ยอดหญิงสกุลเสิ่น 195.1-195.2
ตอนที่ 195-1 จับแยกเข้าคุก
เสิ่นหย่ามาเร็วอย่างยิ่ง กระทั่งบ่าวรับใช้ที่เสิ่นเวยทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ก็ล้อมตัวนางไว้ กรูเข้ามาเป็นหนึ่งกลุ่มใหญ่ ดูกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ
เหอจังหมิงมองภรรยาที่เดินเข้ามาช้าๆ ความยากลำบากหลายปีเพียงนี้ไม่ได้ทำให้นางลืมการอบรมที่ดีงามเลย กระโปรงไม่ขยับปิ่นไม่สั่นไหว หลังยืดตรง ฝีเท้าไม่กว้างไม่แคบ ไม่เร็วไม่ช้า สง่าผ่าเผย แต่ทุกๆ ย่างก้าวเสมือนเหยียบย่ำลงในหัวใจของเหอจังหมิง ความรู้สึกของเขาซับซ้อนอย่างถึงที่สุด จำต้องยอมรับว่าความแตกต่างของภรรยากับเถียนอี๋เหนียงต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ ในใจเขาประหนึ่งมีมือเล็กๆ ข้างหนึ่งกำลังสะกิดอยู่ ไม่สบายอย่างยิ่ง
“หย่าเอ๋อร์!” เหอจังหมิงเดินขึ้นไปข้างหน้าสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว ยื่นมือออกไปคิดจะจับแขนของเสิ่นหย่าไว้
ทว่าเสิ่นหย่ากลับหยุดเท้าห่างจากเขาออกไปสองก้าว โค้งคำนับต่ำๆ “วันนี้เราสองจากลากันด้วยดี หลังจากนี้ไม่มีอะไรให้ต้องเกี่ยวข้องกันอีก”
สีหน้านางเรียบเฉย น้ำเสียงนิ่งเรียบ แววตาไร้ซึ่งระลอกคลื่นใดๆ เสิ่นเวยอยู่ข้างๆ กระดกมุมปาก ชื่นชมท่านอาของนาง สมกับที่เป็นสตรีตระกูลสูงศักดิ์ ไม่ทำให้ท่านปู่ขายหน้า แม้แต่แม่นมมั่วเองก็พยักหน้าในใจ กูไหน่ไนตระกูลเสิ่นผู้นี้กลับไม่ได้ไร้ประโยชน์เกินไป
“ท่านอา พวกเรากลับกันเถอะ หลานมารับท่านกลับบ้านแล้ว” เสิ่นเวยก้าวขึ้นมาอย่างยิ้มแย้ม
หนึ่งประโยคแทบจะทำให้น้ำตาของเสิ่นหย่าร่วงลงมา กลับบ้าน ใช่แล้ว ในที่สุดนางก็กลับบ้านได้แล้ว กลับบ้านแล้วควรจะมีความสุขจึงจะถูก นางสูดหายใจเข้าลึก กะพริบตาบังคับให้น้ำตากลับไป ยิ้มน้อยๆ ที่งามสง่าตอบเสิ่นเวย
เหอหลินหลินที่อยู่ข้างๆ เสิ่นหย่าก็โค้งคำนับให้พ่อของนาง หลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปพร้อมกัน
เหอจังหมิงเอ่ยปากแล้ว “หยุดก่อน! เสิ่นซื่อไปได้ แต่หลินเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาวตระกูลเหอ นางไปไม่ได้”
“ใช่ ใช่ หลินเจี่ยเอ๋อร์ห้ามไป” มารดาแซ่เหอที่ตามเสียงมาก็ขวางทางเหอหลินหลินไว้ กำลังจะคว้ามือนางไว้ เย่ว์กุ้ยก็วิ่งพรวดมาบังอยู่ข้างหน้านาง “พูดก็พูดดีๆ ลงไม้ลงมือเพื่ออะไร”
มารดาแซ่เหอเห็นว่าเป็นสาวใช้คนนี้ก็ตกใจจนถอยไปข้างหลังหลายก้าว เมื่อได้สติกลับมาก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “หลินเจี่ยเอ๋อร์แซ่เหอ ตามคนแซ่เสิ่นไปไม่ได้เด็ดขาด” นางถลึงตามองเสิ่นหย่าปราดหนึ่ง ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เหอะ ไปก็ดี สตรีที่นำหายนะมาให้ครอบครัวผู้นี้ไปแล้วนางจะแต่งคนใหม่ที่ดีกว่านี้ให้ลูกชาย
เห็นคนรับใช้จวนตระกูลเหอที่ถือกระบองขวางอยู่ข้างหน้า เสิ่นเวยก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดาบจริงทวนจริงในสนามรบต่างก็ขวางนางไม่ได้ กระบองไม่กี่อันเล็กๆ ยังจะทำอะไรนางได้
“ไม่มีใครบอกว่าญาติผู้น้องไม่ใช่บุตรสาวของตระกูลเหอนี่ เพียงแค่วันนี้ข้าอารมณ์ดี อยากรับญาติผู้น้องไปดูบ้านคฤหาสน์ อย่างไรเสียหลังจากนี้คฤหาสน์ของอวิ๋นโจวแห่งนี้ก็จะเป็นสินเดิมของญาติผู้น้อง” เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่สนใจ
“นั่นก็ไม่ได้ เจ้าจะไปแล้วไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ไปแค่คนเดียว หลินเจี่ยเอ๋อร์ต้องอยู่ที่จวนตระกูลเหอ ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” เหอจังหมิงจ้องมองเสิ่นเวยราวกับงูพิษที่ดุร้ายตัวหนึ่ง
เสิ่นหย่าเลิกคิ้ว ละสายตามองมารดาแซ่เหอที่ตาลุกวาว “แม่เฒ่าเหอเองก็คิดเช่นนี้หรือ”
มารดาแซ่เหอหน้าเหยเก กำลังจะเอ่ยปากก็ถูกลูกชายแย่งพูดขึ้นก่อน “เจตนาของท่านแม่ย่อมต้องเหมือนข้า หลินเจี่ยเอ๋อร์ รีบมาหาพ่อเถอะ” ท่าทางจะเป็นจะตายก็ไม่ยอมให้เหอหลินหลินเดินออกจากจวนตระกูลเหอ
“เหล่าเอ้อร์” มารดาแซ่เหอร้อนใจในชั่วขณะแล้ว จ้องมองลูกชายแล้วกล่าวแนะ “เจ้าเด็กคนนี้เหตุใดถึงไม่รู้ประสีประสาเช่นนี้ แม้เจ้าจะหย่ากับแม่ของหลินเจี่ยเอ๋อร์แล้ว แต่อย่างไรเสียหลินเจี่ยเอ๋อร์ก็ยังคงเป็นหลานสาวของจวนตระกูลเหอ ญาติผู้พี่นางรับนางไปเที่ยวเล่นไม่กี่วันไม่ใช่เรื่องปกติหรือไร”
นางพยายามส่งสายตาให้ลูกชาย นั่นคือคฤหาสน์เชียวนะ มูลค่ามหาศาล จวนโหวใจกว้างยกให้หลินเจี่ยเอ๋อร์ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเป็นของตระกูลเหอของนางด้วยมิใช่หรือ เด็กสาวไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องเป็นคนของตระกูลอื่นแล้ว ต่อให้นำสินเดิมไปมากก็เป็นการเสียเปรียบผู้อื่น ถึงตอนนั้นทำกระเป๋าไม่กี่ใบ เย็บเสื้อผ้าไม่กี่ชุดก็พอแล้ว คฤหาสน์หลังนั้นเหลือไว้ให้หลายชายคนโตดีกว่า
เหตุใดสมองของเหอจังหมิงถึงได้ทึบจนสื่อสารกับมารดาแซ่เหอไปคนละทาง ไม่เข้าใจความพยายามบากบั่นของมารดาเขา ดวงตาที่ถลึงจนแดงก่ำก็ยังคงแสดงออกว่าไม่ยอมให้บุตรสาวของเขาไป
เสิ่นเวยหัวเราะเบาๆ หนึ่งครา ไม่เอ่ยขอร้อง “ในเมื่อใต้เท้าเหอไม่ยอมเช่นนั้นก็ช่างเถอะ ญาติผู้น้อง เจ้าเองก็อย่าตำหนิที่พี่ไร้เมตตาเลยนะ คฤหาสน์หลังนั้นบอกว่าจะให้เจ้าก็เพราะว่าเจ้าเป็นคุณหนูญาติผู้น้องของจวนจงอู่โหวของพวกเรา เป็นหลานสาวตาเพียงคนเดียวของท่านปู่ ทุกคนรักเจ้าจึงอยากชดเชยให้เจ้าสักเล็กน้อย ตอนนี้ใต้เท้าเหอยืนกรานจะตัดญาติตระกูลนี้ เช่นนั้นพี่ก็ทำได้เพียงขออภัย อย่างไรเสียคฤหาสน์หลังนั้นก็มีมูลค่าพันตำลึงเป็นอย่างน้อย เงินของจวนจงอู่โหวของพวกเราก็ไม่ได้หอบมากับสายลม ไหนเลยจะมอบให้คนนอกได้ตามอำเภอใจ” นางกล่าวกับเหอหลินหลินด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
เหอหลินหลินสีหน้าเรียบเฉย โค้งคำนับเสิ่นเวยหนึ่งครา “ญาติผู้พี่พูดมีเหตุผล น้องหลินไม่โกรธ” หลังจากนั้นก็ก้าวเท้าเดินไปหาพ่อนาง
ชั่วพริบตาคฤหาสน์ที่อยู่ในมือกำลังจะลอยออกไป อย่าว่าแต่มารดาแซ่เหอที่ร้อนใจ แม้แต่ภรรยาบุตรคนโตแซ่เหอกับเถียนอี๋เหนียงที่อุ้มลูกชายมาดูพร้อมกันต่างก็โกรธแค้นเหอจังหมิง นั่นคือคฤหาสน์มูลค่าหนึ่งพันตำลึงเชียวนะ แม้จะไม่อยู่อาศัยเพียงปล่อยให้เช่า หนึ่งปีก็มีรายได้เป็นเงินไม่น้อยแล้ว คนจวนโหวจะรับหลินเจี่ยเอ๋อร์ไปแค่ไม่กี่วันไม่ใช่หรือ ไม่ได้พูดว่าจะไม่กลับมาเสียหน่อย มิหนำซ้ำยังไม่ได้ออกจากเมืองอวิ๋นโจวแห่งนี้ เขาจะตื่นตระหนกทำไมกัน
มารดาแซ่เหอเห็นคุณชายจวนตระกูลโหวผู้นั้นและลูกสะใภ้คนก่อนไม่สนใจหลินเจี่ยเอ๋อร์แล้วจริงๆ ก็ยิ่งร้อนใจ ก้าวขึ้นไปสองก้าวดึงเหอหลินหลินเข้ามา ผลักนางไปอยู่ข้างๆ เสิ่นหย่าแม่ของนาง “เจ้าเด็กคนนี้เหตุใดถึงใสซื่อเพียงนั้น พ่อเจ้าพูดออกมาด้วยความโมโหก็ฟังไม่ออกหรือ แยกกันครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ หลินเจี่ยเอ๋อร์ผู้น่าสงสาร ไปเถอะ ตามแม่เจ้ากับญาติผู้พี่เจ้าไปเที่ยวเล่นสักวันสองวัน อีกสองวันค่อยให้พ่อเจ้าไปรับเจ้า” นางดึงแขนเสื้อแสร้งเช็ดน้ำตา ท่าทางอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด
เหอหลินหลินยังคงไม่พูดจา คำนับมารดาแซ่เหอแล้วจึงกลับไปยืนข้างกายแม่นางด้วยสีหน้าเรียบเฉย มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยเผยความเย็นชาหลายส่วน ย่านางไหนเลยจะคิดแทนนาง ชัดเจนว่าตัดใจทิ้งคฤหาสน์หลังนั้นไม่ได้ต่างหาก
เพื่อคฤหาสน์หลังนั้นแล้ว มารดาแซ่เหอเมื่อลงมือทำอะไรแล้วต้องทำให้สุด ฉวยโอกาสตอนที่ลูกชายยังไม่ได้สติกลับมา ‘ไล่’ กลุ่มคนของเสิ่นเวยออกไปเสียเลย “ในเมื่อหย่ากันแล้ว เช่นนั้นคุณชายสี่กับแม่หลินเจี่ยเอ๋อร์ก็รีบไปเถอะ เหล่าเอ้อร์เขาลำบากใจ พวกเจ้าก็อย่าได้อยู่ที่นี่ให้เขาเห็นหน้าเลย”
ฮ่าๆๆ ช่างมีไหวพริบจริงๆ เสิ่นเวยคิดไม่ถึงว่าจะออกจากจวนตระกูลเหอได้ง่ายถึงเพียงนี้ นางยังคิดว่าต้องต่อสู้ออกมาเสียอีก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้กำลังข่มขู่คนสักรอบ ตอนนี้คาดไม่ถึงว่าถูกพวกเขา ‘ไล่’ ออกมาอย่างไม่รีรอ มารดาแซ่เหอแม่เฒ่าผู้นี้น่ารักจริงๆ ไม่ใช่หรือ เหมือนกลุ่มหมูโง่ไม่ใช่หรือ เสิ่นเวยวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในใจเงียบๆ จิตใจเบิกบานมีความสุข
กว่าเหอจังหมิงจะได้สติกลับมากลุ่มของเสิ่นเวยก็เหลือเพียงแต่เงาแล้ว เขาไต่ถามแม่เขาอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่ ท่านปล่อยหลินเจี่ยเอ๋อร์ไปได้อย่างไร” ไม่จับหลินเจี่ยเอ๋อร์ไว้ในมือในใจเขามักจะรู้สึกไม่ปลอดภัย
มารดาแซ่เหอกลอกตามองลูกชาย กล่าวอย่างหงุดหงิด “เจ้าไม่ได้ยินคุณชายสี่ผู้นั้นกล่าวหรือ หากหลินเจี่ยเอ๋อร์ตัดญาติกับจวนโหว เช่นนั้นก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์แม้แต่นิดเดียว คฤหาสน์มูลค่าพันตำลึงไม่อยากได้หรือไร เจ้าน่ะ ไม่ดูแลบ้านก็ไม่รู้หรอกว่าข้าวยากหมากแพง เจ้าตัดใจได้ แต่มารดาเจ้าจะตัดใจได้หรือไร”
สีหน้าเหอจังหมิงแข็งทื่อ เอ่ยถึงเงินทองเขาเองก็ยิ่งไม่มีความมั่นใจอย่างมาก แต่เขากังวลยิ่งกว่าหากเสิ่นซื่อแอบพาหลินเจี่ยเอ๋อร์กลับเมืองหลวงขึ้นมาจะทำอย่างไร
มารดาแซ่เหอเห็นท่าทีก็ไม่โมโหแล้ว กล่าวด้วยคำชี้แนะจากใจจริง “เหล่าเอ้อร์ หลินเจี่ยเอ๋อร์เพียงแค่ไปคฤหาสน์ เจ้ากังวลอะไร อย่างไรเสียเจ้าเองก็เป็นนายอำเภอ อวิ๋นเหอแห่งนี้พวกเราคุ้นเคยดียิ่งกว่าพวกเขามิใช่หรือ แม่ว่า หลินเจี่ยเอ๋อร์ตามไปสิดี หากเสิ่นซื่อใจร้ายไม่สนใจหลินเจี่ยเอ๋อร์จริงๆ พวกเราก็คงจะไม่ได้อะไรเลยมิใช่หรือ ตอนนี้คอยกระตุ้นนางทุกวันๆ นางยังจะใจร้ายได้ลงคออีกหรือ อย่างน้อยก็ต้องวางแผนอนาคตให้หลินเจี่ยเอ๋อร์บ้าง หลินเจี่ยเอ๋อร์ได้ผลประโยชน์ ก็เท่ากับพวกเราได้รับผลประโยชน์เช่นกันมิใช่หรือ”
“ใช่ๆ ยังคงเป็นท่านแม่ที่มองการณ์ไกล มีเหตุผล” ภรรยาบุตรคนโตแซ่เหอรีบประจบประแจงมารดาแซ่เหอ บุตรคนโตแซ่เหอไอหนึ่งครา กล่าวกับเหอจังหมิง “เหล่าเอ้อร์ เจ้าเชื่อฟังท่านแม่ของเราไม่มีผิดพลาดหรอก”
ในใจมารดาแซ่เหอพอใจ ชื่นชมภรรยาลูกชายคนโตที่เชื่อฟังกตัญญู แม้ว่านางจะเป็นหญิงชราในชนบท แต่กลับแต่งงานกับสามีที่ป่วยออดแอด ดังนั้นนางจึงมีอำนาจตัดสินใจในตระกูลเหอ สิ่งที่น่าพอใจที่สุดในชีวิตของนางก็คือการตัดสินใจส่งบุตรชายคนเล็กไปเรียนหนังสือ ตอนแรกเพื่อนบ้านต่างก็หัวเราะเยาะที่นางใฝ่สูง ดูสิว่าตอนนี้นางกลายเป็นแม่ของใต้เท้านายอำเภอแล้วมิใช่หรือ ซ้ำยังใช้ชีวิตที่ดีมีบ่าวให้เรียกใช้อีกด้วย
นึกถึงตรงนี้นางก็กล่าวต่อ “พวกเราไม่ใช่ว่ายังต้องคืนสินเดิมอีกหรือ มีหลินเจี่ยเอ๋อร์ลดความตึงเครียดอยู่ตรงกลาง พวกเขาจะยังบีบบังคับเจ้าจนหมดหนทางได้อีกหรือ”
มารดาแซ่เหอไม่คิดจะคืนสินเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่มีแม้แต่ประโยคเดียว ทั้งหมดล้วนใช้หมดแล้ว พวกเขาจะทำอะไรนางได้อีก
ก่อนหน้านี้เหอจังหมิงยังคงลังเล เมื่อได้ยินเหตุผลแล้วเขาก็ผ่อนคลายลง ใช่แล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นบิดาของหลินเจี่ยเอ๋อร์ หลินเจี่ยเอ๋อร์มีความสัมพันธ์อันดีกับบ้านฝั่งมารดา หากเห็นแก่หลินเจี่ยเอ๋อร์ก็ต้องไว้หน้าตนบ้างใช่หรือไม่
เหอจังหมิงกับมารดาแซ่เหอคิดไว้ดียิ่งนัก ทว่าพวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าเสิ่นเวยจะเป็นคนที่ไม่ไว้หน้าคนอื่น จากมุมมองของเสิ่นเวย ต่างก็หย่ากันแล้ว เช่นนั้นย่อมต้องเอาของของข้าที่กินเข้าไปคายออกมาให้หมด เอาของของข้าคืนกลับมาให้ข้า ไว้หน้าหรือ นั่นเป็นสิ่งใดกัน เสิ่นเวยไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
ตอนที่ 195-2 จับแยกเข้าคุก
วันที่สอง คนทั้งหมดในจวนตระกูลเหอเห็นชายร่างกำยำชุดดำเหมือนกันทั้งหมดหลายสิบคนนี้ต่างก็ตะลึงงันแล้ว นี่…นี่จะมาทำอะไรกัน ค้นบ้านหรือ
มารดาแซ่เหอใจเต้นรัว ร้องตะโกนเสียงแหลมเปรียว “ปิดประตู ปิดประตู รีบปิดประตู” พยายามจะกีดกันเสิ่นเวยไว้ข้างนอก
เถาฮวาก้าวขึ้นมาข้างหน้าทันที มือทั้งสองเพียงแค่ผลักเบาๆ ประตูใหญ่บานนั้นก็เปิดออกแล้ว กลับกลายเป็นคนรับใช้จวนตระกูลเหอสี่คนที่ปิดประตูล้มระเนระนาดลงไปกับพื้น
เสิ่นเวยยิ้ม รอยยิ้มนั้นส่องแสงแยงตาเช่นนั้นท่ามกลางช่วงเช้าตรู่ที่ดวงอาทิตย์เพิ่งจะโผล่ขึ้นมา นางเอามือไพล่หลังเดินเข้ามาในจวนตระกูลเหอช้าๆ “แม่เฒ่าเหอจะทำอะไร เมื่อวานพวกเราก็พูดกันดีแล้วไม่ใช่หรือว่าวันนี้จะมาขนสินเดิม คาดว่าในจวนคงจะเตรียมการเรียบร้อยดีแล้วใช่หรือไม่ พ่อบ้านรอง แม่นมมั่ว เอาใบรายการสินเดิมของท่านอาไปตรวจดูกับแม่เฒ่าเหอ ของที่ไม่ใช่ของพวกเราอย่าได้แตะ” ความหมายในคำพูดก็คือของที่เป็นของนางแม้ว่าจะเป็นหญ้าเพียงต้นเดียวก็ต้องเอาไปด้วย
“แม่เฒ่าเหอเชิญเถิด!” แม่นมมั่วก้าวไปหามารดาแซ่เหอช้าๆ พ่อบ้านรองฝั่งนั้นเองก็เดินไปหาเหอจังหมิง “ใต้เท้าเหอ นี่คือใบรายการสินเดิมในตอนแรกของกูไหน่ไนของพวกเรา ฝ่ายราชการก็มีข้อมูลสำรอง ท่านจะอ่านสักหน่อยหรือไม่”
สินเดิมของเสิ่นหย่าเหอจังหมิงย่อมเคยเห็นแล้ว ตอนนั้นเขายังตกตะลึงในความร่ำรวยของจวนจงอู่โหว เพียงแค่บุตรสาวอนุภรรยายังมีสินเดิมเยอะถึงเพียงนี้ ยังเคยแอบดีใจกับตัวเอง
ทว่าตอนนี้เผชิญหน้ากับใบรายการสินเดิมที่พ่อบ้านรองส่งเข้ามานี้ เขาจะรับก็ไม่ได้ ไม่รับก็ไม่ได้ กล่าวจากใจจริง เขาเป็นบัณฑิต เรียกตัวเองว่าเป็นสุภาพบุรุษ ก็ไม่อยากครอบครองสินเดิมของภรรยาที่หย่ากันแล้ว แต่จะให้เขาคืนกลับไป ในใจเขาก็ไม่ยินยอมอย่างถึงที่สุด ต่อให้เขาจะไม่ชำนาญงานในจวนนักแต่ก็รู้ว่าหากไม่มีสินเดิมของเสิ่นซื่อประคับประคอง จวนตระกูลเหอก็จะไม่เหลืออะไรเลย
มารดาแซ่เหอมองแม่นมมั่วที่เดินเข้ามาหานาง ราวกับเห็นผีร้าย ถอยหลังไปพลางตะโกนไปพลาง “สินเดิมอะไร ไม่มี ไม่มีสินเดิม! เสิ่นซื่อแต่งเข้ามาจะยี่สิบปีแล้ว เพราะนางจะกินรังนกวันนี้ พรุ่งนี้จะตุ๋นอุ้งตีนหมีใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ต่อให้จะมีกองเงินกองทองก็ใช้หมดไปนานแล้ว” จะให้คืนสินเดิมเช่นนั้นก็คงต้องเฉือนเนื้อนางอย่างไม่ต้องสงสัย นางจะยอมได้อย่างไร
แม่นมมั่วกล่าว “ตอนแรกกูไหน่ไนของพวกเราแต่งเข้ามามีขบวนสินสอดยาวสิบลี้ เพียงแค่ร้านค้าที่ได้กำไรดีก็มีห้าหกแห่งแล้ว เพียงแค่กำไรของร้านค้าห้าหกแห่งก็เพียงพอให้กูไหน่ไนของพวกเรากินอุ้งตีนหมีรังนกทุกวันก็ใช้ไม่หมด แม่เฒ่าเหอหมายความว่าจะไม่ยอมคืนสินเดิมหรือ”
สีหน้ามารดาแซ่เหอเปลี่ยนแล้ว มองแม่นมมั่วด้วยความตื่นตัวราวกับป้องกันตัวจากคนร้าย ปากตะคอกกล่าว “ร้านค้าห้าหกร้านอะไรกัน ข้าไม่เคยเห็น ครอบครัวของพวกข้าไม่มีสินเดิมของเสิ่นซื่อ เจ้าออกไป อย่ามาบ้านพวกข้า ออกไป ออกไป”
เหอจังหมิงเห็นท่าทีสีหน้าก็ยิ่งแย่ เขารู้สึกลำบากใจมากเป็นพิเศษ แม้ความยากจนในตอนแรกที่ไม่สามารถหาเงินเข้าเมืองหลวงไปสอบราชการจะเทียบไม่ได้กับตอนนี้ก็ตาม เขาอยากจะตะโกนออกไปจริงๆ ว่า ‘ขนไป ขนไป ขนไปให้หมด’ แต่ในลำคอกลับคล้ายถูกอะไรบางอย่างอุดไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ส่งเสียงไม่ออก
เสิ่นเวยไหนเลยจะไม่รู้ความละโมบของคนแซ่เหอสองแม่ลูก มุมปากเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม ใบหน้าที่งามราวกับหยกก็เย็นเยียบลง “ดูท่าแล้วจะพูดดีๆ ไม่ฟัง ต้องใช้กำลังบังคับ ยังรออะไรอีก ขนไป!”
เสิ่นเวยโบกมือ ชายกำยำชุดดำก็กรูเข้าไปในเรือนราวกับเสือหิว
“พวกเจ้าทำอะไร ทำอะไร ออกไป ออกไป ห้ามเข้ามา” มารดาแซ่เหอร้องเสียงแหลมโถมตัวเข้าไปขวาง แต่นางไหนเลยจะขวางอยู่ กลับถูกชายกำยำหนึ่งคนในนั้นถือโอกาสผลักออกไปหนึ่งครา ล้มนั่งลงบนพื้น
สีหน้าของเหอจังหมิงเองก็เปลี่ยนไปอย่างยิ่ง เดินเข้าไปหลายก้าวพยุงแม่ของเขาขึ้น สายตาที่ดุร้ายสาดยิงไปยังเสิ่นเวย “พวกเจ้าบุกรุกบ้านคนอื่นโดยพลการ ข้าจะยื่นสาน์สกราบทูลจักรพรรดิ จวนจงอู่โหวใช้อำนาจระรานคน ข้าจะต้องหาที่ฟ้องร้อง”
เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา “บ้านคนอื่นหรือ ใต้เท้าเหอ นี่คือจวนขุนนาง! เหตุใดถึงวุ่นวายจนเป็นเช่นนี้ท่านรู้ดีอยู่แก่ใจ หากท่านยอมมอบสินเดิมออกมาโดยดี ข้าก็จะพาคนไปทันที แต่น่าเสียดายที่ท่านตัดใจไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงไปเอาเอง เอาของที่เป็นของข้าไปไม่ใช่เป็นสัจธรรมอันถูกต้องแล้วหรือ”
ต่อให้ข้าจะใช้อำนาจระรานผู้อื่นแล้วเจ้าจะทำไม นั่นก็เพราะว่าข้ามีอำนาจ เจ้าคอยดูข้าไว้แล้วกัน!
ยังจะยื่นสาส์นกราบทูลจักรพรรดิอีกงั้นหรือ นายอำเภอเล็กๆ คนหนึ่งยังเพ้อฝันว่าโอรสสวรรค์จะรับฟัง รับราชการมาเกือบยี่สิบปียังไร้เดียงสาเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงเลื่อนขั้นไม่ได้เสียที
การเคลื่อนไหวของชายชุดดำเร็วอย่างยิ่ง พวกเขาต่างก็เป็นคนที่เสิ่นเวยใช้เงินจ้างมา เดิมก็จ่ายเงินไปแพง บวกกับชื่อเสียงอันโด่งดังของจวนจงอู่โหว ย่อมต้องเชื่อฟังอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังเป็นการยึดสินเดิมคืนจากนายอำเภอแซ่เหอในข่าวลือ ตอนนี้ในเมืองอวิ๋นโจวมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่านายอำเภอแซ่เหอเป็นคนต่ำช้าหน้าไม่อายที่อาศัยฮูหยินสร้างอำนาจแต่กลับโปรดปรานอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอก ไม่ต้องสนว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร ในใจล้วนแต่เหยียดหยามเขา ลงมือขึ้นมาย่อมไร้ความเมตตา
ทุกอย่างที่บันทึกลงในใบรายการสินเดิมต่างก็ขนไปหมดแล้ว เครื่องเรือนขนาดใหญ่เหล่านั้นที่ขนไปไม่สะดวก เช่นนั้นก็ทุบทำลายเป็นฟืนเสีย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเสียเปรียบให้กับคนต้อยต่ำหน้าไม่อายได้ ในขั้นตอนการขนย้ายสินเดิม พวกเขายังไม่ระมัดระวังทำของพังไปไม่น้อย
มารดาแซ่เหอเจ็บใจอย่างถึงที่สุด วิ่งพุ่งไปหาเสิ่นเวยราวกับคนบ้า “เจ้าคนโฉดชั่ว ข้าจะสู้กับเจ้า”
แม้แต่ชายเสื้อของเสิ่นเวยยังแตะไม่ได้ถึงก็ถูกเถาฮวาคว้าแขนแล้วพับไปด้านหลังจับตัวมาไว้ข้างๆ มารดาแซ่เหอเจ็บจนกรีดร้องโอดโอย
“เจ้า หลานสี่แซ่เสิ่นเจ้ารีบปล่อยแม่ข้าเดี๋ยวนี้!” เหอจังหมิงมองเสิ่นเวยด้วยความโมโห พยายามจะพุ่งเข้ามา มีโอวหยางไน่ผู้คุ้มกันที่มีวรยุทธ์สูงส่งผู้นี้อยู่ เหอจังหมิงย่อมทำได้แค่เพียงร้อนใจจนกระทืบเท้าอยู่กับที่ “หากแม่ข้าเป็นอะไรไป ข้าเอาเรื่องเจ้าแน่” แม้ว่าเขาจะทำอะไรไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่กลับเป็นลูกกตัญญู กตัญญูต่อบุพการีอย่างถึงที่สุด
“ท่านเรียกว่าหลานสี่แซ่เสิ่นหรือ” สายตาของเสิ่นเวยน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นลูกเขยของจวนโหว ย่อมต้องพูดดีทำดีด้วย ตอนนี้ต่างก็หย่ากันแล้ว ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ แล้ว ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกว่าหลานสี่แซ่เสิ่น เจ้ามีคุณสมบัตินั้นหรือ
“ใต้เท้าเหอหลับหูหลับตาพูดเหลวไหลเก่งเสียจริง ไม่เห็นหรือว่าแม่เฒ่าตระกูลท่านพุ่งเข้ามาโจมตีข้าก่อน ข้าไม่ต่อยนางจนฟันร่วงก็ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว เหอะ!”
สีหน้าเหอจังหมิงแข็งทื่อ ถูกดักทางจนพูดไม่ออก แต่เห็นทั่วทั้งจวนถูกชายกำยำชุดดำทำลายจนไม่เหลือซาก เขาก็อยากจะเข้าไปห้ามอย่างยิ่ง ทว่าสติปัญญาที่ยังเหลืออยู่กลับบอกเขาว่าทำเช่นนั้นไปก็ไร้ประโยชน์ เขาทำได้เพียงใช้สายตาที่เคลือบพิษประหารเสิ่นเวย
“นี่มันอะไรกัน ขโมย โจร ข้าจะไปที่ว่าการฟ้องร้องพวกเจ้า! ปล่อยเดี๋ยวนี้ เจ้าจะแย่งของของข้าไปไม่ได้” สะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอกรีดร้องผมยุ่งกระเซิงแย่ง**บเครื่องประดับในมือกลับไป
ชายกำยำชุดดำที่ถือ**บเครื่องประดับอีกฝั่งหนึ่งไว้หัวเราะเยาะหนึ่งครา “ของของเจ้าอะไรกัน นี่คือสินเดิมของกูไหน่ไนจวนโหว” จุ๊ๆๆ หน้าไม่อายเสียจริงๆ แม้แต่สินเดิมของน้องสะใภ้ก็ยังย้ายมาไว้ในห้องตน เหตุใดถึงได้มีคนแบบนี้อยู่ได้นะ
**บเครื่องประดับย่อมตกลงในมือของชายกำยำชุดดำ สะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอปวดใจจนกรีดร้องเสียงดัง ละสายตาไปเห็นแม่สามีกับน้องสามีถูกจับอยู่ข้างๆ ชั่วขณะก็ตื่นกลัวขึ้นมา “อย่า อย่าตีข้า ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น เรื่องทั้งหมดพวกเขาเป็นคนทำ อย่าจับข้า อย่าจับข้า” นางหันหน้ากำลังจะวิ่งกลับไป แต่กลับไม่ทันระวังล้มลงกับพื้น สองมือกุมศีรษะขดตัวอยู่บนพื้นด้วยความหวาดกลัวไม่กล้าลุกขึ้นยืน
ไม่แปลกที่สะใภ้ใหญ่จะหวาดกลัวเช่นนี้ เพราะว่าปกติแล้วน้องสามีเป็นนายอำเภอ นางเดินออกไปข้างนอกภรรยาพ่อค้าจำนวนมากเคารพนาง มอบของดีๆ ให้นาง เวลานานเข้านางก็ยิ่งรู้สึกว่าน้องสามีคือฮ่องเต้ท้องถิ่นของอวิ๋นโจวแห่งนี้ แต่ใครจะรู้ว่าน้องสามีขุนนางที่สูงส่งในใจนางตอนนี้กลับถูกคนจับไว้ข้างๆ นางจะไม่หวาดกลัวตื่นตระหนกได้อย่างไร
ไม่นานเจ้านายคนอื่นๆ ในจวนตระกูลเหอต่างก็วิ่งเข้ามาด้วยสภาพจนตรอก พวกเขาไหนเลยจะเคยเห็นเหตุการณ์โดนค้นบ้านเช่นนี้ ต่างก็ทำตัวไม่ถูกเช่นเดียวกับสะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอ กระวนกระวายใจประหนึ่งวิหคตื่นเกาทัณฑ์
เสิ่นเวยมองดูอย่างเย็นชา เสมือนมองดูมดที่ดิ้นพล่านอยู่บนพื้น นางไม่เห็นใจพวกเขาแม้แต่นิดเดียว
ประสิทธิภาพของเหล่าชายกำยำชุดดำยังคงสูงอย่างยิ่ง เพียงแค่หนึ่งชั่วยามก็เก็บกวาดสินเดิมทั้งหมดของเสิ่นหย่าเรียบร้อยแล้ว เสิ่นเวยใช้พัดพับชี้ไปที่เหอจังหมิง “ใต้เท้าเหอ ขุนเขามิแปรเปลี่ยน สายน้ำมิไหลย้อนกลับ ข้าขอตัวลา ท่านระวังตัวไว้ให้ดีล่ะ!” นางยิ้มอย่างแปลกประหลาดให้เหอจังหมิง พาคนยกสินเดิมเรียงแถวยาวเหยียดออกจากจวนตระกูลเหอ
เมื่อเสิ่นเวยออกไป มารดาแซ่เหอก็คลานขึ้นมาจากพื้นแล้วพุ่งไปที่เรือนของตน พุ่งเข้าไปในห้องนอน วิ่งตรงไปยังห้องด้านใน นางเปิดไม้กระดานเตียงออกลูบคลำข้างใน ชั่วขณะหัวใจก็เย็นเยียบไปครึ่งหนึ่ง จบแล้ว โลงศพที่เก็บมาทั้งชีวิตของนางหมดแล้ว! เงินห้าพันตำลึง!
นางไม่ยอมแพ้ มุดเข้าไปใต้เตียง ค้นไหออกมา ข้างในก็ว่างเปล่าเช่นเดียวกัน นางทนรับความสะเทือนใจไม่ไหวล้มนั่งลงบนพื้น ส่งเสียงคล้ายร้องไห้คล้ายหัวเราะออกมา กำไลหยกปิ่นทอง ต่างหูทองต่างๆ ที่นางเตรียมจะเอาเข้าโลงศพไปด้วยหายไปหมดแล้ว พวกชั่วเหล่านี้
จากนั้นนางจึงมองภายในห้องที่ถูกค้นจนกระเจิดกระเจิง ของมูลค่าเล็กน้อยล้วนหายไปแล้ว แม้แต่โต๊ะน้ำชาที่ทำจากไม้หวงฮวาหลี (ไม้พะยูงหอม) ตัวนั้น เก้าอี้ไม้หยาง (ไม้ทิวลิป) ที่เหลืออยู่ไม่กี่ตัวก็ล้มระเนระนาดอยู่บนพื้น จบแล้ว จบหมดแล้ว สมบัติที่นางเก็บมาทั้งชีวิตหมดแล้ว ชีวิตหลังจากนี้จะผ่านไปอย่างไร มารดาแซ่เหอร้องไห้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ไม่เพียงแต่เรือนมารดาแซ่เหอที่เป็นเช่นนี้ เรือนของเหอจังหมิง เรือนของบุตรคนโตแซ่เหอ กระทั่งเรือนอี๋เหนียงหลายคนของเหอจังหมิงก็เป็นเช่นนี้ ชั่วขณะทุกคนในจวนต่างก็ตกใจร้องไห้ฟูมฟาย
“ท่านแม่ เหล่าเอ้อร์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” บุตรคนโตแซ่เหอและลูกชายคนรองเหอเทียนฮุยพยุงกันวิ่งโซซัดโซเซกลับจวนมา เมื่อเห็นทั่วทั้งจวนประหนึ่งถูกโจรปล้น ชั่วขณะก็ตกตะลึง “เหล่าเอ้อร์ เกิดอะไรขึ้น ท่านแม่พวกเราเล่า”
เหอจังหมิงส่ายหน้าไม่พูด เขาเห็นว่าบนเสื้อผ้าของพี่ใหญ่กับหลานชายมีรอยเลือด ก็รีบถาม “พวกท่านเป็นอะไร”
บุตรคนโตแซ่เหอได้สติกลับมาในชั่วขณะ ตบเข่าฉาดแล้วกล่าว “เหล่าเอ้อร์ คนจากบ้านฝั่งแม่ของน้องสะใภ้มายึดร้านค้า ไล่ผู้จัดการกับเด็กในร้านออกไปจนหมด ข้าไม่ยอม เข้าไปเถียงอยู่สักพักก็ถูกพวกเขาตีจนเป็นเช่นนี้ หลานเจ้าเข้ามาปกป้องข้า เกือบจะถูกตีจนขาหัก เหล่าเอ้อร์ จะทำอย่างไรดี ไม่มีกำไรในร้านค้า ครอบครัวใหญ่ของพวกเราจะใช้ชีวิตอย่างไร”
เหอจังหมิงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าหลานชายคนรองเดินขากระเผลก ถามอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ “ฮุยเกอเอ๋อร์ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
เหอเทียนฮุยส่ายหน้า “ท่านอารอง ข้าไม่เป็นไร ให้หมอข้างทางดูแล้ว ไม่ได้รับบาดเจ็บถึงกระดูก” ดวงตากะพริบวาบถามอย่างระมัดระวัง “ท่านอารอง คนจากบ้านฝั่งมารดาของอาสะใภ้รองมาที่จวนหรือ” หากไม่ใช่ ในจวนคงจะไม่เกลี้ยงถึงขนาดนี้
เหอจังหมิงหน้าดำคร่ำเครียด พยักหน้าอย่างรวดเร็ว ตอนนี้บุตรคนโตแซ่เหอที่เข้าไปดูข้างในมาหนึ่งรอบก็ออกมาแล้ว สีหน้าตื่นตะลึงอย่างเหลือเชื่อ “เหล่าเอ้อร์ เหล่าเอ้อร์ ฟังว่าหลานชายฝั่งมารดาของน้องสะใภ้นำคนมาขนย้ายสินเดิมของน้องสะใภ้ออกไปหมดแล้วหรือ เช่นนั้นชีวิตหลังจากนี้ของพวกเราจะเป็นอย่างไร”
หลังจากนั้นก็ตำหนิขึ้นมา “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าทำเช่นนี้จะเกิดเรื่องได้ ยกเถียนอี๋เหนียงขึ้นหิ้ง อย่างไรเสียน้องสะใภ้ก็เป็นภรรยาเอก ความเคารพการให้เกียรติอย่างไรเสียก็ต้องมีบ้าง แต่เจ้าดันไม่ฟัง เหอะ ชีวิตหลังจากนี้จะทำอย่างไร อีกไม่นานภรรยาหลานชายคนโตของเจ้าก็จะคลอดบุตรแล้ว นี่…นี่…เหอะ!” บุตรคนโตแซ่เหอถอนหายใจหนึ่งคราก่อนจะนั่งยองๆ ลงบนพื้น
สีหน้าของเหอจังหมิงดำขึ้นกว่าเดิม เขามองแจกันดอกไม้ที่แตกละเอียด โต๊ะเก้าอี้ที่ล้มเกลื่อน แค้นจนกัดฟันกรอด จวนจงอู่โหว เสิ่นซื่อ คุณชายสี่แซ่เสิ่น พวกเจ้ารอข้าก่อนเถอะ ข้าจะร้องเรียนฮ่องเต้ ร้องเรียนฮ่องเต้!
น่าเสียดายที่เอหจังหมิงยังไม่ทันจะได้เขียนสาส์นฟ้องร้องก็มีขุนนางตรวจการมาหาถึงหน้าบ้านแล้ว บอกว่ามีคนฟ้องว่าเขาใช้อำนาจในตำแหน่งครอบครองร้านค้าผู้อื่น ข่มขู่ผู้อื่น ใต้เท้าข้าหลวงประจำจังหวัดรับคำร้องแล้ว ส่งเขามาไถ่ถาม
คราวนี้มารดาแซ่เหอก็ไม่เศร้าโศกต่อเงินทองเครื่องประดับของนางแล้ว ดึงแขนเสื้อลูกชายคนเล็กร้องไห้ขอร้องไม่ให้ขุนนางพาตัวเขาไป ทว่าท้ายที่สุดเหอจังหมิงก็ยังคงต้องตามขุนนางไป กระทั่งยังถูกขังอยู่ในคุก
บุตรคนโตแซ่เหอมีส่วนทำให้น้องชายถูกจับเข้าคุก คนทั้งหมดในตระกูลเหอก็ยิ่งตื่นตระหนกไม่สบายใจ มารดาแซ่เหอเดี๋ยวก็ร่ำไห้ เดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็ก่นด่าไม่หยุดราวกับคนวิกลจริต เพียงหนึ่งวันสั้นๆ นางก็แก่ลงไปหลายปี
“เหล่าต้าเอ๋ย เจ้ารีบไปดูอีกทีว่าน้องชายเจ้าถูกทรมานหรือไม่ ถามเขาว่าพวกเราจะช่วยเขาออกมาได้อย่างไร” หลังจากที่มารดาแซ่เหอร่ำไห้เสร็จแล้วก็กล้ำกลืนความเจ็บปวดนี้แล้วลุกขึ้นยืน ความรู้อย่างอื่นนางไม่มี นางรู้เพียงแค่ลูกชายคนรองเป็นเสาหลักของบ้าน ต่อให้ต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนนางก็ต้องพาลูกชายคนรองออกมาให้ได้
ทว่าบุตรคนโตแซ่เหอกลับเผยสีหน้าลำบากใจ “ท่านแม่ เรื่องนี้หมดหนทางแล้ว”
“เหตุใดเล่า อย่างไรเสียน้องชายเจ้าก็เป็นขุนนาง จะไม่มีหวังเลยได้อย่างไร” มารดาแซ่เหอกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
บุตรคนโตแซ่เหอกล่าว “ท่านแม่ เรื่องนี้แปลกประหลาดนัก ข้าร้องขอผู้คุมผู้นั้นอยู่เนิ่นนาน แต่เขาก็ยังไม่ให้ข้าเข้าไปเยี่ยมแม้แต่นิดเดียว บอกว่าใต้เท้าข้าหลวงจังหวัดสั่งไว้โดยเฉพาะว่าห้ามเยี่ยม ข้าต้องใช้จี้หยกติดตัวหนึ่งอันติดสินบนผู้คุม เขาจึงบอกข้าสองประโยค บอกว่าน้องรองน่าจะล่วงเกินใครสักคน หากมีวิธีก็จะพยายามให้เบื้องบนหาทางช่วยเหลือ”
“เสิ่นซื่อ จะต้องเป็นเสิ่นซื่อแน่นอน! เหตุใดจิตใจนางถึงได้โหดเ**้ยมเพียงนี้ อย่างไรเสียเหล่าเอ้อร์ก็เป็นสามีภรรยากับนาง ลูกผู้น่าสงสารของข้า!” ชั่วขณะมารดาแซ่เหอก็เอ่ยสาปแช่ง
ทว่าบุตรคนโตแซ่เหอกลับขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเชื่อนัก “ไม่ใช่กระมัง น้องสะใภ้ไม่ใช่คนแบบนั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลินเจี่ยเอ๋อร์อยู่ด้วย”
“เหตุใดจะไม่ใช่นาง นอกจากนางแล้ว น้องรองของเจ้าเคยล่วงเกินใครอีก ข้าบอกแล้วว่านางใจเ**้ยมใจดำ ดูสิว่านางทำลายตระกูลเหอของพวกเรา สวรรค์ ท่านได้โปรดเมตตา เหตุใดถึงไม่เสกให้ฟ้าผ่าสตรีที่เ**้ยมโหดผู้นั้นตายเสียเลยเล่า” มารดาแซ่เหอชี้ฟ้าด่าดิน ท่าทางเหมือนกับสตรีชนบทที่โง่เขลาเบาปัญญาผู้หนึ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น