่ขอบเขตสาม เกรงว่าคงทำลายรากฐานความสำเร็จในขอบเขตเก้า เส้นทางของการฝึกยุทธ์ไม่มีที่ว่างสำหรับลูกเล่นจอมปลอมอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เจ้าทำลงไปก่อนหน้านี้นับว่าไม่เลว แต่ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าเพียงพอ! เพราะการแผ่ปราณในขอบเขตหนึ่งของเจ้าทำได้แย่ไปหน่อย!”


ลมหายใจของเฉินผิงอันเริ่มราบรื่นมากขึ้น จะอย่างไรแล้วก็เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เคยย่อท้อต่อการขัดเกลาร่างกาย รากฐานจึงถูกปูมาดี ต้องรู้ว่าคำว่า ‘ธรรมดา’ และคำว่า ‘ไม่เลว’ จากปากของผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นคำวิจารณ์ที่สูงมากแล้ว หากพวกผู้ฝึกยุทธ์ในโลกได้รับคำวิจารณ์เช่นนี้ เกรงว่าคงซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลเต็มหน้า


เฉินผิงอันยังไม่รู้เรื่องวงในที่ซับซ้อนเหล่านี้ จึงได้แต่พูดเสียงสั่น “น้อมรับการสั่งสอนแล้ว”


ผู้เฒ่าก้าวเดินออกมาหนึ่งก้าว ตลอดทั้งเรือนไม้ไผ่ก็สั่นตามไปด้วยเบาๆ ตัวอักษรมองไม่เห็นที่หลี่ซีเซิ่งเขียนไว้บนไม้ไผ่สีเขียวปรากฏให้เห็นเลือนๆ พร้อมประกายแสงบริสุทธิ์ที่ยากจะสังเกตเห็นไหลเวียนวน ประหนึ่งภาพที่ขวดแสงจันทร์ถูกเทลงบนธารน้ำในคืนนั้น สวยงามน่าประทับใจ


ความคิดของผู้เฒ่ากระตุก แต่ไม่ได้สนใจวัตถุภายนอกเหล่านี้ เขาจ้องเขม็งไปที่เฉินผิงอัน แล้วเปิดเผยความลับสวรรค์โดยตรง “ขอบเขตตัวอ่อนโคลนอยู่ที่ต้องตามหาลมปราณที่มีมาตั้งแต่เกิดเฮือกนั้นให้เจอ ก่อสร้างเค้าโครงกระท่อมแห่งวิถีวรยุทธ์ ลมปราณคือเสาคาน ลมปราณคือผนังสูง! แต่ก่อนที่จะทำให้สำเร็จในรวดเดียว จำเป็นต้องสลายลมปราณให้หมดสิ้นเสียก่อน กำจัดลมปราณสกปรกทั้งหมดที่สะสมมาหลังจากถือกำเนิด หรือแม้แต่ปราณวิญญาณในฟ้าดินก็ต้องถูกชำระล้างไปด้วย! ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว อะไรคือเต็มตัว เต็มตัวคือใช้ความแท้และบริสุทธิ์ที่มีมางัดข้อกับฟ้าดินโดยตรง! อย่าไปเลียนแบบพวกผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ถึงเวลาก็ได้แต่เป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ!”


เฉินผิงอันฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อีกอย่างลึกๆ ในใจก็ยังไม่เห็นด้วยกับคำพูดของผู้เฒ่าไปเสียหมด


มุมปากของผู้เฒ่ายกตวัดขึ้น ก่อนจะแค่นเสียงหยัน “ขอบเขตที่สองเรียกว่าขอบเขตครรภ์ไม้ ข้ากลับรู้สึกว่าเรียกขอบเขตเปิดภูเขาจะดียิ่งกว่า เทพเซียนบนภูเขา เทพเซียนบนภูเขา ผู้ฝึกยุทธ์ต้องใช้หนึ่งหมัดผ่าทลายภูเขาที่ว่านี้! ขอบเขตนี้ต้องฝึกฝนเส้นเอ็นและกระดูก หากวางรากฐานไว้ดี ความสำเร็จในอนาคตก็จะไม่แพ้ร่างวัชระมิพ่ายของลัทธิพุทธ หรือร่างแก้วผ่องแพ้วของลัทธิเต๋าเลย เพราะผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเราก็สามารถหล่อหลอมเรือนกายที่มั่นคงแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดได้เหมือนกัน ส่วนสำนักการทหาร เฮอๆ หัวมงกุฎท้ายมังกร วิธีที่ใช้ทั้งเหมือนโจรร้ายที่เป็นภัยต่อบ้านเมือง อีกทั้งยังเป็นทางลัด น่าขันอย่างถึงที่สุด!”


สำนักการทหารมีเส้นทางลัดที่เชื่อมโยงไปยังสวรรค์อยู่เส้นหนึ่งจริง นอกจากจะสามารถเชิญให้เทพลงมาจากภูเขา เชิญให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาสิงร่าง ยังสามารถเลี้ยงวิญญาณวีรบุรุษแห่งสนามรบไว้ในช่องโพรงลมปราณตัวเองได้ วิญญาณวีรบุรุษคือวิญญาณที่เกิดมาก็แข็งแกร่ง ตายไปแล้ววิญญาณยังไม่แหลกสลาย หากนักพรตผสานรวมจิตวิญญาณตัวเองเข้ากับมันได้สำเร็จ เรือนกายของพวกเขาก็จะเป็นเหมือนเตาหลอมยาของลัทธิเต๋าที่น้ำกับไฟผสมผสาน กลายเป็นอีกเส้นทางหนึ่ง เป็นวิธีการที่จะทำให้แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด แต่เมื่อออกมาจากปากของผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรกคนนี้ วิถีทางของสำนักการทหารกลับกลายเป็นว่าไม่มีค่าให้พูดถึง คำพูดของเขาช่างใหญ่โตจนน่าตกใจ


ผู้เฒ่ากระดิกนิ้วเรียกเฉินผิงอัน “มาๆๆ ข้าผู้อาวุโสจะกดขอบเขตให้อยู่ที่ขอบเขตสาม เจ้าออกแรงให้เต็มที่ สู้ให้สุดชีวิต หากทำให้ข้าผู้อาวุโสขยับได้ครึ่งก้าวก็จะถือว่าเจ้าชนะ!”


เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย


เขายังทำความเข้าใจกับสถานการณ์ไม่ได้ นับตั้งแต่ที่ผู้เฒ่าปรากฏตัวอย่างกะทันหัน บอกว่าตัวเองคือปู่ของชุยฉาน มาจนถึงตอนนี้ที่อยู่ดีๆ ก็เปิดฉากท้าตีท้าต่อย ทำเอาเฉินผิงอันมึนงงไปหมด ด้วยสถานะและตัวตนของชุยฉานในทุกวันนี้ จำเป็นต้องให้อาจารย์ที่ไร้ฝีมือไม่สมกับตำแหน่งอย่างเขาคุ้มครองด้วยหรือ? อีกอย่างผู้เฒ่าเองก็พูดแล้วว่า วิถีแห่งการฝึกยุทธ์ไม่มีทางลัดให้เดิน พรสวรรค์ของตนก็ย่ำแย่ขนาดนี้ ชีวิตนี้จะสามารถเดินไปสูงถึงครึ่งหนึ่งของชุยฉานหรือไม่ เฉินผิงอันยังไม่กล้าวาดหวัง ถ้าอย่างนั้นคำพูดของผู้เฒ่าก็ไม่เท่ากับว่าขัดแย้งกันเองหรอกหรือ?


ผู้เฒ่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “นิสัยอย่างเจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ จะตีกันก็ตีสักที ทำไม หรือยังต้องให้ข้าผู้อาวุโสคุกเข่าขอร้องให้เจ้าออกหมัดด้วย?”


ในที่สุดนิสัยด้านความดื้อรั้นดันทุรังของเฉินผิงอันก็เผยออกมาให้เห็น เขายังคงอยู่ในท่าป้องกัน ไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย


จุดลึกในดวงตาของผู้เฒ่าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างมองดูไม่ชัด “ข้าผู้อาวุโสถามเจ้าแค่คำเดียว ยังอยากจะเลื่อนสู่ขอบเขตสาม อีกทั้งยังเป็นขอบเขตสามหนึ่งเดียวในใต้หล้าอีกด้วยหรือไม่?!”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ตอบอย่างไม่ลังเล “อยาก!”


ผู้เฒ่าเบี่ยงศีรษะมาเล็กน้อย ยื่นนิ้วมือชี้ไปที่สมองของตัวเอง สีหน้าโอหังอย่างถึงที่สุด “ถ้าอย่างนั้นก็ต่อยมาตรงนี้! นิสัยเจ้าไม่ถูกใจข้าผู้อาวุโสเอาซะเลย แต่เห็นแก่ฉานฉาน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกหนึ่งครั้ง หากออกหมัดได้อย่างมีพลังอำนาจ ข้าก็จะช่วยเจ้า ให้เจ้าได้ไปสัมผัสกับขอบเขตสามที่แท้จริงกับตัวเองสักครั้ง”


เฉินผิงอันกล่าวเนิบช้า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะต่อยท่านจริงๆ แล้วนะ? เวลาใดที่ข้าออกหมัดไม่เคยออมมือ!”


ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง “พูดพล่ามให้มันน้อยๆ หน่อย นังหนูน้อย! บ้านเจ้ามีผีขี้ขลาดอย่างเจ้าได้ยังไงกันนะ? ในกางเกงมีไอ้จ้อนอยู่หรือเปล่า? พ่อแม่เจ้าก็ต้องเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวเหมือนกันสินะ?”


โทสะเดือดดาลบังเกิดขึ้นเต็มอกของเฉินผิงอัน


คนที่มองดูเหมือนจะใจอ่อนมีเมตตา ในพื้นที่หัวใจย่อมต้องมีจุดที่แข็งแกร่งปานเหล็กอยู่แห่งหนึ่ง ถึงทำให้เขาสามารถประคับประคองความดีงามที่มองดูเหมือนโง่เขลาท่ามกลางความยากลำบากของชีวิตไว้ได้


เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงก็เป็นเช่นนี้


การเดินทางไกลตลอดระยะทางนับพันนับหมื่นลี้ เขาฝึกวิชาหมัดทุกคืนวันไม่มีหยุดพัก


เฉินผิงอันก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวก็พลันระเบิดความเร็วที่น่าตะลึงออกมาในเสี้ยววินาที มาโผล่พรวดอยู่ตรงหน้าผู้เฒ่า ครั้นจึงเหวี่ยงหมัดต่อยเข้าที่หน้าผากของอีกฝ่าย


มองเหมือนว่าแค่หมัดเดียว แต่กลับเกิดเสียงปังๆ สองครั้งติด


แล้วชั่วขณะนั้นเฉินผิงอันก็ถอยกรูดไปด้านหลังหลายก้าว สองแขนตกลง ถอยแล้วถอยอีก


ที่แท้หลังจากหมัดแรกกระแทกเข้าที่หน้าผากของผู้เฒ่าแล้ว แรงสะท้อนกลับมหาศาลก็ทำให้แขนซ้ายของเฉินผิงอันปวดร้าว แต่พละกำลังอันดุเดือดของเขาก็ระเบิดออกมาในเวลาเดียวกัน มือขวาที่มีพละกำลังมากกว่าเดิมจึงกระแทกลงไปบนศีรษะของผู้เฒ่าติดๆ กัน


น่าเสียดายที่แม้จะปล่อยไปถึงสองหมัด แต่ผู้เฒ่ากลับไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน เขายืนหาวหวอดด้วยท่าทางเกียจคร้านน่าโมโหอย่างถึงที่สุด เห็นสภาพยากลำบากของเด็กหนุ่มที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว ผู้เฒ่าก็เอ่ยเย้ยหยัน “พละกำลังทั้งหมดของเจ้าแค่ทำให้ข้าคันเนี่ยนะ? ข้าผู้อาวุโสเป็นเมียของเจ้า หรือว่าเจ้าเป็นเมียข้าผู้อาวุโสดีล่ะ? ก่อนหน้านี้บอกว่าเจ้าเป็นหนูน้อยที่ไม่ได้เอาไอ้จ้อนมาด้วย ก็ไม่ผิดเลยจริงๆ หากข้าผู้อาวุโสเป็นพ่อแม่ของเจ้าคงโมโหตายไปแล้ว”


สีหน้าของเฉินผิงอันมืดทะมึน


“ทำไม พ่อแม่เจ้าตายไปแล้วรึ?”


ผู้เฒ่าร้องอ้อหนึ่งที แล้วแสร้งทำท่ากระจ่างแจ้ง “แบบนั้นก็ยิ่งดี เพราะพวกเขาต้องโมโหเจ้าจนฟื้นคืนชีพกลับมาแน่ๆ”


ท่ามกลางความเจ็บปวดรวดร้าว แขนทั้งสองข้างของเฉินผิงอันด้านชาจนไร้ความรู้สึกไปแล้ว แต่เขากลับยังก้าวเร็วๆ ไปข้างหน้า ครั้งนี้เขากระโดดขึ้นสูง บิดเอว เหวี่ยงขาฟาดเข้าที่ศีรษะซีกซ้ายของผู้เฒ่า นอกจากเสียงทึบอื้ออึงแล้ว ผู้เฒ่ายังคงไม่มีอะไรผิดปกติไปจากเดิม เฉินผิงอันอาศัยจังหวะที่ยังลอยตัวอยู่หมุนตัวกลางอากาศ เหวี่ยงเท้าที่สองใส่ศีรษะฝั่งขวาของผู้เฒ่า


ครั้งนี้พอร่างร่วงลงพื้นแล้ว ขาทั้งสองข้างของเฉินผิงอันก็พลันอ่อนยวบ ไหล่ทรุดไปข้างหนึ่ง ต้องพยายามอยู่หลายครั้งกว่าจะยืนได้มั่นคง


ผู้เฒ่าใช้สายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อนจ้องไปที่เด็กหนุ่มผู้มีสภาพกะปลกกะเปลี้ย ถามว่า “ในเมื่อขาซ้ายก็เจ็บมากพอแล้ว เหตุใดขาขวาที่ฟาดมาครั้งที่สองถึงยังออกแรงมากกว่าเดิม เจ้าไม่รู้จักเจ็บบ้างหรือไง?”


เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร หน้าของเขาขาวซีดราวหิมะ ไหล่กระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด ขาทั้งสองข้างคงบาดเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว


ผู้เฒ่าพยักหน้า “ดูท่านี่ก็คือคอขวดของเจ้าแล้ว ช่างทำให้คนผิดหวังซะจริง”


เฉินผิงอันกระโจนไปข้างหน้าเป็นครั้งที่สาม ใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวของหมัดเขย่าขุนเขารุดหน้า แม้ว่าความเร็วจะช้ากว่าสองครั้งก่อนไปหนึ่งจังหวะ แต่พลังอำนาจกลับไม่ลดน้อยลงเลย ผู้เฒ่าตะลึงเล็กน้อย แต่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมคล้ายกับกำลังตั้งตารอเงียบๆ


ฝึกเดินนิ่งมานับครั้งไม่ถ้วน ความศักดิ์สิทธิ์ของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาจึงผสานรวมเข้ากับจิตวิญญาณของเฉินผิงอันนานแล้ว ต่อให้ขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อเขาเริ่มเดินนิ่ง พลังอำนาจก็ยังคงดุดันกร้าวแกร่ง


หลังจากฝึกเดินนิ่งอย่างคุ้นเคยเสร็จ เด็กหนุ่มที่หน้าขาวเผือดแต่กลับมีปณิธานเด็ดเดี่ยวแตะปลายเท้าเบาๆ หนึ่งครั้ง ร่างกระโดดผลุงขึ้น ศีรษะเชิดสูง แล้วก็พลันก้มลงต่ำ กระแทกใส่หน้าผากของผู้เฒ่าอย่างแรง


เด็กหนุ่มผงะหงายไปด้านหลัง ร่างทั้งร่างหล่นลงบนพื้น หอบหายใจอย่างแรง ดวงตาเต็มไปด้วยความจนใจ


“คนฉลาดต้องรู้จักถอยเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก แต่เจ้ากลับห่างไกลจากความฉลาดนัก แต่ว่า! การที่เจ้าไม่ฉลาดนั้นก็ถูกต้องแล้ว คิดจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็ไม่ควรจะฉลาดเกินไปนัก เพราะคนฉลาดจะถูกความฉลาดชักนำไปในทางที่ผิด ด้วยเรื่องนี้ข้าผู้อาวุโสจะ…”


นัยน์ตาของผู้เฒ่ามีประกายแห่งความชื่นชมพุ่งผ่านไป จากนั้นเขาก็เดินหน้าไปช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ปากกล่าวว่า “มอบหนึ่งเท้าให้เจ้าเป็นรางวัล!”


เท้านี้พุ่งออกมาราวสายฟ้าแลบ แรงเหวี่ยงน้อยมาก แต่เตะเข้าที่จุดไท่หยางฝั่งหนึ่งของเฉินผิงอันที่นอนอยู่บนพื้นพอดี


เฉินผิงอันพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาสกัดกั้นเท้าที่พุ่งเข้ามาอย่างดุร้าย


สุดท้ายเขาต้องเอาแขนแนบกับหน้าผาก ร่างทั้งร่างถูกเท้านั้นถีบให้ไปกระแทกกับมุมผนัง ได้แต่นอนขดตัวอยู่ตรงนั้น ไม่มีจุดใดในร่างที่ไม่เจ็บปวด


ผู้เฒ่ายืนอยู่ที่เดิม เหยียดตามองเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารจากมุมสูง “ข้าเข้าใจรากฐานวิถีวรยุทธ์ของเจ้าอย่างชัดเจนแล้ว เมื่อครู่นี้เป็นแค่อาหารจานเล็กเรียกน้ำย่อยเท่านั้น จากนี้ไปต่างหากถึงจะเรียกว่าความลำบากของจริง เจ้าไปบอกกับคนข้างนอกก่อนว่า ช่วงนี้จงเตรียมน้ำไว้ถังใหญ่ๆ เตรียมยาบำรุงที่ดีที่สุด ยารักษาบาดแผลที่ดีที่สุด แน่นอนว่าให้ดีที่สุดก็ควรเตรียมโลงศพไว้ด้วยหนึ่งโลง ฮ่าๆ ข้าผู้อาวุโสกลัวว่าเจ้าจะคิดไม่ตกแล้วผูกคอตายไปเสียก่อน ก็ดีเหมือนกัน คราวนี้ทั้งครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้ากันในยมโลก”


เฉินผิงอันต้องพักถึงหนึ่งก้านธูปเต็มกว่าจะลุกขึ้นมาได้ เขาเดินกะเผลกๆ ออกไปนอกห้องได้อย่างยากลำบาก ตรงระเบียงนอกห้อง เขาเห็นเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่หันมามองหน้ากันเอง รวมไปถึงเทพเซียนชุดขาวที่ท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เว่ยป้อเห็นสภาพอเนจอนาถน่าสมเพชของเฉินผิงอันแล้วก็อดพูดกลั้วยิ้มไม่ได้ว่า “ข้าจะไปเตรียมถังยาชั้นดี รวมถึงยาวิเศษพวกยาทา ยาเม็ดเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเป็นห่วง ที่ร้านผ้าห่อบุญบนเขาหนิวเจี่ยวมีครบหมดทุกอย่าง ส่วนเรื่องเงิน ข้าจะสำรองให้เจ้าก่อนแล้วกัน มีเงินเมื่อไหร่ก็ค่อยคืนเมื่อนั้น ไม่รีบร้อน แต่เพื่อนก็ส่วนเพื่อน ธุรกิจก็ส่วนธุรกิจ อย่างไรก็ต้องมีการเก็บดอกเบี้ยกันบ้าง”


เฉินผิงอันเค้นรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ พยักหน้ารับ รอจนเว่ยป้อหายตัวไปแล้ว เขาก็นั่งแปะลงไปบนระเบียง หลังพิงผนัง


เด็กชายชุดเขียวถามเบาๆ “นายท่าน ฝึกวิชาหมัดลำบากหรือไม่?”


เฉินผิงอันนั่งหมดสภาพอยู่บนพื้น ร่างสั่นระริกเบาๆ อย่างห้ามไม่ได้ ตอบอย่างยากลำบากว่า “ลำบากจะตายอยู่แล้ว”


ตอนที่เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งยืนนิ่งท่ามกลางพายุหิมะ เด็กชายชุดเขียวเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด เขายังคิดว่าความทรมานที่เรือนกายผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองของเฉินผิงอันทนแบกรับเอาไว้ หากเป็นตนคงรับไม่ไหว ทรมานเกินไปแล้ว มันไม่ใช่ความเจ็บปวดเหมือนถูกคนตัดแขน เลือดทะลักทลายจนต้องแหกปากร้องไห้จ้าก แต่เป็นความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่เหมือนถูกมีดคมๆ แล่เนื้อเถือหนัง แค่หายใจสักครั้งก็เหมือนดื่มพายุลมกรด กินใบมีดเข้าไป


แต่นี่ขนาดเฉินผิงอันยังรู้สึกว่าลำบาก เด็กชายชุดเขียวก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่านั่นจะเป็นความทรมานแบบใดกันแน่


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหันหน้าเมินไปทางอื่น สะอื้นในลำคอเงียบๆ


ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ผู้เฒ่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องก็ลุกขึ้นยืน กล่าวเสียงหนัก “เฉินผิงอัน เริ่มฝึกหมัดได้แล้ว!”


เฉินผิงอันถอนหายใจ ผลักประตูเปิดแล้วเดินเข้าไปข้างใน เด็กชายชุดเขียวกลืนน้ำลาย ช่วยงับประตูปิดให้เบาๆ แม้แต่จะมองผู้เฒ่าร่างสกปรกสักครั้งก็ยังไม่กล้า


 —–


บทที่ 197.2 เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้ว

โดย

ProjectZyphon

หลังปิดประตูเรียบร้อยแล้ว เด็กชายชุดเขียวก็กระโดดไปนั่งบนราวระเบียงด้วยความกลัดกลุ้ม


คิดกับตัวเองว่าข้าวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในแม่น้ำอวี้เจียงมานานหลายร้อยปี เป็นบุคคลผู้เด่นดังที่คนทั้งแคว้นหวงถิงรู้จัก เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน สหายห้อมล้อมรอบกาย เหตุใดพอมาอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนที่ใหญ่แค่ก้นแห่งนี้ถึงได้ชนกำแพงไปทุกด้าน? (เปรียบเปรยว่าพบกับอุปสรรค ไม่ราบรื่น) ช่วงนี้นายท่านใหญ่อย่างข้าดวงตกไปหน่อยไหม? วันหน้าหากออกจากบ้านไปฉี่ จะฉี่กระเด็นไปโดนเทพเซียนบางท่านโดยไม่ทันระวังแล้วโดนคนเขาต่อยตายในหมัดเดียวหรือเปล่า?


นี่ไม่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของข้าผู้อาวุโสที่ว่า ย่ำเดินในยุทธภพเมื่อใดต้องเปิดฉากสังหารไปทั่วสารทิศเลย!


เด็กชายชุดเขียวหน้าตาบูดบึ้ง ใช้สองมือทุบราวระเบียงอย่างแรง หงุดหงิดเจียนบ้าแล้ว


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอยู่ชั้นล่างของเรือนไม้ไผ่ กำลังช่วยเว่ยป้อเทพภูเขาก่อไฟต้มยาถังใหญ่ กลิ่นหอมรวยรินโชยมาปะทะจมูก


ตัวยาในถังใหญ่ใบนี้ไม่แพง หากคิดเป็นเงินขาว เว่ยป้อก็ต้องจ่ายเงินประมาณแปดหมื่นตำลึงของต้าหลี


คนจนเรียนบุ๋น คนรวยเรียนบู๊ คำของคนโบราณไม่เคยโกหกจริงๆ


แน่นอนว่าผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ไม่มีทางทุ่มเงินมากมายอย่างเว่ยป้อ หาไม่แล้วต่อให้ฐานะทางบ้านจะเพียบพร้อมร่ำรวยแค่ไหนก็ต้องถูกควักเอามาใช้จนหมด


ในห้องบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ ผู้เฒ่าปรายตามองเด็กหนุ่มที่สีหน้ายังนับว่าดี “นอกจากข้าผู้อาวุโสจะช่วยสลายลมปราณให้เจ้าแล้ว ยังจะช่วยหล่อหลอมร่างกายและจิตวิญญาณให้เจ้าไปพร้อมๆ กัน ขอแค่เจ้ายืนหยัดให้ได้ถึงท้ายที่สุด ฝ่าทะลุจากขอบเขตสองสู่ขอบเขตสาม ดั่งน้ำไหลหลากเขื่อนก็สร้างเสร็จ (อุปมาว่าเงื่อนไขสุกงอม เงื่อนไขพร้อมจึงทำสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ) หากโชคดี เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”


หากโชคดี


ได้ยินประโยคนี้ เฉินผิงอันก็รู้สึกแล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน


ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “วันนี้ข้าผู้อาวุโสจะระวังในการออกแรงทุกครั้ง จะไม่ทำให้เจ้ารู้สึกยากลำบากเกินทนตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ถึงสุดท้ายแล้วรสชาติจะเป็นอย่างไร หึหึ ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะได้ลิ้มรสด้วยตัวเอง”


เฉินผิงอันเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่เป็นมงคลโดยพลัน


ผู้เฒ่าหุบยิ้ม จิตใจของเขาพลันเปลี่ยนมาเป็นเหมือนบ่อน้ำโบราณไร้คลื่น ตั้งท่าหมัดที่เรียบง่ายเก่าแก่ช้าๆ “ตอนที่ข้าผู้อาวุโสยังอายุน้อย ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศโดยที่ไม่เคยพกศาสตราวุธใด อาศัยแค่สองหมัดก็ตะลุยไปทั่วบนภูเขาและล่างภูเขา เคยมองฟ้าแล้วพยากรณ์เสียงสายฟ้าบอกเวลาฤดูใบไม้ผลิ! ในยุคบรรพกาลอันห่างไกล เทพสายฟ้าขับรถรัวกลอง ใช้สายฟ้าสยบสิ่งชั่วร้ายใต้หล้า เปลี่ยนความขุ่นมัวให้เป็นใสกระจ่าง”


ผู้เฒ่าสีหน้านิ่งเฉย “หลังจากสังเกตการณ์อยู่ครั้งหนึ่ง ข้าผู้อาวุโสก็เกิดการบรรลุตระหนักรู้ จึงสร้างกระบวนท่านี้ขึ้นมา ท่าที่มีชื่อว่าเทพตีกลองสายฟ้า!”


เฉินผิงอันตั้งใจฟังอย่างไม่ยอมให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว


เหตุผลนั้นง่ายมาก จะปล่อยให้ตัวเองทนรับความลำบากอย่างเสียเปล่าไม่ได้!


ผู้เฒ่ากล่าวเสียงเฉียบ “เจ้าหนูจงยืนให้มั่นคง ลองชิมสิบหมัดนี้ก่อน!”


ในห้องของเรือนไม้ไผ่พลันบังเกิดเสียงไม้ไผ่ระเบิดดังกังวานเป็นระลอก


สิบหมัดที่ปล่อยติดต่อกันทยอยกันกระแทกลงบนสิบจุดบนร่างของเฉินผิงอัน พละกำลังแทรกซอนเข้าไปในช่องโพรงลมปราณ เป็นเหตุให้ลมปราณในร่างเฉินผิงอันซัดกระเพื่อมไม่อยู่นิ่ง เหมือนไม้กวาดที่กวาดผ่านที่ใดฝุ่นผงก็คลุ้งตลบอบอวล


หลังเก็บหมัด ผู้เฒ่าก็คลี่ยิ้มประหลาด


ทีแรกเฉินผิงอันที่ทำใจสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้วยังแปลกใจอยู่บ้าง เพราะรู้สึกว่าผู้เฒ่าไม่ได้ออกหมัดหนักหน่วงนัก เมื่อต่อยลงบนร่างของตนก็อยู่ในระดับที่รับได้


ทว่าผ่านไปเพียงแค่เสี้ยววินาที เลือดก็ทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ดของเฉินผิงอัน เขาหงายผลึ่งแล้วเริ่มกลิ้งตัวไปมา มิอาจลุกขึ้นยืนได้อีก


เฉินผิงอันขบริมฝีปากไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้อง


ตอนที่ฝึกหมัด นอกจากที่จูเหอเคยบอกไว้ว่า ช่วงต้นของการฝึกวรยุทธ์ห้ามดื่มเหล้าทำร้ายร่างกายแล้ว ยังมีอีกหลายครั้งที่เคยได้ยินคำว่าหนึ่งลมปราณห้ามตกลง กว่าที่เฉินผิงอันจะรู้หลักการฝึกหมัดข้อนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงทะนุถนอมเห็นค่าของมัน มาจนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงยืนหยัดไม่ย่อท้อ ต่อให้ภายหลังจะรู้จากหลินโส่วอีว่าในเหล้ากานั้นของอาเหลียงมีโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ เฉินผิงอันก็ไม่เคยนึกเสียใจ


ผู้เฒ่ามองเด็กหนุ่มที่กลิ้งไถลเถลือกไปรอบด้านก็หลุดหัวเราะพรืด “เป็นไง รสชาติไม่เลวใช่ไหม? แก่นของหมัดนี้อยู่ที่พลังของหมัดสามารถเพิ่มเป็นเท่าตัวได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ขอแค่เจ้าออกหมัดได้เร็วพอ ได้หลายครั้งพอ ต่อให้เป็นเซียนอรหันต์ที่มีร่างทองไม่แตกสลายก็ยังต้องถูกเจ้าทุบทำลายจนย่อยยับ!”


ผู้เฒ่ากล่าวประโยคนี้จบ สีหน้าของเขาก็ดูเลื่อนลอยเล็กน้อย


ปีนั้นที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิถีวรยุทธ์ มีเรื่องหนึ่งเขาอยากรู้มาโดยตลอด


หากมรรคาจารย์เต๋าและศาสดาพุทธยินดีที่จะไม่ตอบโต้ ถ้าเช่นนั้นหากถูกกระบวนท่านี้ของตนต่อยอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถยืนหยัดได้กี่ร้อยหมัด?! แล้วตนจะสามารถปล่อยออกไปได้กี่ร้อยหมัด?!


เพียงไม่นานผู้เฒ่าก็คืนสติ เอ่ยอธิบายว่า “วางใจเถอะ สิบหมัดนี้ผู้อาวุโสออกแรงแค่เล็กน้อย ไม่ทำลายเนื้อหนังมังสาของเจ้า แค่ทุบตีลงบนจิตวิญญาณของเจ้าเท่านั้น เจ้ากัดฟันเอาสักหน่อยก็น่าจะทนผ่านไปได้”


เด็กหนุ่มกลิ้งอยู่บนพื้นถึงครึ่งก้านธูปเต็ม จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นนั่งพิงผนัง หายใจด้วยวิธีการที่หยางเหล่าโถวถ่ายทอดให้ รวมไปถึงใช้วิธีโคจรลมปราณที่อาเหลียงเคยสอนตน ถึงลุกขึ้นยืนได้ช้าๆ ในอีกหนึ่งก้านธูปต่อมา ทั้งตัวโชกไปด้วยเหงื่อคล้ายลูกไก่ตกน้ำที่เพิ่งขึ้นฝั่ง


ผู้เฒ่าพยักหน้ารับยิ้มๆ “ดูท่าสิบหมัดยังพอไหว ถ้าอย่างนั้นก็กินอีกสักสิบห้าหมัดแล้วค่อยว่ากัน”


ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันก็ลงไปกลิ้งอยู่บนพื้นต่อ คราวนี้กระแทกเข้ากับมุมกำแพง ต่อให้หัวกระแทกกับกำแพงก็ยังไม่รู้ตัว


เฉินผิงอันนอนอยู่บนพื้นสองก้านธูปเต็มก็ยังลุกขึ้นนั่งไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะลุกขึ้นมาด่าผู้เฒ่าเลย


ผู้เฒ่ามองการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนของลมปราณในร่างเด็กหนุ่มเงียบๆ ก่อนพูดต่อว่า “วิถีวรยุทธ์ วิถีวรยุทธ์ก็คือวิถีที่ยิ่งใหญ่! ผู้ฝึกลมปราณมักจะดูถูกผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว พูดแค่ว่าเรียนวรยุทธ์ แต่ไม่เรียกว่าวิถีวรยุทธ์ เพราะคิดว่าการเรียนวรยุทธ์ไม่มีทางไต่ไปถึงระดับสูงดั่งคำว่า ‘วิถี’ ได้ แต่ข้าผู้อาวุโสไม่เชื่อ!”


“ข้าผู้อาวุโสอ่านตำราของร้อยสำนักมาจนปรุ มีวันหนึ่งอ่านเจอเนื้อหน้าท่อนหนึ่ง ในหน้าหนังสือนั้นยังวาดภาพสตรีร่างอ้อนแอ้นไว้หนึ่งคน รูปโฉมของนางเรียกได้ว่าโฉมสะคราญล่มเมือง ตัวอักษรบอกว่าสตรีที่เป็นเทพพิรุณท่านนี้มีใจห่วงใยอาณาประชาราษฎร ยอมที่จะล้ำเส้นทำผิดกฎสวรรค์ ประทานฝนลงมาโดยพลการ ร่างทองของนางจึงถูกกักขังอยู่ในแท่นลงทัณฑ์เทพแห่งหนึ่ง ทุกวันคืนจะต้องทนฟังสี่คำที่มีอยู่ในโองการตักเตือนแห่งสวรรค์ว่า ‘กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง’ ตอนนั้นข้าผู้อาวุโสถึงกับตบโต๊ะลุกขึ้นยืน สบถด่าว่าระยำ! โทสะลุกโชนยากสงบ จึงเดินออกไปข้างนอก ตอนนั้นฝนกำลังตกกระหน่ำ ข้าผู้อาวุโสจึงปล่อยหมัดต่อยให้ม่านฝนถอยกลับขึ้นไปสิบกว่าจั้ง!”


“ดังนั้นหมัดนี้ของข้าผู้อาวุโสจึงมีชื่อว่า กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่!”


ผู้เฒ่ามายืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มอย่างเงียบเชียบ แล้วยกเท้ากระทืบเข้าที่หน้าท้องของเฉินผิงอันพลางแค่นหัวเราะเสียงหยัน “ลุกไม่ขึ้นก็นอนไปนั่นแหละ! เพราะข้าผู้อาวุโสก็ยังทำให้เจ้ารู้ถึงความมหัศจรรย์ของหมัดนี้ได้อยู่ดี!”


มหาสมุทรลมปราณของเฉินผิงอันพลันเกิดเสียงดังอื้ออึง ราวกับว่ากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน


ตอนนั้นที่เขาติดตามชุยตงซานเดินทางจากต้าสุยกลับมายังแคว้นหวงถิง ได้ผ่านบึงน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีไอหมอกลอยกรุ่น เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างมาก จากคำพูดของชุยตงซานทำให้รู้ว่านั่นคือภาพเหตุการณ์ที่เรียกว่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ แต่แม้ว่าจะเป็นภาพที่งดงามมองแล้วสุขตาแค่ไหน พอต้องมาเจอกับเท้าที่กระทืบมาอย่างรวดเร็วของผู้เฒ่าครั้งนี้ ในร่างของตนที่ต้องแบกรับกับอาการเด้งกระเด็นกระดอนเหมือนการสะบัดม้วนภาพวาด นั่นก็เรียกว่าเป็น ‘ความรันทดหลังจากสุขสุดๆ’ อย่างแท้จริง เท้านี้ของผู้เฒ่ากระทืบลงบนมหาสมุทรลมปราณที่อยู่ใต้จุดตันเถียนของเฉินผิงอัน ทำให้มหาสมุทรลมปราณโถมตัวลอยสูง เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนตับไตไส้พุงปริแตกไปทีละชุ่น นาทีถัดมาอาจจะกระอักเอาเครื่องในทั้งหมดออกมาทางลำคอก็เป็นได้


ทุกครั้งที่ไอน้ำในมหาสมุทรลมปราณลอยขึ้นสูง เฉินผิงอันก็เหมือนถูกคนเหวี่ยงขึ้นด้านบนหนึ่งครั้ง ร่างดีดจากพื้นสู่กลางอากาศ จากนั้นก็กระแทกกลับลงมาบนพื้น เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


สุดท้ายอาจเป็นเพราะร่างกายที่เด้งขึ้นเด้งลงของเด็กหนุ่มทำให้ผู้เฒ่ารำคาญตา เขาจึงกระทืบซ้ำอีกครั้ง “นิ่งเดี๋ยวนี้!”


เฉินผิงอันถูกฝ่าเท้านั้นเหยียบจนแน่นิ่งติดพื้น แขนขาทั้งสี่ของเด็กหนุ่มชักกระตุก สีหน้าบูดเบี้ยว นัยน์ตาขุ่นมัว


เห็นเพียงว่าทั่วร่างของเฉินผิงอันมีเม็ดเลือดที่เล็กจิ๋วอย่างถึงที่สุดจำนวนนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากรูขุมขนบนกล้ามเนื้อ แล้วสุดท้ายก็รวมตัวกันกลายเป็นแถบใหญ่


ผู้เฒ่าคำรามเดือด “เฉินผิงอัน! จงฟังให้ดี! ลมปราณแรกเริ่มบนวิถีวรยุทธ์เฮือกนั้นถูกเจ้าค้นพบมาตั้งนานแล้ว แล้วเจ้าจะเอามันมาไว้ดูเฉยๆ อย่างนั้นหรือ! ร่างขยับไม่ได้แล้วอย่างไร?! ขอแค่ลมปราณเฮือกนี้ไม่ตกลงก็พอ!”


ท่ามกลางอาการสะลึมสะลือ เฉินผิงอันได้ยินคำพูดของผู้เฒ่าเลือนๆ จึงออกคำสั่งทะเลสาบหัวใจตามสัญชาตญาณ บอกให้ลมปราณลี้ลับที่เป็นเหมือนมังกรไฟขุมนั้นโคจรด้วยตัวเอง อยากจะไปไหนก็ไป เพราะเขาไม่อาจควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกแล้ว แม้แต่จะยกนิ้วขึ้นสักนิ้วก็ยังทำไม่ได้


ผู้เฒ่าก้มหน้าเพ่งมองไป ในสายตาของเขามองเห็นลมปราณเส้นหนึ่งที่หนาไม่เกินเส้นด้าย มองดูคล้ายมังกรไฟกำลังพุ่งชนเส้นชีพจรตรงหน้าอกของเฉินผิงอันอย่างบ้าคลั่ง เขาจึงหัวเราะเสียงดัง “ดี!”


ผู้เฒ่าดึงเท้าข้างนั้นกลับมา เอามือหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างดีดนิ้วใส่เฉินผิงอันเบาๆ “เคยชมการคุมเชิงของสองกองทัพบนยอดเขา ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ราวกับมังกรและช้างกำลังประลองกำลัง มังกรคือตัวแทนของผู้ที่มีพละกำลังมากที่สุดในน้ำ ส่วนช้างก็คือตัวแทนของผู้ที่มีพละกำลังมากที่สุดบนผืนดิน ศึกนั้นเรียกได้ว่าเป็นสงครามที่ต่อให้ผ่านไปร้อยปี ผู้คนก็ยังแซ่ซ้องสรรเสริญ! ข้าผู้อาวุโสบรรลุหนึ่งหมัด ให้ชื่อว่ากระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบ!”


ทุกครั้งที่ผู้เฒ่าดีดนิ้วด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย กระดูกซี่โครงท่อนหนึ่งของเฉินผิงอันก็ต้องแตกหักตามไปด้วย


นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันหลุดเสียงร้องโหยหวนเพราะความเจ็บปวด


นั่นก็เพราะความเจ็บปวดที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย แต่มันเกิดขึ้นในส่วนลึกของจิตวิญญาณ


เด็กชายชุดเขียวที่นั่งอยู่บนราวระเบียงด้านนอกอกสั่นขวัญผวา เกือบจะผลัดตกลงมา เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พลันทรุดตัวนั่งยองยกสองมือกุมศีรษะ ไม่กล้าฟัง


สุดท้ายเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง ผู้เฒ่าก็เดินออกมานอกห้องด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พอเปิดประตูออกมาแล้วก็พูดกับเด็กชายชุดเขียวที่ตัวสั่นระริกว่า “มาแบกเขาลงไปข้างล่าง แล้วโยนตัวลงไปแช่ในถังยา เสื้อผ้ารองเท้าไม่ต้องถอด อย่ามองข้ามการกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ เพราะสำหรับเฉินผิงอันแล้ว หากหลังจากนี้ต้องการให้ขอบเขตมั่นคงก็ห้ามไปขยับพวกมันเด็ดขาด อีกอย่างไปบอกกับเทพภูเขาหน้าหวานคนนั้นด้วยว่า ห้ามวาดงูเติมหาง (การกระทำที่เกินความจำเป็น) โดยการเพิ่มยาวิเศษอะไรลงไป ข้าผู้อาวุโสก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ความลำบากที่เจ้าเด็กนี่ทนรับไปในวันนี้จะต้องสูญเปล่า”


หลังได้เห็นผู้เฒ่า รับฟังคำสั่งจากอีกฝ่าย เด็กชายชุดเขียวที่ตกใจจนไม่กล้าเดินลงบันไดก็กระโดดพรวดลงไปข้างล่างโดยตรง ได้แต่ไปบอกให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูมาหามเฉินผิงอัน เพราะตัวเขานั้นไม่กล้าแม้แต่จะเดินสวนกับผู้เฒ่า


แต่พอมาถึงด้านล่าง บอกความทั้งหมดให้เว่ยป้อฟังอย่างเกินความจำเป็นแล้ว เห็นว่าเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูวิ่งเหยาะๆ ออกไปนอกประตูโดยไม่ถามไม่ปฏิเสธให้มากความ เด็กชายชุดเขียวกลับกัดฟัน แตะปลายเท้าเบาๆ หนึ่งที พุ่งตัวไปด้านนอก จากนั้นก็แตะปลายเท้าอีกที ทะยานขึ้นไปยังชั้นบน แข็งใจเดินเข้าไปในห้องตัดหน้าเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู แล้วแบกเฉินผิงอันที่เลือดท่วมตัวขึ้นหลัง


ค่อยๆ วางเฉินผิงอันลงในถังยาอย่างระมัดระวัง


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่น้ำตาอาบหน้าถามเบาๆ “เทพภูเขาเว่ย นายท่านของข้าจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ?”


เว่ยป้อมองเฉินผิงอันที่สลบไสลไม่ได้สติ “หากสามารถยืนหยัดได้ถึงท้ายที่สุดก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าล้มเลิกความพยายามไปกลางคัน ทุกสิ่งที่ทำมาไม่เพียงแต่เสียเปล่า เกรงว่าคงทิ้งโรคร้ายไว้อีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่นชีวิตนี้ได้แต่ค้างอยู่ที่ขอบเขตสองหรือสามของวิถีวรยุทธ์ เพราะปูรากฐานมาไม่มั่นคง คิดจะเลื่อนสู่ขอบเขตที่สูงได้อย่างเต็มตัวก็ไม่มีทางทำได้ เพราะนี่ไม่ต่างจากให้เด็กยืนถือกำแพงหิน”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูมึนงงเล็กน้อย


เด็กชายชุดเขียวเดินออกไปนอกห้องเพียงลำพัง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ยกสองมือเท้าแก้ม เหม่อลอยไปไกล


ท่ามกลางแสงสนธยา เฉินผิงอันที่ก่อนหน้านี้แช่ตัวอยู่ในถังยาเหมือนคนน่าสงสารที่ฝันร้ายแต่ตื่นขึ้นมาไม่ได้ ต่อให้จะหลับสนิท ลมหายใจก็ยังคงวุ่นวายอย่างถึงที่สุด ทว่าตอนนี้ในที่สุดลมหายใจของเขาก็เริ่มมั่นคงขึ้น เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่เหงื่อแตกเต็มศีรษะเขย่งปลายเท้า ฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนถังน้ำ กลัวว่านายท่านจะเจ็บจนตาย กลัวว่านายท่านจะจมน้ำตาย กลัวว่านายท่านหลับไปครั้งนี้แล้วจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก นางจึงได้แต่เบิกตาโตมองเขาอยู่อย่างนั้น เพราะเอาเข้าจริงนางก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง


 —–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)