ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1956-1967
ตอนที่ 1956 การตอบโต้ของโจวจื่อหัว
ความจริงข่าวของโจวจื่อหัวได้มาจากเหยียนหมิงซุ่น ซึ่งเป็นคดีที่โอหยางซานซานเป็นฆาตกรฆ่าโอหยางสยงนั่นเอง
คดีของโอหยางสยงกลายเป็นคดีรอลงอาญาที่ฝ่ายตำรวจฮ่องกงยังตามจับฆาตกรไม่ได้ ส่วนทางฝั่งแผ่นดินใหญ่เองก็ยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะแม้แต่ศพยังตามหาไม่พบ บวกกับโอหยางสยงเป็นกบฏที่ลักลอบหนีไปอยู่ฮ่องกงแล้ว ฉะนั้นนายใหญ่ก็คร้านจะสิ้นเปลืองทรัพยากรในการตามสืบคดีอีกจึงปล่อยเลยตามเลยไป
คนตระกูลโอหยางทำได้เพียงยอมรับความจริงแม้พวกเขาจะรู้สึกว่าหลานชายตนตายอย่างไม่ยุติธรรม แต่ตระกูลโอหยางในเวลานี้ราวกับธารน้ำแข็งชั้นบางที่ไม่มีใครเป็นผู้หนุนหลังและอิทธิพลลดน้อยลงทุกวัน จึงไม่มีหนทางตามสืบสาเหตุการตายที่แท้จริงของโอหยางสยงได้เลย
โจวจื่อหัวชี้ตัวว่าโอหยางซานซานเป็นฆาตกรลงหนังสือพิมพ์โดยตรงและใช้ชื่อเสียงที่ตนสั่งสมมาตลอดหลายปีเป็นประกัน โดยบอกว่าโอหยางซานซานจิตใจโหดเหี้ยม เนื่องด้วยความไม่พอใจที่โอหยางสยงนำพาความเดือดร้อนมาสู่ตัวเธอจึงลงมือฆ่าลูกพี่ลูกน้องแท้ ๆของตนอย่างทารุณ อีกทั้งยังโยนศพของโอหยางสยงให้เป็นอาหารปลาในทะเลไปแล้วด้วย
ต่อให้โจวจื่อหัวจะอธิบายเป็นเหตุเป็นผลลงหนังสือพิมพ์และชาวบ้านก็เชื่อคำพูดของเขา แต่กลับไม่มีผลทางกฎหมายต่ออู่เยวี่ยเพราะไม่มีหลักฐาน
อีกอย่างอู่เยวี่ยไม่ใช่คนฮ่องกง กฎหมายฮ่องกงไม่มีผลต่อพลเมืองต่างประเทศ
แต่โจวจื่อหัวเองไม่ได้ลงหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เพื่อให้ชาวฮ่องกงดูเป็นหลัก เขาไม่มีเวลาว่างมาแต่งเรื่องระบายความในใจให้ชาวฮ่องกงอ่านหรอก
เหยียนหมิงซุ่นสั่งลูกน้องคัดลอกคำแถลงการณ์นี้ลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นให้เหมือนเดิมทุกตัวอักษร
นี่ต่างหากเป้าหมายสุดท้ายของโจวจื่อหัว
ตัวเขาไม่อาจมาแก้แค้นถึงจีนแผ่นดินใหญ่ได้ เช่นนั้นเขาจะใช้วิธีการแผนซ้อนแผน เขาต้องให้คนแพศยาอู่เยวี่ยตายทั้งเป็นไปเป็นทาสภรรยาเขาในนรกภูมิและไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีก
สำนักพิมพ์หนึ่งของเมืองหลวงได้คำแถลงการณ์นี้มาในวันแรกที่ฉลองตรุษจีนพอดี นี่เหมือนดั่งกับทิ้งระเบิดกลางมหาสมุทรทำเอาคนทั้งเมืองตะลึงงัน โดยเฉพาะคนแก่ทั้งสองของตระกูลโอหยาง
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่าฆาตกรที่ฆ่าหลานชายสุดรักของพวกเขาจะเป็นหลานสาวที่ตอนนี้ได้สร้างความภาคภูมิใจแก่พวกเขาได้
ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?
อู่เยวี่ยเองก็ตั้งรับกับข่าวฉุกละหุกนี้ไม่ทันจนมึนไปพักใหญ่ ตาแก่โจวจื่อหัวทำไมถึงได้เล่นตลบหลังแบบนี้?
หนิงเฉินเซวียนเห็นคำแถลงการณ์นี้ก็โมโหจนพังข้าวของในห้องทั้งหมด เส้นเลือดในสมองเกือบแตก
นับตั้งแต่อู่เยวี่ยแต่งเข้าบ้านมาเขาไม่เคยได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขสักวัน จำนวนครั้งที่ระเบิดอารมณ์มากกว่าเมื่อสิบปีที่ผ่านมาอยู่มาก ตระกูลหนิงตบแต่งสะใภ้แบบนี้เข้าบ้านนับเป็นความโชคร้ายที่สั่งสมมาแปดชั่วโคตร รอเด็กคลอดออกมาแล้วจะต้องกำจัดนังแพศยานี้ให้ได้ เขาจะปล่อยให้เธออยู่สร้างความอับอายขายหน้าคนทั้งโลกไม่ได้อีกเด็ดขาด!
หนิงเฉินเซวียนเริ่มคิดแผนฆ่าอู่เยวี่ยและตัดสินใจแน่วแน่ว่าวันที่เด็กคลอดก็คือวันตายของอู่เยวี่ย ไม่ต้องออกจากห้องคลอดด้วยซ้ำไป
เฮ่อเหลียนเช่อเองก็คาดไม่ถึงว่าโจวจื่อหัวจะทำแบบนี้ นี่เห็นได้ชัดว่าโจวจื่อหัวร่วมมือกับเหยียนหมิงซุ่นเพราะสำนักพิมพ์แห่งนั้นอยู่ภายใต้ชื่อของเหยียนหมิงซุ่น นอกจากเขาก็ไม่มีใครกล้าทำขนาดนี้แล้ว
แต่การแก้แค้นของโจวจื่อหัวก็เป็นไปตามความคาดหมายของเขา ในเมื่ออู่เยวี่ยทำให้ภรรยาของเขาต้องตาย เรื่องนี้ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็คงทนไม่ได้
ไม่นานเฮ่อเหลียนเช่อก็ได้ทำการตอบโต้โดยลงแถลงการณ์เช่นกัน เขาเขียนเป็นเชิงว่าคำแถลงของโจวจื่อหัวคือการใส่ร้ายป้ายสีล้วน ๆ อีกทั้งยังเน้นย้ำว่าตอนนี้โอหยางซานซานเป็นคุณนายของตระกูลหนิง
ซึ่งความหมายของประโยคนี้ก็คือโจวจื่อหัวต้องระมัดระวังคำพูดของตัวเอง อย่าไปหาเรื่องคนที่ตนไม่ควรมีเรื่องด้วย
แต่โจวจื่อหัวไม่ได้สนใจก่อนจะลงบทความอีกฉบับที่คราวนี้ไม่ใช่คำแถลงการณ์อีกแต่เป็นบทความที่มีเนื้อหาอนาจาร โดยเขียนเรื่องราวความสัมพันธ์ลับ ๆระหว่างเขากับอู่เยวี่ยนั่นเอง
เหมยเหมยตั้งใจอ่านบทความฉบับนี้โดยเฉพาะ สำนวนการเขียนใช้ได้ซึ่งแน่นอนว่าโจวจื่อหัวได้จ้างวานมือปืนในการเขียนจึงอธิบายได้ละเอียดยิบย่อยจนถือเป็นคู่มือการสอนบทรักครั้งแรกระหว่างชายหญิงได้เลย
“พี่ ตอนนี้อู่เยวี่ยเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” เหมยเหมยถามอย่างสนใจ
ทางที่ดีก็เอาให้โมโหจนลูกหลุดออกมาเลยแล้วกัน!
…………………..
ตอนที่ 1957 ทุ่มหมดหน้าตัก
“รายละเอียดไม่รู้แน่ชัดหรอกแต่ไม่สงบสุขแน่ละ เฮ่อเหลียนเช่อกับหนิงเฉินเซวียนอารมณ์ร้ายจะตาย”
เหยียนหมิงซุ่นเองก็พึงพอใจต่อการกระทำครั้งนี้ของโจวจื่อหัวอย่างมาก นึกถึงการจ้างมือปืนมาเขียนบทความอนาจารได้…เก่งไม่เบาเลย!
เหมยเหมยหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านบทความอีกครั้ง ในบทความมีแต่เรื่องบนเตียงในวันวานของอู่เยวี่ยกับโจวจื่อหัว เห็นทีโจวจื่อหัวคงทุ่มหมดหน้าตักอย่างไม่อับอายแล้วจริง ๆ
รายละเอียดขอไม่เอ่ยถึงแต่โจวจื่อหัวได้เน้นไปที่เอกลักษณ์เฉพาะบนเรือนร่างของอู่เยวี่ยหรือก็คือรอยสักของเธอในบทความ รอยสักที่เป็นรูปนกฟินิกซ์กระโจนเข้ากองไฟ อีกทั้งจุดเด่นของรอยสักนี้ก็คือดวงตาของนกฟินิกซ์นี้คือไฝสีแดงตรงช่วงอกของอู่เยวี่ย
พออ่านถึงตรงนี้เหมยเหมยก็ลอบแค่นหัวเราะทีหนึ่ง อู่เยวี่ยมีไฝสีแดงอยู่จุดหนึ่ง ทั้งที่ความจริงเป็นเพียงไฝธรรมดาเม็ดหนึ่งเท่านั้น ตอนเด็กเธอเคยเห็นแต่เหอปี้อวิ๋นกลับบอกว่าเป็นไฝเสน่ห์ น่าขำชะมัดเลย!
จากตรงนี้เธอจึงมั่นใจได้ว่าโอหยางซานซานก็คืออู่เยวี่ยไม่ผิดตัวแน่นอน
เมื่อครั้นที่เธอถ่ายรูปโป๊เปลือยของโอหยางซานซาน เธอไม่เห็นว่าบนร่างกายของโอหยางซานซานจะมีไฝอะไร และเป็นไปไม่ได้ว่าจะมีไฝขึ้นภายหลัง
แต่ก็เพราะบทความนี้ทำให้คนตระกูลโอหยางเกิดความลังเลขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าสอง บนตัวซานซานมีไฝแดงนี้ไหม? ทำไมฉันถึงจำได้ว่าไม่มีล่ะ!” ฮูหยินผู้เฒ่าถามลูกชายคนรองโอหยางเซี่ยงหมิงด้วยสีหน้าฉงน
แม้เธอไม่ชอบหลานสาวคนนี้แต่ก็เคยเลี้ยงดูโอหยางซานซานตอนเด็กอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ย่อมรู้ดีว่าบริเวณอกหลานสาวมีไฝแดงหรือไม่ แต่เธอก็กลัวว่าอาจเป็นเพราะอายุมากเลยจำผิดถึงถามลูกชายให้มั่นใจ
โอหยางเซี่ยงหมิงส่ายหน้า “ไม่มีไฝแดงแน่นอน ตอนเด็กผมเป็นคนอาบน้ำให้ซานซานเอง บนตัวไม่มีไฝสักเม็ดเดียว”
เพราะเขาได้ลูกสาวในช่วงวัยกลางคนจึงรักใคร่เอ็นดูโอหยางซานซานเป็นอย่างมาก ตอนเด็กโอหยางซานซานได้รับการดูแลจากเขาอย่างดี ในขณะที่หวงอวี้เหลียนไม่ค่อยสนใจนัก
แต่ใครจะรู้ว่าลูกสาวที่เขารักเป็นแก้วตาดวงใจจะเป็นหลานสาวของตัวเอง หัวใจของโอหยางเซี่ยงหมิงเจ็บแปลบทีหนึ่งแล้วแอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ลูกชายตายไปแล้ว หวงอวี้เหลียนก็ตายไปแล้ว…เฮ้อ!
เรื่องอดีตก็ปล่อยให้มันลอยไปตามสายลมเถอะ!
คุณย่าโอหยางถอนใจเฮือกหนึ่ง “งั้นผู้หญิงที่โจวจื่อหัวพูดถึงก็ไม่ใช่ซานซานของเราแน่นอน ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหนถึงได้กล้าปลอมตัวเป็นซานซานไปเป็นชู้รักของตาแก่นั่น คนแพศยาหน้าไม่อาย…พ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกให้เป็นคนแบบนี้คงได้ขายหน้าบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรแล้วมั้ง”
คนอื่น ๆของตระกูลโอหยางก็ถอนใจโล่งอกทีหนึ่ง ไม่ใช่โอหยางซานซานก็พอ พวกเขาไม่อยากอับอายขายหน้าหรอกนะ!
โอหยางเซี่ยงหมิงดูรูปถ่ายของโอหยางซานซานบนหนังสือพิมพ์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ ทั้งที่คนในรูปคือลูกสาวของเขาแท้ ๆแต่ทำไมถึงมีไฝสีแดงบนตัวได้ล่ะ?
อีกอย่างหลังจากโอหยางซานซานกลับมาจากต่างประเทศ เขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ต่อหน้าลูกสาวเขาไม่กล้าพูดเสียงดังด้วยซ้ำ เขามักรู้สึกว่าโอหยางซานซานกลายเป็นคนที่สุขุมร้ายลึกซึ่งไม่คล้ายลูกสาวในความทรงจำของเขาเลยสักนิดเดียว
แต่โอหยางเซี่ยงหมิงไม่ได้คิดมากไปกว่านั้น บางทีเขาอาจจะรู้สึกถึงความผิดปกติแต่เขาไม่อยากรู้ความจริง เขาคิดว่าสภาวะในตอนนี้ดีที่สุดแล้ว
เฮ่อเหลียนเช่อตามตัวโอหยางเซี่ยงหมิงให้เขาลงแถลงการณ์ตำหนิโจวจื่อหัวที่ใส่ร้ายลูกสาวของเขาอย่างโอหยางซานซาน อีกทั้งให้บอกว่าโอหยางซานซานไม่มีไฝแดงบนตัวแล้วให้โอหยางเซี่ยงหมิงเอารูปเปลือยสมัยเด็กของโอหยางซานซานลงหน้าหนังสือพิมพ์ด้วย
พอเหมยเหมยเห็นรูปเปลือยของโอหยางซานซาน ซึ่งเป็นเวลาที่เธอกำลังทานข้าวอยู่จึงทำเอาเกือบพ่นข้าวใส่เหยียนหมิงซุ่น
“พี่ ตอนนี้เราจะทำอย่างไรต่อไปดี?” เหมยเหมยชักเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา อยากเหยียบซ้ำอีกสักทีจริง ๆ
ตอนที่ 1958 มีหลักฐาน
เหยียนหมิงซุ่นหยิบกระดาษเช็ดปากขึ้นมาซับคราบน้ำซุปตรงมุมปากให้เหมยเหมยพลางกล่าว “เราไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น รอดูเรื่องสนุก ๆก็พอ!”
“แต่คนตระกูลโอหยางเอารูป ‘เปลือย’ ออกมาแล้วนะ ทำอย่างไรดีล่ะ?” เหมยเหมยเริ่มกังวล
“สบายใจได้ โจวจื่อหัวไม่ยอมแพ้ง่าย ๆหรอก” เหยียนหมิงซุ่นเชื่อในตัวโจวจื่อหัวอย่างมาก การฝ่าดงอาวุธไต่เต้าขึ้นมาครองตำแหน่งเจ้าพ่อใหญ่ของฮ่องกงได้ โจวจื่อหัวจะโดนรังแกได้ง่าย ๆหรือ?
เป็นไปตามคาด–
ไม่นานโจวจื่อหัวก็ได้ทำการตอบโต้โดยงัดหลักฐานชั้นหนึ่งอย่างรูปถ่าย หนังสือเดินทางต่าง ๆของอู่เยวี่ย รวมถึงบัตรนักศึกษาและบัตรประจำตัวประชาชนหรือหลักฐานรูปภาพยืนยันสถานะตัวตนของอู่เยวี่ยที่เขาสามารถรวบรวมได้ทั้งหมดออกมาโชว์ ลำบากเขาไม่น้อยกว่าจะตามหามาได้จนครบขนาดนี้
ในบัตรประจำตัวเหล่านี้ล้วนมีแต่ชื่อโอหยางซานซาน วันเดือนปีเกิดและที่อยู่อาศัยก็เป็นของโอหยางซานซาน ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้ว่าโจวจื่อหัวไปขุดข้อมูลนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดมาได้อย่างไร
ในเอกสารข้อมูลนั้นต้องกรอกชื่อบิดามารดาและในใบนั้นอู่เยวี่ยกรอกไปว่า–
บิดา :โอหยางเซี่ยงหมิง
มารดา :หวงอวี้เหลียน (เสียชีวิต)
ทีนี้ก็สนุกละ!
หากจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่ชู้รักคนนั้นของโจวจื่อหัวจะชื่อโอหยางซานซานและมีหน้าตาคล้ายคลึงกับโอหยางซานซานที่อยู่เมืองหลวงละก็ แต่ตอนนี้ขนาดวันเดือนปีเกิดและที่อยู่อาศัยก็ตรงกัน หรือกระทั่งชื่อข้อมูลหรือการมีชีวิตอยู่หรือไม่ของบิดามารดาก็เหมือนกันด้วย
หากบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญอีก เกรงว่าต่อให้เธอบอกว่ามาจากดาวอังคารก็คงมีคนเชื่อ!
สมแล้วที่โจวจื่อหัวเป็นเจ้าพ่อใหญ่ ทำอะไรไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ!
คนตระกูลโอหยางเริ่มลนลานไม่รู้ควรรับมืออย่างไรดี พวกเขาแอบกล่าวโทษอู่เยวี่ยลับหลังที่สร้างความอับอายแก่ตระกูลพวกเขา
“ฉันว่านิสัยเหมือนแม่ที่ตายไปของเธอไม่มีผิด สำส่อนแต่เกิด ไม่มีผู้ชายหน่อยก็อยู่ไม่ได้ แม้แต่เรื่องนี้ยังกินไม่เลือก” คุณย่าโอหยางแสดงท่าทีรังเกียจหลานสาวอย่างไม่ปกปิด
ต่อให้ตอนนี้อู่เยวี่ยจะเป็นเด็กที่ได้ดีที่สุดของตระกูล แต่เธอก็ไม่ชอบอยู่ดี
โอหยางเซี่ยงหมิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “แม่…คนเขาก็ไม่อยู่แล้ว หยุดว่าสักทีเถอะ!”
ความจริงเขายังมีเยื่อใยต่อหวงอวี้เหลียน ตามคำกล่าวที่ว่ายิ่งแค้นมากก็ยิ่งรักมาก ตอนนี้ลูกชายและภรรยาจากไปแล้วทั้งคู่จึงทำให้ความแค้นของเขาค่อย ๆจางหายไปตามกาลเวลา พอหวนนึกถึงอีกครั้งก็ทำได้แค่พรูลมหายใจยาว
คุณย่าโอหยางเบะปากไม่พอใจกับท่าทีของลูกชายอย่างมาก คนแพศยาหวงอวี้เหลียนต่อให้ตายซ้ำ ๆร้อยรอบก็ลบล้างความแค้นในใจเธอไม่ได้ ตระกูลโอหยางพังเพราะเงื้อมมือนางแพศยาคนนี้ทั้งสิ้น
คราวนี้โอหยางเซี่ยงนับว่าฉลาดพอที่ปิดปากสนิทไม่ยอมรับ เขาบอกเพียงว่าโจวจื่อหัวจงใจหาคนใส่ร้ายลูกสาวของเขา คิดอยากจะทำลายชื่อเสียงลูกสาวเขาด้วยเจตนาอันร้ายกาจ
เฮ่อเหลียนเช่อเองก็ตามหาอู่เยวี่ยที่โกรธจนเกือบแท้งเจอพลางเอ่ยเสียงเย็นชา “ไปลบรอยสักบนตัวเธอซะ แล้วก็ไฝของเธอก็ต้องจี้ออก”
โจวจื่อหัวไล่ต้อนไม่หยุดส่วนนายใหญ่ก็ปั่นป่วนไปหมดทำเอาเขากับคุณลุงต้องถูกกระตุ้น ตอนนี้จึงทำได้เพียงเริ่มลงมือจากอู่เยวี่ยก่อน
อู่เยวี่ยกล่าวอย่างตกใจ “ตอนนี้ฉันท้องอยู่นะแล้วจะผ่าตัดได้อย่างไร? แบบนี้มันจะส่งผลถึงลูกได้นะ!”
บริเวณหน้าอกของเธอถูกนางแพศยาจ้าวเหมยกรีดไปหลายครั้งจนรอยแผลเป็นลึกไม่สามารถหายได้ในเร็ววัน แต่ตอนนั้นเธอกลับไม่มีเวลามากนักเลยหาทางออกโดยการสักนกฟินิกซ์เพื่อปิดทับรอยแผล ขณะเดียวกันก็สื่อให้เห็นถึงความตั้งใจในการแก้แค้นของเธอ!
เฮ่อเหลียนเช่อแสดงสีหน้าเย็นชา “ฉันจะหาหมอที่ดีที่สุด เด็กจะไม่เป็นไร สามวันหลังจากนี้ฉันจะจัดหมอมาผ่าตัดให้เธอ”
ตอนนี้โจวจื่อหัวเป็นดั่งนักรบบนทุ่งหญ้ากว้างของทวีปแอฟริกาที่เอาแต่จับจ้องพวกเขาไม่เลิก ศัตรูแบบนี้จะเป็นผลเสียต่อเขากับคุณลุง หากไม่อยากถึงขั้นเสียเลือดเสียเนื้อก็ทำได้แค่สละอู่เยวี่ยทิ้ง
ต่อให้เด็กมีปัญหาจริงก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ อย่างมากก็แค่ทำเด็กหลอดแก้วใหม่อีกรอบ!
…………………..
ตอนที่ 1959 เจ้าพ่อสุดเจ๋ง
อู่เยวี่ยดูออกถึงความเย็นชาที่เฮ่อเหลียนเช่อมีต่อเด็กในท้องของเธอจนทำให้เธอหนาวเหน็บหัวใจ หากเด็กเป็นอะไรไปจริง ๆ เธอต้องไม่รอดแน่ ๆ
หนิงเฉินเซวียนต้องหาทางกำจัดเธอแล้วประกาศต่อคนภายนอกว่าคุณนายเฮ่อเหลียนจากไปเพราะอาการป่วย เรื่องนี้ก็จะปิดฉากลงอย่างสวยงาม
ส่วนการตายของเธอก็เปรียบได้ดั่งหิ่งห้อยตัวหนึ่งที่หายสาบสูญไปท่ามกลางเมืองหลวงใหญ่ที่แออัดไปด้วยผู้คนและคงไม่มีใครจดจำเธอได้อีก
อู่เยวี่ยนึกเกลียดความไร้หัวใจของเฮ่อเหลียนเช่อเหลือเกิน แต่เธอไม่อาจขัดขืนได้จึงทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่ง ปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต
โอหยางเซี่ยงหมิงไม่ยอมรับและแน่นอนว่าโจวจื่อหัวก็ไม่ยอมแพ้ ครั้งนี้เขาใช้ท่าไม้ตายถึงขั้นเสียสละตัวเอง
เขาได้ลงรูปบนเตียงของเขากับอู่เยวี่ยลงหน้าหนังสือพิมพ์ซึ่งระดับความเปลือยไม่ด้อยไปกว่าหนังโป๊แต่อย่างใด แต่พนักงานฝ่ายกรองข่าวก็ได้ทำการเซนเซอร์จุดสำคัญบนตัวโจวจื่อหัวให้อย่างเอาใจใส่ ส่วนของอู่เยวี่ยถูกเปิดอย่างหมดเปลือก!
นอกจากรูปอนาจารเหล่านี้เจ้าพ่อโจวยังได้เอ่ยชื่นชมฝีมือบนเตียงของอู่เยวี่ยไว้ด้วย
“ถึงผมกับคุณโอหยางท่านนี้จะมีความแค้นขนาดอยู่ใต้ผืนฟ้าเดียวกันไม่ได้ แต่ก็ต้องแยกแยะเป็นเรื่องราวไป ฝีมือบนเตียงของคุณโอหยางดีที่สุดในบรรดาคู่นอนในตลอดหลายปีที่ผ่านมาของผมเลยละ โดยเฉพาะทักษะการทำออรัลเซ็กส์ของเธอทำเอาผมเกือบสำลักความสุขตาย จุดนี้ผมเคยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเหล่า ‘พ่อบุญธรรม’ ท่านอื่น ๆของคุณโอหยางมาก่อน ซึ่งเราทุกคนต่างมีความคิดที่ตรงกันหมด”
เหมยเหมยอ่านจนลูกตาแทบหลุดออกมาอยู่แล้ว มีแค่คำเดียวที่เธออยากมอบให้โจวจื่อหัว–
เจ๋ง!
เหยียนหมิงซุ่นเองก็อ่านจนหลุดขำไปด้วย วิธีนี้ของโจวจื่อหัวอยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปมากจริง ๆ ตามคำกล่าวที่ว่าคนขี้โกงมักกลัวคนเอาจริง ตอนนี้โจวจื่อหัวยอมทุ่มหมดหน้าตักทั้งโกงทั้งเอาจริง แถมยังใช้วิธีสุดโต่งที่หนิงเฉินเซวียนกับเฮ่อเหลียนเช่อยังคิดหาวิธีจัดการคนที่กัดไม่ปล่อยอย่างโจวจื่อหัวไม่ได้ชั่วขณะ
เขาโทรหาลูกน้อง “เพิ่มกำลังคุ้มกันคุณหนูคุณผู้ชายสามคนของตระกูลโจว อย่าให้พวกเขาต้องเป็นอะไรไปแม้แต่นิดเดียว”
เหตุผลที่โจวจื่อหัวกล้าทำขนาดนี้เพราะเขาเชื่อใจเหยียนหมิงซุ่น ดังนั้นเขาไม่มีทางทำให้เพื่อนร่วมงานต้องผิดหวัง
แต่เขาก็ไม่กังวลใจมาก ตอนนี้โจวจื่อหัวเป็นปรปักษ์กับพวกเฮ่อเหลียนเช่อแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับสามพี่น้องโจวซิ่งเอ๋อร์ในเมืองหลวง ผู้ต้องสงสัยคนแรกก็คือพวกเฮ่อเหลียนเช่อ หมอนี่คงยังไม่โง่ถึงขั้นเอาตัวไปเสี่ยงพัวพันกับคดีหรอก
“จะให้ฉันโทรบอกซิ่งเอ๋อร์ไหมว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งถ่ายละคร อยู่บ้านเฉย ๆก่อน” เหมยเหมยถาม
“ไม่จำเป็น เรื่องนี้ยังไม่จบง่าย ๆ ยังต้องมีเรื่องกันต่ออีกสักพักเลย พวกโจวซิ่งเอ๋อร์ใช้ชีวิตเหมือนปกติก็พอ ไม่จำเป็นต้องทำให้พวกเขาต้องลำบากหรอก” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยเสียงเรียบ
โจวจื่อหัวเตรียมเล่นงานอู่เยวี่ยให้ตายช้า ๆ ฉะนั้นอย่าเพิ่งรีบ เรื่องสนุก ๆเพิ่งเปิดฉากขึ้นเอง!
พอเหมยเหมยได้ยินว่ายังมีเรื่องต่อก็ดีใจในฉับพลัน “ไม่รู้ว่าตอนนี้อู่เยวี่ยเป็นอย่างไรบ้าง คนแพศยานั่นอึดอย่างกับวัว ทำอย่างไรก็ไม่แท้งสักที น่าโมโหเสียจริง”
หลังจากเหยียนหมิงซุ่นบอกเธอว่าขอเพียงเด็กในท้องอู่เยวี่ยแท้ง หนิงเฉินเซวียนก็ต้องกำจัดเธอทิ้งเป็นคนแรก เหมยเหมยเลยอธิษฐานให้อู่เยวี่ยแท้งทุกวันไม่มีเว้น
ภายในห้องพักผู้ป่วยพิเศษของโรงพยาบาลเขตทหารในเมืองหลวงแห่งหนึ่ง อู่เยวี่ยที่ร่างเปลือยครึ่งท่อนบนนอนอยู่บนเตียงเตรียมผ่าตัด และเพื่อปกป้องเด็กในท้องเธอจึงไม่ได้ฉีดยาสลบดังนั้นเธอยังอยู่ในสภาวะรู้สึกตัวดี
คุณหมอบอกว่าจะแบ่งการผ่าตัดเลเซอร์ให้เธอออกหลายครั้งเพราะกลัวสภาพร่างกายเธอแบกรับไม่ไหว และแต่ละครั้งจะใช้เวลาไม่นาน เช่นนี้ก็จะลดความเสี่ยงอันตรายต่อเด็กในท้องได้มากที่สุด
“โอเค เราเริ่มกันเลย!” คุณหมอเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างมาก แต่พอเข้าหูอู่เยวี่ยกลับเหมือนเสียงยมบาลในนรกที่เรียกให้เธอต้องหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง
ตอนที่ 1960 การกลับมาของเหยียนหมิงต๋า
เรื่องราวหลังจากนั้นสร้างความผิดหวังแก่เหมยเหมยอย่างมากเพราะทางอู่เยวี่ยหายเงียบไป หรือแม้กระทั่งโอหยางเซี่ยงหมิงก็เงียบกริบไปด้วยเพราะใช้ความเงียบเข้าสู้ไม่ยอมตอบโต้โจวจื่อหัว ในเมื่อเล่นละครคนเดียวมันจะสนุกได้อย่างไร ทางฝั่งโจวจื่อหัวเองจึงหายไปด้วยอีกคน
เหยียนหมิงซุ่นเองก็คิดหาวิธีไม่ได้ชั่วขณะจึงให้โจวจื่อหัวรอคำสั่งเงียบ ๆ เพราะจากนิสัยของเฮ่อเหลียนเช่อแล้วคราวนี้เสียเปรียบไปตั้งมากเขาไม่มีทางยอมกล้ำกลืนความแค้นนี้หรอก เขาต้องแอบคิดแผนการใหญ่ลับหลังอยู่อย่างแน่นอน ส่วนพวกเขาก็รอรับมืออยู่นิ่ง ๆก็พอ
ไม่นานก็มาถึงคืนวันส่งท้ายปีเก่าของตรุษจีน ทุกบ้านกำลังเตรียมสำหรับการมาเยือนของวันตรุษจีนเลยไม่มีใครให้ความสนใจข่าวซุบซิบนินทาอีก สามพี่น้องโจวซิ่งเอ๋อร์ก็กลับไปฉลองตรุษจีนกับโจวจื่อหัวที่ฮ่องกง ความสงบจึงได้บังเกิดขึ้นชั่วคราว
คืนส่งท้ายปีเก่าเหมยเหมยได้กลับไปฉลองกับพวกคุณย่าหยางกับเหยียนหมิงซุ่น คนแก่สองคนใช้ชีวิตที่เมืองหลวงอย่างมีความสุขและคุ้นชินเป็นอย่างดี อีกทั้งยังได้รู้จักกับเพื่อนใหม่มากมาย ชีวิตมีความสุขมากเชียวละ
พออารมณ์ดีก็เจริญอาหารจนทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นตามลำดับ หลังจากคุณปู่เหยียนอยู่ห่างจากลูกชายกับลูกสะใภ้ที่น่ารำคาญใจ แถมยังได้รับการบำรุงจากยาวิเศษอีกจึงทำให้สุขภาพดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ไม่ต้องให้คุณย่าหยางคอยประคองแล้วเพราะคุณปู่เหยียนสามารถใช้ไม้เท้าก้าวเดินช้า ๆได้ ทุกเช้าเขาจะออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะตามลำพังอีกต่างหาก!
คุณย่าหยางซื้อของกลับมาฉลองตรุษจีนมากมายและเริ่มทำการเตรียมมื้อค่ำของคืนส่งท้ายปีเก่าตั้งแต่คืนก่อนหน้าเสียอีก วัตถุดิบอาหารอย่างเนื้อไก่เป็ดปลาหมูกุ้งรากบัวที่ต้องตระเตรียมไว้ เนื้อปลาจะสื่อถึงเหลือกินเหลือใช้ทุกปี รากบัวสื่อความหมายให้มีเส้นทางที่ราบรื่น…สิ่งเหล่านี้เป็นของที่ทุกบ้านในเมืองจินจะต้องทำในมื้อค่ำส่งท้ายปีไว้ทานพร้อมหน้าพร้อมตากันในครอบครัวเพื่อเสริมความสิริมงคล
เพราะปีนี้เหยียนหมิงต๋าจะกลับมาฉลองวันตรุษจีนด้วย หลังจากเขาไปเกณฑ์ทหารก็ไม่เคยได้กลับมาอีกติดต่อกันสองปีแล้ว คุณย่าหยางกับคุณปู่เหยียนต่างคิดถึงหลานชายคนเล็กกันมาก
“พี่ เหยียนหมิงต๋าตอนนี้ยังโง่เหมือนเดิมอยู่ไหมนะ? อย่าเผลอไปเจออู่เยวี่ยอีกเชียว!” เหมยเหมยค่อนข้างเป็นห่วง
อสรพิษอู่เยวี่ยมักหาทางหลอกล่อคนอื่นไปทั่ว คนไม่เกี่ยวข้องใด ๆอย่างเซียวเวยยังถูกใช้เป็นเครื่องมือได้ แล้วพ่อหนุ่มผู้ลุ่มหลงในความรักอย่างเหยียนหมิงต๋าหากอู่เยวี่ยตามตัวเจอเข้าคงต้องกลายเป็นเครื่องมือหลอกใช้อีกแน่นอน
“ไม่ต้องกลัว ตอนนี้หมิงต๋าฉลาดขึ้นบ้างแล้วไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้น อีกอย่างอู่เยวี่ยก็ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงสักหน่อย” เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้กังวลขนาดนั้น
เจ้าน้องชายโง่เขลาของเขาลุ่มหลงเพียงอู่เยวี่ยคนเดียวและไม่สนใจผู้หญิงคนอื่น หากอู่เยวี่ยไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ลำพังใช้รูปลักษณ์ภายนอกของโอหยางซานซานก็ไม่มีทางมัดใจเหยียนหมิงต๋าได้หรอก
เหมยเหมยครุ่นคิดตามก็เห็นด้วยเลยค่อยสบายใจขึ้นบ้าง
คุณย่าหยางกำลังทอดปอเปี๊ยะตรงลานบ้าน กลิ่นหอมเย้ายวนลอดผ่านช่องประตูเข้ามาก่อนที่เหมยเหมยจะสูดกลิ่นสุดแรงพลันเอ่ยเสียงดีใจ “คุณย่าดีจังเลย รู้ว่าหนูชอบปอเปี๊ยะก็เลยทอดให้ทาน ไม่ได้ทานปอเปี๊ยะรสดั้งเดิมมานานแล้ว”
“ชอบก็ทานเยอะ ๆ ย่าห่อไว้เยอะเลย มีแต่ไส้ผักกาดขาวหมูสับของโปรดหนูทั้งนั้นด้วย แถมยังสดใหม่มากเลยละ” คุณย่าหยางหัวเราะเสียงใส หลังจากมาอยู่เมืองหลวงคุณย่าดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากและแข็งแรงเป็นพิเศษ
“ขอบคุณค่ะคุณย่า เดี๋ยวหนูห่อกลับไปให้พ่อแม่กับพี่ชายหนูทานบ้าง พวกเขาชอบปอเปี๊ยะฝีมือคุณย่ามากเลยค่ะ” เหมยเหมยหยิบปอเปี๊ยะที่ถูกทอดสีเหลืองอร่ามขึ้นมาหนึ่งชิ้นใส่ปากพลางเอ่ยออดอ้อนปากหวานเหมือนปากเคลือบน้ำผึ้ง เอาอกเอาใจคุณย่าจนยิ้มหน้าบาน
“ส่วนของพ่อแม่หนูย่าห่อไว้หมดแล้วแช่ไว้ในตู้เย็น อยากทานก็เอาออกมาทอดสักหน่อยก็ทานได้แล้ว” คุณย่าหยางยิ้มอย่างใจดีพลางใช้มือตักปอเปี๊ยะที่ทอดเสร็จขึ้นมาไม่มีหยุดพักพร้อมจัดเรียงเป็นแถวสวยงาม
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มปลื้มใจแล้วเดินเข้าห้องไป เหยียนหมิงต๋ากำลังเล่นหมากรุกกับคุณปู่เหยียน พอเห็นเขาก็รีบลุกขึ้นตะเบะท่าทหารทำความเคารพ
“พี่ใหญ่!”
…………………..
ตอนที่ 1961 ยังโง่เหมือนเดิม
เหยียนหมิงต๋าที่ผ่านการฝึกในค่ายทหารมาสองปีดูตัวสูงขึ้นกว่าเดิมและสูงกว่าเหยียนหมิงซุ่นไปกว่าคืบ ผอมลงและผิวคล้ำขึ้น ใบหน้าที่แต่เดิมอ้วนกลมกลับซูบลงไม่น้อย ดวงตาก็ดูลึกซึ้งขึ้นด้วยเช่นกัน
จากเด็กผู้ชายก้าวกระโดดเป็นผู้ชายเต็มตัวในชั่วพริบตา
ความจริงตลอดสองปีที่ผ่านมาเหยียนหมิงซุ่นเคยไปเยี่ยมเหยียนหมิงต๋าในค่ายทหารหลายครั้งแต่เขามักแอบสังเกตอีกฝ่ายอยู่ที่ลับโดยไม่ให้เหยียนหมิงต๋ารู้ตัว ซึ่งเขาค่อนข้างพึงพอใจกับความประพฤติของน้องชายตัวเองพอสมควร
“ไม่เลว พยายามต่อไป ตั้งใจทำดี ๆ เพื่อให้เข้าทีมเซวี่ยอิงให้ได้ในปีนี้”
เหยียนหมิงซุ่นตบบ่าน้องชายแรง ๆทีหนึ่งทำให้เหยียนหมิงต๋าตาเป็นประกาย ทีมเซวี่ยอิงถือเป็นความฝันของทหารทุกคน ได้ข่าวว่ามีเพียงทหารฝีมือเยี่ยมยอดถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในนั้นได้
ทหารที่ไม่อยากเข้าทีมเซวี่ยอิงไม่มีทางเป็นทหารที่ดีได้ แน่นอนว่าเขาก็อยากเข้าแต่–
“พี่ ผมเข้าได้จริงเหรอ?” เหยียนหมิงต๋ามองเหยียนหมิงซุ่นด้วยความคาดหวัง
“เข้าได้หรือไม่ได้ฉันไม่ได้เป็นคนตัดสิน นายต้องเป็นคนตัดสินเอง ในเมื่ออยากเข้าทีมเซวี่ยอิงก็ต้องตั้งใจฝึก พยายามให้เข้ารอบในครั้งเดียว” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยเสียงนิ่ง
ความจริงเหยียนหมิงต๋ามีศักยภาพด้านร่างกายที่ดีไม่หยอกซึ่งเหมาะกับการเป็นทหารแต่เกิด แต่เขาขาดความฉลาดไปสักหน่อยเลยต้องพยายามในเรื่องนี้ต่อไป ฉะนั้นเหยียนหมิงซุ่นคิดจะให้เขาฝึกต่ออีกหนึ่งปีแล้วค่อยไปสอบเข้าทีมเซวี่ยอิง
เช่นนี้แล้วไม่เพียงแต่เป็นการรับผิดชอบชีวิตสมาชิกทีมเซวี่ยอิงอื่น ๆ แต่เป็นการรับผิดชอบต่อตัวของเขาเอง
เหยียนหมิงต๋าพยักหน้าแรง ๆ ตอบเสียงดัง “พี่ใหญ่สบายใจได้ ผมจะพยายาม”
คุณปู่เหยียนเห็นสองพี่น้องรักใคร่กันดีเลยยิ้มด้วยความปลื้มใจ ซึ่งรูปปากยังคงเบี้ยวอยู่และขนาดองศาก็แคบเล็กน้อย รออีกไม่นานคงกลับมาเป็นปกติได้แล้ว
เหมยเหมยยกจานกับข้าวเข้ามาพร้อมตะโกนเอ่ย “พี่จัดโต๊ะที เตรียมทานข้าวแล้ว!”
เหยียนหมิงต๋าเห็นเหมยเหมยก็ชะงักแล้วถามเสียงเบา “พี่ใหญ่ ทำไมจ้าวเหมยถึงมาฉลองปีใหม่บ้านเราล่ะ? เธอไม่กลับบ้านตัวเองเหรอ?”
“เรียกพี่สะใภ้ใหญ่ ไร้มารยาทเสียจริง!” เหยียนหมิงซุ่นตวัดตาใส่เขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่งพลางก้าวขายาวไปรับจานกับข้าวจากมือเหมยเหมยมาพร้อมพูดเสียงตำหนิ “หยิบทีละจานไม่ได้เหรอ? ถ้าลวกโดนมือจะทำอย่างไร?”
เหยียนหมิงต๋ากะพริบตาปริบ ๆยังไม่ได้สติกลับคืนมา
พี่สะใภ้ใหญ่หรือ?
หมายความว่าอย่างไร?
ทำไมผ่านไปหลายปีพี่ใหญ่ของเขายังคงสองมาตรฐานเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ตะโกนตะคอกเสียงใส่เขาแต่อ่อนโยนกับจ้าวเหมยขนาดนั้น…
เหยียนหมิงต๋าลูบจมูกปอย ๆแล้วกระแซะตัวไปถามคุณปู่เหยียนเสียงเบา “คุณปู่ พี่ชายผมกับจ้าวเหมยชิงสุกก่อนห่ามเหรอ? โอ้โฮ…จ้าวเหมยบรรลุนิติภาวะหรือยัง? พี่ชายผมทำได้ลงคอจริง ๆเลยนะ!”
โอ้โฮ…จ้าวเหมยบรรลุนิติภาวะหรือยัง? พี่ชาย
คุณปู่เหยียนยื่นมือสั่นเทาออกมาตบศีรษะเหยียนหมิงต๋าทีหนึ่งพร้อมปริปากด่า “เรียก…เรียกพี่…สะใภ้ เสีย…มารยาท!”
เหยียนหมิงต๋าลูบหลังศีรษะไปมาอย่างนึกข้องใจว่าเมื่อก่อนคุณปู่รำคาญจ้าวเหมยที่สุดไม่ใช่หรือ ทำไมสองปีผ่านไปถึงกลายเป็นฝ่ายปกป้องแทนแล้วล่ะ?
เหมยเหมยกับเหยียนหมิงซุ่นยกจานกับข้าวที่คุณย่าหยางเตรียมเอาไว้มาจัดวางเต็มโต๊ะ ไก่ต้มสับเป็นชิ้น ปลาตุ๋นน้ำแดง ผัดรากบัว เคาหยก นึ่งรวมมิตร เนื้อเป็ดอบหน่อไม้ กุ้งลวก…เป็นต้น อาหารทุกจานส่งกลิ่นหอมสีสันสวยงามทำเอาคนมองน้ำลายแทบไหล
ห้าคนทั้งครอบครัวนั่งลงก่อนที่เหยียนหมิงซุ่นจะรินไวน์แดงให้ทุกคน เขารินแก้วเล็กให้เหมยเหมย รับชมรายการวันตรุษจีนไปด้วยก็ทานข้าวไปด้วยท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นสนุกสนาน
“คุณย่า ทำไมพ่อแม่ผมไม่มาฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวงด้วยกันล่ะ?” จู่ๆ เหยียนหมิงต๋าก็ถามขึ้น
คุณย่ามือชะงักงันจนเผลอทำตะเกียบร่วงใส่จาน
ตอนที่ 1962 ทางที่ดีคือเจ้าหญิงน้อย
เหมยเหมยก็ชะงักมือแล้วหันไปมองเหยียนหมิงซุ่นอัตโนมัติ ในที่สุดก็ถามสักทีแล้วควรจะตอบกลับอย่างไรดี?
ตลอดสองปีมานี้เหยียนหมิงต๋าอยู่ในค่ายทหารที่ถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก ไม่เคยติดต่อกับทางบ้านสักครั้งแม้จะเขียนจดหมายสักฉบับยังไม่ได้รับอนุญาต ถานซูฟางกับเหยียนโฮ่วเต๋อติดต่อเขาไม่ได้ เช่นเดียวกับเขาที่ติดต่อกับโลกภายนอกไม่ได้
ฉะนั้นเหยียนหมิงต๋าจึงไม่รู้เรื่องราวของสองสามีภรรยาคู่นี้ หลงคิดว่าพวกเขายังทำงานอยู่เมืองจินมาโดยตลอด!
เหยียนหมิงซุ่นแกะกุ้งอย่างใจเย็นไม่ลนลาน แล้วเอาเนื้อกุ้งที่แกะเสร็จสรรพใส่ในถ้วยของคุณปู่เหยียนถึงตอบกลับ “พวกเขามีวันหยุดสั้นเกินไปเลยมาไม่ทัน”
“งั้นไว้เดี๋ยวผมจะกลับไปเยี่ยมพวกท่านที่เมืองจินแล้วกัน รอบนี้ผมได้หยุดตั้งหนึ่งเดือนเลยนะ!” เหยียนหมิงต๋ายิ้มเอ่ย
“ทานข้าวก่อน มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้” เหยียนหมิงซุ่นคีบเนื้อเคาหยกใส่ถ้วยน้องชาย เนื่องด้วยความไม่อยากทำลายบรรยากาศปีใหม่เลยตัดสินใจรอคุยเรื่องนี้กับน้องชายให้รู้เรื่องในวันพรุ่งนี้
เหยียนหมิงต๋าไม่ได้คิดมาก เขาหัวเราะเหอะ ๆแล้วกัดเนื้อคำโตก่อนจะยกนิ้วโป้งพูดชม “เนื้อที่คุณย่าทำอร่อยที่สุดเลย เนื้อในค่ายมีแต่มัน ปุเลี่ยนไม่อร่อย”
คุณย่าหยางกับคุณปู่เหยียนลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง ขอแค่ได้ใช้เวลาปีใหม่อย่างสงบก็พอ คุณย่าหยางคีบเนื้อเคาหยกอีกหนึ่งชิ้นให้หลานชายคนเล็ก “อร่อยก็ทานเยอะ ๆ ดูสิเนื้อตรงแก้มหายไปหมดเลย”
เหยียนหมิงต๋าไม่เคยปฏิเสธน้ำใจใครเลยทานเนื้อคำโตที่ดูเจริญอาหารเหมือนอย่างเคยและดูท่าทางใสซื่อโง่เขลา
มื้อค่ำคืนส่งท้ายปีเก่าใกล้จะจบลงแล้ว ทุกคนทานอิ่มท้องกันถ้วนหน้า เหมยเหมยเผอเรอติดต่อกันหลายที เธอทานปอเปี๊ยะมากเกินไปเลยอิ่มจุกเกือบถึงคอหอย
เธอช่วยคุณย่าหยางเก็บกวาดห้องครัว ขณะทำงานไปก็คุยกันไป พอคุยกันไปคุยกันมาก็โยงมาถึงเรื่องวัยเด็ก
“ย่าว่านะถ้าอนาคตหนูกับหมิงซุ่นมีลูกสาวคนหนึ่งก็ดีสิ ตัวเล็กหน้าตาน่ารักน่าชัง ถ้าคล้ายเหมยเหมยก็ยิ่งดีเลย ย่าจะทำเสื้อผ้าให้เหลนแต่งตัวให้เหมือนเจ้าหญิงน้อยทุกวัน อุ้มไปข้างนอกต้องได้หน้าได้ตามากแน่ ๆ”
คุณย่าหยางวาดฝันเพราะเธอมีลูกชายหนึ่งคนส่วนลูกชายก็มีหลานชายให้เธอสองคนจนสร้างความผิดหวังแก่คุณย่าอย่างมาก เธอจึงหวังเพียงว่าจะมีเหลนผู้หญิงสักคนมาเติมเต็มความต้องการของทั้งชีวิตเธอ
เหมยเหมยหน้าแดงก่ำทันทีแล้วก้มหน้างุดอย่างเขินอาย รู้สึกอบอุ่นถึงใจ
ลูกสาวของเธอกับพี่หมิงซุ่นจะหน้าตาอย่างไรกันนะ?
ต่างบอกว่าลูกสาวจะเกิดมาคล้ายพ่อคงต้องเหมือนพี่หมิงซุ่นสินะ แบบนั้นก็ดูดีเหมือนกัน ต้องเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยแสนงดงามแน่ ๆ!
คุณย่าหยางเองก็พึมพำไม่หยุด “ย่าไม่ว่าหรอกว่าเหลนจะหน้าตาเหมือนใครเพราะก็ดูดีทั้งนั้น แต่ทางที่ดีให้เหมือนแม่จะได้เหมือนนางฟ้าตัวน้อยไปเลย โอ๊ย…อยากมีแล้ว ทำไมเหมยเหมยยังต้องรออีกสองปีถึงจะเรียนจบกันนะ!”
เหมยเหมยเองก็เสียดาย นั่นสิ ทำไมต้องรออีกตั้งสองปีถึงจะเรียนจบกันล่ะ?
เวลาผ่านไปช้าจริง ๆ!
เวลาประมาณสามทุ่มเหยียนหมิงซุ่นก็พาเหมยเหมยกลับไปหาพวกจ้าวอิงหัว หากไม่กลับไปจ้าวอิงหัวต้องตามมาแหง เวลาเพิ่งผ่านไปได้สิบนาทีจ้าวอิงหัวก็โทรมาร่วมสามสายเหมือนเร่งให้ไปตายอย่างไรอย่างนั้น
“เอาปอเปี๊ยะกับเกี๊ยวไปด้วย แล้วก็กับข้าวพวกนี้ย่าทำไว้กึ่งสำเร็จรูป แม่เหมยเหมยงานยุ่งต้องไม่มีเวลาทำอาหารแน่ ๆ กับข้าวพวกนี้เพียงพอให้พวกเขาทานได้หลายวันแล้วละ”
คุณย่าหยางหิ้วถุงขนาดใหญ่ออกมาจากครัวสองถุง ถุงขนาดเล็กกว่าเป็นปอเปี๊ยะกับเกี๊ยวส่วนถุงขนาดใหญ่กว่าเป็นกับข้าวอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นซี่โครงกับฟองเต้าหู้ทอด ปลาดาบเงิน เนื้อวัวตุ๋น เมนูนึ่งรวมมิตร เกี๊ยวไข่ เคาหยกเป็นต้น ล้วนถูกคุณย่าแบ่งประเภทเก็บไว้อย่างดีสะอาดสะอ้าน
“ขอบคุณค่ะคุณย่า ลาภปากพ่อแม่หนูละทีนี้” เหมยเหมยรู้สึกขอบคุณอย่างมาก กับข้าวพวกนี้ไม่รู้ว่าต้องเสียเวลาคุณย่าไปมากแค่ไหน
คุณย่าหยางหัวเราะดังลั่น “ขอบคุณอะไร พวกเขายกลูกสาวที่ดีขนาดนี้ให้บ้านเรามา กับข้าวแค่นี้ไม่ใช่เรื่องหนักหนาเลย พวกหลานรีบไปเถอะ อย่าให้พวกเขาต้องรอนานเกินไป ขับรถก็ระมัดระวังด้วยนะ!”
………………………..
ตอนที่ 1963 คืนส่งท้ายปีเก่า
เมื่อเอ่ยลาคนแก่ตระกูลเหยียนทั้งสองแล้ว เหยียนหมิงซุ่นกับเหมยเหมยก็จากไป
“พี่ พรุ่งนี้พี่จะบอกเรื่องพ่อแม่เหยียนหมิงต๋าให้เขารู้จริง ๆเหรอ?” เหมยเหมยถามด้วยความเป็นห่วง
ตอนนี้ถานซูฟางเป็นนักข่าวภาคสนามที่เหมือนเอาชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกวัน ได้ยินว่าเจ็บตัวมาสองครั้งแล้ว ส่วนเหยียนโฮ่วเต๋อก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนักในเมื่ออยู่ในเขตพื้นที่บนเขาไม่มีน้ำไฟใช้ คนที่เติบโตในเมืองไม่เคยลำบากตั้งแต่เด็กอย่างเหยียนโฮ่วเต๋ออยู่สุขสบายสิแปลก!
“แน่นอนว่าไม่บอก บอกแค่ว่าพวกเขาไปศึกษาชีวิตต่อที่ต่างประเทศ หมิงต๋าโง่ หลอกง่าย!” เหยียนหมิงซุ่นไม่คิดจะบอกความจริงแต่แรกอยู่แล้ว
เหมยเหมยยังกังวลใจอยู่หน่อย ๆ “ถ้าเกิดอนาคตเขารู้เข้าล่ะจะทำอย่างไร?”
“ถ้ารู้ก็บอกความจริงเขาไป ปิดบังได้นานแค่ไหนก็นานแค่นั้น” เหยียนหมิงซุ่นเองก็ระอาอยู่เหมือนกัน
เขายังอยากรักษาความสัมพันธ์พี่น้องกับเหยียนหมิงต๋าไว้เหมือนเดิมถึงได้เลือกหนีความจริงเป็นครั้งแรก ถึงจะหนีได้หนึ่งวันก็ยังดี จิตใต้สำนึกกลับฉายชัดว่าไม่อยากให้วันที่รู้ความจริงมาถึง
เพราะเขาก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าหากเหยียนหมิงต๋ารับรู้ความจริงแล้วจะยอมเรียกเขาว่าพี่ใหญ่อยู่อีกหรือไม่
“เฮ้อ!”
เหมยเหมยถอนหายใจยาว เธอไม่เชื่อในตัวเหยียนหมิงต๋าเลยจริง ๆ!
และไม่อยากเห็นสองพี่น้องเหยียนหมิงซุ่นต้องเป็นศัตรูกัน!
เพราะเธอรู้ว่าเหยียนหมิงซุ่นไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ปากเขาพูด ความจริงเขาห่วงใยน้องชายมาก หากเหยียนหมิงต๋าแตกหักกับเขาจริง ๆ เหยียนหมิงซุ่นจะต้องรู้สึกแย่มากแน่ ๆ!
ได้แต่หวังว่าเจ้าโง่เหยียนหมิงต๋าจะไม่รู้ความจริงตลอดไป!
เหยียนหมิงซุ่นรู้ทันความพะวงใจของเหมยเหมยเลยหันมาหยิกแก้มเธอทีหนึ่ง ยิ้มปลอบใจเธอ “อย่ากังวลไป สามีของเธอไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
ถ้ารักษาความสัมพันธ์พี่น้องต่อไปไม่ได้จริง ๆ เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงตัดขาดสายสัมพันธ์
เพียงแต่เขายังหวังอยู่ดีว่าจะไม่มีวันนั้น!
พวกจ้าวอิงหัวทานมื้อคืนส่งท้ายปีเก่าเสร็จนานแล้ว พวกเขาสามคนในครอบครัวกำลังนอนดูโทรทัศน์บนโซฟา รายการสนุกสนานมาก แต่เพราะไม่มีนักแสดงตลกสองท่านอย่างคุณเฉินกับคุณจูที่เป็นนักแสดงสุดโปรดของจ้าวอิงหัวร่วมรายการด้วย จ้าวอิงหัวเลยเริ่มหมดความสนใจ เขายิ่งโมโหขึ้นเรื่อย ๆตั้งแต่เริ่มทานข้าวมื้อค่ำคืนส่งท้ายปีเก่าแล้ว
“ยังไม่ทันแต่งเข้าบ้านเขาเลยก็กลายเป็นคนตระกูลเหยียนเต็มตัวแล้วเหรอ? ไม่มีเหตุผลเลย!”
อดทนถึงสามทุ่มจ้าวอิงหัวก็เหลือบดูเวลาบนกำแพงแวบหนึ่งจนในที่สุดภูเขาไฟก็ระเบิดออกมา แต่อย่างน้อยเขายังจำได้ว่านี่เป็นคืนส่งท้ายปีเก่าเลยลดระดับเสียงลงและพูดให้ช้าลง เดินวกไปวนมาอยู่ในห้องนั่งเล่น
จ้าวเสวียหลินก็กลับมาแล้ว เขาไม่ได้กลับบ้านมาสองปีเช่นเดียวกับเหยียนหมิงต๋าซึ่งปีนี้เขาขอลากลับมาโดยเฉพาะ แต่กว่าจะกลับมาได้สักครั้งมันไม่ง่ายเลย น้องสาวสุดที่รักกลับไม่อยู่บ้านเพราะมัวแต่ขลุกอยู่กับผู้ชายเสียอย่างนั้น
เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจแก่พี่ชายภรรยาอย่างมาก
“ใช่ เจ้าเหยียนหมิงซุ่นจะทำเกินไปแล้ว นี่ยังไม่แต่งงานเลยไม่ใช่เหรอ? ทำไมคืนส่งท้ายปีเก่าถึงไม่กลับบ้านแล้วล่ะ? อีกอย่างต่อให้แต่งเข้าบ้านนั้นจริง ๆ กฎหมายก็ไม่ได้กำหนดนี่นาว่าห้ามกลับมาฉลองปีใหม่กับบ้านตัวเอง!”
จ้าวเสวียหลินไม่มีอารมณ์ดูรายการปีใหม่เพราะมัวแต่ราดน้ำมันใส่กองไฟให้พ่อตัวเองอยู่ โอ้…ไม่ได้การล่ะ
“ไม่ได้…ฉันต้องไปรับลูกสาวฉันกลับมา นี่มันมีเหตุผลเสียที่ไหนกัน จะรังแกกันเกินไปแล้ว!”
จ้าวอิงหัวถูกลูกชายกระตุ้นจึงเด้งตัวลุกขึ้น โชคดีที่เขาอายุปูนนี้แล้วแต่ยังแข็งแรงดีขนาดนี้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงเขาก็คว้าเสื้อโค้ทผ้าพันคอกับหมวกบนชั้นเสื้อผ้าเตรียมออกไปรับเหมยเหมย
เหยียนซินหย่าที่แต่เดิมไม่คิดจะสนใจสองพ่อลูกจอมประสาทคู่นี้ เธอจึงทำได้แค่วางรีโมทลงอย่างเอือมระอาพร้อมโต้กลับอย่างไม่สบอารมณ์นัก “นั่งดูทีวีนิ่ง ๆไปเถอะ คุณปู่คุณย่าหมิงซุ่นเพิ่งมาอยู่เมืองหลวง เพราะกลัวคนแก่จะเหงาเหมยเหมยถึงตั้งใจไปฉลองคืนส่งท้ายปีเก่ากับพวกท่านโดยเฉพาะ นี่จะเอะอะโวยวายอะไรกันนักหนา?”
ตอนที่ 1964 เหยียนซินหย่าเดือด
เรื่องเหตุผลใครต่างก็เข้าใจดีเพียงแต่พอเกิดขึ้นกับตัวเองจริง ๆกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก จ้าวอิงหัวในตอนนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะนั้น พอนึกถึงลูกสาวสุดที่รักให้คนลามกอย่างเหยียนหมิงซุ่นทั้งจูบทั้งร่วมหลับนอนด้วย อีกทั้งต่อจากนี้ไปจะไม่ใช่ลูกสาวของเขาเพียงคนเดียวอีกแล้ว…
จ้าวอิงหัวก็เหมือนโดนมีดแทงที่หัวใจทำเขาเจ็บจนอยากร้องไห้!
ทำไมผู้หญิงโตไปจะต้องแต่งงานด้วย?
ใช่ว่าเขาจะเลี้ยงลูกสาวไม่ไหวสักหน่อย ต่อให้เลี้ยงทั้งชีวิตก็ไม่มีปัญหา!
“ผมอายุก็ไม่น้อยแล้วก็กลัวเหงาเหมือนกัน ทำไมพวกเขาไม่กลับมาอยู่เป็นเพื่อนผมบ้างล่ะ?” จ้าวอิงหัวเถียงคอเป็นเอ็นซึ่งล้วนแต่เป็นความในใจของเขาทั้งสิ้น เขาไปสัมมนางานต่างแดนตลอดทั้งปีเลยได้เจอลูกสาวตัวเองนับครั้งได้ เขาจึงตั้งตารอคอยจะได้ทานมื้อค่ำคืนส่งท้ายปีเก่าอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาไงล่ะ!
จ้าวเสวียหลินก็เข้ามาเสริมทัพด้วย “ผมไม่ได้เจอเหมยเหมยตั้งเกือบปีแล้ว ผมคิดถึงมากเลย”
“ไสหัวไปนู้นเลย!”
เหยียนซินหย่าคว้าหมอนข้างบนโซฟาทุ่มใส่ลูกชาย พอเห็นหมอนี่ทีไรก็โมโหทุกที เธอคุยกับเจ้าลูกคนนี้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไปฝึกที่ค่ายทหารสักสองสามปีก็เปลี่ยนไปทำงานราชการได้แล้ว หรือจะเปลี่ยนสายงานอื่นก็ได้ อย่าบอกว่าเธอไม่รักชาติเลย เธอเป็นคุณแม่ที่เห็นแก่ตัว ลูกชายลูกสาวมีความสำคัญเท่ากับชีวิตของเธอทั้งคู่
อีกอย่างเธอคิดว่าการทำงานสายอื่นก็สามารถแสดงความจงรักภักดีต่อชาติได้เช่นกัน อย่างเช่นนักวิทยาศาสตร์นักวิจัยต่าง ๆ ลูกชายของเธอเรียนดีจึงทำพวกเรื่องวิจัยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่เจ้าหมอนี่ก็นะ ต่อหน้ารับปากดิบดีพอลับหลังเธอกลับไปสมัครทีมเซวี่ยอิงจนเพิ่งมาบอกเธอตอนจัดการเสร็จหมดแล้ว ทำเอาเธอโมโหแทบตาย
“ถ้าลูกเชื่อฟังแม่กลับมาทำงานที่ศูนย์วิจัยเมืองหลวง ลูกก็ได้เจอน้องสาวลูกทุกวันแล้ว ตอนนี้เป็นไงล่ะปีหนึ่งยังไม่ได้กลับมาสักหนเลย แม่จะรอดูว่าลูกจะไปหาภรรยาจากไหน? อยู่โสดไปตลอดชีวิตเถอะ!”
เหยียนซินหย่ายิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ทีมเซวี่ยอิงมีแต่วีรบุรุษดี ๆทั้งนั้นแต่หากเธอมีลูกสาวจะไม่มีวันยกให้อย่างแน่นอน ภรรยาของวีรบุรุษลำบากเกินไป คนเป็นแม่ที่ไหนจะยอมให้ลูกสาวลำบากกัน?
เธอพอจะจินตนาการสถานการณ์ที่จ้าวเสวียหลินหาภรรยาไม่ได้ในอนาคตได้แล้ว!
เหยียนซินหย่าถลึงตาใส่จ้าวเสวียหลินที่ยู่คอทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมก่อนจะยกเท้าเตะจ้าวอิงหัวข้าง ๆอีกทีพร้อมด่า “คุณกับลูกชายคุณร่วมมือกันหลอกฉันสินะ? แล้วยังบอกว่าคุณไม่รู้เรื่องนี้ด้วย สองพ่อลูกก็เลวกันทั้งคู่นั่นแหละ!”
จ้าวอิงหัวที่โดนด่าหน้าตาเฉยลูบน่องด้วยท่าทางน่าสงสารพลางเอ่ยเตือน “ที่รัก ตอนนี้เรากำลังคุยกันเรื่องลูกสาวกลับบ้าน เรื่องลูกชายไว้เราค่อยคุยกันทีหลังได้ไหม?”
ที่รัก คุณอย่านอกเรื่องได้ไหม?
จ้าวอิงหัวกลับไม่รู้ว่าผู้หญิงเป็นเพศที่นอกเรื่องเก่งที่สุดมาตั้งแต่เกิด จะทำอะไรก็ได้ตามใจฉัน จะทำอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ!
“ตอนนี้ฉันอยากคุยเรื่องลูกชายนี่แหละ…” เหยียนซินหย่าคว้าหมอนอิงโยนใส่จ้าวอิงหัวอย่างคุกรุ่น หากหมอนี่ลงเรือลำเดียวกับเธอตั้งแต่แรกเพื่อคัดค้านไม่ให้ลูกชายเข้าทีมเซวี่ยอิง ตอนนี้เธอคงไม่ต้องมานั่งพะวงอยู่ทุกวันหรอก
จ้าวอิงหัวลูบจมูกปอย ๆอย่างจนใจแล้วตัดสินใจหุบปาก เวลาท่านภรรยาฉุนเฉียววิธีรับมือที่ดีที่สุดก็คือการเงียบ อย่าคิดจะใช้เหตุผลกับเพศหญิงเชียว
เพราะไม่มีทางคุยกันรู้เรื่องแน่นอน!
มีอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลก็คือการมอบจูบเฟรนซ์คิสแบบฝรั่งเศสเพื่อให้ท่านภรรยาไม่มีกะจิตกะใจด่าใครอีก แต่ตอนนี้เจ้าลูกชายน่ารำคาญอยู่บ้าน เขาก็ไม่ได้หน้าด้านพอจึงกระดากใจอยู่บ้าง!
“วันอากาศหนาว ๆ แบบนี้คุณใส่เสื้อแค่นี้คิดจะออกไปทำอะไร? คุณคิดว่าตัวเองเป็นหนุ่มอายุยี่สิบกว่าเหรอ? เดี๋ยวเป็นหวัดขึ้นมากว่าจะหายก็เสียเวลาอีกค่อนเดือน ไอจนฉันรำคาญ นั่งดูทีวีอยู่ตรงนี้ ใครก็ห้ามพูดอะไรทั้งนั้น!”
เหยียนซินหย่าบิดหูลากจ้าวอิงหัวที่คิดจะออกจากบ้านกลับเข้ามา ยามสิงโตตัวเมียโมโหใครก็ไม่กล้าปริปาก ทำได้แต่นั่งอยู่บนโซฟาแต่โดยดี
บรรยากาศเงียบเหลือเพียงเสียงจากโทรทัศน์ เหยียนซินหย่าพึงพอใจอย่างมาก มันต้องให้ด่าแบบนี้สินะ!
…………………….
ตอนที่ 1965 นายต้องเรียกคุณน้า
มีเสียงกุกกักดังขึ้นจากหน้าประตูเรียกให้จ้าวเสวียหลินหูกระดิกร้องขึ้นอย่างดีใจแล้วพุ่งตัวออกไปเปิดประตูก่อนที่ตัวขนนุ่มปุกปุยตัวหนึ่งจะปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ซึ่งเป็นเหมยเหมยที่กำลังสวมหมวกขนสีขาวนั่นเอง
“สวัสดีปีใหม่ค่ะพี่ชาย!”
เหมยเหมยตะโกนอย่างมีความสุขแล้วกระโจนใส่จ้าวเสวียหลินเหมือนตอนสมัยเด็ก ๆ เกาะหนึบเป็นปลาหมึก เหยียนหมิงซุ่นตาเข้มขึ้นเล็กน้อยพยายามหักห้ามใจที่ต้องการจะเข้าไปกระชากภรรยาตัวเองเอาไว้ด้วยการสูดหายใจติดต่อกันหลายครั้ง สีหน้าเรียบนิ่งแต่สายตากลับทรยศเขา
จ้าวเสวียหลินโอบกอดน้องสาวตัวเองแนบแน่นด้วยใบหน้ายิ้มร่า “สวัสดีปีใหม่ ทำไมเธอไม่หนักขึ้นเลยสักนิด ไม่ได้ทานข้าวดี ๆเลยใช่ไหม?”
ประโยคนั้นเอ่ยต่อเหมยเหมยแต่สายตากลับมองไปยังเหยียนหมิงซุ่นด้วยความไม่เป็นมิตร
“พี่หมิงซุ่นทำกับข้าวอร่อย ๆให้หนูทานทุกวัน เดือนที่แล้วหนูอ้วนตั้งห้าสิบโลเลยนะกว่าจะลดลงมาได้ ตอนนี้กำลังดีเลย” เหมยเหมยผละออกแล้วยิ้มตาหยีกล่าว ไม่รู้สึกถึงสายตาที่ปะทะฟาดฟันระหว่างผู้ชายสองคนตรงหน้าสักนิด
“ลดอะไรกัน ผู้หญิงต้องอวบอ้วนหน่อยสิถึงจะสวย เหยียนหมิงซุ่นนายว่างั้นไหม?” จ้าวเสวียหลินคิดถึงแก้มกลมสมัยเด็ก ๆของเหมยเหมยเหลือเกิน เวลาหยิกแล้วรู้สึกดีมาก
แต่ตอนนี้ไม่มีแก้มอีกแล้วจนเขาทำใจหยิกแก้มที่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกนั่นไม่ได้
ประโยคนี้ถูกใจเหยียนหมิงซุ่นมาก เขาจึงพูดเชิงเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ “ใช่ เหมยเหมยต้องทานให้เยอะ ๆหน่อย ห้าสิบโลกำลังดีเลย”
เหมยเหมยมองค้อนใส่พวกเขาแวบหนึ่งก่อนจะเข้าบ้านไปอย่างคร้านจะต่อปากต่อคำกับพวกเขาอีก
“พ่อคะ แม่คะ สวัสดีปีใหม่ ขออั่งเปาหน่อย!”
เหมยเหมยแบมือขออั่งเปาด้วยใบหน้ายิ้มซุกซน
จ้าวอิงหัวมีความสุขจนยิ้มแก้มแทบปริพลางยื่นมือล้วงอั่งเปาที่เตรียมไว้ตั้งแต่เช้า ขณะที่ปากก็บ่นอุบไปด้วย “มื้อส่งท้ายปีเก่ายังไม่กลับมาทานด้วยกันเลย แล้วยังมีหน้ามาขออั่งเปากับพ่ออีก เหอะ!”
ปากก็ว่าไปอย่างนั้นแต่ไม่ได้ลดความเร็วในการให้อั่งเปาเลยสักนิด ซองแดงนูนที่ดูก็รู้ว่าใส่ซองไม่น้อย เหมยเหมยรับไว้อย่างดีใจแล้วพูดเสียงออดอ้อน “หนูก็กลับมาแล้วนี่ไงคะ พ่อ เดี๋ยวหนูต้มเกี๊ยวให้นะ คุณย่าพี่หมิงซุ่นห่อเกี๊ยวให้เยอะเลย ไส้เนื้อผักจี้ไฉ่หมดเลยด้วยนะ พ่อ ของโปรดพ่อเลยใช่ไหมล่ะ!”
เหยียนซินหย่าสังเกตเห็นถุงขนาดใหญ่สองถุงในมือเหยียนหมิงซุ่น พอเปิดออกมาก็พบว่าเป็นกับข้าวมากมายเลยอดตำหนิไม่ได้ “ทำไมพวกเธอเอากับข้าวกลับมาเยอะแยะขนาดนี้ คุณย่าเกรงใจกันเกินไปแล้ว เหมยเหมย คราวหลังจะให้คุณย่าลำบากแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ รู้ไหม?”
เหมยเหมยแอบแลบลิ้นน้อย ๆ “คุณย่าบอกว่าแม่ทำงานหนักไม่มีเวลาทำกับข้าวเลยเตรียมมาให้เยอะขนาดนี้ค่ะ”
เหยียนหมิงซุ่นเองก็ยิ้มกล่าว “คุณย่าผมสุขภาพแข็งแรงดี ไม่ให้ท่านทำงานท่านจะไม่พอใจได้ครับ แม่อย่าว่าเหมยเหมยเลย เธอไม่รู้อะไรด้วย”
พอเหยียนซินหย่าได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มร่าในใจ พ่อแม่ของเหยียนหมิงซุ่นไม่ใช่คนดีทั้งคู่ ตอนแรกเธอยังเป็นห่วงกลัวลูกสาวแต่งเข้าบ้านนั้นแล้วจะถูกรังแกข่มเหง ตอนนี้กลับไม่รู้สึกห่วงสักนิดเดียว สองสามีภรรยาคู่นั้นไม่ได้อยู่เมืองหลวง อีกทั้งคนเฒ่าคนแก่ตระกูลเหยียนยังรู้จักแยกแยะมีเหตุผลคงไม่ปล่อยให้เหมยเหมยโดนรังแกแหง
จ้าวเสวียหลินสีหน้าเปลี่ยนไปแล้วแคะหูด้วยความสงสัย “เหยียนหมิงซุ่นนายเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า นายเรียกแม่ได้ไงต้องเรียกว่าคุณน้าสิ!”
น้องสาวโดนเจ้าหมอนี่แย่งไปแล้ว หรือว่าเขาจะเสียแม่ไปด้วยอีกคนกันนะ?
เหยียนหมิงซุ่นช่วยเหยียนซินหย่าเก็บของใส่ตู้เย็น ไม่ต้องรอให้เขาตอบโต้คุณแม่ยายก็เอ่ยปากก่อน “ก็ต้องเรียกแม่สิ เรียกคุณน้าอะไรกัน? ไปเป็นทหารแล้วโง่ลงเหรอ?”
จ้าวเสวียหลินกล้ำกลืนความโกรธไว้แล้วหดตัวกลับไปนั่งที่โซฟาเช่นเดิม ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจ หรือว่าช่วงที่เขาไม่ได้กลับบ้านจะเกิดเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้ขึ้นนะ?
ตอนที่ 1966 ภรรยาของฉันฉันอยากจูบก็จูบ
จ้าวอิงหัวมองลูกชายที่โดนภรรยาด่าเยี่ยงหมาอย่างสมน้ำหน้าแวบหนึ่ง ความรู้สึกน้อยอกน้อยใจถูกบรรเทาลงไปบ้าง จ้าวเสวียหลินขยับเข้ามาถามรายละเอียดซึ่งจ้าวอิงหัวก็เล่าเรื่องที่เหยียนหมิงซุ่นจดทะเบียนสมรสกับเหมยเหมยให้เขาฟังอย่างไม่คิดจะปิดบัง
เฮ้ย!
จ้าวเสวียหลินตกใจจนกระเด้งตัวพลางมองพ่อตัวเองอย่างละเหี่ยใจ “พ่ออยู่บ้านทำอะไรไปบ้างเนี่ย? แม้แต่ลูกสาวตัวเองยังคุมไม่อยู่!”
“ฉันจะคุมอย่างไร? น้องสาวแกใจลอยไปอยู่บ้านตระกูลเหยียนโน้นแล้ว วัน ๆคิดแต่เรื่องจะแต่งงานกับเหยียนหมิงซุ่น ต่อให้ระแวดระวังเช้าเย็นแต่โจรในบ้านป้องกันยาก หรือว่าจะให้ฉันเอาโซ่ล่ามน้องสาวแกไว้หรือไง?” จ้าวอิงหัวโต้กลับอย่างไม่สบอารมณ์ เขาน่าสงสารจะตายอยู่แล้ว
ลูกสาวบ้านอื่นมีแต่ถูกผู้ชายหว่านล้อมจนเสียตัวถึงจำเป็นต้องแต่งงาน แต่ลูกสาวเขานี่เก่งจริง ๆเป็นฝ่ายรุกเข้าหาผู้ชายก่อน…
เฮ้อ!
สองพ่อลูกถอนหายใจพร้อมกัน ลูกสาว(น้องสาว) โตไม่อยู่ติดบ้านแล้ว!
เหมยเหมยยิ้มตาหยีเข้ามาหาแล้วเปิดฝาแก้วน้ำชาของจ้าวอิงหัวจิบชาร้อน ๆอึกหนึ่งพลางถาม “พวกพ่อจะถอนหายใจกันทำไมล่ะ? วันนี้เป็นคืนส่งท้ายปีเก่าเชียวนะต้องยิ้มกว้าง ๆสิ!”
ทั้งคู่กลอกตาใส่อย่างพร้อมเพรียง นั่นก็เพราะยายคนไร้หัวใจอย่างเธอไม่ใช่หรือไงกัน!
พอเห็นลูกสาวยิ้มหน้าบานเป็นดอกไม้จ้าวอิงหัวก็รู้สึกปริ่มใจขึ้นมาอยู่นิด ๆ แต่ก็ยังรู้สึกน้อยใจมากกว่าอยู่ดี ชาติหน้าหากเขากลับชาติมาเกิดเป็นผู้ชายอีกเขาจะไม่ขอลูกสาวอีกแล้ว เสียใจเหลือเกิน
เหมยเหมยแทรกตัวเข้าไปนั่งคั่นกลางระหว่างจ้าวอิงหัวกับจ้าวเสวียหลินก่อนที่ทั้งสามคนจะนั่งเบียดเป็นก้อน จ้าวอิงหัวที่ตอนแรกดึงหน้าตึงอยู่พลันก็ใจอ่อนยวบแล้วจะปั้นหน้าต่อได้อย่างไรไหว ตำหนิขำ ๆไปไม่กี่คำก็ขยับตัวออกไปข้าง ๆเพื่อขยายที่ให้ลูกสาวเขานั่ง
“ลูกอย่ามายิ้มต่อหน้าพ่อนะ พ่อถามลูกหน่อยว่ารูปก่อนหน้านี้มันเรื่องอะไรกัน?” จ้าวอิงหัวเริ่มคิดบัญชีเก่าแล้ว
วันที่สามที่เซียวเวยแปะรูปไว้ในกระทู้จ้าวอิงหัวก็รู้เรื่องแล้ว แต่ตอนนั้นเขายังสัมมนางานอยู่ต่างแดนและเลขาผู้เอาใจใส่ได้ส่งรูปนี้ให้เขาดู ถ้าไม่ใช่เพราะตัวอยู่ต่างประเทศจ้าวอิงหัวคงถือดาบยาวสามเมตรไปบั่นคอไอ้ลามกเหยียนหมิงซุ่นแล้ว
แน่นอนว่าจ้าวอิงหัวไม่ใช่พ่อที่หัวโบราณ หากหญิงสาวในรูปเป็นลูกสาวของเพื่อนร่วมงานเขาคงเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายให้เป็นคุณพ่อที่เปิดกว้างทางความคิด นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้วต้องเปิดกว้างทางความคิดให้มีความเป็นนานาชาติก้าวทันโลกสิ
แต่ตอนนี้ดันเป็นลูกสาวของเขาเอง หากใครหน้าไหนกล้ามาเกลี้ยกล่อมเขา ดาบสามเมตรนั่นต้องถูกบั่นลงคอทันที!
สิ่งที่จ้าวอิงหัวโมโหคือคิดจะพลอดรักกันก็ช่วยหาที่ลับตาคนหน่อย แบบนี้เขายังแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องได้ แต่นี่กลับถูกเก็บภาพเอาไว้แถมยังเป็นการจูบอย่างดูดดื่มอีก…
ทิ่มแทงตาเขาขนาดนี้ เขาไม่โมโหสิแปลก!
เหมยเหมยใจกระตุกวูบแล้วพูดออดอ้อน “พ่อ วันนี้คืนส่งท้ายปีเก่าเชียวนะ เราคุยหัวข้อน่าสนุกกว่านี้ไม่ได้เหรอ?”
จ้าวอิงหัวแค่นเสียงที “พ่อว่าลูกดูมีความสุขกับการจูบดีนี่ โดนแอบถ่ายแล้วยังไม่รู้ตัวอีก!”
จ้าวเสวียหลินไม่เข้าใจเลยถามว่ารูปอะไร เหมยเหมยรีบขยิบตาส่งสัญญาณให้จ้าวอิงหัวเป็นเชิงอย่าบอก จ้าวอิงหัวจะฟังเสียที่ไหนรีบบอกว่าเป็นรูปถ่ายในคืนคริสต์มาสอีฟอย่างหมดเปลือก เรียกให้จ้าวเสวียหลินโกรธจนกระเด้งตัวลุกกระทืบเท้าพุ่งตัวไปหน้าเหยียนหมิงซุ่นแล้วหลุนหมัดใส่หน้า
“ไอ้ลามกเหยียนหมิงซุ่น นี่แกกล้าจูบเหมยเหมยของฉันเหรอ ฉันจะต่อยให้ตายซะ!”
เพียงแต่–
กำปั้นถูกเหยียนหมิงซุ่นต้านเอาไว้อย่างง่ายดาย จ้าวเสวียหลินอายจนหน้าแดงก่ำแต่กลับขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อย ทำเอาจ้าวอิงหัวปิดหน้าอย่างนึกรังเกียจ ไอ้ลูกไม่เอาไหน!
เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยเสียงเย็นชา “ตอนนี้เหมยเหมยเป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของฉัน ฉันอยากจูบก็จูบ นายมีปัญหาอะไรไหม?”
………………………
ตอนที่ 1967 ลูกเขยจะทานไม่ทานก็ช่าง
จ้าวเสวียหลินเถียงคอเป็นเอ็น “พวกแกแค่จดทะเบียนสมรสยังไม่ได้จัดงานแต่งงานกันสักหน่อย ไม่นับ!”
เหยียนหมิงซุ่นเสมองเขาแวบหนึ่งคล้ายกำลังสื่อว่า ‘แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร!’
เขาผละมือออกกะทันหันจนจ้าวเสวียหลินที่ตั้งตัวไม่ทันเซไปด้านหลังเกือบล้มก้นจ้ำเบ้า ดีที่เขามีพื้นฐานการต่อสู้อยู่บ้างเลยเกาะกำแพงทรงตัวไว้ได้ ก่อนจะถลึงตามองเหยียนหมิงซุ่นด้วยความขุ่นเคือง
“ทักษะแย่เกินไปกลับไปฝึกใหม่นะ เห็นทีต้องเพิ่มมาตรฐานการแข่งคัดเลือกผู้เข้าทีมเซวี่ยอิงแล้ว ไม่ใช่ว่าหมาแมวที่ไหนก็รับเข้ามาให้อับอายขายหน้าได้” เหยียนหมิงซุ่นปัดมืออย่างรังเกียจ เสียงเอ่ยพึมพำกับตัวเองที่ดังพอจะให้จ้าวเสวียหลินได้ยิน
จ้าวเสวียหลินหน้าแดงอมม่วงในฉับพลัน เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไอ้ลามกตรงหน้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของทีมเซวี่ยอิงหรือหัวหน้าเบื้องบนของเขานั่นเอง!
ความโกรธหายไปในพริบตา!
แต่เขาก็ยืดหลังตรงทันที ตอนนี้อยู่ในบ้านนะ ในเมื่อเขาเป็นถึงพี่ชายภรรยาและยังอาวุโสกว่าเหยียนหมิงซุ่นด้วย แล้วจะกลัวไปทำไมกัน?
เหมยเหมยถลึงตาใส่เหยียนหมิงซุ่นแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “พี่ฉันเก่งมากนะ พี่พูดบ้าอะไรน่ะ!”
เหยียนหมิงซุ่นลูบจมูกแล้วฉีกยิ้มให้พี่ชายภรรยาอย่างกล้ำกลืน เอ่ยชมอย่างฝืนใจ “ไม่เลวจริง ๆ พยายามต่อไป!”
จ้าวเสวียหลินแค่นเสียงเบา ๆทีหนึ่งแล้วเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่งวางท่าพี่ชายภรรยา แต่ก็รู้สึกปลาบปลื้มใจในเวลาเดียวกัน
แม้น้องสาวจะแต่งงานไปแล้วแต่ภายในใจก็ยังเข้าข้างพี่ชายอย่างเขาอยู่นี่นา!
อีกอย่างเขาเองก็รู้ตัวดีว่าเหยียนหมิงซุ่นมันวิปริต เมื่อก่อนเคยมีเรื่องเล่าลือกันมาว่าสิบสมาชิกทีมเซวี่ยอิงที่ฝีมือเก่งกาจมากที่สุดได้ทำการใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดจู่โจมเหยียนหมิงซุ่นพร้อมกัน แต่ในเวลาไม่ถึงสิบนาทีเหยียนหมิงซุ่นก็ล้มสมาชิกทีมทั้งสิบคนนั้นได้จนไม่เหลือสภาพ
เขาต้องโง่มากถึงจะประลองฝีมือกับเหยียนหมิงซุ่น เขาเป็นคนปกตินะ ไม่ใช่คนวิปริต!
จ้าวอิงหัวยังคงค้างคาใจกับรูปไม่หายพลางฉุดตัวเหมยเหมยมาอบรมสั่งสอน “ลูกรัก ลูกต้องระวังตัวบ้างนะ อยากจูบก็กลับไปทำที่ห้องอย่าตามใจเขาทุกอย่าง พ่อจะบอกให้ว่าผู้ชายนิสัยเสีย ลูกอย่าทำดีกับเขาเกินไป เราต้องรู้จักเก็บอารมณ์ เข้าใจไหม?”
เหมยเหมยมุมปากกระตุกอดถามไม่ได้ว่า “พ่อ เมื่อก่อนแม่เล่นตัวกับพ่อแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“จะเป็นงั้นไปได้ไง? ตอนนั้นแม่ของลูกอย่าให้ต้องเล่าเลยว่าเชื่องขนาดไหน เหมือนลูกแพะตัวน้อย ๆ พ่อสั่งให้ไปตะวันออกแม้แต่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือแม่ของลูกก็ยังไม่กล้าไปเลย…” จ้าวอิงหัวพูดอย่างภูมิใจด้วยสีหน้ามีความสุข
พอหวนนึกถึงเหยียนซินหย่าที่เพิ่งจะอายุสิบแปดปีในตอนนั้น สาวน้อยวัยแรกแย้มที่ทำตัวเป็นเด็กดีน่าเอ็นดูต่อหน้าเขา จ้าวอิงหัวก็รู้สึกร้อนรุ่มในใจแต่ก็รู้สึกเสียดายในเวลาเดียวกัน
ตอนนี้ท่านภรรยา เฮ้อ ไม่ใช่แพะน้อยอย่างตอนนั้นอีกแล้ว!
เหยียนหมิงซุ่นมองพ่อตาตัวเองด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง ทีภรรยาตัวเองยังหาคนที่เชื่องราวกับแพะตัวน้อย วัน ๆ เอาแต่สั่งสอนให้ภรรยาของเขาเป็นแกะภูเขา โชคดีที่ยายตัวแสบของเขาเป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเองถึงไม่หูเบาไปเชื่อฟังคำยุยงคนอื่นได้ง่าย ๆ
เหมยเหมยเหลือบมองเหยียนซินหย่าที่ยืนแสยะยิ้มอยู่หลังจ้าวอิงหัว จงใจกล่าว “หนูไม่เชื่อหรอก พ่อต่างหากที่ทำตัวเหมือนแพะตัวน้อยต่อหน้าแม่หรือเปล่า?”
จ้าวอิงหัวไม่พอใจเลยถลึงตาใส่ “พ่อของลูกเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกเชียวนะ ที่บ้านพ่อใหญ่ที่สุด ไม่ว่าอย่างไรแม่ของลูกก็ต้องเชื่อฟังพ่อ พ่อสั่งให้ไปล้างจานแม่เขาไม่กล้าไปถูพื้นหรอก…”
“เก่งนักใช่ไหม? รีบไปต้มเกี๊ยวเลย!” เหยียนซินหย่าแค่ดุขึ้นมาเบา ๆประโยคเดียวจ้าวอิงหัวก็สะดุ้งจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง หันกลับมาเห็นท่านภรรยาของตนถึงเข้าใจว่าหลงกลลูกสาวเสียแล้ว
“ครับ…จะไปต้มเกี๊ยวเดี๋ยวนี้แหละ ที่รักชอบทานแบบนึ่งหรือต้มเหรอ?” จ้าวอิงหัวถลึงตาใส่ลูกสาวที่แอบหัวเราะทีหนึ่งแล้วมองเหยียนซินหย่าด้วยท่าทางเอาอกเอาใจและกระตือรือร้น
“พ่อ หนูจะทานเกี๊ยวทอด!” เหมยเหมยชูแขนตะโกนเสียงดัง
“ให้สามีของลูกไปทอดให้สิ!” จ้าวอิงหัวคร้านจะสนใจยายตัวแสบที่เก่งเรื่องเล่นงานพ่อตัวเองนัก
แม้ปากจะว่าไปอย่างนั้นแต่ไม่นานจ้าวอิงหัวก็ยกเกี๊ยวร้อน ๆออกมาสามจาน เกี๊ยวนึ่งให้ภรรยา เกี๊ยวทอดให้ลูกสาวส่วนเกี๊ยวต้มไว้สำหรับเขากับลูกชาย
ส่วนลูกเขย จะทานไม่ทานก็แล้วแต่!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น