อัจฉริยะสมองเพชร 1958-1959

 ตอนที่ 1958 เทพดาบสิบลี้จะเป็นใครกัน?

ส่วนจางเซวียน เมื่อเห็นผู้อาวุโสลู่อวิ๋นนำตราหยกออกมาและเปิดเผยต่อหน้าศิษย์สายตรงของเขา ในชั่วพริบตานั้น ความคิดที่อยากจะเอาหัวโขกกำแพงแล้วจบชีวิตให้รู้แล้วรู้รอดไปก็แวบเข้ามา


ไม่เคยมีสักครั้งในช่วงชีวิตของเขานับตั้งแต่ทะลุมิติมายังโลกใบนี้ที่ต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าศิษย์สายตรงของตัวเอง


ปวดใจ เราปวดใจเหลือเกิน!


“เอาล่ะ เรากลับกันได้หรือยัง?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นทำลายบรรยากาศของความกระอักกระอ่วน


ตอนที่เขาเห็นผู้คนมากมายกระอักเลือด แต่หมอนี่ไม่เป็นอะไร ความคิดที่ว่าอีกฝ่ายอาจเป็นเทพดาบสิบลี้ก็แวบเข้ามาทันที แต่เมื่อได้เห็นผลลัพธ์บนตราหยก ก็รู้ทันทีว่าตัวเองคิดมากไป!


เจตจำนงเพลงดาบที่แผ่ออกไปได้ไกลไม่ถึง 1 เมตรนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอยู่ ด้วยเจตจำนงเพลงดาบที่อ่อนแอขนาดนี้ ก็ไม่แปลกอะไรที่อีกฝ่ายจะไม่รู้สึกถึงเจตจำนงเพลงดาบอันหนักหน่วงที่ถาโถมเข้าเล่นงานหอเทพดาบเมื่อครู่ก่อน และก็เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ได้รับอันตรายจากแรงตีกลับของการทำลายล้างนั้น


ส่วนเทพดาบจะเป็นใคร…ในฐานะผู้อาวุโสฝ่ายนอก เขาไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้ข้อมูลระดับนั้น อัจฉริยะที่เข้าถึงระดับของเทพดาบย่อมอยู่เหนืออำนาจการตัดสินของเขา นี่เป็นสิ่งที่บุคลากรชั้นสูงเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์รับรู้


หลังจากส่งตั้นเฉี่ยวเทียนกับจางเซวียนกลับที่พัก ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นก็ประสานมือและกล่าวอำลา


เพราะตั้นเฉี่ยวเทียนผ่านการทดสอบแล้ว เขาจึงต้องนำตราหยกที่ระบุผลการทดสอบไปยื่นต่อที่ประชุมผู้อาวุโสเพื่อขอตราสัญลักษณ์ศิษย์สายตรงฝ่ายในให้ตั้นเฉี่ยวเทียน การที่ตัวเขาพาอัจฉริยะที่สามารถปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบได้ถึง 499 เมตรเข้าสู่สำนักได้นั้น รางวัลที่ได้รับจะต้องมากมายเอาการ


บางทีเขาอาจใช้โอกาสนี้ผลักดันให้ตัวเองได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปเป็นผู้อาวุโสฝ่ายในก็ได้!


ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นขี่อสูรบินได้ไป ไม่ช้าก็มาถึงสภาผู้อาวุโส


ก่อนจะเข้าสู่พื้นที่ เขาเห็นผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน


ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสฝ่ายในของสำนัก ซึ่งก่อนจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง พวกเขาก็ทำงานกับบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายนอกเช่นกัน จึงมีความสนิทสนมกันดี แต่เมื่อขอบเขตของการทำงานเริ่มต่างกันออกไป ทุกวันนี้การพูดคุยติดต่อกันจึงทำได้ยาก


“ผู้อาวุโสมู่ รีบร้อนทำไม? เกิดอะไรขึ้นหรือ?”


เห็นสีหน้าปั่นป่วนของทุกคน ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นรั้งตัวผู้อาวุโสคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดไว้และตั้งคำถาม


“เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว คุณยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยหรือ?” ผู้อาวุโสมู่คือชายชราผอมกะหร่องที่มีเคราเขียวครึ้ม เขาสวมเสื้อคลุมไหมสีน้ำเงิน “อ้อ ใช่ ผมลืมไปว่าคุณเป็นแค่ผู้อาวุโสฝ่ายนอก ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เข้าร่วมในสภาผู้อาวุโส จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้เรื่อง…”


“….”


ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นรู้สึกอยากต่อยชายชราที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาทันที


“อย่าโมโหน่ะ คุณก็รู้ว่าผมตรงไปตรงมาเสมอ ผมอยากพูดอะไรผมก็พูด…” ผู้อาวุโสมู่ตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ “คุณคงรู้จักผู้อาวุโสที่ 1, เหอเทียนใช่ไหม?”


“ใช่” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพยักหน้า


ในฐานะผู้อาวุโสที่ 1 เหอเทียนมีอำนาจล้นเหลือภายในสำนัก ซึ่งหากท่านเจ้าสำนักไม่อยู่ เขาก็มีอำนาจโดยตรงในการตัดสินใจทุกเรื่องของสำนักดาบเมฆเหิน


“ต่อให้คุณไม่รู้จักเขาก็ไม่เป็นไรหรอก ไม่จำเป็นต้องเออออตามผมเพียงเพราะคุณกระอักกระอ่วนใจ ผมหมายความว่า…เป็นธรรมดาที่คุณจะไม่เคยพบเขาเพราะคุณเป็นแค่ผู้อาวุโสฝ่ายนอก…” ผู้อาวุโสมู่โบกมือ


เส้นเลือดที่ขมับของผู้อาวุโสลู่อวิ๋นปูดโปน ข้อนิ้วลั่นกราว เขาสูดหายใจลึกก่อนจะขัด “ผมว่าคุณควรเข้าประเด็นเสียที เกิดอะไรขึ้นกับผู้อาวุโสเหอเทียน?”


“ผู้อาวุโสเหอเพิ่งส่งข้อความหาบรรดาผู้อาวุโสฝ่ายในและผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่านั้น ข้อความนั้นมีอยู่ว่า…ประตูภูเขาและดาบเล่มใหญ่พังทลายแล้ว!” ผู้อาวุโสมู่อธิบาย จากนั้นก็โคลงศีรษะเมื่อพลันนึกบางอย่างได้ “อือ นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณไม่ได้รับข้อความ เพราะถึงอย่างไรคุณก็เป็นแค่ผู้อาวุโสฝ่ายนอก…”


“ประตูภูเขาและดาบเล่มใหญ่พังทลายแล้ว?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นตาโตด้วยความประหลาดใจ


ประตูภูเขาและดาบเล่มใหญ่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของสำนักดาบเมฆเหิน มันเป็นเครื่องแสดงถึงคติพจน์ของสำนัก ‘ทะเยอทะยานเหนือหมู่เมฆ ทำลายสวรรค์ทั้งเก้า!’ แต่ทั้งสองอย่างพังทลายไปแล้ว นี่ถือเป็นความกระทบกระเทือนครั้งใหญ่ต่อชื่อเสียงและเกียรติยศของสำนักดาบเมฆเหิน


“ทำไมถึงพังได้? เกิดอะไรขึ้น?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นถามอย่างร้อนใจ


“ผมก็ไม่รู้ เมื่อครู่นี้น่ะมีเจตจำนงเพลงดาบที่ทรงพลังอย่างน่าทึ่งเกิดขึ้น คุณน่าจะรู้สึกได้นะ เจตจำนงเพลงดาบนั้นดูจะทำลายเจตจำนงเพลงดาบที่อยู่ภายในดาบเล่มใหญ่ ทำให้มันพังทลาย…” ผู้อาวุโสมู่ไม่ค่อยแน่ใจในรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้น เขาส่ายหน้าและพูดต่อ “เอาเถอะ ผมต้องไปที่สภาผู้อาวุโสซึ่งเป็นสถานที่เฉพาะสำหรับผู้อาวุโสฝ่ายในและผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า คงคุยกับคุณไม่ได้แล้วล่ะ…”


จากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้วรีบตรงเข้าสู่สภาผู้อาวุโส


“หมอนั่นไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ…” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นถอนหายใจอย่างจนปัญญา


เพราะคำพูดคำจาที่ปราศจากการไตร่ตรอง ผู้อาวุโสมู่จึงมีเรื่องกับผู้คนมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมเปลี่ยนนิสัย


แต่ถึงจะปวดใจ ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นก็ยังได้ข้อมูลสำคัญจากอีกฝ่าย-ดาบเล่มใหญ่และประตูภูเขาพังทลายแล้ว!


“เจตจำนงเพลงดาบ…หรือว่าจะเป็นฝีมือของเทพดาบสิบลี้เมื่อครู่ก่อน?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นคิด


เขาได้สัมผัสเจตจำนงเพลงดาบนั้นด้วยตัวเองและรู้ดีว่ามันไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าจะทรงพลังขนาดนี้!


สามารถเล่นงานได้แม้กระทั่งเจตจำนงเพลงดาบที่ผู้ก่อตั้งถ่ายทอดไว้ในดาบเล่มใหญ่…


เทพดาบสิบลี้จะเป็นใครกัน?


“ในเมื่อเหล่าผู้อาวุโสกำลังประชุมเครียด การที่เราจะเดินเข้าไปรายงานเรื่องตั้นเฉี่ยวเทียนจะถือว่าเหมาะสมหรือเปล่า?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นครุ่นคิด


ด้วยความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นำมาซึ่งการพังทลายของประตูภูเขาและดาบเล่มใหญ่ ดูจะไม่เหมาะสมนักที่เขาจะพรวดพราดเข้าไปตอนนี้เพื่อรายงานเรื่องศิษย์สายตรงหน้าใหม่คนหนึ่ง


“ช่างมันเถอะ! ถึงอย่างไรก็ควรเข้าไป…นี่เป็นความพยายามครั้งแรกของตั้นเฉี่ยวเทียน และเขาก็ทำได้ถึง 499 เมตร ไร้เทียมทานยิ่งกว่าศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดบางคนเสียอีก แถมตอนนี้เขาเป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1…เหล่าผู้อาวุโสน่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และคงตบรางวัลให้เราอย่างงาม!” ในที่สุดผู้อาวุโสลู่อวิ๋นก็ตัดสินใจ


การนำพาอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องเข้าสู่สำนักถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ในเมื่อมีผู้อาวุโสคนใหญ่คนโตรวมตัวกันอยู่มากมาย เขาก็น่าจะมีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่ง


ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นสลัดความลังเลต่างๆทิ้งไป เขามุ่งหน้าสู่สภาผู้อาวุโส


…..


ในตอนนั้น ที่บ้านพักของศิษย์สายตรงฝ่ายใน จางเซวียนกำลังจ้องหน้าศิษย์สายตรงของเขา เมื่อทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว เขาตั้งคำถาม “คุณปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบออกไปไกลถึง 499 เมตรได้อย่างไร?”


เรื่องนี้ค้างคาใจจางเซวียยมาตลอด ตัวเขาเองปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบได้ไม่ถึง 1 เมตรด้วยซ้ำ แต่ศิษย์สายตรงของเขาที่ได้รับการบ่มเพาะอย่างครึ่งๆกลางๆคนนี้กลับทำคะแนนได้สูงลิ่ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล


“ผม…” ได้ยินคำถามของท่านอาจารย์ ตั้นเฉี่ยวเทียนเกาหัวอย่างอับอายก่อนจะตอบว่า “ผมใช้ศิลปะเพลงดาบที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดให้ผม และโยนดาบออกไป…ไม่นึกเลยว่าการปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบจะไปได้ไกลขนาดนั้น”


“คุณโยนดาบ? แนวคิดที่อยู่เบื้องหลังกระบวนท่านั้นจัดว่าไม่เลวเลยนะ…แต่เดี๋ยว!” จางเซวียนอ้าปากค้างเมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างในคำพูดของตั้นเฉี่ยวเทียน


“เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าคุณโยนดาบ หมายความว่าคุณถือดาบไว้ในระหว่างการทดสอบใช่ไหม?”


“ก็ใช่น่ะสิ นักดาบจะสำแดงเจตจำนงเพลงดาบออกมาและผ่านการทดสอบโดยปราศจากดาบในมือได้อย่างไร…” ยังไม่ทันที่ตั้นเฉี่ยวเทียนจะพูดจบ ก็พลันเกิดความกระจ่าง เขาอ้าปากค้าง “อ่า…ใช่ ผมโยนดาบออกไปตอนที่ทำการทดสอบ ท่านอาจารย์…คงไม่ใช่ว่าคุณพยายามทำการทดสอบโดยไม่มีดาบในมือหรอกนะ ใช่ไหม?”


ศิลปะเพลงดาบของเขายังอ่อนด้อยเกินไป ลงท้ายจึงต้องใช้กระบวนท่าโยนดาบ และในเมื่อไม่มีผนังอยู่ด้านหน้า เขาจึงไม่รู้ว่าดาบกระเด็นไปตกที่ไหน จึงไม่ได้เก็บมันมา


ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อท่านอาจารย์ตั้งคำถามแบบนี้ ก็ถึงกับไปต่อไม่ถูก


นักดาบคนหนึ่งจะสำแดงเจตจำนงเพลงดาบโดยปราศจากดาบได้อย่างไร?


ก็เหมือนกับการพยายามรีดนมจากวัวตัวผู้! จะเค้นเอาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงออกมาได้อย่างไรกัน?


แต่ถึงอย่างนั้น ท่านอาจารย์ก็ยังได้ผลลัพธ์แบบเดียวกับเขา


ท่านอาจารย์รีดนมจากวัวตัวผู้ได้จริงๆ


ทำได้อย่างไรกัน?


ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า


“แค่ก แค่ก…”ได้ฟังคำอธิบายของตั้นเฉี่ยวเทียน จางเซวียนถึงกับปวดใจอย่างหนัก


บ้าที่สุด! ผมลงทุนลงแรงไปตั้งมากมาย กลับกลายเป็นว่าเหตุที่ผลลัพธ์ของผมน่าสมเพชแบบนั้นก็เพราะคุณทำดาบหาย!


ผมมีลูกศิษย์ที่ไว้ใจไม่ได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ไม่แปลกใจแล้วที่ผมทำได้ไม่ถึง 1 เมตร ลงท้ายมันก็ไม่ใช่ปัญหาของผมเลย…


“ช่างมันเถอะ ผมจะฝึกฝนวรยุทธ” จางเซวียนถอนหายใจเฮือก เขาโบกมือก่อนจะกลับเข้าห้อง


จางเซวียนทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่งเพื่อบรรเทาอาการปวดใจก่อนจะนำหนังสือเทียบฟ้าออกมาอีกครั้ง


เขาสูญเสียหน้าหนังสือสีทองไปหน้าหนึ่งเพียงเพื่อสกัดกั้นกระแสดาบฉี ถึงอย่างไรก็ต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น!


จางเซวียนพลิกหน้าหนังสือเทียบฟ้าแล้วแตะเบาๆลงไปบนกระแสดาบฉีที่กำลังแหวกว่ายอย่างอิสระ


ฟิ้วววว!


กระแสความรู้ไหลจากปลายนิ้วของเขาเข้าสู่จิตใต้สำนึก ทำให้เกิดอาการเวียนหัวตึ้บขึ้นมาทันที จางเซวียนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังบีบหัวสมองของเขา พยายามจะให้มันระเบิด จากนั้นเสียงระฆังทุ้มลึกก็ดังก้องในหัว


“วิถีทางของเพลงดาบไม่ใช่เส้นทางที่แท้จริงของสวรรค์ มันเป็นเส้นทางที่มนุษย์รังสรรค์ขึ้น…” เสียงนั้นเริ่มพูด ไม่ช้าจางเซวียนก็ดำดิ่งอยู่กับมัน


การตีความศิลปะเพลงดาบของเสียงนี้ลึกซึ้งกว่าที่เขาเคยร่ำเรียนมาก ถึงขนาดที่แม้แต่ศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าก็ดูไม่ต่างอะไรกับเนินเขาเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าภูเขาอันยิ่งใหญ่


ตอนที่ 1959 เราเข้าใจแล้ว

แม้ศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าจะไร้ข้อบกพร่อง แต่นั่นก็วัดโดยใช้มาตรฐานของสรวงสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ เมื่อเจอกับศิลปะเพลงดาบนี้ ก็ถือว่ามีข้อบกพร่องมากมาย


เรื่องนี้ก็เหมือนกับความรู้ที่คนๆหนึ่งได้ร่ำเรียนเมื่อยังเด็ก มันอาจไม่เป็นความจริงเสมอไปเมื่อเขาเข้าสู่มหาวิทยาลัย


การไขว่คว้าหาความรู้คือการเดินทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด แม้แต่สวรรค์ก็ขัดขวางไม่ได้ สิ่งใหม่ๆถูกนำมาสู่โลกใบนี้อย่างต่อเนื่อง แล้วสวรรค์ก็ซึมซับพวกมันเข้าไป


สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความจริงในวันหนึ่งอาจเป็นแค่เรื่องตลกเมื่อเวลาผ่านไปอีก 100 ปี


ไม่แปลกใจแล้วที่เราปรับตัวให้คุ้นชินกับพลังจิตวิญญาณในมิติเบื้องบนได้อย่างง่ายดายแม้จะฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า…กลับกลายเป็นว่าสำหรับสรวงสวรรค์ของมิติเบื้องบน เทคนิควรยุทธของเรามีข้อบกพร่องมากมาย


จะว่าไป ถ้าสรวงสวรรค์ของโลกแต่ละใบมีคำจำกัดความเรื่องถูกผิดเป็นของตัวเอง…แล้วเกณฑ์การตัดสินที่แท้จริงว่าอะไรถูกหรือผิดนั้นมีอยู่จริงหรือเปล่า?


ทุกดินแดนมีกฎเกณฑ์และวัฒนธรรมของตัวเอง สิ่งที่เป็นเรื่องถูกต้องในดินแดนหนึ่งอาจกลายเป็น ความผิดร้ายแรงในอีกดินแดนหนึ่งก็ได้ แล้วสรวงสวรรค์จะเป็นแบบเดียวกันไหม?


เป็นไปได้ว่าสิ่งที่สรวงสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์มองว่าถูกต้องอาจไม่ได้การยอมรับจากสรวงสวรรค์ของมิติเบื้องบน


ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่าทุกอย่างที่เราฝึกฝนมาล้วนแต่มีข้อบกพร่อง?


จางเซวียนปวดหัวหนึบขึ้นมาอีกครั้ง


ตั้งแต่เขาเริ่มฝึกฝนวรยุทธเมื่อ 2 ปีก่อน ก็มีความเชื่อมั่นในเคล็ดวิชาเทียบฟ้าอย่างไม่คลอนแคลนหรือหวั่นไหว เขาเชื่อว่ามันถูกต้องเพราะหอสมุดเทียบฟ้าบอกอย่างนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าแม้แต่ ‘ความสมบูรณ์แบบ’ ก็เป็นแนวคิดที่ขึ้นอยู่กับสรวงสวรรค์ของโลกแต่ละใบ


เรื่องนี้ทำให้เขาออกจะรู้สึกแย่


จางเซวียนพยายามขับเคลื่อนเทคนิควรยุทธ แต่ในช่วงเวลาครู่หนึ่งของความจังงัง เขาได้ยินเสียงตะโกนก้องมาจากส่วนลึกของจิตใต้สำนึก นี่มันบกพร่อง!


จางเซวียนพยายามสำแดงเทคนิคการต่อสู้ แต่เสียงเดิมก็ตะโกนใส่ บกพร่อง, บกพร่อง, บกพร่อง! พวกมันล้วนแต่มีข้อบกพร่อง!


นัยน์ตาของจางเซวียนเริ่มแดงก่ำ ควันสีขาวลอยโขมงออกจากกระหม่อม พลังปราณของเขาเดือดพล่าน ดูราวกับมีบางอย่างกำลังจะระเบิดออกจากตัว


ถ้านักรบสักคนได้เห็น ก็จะเข้าใจทันทีว่าวรยุทธของชายหนุ่มคนนี้กำลังถูกธาตุไฟเข้าแทรก!


จางเซวียนไม่เคยเผชิญกับอุปสรรคใดๆในการฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า แต่เพียงไม่ถึงครึ่งเดือนหลังจากเข้าสู่มิติเบื้องบน วรยุทธของเขาก็ถูกธาตุไฟเข้าแทรก!


และเท่าที่เห็น ดูเหมือนเขาคงย่ำแย่หากผ่านการทดสอบครั้งนี้ไปไม่ได้


ครืนนนน!


ขณะที่ความเชื่อมั่นและศรัทธาของจางเซวียนเริ่มสั่นไหว หอสมุดเทียบฟ้าที่อยู่ในหัวสมองของเขาก็สั่นสะท้านไม่หยุด มันรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหว หอสมุดแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ


ความสงสัยข้องใจของเขากำลังกัดกร่อนทำลายทุกสิ่งที่อยู่ภายใน


พลั่ก!


แรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ร่างของจางเซวียนพุ่งขึ้นถึงขีดสุด เลือดกระอักออกจากปาก


วิ้งงงง!


ขณะที่ทุกอย่างกำลังจะเข้าสู่ภาวะวิกฤต จี้สีแดงที่จางเซวียนห้อยไว้ที่ลำคอก็เรืองแสงอบอุ่นออกมา แล้วตรงเข้าโอบล้อมเขาไว้


มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นและปลอบประโลมราวกับแสงอาทิตย์ยามเช้า จิตใจที่กำลังปั่นป่วนวุ่นวายของจางเซวียนสงบลงอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาที่แดงก่ำของเขาค่อยๆกลับสู่สภาวะปกติ


ขณะที่สติสัมปชัญญะของจางเซวียนค่อยๆแจ่มชัดขึ้น คำตอบก็ปรากฏตรงหน้า


เราเข้าใจแล้ว ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เราร่ำเรียนมานั้นผิดพลาด แต่มันอยู่ในมุมมองที่จำกัด หากมองจากมุมที่สูงกว่าเดิม ก็จะได้ภาพรวมที่สมบูรณ์แบบและชัดเจนกว่า…


เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนหวนนึกถึงเรื่องเล่าของกลุ่มชายตาบอดที่ได้สัมผัสช้างตัวหนึ่ง ชายคนหนึ่งแตะที่ขาช้างและบอกว่ามันเหมือนกับเสา อีกคนแตะส่วนท้องแล้วบอกว่าเหมือนกับผนัง อีกคนแตะที่หางแล้วบอกว่าเหมือนงูตัวหนึ่ง…


พวกเขาผิดหรือ?


จากมุมมองของแต่ละคน สิ่งที่ชายตาบอดเหล่านั้นพูดออกมาล้วนแต่ไม่ผิด แต่เมื่อมองภาพรวม คำตอบของพวกเขาห่างไกลจากความเป็นจริงมาก


นี่คือปัญหาที่เกิดจากการมองสิ่งต่างๆด้วยมุมมองที่ไม่กว้างพอ


แต่ด้วยความล้ำลึกของวรยุทธ เป็นไปไม่ได้ที่ใครสักคนจะเห็นภาพรวมว่าวรยุทธที่แท้จริงคืออะไร บางทีหอสมุดเทียบฟ้าอาจเป็นสิ่งที่เข้าใกล้ความรู้ระดับนั้นมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าปราศจากข้อบกพร่องอย่างสิ้นเชิง มันถูกจำกัดไว้ด้วยโลกที่มันอาศัยอยู่


มิติเบื้องบนเป็นมิติที่สูงส่งกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์ มีข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และรายละเอียดมากมายให้บรรดานักรบได้ใช้เพื่อขัดเกลาศิลปะการต่อสู้ของตัวเองให้สมบูรณ์แบบที่สุด นั่นคือเหตุผลที่จางเซวียนเริ่มเห็นข้อบกพร่องในเทคนิคที่เขาฝึกฝนมา


ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เขาฝึกฝนมามีข้อผิดพลาด แต่เมื่อนำสิ่งที่เขาเคยร่ำเรียนมาประยุกต์ใช้กับโลกของมิติเบื้องบนที่ยิ่งใหญ่และกว้างใหญ่กว่า ความรู้เดิมที่เขามีก็แสดงข้อจำกัดบางอย่างออกมาให้เห็น


นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้


เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในโลกใบเก่าของเขา แน่นอนว่าทฤษฎีที่ใหม่กว่าและสมบูรณ์แบบกว่าเกิดขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างที่เขาเคยร่ำเรียนมาจะไร้ประโยชน์


ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในทุกวันนี้เหมือนกับตัวต่อที่ถูกนำมาใช้ เคลื่อนย้าย เสริมเข้าไป หรือปรับเปลี่ยนเพื่อขยายมุมมองของความรู้ที่พวกเขามีอยู่ให้กว้างออกไปอีก


เพราะฉะนั้น…ก็เป็นแบบนี้ จางเซวียนคิด


ด้วยความเข้าใจที่เกิดขึ้นใหม่ ในที่สุดเจตจำนงเพลงดาบก็หลอมรวมเข้ากับสมองของจางเซวียน ทำให้เขาเกิดความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบที่ล้ำลึกกว่าเดิม


แก่นสารเพลงดาบที่เน้นความเร็ว, แก่นสารเพลงดาบที่เน้นพละกำลัง และแก่นสารเพลงดาบที่เน้นการป้องกันตัวที่จางเซวียนเคยร่ำเรียนมาไหลเข้าสู่หัวสมองของเขาและหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นศิลปะเพลงดาบที่สมบูรณ์แบบ


ไม่แปลกใจแล้วที่ไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่สามารถหลอมรวมแก่นสารหลากหลายประเภทเข้าด้วยกันได้ ในตอนนั้น ทุกคนต่างคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะแก่นสารแต่ละประเภทมีองค์ประกอบที่แตกต่างกันไปมากมาย แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ ปัญหาคือมุมมองที่พวกเขาใช้มองศิลปะเพลงดาบนั้นอ่อนด้อยเกินไป!


จางเซวียนได้รู้จากท่านพ่อของเขา, จางเจินชิง ว่ามีผู้คนเพียงหยิบมือที่สามารถทำความเข้าใจแก่นสารเพลงดาบ 2 รูปแบบได้ ส่วนผู้ที่เชี่ยวชาญแก่นสารเพลงดาบถึง 3 รูปแบบนั้นแทบจะไม่มีอยู่ในโลก ด้วยเหตุนี้ การหลอมรวมพวกมันเข้าด้วยกันจึงไม่ต่างอะไรกับความฝันลมๆแล้งๆ


ในตอนนั้นจางเซวียนพยายามหาหนทาง แต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเขาก็ได้แต่ประมวลมันให้เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ขาดความเชื่อมโยงของเนื้อหาและยังมีข้อจำกัด…


แต่เท่าที่เห็น ก็พอจะดูออกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์ยังไม่พร้อมสำหรับสิ่งนี้


ดูอย่างไอแซกนิวตัน นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากโลกใบเก่าของเขา นิวตันค้นพบแรงโน้มถ่วงเพียงเพราะแอปเปิ้ลลูกหนึ่งหล่นใส่ศีรษะของเขาหรือ?


ไม่ เรื่องนั้นไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เป็นเพราะเขายืนอยู่บนบ่ายักษ์อยู่แล้วต่างหาก มีนักวิทยาศาสตร์มากมายนับไม่ถ้วนก่อนหน้านิวตันที่ได้สั่งสมความรู้จนถึงระดับที่ทำให้เขาพร้อมจะเปิดประตูออกสู่โลกใบใหม่


แต่ทวีปแห่งปรมาจารย์ยังไม่ได้สั่งสมความรู้จนมากพอที่จะเปิดประตูเข้าสู่ศิลปะเพลงดาบชนิดใหม่ได้


วิ้งงงง!


ขณะที่ความเข้าใจในแก่นสารหลากหลายรูปแบบรวมกันเป็นหนึ่งภายในหัวสมองของเขา รังสีของจางเซวียนก็แผดกล้าขึ้นอย่างรวดเร็ว การปรากฏตัวของเขาดูคล้ายกับดาบที่คมกริบกว่าเดิม ทั้งกายเนื้อ พลังปราณ และจิตวิญญาณของเขาผ่านการขัดเกลาและบ่มเพาะอย่างเข้มข้น


ด้วยศิลปะเพลงดาบระดับนี้ เราจะเป็นผู้ไร้เทียมทานในบรรดานักรบที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน!


เหตุผลที่ไม่มีใครในหอนิรันดร์สู้กับเขาได้ ก็เพราะเมืองแสงดาวเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญเกินไป


แต่ทันทีที่เขาเดินทางมาถึงสำนักดาบเมฆเหินและรับรู้ได้ถึงแนวคิดที่อยู่ในดาบเล่มใหญ่บริเวณทางเข้า ก็รู้ทันทีว่าตัวเขาไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิดไว้ แต่ในสภาวะนี้ ต่อให้เทพดาบสิบลี้กลับมาที่หอเทพดาบและปรากฏตัวตรงหน้าเขาอีกครั้ง เขาก็มั่นใจว่าจะใช้การดวลศิลปะเพลงดาบเอาชนะอีกฝ่ายได้


หลังจากหลอมรวมเจตจำนงเพลงดาบแล้ว หน้าหนังสือสีทองก็ระเบิดและหายวับไปพร้อมกับปล่อยควันโขมง


“ก็ไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียวนะ…” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะลืมตาขึ้นอีกครั้ง


เจตจำนงเพลงดาบนี้ดูจะนำพาตัวเขาไปอยู่บนบ่ายักษ์ในทันที ผลักดันศิลปะเพลงดาบของเขาให้เข้าถึงระดับที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน เพียงเท่านี้ก็ถือว่าได้ประโยชน์ใหญ่หลวงแล้ว


ไม่อย่างนั้น ต่อให้เขาฝึกฝนไปอีกสิบหรือร้อยปี ก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะมีความเข้าใจถึงระดับนี้


“ลั่วชิง ขอบคุณมาก” จางเซวียนพึมพำขณะกำจี้สีแดงที่ห้อยอยู่รอบลำคอ


เมื่อครู่นี้ ตอนที่วรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก หัวสมองและจิตใจของเขาสับสนปั่นป่วนมาก เขาสูญเสียการควบคุมตัวเองอย่างสิ้นเชิง และแม้แต่หอสมุดเทียบฟ้าก็เกือบจะถูกทำลาย เป็นเพราะจี้ที่หลัวลั่วชิงมอบให้เขาได้ช่วยชีวิตเขาไว้ในช่วงเวลาคับขันนั้น


หรือว่าจะเป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้เธอผนวกเอามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไว้ในหอสมุดเทียบฟ้า? เธอคาดเดาไว้แล้วหรือเปล่าว่าในอนาคตตัวเขาจะมีโอกาสได้ใช้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง?


คาดเดา?


จางเซวียนก้มหน้าลงพิจารณาจี้สีแดงอย่างถี่ถ้วน มันมีสีแดงก่ำเหมือนเลือด ดูน่ากลัวเหมือนอย่างที่เคยเป็น แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขารู้สึกว่าสีของมันหม่นลงเล็กน้อย


คุณเป็นใครกัน?


หลัวลั่วชิงรู้เรื่องหอสมุดเทียบฟ้า และเห็นได้ชัดว่าเธอคาดการณ์ไว้แล้วว่าเหตุการณ์แบบนี้จะต้องเกิดขึ้น ยิ่งเขารู้เรื่องของเธอมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนเธอจะยิ่งลึกลับขึ้นเท่านั้น


“เราไม่ควรเสียเวลาอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่อีกแล้ว ควรรีบหาตัวเจ้าสำนักหรือเหล่าผู้อาวุโสและท้าทายพวกเขา บางทีเราอาจได้ข่าวคราวของตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณจากพวกนั้นก็เป็นได้” จางเซวียนพึมพำขณะลุกขึ้นยืนและเดินออกไป


เขาเดินไปถึงลานบ้าน ได้พบลูกน้องที่เขาเพิ่งรับมาใหม่และมอบหมายภารกิจแรก “เฉาเฉิงลี่ ผมมีเรื่องให้คุณจัดการ ผมอยากให้คุณไปดูว่าจะได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของสำนักดาบเมฆเหิน มาได้อย่างไร และนำมันมาให้ได้ ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ ผมอยากได้สัก 2-3 อัน!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)