กระบี่จงมา 195.1-195.2
บทที่ 195.1 หอสยบกระบี่
โดย
ProjectZyphon
ในสายตาของจื้อกุยที่มองผ่านจากอีกฝากของกำแพง เฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนม้านั่งเล็กตัวโยกโยนไปมา คล้ายคนกำลังสัปหงก
แต่ในการรับสัมผัสของเฉาจวิ้นเซียนกระบี่ จิตวิญญาณของเฉินผิงอันสั่นสะเทือนรุนแรงประหนึ่งเรือลำน้อยลอยคว้างอยู่ท่ามกลางคลื่นน้ำทะลักทลาย เสี่ยงที่จะถูกล่มเรือได้ทุกเมื่อ
จิ้งจอกแดงเพลิงที่ยืนอยู่บนไหล่เฉาจวิ้นเอ่ยหยอกเย้า “แม้จะไม่รู้ความเป็นมาของตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้น แต่ก็แน่ใจได้ว่าระดับของมันสูงมาก ขนาดข้ายังอยากได้ เจ้าแค่เสียเปรียบเล็กน้อยก็ตัดใจได้แล้วหรือ? นี่ไม่เหมือนลักษณะนิสัยของเจ้าเฉาจวิ้นเลย”
เฉาจวิ้นโยนเมล็ดแตงเข้าไปยังลานบ้านของบ้านที่อยู่ติดกัน ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่แย่งแล้ว ตาเฒ่าเฉาพูดถูก ช่วงนี้ควรอยู่นิ่งๆ คนตายยังต้องหงายหน้ามองฟ้า ไม่มีชีวิตเหลือแล้ว ทุกอย่างล้วนไร้ประโยชน์”
จิ้งจอกสีแดงเพลิงพูดล่อลวง “เรื่องเดียวกันไม่ทำเกินสามครั้ง ยังมีโอกาสอีกหนึ่งครั้ง ลองเดิมพันดู ไม่มีหญ้าให้กินตอนกลางคืน ม้าก็อ้วนไม่ได้ คนไม่มีทรัพย์สมบัติก็ไม่อาจร่ำรวย ในเมื่อเจ้าเฉาจวิ้นสะดุดล้มไปครั้งใหญ่ ถูกคนปั่นป่วนทะเลสาบหัวใจจนเละเป็นบ่อโคลน ทำให้ตบะของเจ้าชะงักค้างไม่ก้าวหน้า ตอนนี้หากไม่ใช้วิธีการอย่างใหม่จะทำเรื่องใหญ่สำเร็จได้อย่างไร?”
เฉาจวิ้นเงียบงัน ทำเพียงแค่ก้มหน้าก้มตาแทะเมล็ดแตง สายตาหม่นหมอง
นับตั้งแต่ที่ถือกำเนิดเกิดมา เฉาจวิ้นก็มีชื่อเสียงโด่งดัง เดิมทีก็คือตัวอ่อนเซียนกระบี่ใหญ่ที่หนึ่งร้อยปีจะพานพบสักครั้งในทักษินาตยทวีป ในทะเลสาบหัวใจมีปราณกระบี่ที่บริสุทธิ์ตั้งตระหง่านดุจดอกบัวที่ชูช่อเต็มทะเลสาบมาตั้งแต่เกิด เพียงแค่รอวันที่ดอกบัวจะผลิบานเท่านั้น เพียงแต่ว่าภายหลังพบเจอเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลง ถูกสุดยอดผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งทำลายทะเลสาบหัวใจ ปราณกระบี่แตกซ่านกระจัดกระจาย กลายเป็นเพียงดอกบัวที่แห้งเหี่ยว
นับแต่นั้นมาเฉาจวิ้นก็กลายเป็นตัวตลกของคนทั้งทักษินาตยทวีป ผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่วัยเดียวกันที่ในอดีตเคยถูกเขาทิ้งห่างนำไปไกล ตอนนี้แต่ละคนล้วนเหนือกว่าเฉาจวิ้นไปแล้ว
จิ้งจอกแดงเพลิงถอนหายใจอย่างเศร้าอาลัย ใช้กรงเล็บตบศีรษะเฉาจวิ้น “เด็กที่น่าสงสาร รากฐานกระบี่แตกย่อยยับ อนาคตถูกทำลาย หลายปีมานี้ แม้แต่ความกล้าที่จะงัดข้อกับสวรรค์ก็ไม่เหลืออยู่แล้ว”
เฉาจวิ้นตกตะลึงเล็กน้อย หันหน้ากลับไปมองทางบ้านบรรพบุรุษของเด็กหนุ่ม “นิสัยของเจ้าหมอนี่ไม่เลวเลย ก่อนหน้านี้ข้ากลับมองไม่ออกแม้แต่น้อย เขาถึงขั้นหาวิธีที่สะดวกต่อตนเองเจอแล้ว”
สำหรับเทพเซียนบนภูเขาที่เห็นโลกกว้างมามากแล้ว เรื่องราวมากมายบนโลกนี้ไม่ได้น่าตกใจ แต่ยังมีความน่าสนใจหลงเหลืออยู่
จิ้งจอกแดงเพลิงเองก็อึ้งงันไปเช่นกัน มันกระโดดดึ๋งหนึ่งครั้งก็ขึ้นมายืนบนหัวเฉาจวิ้น ยืดคอเพ่งสายตามองภาพเหตุการณ์ที่เด็กหนุ่มกำลังต่อสู้อยู่กับตัวอ่อนกระบี่ในร่างตัวเอง แล้วเอ่ยเบาๆ “อืม คล้ายคลึงกับเสาหินผูกม้าในศาสนาพุทธ ซึ่งทำหน้าที่เป็นสมอเรือช่วยผูกเรือลำน้อยแห่งจิตวิญญาณของเด็กหนุ่มเอาไว้ ร่างกายของเด็กหนุ่มผุผัง ได้รับการปะชุนซ่อมแซมจนเดินมาถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่หากคิดจะกำราบตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้น ยังไม่พอ เฉาจวิ้น ก่อนหน้าที่เจ้าจะถูกคนทำร้าย ชีวิตราบรื่นเกินไป ภายหลังยังต้องเจอกับอุปสรรคอีกมากมาย ไม่แน่ว่าประสบการณ์ของเด็กหนุ่มในวันนี้อาจจะกลายมาเป็นแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งบนเส้นทางการฝึกตนของเจ้าก็ได้…”
เฉาจวิ้นไม่ยิ้มบางๆ อีกต่อไป เขาหุบยิ้ม สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด
พรสวรรค์น้อยใหญ่ในด้านการฝึกตนก็เหมือนถ้วยข้าวที่บรรพบุรุษประทานให้ ต่อให้ถ้วยของคนบางคนจะใหญ่มาก แต่ถ้าหากด้านในใส่ข้าวไว้น้อยเกินไป คนก็กินไม่อิ่ม กลายเป็นขีดจำกัดทางธรรมชาติอยู่ดี
การเดินทางไกลในครั้งนี้ จากทักษินาตยทวีปที่มีทิวทัศน์งามสง่าหลากหลาย มาจนถึงบุรพแจกันสมบัติทวีปบ้านป่าเมืองเถื่อน เฉาจวิ้นกลับได้รับผลประโยชน์อย่างเปี่ยมล้น สิ่งละอันพันละน้อยล้วนส่งผลดีต่อเขาทั้งสิ้น
ระหว่างการงัดข้อกับตัวอ่อนกระบี่ แม้เด็กหนุ่มจะรักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้ อีกทั้งยังมีสมอเรือช่วยดึงใจให้สงบนิ่งลง จิตวิญญาณไม่ถึงขั้นล่องลอยไปตามกระแสคลื่น แต่เพราะจิงชี่เสินของตัวอ่อนกระบี่พลุ่งพล่านเกินไป พลังอำนาจที่พุ่งชนไปทั่วนั้นดุดันบ้าคลั่ง เป็นวิธีการป่าเถื่อนที่ใช้พละกำลังอย่างเดียวเท่านั้น
จิ้งจอกแดงเพลิงตบกรงเล็บเข้าด้วยกัน กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “จะแพ้แล้ว น่าอนาถๆๆ ไม่แน่ว่าต้องนอนแบ็บอยู่บนเตียงสิบวันครึ่งเดือนเลยนะเนี่ย ชัดเจนว่าเป็นเพราะตัวอ่อนกระบี่เพิ่งจะมีสติปัญญา ยังไม่รู้จักวิธีโคจรวิชาอภินิหารอันเป็นพรสวรรค์ที่ซุกซ่อนอยู่ของตัวเอง หาไม่แล้วเด็กหนุ่มก็ไม่มีทางทนมาได้จนถึงตอนนี้”
แม้ว่าตบะของเฉาจวิ้นจะสู้จิ้งจอกที่อยู่บนศีรษะไม่ได้ แต่ต่างอาชีพ ความรู้ความเข้าใจก็แตกต่าง ในฐานะที่เขาเป็นผู้ฝึกกระบี่ซึ่งมีหวังว่าจะขึ้นไปสู่ยอดภูเขา จึงมีสายตาเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง “ก็ไม่แน่เสมอไป”
จิ้งจอกแดงเพลิงหลุดเสียงตกใจ “เอ๊ะ? ในร่างของเด็กหนุ่มผู้นั้นมีช่องโพรงที่ลึกมากอยู่สามช่อง หรือว่าเขาก็คือตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่เลวคนหนึ่ง? ไม่ถูกๆ น่าจะเพิ่งขุดเจาะภายหลัง แต่ผสานรวมกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ ช่างเป็นฝีมือที่ยิ่งใหญ่นัก มิน่าเล่าถึงทำให้ข้ามองพลาดไป”
คำว่าช่องโพรงลึกนั้นส่วนใหญ่เป็นวลีของคนในโลกมนุษย์ ใช้บรรยายถึงคนบางคนที่วางแผนอย่างรอบคอบและคิดการณ์ไกล ค่อนข้างจะเป็นความหมายในเชิงลบ
ทว่าหากเป็นบนภูเขากลับมีความหมายในทางที่ดีมาก ช่องโพรงเป็นเหมือนจวนและนคร แน่นอนว่ายิ่งสูงใหญ่ก็ยิ่งโอ่อ่าน่ามอง
จิ้งจอกแดงเพลิงถอนหายใจเบาๆ “เด็กหนุ่มที่ไม่สะดุดตาคนนั้นก็ยังมีความประหลาดที่ไม่อาจดูแคลน เฉาจวิ้น เจ้าจงเชื่อฟังตะพาบเฒ่าแต่โดยดีเถอะ ช่วงนี้อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวเลย แม้ว่าถ้ำสวรรค์หลีจูที่ปริแตกแห่งนี้จะเป็นเพียงแค่สถานที่คับแคบแห่งหนึ่ง แต่กลับมีมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ จะทำอะไรก็ไม่ควรโอหังมากเกินไปนัก”
เฉาจวิ้นพยักหน้ารับ “ต้องเก็บหางให้ดี ทำตัวให้สำรวม”
จิ้งจอกแดงเพลิงโมโหจึงกระทืบเท้าลงไปบนศีรษะของเฉาจวิ้น “เจ้าตะพาบน้อยเลี้ยงไม่โต คนอุตส่าห์เตือนเจ้าด้วยความหวังดี มาด่าข้าได้ไง!”
ลมหายใจของเด็กหนุ่มเริ่มมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าทำไมตัวอ่อนกระบี่ที่ได้เปรียบถึงตีกลองสั่งถอนทัพ สะบัดตัวอยู่อย่างสงบในช่องโพรงลมปราณที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง
เฉาจวิ้นไม่ลอบมองภาพเหตุการณ์ของทางฝั่งนั้นอีกต่อไป แต่หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “ได้ยินมาว่าเจ้ามีน้องสาวคนหนึ่งชื่อชิงอิง เป็นหนึ่งในบุรพาจารย์เผ่าจิ้งจอกเหมือนเจ้า มีหวังว่าจะมีหางที่เก้างอกออกมา ตาเฒ่าเฉาหลงใหลในความงามของนางมาหลายปีแล้ว นางสวยมากจริงๆ หรือ?”
จิ้งจอกแดงเพลิงยกหางตัวเองขึ้นทำเป็นพัดที่โบกลมเย็นมาเบาๆ แยกเขี้ยวพูด “สวยกะผีน่ะสิ หน้าตาอย่างกะคนตาย ไม่ชอบยิ้มมาตั้งแต่เด็ก แถมยังเย่อหยิ่งหัวสูง แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกไร้วาสนา ด้วยสายตาของเจ้าตะพาบเฒ่าผู้นั้น ต่อให้เป็นแม่หมูสักตัว ขอแค่ก้นใหญ่มากพอ เขาก็รู้สึกว่าสวยปานเทพธิดาทั้งนั้นแหละ”
เฉาจวิ้นลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนถามเบาๆ “ได้ยินว่านางป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ กับหอพิทักษ์เมืองมาร้อยปีแล้ว หรือหวังว่าจะได้เป็นอนุภรรยาของเจ้าหมอนั่น?”
จิ้งจอกแดงเพลิงปล่อยหาง กุมท้องหัวเราะก๊าก ราวกับได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในใต้หล้า “นายท่านป๋ายหรือจะถูกใจนาง? นายท่านป๋ายถือเป็นหนึ่งในราชาปีศาจใหญ่ที่อยู่มานานที่สุดในใต้หล้านี้ เคยเดินทางไปทั่วทุกมุมของสองใต้หล้าใหญ่ มีตัวเมียแบบไหนบ้างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน? แล้วมีหรือจะมาถูกใจจิ้งจอกน้อยธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง?”
หอสยบสมุทรตั้งอยู่บนชายหาดทะเลใต้ของทักษินาตยทวีป และคนสกุลเฉาก็เป็นหนึ่งในคนเฝ้าประตูพอดี ดังนั้นเฉาจวิ้นจึงรู้เรื่องภายในมากมาย
จิ้งจอกแดงเพลิงกดเสียงลงต่ำ “อริยะสามลัทธิไม่ยุติธรรมต่อนายท่านป๋ายของพวกเรา! เห็นๆ กันอยู่ว่านายท่านป๋ายช่วย…”
เสียงเฉาซีตวาดดังมาจากในห้อง “นังตัวเหม็นอยากตายรึ? ยังไม่หุบปากอีก!”
จิ้งจอกแดงเพลิงพลันคืนสติ รู้ดีว่าตัวเองพลั้งปากไปจึงเงยหน้ามองท้องฟ้า ยกสิบนิ้วขึ้นพนม โค้งตัวลงต่ำราวกับกำลังขออภัยอย่างจริงใจ อีกทั้งยังปล่อยให้ร่างกายถูกปราณกระบี่เส้นหนึ่งที่เฉาซีดีดออกมาระเบิดร่างเป็นจุลอย่างไม่คิดจะหลบเลี่ยง
“ยี่สิบคำ จงรับการลงโทษแต่โดยดี!”
เฉาซีปล่อยปราณกระบี่ออกมาติดต่อกันอีกยี่สิบเส้น จิ้งจอกแดงเพลิงไม่หลบเลี่ยงสักครั้ง มาถึงท้ายที่สุดเฉาจวิ้นต้องใช้สองมือโอบประคองมันที่หายใจรวยรินเดินกลับเข้าไปในบ้าน
ไฟโทสะของเฉาซียังไม่มอดดับ เขาชี้ไปที่จิ้งจอกในอ้อมแขนของเฉาจวิ้นแล้วแผดเสียงด่า “หากอยากตายก็กระโดดเข้าไปในเตาหลอมกระบี่ของหร่วนฉงซะ หร่วนฉงอาจจะยังเห็นความดีของเจ้าบ้าง อย่ามาแหกปาก ลากสกุลเฉาของข้าให้ตายไปพร้อมกับเจ้าอยู่แถวนี้! ฟ้าดินกว้างใหญ่ เจ้าลัทธิสามท่านอาจจะไม่ถือสา แต่ลูกศิษย์ในสำนักของพวกเขาล่ะ ไม่พูดถึงคนอื่น เอาแค่เจ้าของภูเขาห้อยหัว นิสัยของเขาเป็นอย่างไร เจ้าไม่รู้รึ?! นังผู้หญิงขี้แพ้!”
ศีรษะของจิ้งจอกแดงเพลิงเอียงไปด้านหนึ่ง มันหมดสติไปแล้ว
เฉาจวิ้นพูดเบาๆ “พอสมควรก็พอแล้ว ไม่มีมันก็ไม่มีเจ้าเฉาซีในวันนี้ คนเลวคนชั่วนั้นเป็นได้ แต่จะอย่างไรก็ควรมีมโนธรรมในใจบ้าง”
เฉาซีพลันหยุดพูด จ้องมองไปยังหลานชายที่คราวนี้ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยสีหน้ามืดทะมึน
จากนั้นเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อ ทำสีหน้ารังเกียจ “ไสหัวไปบอกเจ้าลูกหมาที่ชื่อเฉาเม่าผู้นั้นซะ บอกเขาว่าอย่าไปถือสาสกุลหยวน สายตาเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารอย่างเขาแค่จับตามองผลได้ผลเสียของราชสำนักต้าหลีอย่างเดียวก็พอแล้ว ไอ้พวกเศษสวะ ทำไมไม่ตายๆ กันไปให้หมด! ยังมีหน้ามาพบบรรพบุรุษ บอกให้เขาไสหัวไปไกลๆ!”
เฉาจวิ้นอุ้มจิ้งจอกเดินจากไปด้วยสีหน้าเฉยชา
เหลือเฉาซีอยู่ในบ้านบรรพบุรุษเพียงลำพัง เขาจึงเริ่มเดินวนรอบลานเปิดกลางบ้านอย่างเชื่องช้า
ในอดีตที่นี่มีผู้เฒ่าขี้โรคคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่ในห้องมืดสลัวตลอดทั้งปี มีชายฉกรรจ์ขี้เหล้าอกกตัญญูที่ทั้งวันต้องปวดหัวกับการหาเงินมาจัดงานศพ มีสตรีแต่งงานแล้วขี้ขลาดไร้หัวคิดซึ่งตั้งแต่เจ้าจรดค่ำ นอกจากต้องทำงานบ้านแล้วยังต้องทำไร่ทำนา อายุสามสิบปีกลับดูแก่ยิ่งกว่าสตรีอายุสี่สิบปีคนอื่นๆ ในตรอกหนีผิงซะอีก
แต่เวลานั้นมีเด็กหนุ่มยากจนนิสัยเกเรคนหนึ่งที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน วันๆ หาแต่เรื่องสนุกใส่ตัว ไม่เรียนหนังสือหนังหา งานการก็ไม่ทำ เอาแต่ฝันกลางวัน ด้วยมักรู้สึกว่าสักวันหนึ่งตนจะต้องซื้อบ้านหลังที่ใหญ่ที่สุดบนถนนฝูลวี่ ส่วนข้อที่ว่าหากทนได้ถึงวันนั้นจริงๆ ปู่และพ่อแม่จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ตอนนั้นเด็กหนุ่มมัวแต่ยุ่งอยู่กับการเที่ยวเล่นและฝันกลางวัน ไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนั้นเลยสักนิด
ผู้เฒ่าที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มมานานแล้วควักเหรียญทองแดงเก่าโบราณที่เต็มไปด้วยสนิมเหรียญนั้นออกมา ชูสูงเหนือศีรษะ มองลอดผ่านรูสี่เหลี่ยมกลางเหรียญทองแดง แล้วก็มองลอดผ่านไปนอกเพดานสี่เหลี่ยมที่เปิดอ้าอีกที
หวนนึกถึงอดีต ดูเหมือนว่าจะมีสนทนาแบบนี้เกิดขึ้น
“ท่านแม่ วันหน้ารอให้ข้าเจริญก้าวหน้าเมื่อไหร่ ข้าจะให้ท่านได้นอนบนกองเงินกองทอง”
“เฮ้อ!”
“ท่านแม่ ข้าพูดจริงนะ!”
“รีบเก็บเหรียญนั้นลงไปซะ ถ้าพ่อเจ้ามาเห็น เดี๋ยวก็เอาไปอีกหรอก”
……
เฉาซีหยุดความคิดทั้งหมดลง กวาดตามองรอบด้าน พูดเย้ยตัวเอง “กลายเป็นเซียนก็ไม่มีกลิ่นอายความเป็นคนอีกแล้ว”
……
เฉินผิงอันใส่กุญแจประตูหน้าบ้านเรียบร้อยก็ออกจากตรอกหนีผิง มาที่ร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง เด็กชายชุดเขียวนั่งเหม่ออยู่บนธรณีประตู พอเห็นเฉินผิงอันก็แค่เรียกว่านายท่านอย่างไร้เรี่ยวแรง เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปก็พบว่าเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยืนอยู่บนม้านั่งตัวหนึ่ง กำลังดีดลูกคิดคำนวณของที่วางอยู่บนชั้นด้านหลังด้วยสีหน้าจริงจัง นิ้วทั้งสิบพลิ้วไหวเหมือนผีเสื้อบินล้อมดอกไม้ ทำให้คนมองตาลาย เสียงดีดป้อกๆ แป้กๆ ดังเสนาะหู เด็กสาวและสตรีวัยผู้ใหญ่เต็มตัวของเมืองเล็กที่ยืนล้อมวงดูอยู่ต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงและเลื่อมใส
พอเหล่าเด็กสาวและสตรีโตเต็มวัยที่นิสัยซื่อสัตย์เห็นเฉินผิงอันต่างก็เรียกเขาด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่เฉิน”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง “นายท่าน ข้ากำลังช่วยคิดบัญชีของร้าน อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับยิ้มๆ เดินอ้อมไปหลังโต๊ะคิดเงิน บอกให้คนเอาพู่กันและกระดาษมาให้ ก่อนที่ตัวเองจะเริ่มเขียนใบรายการของขวัญ ตอนนั้นก่อนออกไปจากเมืองเล็ก เขาได้ให้หร่วนซิ่วช่วยส่งขวัญมากมายแก่เพื่อนบ้านใกล้เคียง เพราะในอดีตก่อนที่เฉินผิงอันจะได้ไปทำงานที่เตาเผามังกร ก็ถือว่าเติบโตมาได้เพราะข้าวจากบ้านของคนมากมาย ยกตัวอย่างเช่นเขามักจะไปขอข้าวที่บ้านกู้ช่านกินเป็นประจำ แล้วก็มักจะได้รับเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เด็กของบ้านอื่นสวมใส่ไม่ได้ สำหรับเฉินผิงอันแล้ว อาหารทุกมื้อ เสื้อผ้าทุกชิ้นล้วนเป็นพระคุณยิ่งใหญ่ที่ช่วยต่อชีวิตให้กับเขา ตอนนั้นเขาก็เคยบอกกับหร่วนซิ่วแล้วว่า วันหน้าขอแค่ตนยังมีชีวิตอยู่ ทุกปีจะต้องส่งของขวัญไปให้แต่ละบ้าน ของที่มอบให้อาจไม่มากนัก แต่สำหรับตระกูลเล็กๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับตรอกหนีผิงแล้ว ของชนิดต่างๆ มูลค่าเจ็ดแปดตำลึงถึงยี่สิบตำลึงย่อมไม่ถือว่าน้อยอย่างแน่นอน
ตอนนั้นหร่วนซิ่วก็เคยถามว่า ทำไมถึงไม่มอบเงินจำนวนมากให้ไปรวดเดียวเลย เพราะทั้งสะดวกกว่าและยังทำให้คนเหล่านั้นซาบซึ้งในบุญคุณได้ด้วย
เฉินผิงอันบอกว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ เขาเติบโตมาในชนชั้นล่างตั้งแต่เด็ก ใช่ว่าจะไม่เข้าใจจิตใจของคนและวิถีของโลก ก็แค่ไม่อาจพูดให้มีหลักการเหมือนในตำราเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นข้าวหนึ่งตวงเป็นพระคุณ ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้น ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่มองดูเหมือนยิบย่อยที่สุดกลับบั่นทอนจิตใจอันดีงามและความกตัญญูได้มากที่สุด ดังนั้นเขาจึงอธิบายเหตุผลเล็กๆ น้อยๆ ของเขาให้หร่วนซิ่วฟังอย่างละเอียด สภาพการณ์ของทุกครอบครัวในเมืองเล็กแห่งนี้ แท้จริงแล้วไม่ต่างจากการทำไร่นาสักเท่าไหร่ ล้วนมีการแบ่งปีเล็กปีใหญ่ ลูกหลานบางครอบครัวก็ได้ดิบได้ดี ร่ำรวยไม่ขาดเงิน แต่บางตระกูลกลับเจอการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ครอบครัวที่เดิมทีมั่นคงก็อาจจะล้มครืนลงมาในทันที ดังนั้นของที่เขาเฉินผิงอันเตรียมไว้จึงได้ทั้งกินทั้งสวมใส่ หากมีเรื่องร้อนใจต้องใช้เงินจริงๆ ก็ยังสามารถเอาของเหล่านั้นไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ หากมอบให้กับครอบครัวที่มีกินมีใช้ พวกเขามีแต่จะดีใจ หากมอบให้ครอบครัวที่ยากแค้น พวกเขาก็มีแต่จะยิ่งทะนุถนอมเห็นค่า
ไม่ว่าจะเป็นเพิ่มลายดอกไม้บนผ้าแพร หรือมอบถ่านให้ในวันหิมะตก
ก็ล้วนเป็นเรื่องดี
เพียงแต่เฉินผิงอันเพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมตัวเองทำถูกในเรื่องนี้ก็ต่อเมื่อรู้จักตัวอักษร อ่านหนังสือออกแล้ว
หร่วนซิ่วที่ตอนนั้นได้ฟังยิ้มอย่างยินดีเป็นพิเศษ บอกว่าบนภูเขากับล่างภูเขาค่อนข้างจะแตกต่างกัน
—–
บทที่ 195.2 หอสยบกระบี่
โดย
ProjectZyphon
จำนวนคนที่จะได้รับของขวัญในปีนี้น้อยกว่าคราวก่อนเล็กน้อย บุญคุณก็มีการแบ่งมากน้อยหนักเบา ความสัมพันธ์ที่มีมาตั้งแต่รุ่นพ่อ เป็นเพียงไมตรีที่ผิวเผิน ไม่อาจนับเป็นพระคุณอะไรได้ เฉินผิงอันไม่ได้ใจกว้างถึงขนาดจะต้องมอบของขวัญให้ทุกคน แต่สำหรับเพื่อนบ้านเก่าแก่ที่มีอายุมากหน่อย ต่อให้เฉินผิงอันจะไม่สนิทกับพวกเขามากนัก แต่ก็ยังเลือกเขียนชื่อพวกเขาลงไปในรายการของขวัญ
เงินของใครก็ล้วนไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า แต่นี่ไม่เกี่ยวกับว่าในกระเป๋าของคนคนหนึ่งจะมีเงินอยู่กี่มากน้อย
เฉินผิงอันคิดว่าหากวันหน้ามีโอกาสจะยังซ่อมสะพานสร้างถนนด้วย
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตรวจบัญชีเสร็จเรียบร้อยก็เริ่มถามถึงสภาพการณ์ของร้าน เฉินผิงอันไม่เข้าร่วมด้วย เขาคิดแล้วก็ยื่นรายการของขวัญให้กับนาง บอกนางว่าไม่ต้องรีบร้อนไปซื้อของพวกนี้ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรับรายการของขวัญมาอย่างตั้งใจ รับรองว่าจะต้องจัดการให้นายท่านอย่างเหมาะสม เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กๆ ของนางแล้วมานั่งข้างกายเด็กชายชุดเขียว ฝ่ายหลังทอดถอนใจอย่างคนวิตกกังวล พร่ำพูดคำว่ายุทธภพอันตรายไม่หยุด
เด็กหนุ่มหน้าตางดงามนามว่าชุยชื่อสะพายห่อสัมภาระมาที่ร้าน บอกว่าอาจารย์ของเขามีธุระออกจากบ้านมาไม่ได้จึงวานให้เขาเอาของมาส่ง ให้บอกเฉินผิงอันว่าไม่ต้องคิดมาก รับไว้แล้วก็จงเก็บรักษาให้ดี เด็กชายชุดเขียวรู้สึกขัดหูขัดตาเด็กหนุ่มคนนี้ ปรายตาไปเห็นหน้าชุยชื่อที่พูดจาเหมือนคนแก่ก็ไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน เขาถลันพรวดลุกขึ้นยืน “อาจารย์ของเจ้ากับนายท่านของข้าเป็นคนรุ่นเดียวกัน เจ้าเป็นแค่เด็กรับใช้ควรต้องให้ความเคารพกันบ้าง ไม่ใช่ว่านายท่านของข้าได้รับพระคุณยิ่งใหญ่เทียมฟ้าอะไร เจ้าจะวางท่าโอหังไปทำไม?”
ชุยชื่อหน้าแดงก่ำ
เฉินผิงอันรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “ชุยชื่อ เจ้าไปบอกอาจารย์ของเจ้าว่า ของข้ารับไว้แล้ว และจะตั้งใจฝึกเขียนยันต์ให้ดี”
ชุยชื่อพยักหน้ารับสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะหันไปแค่นเสียงเย็นใส่เด็กชายชุดเขียวแล้วหมุนกายก้าวยาวๆ จากไป
เด็กชายชุดเขียวหันไปออกหมัดเตะต่อยมั่วซั่วใส่แผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่เดินห่างออกไปไกลถึงจะพอคลายโมโหได้บ้าง แล้วจึงกลับไปนั่งบนธรณีประตู พูดหน้ายับกลัดกลุ้ม “นายท่าน เมืองเล็กเป็นดั่งบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ขนาดนี้ ท่านมีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร? หากเปลี่ยนมาเป็นข้ากับนังเด็กโง่ เกรงว่าคงถูกคนแล่เนื้อถลกหนังไปนานแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ไม่รู้เหมือนกัน”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเดินมาตรงธรณีประตู กล่าวด้วยน้ำเสียงของคนที่ยังหวาดผวาไม่คลาย “นายท่าน พี่สาวที่ถือถังน้ำคนนั้นคือใครหรือ? นางน่ากลัวมากเลย ข้ารู้สึกว่านางไม่ด้อยไปกว่าลูกศิษย์ของนายท่านเลย”
เด็กชายชุดเขียวส่ายหัวอย่างแรง “ให้ตายข้าก็ไม่ยอมไปที่ตรอกหนีผิงอีกแล้ว นั่นเท่ากับส่งเนื้อแกะเข้าปากเสื้อชัดๆ!”
เฉินผิงอันเบี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องอื่น “ข้าตั้งชื่อให้กระบี่ไม้ไหวกับกระบี่อีกเล่มที่ช่างหร่วนกำลังหลอมว่ากำจัดปีศาจปราบมาร ดีไหม?”
แล้วเขาก็กดเสียงลงต่ำ “ส่วนตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้น ข้าคิดว่าชื่อ ‘ชูอี’ (อันดับแรก/ที่หนึ่ง/วันที่หนึ่งของทุกเดือน) หรือไม่ก็ ‘รุ่งเช้า’ ค่อนข้างเหมาะสมไม่น้อย”
เด็กน้อยสองคนหันมามองหน้ากัน
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ชื่อที่ข้าตั้งพอใช้ได้เลยใช่ไหมล่ะ?”
มุมปากของเด็กชายชุดเขียวกระตุกยิกๆ จากนั้นก็เค้นรอยยิ้ม ชูนิ้วโป้ง “พื้นฐานความชำนาญในการตั้งชื่อของนายท่านลึกล้ำมาก ลึกล้ำจนมิอาจคาดการณ์ ปลดเปลื้องพันธนาการภายนอกกลับคืนสู่รูปลักษณ์ที่แท้จริง ความเรียบง่ายก็คือความสง่างาม มีความรู้ยิ่งกว่าบัณฑิตซะอีก!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด นางลูบคลำหน้าอกตัวเอง คิดแล้วก็รู้สึกว่าด้วยมโนธรรมในใจ อย่าพูดอะไรเลยจะดีกว่า นี่เพิ่งจะเดือนแรกของปี ไม่ควรทำลายอารมณ์ดีๆ ของนายท่าน
เฉินผิงอันเห็นท่าทางของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแล้วก็ถามอย่างสงสัย “หรือว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่? แต่ก็น่าจะพอถูไถได้บ้างกระมัง?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูปิดปากแน่น การที่นางไม่พูดก็ผิดต่อมโนธรรมในใจแล้ว หากเปิดปากพูด นางคงข้ามผ่านอุปสรรคในใจด่านนี้ไปไม่ได้
เด็กชายชุดเขียวกล่าวเสียงขุ่น “อะไรกันนายท่าน ไม่เชื่อสายตาของข้าหรือ? ถ้าไม่เชื่อก็แสดงว่าสายตาของท่านไม่ได้เรื่อง!”
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “แล้วชื่อที่ตั้งไว้เป็นยังไง?”
เด็กชายชุดเขียวที่เพิ่งโวยวายจบ ในที่สุดก็อดพูดเพื่อความเป็นธรรมไม่ได้ เขาลุกขึ้นยืน สองมือเท้าเอว กล่าวอย่างใส่อารมณ์ “นายท่าน! กำจัดปีศาจปราบมาร มีนักพรตเต๋าที่ชอบต้มตุ๋นคนไหนบ้างไม่ท่องประโยคนี้? ‘รุ่งเช้า’? แล้วตอนกลางวัน ตอนเย็นล่ะ? ชูอี? วันแรกของเดือน? แล้ววันที่สิบวันที่สิบห้าของเดือนล่ะ?! นายท่าน สามชื่อนี้ล้วนเป็นชื่อที่คนใช้กันให้เกร่อ ไม่เพียงแต่ไม่มีพลังอำนาจ แถมยังไม่มีความคิดสร้างสรรค์สักนิดเลยด้วย! ดูอย่างชื่อกระบี่ของคนอื่นสิ อย่างเช่นกระบี่ของลูกศิษย์นายท่าน รวงทอง ทั้งเหมาะสมกับรูปลักษณ์ ทั้งไม่ดาษดื่น และยังมีของเฉาจวิ้นที่ชื่อปลาขาว โม่ชือ (ชือคือมังกรไม่มีเขาในเทพนิยายของจีน โม่ชื่อคือชือสีหมึก ชือดำ) แล้วมาดูของนายท่าน กำจัดปีศาจปราบมาร ชูอีรุ่งเช้าอะไรนั่น หากข้าเป็นวิญญาณกระบี่ที่มีสติปัญญาแล้วคงต้องกระอักเลือดเก่าออกมาแน่ๆ”
“ยอมรับในความเห็น”
เฉินผิงอันตั้งใจใคร่ครวญอยู่นาน “แต่ข้าไม่เปลี่ยนชื่อหรอก!”
เด็กชายชุดเขียวตบหน้าผากตัวเอง พูดจู้จี้ด้วยความหวังดี “ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปเรามีตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ชื่อเสียงขจรไกล แต่บรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขากลับตั้งชื่อให้ว่าหมัดเทพไร้เทียมทาน ถูกคนหัวเราะเยาะอยู่หลายปี นายท่าน การตั้งชื่อของท่านก็คล้ายคลึงกับพวกเขา แต่ยังดีที่นายท่านไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ คาดว่าในอนาคตชื่อของกระบี่ที่ท่านพกคงมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นเอาที่นายท่านสบายใจก็พอ”
เฉินผิงอันจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หัวใจพลันสั่นสะท้าน จึงลุกขึ้นยืนอย่างไม่กระโตกกระตาก “พวกเจ้ารออยู่ที่ตรอกฉีหลงก่อน ข้าจะไปเดินเล่นที่อื่นสักหน่อย”
เฉินผิงอันเดินมาที่เรือนด้านหลังร้านตระกูลหยาง
หยางเหล่าโถวรอให้เฉินผิงอันนั่งลงแล้วถึงเอ่ยเนิบช้า “พูดเรื่องเล็กก่อน ไปบอกให้งูหลามตัวน้อยที่ตามก้นเจ้าต้อยๆ สองตัวนั้นรีบออกจากเมืองเล็ก กลับไปยังภูเขาลั่วพั่วซะ อีกไม่นานหร่วนฉงจะเปิดเตาหลอมกระบี่ พลังอำนาจจะกระจายไปไกลมาก ภูตผีปีศาจทั้งหมดที่อยู่ในขอบเขตของเขตการปกครองหลงเฉวียนอาจต้องโดนลูกหลงไปด้วย เบาหน่อยก็ถูกเสียงตีเหล็กยามหลอมกระบี่สลายตบะที่สั่งสมมาร้อยปี หรืออาจถึงขั้นกลับคืนสู่รางเดิม จิตวิญญาณแหลกสลายไปโดยตรง หลังจากนี้เขตปกครองหลงเฉวียนและอำเภอไหวหวงจะป่าวประกาศแก่ปีศาจทั้งหมดที่ลงทะเบียนไว้ หากไม่ออกไปจากที่นี่ชั่วคราวก็ต้องไปหลบภัยอยู่ในศาลบุ๋นบู๊ หรือไม่ก็ในภูเขาใหญ่ เพราะสถานที่เหล่านี้มีทั้งลมและน้ำ ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น สามารถช่วยสกัดกั้นริ้วคลื่นจากการหลอมกระบี่ของหร่วนฉงได้ เจ้าเด็กน้อยสองคนนั้นของเจ้า อย่าได้คิดว่ามีป้ายสงบสุขไร้กังวลแล้วจะสงบสุขได้จริงๆ”
สีหน้าของเฉินผิงอันเคร่งเครียด “ได้ ข้าจะกลับไปบอกพวกเขาสองคน”
หยางเหล่าโถวสูบยาคล้ายกำลังใคร่ครวญคำพูดที่จะใช้
เฉินผิงอันนั่งสำรวมอย่างกระวนกระวาย
ในที่สุดหยางเหล่าโถวก็เปิดปาก “ฉีจิ้งชุนเก็บซ่อนคนจิ๋วควันธูปไว้คนหนึ่ง เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนาแต่ก็ไม่เคยได้มาครอบครอง อืม ก็คือเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในกระบี่ไม้ไหวของเจ้านั่นแหละ ตอนนี้เป็นของข้าแล้ว ค่าตอบแทนก็คือข้าจำเป็นต้องปกป้องเจ้าหนึ่งครั้ง ซึ่งก็คือครั้งนี้ ตอนนี้สถานการณ์ในเมืองเล็กเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่ควรเปิดเผยโฉมหน้า ดังนั้นสถานที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน อีกทั้งข้ายังหาคนมาทำนายชะตาชีวิตให้เจ้า รอให้หร่วนฉงหลอมกระบี่สำเร็จ เจ้าจงลงใต้เดินทางไกล ส่วนจะไปที่ไหนก็ดูที่อารมณ์ของเจ้าแล้วกัน จะเดินทางท่องเที่ยวข้ามน้ำข้ามภูเขา จะเดินในยุทธภพ หรือไปฝึกวิถีวรยุทธ์ที่สมรภูมิรบ ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ว่าเจ้าเฉินผิงอันจะเลือกอย่างไร สรุปก็คือ ภายในห้าปีนี้ห้ามกลับมา”
เฉินผิงอันอ้าปากค้างน้อยๆ
หยางเหล่าโถวเอ่ยต่อ “บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง ภูเขาห้าลูกซึ่งรวมถึงภูเขาลั่วพั่ว ร้านในตรอกฉีหลง ฯลฯ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เพราะมีแต่จะดียิ่งกว่าตอนที่เจ้าอยู่ดูแลเอง”
ริมฝีปากของเฉินผิงอันสั่นระริก
หยางเหล่าโถวคลี่ยิ้ม “ในบรรดาเพื่อนของเจ้ายังมีแม่นางน้อยที่ชื่อหนิงเหยาไม่ใช่หรือ? ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ว่านางมาจากภูเขาห้อยหัว หรือจะพูดให้ถูกก็คือมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ บ้านเกิดของนางอยู่ที่นั่น นางกำลังขาดกระบี่ดีๆ ที่เหมาะมือ หากเจ้ามีความกล้ามากพอก็ไปที่นั่นสักรอบ ช่วยเอากระบี่ไปส่งให้นาง”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วถามว่า “จะให้ข้าไปเมื่อไหร่?”
หยางเหล่าโถวนิ่งคิดไปชั่วครู่ “เก็บสัมภาระไว้ก่อนก็ได้ รอให้หร่วนฉงหลอมกระบี่เล่มนั้นเสร็จ และเจ้าได้มาอยู่ในมือแล้วก็ออกเดินทางทันที”
เฉินผิงอันถาม “หากข้าไม่ไป จะเป็นอย่างไร?”
ผู้เฒ่าพูดแดกดัน “จะเป็นอย่างไร? ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก ก็ตายน่ะสิ กว่าจะสะสมทรัพย์สมบัติเล็กๆ น้อยๆ นั่นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายกลับกลายเป็นได้ดีคนอื่น คนกลุ่มหนึ่งนั่งลงพูดคุย เจ้าเอาภูเขาไป ข้าเอาตัวอ่อนกระบี่ เขาเลี้ยงงูหลาม แบ่งสรรกันเสร็จ ทุกคนต่างปิติยินดี ส่วนเจ้าล่ะ เกรงว่าจะให้คนมาเก็บศพให้ก็ยังเป็นเรื่องยาก อีกทั้งนี่ยังไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ไอ้ที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้ หากข้าบอกเจ้าไปตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร”
เฉินผิงอันยื่นมือมาขยี้ใบหน้าตัวเองอย่างแรง แล้วจู่ๆ ก็ถามคำถามที่เหมือนว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุยกันอยู่เลย “ท่านผู้เฒ่าเคยบอกว่า เมืองเล็กนี้ใหญ่อย่างที่ข้าไม่อาจจินตนาการได้ถึง ข้าอยากปากมากถามสักคำว่า สรุปแล้วเมืองเล็กแห่งนี้ใหญ่แค่ไหนกันแน่”
หยางเหล่าโถวพ่นควันโขมง ยิ้มบนหน้าแต่ใจไม่ยิ้ม “หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงเคยเห็นสะพานยาวบนฟ้าแห่งนั้นมาแล้วกระมัง”?
เฉินผิงอันขนลุกพรึ่บ ทะเลสาบหัวใจกระเพื่อมเป็นระลอก
หยางเหล่าโถวเอ่ยเรียบๆ “เห็นแก่คนจิ๋วควันธูปสีทองตนนั้น ข้าสามารถบอกความลับบางอย่างแก่เจ้าได้ ยกตัวอย่างเช่นในวัดเล็กที่พวกเด็กๆ ในเมืองพากันไปเขียนชื่อไว้บนกำแพงเหมือนถูกผีอำ ตอนนี้เด็กพวกนั้นส่วนใหญ่ตายกันไปแล้ว แต่พวกที่มีชีวิตอยู่ล้วนกลายไปเป็นยอดฝีมือผู้พิชิตในหนึ่งดินแดนอย่างไม่มีข้อยกเว้น อย่างเช่นเทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปและเซียนกระบี่เฉาซีแห่งนาตยทวีป ส่วนข้านั้นเป็นคนเก็บค่าเช่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกปี แค่คอยจับตามองผลเก็บเกี่ยวในเทือกไร่นาสวนเหล่านั้นก็พอ”
“หรือยกตัวอย่างเช่นสถานที่ที่พวกเจ้าเรียกกันภาษาชาวบ้านว่าซุ้มก้ามปูแห่งนั้น อันที่จริงแล้วมันถือเป็นหนังสือสัญญาฉบับหนึ่ง เมื่อศึกสังหารมังกรผ่านพ้น ทุกคนก็นั่งลงตามลำดับ ให้บำเหน็จตามความชอบ ผู้ที่ลงนามสัญญา ณ ที่แห่งนี้แรกเริ่มสุดคืออริยะสี่คนจากสามลัทธิหนึ่งสำนัก หม่าขู่เสวียนมีความเกี่ยวข้องกับท่านหนึ่งในสี่คนนี้ นอกจากนี้คุณประโยชน์ที่แท้จริงของซุ้มป้ายหินนั้นก็ไม่มีใครรู้มานานแล้วว่า มันควรจะถูกเรียกว่าหอสยบกระบี่ คือหนึ่งในหอพิทักษ์เมืองเก้าแห่งในใต้หล้า ส่วนสยบกระบี่อะไรนั้น เจ้ากับข้ารู้กันอยู่แค่ในใจก็พอ แต่เพื่อปิดหูปิดตาผู้คน ที่ทวีปเกราะทองจึงสร้างหอสยบกระบี่ไว้แห่งหนึ่งเช่นกัน แม้ว่าหอแห่งนั้นจะสร้างเลียนแบบเพื่อตบตาผู้คน อีกทั้งกระบี่ที่มันสยบยังร้ายกาจอย่างมาก แต่จะอย่างไรแล้วก็คือของปลอม ทว่าเรื่องลับแบบนี้ เจ้าแค่ฟังเหมือนฟังเรื่องเล่าก็พอ หากไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเคยได้ยินมาก่อนก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี”
หยางเหล่าโถวหรี่ตาลง เงยหน้ามองท้องฟ้า “บอกว่าเป็นหอสยบกระบี่ แต่อันที่จริงช่วงแรกเริ่มสุดที่นี่ถือเป็นหอบินทะยานแห่งหนึ่ง ทว่านั่นก็เป็นเรื่องเก่าปีมะโว้แล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์”
หยางเหล่าโถวถอนสายตากลับมา กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เพราะการดำรงอยู่ของเจ้ามีประโยชน์เหมือนการสร้างความสัมพันธ์บางอย่างที่มองไม่เห็น หลายปีมานี้ข้าทำการค้ามาไม่น้อย ได้กำไรก็ไม่น้อยเช่นกัน ปีนั้นที่ถ่ายทอดวิชาการหายใจให้กับเจ้าก็เป็นเพราะข้าได้กำไรจากการค้าขายบางอย่าง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องซาบซึ้งใจ ไม่มีความจำเป็น ธุรกิจก็คือธุรกิจ ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจมีวันใดวันหนึ่งที่ศัตรูของเจ้ามานั่งอยู่ข้างข้า แล้วลงเดิมพันที่มากพอ ข้าเองก็จะพูดคุยกับเขาแล้วขายเจ้าให้เขาเหมือนกัน”
เฉินผิงอันเงียบงัน
เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย
จะอย่างไรซะก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ต่อให้จะเคยลำบากมามากน้อยแค่ไหน เคยเดินบนทางภูเขาไกลเท่าไหร่ เด็กหนุ่มก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มคนนั้น ผ่านปีใหม่นี้ไปก็เพิ่งจะอายุสิบห้าเท่านั้น
หยางเหล่าโถวชี้ไปที่ปิ่นเหนือศีรษะของเฉินผิงอัน “แม้ว่าจะเป็นแค่ปิ่นธรรมดา แต่ข้าชอบตัวอักษรที่สลักไว้บนนั้น ดังนั้นข้าจึงจะทำการแลกเปลี่ยนเล็กๆ กับเจ้า เจ้าเอาปิ่นชิ้นนี้มาแลกกับวัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งจากข้า ต่อให้จะเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองก็สามารถควบคุมได้ อาศัยเพียงแค่ข้อนี้ก็ถือว่าหายากกว่าวัตถุฟางชุ่น วัตถุจื่อชื่อส่วนใหญ่บนโลกแล้ว หลังจากนี้เจ้าต้องเดินทางลงใต้เพียงลำพัง เมื่อเทียบกับครั้งก่อน ก็ถือว่าไร้ที่พึ่งอย่างแท้จริงแล้ว ถ้าไม่มีของติดกายใดๆ เลย เจ้าก็คงเดินทางไปได้ไม่ไกล”
เฉินผิงอันอ้าปากค้าง
หยางเหล่าโถวรอคำตอบเงียบๆ
เฉินผิงอันถามเบาๆ “หากมีวันหนึ่งข้าคิดจะไถ่ปิ่นกลับคืนมา จะได้หรือไม่?”
หยางเหล่าโถวตอบยิ้มๆ “หากเป็นคนอื่นคงไม่ได้ แต่เจ้าเฉินผิงอันช่วยให้ข้าได้กำไรอยู่หลายครั้ง จึงพอจะฉีกกฎเล็กๆ ได้ครั้งหนึ่ง แต่คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน ถึงเวลานั้นก็ไม่ใช่แค่วัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งจะไถ่กลับคืนไปได้หรอกนะ”
เฉินผิงอันปลดหยกส่งมอบให้ผู้เฒ่า
ผู้เฒ่ารับปิ่นขาวเนื้อธรรมดาชิ้นนั้นมาแล้วเก็บใส่ชายแขนเสื้อโดยไม่แม้แต่คิดจะมอง
นาทีถัดมา ไม่รอให้เฉินผิงอันดึงมือกลับไป กลางฝ่ามือของเขาก็มีกระบี่หยกสั้นยาวแค่ชุ่นกว่าปรากฏขึ้นมา หยางเหล่าโถวกล่าวยิ้มๆ “ข้ารู้สึกว่าชื่อที่เจ้าตั้งให้ตัวอ่อนกระบี่นั้นไม่เลวเลย ชูอี เป็นลางที่ดีอย่างมาก เป็นเจ้าเด็กสองคนนั้นที่ไม่รู้ความ จะว่าไปแล้วก็บังเอิญนัก กระบี่บินขนาดเล็กเล่มนี้ทั้งสามารถหล่อเลี้ยงให้กลายเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ระดับไม่ต่ำ อีกทั้งยังสามารถเอามาใช้เป็นวัตถุฟางชุ่นได้ด้วย มันชื่อว่า ‘สืออู่’ (สิบห้า)”
เฉินผิงอันถามเบาๆ “มันคงมีค่ามากเลยใช่ไหม?”
“เจ้าแค่เก็บไว้ก็พอ”
แล้วหยางเหล่าโถวก็กระตุกมุมปาก “มีบ้านไหนเล่าที่ไม่กินเกี๊ยววันปีใหม่” (เป็นประเพณีนิยมของชาวจีนที่ต้องกินเกี๊ยวในวันตรุษจีน เพราะเกี๊ยวมีความหมายมงคล หมายถึงความสุขสมหวัง ความสมบูรณ์พร้อมหน้าพร้อมตา)
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น