ยอดหญิงสกุลเสิ่น 196-197

ตอนที่ 196 จุดเริ่มต้นความยากลำบากของ...

 

“คุณหนู หญิงชราตระกูลเหอผู้นั้นนั่งโวยวายร้องทุกข์อยู่ที่ประตูหลังเรือนจวนตระกูลเหอเจ้าค่ะ” เถาจือรีบเข้ามารายงาน สีหน้ามีความกังวลหลายส่วน


 


 


เสิ่นเวยกวาดสายตามองนางปราดหนึ่งก็รู้ความคิดในใจนางแล้ว สีหน้าเผยความเหยียดหยาม เพียงแค่หญิงชราไม่มีความรู้ผู้หนึ่งเรียกร้องความสนใจ จะทำอะไรจวนจงอู่โหวได้ “นางร้องอะไร”


 


 


เถาจือกล่าวอย่างเหยียดหยัน “จะยังร้องอะไรได้อีก ย่อมต้องร้องว่าจวนจงอู่โหวของพวกเขาใช้อำนาจระรานผู้อื่น บอกว่าพวกเราตั้งใจจะแก้แค้น ปฏิบัติต่อลูกชายนางอย่างไม่เป็นธรรม”


 


 


มารดาแซ่เหอผู้นี้กลับมีสติปัญญาหลายส่วน แต่น่าเสียดายที่นางร้องช้าไป ประชามติต่างก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ข่าวลือที่คนพูดมากเข้าก็กลายเป็นเรื่องจริง ต่อให้จะเรียกร้องความสนใจ ก็เสียแรงเปล่าๆ


 


 


เหอะ แค่นี้ก็มาร้องทุกข์แล้วหรือ นี่เพิ่งจะเริ่ม วันคืนที่ต้องร้องไห้ยังมาไม่ถึงเลย “ไป พวกเราไปดูกันหน่อย” จู่ๆ เสิ่นเวยก็เกิดความคิด แม้ไม่ได้บอกว่าจะเหยียบซ้ำคนล้ม แต่ซึมซับผลลัพธ์ของชัยชนะก็ยังทำได้มิใช่หรือ


 


 


ประตูหลังจวนตระกูลเหอหันเข้าหาถนนหนึ่งสาย ถนนสายนี้มีประชาชนพักอยู่อาศัยไม่น้อย ดังนั้นการเคลื่อนไหวครั้งนี้ที่ประตูหลังจวนตระกูลเหอจึงดึงดูดคนจำนวนไม่น้อยให้ออกมาดู


 


 


มารดาแซ่เหอสมกับเป็นแม่เฒ่าที่คลานออกมาจากชนบทจริงๆ ใจกล้าบ้าบิ่นจริงๆ เป็นแม่เฒ่ามาหลายปีเพียงนี้ ยังไม่ลืมความสามารถในการโวยวายดิ้นพล่านตบขาหนึ่งร้องไห้สองสร้างเรื่องสามผูกคอตายของสตรีชนบทไปอีก


 


 


เสิ่นเวยหาโรงน้ำชาใกล้บ้านแห่งหนึ่ง นั่งข้างหน้าต่างดื่มชาแทะเมล็ดแตงโมไปพลาง ดูการแสดงของมารดาแซ่เหออย่างสนุกสนานไปพลาง


 


 


มารดาแซ่เหอร้องขึ้นมาประหนึ่งร้องงิ้ว สะอึกสะอื้นไห้ซ้ำยังลากเป็นทำนอง แต่ละครั้งที่พูดถึงความเสียใจยังขึ้นเสียงสูง ไม่ต่างอะไรจากระดับเสียงร้องไห้ในศาลางานศพชนบท เสิ่นเวยเลื่อมใสในฝีมือของมารดาแซ่เหอจริงๆ เป็นเช่นนี้นางก็วางใจแล้ว มีทักษะเช่นนี้อย่างน้อยๆ ก็สามารถร้องไห้ในศาลางานศพหาเงินแทนคนอื่นได้ ไม่มีทางหิวตายแน่นอน


 


 


“สตรีสูงส่งใจดำผู้นั้น น่าสงสารลูกชายคนเล็กที่ชะตาขื่นขมผู้นั้นของข้า เหตุใดถึงไม่เอ่ยกล่าวความรักฉันสามีภรรยาแม้แต่น้อยเลยเล่า หลินเจี่ยเอ๋อร์ หลานสาวคนดีของข้า พ่อเจ้าก็เข้าคุกแล้ว เจ้ารีบไปร้องขอแม่เจ้าเถิด! ลูกข้า เจ้าลำบากหรือไม่ ไม่มีใครบอกแม่สักคนเดียว หากเจ้าเป็นอะไรไป จะให้แม่ทำอย่างไร ฮือ…” มารดาแซ่เหอเช็ดน้ำมูกเช็ดน้ำตาร้องทุกข์ นางเองก็อายุปูนนี้แล้ว นั่งอยู่บนพื้น เสื้อผ้าขาดวิ่น ผมขาวพลิ้วไหวอยู่ในสายลม มองดูแล้วน่าสงสารเล็กน้อยจริงๆ


 


 


คนที่มุงดูรอบด้านก็ทนไม่ไหวเล็กน้อย ยังมีสตรีใจดีผู้หนึ่งเข้ามาพยุงนางขึ้น เสิ่นเวยขมวดคิ้ว เรียกเถาจือออกคำสั่งเสียงต่ำหลายประโยค เถาจือพยักหน้าแล้วจึงหมุนตัวออกจากโรงน้ำชาไป


 


 


มารดาแซ่เหอเห็นว่ามีคนเข้ามาพยุงนางก็ร้องดังกว่าเดิม บ้างก็ว่าลูกสะใภ้หย่าแล้วยังแย่งหลานสาวไป บ้างก็ว่าคุณชายจวนโหวพาคนมาทำลายบ้านนาง แม้แต่โต๊ะกินข้าวก็ยังไม่เว้น ถูกฟันจนไม่เหลือชิ้นดี บ้างก็ว่าลูกชายนางขี้กลัวมาตั้งแต่เล็ก จะต้องถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน


 


 


เถาจือเบียดเข้าไปในฝูงชนยังต้องใช้แรงเล็กน้อย “แม่เฒ่าเหอ ฟังว่าลูกสะใภ้ที่หย่าผู้นั้นของท่านอยู่ในเรือนโทรมๆ มาสิบกว่าปีเป็นเรื่องจริงหรือไม่” นางยืนอยู่ในฝูงชนกล่าวถามเสียงสูง


 


 


มารดาแซ่เหอไม่คิดว่าจะมีใครเรียกร้องความยุติธรรมให้เสิ่นซื่อ ชั่วขณะก็ไม่พอใจ กัดฟันกล่าว “จริงไม่จริงอะไร เสิ่นซื่อก็เหมือนไก่ที่ออกไข่ไม่ได้ แม้แต่ลูกชายยังไม่มี ให้เรือนโทรมๆ นางอยู่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”


 


 


คราวนี้ไม่ต้องให้เถาจือเอ่ยปากก็มีคนถามแล้ว “ลูกสะใภ้ผู้นั้นของท่านก็ให้กำเนิดบุตรสาวแล้วมิใช่หรือ”


 


 


“เพียงแค่เด็กผู้หญิงจะไปมีประโยชน์อะไร ไม่ช้าไม่เร็วก็เป็นน้ำที่ต้องสาดออกไป ลูกชายผู้น่าสงสารของข้ามีบุตรอนุภรรยาสามคน ข้างกายไม่มีบุตรภรรยาเอกแม้แต่คนเดียว เสิ่นซื่อไร้ความสามารถนัก!” มารดาแซ่เหอก่นด่า


 


 


เดิมหน้าตาของมารดาแซ่เหอก็ใจร้ายเล็กน้อยอยู่แล้ว ตอนที่พูดประโยคนี้ก็ยิ่งมีท่าทางดุร้าย เต็มไปด้วยความดูถูกลูกสะใภ้และหลานสาว คนที่มุงดูก็ชุลมุนในชั่วขณะ มีบุตรอนุภรรยาถึงสามคน เห็นภาพได้เลยว่าภรรยาเอกสองแม่ลูกมีชีวิตเช่นไร เมื่อหวนนึกถึงเพลงพื้นบ้านที่ร้องต่อกันก่อนหน้านี้ก็เกิดข้อสงสัยต่อคำร้องทุกข์ของมารดาแซ่เหอทันที หากภรรยาเอกผู้นั้นเป็นคนร้ายกาจ จะยังมีโอกาสให้บุตรอนุภรรยาสามคนนี้ได้เกิดมาอีกหรือ กลับดูออกเลยว่าแม่สามีที่ร้องทุกข์ผู้นี้เป็นคนร้ายกาจที่มีอุบาย


 


 


มารดาแซ่เหอด่าฟ้าด่าดินอยู่ครู่หนึ่ง คนที่ยังเห็นใจนางก่อนที่จะรู้ตัวต่างก็ถอยออกไปหมดแล้ว กลับชี้ไม้ชี้มือมาที่นาง ตัวนางเองก็รู้สึกไม่ดีแล้วจึงถ่มน้ำลายใส่ฝูงชน ไล่คนออกไปจนหมดราวกับชาวบ้านชนบทเวลาทะเลาะเบาะแว้งกัน


 


 


เถาฮวาฉวยโอกาสชุลมุนกลับไปยังโรงน้ำชา


 


 


เหอจังหมิงเข้าคุกกับเรื่องที่มารดาแซ่เหอโวยวายร้องทุกข์ก็ดังไปถึงหูของเสิ่นหย่าสองแม่ลูกเช่นกัน เสิ่นหย่าไม่สบายใจในชั่วขณะ นางมองลูกสาวที่สีหน้าเรียบเฉยปราดหนึ่ง กล่าวด้วยความลังเล “หลินเจี่ยเอ๋อร์ อย่างไรเสียนั่นก็เป็นพ่อเจ้า…”


 


 


นางถูกเสียงหัวเราะเยาะของเหอหลินหลินตัดบททันที “ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ที่เขาคิดจะผลักลูกออกไปปูทางให้ลูกชายของอี๋เหนียงเหตุใดถึงไม่คิดว่าเขาเป็นพ่อลูกเล่า ท่านแม่ กว่าพวกเราจะออกจากรังหมาป่านั่นมาได้ ท่านอย่าได้ทำเรื่องโง่เขลาเลย ญาติผู้พี่ทำเช่นนี้ก็เพื่อระบายความแค้นแทนพวกเรา ท่านอย่าได้เข้าไปขอร้องเด็ดขาด มิเช่นนั้นญาติผู้พี่จะเสียใจเพียงใด”


 


 


เสิ่นหย่าตกตะลึงดั่งคาด แม้ว่าสีหน้าจะมีความลังเล แต่ก็ยังคงพยักหน้า


 


 


เหอหลินหลินไม่วางใจนัก คิกครู่หนึ่งยังคงพูดเสริมสองสามประโยค “ท่านแม่ ลูกจะตามท่านกลับเมืองหลวง เรื่องนี้ยังต้องอาศัยญาติผู้พี่คอยจัดการให้”


 


 


เสิ่นหย่าได้ฟังก็วางเรื่องเหอจังหมิงลงทันที ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญไปกว่าหลินเอ๋อร์ของนางอีกแล้ว


 


 


“ย่าเจ้าเป็นคนไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แม่กลัวว่านางจะทำลายชื่อเสียงของจวนจงอู่โหวและญาติผู้พี่เจ้าข้างนอกนั่น”


 


 


เหอหลินหลินไม่เห็นด้วย “ชื่อเสียงของจวนโหวกับญาติผู้พี่ถูกทำลายได้ง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ ท่านวางใจเถอะ ในใจญาติผู้พี่มีแผนการ พวกเราแม่ลูกอยู่อย่างซื่อสัตย์ ไม่เพิ่มภาระให้ญาติผู้พี่ก็พอแล้ว” นางเองก็รู้ว่าแม่นางใจอ่อน คนอื่นร้องไห้ร้องขอนางก็ใจอ่อนแล้วจึงตัดสินใจเงียบๆ ว่าจะต้องดูแม่นางให้ดี ไม่อาจหาเรื่องมาให้ญาติผู้พี่ได้


 


 


เสิ่นเวยดูการแสดงที่ยอดเยี่ยมของมารดาแซ่เหอจบแล้ว กลับไปถึงคฤหาสน์ก็เรียกพ่อบ้านรองมา “คดีเรียบร้อยแล้วหรือยัง”


 


 


ตอนนี้พ่อบ้านรองเคารพเสิ่นเวยอย่างยิ่ง แม้จะรู้ว่าความจริงแล้วคนผู้นี้คือคุณหนู แต่กลับไม่กล้าดูถูกเลยแม้แต่น้อย “เรียนคุณชาย พยานหลักฐานครบแล้ว ไม่ยอมรับคำปฏิเสธของผู้แซ่เหอผู้นั้น ใต้เท้าข้าหลวงประจำจังหวัดบอกว่าอีกไม่กี่วันก็จะตัดสินได้แล้ว เรียนถามคุณชายมีวิธีลงโทษใด”


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้า กล่าว “อย่างไรเสียก็เป็นพ่อแท้ๆ ของญาติผู้น้อง จะเอาชีวิตเขาจริงๆ ได้อย่างไร เนรเทศเสีย!” เนรเทศเขาไปสามพันลี้ บัณฑิตอ่อนแอเช่นเขา เพียงแค่เดินทางก็เพียงพอให้เขาได้รับความลำบากแล้ว ต่อให้มีชีวิตไปถึงสถานที่ที่ถูกเนรเทศ สิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือความทรมานเท่านั้น


 


 


ความตายน่ะไม่น่ากลัว มีชีวิตออยู่ไม่สู้ตายต่างหากจึงจะเป็นความยากลำบากที่แท้จริง เป็นคนเหนือคนอยู่ดีๆ ไม่ชอบ เช่นนั้นก็ไปเป็นคนล่างคนเอาเถอะ


 


 


“ขอรับ คุณชาย” ในใจพ่อบ้านรองหนาวสั่น สีหน้าก็ยิ่งเคารพนบนอบ


 


 


อันที่จริงเรื่องนี้เสิ่นเวยเองก็ไม่ได้ไร้ความเป็นธรรมต่อเหอจังหมิง แย่งร้านค้าคนอื่น บีบบังคับคนจนตาย นี่กลับเป็นเรื่องจริง ทว่าตัวละครหลักไม่ใช่เหอจังหมิง แต่เป็นพี่ใหญ่ของเขาต่างหาก


 


 


ในร้านค้าสินเดิมของเสิ่นซื่อมีร้านผ้าไหมอยู่หนึ่งแห่ง ธุรกิจไม่เลวอย่างยิ่ง ข้างๆ ร้านผ้าไหมก็ขายผ้า บุตรคนโตแซ่เหอก็เกิดความสนใจ อยากซื้อเข้ามารวมกันเป็นร้านเดียว


 


 


แต่คนไม่ยอม ทั้งยังไม่รีบใช้เงิน ใครจะโง่ขายร้านที่กำลังรุ่งเรืองให้คนอื่น


 


 


เป็นเช่นนี้ไปมาบุตรคนโตแซ่เหอก็ทะเลาะกับเขา หลายปีมานี้เพราะว่าอาศัยอำนาจของน้องชาย บุตรคนโตแซ่เหอจึงเรียกตัวเองว่านายท่าน ใช้ชีวิตราบรื่นไร้อุปสรรคจนเคยตัวไหนเลยจะรับเรื่องนี้ได้จึงใช้อุบายลับๆ แย่งร้านค้ามาเสีย


 


 


เถ้าแก่ร้านนั้นก็เป็นคนอารมณ์ร้อน เมื่อโกรธขึ้นมาแล้วก็ป่วย ไม่นานก็จากไป ภรรยาเถ้าแก่ก็สู้คน สินเดิมสู่ขอบุตรสาวของลูกชายล้วนแต่เป็นร้านค้าหลังนั้น ตอนนี้ร้านถูกคนแย่งไปแล้ว สามีก็โมโหจนตัวตาย ไหนเลยจะวางมือได้ ยื่นคำร้องฟ้องบุตรคนโตแซ่เหอ คำร้องตกลงในมือเหอจังหมิง เขาย่อมเข้าข้างพี่ชายแท้ๆ ของตนแน่นอน


 


 


ภรรยาเถ้าแก่ไม่เพียงแต่ฟ้องร้องไม่ชนะ ซ้ำยังถูกเฆี่ยนตี กลับไปก็ผูกคอตาย ทิ้งลูกชายลูกสาวสามคนเอาไว้ คนโตสุดเพิ่งจะอายุได้เพียงสิบสามปี


 


 


เรื่องนี้เสิ่นเวยได้ยินทหารลับรายงานระหว่างการเดินทาง ดังนั้นตอนที่ตัดสินใจเรื่องเหอจังหมิงนางจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทันที ตอนที่นางส่งคนไปเจรจากับบุตรคนโตตระกูลนั้น เขาก็เกลียดแค้นครอบครัวเหอจังหมิงอยู่นานแล้ว เพียงแต่ไม่มีอำนาจอับจนหนทาง ตอนนี้เสิ่นเวยสัญญาว่าจะช่วยเขาแก้แค้น เขาก็รับปากทันที


 


 


อันที่จริงแม้ว่าจะไม่มีเรื่องนี้เสิ่นเวยก็มีวิธีจัดการเขา ขุนนางคนใดบ้างที่ขาวสะอาด หากตั้งใจสืบหาก็มีจำนวนมากมายที่ไม่ขาวสะอาด เหอจังหมิงที่เกิดในโคลนตมจะไม่เปื้อนสิ่งสกปรกได้อย่างไร เสิ่นเวยไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นไม่เพียงแต่เหอจังหมิงเพียงคนเดียว บุตรคนโตแซ่เหอทั้งครอบครัว มารดาแซ่เหอและเถียนอี๋เหนียงพวกนางต่างก็ฉกฉวยผลประโยชน์จากคนอื่นมาไม่น้อย โดยเฉพาะเถียนอี๋เหนียง ละโมบโลภมากยิ่งนัก หากไม่มีคนตรวจสอบ ย่อมไม่มีเรื่องแต่ขอเพียงแค่มีคนสืบ นี่ก็คือหลักฐานในการจัดการและเอาผิด เพียงพอให้เหอจังหมิงทุกข์ทรมานได้แล้ว


 


 


ตระกูลเหอฝั่งนั้นยังกอดความหวังว่าอีกประเดี๋ยวเหอจังหมิงก็จะออกมาแล้ว ความตระหนักรู้ของตระกูลเหอที่มีต่อเรื่องนี้ก็เหมือนกัน แม้บุตรคนโตแซ่เหอจะโลภมากเห็นแก่ตัว แต่กลับรู้ดีว่าไม่มีน้องรองนายอำเภอผู้นี้เป็นที่พึ่งแล้ว ต่อให้เขามีอุบายก็ไร้ประโยชน์ มารดาแซ่เหอก็ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง นี่คือลูกชายแท้ๆ ของนาง ทั้งยังเป็นลูกชายที่นำความรุ่งเรืองมาให้นางนับไม่ถ้วน นางรักยิ่งกว่าใครๆ


 


 


สำหรับอี๋เหนียงหลายคนนั้นในเรือนหลังของเหอจังหมิง นอกจากคนที่ไม่ได้รับการศึกษาผู้นั้นแล้วต่างก็หวังว่าเขาจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย อย่างไรเสียเหอจังหมิงก็เป็นที่พึ่งในชีวิตพวกนาง


 


 


“เป็นอย่างไร รับปากแล้วหรือยัง” มารดาแซ่เหอเห็นหลานชายคนโตที่ออกไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนกลับมาก็รีบเข้าไปถามไถ่


 


 


ทว่าสีหน้าของเหอเทียนเสียงกลับไม่ดีอย่างมาก เห็นสายตาที่เฝ้ารอของท่านย่าเขาก็อดทนพูดความจริงไม่ได้ “ท่านย่า เพื่อนผู้นั้นของข้าไม่อยู่ในจวน บอกว่าไปบ้านตาแล้ว หลานค่อยไปใหม่พรุ่งนี้”


 


 


ไหนเลยจะไม่อยู่จวน เห็นชัดๆ ว่าไม่ยอมออกมาเจอเขาก็เท่านั้นเอง เขาวิ่งอยู่ข้างนอกทั้งวัน เพื่อนสหายร่วมชั้นเรียนที่เรียกเขาว่าพี่ว่าน้องเหล่านั้นเมื่อก่อนไม่หลบหน้าเขา ก็พูดกับเขาตรงๆ ว่าไม่อาจช่วยอะไรได้ ทำให้เขาได้รู้จักความไร้น้ำใจในสังคมจริงๆ


 


 


มารดาแซ่เหอมองท่าทีของหลานชายคนโตมีหรือจะไม่เข้าใจ หน้าเปลี่ยนสีทันที เป็นห่วงหลานชายคนโตจึงไม่ได้พูดอะไรต่อหน้า เมื่อหลานชายคนโตไปแล้ว นางจึงตบขาก่นด่าขึ้นมาทันที


 


 


“ตาเฒ่าหนังเหนียว เขาบอกว่าแต่งงานกับบุรุษ มีเสื้อผ้าให้ใส่มีข้าวให้กิน แต่นี่อะไร ข้าแต่งกับเจ้าไม่มีสักวันที่อยู่อย่างสบาย ซ้ำยังต้องอุทิศตนเพื่อตระกูลเหอของเจ้า ตอนนี้เหล่าเอ้อร์ถูกจับเข้าคุกแล้ว เจ้าต้องคิดหาวิธีมาเดี๋ยวนี้!” นางทุบตีตำหนิโทษผู้เฒ่าเหอ 

 

 


ตอนที่ 197 ถูกขับ

 

ผู้เฒ่าเหอพิงหัวเตียงจนปัญญาอย่างถึงที่สุด “เมียข้า ต้องโทษเจ้าทั้งหมดมิใช่หรือ ข้าบอกเจ้าแล้วว่าภรรยาผู้นั้นของเหล่าเอ้อร์เป็นสตรีในตระกูลสูงศักดิ์ ไม่เหมือนเด็กสาวในชนบทอย่างพวกเรา แต่เจ้าก็ดันไม่ฟัง จะวางมาดแม่ยายอะไรให้ได้ ดูสิ บ้านฝั่งแม่ของนางไม่พอใจแล้วใช่หรือไม่” เขาเองก็ไม่พอใจอยู่เต็มทรวง ลูกชายดีๆ ของเขา ล้วนถูกภรรยาแก่ๆ ผู้นี้เลี้ยงออกมาเป็นเช่นนี้ 


 


 


มารดาแซ่เหอหยุดร้องทันที “มีอย่างหรือที่เจ้ามาโทษข้า เจ้ามันไร้สำนึก หลายปีมานี้หากไม่ใช่ข้าเจ้าไหนเลยจะมีครอบครัวใหญ่เช่นนี้ สิบลี้แปดหมู่บ้าน มีบ้านไหนบ้างที่ให้สตรีมาดูแลตระกูล ไม่ใช่เพราะเจ้าไร้ประโยชน์หรือไร ตอนนี้เจ้ากลับมาโทษข้าแล้วหรือ เจ้ายังมีสำนึกอยู่หรือไม่” แต่ละประโยคตอกกลับไปบนหน้าผู้เฒ่าเหอ 


 


 


มารดาแซ่เหอแข็งกร้าวเช่นนี้ ผู้เฒ่าเหอก็เบาแรงลงในชั่วพริบตา “พอแล้วๆ เจ้าบ่นอะไร ไม่อายคนหรือ ข้าเพียงแค่พูดออกไปตามปาก หลายปีมานี้ในบ้านก็เชื่อฟังเจ้ามิใช่หรือ เพียงแต่ภรรยาเหล่าเอ้อร์…” 


 


 


“ภรรยาเหล่าเอ้อร์ทำไม ต่อให้นางจะเป็นบุตรสาวของฮ่องเต้ ในเมื่อเข้าบ้านตระกูลเหอของพวกเราแล้วก็ควรจะทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี ปรนนิบัติแม่ยาย มีบุตรอบรมลูกสาว นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางควรทำหรือไร เหล่าเอ้อร์ของพวกเราหน้าตาดี ทั้งยังมีการศึกษา สิบลี้แปดหมู่บ้านมีบ้านไหนบ้างที่ไม่ชื่นชม เขาเองก็คู่ควรกับนางเช่นเดียวกัน ร่างกายที่บอบบางเช่นนั้น แม้แต่บุตรยังให้กำเนิดไม่ได้ ข้าไม่ทอดทิ้งนางก็นับว่าดีเท่าไรแล้ว พ่อตาเช่นเจ้าออกหน้าแทน คงไม่ใช่ว่าตาแก่เช่นเจ้าเห็นนางสวย เลยเกิดความคิดสกปรกขึ้นมาหรอกนะ” มารดาแซ่เหอเกรี้ยวกราดยิ่งนัก ถลึงตาจ้องมองผู้เฒ่าเหอ ประหนึ่งจะกินเขาได้แล้ว 


 


 


“เจ้า เจ้าพูดเหลวไหลอะไร เจ้ามันหญิงแก่ไร้เหตุผล” ผู้เฒ่าเหอโกรธจนหน้าเขียวจัด กำเสื้อตรงหน้าอกไอถี่ๆ ออกมาพักหนึ่ง อัดอั้นจนใบหน้าแดงก่ำ 


 


 


มารดาแซ่เหอเห็นท่าทีก็ตื่นตระหนกทันที “ตาเฒ่า พ่อ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ เร็ว รีบดื่มชาให้คล่องคอก่อน” นางตบหลังและยกชารินน้ำ กลัวว่าผู้เฒ่าเหอจะเป็นอะไรไป 


 


 


อย่ามองว่าในบ้านนางเป็นคนตัดสินใจ นั่นก็เพราะว่ามีผู้เฒ่าเหออยู่นางจึงมั่นใจ หากผู้เฒ่าเหอไม่อยู่แล้ว ใครจะสนใจหญิงชราเป็นหม้ายเช่นนาง 


 


 


ท่ามกลางสายตาที่เป็นห่วงของมารดาแซ่เหอเสียงไอของผู้เฒ่าเหอก็ค่อยๆ หยุดลง เขาพิงหัวเตียงด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรง ถอนหายใจยาวหนึ่งคราแล้วจึงกล่าว “เจ้าน่ะ ก็อารมณ์ร้อนเช่นนี้ เหตุใดถึงแก้ไม่ได้แล้ว เจ้าหาว่าข้าว่าเจ้าหรือ หากตอนนั้นเจ้าทำดีกับภรรยาเหล่าเอ้อร์สักหน่อย จะมีเรื่องหายนะอย่างเช่นวันนี้หรือ” 


 


 


ในชนบทมีสุภาษิตกล่าวไว้ว่า สตรีดูแลตระกูลกำแพงถล่มเรือนทลาย เป็นตนเองที่ไร้ประโยชน์ บีบบังคับให้ภรรยาต้องออกหน้าดูแลตระกูลจึงทำให้เกิดเรื่องหายนะครั้งนี้ 


 


 


มารดากลัวว่าผู้เฒ่าเหอจะโมโหอีก กลับไม่กล้าเถียงเขาแล้ว เพียงแค่กล่าวพึมพำ “ใครจะคิดว่าแม่หลินเจี่ยเอ๋อร์จะมีจิตใจโหดเ**้ยมเช่นนั้นเล่า จวนโหวอะไรนั่นก็ไม่รู้ว่าเป็นบ้าอะไรหลายปีเพียงนี้แล้วยังยืนกรานจะหย่าร้าง ไม่ละอายใจจริงๆ” 


 


 


ความคิดในใจมารดาแซ่เหอยิ่งใหญ่ เจ้าบอกว่าจวนโหวของเจ้าจะหนุนหลังบุตรสาว เหตุใดถึงไม่ออกหน้าให้เร็วกว่านี้เล่า หากออกหน้าเร็วกว่านี้ นางไหนเลยจะยังกล้าปฏิบัติต่อภรรยาของเหล่าเอ้อร์อย่างไม่เป็นธรรม ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการแย่งสินเดิมของนาง เพราะว่านางเห็นลูกสะใภ้ทนรับความยากลำบากได้ บ้านฝั่งแม่ก็ไม่มีใครมายุ่ง ความกล้าจึงมากขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


ผู้เฒ่าเหอจ้องมองภรรยาปราดหนึ่ง “เจ้าน่ะ!” เขาส่ายหน้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ต่อให้ภรรยาเหล่าเอ้อร์จะเป็นคนอ่อนแอ เจ้าที่เป็นแม่ยายก็ไม่อาจทรมานนางเช่นนี้ได้ เพราะว่าบ้านฝั่งแม่อยู่ไกลจึงไม่รู้ หากเป็นชนบท ไม่ช้าไม่เร็วก็มาหาถึงหน้าประตูแล้ว 


 


 


“พ่อเอ้ย อย่าพูดเรื่องไร้ประโยชน์เหล่านั้นเลย ตอนนี้จะทำอย่างไรดี” มารดาแซ่เหอร้อนใจแทบตายแล้ว สินเดิมของเสิ่นซื่อถูกขนออกไปแม้นางจะเจ็บใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่อาจทนรับได้ เพราะนางรู้ว่าเพียงแค่ลูกชายยังรับราชการอยู่ ในบ้านก็ไม่มีทางขาดแคลนเงินใช้ ทว่าตั้งแต่ที่ลูกชายเข้าคุก หัวใจนางก็ไม่สงบเสียที “ตอนนี้ทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวเราเหลือเพียงสามร้อยตำลึง สองวันนี้วิ่งหาทางก็ใช้เงินไปส่วนหนึ่งแล้ว เหลือเพียงสองร้อยกว่าตำลึง ไม่ใช้ก็ไม่ได้” ครอบครัวใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยเงินเพียงเท่านี้ 


 


 


คิ้วของผู้เฒ่าเหอขมวดจนสามารถหนีบยุงตายได้แล้ว “ให้เหล่าต้าพาหลานชายทั้งหลายไปผูกสัมพันธ์ โดยเฉพาะหลานคนโต เขารู้จักเพื่อนคุณชายตระกูลขุนนางไม่น้อยมิใช่หรือ ตอนนี้พวกเราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ลดตัวลงหน่อย อย่ากลัวเสียหน้า ข้าไม่เชื่อว่าคนทั้งหมดจะวางมาดเช่นนั้นกันหมด คงจะต้องมีสักคนสองคนที่ช่วยเหลือได้บ้าง” 


 


 


เขาหยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “เจ้าไปบ้านต้านิวเที่ยวหนึ่ง ยืมเงินมาสักเล็กน้อย เหล่าเอ้อร์เองก็เป็นน้องชายแท้ๆ ของนาง หลายปีมานี้เหล่าเอ้อร์ก็ช่วยครอบครัวนางไว้ไม่น้อย” 


 


 


“ได้ เอาตามที่เจ้าว่า ข้าจะไปเย็นนี้” มารดาแซ่เหอพยักหน้ากล่าว 


 


 


แต่ว่าไม่ต้องรอให้มารดาแซ่เหอไปบ้านลูกสาวตอนเย็น บุตรสาวคนโตแซ่เหอก็มาหาถึงหน้าบ้านด้วยท่าทางเศร้าตรมแล้ว มารดาแซ่เหอเห็นเข้าก็ตกใจในชั่วขณะ “ต้านิว เจ้าเป็นอะไรไป ทะเลาะกับลูกเขยเข้าแล้วหรือ” 


 


 


ปกติบุตรสาวคนโตแซ่เหอกลับบ้านก็มักจะสวมเสื้อผ้างดงามหรูหราเสมอ ปักมุกปักหยกเต็มศีรษะ บนข้อมือก็สวมกำไลทอง บนนิ้วมือก็สวมแหวนทอง เชิดหน้าสูง นำของมาเต็มคันรถ เรียกใช้ลูกเขยนางจนวิ่งวุ่น วางมาดเป็นสตรีสูงศักดิ์ 


 


 


แต่ตอนนี้เล่า เสื้อผ้าสวยหรูหายไปแล้ว ที่สวมอยู่บนร่างเป็นเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ซักจนซีดหนึ่งตัว บนศีรษะก็โล่ง ผมใช้ปิ่นไม้ปักไว้ ในมือหิ้วห่อผ้าเล็กๆ อยู่ตัวคนเดียว ไม่เห็นรถม้าไม่เห็นลูกเขย ท่าทางเหมือนสตรีที่ถูกกลั่นแกล้ง 


 


 


ได้ยินมารดาแซ่เหอถามเช่นนี้ เหอต้านิวก็ร้องไห้โฮหนึ่งครา “ท่านแม่ ท่านแม่ เกิงเถียนขับข้าแล้ว” 


 


 


“อะไรนะ ขับหรือ เพราะเหตุใด” เสียงของมารดาแซ่เหอตะเบ็งสูงทันที “เจ้าคลอดหลานชายให้ตระกูลจ้าวแล้ว ตระกูลเขามีสิทธิ์อะไรมาขับเจ้า” 


 


 


มารดาแซ่เหอตกใจอย่างยิ่ง ครอบครัวลูกเขยนางเป็นคนซื่อสัตย์มีความรับผิดชอบ ลูกสาวแต่งเข้าไปเพราะว่าพี่ชายฝั่งมารดาเป็นขุนนาง ทั้งยังให้กำเนิดหลานชายอวบอ้วนแก่บ้านสามี ดังนั้นจึงอยู่ในบ้านสามีอย่างสบายอกสบายใจมาโดยตลอด เหตุใดจู่ๆ ถึงถูกขับเล่า 


 


 


ไม่เอ่ยถึงลูกชายยังดี เมื่อเอ่ยถึงลูกชายเหอต้านิวก็ร้องด้วยความเสียใจยิ่งกว่าเดิม กล่าวอย่างสะอึกสะอื้น “จินเป่าหายไป…ร้านค้าก็ขายหมดแล้ว…น้องรอง น้องรอง พวกเขากล่าวโทษที่ตระกูลเราทำตัวขายหน้า จึงขับข้าออกไป จินเป่าของข้า…” นางร้องไห้ลั่น 


 


 


“อะไรนะ จินเป่าหายหรือ จินเป่าหายแล้วเหตุใดถึงขับเจ้าเล่า เจ้าทำหายหรือ เจ้ายังจะร้องไห้อะไร ยังไม่รีบไปหาอีก” มารดาแซ่เหอร้อนใจแล้ว ดึงบุตรสาวกำลังจะผลักออกไปข้างนอก 


 


 


“หา หาเจอแล้ว” เหอต้านิวไม่ขยับ สะอื้นต่อ 


 


 


มารดาแซ่เหอปล่อยมือลง “หาเจอแล้วยังขับเจ้าอีกหรือ ตระกูลเจ้าไร้เหตุผลเกินไปแล้ว ข้าจะไปคุยกับบ้านเขาให้รู้เรื่อง” ไฟโกรธของมารดาแซ่เหอพุ่งขึ้นมาในชั่วขณะ 


 


 


เหอต้านิวกลับยืนนิ่งไม่ขยับ ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ร้องไห้เพียงอย่างเดียว 


 


 


มารดาแซ่เหอก็ยิ่งโมโห จิ้มหน้าผากของบุตรสาวก่นด่า “เจ้ามันน่าผิดหวังนัก ปกติก็เก่งนักไม่ใช่หรือ ตอนนี้เป็นอะไรไปแล้วเล่า เจ้าพูดสิ!” 


 


 


ถามอยู่นานเหอต้านิวก็ยังไม่พูดอะไรออกมา ยังคงเป็นสะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอที่ตามเข้ามาก้าวเข้าไปไกล่เกลี่ย “ท่านแม่ ต้านิวก็มาแล้ว เข้าไปล้างหน้าล้างตาก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า” 


 


 


มารดาแซ่เหอกระทืบเท้าอย่างเคียดแค้น กล่าวด้วยความหงุดหงิด “ชาติที่แล้วข้าก่อกรรมอะไรไว้ ชาตินี้พวกเจ้าแต่ละคนถึงได้เป็นผีทวงเวรมาเกิด ไปสิ ยังรอใครมาเชิญเจ้าอีก” 


 


 


ความสัมพันธ์ของสะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอกับน้องสาวสามียังดีอย่างยิ่ง ช่วยกันพาเหอต้านิวเข้าไปข้างในพร้อมกัน เตือนเสียงต่ำ “รีบเดิน อย่าทำให้ท่านแม่โกรธ” 


 


 


ผ่านการซักถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าของมารดาแซ่เหอและสะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอ เหอต้านิวก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง 


 


 


เหอต้านิวแต่งงานกับตระกูลจ้าว ตระกูลนี้ยังนับว่าไม่เลวจริงๆ ทั้งครอบครัวเป็นคนมีความรับผิดชอบ แม้จะพูดไม่ได้ว่ามีชีวิตที่ร่ำรวย แต่ก็มีกินมีใช้ โดยเฉพาะลูกเขยจ้าวเกิงเถียน เป็นเด็กผู้ชายที่ขยันมีคุณธรรม ตอนแรกที่หมั้นหมาย ผู้เฒ่าตระกูลจ้าวชอบใจน้องชายคนรองของต้านิวที่เป็นบัณฑิต เมื่อมีผลงานชื่อเสียงแล้วก็จะได้ช่วยเหลือลูกชายของน้องสาวได้ 


 


 


ตอนที่แต่งงาน ชีวิตผ่านไปด้วยความสงบสุข สองท้องแรกของเหอต้านิวล้วนแต่เป็นบุตรสาว ตระกูลจ้าวก็ไม่ได้รังเกียจ แต่หลังจากที่น้องรองฝั่งมารดาสอบเป็นขุนนางได้ ท่าทีของเหอต้านิวก็เปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่ตนไม่ทำงานบ้านอีก ยังจู้จี้จุกจิกกับพ่อแม่สามี บ้างก็ว่ากับข้าวกินยาก บ้างก็ว่าเสื้อผ้าซักให้นางเสียหาย เห็นพ่อแม่สามีเป็นคนใช้ 


 


 


สองสามีภรรยาตระกูลจ้าวเห็นแก่ลูกชายและหลานชายจึงอดทนต่อไป แต่เหอต้านิวไม่เพียงแต่ไม่สำนึกบุญคุณ กลับยังได้คืบเอาศอก 


 


 


เดิมบ้านเก่าของพวกเขาอยู่ที่สู่จง เหอจังหมิงมารับราชการที่อวิ๋นโจวพาพ่อแม่กับพี่ชายของตนมาด้วยก็พอจะเข้าใจได้ แต่ไม่เข้าใจว่าต้องตามมาแม้กระทั่งครอบครัวของพี่สาวที่ออกเรือน 


 


 


เหอต้านิวมีความสามารถในการทำเรื่องเช่นนี้ ยืนกรานจะตามน้องรองมาเสวยสุขให้ได้ บิดามารดาตระกูลจ้าวสองคนอายุมากแล้ว ไม่ยอมย้าย บอกว่าให้พวกเจ้าสองคนตามไป พวกข้าที่เป็นพ่อแม่จะอยู่ดูลูกๆ แทนพวกเจ้า เหอต้านิวไม่ยอม นางฉลาดอย่างยิ่ง มีบิดามารดาตระกูลจ้าวไปด้วย นางทำอะไรไม่เป็นรอแต่คนมาปรนนิบัติ แม้แต่ลูกยังไม่เคยถามไถ่ ชีวิตสุขสบายมากขึ้นเรื่อยๆ อะไรนะ เจ้าบอกว่าให้ซื้อคนใช้มาก็ได้ไม่ใช่หรือ ซื้อคนใช้ก็ต้องใช้เงินมิใช่หรือ คนที่มีอยู่ตอนนี้ไม่รู้จักใช้ โง่นัก! 


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้เหอต้านิวก็ก่อเรื่องในบ้านอย่างถึงที่สุด ก่อเรื่องจนจ้าวเกิงเถียนโมโหอยากหย่า แต่บิดามารดาตระกูลจ้าวไหนเลยจะยอมให้หย่า ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าอย่างไรเสียเหอต้านิวก็ให้กำเนิดลูกชายสามคนแก่ตระกูลจ้าว เพียงแค่น้องรองบ้านมารดาของนางผู้นั้นเป็นนายอำเภอ ขยับนิ้วนิดหน่อยก็ยังมีหนทางการดำรงชีพให้พวกเขาได้ไม่ใช่หรือ สุดท้ายยังคงเป็นบิดามารดาตระกูลเหอที่ยอมจำนน ลงกลอนประตูใหญ่ในบ้าน จากบ้านไกลไปยังอวิ๋นโจวด้วยอายุปูนนี้ 


 


 


เริ่มด้วยครึ่งปีนั้นเพราะว่าไม่เคยชินกับสภาพแวดล้อม บิดามารดาตระกูลเหอเกือบจะป่วยตาย เมื่อดีขึ้นแล้วคนก็ผอมลงไปมาก ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนแต่ก่อน รู้สึกผิดต่อลูกชายจ้าวเกิงเถียน แอบเช็ดน้ำตาเงียบๆ ท่าทีที่มีต่อเหอต้านิวก็เย็นชาลง วันคืนกินนอนอยู่ที่ร้านค้า เดิมเขาก็ขยัน ทำการค้าด้วยความซื่อสัตย์ ครึ่งปีสั้นๆ ก็ขยายร้านได้ การค้าขายในร้านค้าก็รุ่งเรือง 


 


 


เหอต้านิวพอใจอย่างยิ่ง ดูสิ คิดถูกแล้วที่มาอวิ๋นโจว อยู่ที่สู่จงคิดว่าที่นาไม่กี่ผืนนั่นจะทำให้มีชีวิตที่ดีเช่นตอนนี้ได้หรือไร ด้วยเหตุนี้นางจึงกำเริบเสิบสาน วันทั้งวันสวมทองใส่เงิน วาดคิ้วบางๆ เรียกคนนั้นมาบ้านที เรียกคนนี้มาบ้านที ชอบฟังคำยกย่องของผู้อื่น แม้แต่ลูกก็ไม่เลี้ยงแล้ว 


 


 


บิดามารดาตระกูลจ้าวย่อมไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น ขอเพียงแค่นางไม่หาเรื่องก็พอแล้ว 


 


 


พูดได้ว่าการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นมาจากเพลงพื้นบ้านที่แพร่หลายอยู่ในเมืองอวิ๋นโจวบทนั้น ตระกูลจ้าวเองก็ได้ยินแล้ว เดิมจ้าวเกิงเถียนก็รู้สึกว่าบ้านภรรยาก็ทำไม่เหมาะสม เหตุใดถึงได้ประพฤติตนลืมบุญคุณเช่นนี้ หากไม่ใช่ว่าภรรยาบังคับ เขาก็ไม่อยากแม้แต่จะไปเยี่ยมบ้านภรรยาแล้ว 


 


 


วันนี้จ้าวเกิงเถียนกำลังยุ่งกับงานอยูที่ร้านค้า พ่อเขาวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก บอกว่าจินเป่าหายตัวไป ภายหลังก็มีเด็กขอทานส่งกระดาษมาให้ 


 


 


ผู้เฒ่าแซ่จ้าวไม่รู้หนังสือ ตกใจสติไม่อยู่กับตัว ทำได้เพียงมาหาลูกชาย 


 


 


จ้าวเกิงเถียนเห็นกระดาษ ชั่วพริบตาก็เข้าใจแล้ว ลูกชายเขาถูกคนจับตัวไป ในกระดาษเขียนว่า นายอำเภอเหอเป็นคนหน้าด้านไร้ยางอาย ตระกูลจ้าวที่เป็นพี่เขยก็ต้องเป็นคนไม่ดีเช่นกัน เขาก็แค่ออกหน้าช่วยเหลือผู้ได้รับความไม่เป็นธรรม อยากได้ลูกชายกลับไปย่อมได้ เอาเงินสามร้อยตำลึงมาไถ่ตัวคน 


 


 


จ้าวเกิงเถียนอ่านกระดาษเสร็จแล้วก็ถอนหายใจยาวหนึ่งครา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็หาคนรู้จักขายร้านค้าเสียวันนั้นเลย เหอต้านิวเองก็ตื่นตระหนก แม้ว่านางไม่ค่อยได้เลี้ยงลูก แต่กลับรู้ดีว่าลูกคือหลักประกันและที่พึ่งพิงในอนาคตของตน เห็นสามีขายแม้แต่ร้านค้า นางก็เก็บรวบรวมเครื่องประดับเงินทองของตนไปจำนำเช่นกัน แม้ในใจจะกระอักเลือด แต่อย่างไรเสียลูกชายก็สำคัญกว่ามิใช่หรือ 


 


 


ทรัพย์สินในบ้าน บวกกับเงินที่ขายร้านค้าจำนำเครื่องประดับ รวบรวมเงินมาได้สามร้อยตำลึงอย่างยากลำบาก โจรเรียกค่าไถ่ผู้นั้นเองก็รักษาคำพูด รับเงินแล้วก็ส่งจินเป่าคืนมา 


 


 


เหอต้านิวกอดลูกชายที่หายไปและกลับมาไม่วางมือ ทว่าจ้าวเกิงเถียนที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดกลับยื่นหนังสือขับภรรยาหนึ่งฉบับให้นางทันที “เจ้าไปเถอะ เจ้าเป็นความหายนะ พวกเราตระกูลจ้าวไม่ต้องการสตรีเช่นเจ้า” เขาไม่สนใจความกลัดกลุ้มของบิดามารดาก็ขับเหอต้านิวออกไปเสียแล้ว 


 


 


เหอต้านิวตะลึงงัน ร้องไห้ตะโกนโวยวายไม่ยอมไป แต่ครั้งนี้จ้าวเกิงเถียนใจแข็ง ผ่านเรื่องนี้ไปเขาก็เข้าใจแล้ว เขายอมครองตัวเป็นโสดดีกว่าจะต้องให้หญิงสาวเช่นนี้มาส่งผลกระทบต่อลูกๆ ของเขา เขาคิดดีแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะพาพ่อแม่และลูกๆ กลับไปสู่จง หลังจากนี้ก็ครอบครัวก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข 


 


 


เหอต้านิวมองลูกชายลูกสาวสามคนของตน แต่กลับพบว่าสายตาที่พวกเขามองตนเย็นชาผิดปกติ ก็ใช่น่ะสิ นางเพียงแค่คลอดพวกเขา แต่กลับไม่เคยเลี้ยงพวกเขาอย่างสิ้นเชิง จะมีความผูกพันอะไรได้ 


 


 


เหอต้านิวถูกผลักออกจากเรือนตระกูลจ้าว ไม่ว่านางจะทุบตีประตูอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจ เหอต้านิวจนปัญญา ทำได้เพียงเดินออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์ อวิ๋นโจวแห่งนี้นางเองก็ไม่มีที่จะไป ทำได้เพียงกลับมาหามารดาที่ตระกูลเหอ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)