ข้ามกาลบันดาลรัก 195-200
ตอนที่ 195 เคี่ยวกรำไปอีกขั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “เจ้าเป็นเช่นนี้จะร้องขายอย่างไร?”
เมิ่งอี้เซวียนเงยหน้า มองนางแวบหนึ่ง รวบรวมความกล้าอ้าปากกว้าง กลับไม่มีเสียงร้องออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวมองอาการเขา ให้รู้สึกขบขัน
เมิ่งอี้เซวียนหน้าแดงเรื่อ พูดเสียงเบา “ข้าไม่รู้ว่าต้องร้องขายอย่างไร”
“ดูนะ”
พูดจบเมิ่งเชี่ยนโยวขยับลูกคอ ตะโกนด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน “ขายข้าวโพดอ่อนจ้า ข้าวโพดอ่อนสดๆ อ่อนๆ หวานอร่อย ใครเดินผ่านไปผ่านมา อย่าได้พลาดเด็ดขาด”
ได้ยินเสียงร้องตะโกนใสกังวานของนาง คนมากมายล้อมวงเข้ามาฉับพลัน ต่างมองข้าวโพดอ่อนที่วางเรียงด้านหน้าพวกเขาอย่างประหลาดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสนี้ปอกข้าวโพดอ่อนหนึ่งฝักออก แล้ววางไว้ด้านบนสุด พูดกับกลุ่มคนเสียงอ่อนเสียงหวาน “ท่านลุง ท่านป้าทั้งหลาย นี่ก็คือข้าวโพดอ่อนที่ขายในเหลาจวี้เสียน หอมนุ่มอร่อยลิ้น บิดาข้าต้องออกแรงไม่น้อยถึงได้มาหนึ่งร้อยฝัก ใครต้องการก็รีบเข้ามาเถิด มัวชักช้าจะไม่มีเหลือแล้ว”
เหลาจวี้เสียนมีข้าวโพดอ่อนขาย คนในเมืองต่างทราบดี คนที่ฐานะร่ำรวยหน่อยต่างตรงไปซื้อหาไปให้คนในครอบครัวลิ้มรส ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ จึงมีคนเอ่ยปากถามขึ้น “แม่นางน้อย ข้าวโพดอ่อนของพวกเจ้าขายอย่างไรรึ?”
“หนึ่งฝักสิบเฉียน เชิญเลือกได้ตามสบาย” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
“ข้าวโพดหนึ่งฝักขายสิบเฉียน แพงเกินไปแล้ว” มีคนพูดขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตระหนก ยิ้มพูดกับกลุ่มคน “ในฤดูกาลนี้ ข้าวโพดอ่อนเป็นสิ่งของหายาก ขายสิบเฉียนไม่ถือว่าแพงแล้ว ท่านลองไปสอบถามดู เหลาจวี้เสียนขายฝักละยี่สิบเฉียนเทียวนะ”
มีคนพูดว่า “เจ้าจะไปเทียบกับเหลาจวี้เสียนได้อย่างไร เหลาจวี้เสียนเป็นภัตตาคารหรู ของในนั้นย่อมต้องแพงเป็นธรรมดา อีกทั้งเขาก็ต้มให้จนสุก ร้อนกรุ่นพอดีกิน ไฉนเลยจะเหมือนเจ้า ที่ขายข้าวโพดดิบนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดอย่างฉะฉาน “ข้าวโพดของพวกเราเหมือนกับที่เหลาจวี้เสียน แม้จะไม่ได้ต้มสุก พวกเราขายสิบเฉียนก็นับว่าถูกมากแล้ว”
คนที่มาซื้อของรู้ว่าพวกเขาขายถูกแล้ว ข้าวโพดต้มสุกก็เพียงเปลืองฟืนไฟนิดหน่อย หาได้ต้องใช้สิ่งอื่นอีกไม่ ทว่าแต่ไหนแต่ไรจิตใจของคนก็เป็นเช่นนี้ ถูกแล้วก็ยังอยากให้ถูกอีก ดังนั้นจึงมีคนพูดว่า “ลดให้อีกหน่อยเถอะ ฝักละห้าเฉียน สิบเฉียนได้สองฝัก ข้าซื้อห้าฝัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ตอบด้วยใบหน้าลำบากใจ “ไม่ได้ บิดาข้าบอกว่า ข้าวโพดพวกนี้มีต้นทุนแปดเฉียน หากขายลดราคา พวกเราจะขาดทุน”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เมิ่งอี้เซวียนเงยหน้ามองนางอย่างตะลึงค้าง
กลุ่มคนไหนเลยจะหลงเชื่อนาง ยังคงต่อราคา “เอาอย่างนี้เถอะ เห็นแก่ที่เจ้าอายุยังน้อย สองฝักสิบห้าเฉียน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงส่ายหน้า “ต้องขออภัยด้วย ข้าขายให้ไม่ได้จริงๆ สิบเฉียนเป็นราคาต่ำสุดแล้ว หากวันนี้ขายไม่ได้ พรุ่งนี้พวกเราจะต้มมาขาย ถึงตอนนั้นจะขายฝักละสิบห้าเฉียน”
กลุ่มคนได้ฟังว่าข้าวโพดสุกจะเพิ่มราคาอีกห้าเฉียน พลันมีคนล้วงเงินออกมาพูดว่า “ให้ข้าสามฝัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้เมิ่งอี้เซวียนเก็บเงินให้ดี เลือกข้าวโพดที่ใหญ่หน่อยออกมาสามฝักมอบให้คนผู้นั้น พูดว่า “ท่านซื้อเป็นคนแรก ข้าจึงเลือกแต่ฝักใหญ่ให้ ท่านถือให้ดี”
คนด้านหลังได้ยินก็ไม่ต่อราคาแล้ว ต่างล้วงเงินออกมาแย่งกันซื้อคนละสองสามฝัก
เมิ่งอี้เซวียนคอยเก็บเงินไม่หยุด ใบหน้าแดงระเรื่อตื่นเต้นยินดี
คนที่ตั้งแผงโดยรอบเห็นพวกเขาขายข้าวโพดอ่อนดีเช่นนี้ ต่างอิจฉาเป็นอย่างมาก
หลังจากสาละวนได้พักหนึ่ง คนที่ซื้อข้าวโพดก็ค่อยๆ ลดลง หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวมีเหงื่อซึมจากการขาย ยกมือขึ้นหมายจะใช้แขนเสื้อเช็ดลวกๆ เมิ่งอี้เซวียนคว้ามือนางเอาไว้ ล้วงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาช่วยเช็ดให้นาง
เพื่อปกปิดความไม่เป็นตัวของตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากพูด “พอแล้ว ข้าสอนเจ้าว่าต้องร้องขายเช่นไรแล้ว ข้าวโพดที่เหลือเป็นหน้าที่เจ้าแล้ว”
มือที่เช็ดเหงื่อให้นางชะงักกึก จากนั้นใบหน้าน้อยๆ ก็งอคว่ำลง
เมิ่งเชี่ยนโยวทำเป็นมองไม่เห็น “หากช่วงเช้าขายข้าวโพดอ่อนพวกนี้ไม่หมด ช่วงบ่ายพวกเราจะไปเร่ขายข้างถนน”
เมิ่งอี้เซวียนตกตะลึงมองท่าทีเป็นจริงเป็นจังของนาง รู้ว่าเรื่องนี้ต่อรองไม่ได้อีก จึงกัดฟัน หลับตาลงแล้วร้องตะโกนเลียนแบบนาง “ขายข้าวโพดจ้า ข้าวโพดอ่อนสดๆ ใหม่ๆ ทุกคนรีบมาซื้อเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงหัวเราะดัง “พรืด”
เมิ่งอี้เซวียนลืมตาขึ้น หน้าแดงเรื่อมองนางอย่างกระดากเขิน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดสัพยอกหยอกเย้าเขา “คุณชายน้อยเมิ่ง เสียงท่านช่างดังกังวานนัก แม้แต่ข้ายังแค่พอได้ยินบ้าง”
เมิ่งอี้เซวียนหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวให้กำลังใจเขา “ความจริงการร้องขายไม่ยาก แค่ร้องตะโกนเสียงดังก็ได้แล้ว ขอเพียงเปล่งเสียงตะโกนแรกออกมาได้ ต่อจากนั้นก็ง่ายขึ้นแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวคนจะมอง ยิ่งคนให้ความสนใจเจ้า ข้าวโพดของเราถึงจะยิ่งขายออกได้ไว”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า เบิกกว้างดวงตาคู่งาม เผยอปาก ใช้น้ำเสียงที่ยังเจือความอ่อนใสร้องตะโกน “ขายข้าวโพดอ่อน ข้าวโพดอ่อนสดๆ ใหม่ๆ ฝักละสิบเฉียน ทุกท่านรีบเข้ามาซื้อเถิด”
ตะโกนเสร็จก็มองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดีมาก เสียงดังกว่านี้อีกนิดก็จะดีมาก”
เมิ่งอี้เซวียนได้รับคำชมเชย ดีใจยกใหญ่ ลืมความหวาดกลัว ออกแรงตะโกนสุดเสียงอีกหลายครั้งติดต่อกัน
ได้ยินเสียงตะโกนร้องของเขา คนอีกกลุ่มหนึ่งรุมล้อมเข้ามา หลังจากซักถามราคาแล้ว ต่างก็ล้วงเงินออกมาซื้อ
เมิ่งเชี่ยนโยวรับเงินมา มุมปากยกยิ้มหวานไม่หยุด
เห็นคนมากมายมารุมซื้อ เมิ่งอี้เซวียนได้รับขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม คอยร้องตะโกนไม่ขาดเสียง ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ข้าวโพดหนึ่งร้อยฝักแทบจะขายออกไปได้ทั้งหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บเหรียญกษาปณ์ไว้อย่างหน้าชื่นตาบาน ตบบ่าเมิ่งอี้เซวียนแล้วพูดว่า “ใช้ได้เลย ไม่คิดว่าจะมีพรสวรรค์ด้านการค้าเช่นนี้ พี่สาวตัดสินใจแล้ว ต่อไปจะหากินด้วยกันกับเจ้า”
สิ้นเสียงนาง เมิ่งอี้เซวียนตกตะลึงจังงัง จากนั้นเผยรอยยิ้มแจ่มจำรัสเจิดจ้าหาใดเทียม
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาเกรี้ยวกราดใส่เขา
เมิ่งอี้เซวียนไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดตรงไหน เก็บคืนรอยยิ้ม มองนางด้วยใบหน้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่
เมิ่งเชี่ยนโยวทนปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขาไม่ได้ที่สุด สบถเสียงต่ำแล้วหยิบข้าวโพดที่เหลือสามฝักวางตรงหน้าหญิงชราที่เมื่อครู่มีเจตนาดีจะช่วยพวกนาง “ท่านยาย ข้าวโพดที่เหลือสามฝักนี้ มอบให้ท่านก็แล้วกัน หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ”
หญิงชราโบกมือเป็นพัลวัน “ข้าจะรับขอราคาแพงเช่นนี้ของพวกเจ้าได้อย่างไร พวกเจ้าเก็บไว้ขายต่อเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกเราเหลือเพียงสามฝัก ขายไม่ได้แล้ว มอบให้ท่านก็แล้วกัน ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือ”
หญิงชรายังคงปฏิเสธ “หากไม่อยากขาย พวกเจ้าก็นำกลับไปต้มกิน นี่เป็นสิ่งของหายาก เชื่อว่าคนในครอบครัวก็จะต้องชอบกิน”
“ท่านรับข้าวโพดไม่กี่ฝักนี้ไว้เถอะ ที่บ้านพวกเรายังมีอีกเยอะ จะต้มกินเมื่อใดก็ได้”
เห็นนางดึงรั้นจะมอบให้ หญิงชราเริ่มรู้สึกเกรงใจ นำผักสดจำนวนหนึ่งบนแผงตัวเองไปวางไว้บนแผงของพวกนาง “นี่เป็นผักสดที่ข้าปลูกเอง แบ่งให้พวกเจ้าบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่บอกปัด กล่าวขอบคุณแล้วเดินไปอีกฝั่งของตลาดสดพร้อมเมิ่งอี้เซวียน
ข้าวโพดเบื้องหน้าเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีดูเหมือนจะขายไปได้บางส่วน ข้าวโพดของเมิ่งเหรินและเมิ่งอี้น่าจะขายไม่ออกเลยสักฝักเดียว สองพี่น้องกำลังจ้องตากันไม่มาอย่างอับจนหนทาง เห็นพวกเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมามือเปล่า มองพวกเขาอย่างตกตะลึงพร้อมกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวโอ้อวดกับพวกเขาอย่างลำพองใจ “พี่เมิ่งเหริน พี่เมิ่งอี้ พวกเราขายข้าวโพดหมดแล้ว”
“เจ้า เจ้าขายออกไปได้อย่างไร?” เมิ่งเหรินถามอย่างไม่อยากเชื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ร้องตะโกนอย่างไรเล่า ขอเพียงท่านร้องตะโกนให้สุดเสียง ก็จะมีคนเข้ามาซื้อ พวกท่านเอาแต่นั่งเช่นนี้ ไม่มีใครเข้ามาถามพวกท่านหรอก”
เมิ่งเหรินเริ่มทำหน้าไม่ถูก “ข้างถนนคนเดินไปมาขวักไขว่เช่นนี้ พวกเราจะกล้าร้องตะโกนได้อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึงขัง “พวกเราไม่ได้ขโมยไม่ได้แย่งใคร ขายข้าวโพดอย่างบริสุทธิ์ใจ มีอะไรต้องไม่กล้ากัน”
เมิ่งอี้ขยี้ศีรษะ “จะพูดแบบนั้นก็ถูก แต่พวกเราร้องตะโกนไม่ออกจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขาสองคนกลัวหัวหด หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “อี้เซวียน เจ้าไปช่วยพวกพี่ๆ หน่อยเถิด”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า เดินไปนั่งหน้าแผงของพวกเขา เปล่งเสียงร้องตะโกนออกมา “ขายข้าวโพดจ้า ข้าวโพดสดๆ ใหม่ๆ หนึ่งฝักสิบเฉียน รีบเข้ามาซื้อหากันเถิด”
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ต่างตกใจในเสียงร้องตะโกนของเขา มองไปที่เขาอย่างตะลึงพรึงเพริด
เมิ่งอี้เซวียนร้องตะโกนสองครั้ง หันไปพูดกับพวกเขา “มาเถอะ พวกเรามาร้องตะโกนด้วยกัน”
เมิ่งเหริน เมิ่งอี้เห็นเขาร้องตะโกนอย่างถึงใจ เริ่มถูกซึมซับ รวมรวมความกล้า อ้าปากร้องตะโกนตามเขา เริ่มแรกยังเก้อเขิน มีเพียงตัวเองที่ได้ยินเสียงร้องตะโกน หลังจากร้องตะโกนหลายครั้ง พบว่าไม่ได้ยากเหมือนที่คิด น้ำเสียงจึงค่อยๆ ดังขึ้น
ผู้คนในตลาดสดได้ยินเสียงร้องตะโกนรุมล้อมเข้ามา หลังจากสอบถามราคา ก็เริ่มควักกระเป๋าซื้อกลับไป
เมิ่งเหรินรับเงินไปพลางบอกจำนวน เมิ่งอี้มีหน้าที่ส่งข้าวโพดให้คนที่มาซื้อ
เมิ่งอี้เซวียนลุกขึ้นเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ดวงตากลมโตเปล่งประกายระยิบระยับมองไปที่นาง ทำท่าทีรอรับคำชมเชยจากนาง
เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือลูบไล้ศีรษะเขา พูดอย่างขอไปที “อือ ทำได้ไม่เลว”
พูดจบ ก็สาวเท้าเดินไปหน้าแผงของเมิ่งเสียนและเมิ่งฉี
เมิ่งอี้เซวียนลูบหัวตัวเองยืนตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น ครู่ใหญ่ถึงแย้มยิ้มดีใจไร้สติ
ข้าวโพดของเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีขายออกไปได้บางส่วน
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงข้างพวกเขา “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านรีบหน่อย ข้าวเช้ายังไม่ได้กิน ข้าหิวจะแย่แล้ว”
เมิ่งเสียนและน้องชายรักใคร่นาง พูดว่า “เจ้าไปกินข้าวก่อน อีกประเดี๋ยวพวกเราก็ขายหมดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่ล่ะ รอให้ขายเสร็จแล้วพวกเราไปกินด้วยกันดีกว่า”
ทั้งสองเห็นนางยืนหยัด จึงแผดเสียงร้องตะโกนดังลั่น
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ข้าวโพดของทุกคนก็ขายหมดเกลี้ยง
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้เกิดอารมณ์ฮึกเหิมแล้ว ถึงกับรู้สึกยังไม่หายอยาก
เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาสองคนอย่างขบขัน พูดว่า “ข้าขอท่านอาจารย์ลาเรียนให้พวกท่านสามวัน พรุ่งนี้พวกเราค่อยมาอีก”
ทั้งสองรับคำอย่างยินดี เมิ่งเหรินนำเหรียญเงินในมือส่งให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับมา แต่ยิ้มพูดว่า “เงินพวกนี้พวกท่านเก็บไว้เถอะ อยากซื้ออะไรก็นำไปซื้อ ถือเป็นรางวัลให้พวกท่านในวันนี้”
ทั้งสองให้ปลาบปลื้มปิติอีกครั้ง เก็บเงินใส่อกเสื้อตัวเองอย่างไม่รั้งรอ
ทั้งหกคนกลับมายังที่จอดรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวหาที่กินข้าว
เมิ่งเหรินห้ามนาง “พวกเราซื้ออะไรง่ายๆ กินก็พอ ตอนเที่ยงจะได้กลับไปทันกินข้าวเที่ยงที่บ้าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับฟังคำแนะนำของเขา ครั้นแล้วจึงมุ่งหน้ากลับบ้าน
รถม้าแล่นมาถึงหน้าประตูเมือง เมิ่งเสียนลงไปซื้อซาลาเปาจำนวนหนึ่ง แต่ละคนได้กินคนละสองลูก แล้วมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านอย่างมีความสุข
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลังจากนัดหมายเวลาของวันพรุ่งนี้ เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ก็กลับไปบ้านตัวเอง
ตอนบ่ายเมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวไปหักข้าวโพดสามร้อยฝัก ครั้งนี้แยกใส่ตะกร้าสะพายหลังไว้
เมิ่งชื่อเห็นก็ให้ประหลาดใจ ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้าคิดจะทำสิ่งใดอีก?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “วันนี้พวกเราไปเปิดแผงขายในตลาดสด พรุ่งนี้ข้าคิดจะลองไปเดินร้องเร่ขายตามตรอกซอกซอย”
เมิ่งชื่อตกใจร้อง “ไม่ได้เด็ดขาด เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงจะไปทำเรื่องกลางที่สาธารณะเช่นนั้นได้อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ก็ข้าอยากรู้อยากเห็น อยากจะลองดู”
เมิ่งชื่อร้องห้ามเสียงแข็ง “ไม่ได้ เจ้าจะไปไม่ได้ ตอนนี้ครอบครัวเราไม่ขัดสนกับเงินพวกนี้ ไม่ว่าอย่างไรแม่ก็ไม่อนุญาต”
เมิ่งเชี่ยนโยวเกลี้ยกล่อมนาง “ท่านแม่ ที่ข้าทำมิได้เพื่อหากำไร ข้าเพียงอยากรู้อยากเห็น อีกอย่าง ข้าก็ไปกับพวกพี่ใหญ่พี่รอง ท่านอย่าห้ามข้าเลยนะ”
เมิ่งชื่อรู้ว่าด้วยนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวตอนนี้ หากตัดสินใจเรื่องอะไรไปแล้ว จะไม่มีวันเปลี่ยนใจอีก จึงถอนหายใจยาว “ก็ได้ แม่รู้ว่าห้ามเจ้าไม่ได้ แต่พวกเจ้าจักต้องระวัง ในเมืองผู้คนวุ่นวายสับสน คนแบบไหนก็มีทั้งนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว ท่านแม่ ไม่มีเรื่องอันใดหรอก ท่านวางใจเถอะ”
ตอนที่ 196 บุคคลลึกลับ
เช้าวันรุ่งขึ้น เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้มาตรงตามเวลา เห็นข้าวโพดในตะกร้าสะพายหลัง ก็ให้คลางแคลงใจ เมิ่งเชี่ยนโยวบอกความคิดของตัวเองกับพวกเขาว่า “การเดินเร่ขายในตรอกซอยกับร้องขายในตลาดสดไม่มีอะไรแตกต่างกัน ขอเพียงพวกท่านร้องตะโกนเสียงดัง จะต้องมีคนออกมาซื้อ”
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้เคยร้องขายในตลาดสดแล้ว รู้สึกว่าขายที่ไหนก็ไม่แตกต่าง พยักหน้าทันควัน
เมิ่งเชี่ยนโยวแบ่งพื้นที่ให้ทุกคน เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ไปฝั่งตะวันออก เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีอยู่ใจกลางเมือง ส่วนตนเองและเมิ่งอี้เซวียนไปฝั่งตะวันตก เมื่อตกลงกันเรียบร้อย ไม่ว่าจะขายได้เท่าใด หลังจากนี้สองชั่วยามให้มารอยังสถานที่ที่แยกย้ายกัน เหวินเปียวจะบังคับรถม้ามารับพวกเขา
เหวินเปียวบังคับรถม้าส่งพวกเขาแต่ละคนตั้งแต่ตะวันออกไปยังตะวันตก แล้วไปจอดรอที่ฝั่งตะวันตกของเมือง
เมิ่งเชี่ยนโยวสะพายตะกร้าใบใหญ่ขึ้นหลัง ส่งสัญญาณให้เมิ่งอี้เซวียนสะพายตะกร้าใบเล็กที่วางอยู่ให้ดี พูดว่า “วันนี้ข้ามีหน้าที่แบกของเท่านั้น เก็บเงิน ร้องเร่ขายเป็นหน้าที่ของเจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า สะพายตะกร้าไว้ด้านหน้าร้องเร่ขาย เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลังไป
ทั้งสองเดินไปได้สองถนน ขายได้ยี่สิบถึงสามสิบฝัก เห็นใบหน้าน้อยๆ ของเมิ่งอี้เซวียนมีเหงื่อซึม เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะให้เขาพักสักครู่ ตรงข้ามมีคนสองคนเดินเข้ามาพอดี เมิ่งอี้เซวียนฉวยโอกาสนี้ร้องเร่ขาย
ทั้งสองคนเงยหน้ามองตรงมา ทว่าวินาทีที่เห็นโฉมหน้าของเมิ่งอี้เซวียนก็อ้าปากค้าง
เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้สนใจ ถามขึ้น “พวกท่านซื้อข้าวโพดหรือไม่? ข้าวโพดสดใหม่หวานอร่อย”
ทั้งสองชี้เมิ่งอี้เซวียนอึกอักพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาผิดปกติของพวกเขา พูดว่า “อี้เซวียน พวกเขาไม่ซื้อข้าวโพด พวกเราไป”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า สาวเท้าเดินขึ้นหน้า หนึ่งคนในนั้นพลันขวางหน้าเขาไว้ ถามด้วยใบหน้าขึงขัง “คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านแซ่อะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวคว้าเมิ่งอี้เซวียนมาไว้ด้านหลัง ถามอย่างระแวดระวัง “พวกท่านจะถามไปทำไม?”
คนผู้นั้นเห็นนางเป็นเพียงเด็กสาว จึงไม่สนใจนาง พูดอย่างขอไปที “ข้ารู้สึกคุ้นหน้าคุณชายท่านนี้ เหมือนจะเคยพบที่ไหน จึงลองถามดู”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พวกเราเติบโตในชนบท เข้ามาในเมืองเป็นครั้งแรก จะเคยพบพวกท่านได้อย่างไร พวกท่านจำคนผิดแล้ว”
คนผู้นั้นมองสบตาเมิ่งอี้เซวียนอย่างแคลงใจหลายครั้ง แล้วหลีกทางหลบให้
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนเดินขึ้นหน้าไปหลายก้าว
“ช้าก่อน” เสียงคนผู้นั้นดังไล่หลังอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่นเกร็งไปทั้งตัว ส่งสัญญาณให้เมิ่งอี้เซวียนหันศีรษะกลับไป ตนเองหันไปถามอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกท่านต้องการอะไร?”
ทั้งสองเดินขึ้นหน้า กางม้วนภาพในมือออก ชี้คนในภาพแล้วถาม “ไม่ทราบว่าแม่นาง เคยเห็นคุณชายท่านนี้ในละแวกใกล้เคียงหมู่บ้านพวกเจ้าหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองอย่างละเอียด เป็นภาพเหมือนวันที่ตัวเองไปเบิกเงินนั่นเอง หัวใจกระตุกวูบ ขมวดคิ้วมุ่น ขบคิดครู่หนึ่งถึงตอบว่า “เหมือนว่าจะเคยเห็น น่าจะเป็นคุณชายน้อยสกุลอู๋อยู่นอกเมืองฝั่งตะวันตกห่างออกไปห้าสิบลี้”
ทั้งสองหันสบตากัน ถามอย่างยินดี “เจ้าแน่ใจรึ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งพินิจมองอีกครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่แน่ใจ เพียงแค่รู้สึกว่ามีความคล้ายคลึง” พูดจบแสร้งถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “พวกท่านหาตัวคุณชายอู๋ไปเพื่อการใด? เขาเป็นบุตรรักของสกุลอู๋ ปกติสกุลอู๋จะให้เขาออกมาเจอคนน้อยมาก”
ทั้งสองฟังความหมายแฝงของนางออก พยักหน้าให้กันอย่างยินดี พร้อมกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณแม่นาง”
“หากพวกท่านไม่มีอะไรแล้ว พวกเราไปได้แล้วหรือไม่? พวกเรายังมีข้าวโพดอีกมากที่ยังขายไม่ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ทั้งสองรีบหลีกทางให้
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนเดินออกไป
ทั้งสองหันหน้าสบตากัน คนผู้หนึ่งพูดเสียงเบากับอีกคนหนึ่งอย่างคลางแคลงใจ “ข้าไม่ได้ตาลายไปหรอกนะ เด็กผู้นั้นหน้าตาเหมือนท่านอ๋องของพวกเราเกินไปแล้ว หากไม่เพราะในมือมีภาพเหมือนใบนี้ ข้าจะจับเด็กคนนี้กลับไปให้พระชายารองเดี๋ยวนี้”
อีกคนหนึ่งก็พยักหน้า “ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนมาก น่าเสียดายที่ไม่ใช่ พระชายารองบอกแล้วว่า ตอนที่ทำเด็กคนนั้นหายข้างกายมีแผ่นหยกติดตัว อยากได้เงินเท่าไหร่ก็ไม่ใช่ปัญหา ไม่มีทางตกอับถึงขั้นมาร้องขายของข้างทางเช่นนี้”
คนผู้นั้นรู้สึกว่าเขาพูดมีเหตุผล พยักหน้าพูดว่า “บางทีเป็นพวกเราที่คิดมากเกินไป เด็กคนนี้อาจจะแค่มีใบหน้าละม้ายท่านอ๋องเท่านั้น”
อีกคนหนึ่งพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็อย่ารอช้าเลย รีบไปหาคุณชายสกุลอู๋ เมื่อเจอตัวแล้ว หากว่าใช่เขา พวกเราก็หาโอกาสลักพาตัวเขา กลับไปมอบคืนให้พระชายารองรอรับบำเหน็จ”
อีกคนพยักหน้า ทั้งสองจากไปทันควัน
กระทั่งทั้งสองคนไปไกลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วแน่น ครุ่นคิดอยู่เป็นนาน มองไปตามทางที่สองคนนั้นจากไป
เมิ่งอี้เซวียนเดินร้องเร่ขายไปข้างหน้า ครู่หนึ่งถึงรู้สึกว่าไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเมิ่งเชี่ยนโยว หันกลับมาอย่างประหลาดใจ เห็นนางยืนนิ่งห่างออกไปด้านหลังจ้องมองบางสิ่งไกลออกไปอย่างเลื่อนลอย จึงหันหลังกลับเดินมาตรงหน้านาง ถามขึ้น “เจ้าเป็นอะไรหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกเขาตัดตอนความคิด ได้สติกลับมา หลังจากขานรับ “อ่อ” ก็พูดว่า “ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว พวกเราพักกันสักประเดี๋ยวเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
ทั้งสองหาที่วางตะกร้าลง ยืนพักข้างทาง
เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมา ซับเหงื่อบนหน้าผาก
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขาเสียงละมุน “เหนื่อยหรือไม่?”
เมิ่งอี้เซวียนแหงนใบหน้าแดงระเรื่อขึ้น ตอบอย่างกระหยิ่มใจ “ไม่เหนื่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองใบหน้างดงามหมดจดของเขา คำพูดเมื่อครู่ของชายสองคนนั้นดังก้องในสมองอีกครั้ง หัวใจสั่นไหวอย่างประหลาด รู้สึกคล้ายมีบางสิ่งสะท้อนวาบภายในสมอง เร็วจนตัวเองคว้าจับไม่ทัน
เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางสติเลื่อนลอยอีกครั้ง ถามอย่างเป็นห่วง “เจ้ามีเรื่องหนักใจหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวสะพายตะกร้าของตัวเอง พูดว่า “คงเพราะเมื่อคืนวานนอนไม่พอ วันนี้ก็เลยเหม่อลอยไปบ้าง พวกเรารีบไปขายเถอะ ขายเสร็จจะได้กลับบ้าน”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า สะพายตะกร้าใบน้อยของตัวเอง เปล่งเสียงร้องเร่ขายไปตามถนนในตรอก น้ำเสียงกังวานอ่อนเยาว์ดังลอยไปไกล
เมื่อวานมีขายข้าวโพดในตลาดสด คนไม่น้อยพอได้ข่าวก็ตรงเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ ขายหมดกลับบ้านไปนานแล้ว ผู้คนต่างพากันผิดหวัง วันนี้ถึงกับมีคนตั้งใจไปเดินวนรอบตลาดสด ก็หาซื้อข้าวโพดไม่ได้ ในตอนที่กำลังเสียใจนั้น เกิดได้ยินเสียงเมิ่งอี้เซวียนร้องตะโกน มีคนเปิดประตูบ้านกวักมือให้พวกเขา หลังจากซักถามราคาแล้ว ก็ล้วงเงินออกมาซื้อ
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่า ข้าวโพดในตะกร้าของพวกเขาสองคนก็ขายหมดเกลี้ยง
เมิ่งอี้เซวียนเห็นข้าวโพดถูกขายออกไปทั้งหมด ก็ให้ตื่นเต้นดีใจ ด้านหนึ่งเดินมุ่งหน้ากลับไปที่จอดรถม้า อีกด้านก็เอาแต่พูดจ้อกับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับคำเขาอย่างขอไปที ไม่นานทั้งสองก็มาถึงข้างรถม้า
เมิ่งเชี่ยนโยววางตะกร้าไว้บนรถม้า แล้วสั่งการเหวินเปียวไปตามหาพวกเมิ่งเสียน ทว่าในตอนที่หันหลังจะก้าวขึ้นรถม้ากลับเหลือบไปเห็นชายฉกรรจ์ที่เจอเมื่อเช้าสองคนโดยไม่รู้ว่าตามตนเองมาตั้งแต่เมื่อไร
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วแน่น เปลี่ยนความตั้งใจ หลังจากเร่งเร้าเมิ่งอี้เซวียนให้ขึ้นรถม้า ก็สั่งการเหวินเปียวให้บังคับรถม้าไปทางทิศตะวันตกด้วยอาการขึงขัง
เหวินเปียวก็ไม่ถามมาก บังคับรถม้าออกจากประตูเมือง มุ่งหน้าตรงไปทิศตะวันตก
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบเปิดม่านบังรถ มองออกไปนอกรถ เห็นสองคนนั้นวิ่งทะยานตามหลังมาอย่างสุดกำลัง จึงสั่งเหวินเปียวให้บังคับรถม้าช้าลง
ทั้งสองเห็นรถม้าลดความเร็วลง หันสบตากัน เร่งฝีเท้าตามติดอย่างไม่ลดละ
ออกมาได้ประมาณสามถึงสี่ลี้ ข้างทางไม่มีคนสัญจรแล้ว หลังจากสั่งเหวินเปียวให้หยุดรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวก็เปิดม่านบังรถแล้วเดินลงมาจากรถม้า เอ่ยถามทั้งสองคนที่ตามติดมาตลอดทางด้านหลังว่า “ทั้งสองท่านตามติดข้ามาตั้งแต่ในเมืองจนถึงที่นี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด?”
ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะสังเกตเห็นพวกเขาแต่แรกแล้ว นิ่งอึ้งครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่ปิดบัง “แม่นางน้อย ข้าอยากถามเจ้า คุณชายน้อยที่ขายข้าวโพดคนเมื่อครู่เป็นอะไรกับเจ้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “น้องชายข้า พวกท่านจะถามไปเพื่ออะไร?”
ชายฉกรรจ์ถามต่อ “พวกเจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร บ้านช่องอยู่ที่ไหน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วแน่น ย้อนถาม “พวกท่านเป็นใคร?”
ชายฉกรรจ์มองสหายข้างกายแวบหนึ่ง พูดโป้ปด “แม่นางน้อย พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย พวกเราเพียงตามหาคนผู้หนึ่ง อายุใกล้เคียงกับน้องชายเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสดงกิริยาโกรธเกรี้ยว พูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “พวกเจ้าตามหาคนแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเรา? รีบไสหัวไป! อยู่ให้ห่างจากรถม้าของพวกเรา”
ทั้งสองหันหน้ามองกัน ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินขึ้นหน้า หมายจะพูดบางสิ่งกับนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งร้อง “อ่ะ” แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เหวินเปียวปล่อยบังเ**ยนในมือ สาวเท้าเดินมาเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “แม่นาง ท่านไม่เป็นกระไรนะ?”
ชายฉกรรจ์เห็นท่วงท่าของเหวินเปียว รู้ว่าเป็นคนมีวรยุทธ์ ให้เกิดความระแวดระวัง
เหวินเปียวร้องถามทั้งสองคน “พวกท่านเป็นใครกัน ต้องการสิ่งใดต่อแม่นางของพวกเรา?”
ชายฉกรรจ์โบกมือเป็นพัลวัน “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงต้องการสอบถามเรื่องบางอย่างจากแม่นาง มิได้มีจุดประสงค์ร้าย”
“ที่ข้ารู้ก็บอกพวกเจ้าไปหมดแล้ว พวกเจ้ายังคิดจะถามอะไรอีก?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างไม่พอใจ
ชายฉกรรจ์ประสานมืออีกครั้ง “พวกเราเพียงต้องการถามชื่อแซ่ แลบ้านช่องของพวกท่าน?”
เดิมเมิ่งเชี่ยนโยวต้องการให้เหวินเปียวออกหน้า ให้พวกเขาสองคนรู้ความจากไปเอง ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะเป็นพวกกอเอี๊ยะหนังสุนัข สะบัดไม่หลุด ตามตอแยไม่เลิกรา
ในตอนนี้เพลิงโทสะในใจเมิ่งเชี่ยนโยวเผาไหม้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว “พวกเราไม่รู้จักกัน พวกเจ้าจะสอบถามอย่างไร้สาเหตุไปเพื่อการใด? หรือพวกท่านมีจุดประสงค์อะไรต่อพวกเรา?”
ชายฉกรรจ์เห็นนางอย่างไรก็ไม่ยอมตอบแต่โดยดี เกิดความแคลงใจ ถามขึ้น “ข้าบอกแม่นางแล้ว พวกเรากำลังตามหาคนผู้หนึ่ง แม่นางบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบพวกเรา หรือว่าจะเป็นดั่งที่พวกเราคาดเดาไว้จริงๆ…”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวถ่มน้ำลายใส่ “หน้าไม่อายยิ่งนัก สะกดรอยตามพวกเรากลางวันแสกๆ ตอนนี้ยังจะมาถามชื่อแซ่ข้า พวกเจ้ายังกล้าพูดว่าไม่มีจุดประสงค์”
ชายฉกรรจ์โกรธเกรี้ยว อารมณ์พลุ่งพล่าน เช็ดน้ำลายบนใบหน้า พูดคุกคาม “พวกเจ้าอย่าได้ไม้อ่อนไม่ชอบชอบไม้แข็ง พวกเราถาม เจ้าก็ตอบมาตามสัตย์จริง ไม่เช่นนั้น อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งหวาดผวาตบหน้าอก พูดว่า “ตกใจหมดเลย ไม่ทราบว่าพวกเจ้าจะไม่เกรงใจอย่างไร?”
ชายฉกรรจ์ยิ้มอย่างลำพองใจ ชี้เหวินเปียวแล้วพูดว่า “พวกเราสองคนจะฆ่าพวกเจ้าสองคนทิ้ง จากนั้นพาเด็กคนนั้นกลับไปรับรางวัล” พูดจบ รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวหวาดกลัวร้องขอชีวิต
เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง “อ๊ายหย่า” แล้วยิ้มพูดว่า “บังเอิญนัก ข้าก็มีความคิดเช่นนี้พอดี”
ชายฉกรรจ์ตะลึงงัน แล้วพูดเกรี้ยวกราด “นังเด็กไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เจ้ารนหาที่ตายแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสดงสีหน้าดูแคลน “อย่างเจ้านะหรือ?”
ชายฉกรรจ์ยิ่งบันดาลโทสะ เลือดขึ้นหน้า โถมตัวเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยวฉับพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวเบี่ยงตัวหลบ เหวินเปียวรุกขึ้นหน้าเข้าขวางเบื้องหน้านาง ออกอาวุธสู้กับชายฉกรรจ์
เมิ่งอี้เซวียนได้ยินเสียงต่อสู้ นึกว่าเป็นเหมือนครั้งก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวให้เขาหลบอยู่ในห้องโดยสาร ดังนั้นจึงไม่กล้าลงจากรถม้า เพียงแต่เลิกม่านรถคอยลอบแอบดูในมุมหนึ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาของเขาด้วยหางตา ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ พูดว่า “ลงมาเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนดีอกดีใจ รีบลงจากรถม้ามายืนข้างกายนาง
ชายฉกรรจ์อีกคนเห็นเขาลงจากรถม้า จับจ้องเขาตาไม่กะพริบ นัยน์ตาสะท้อนแววละโมบ
เมิ่งเสียนเห็นเหวินเปียวและชายฉกรรจ์สู้ปะทะกันไปมา เกิดความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยากสู้บ้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาเขา ชี้ชายฉกรรจ์อีกคนพูดกับเขาว่า “เจ้าร่ำเรียนวรยุทธ์มาก็ไม่น้อยแล้ว เข้าไปประลองกับเขาหน่อยเถิด”
ได้ยินวาจาของนาง เมิ่งอี้เซวียนเลือดลมสูบฉีด แสดงท่าออกอาวุธแล้วโถมตัวเข้าหาชายฉกรรจ์
ชายฉกรรจ์เห็นเขาอายุยังน้อย ประเมินคู่ต่อสู้ต่ำ บวกกับคล้ายจะมีความกังวล ทำให้ปฏิกิริยาตอบโต้ช้า ถูกเขาถีบจนถอยหลังไปหลายก้าว
เมิ่งอี้เซวียนออกอาวุธสำเร็จ ความมั่นใจทวีขึ้นพลัน ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ยืนมั่นคง ก็จู่โจมเข้าใส่ทันที
ครั้งนี้ชายฉกรรจ์เตรียมรับมือแล้ว เบี่ยงตัวหลบอย่างง่ายดาย หาช่องว่างสับมือใส่ลำคอเมิ่งอี้เซวียน
เมิ่งอี้เซวียนหลบได้อย่างหวุดหวิด
ชายฉกรรจ์ออกอาวุธไม่สำเร็จ ตะลึงงัน เมิ่งอี้เซวียนฉวยโอกาสนี้อ้อมมาด้านหลังเขา ถีบใส่กระดูกขาหลังเขาสุดแรง
ตอนที่ 197 ฆ่าคนปิดปาก
ชายฉกรรจ์เจ็บปวด ขาข้างหนึ่งอ่อนแรง เกือบจะคุกเข่าไปกับพื้น กลับพลิกตัวตีลังกา ลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น
เมิ่งอี้เซวียนยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งฮึกเหิม พุ่งตัวเข้าหาชายฉกรรจ์
ชายฉกรรจ์ไม่กล้าดูแคลนคู่ต่อสู้อีก ตั้งใจมุ่งมั่นรับมือเขา
อย่างไรเมิ่งอี้เซวียนก็อายุยังน้อย ชายฉกรรจ์เองก็มีวรยุทธ์สูงกว่าเขาไม่น้อย หลังจากสู้กันยี่สิบกว่ากระบวนท่า แรงกำลังก็ค่อยๆ ลดถอยลง
ครั้งนี้ชายฉกรรจ์สบจังหวะเหมาะ สับมือตรงใส่ลำคอเขา เมิ่งอี้เซวียนร่างอ่อนยวบล้มแน่นิ่งไป
เหวินเปียวเห็นภาพนั้นพอดี ร้องตะโกนเสียงหลง “นายน้อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับกลับพูดน้ำเสียงราบเรียบ “เขาไม่เป็นอะไร เจ้ารีบเผด็จศึกเถอะ”
เหวินเปียวได้ฟังเพิ่มกำลังจู่โจม
ชายฉกรรจ์มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเห่อเหิมใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้ม ยื่นฝ่ามือออกไปโบกไปมาเบื้องหน้าเขา
ชายฉกรรจ์ไม่เข้าใจ “นังตัวแสบ จะมาเล่นล่อหลอกอะไรลวงตาข้า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกฝ่ามือไปมาอีกครั้ง “ห้ากระบวนท่า ข้าใช้เพียงห้ากระบวนท่าก็กำราบเจ้าได้”
ชายฉกรรจ์ถูกยั่วยุ เอ่ยปากเสียงลั่น “นังตัวแสบ รนหาที่ตายแล้ว!” แล้วโถมตัวเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่หลบหลีก รอจนเขาเข้ามาใกล้ ถีบใส่หน้าอกเขาอย่างจัง
ชายฉกรรจ์ไม่เคยเห็นวิธีการต่อสู้ที่ไม่นึกถึงชีวิตเช่นนี้ ถอนคืนกระบวนท่าของตัวเองฉับพลัน ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
เมิ่งเชี่ยนโยวทำมือเป็นเลขหนึ่ง ชายฉกรรจ์เข้าใจความหมายของนาง โมโหจนเกือบจะกระอักเลือด ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี จู่โจมนางอย่างรุนแรงเฉียบขาด
เมิ่งเชี่ยนโยวหลบได้อย่างคล่องแคล่ว
ต่อสู้ไปได้สองกระบวนท่า แม้แต่ชายเสื้อนางชายฉกรรจ์ก็ยังแตะไม่โดน เริ่มกระวนกระวาย เกิดช่องโหว่หลังจากจู่โจมอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวสบจังหวะเหมาะ กระโดดถีบตัวลอยจนเขาล้มไปกับพื้น ไม่รอให้เขาพลิกตัวขึ้นมา ใช้วิชาฝ่ามือเดียวกับเขาสับจนชายฉกรรจ์สลบไป
ชายฉกรรจ์อีกคนเห็นสหายล้มกลางอากาศไปกับพื้น จิตใจระส่ำ ถูกเหวินเปียวถีบสลบไปเช่นกัน
เหวินเปียวสาวเท้าเดินมาข้างเมิ่งอี้เซวียน ก้มตัวลงอุ้มเขาขึ้นไปวางบนรถม้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างชายฉกรรจ์ที่สลบไป ลูบคลำตัวพวกเขาอย่างละเอียด คลำเจอสิ่งของแข็งชิ้นหนึ่ง หยิบออกมาดู ถึงเห็นว่าเป็นป้ายคำสั่ง ไม่รอให้เหวินเปียวมาเห็น รีบนำป้ายคำสั่งใส่ในอกเสื้อตัวเอง แล้วเดินไปคลำหาป้ายคำสั่งอีกชิ้นออกมาจากตัวชายฉกรรจ์อีกคน เก็บไว้อกเสื้ออย่างเร็วรี่เช่นกัน
เหวินเปียววางเมิ่งอี้เซวียนไว้บนรถม้าเสร็จแล้ว หันกลับมาถามเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง จะทำอย่างไรกับทั้งสองคนนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดอย่างไม่ลังเล “จัดการเถอะ”
เหวินเปียวตกตะลึง
เมิ่งเชี่ยนโยวช้อนตามองเขา
เหวินเปียวกลืนน้ำลาย ถามอย่างระวัง “ความหมายของแม่นางคือ…?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถามอย่างเรียบเฉย “ไม่เคยฆ่าคน?”
เหวินเปียวเป็นผู้คุ้มกันมาหลายปี มีเหตุการณ์ไหนที่ไม่เคยเจอมาบ้าง ในสถานการณ์อันตราย ก็ฆ่าคนมาไม่น้อย เพียงแต่ว่าหลังจากติดตามเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นนางยิ้มแย้มแจ่มใสทุกวัน ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่านางจะกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้อย่างเบาสบายไม่สะทกสะท้าน จึงเกิดอาการตะลึงงันฉับพลัน ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ ก็รีบตอบว่า “เคยฆ่า”
“เช่นนั้นก็มอบให้เจ้าแล้ว ทางที่ดีอย่าให้ใครมาพบศพของพวกเขาได้” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
ได้ยินนางยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยกล่าวเรื่องน่าสยดสยอง ราวกับว่าการฆ่าคนเป็นเพียงเรื่องสามัญธรรมดา เหวินเปียวเกิดอาการสะท้านตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาฉับพลัน
คล้ายว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเข้าใจความคิดของเขา ยกยิ้มมองไปที่เขาแวบหนึ่ง
เหวินเปียวสั่นสะท้านไปทั้งตัว รีบก้มตัวลากชายฉกรรจ์คนหนึ่งลงไปข้างหน้าผา แล้วกลับมาลากชายฉกรรจ์อีกคนตามลงไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ เห็นเมิ่งอี้เซวียนยังไม่ฟื้น คลำป้ายคำสั่งในอกเสื้อ
เหวินเปียวจัดการคนเรียบร้อยแล้วเดินกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ถามว่าเขาจัดการอย่างไร สั่งการเขา “เจ้าเฝ้าดูรถม้าให้ดี ข้าจะรีบไปรีบมา” พูดจบหันหลังเดินเข้าไปในป่าทึบ
เหวินเปียวมองแผ่นหลังนาง สัมผัสได้ถึงพลังอาฆาตทั่วร่างนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในป่า มองหาสถานที่เหมาะสม แล้วนำป้ายคำสั่งสองชิ้นลงฝัง หลังจากทำเสร็จเรียบร้อย ก็เดินกลับมาข้างรถม้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เหวินเปียวจับบังเ**ยนยืนข้างรถม้าอย่างอ่อนน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้เขาแวบหนึ่ง แล้วออกคำสั่ง “ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น รวมถึงเหวินหู่และเหวินเป้า”
เหวินเปียวรับคำอย่างนอบน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ขึ้นรถม้า ยืนมองเขาอยู่ข้างรถม้า
เหวินเปียวถูกมองจนร้อนตัว กระทั่งตอนที่เหงื่อกำลังจะผุดซึมออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวถึงเปล่งเสียงดังขึ้นว่า “กิริยาอาการเจ้าตึงเครียดเกินไป จะทำให้พวกเขาจับสังเกตว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้”
เหวินเปียวเงยหน้าตะลึงงัน เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปบนรถม้าแล้ว กำชับเขา “ไปเถอะ พวกพี่ใหญ่คงรอจนร้อนใจแย่แล้ว”
เหวินเปียวรีบหันกลับรถม้า บังคับกลับเข้าเมือง
เมิ่งเชี่ยนโยวเขย่าตัวเมิ่งอี้เซวียนให้ตื่น
เมิ่งอี้เซวียนเพิ่งจะลืมตาขึ้น ก็ถลึงตัวลุกขึ้นนั่ง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอมยิ้มอยู่เบื้องหน้าตัวเอง ก็ถอนใจโล่งอก ลูบคลำลำคอที่ยังเจ็บปวดของตัวเอง ถามอย่างละอาย “ข้าไม่ได้เรื่องเลยใช่ไหม?”
เมิ่งเชี่ยนโยวชูนิ้วโป้งให้เขา “เจ้าปะทะกับเขาถึงยี่สิบกว่ากระบวนท่า ยอดเยี่ยมมาก”
“แต่พวกเราก็ยังปกป้องเจ้าไม่ได้ ยังถูกเขาตีจนสลบ” เมิ่งอี้เซวียนยังคงไม่พอใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยนวดคอที่ถูกสับให้เขาครู่หนึ่ง พูดปลอบใจ “เจ้าอายุยังน้อย ฝึกอีกไม่กี่ปี จะต้องเอาชนะข้าได้”
ดวงตาเมิ่งอี้เซวียนสะท้อนแววยินดี “จริงหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
“แล้วพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?” เมิ่งอี้เซวียนถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวเงียบไปเล็กน้อย ถึงพูดว่า “ถูกข้าและเหวินเปียวตีหนีไปแล้ว ประเดี๋ยวเจ้าเจอพวกพี่ใหญ่อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ ให้พูดว่าหลังจากพวกเราขายข้าวโพดแล้ว เจ้ารู้สึกไม่สบายตัว พวกเราจึงไปหาหมอมา เลี่ยงไม่ให้พวกเขาเป็นกังวล”
เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้สงสัยอะไร พยักหน้าตกลง
พวกเมิ่งเสียนขายข้าวโพดหมดนานแล้ว มายืนรอยังที่ที่นัดกันไว้ กลับไม่เห็นรถม้าเข้ามาสักที เริ่มกังวลใจ คิดจะออกไปตามหา ก็กลัวจะคลาดกับเมิ่งเชี่ยนโยว พอนางมาถึงจะหาพวกเขาไม่เจอ จำต้องยืนรออยู่ที่นั้นอย่างกระสับกระส่าย พอเห็นรถม้าเข้ามา เมิ่งเสียนก็ตำหนิถามเสียงลั่น “เหตุใดพวกเจ้าถึงเพิ่งเข้ามา?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ หลังจากให้ทั้งสองขึ้นมาบนรถม้า ถึงแย้มยิ้มพูดว่า “หลังจากขายข้าวโพดเสร็จ อี้เซวียนมีอาการไม่สบายตัว พวกเราก็เลยไปหาหมอถึงเพิ่งมาถึง”
เหวินเปียวได้ฟังมองไปที่เมิ่งอี้เซวียน เห็นสีหน้าเขาไม่น่าดูจริงๆ ถามอย่างเป็นห่วง “ท่านหมอว่าอย่างไรบ้าง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบว่า “ท่านหมอบอกว่าคงเพราะสองวันนี้เหนื่อยล้าเกินไป พักผ่อนสักหน่อยก็จะดีขึ้น พรุ่งนี้พวกเราไม่ต้องมาแล้ว”
เมิ่งเสียนพยักหน้า “ให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่สักวันเถอะ”
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ก็รออย่างกระสับกระส่าย ทว่าหลังจากได้ยินว่าเมิ่งอี้เซวียนไม่สบาย ก็ซักไซ้ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้โอกาสนี้บอกพวกเขาว่าพรุ่งนี้ไม่เข้ามาขายข้าวโพดแล้ว ให้หยุดพักที่บ้านหนึ่งวัน
เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ขายจนติดใจแล้ว ถึงกับรู้สึกอาลัยอาวรณ์
ตอนที่คนทั้งหมดมาถึงบ้านล่วงเลยเวลายามเที่ยงไปแล้ว เมิ่งชื่อได้ยินว่าพวกเขายังไม่ได้กินข้าว ผลุนผลันออกไปทำกับข้าวให้พวกเขา
คนทั้งหมดสวาปามกินจนเกลี้ยง
เมิ่งชื่อเห็นกิริยาการกินของพวกเขาก็ให้ปวดใจ พูดตำหนิเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าอยากจะไปขายข้าวโพดให้ได้ เจ้าดูพวกเจ้าทั้งหมดหิวจนไม่เหลือสภาพแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้นสองข้าง พูดอย่างซุกซน “ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว ข้ารับประกันกับท่าน นับจากนี้ไปข้าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องไปขายข้าวโพดอีก หากข้าทำเช่นนั้นอีก ท่านไล่ข้าออกจากบ้านได้เลย”
เมิ่งชื่อยิ้มเอ็ด “เจ้ากำลังรับประกันกับแม่ หรือกำลังข่มขู่แม่กันแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวลนลานพูด “รับประกัน รับประกัน ข้ารับประกัน”
คนทั้งหมดขบขันในปฏิกิริยาของนาง
แปลงดินยังเหลือข้าวโพดอีกจำนวนหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกอู๋ต้าเด็ดออกมาทั้งหมด นอกจากนำไปมอบให้เหวินซื่อ ซุนซ่านเหรินและบ้านฝั่งแม่ของเมิ่งชื่อรวมถึงหัวหน้าสกุลต่างๆ ข้าวโพดที่เหลือทั้งหมดถูกแกะเม็ดออก แล้วสั่งสะใภ้ทั้งสามคนของครอบครัวเหวินเปียวให้ใช้วิธีโบราณของตัวเองเก็บรักษาข้าวโพดอ่อนไว้ รอถึงฤดูหนาวจะได้นำไปขายให้ร้านยาเต๋อเหริน
สำหรับก้านข้าวโพดที่มีจำนวนมากเกินไป สุดท้ายต้องทำตามวิธีของเมิ่งเชี่ยนโยวให้คนในหมู่บ้านเข้ามาถอนไปตามใจชอบ
คนในหมู่บ้านดีใจแทบคลุ้มคลั่ง แต่ละครอบครัวยอมไม่กินข้าวเพื่อจะถอนให้ได้มากขึ้น ไม่ถึงสามวัน บนแปลงดินไม่เหลือก้านข้าวโพดแม้สักต้นเดียว
เมิ่งเชี่ยนโยวไปหาคนชราที่ทำโครงมันฝรั่งแผ่น ให้พวกเขาเริ่มทำแต่ตอนนี้ ยิ่งทำมากยิ่งดี คนชราย่อมรับคำด้วยความยินดี ทั้งครอบครัวทำงานกันอย่างขะมักเขม้นหามรุ่งหามค่ำ
ตอนที่เหวินเปียวนำข้าวโพดมาส่งให้ซุนเหลียงไฉก็ตามกลับมาด้วยอย่างเบิกบานใจ กระทั่งพอรู้ว่าต้องไปสถานศึกษา เกิดความเสียใจฉับพลัน เว้าวอนให้เหวินเปียวพาเขาส่งกลับไปอย่างน่าเวทนา
เมิ่งเชี่ยนโยวข่มขู่เขา “หากกลับบ้านไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนาง จะจับเขาแขวนใต้ต้นไม้หน้าประตูเหมือนซุนวั่ง”
ซุนเหลียงไฉคิดถึงสภาพน่าอนาถของบิดาตัวเอง ตามเมิ่งเหรินไปเรียนกับโจวเสี้ยวอย่างว่านอนสอนง่าย
ซุนเชี่ยนมักจะใช้ข้ออ้างมาเยี่ยมน้องชายเข้ามาบ่อยครั้ง เมิ่งชื่อยิ่งเห็นนางก็ยิ่งชอบ แทบอยากจะแต่งนางเข้าบ้านเสียแต่ตอนนี้
ช่วงเวลาที่สุขสงบและเต็มไปด้วยความชื่นบานนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ถึงฤดูกาลที่มันฝรั่งสุกเต็มที่
ในวันนี้ ภายใต้สภาพจิตใจที่เฝ้ารอและกระสับกระส่ายของกลุ่มคน เมิ่งเชี่ยนโยวตัดใบมันฝรั่งเป็นสาย ใช้อุปกรณ์ขุดเบาๆ เป็นร่องหลุม มันฝรั่งลูกโตเป็นลูกๆ ก็ถูกถอนขึ้นมา
“โยวเอ๋อร์ เอาอุปกรณ์มาให้พ่อ พ่อจะขุดบ้าง” เมิ่งเอ้ออิ๋นที่สะกดกลั้นความตื่นเต้นยินดีไว้ไม่อยู่เอ่ยปาก
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งอุปกรณ์ในมือให้เขา
เมิ่งเอ้ออิ๋นรับมา ถอนใบมันฝรั่งออก ขุดพรวดเดียวได้มันฝรั่งออกมาสิบกว่าลูก ถึงผ่อนคลายอาการฮึกเหิมใจลงได้
เมิ่งต้าจินกับภรรยาและเมิ่งซานถงกับภรรยาก็ตื่นเต้นดีใจ ใช้วิธีการต่างๆ ขุดออกมาบ้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีของแต่ละคนก็ให้หลุดขำ
กระทั่งอารมณ์ของทุกคนนิ่งสงบลง เมิ่งเชี่ยนโยวถึงหัวเราะพูดว่า “นี่เป็นเพียงฤดูกาลแรกของมันฝรั่ง พวกท่านก็ตื่นเต้นลิงโลดถึงเช่นนี้ หากเกี่ยวเก็บอีกครั้งในฤดูใบไม้ร่วง พวกท่านจะตื่นเต้นจนเป็นลมไปเลยหรือไม่”
สะใภ้เมิ่งต้าจินถลึงตาโต ถามอย่างไม่เชื่อ “ฤดูใบไม้ร่วงยังเก็บเกี่ยวได้อีกครั้ง เจ้าหมายความว่ามันฝรั่งปลูกได้ปีละสองฤดูกาล?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น ทว่าข้ายังไม่เคยทดลอง ไม่รู้ว่าการเก็บเกี่ยวของครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร”
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าหนึ่งปีสามารถทำการเกษตรได้สองฤดูกาล หากเป็นเช่นนั้น บ้านพวกเจ้าก็ร่ำรวยแล้ว” สะใภ้เมิ่งต้าจินกล่าวอย่างยินดี
เมิ่งเชี่ยนโยวแก้ใขคำพูดนาง “ท่านป้าใหญ่พูดผิดแล้ว ครอบครัวพวกเราต่างหากที่จะร่ำรวยแล้ว”
สะใภ้เมิ่งต้าจินพยักหน้าหงึกๆ “ใช่ๆๆ ครอบครัวพวกเราจะร่ำรวยแล้ว”
คนทั้งหมดหัวเราะร่วนยินดี
“ท่านลุงใหญ่ ท่านเข้าไปในหมู่บ้านรับสมัครคนมาขุดมันฝรั่งเถอะ บอกพวกเขาว่า ค่าแรงในครั้งนี้จะคำนวณตามการชั่งวัด ไม่ว่าจะชายหญิงเด็กคนแก่ มันฝรั่งสิบจินให้หนึ่งอีแปะ หลังจากขุดมันฝรั่งเสร็จแล้ว จะจ่ายค่าแรงให้ทันที” หลังจากหัวเราะเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หันไปพูดกับเมิ่งต้าจิน
เมิ่งต้าจินพยักหน้าอย่างเบิกบาน หันหลังกลับเข้าไปในหมู่บ้าน ครั้งนี้ยังไม่ทันได้ร้องตะโกน คนที่คอยเฝ้าสังเกตเมิ่งต้าจินก็รีบรุดเดินหน้าเข้ามา ถามเขาอย่างพินอบพิเทา “ท่านผู้ใหญ่บ้าน ครอบครัวพวกท่านกำลังหาคนทำงานอีกแล้วใช่หรือไม่?”
เมิ่งต้าจินชะงักฝีเท้า พยักหน้า “พวกเราเตรียมจะหาคนไปขุดมันฝรั่ง ครั้งนี้ไม่ได้จ่ายเป็นรายวัน แต่จ่ายตามน้ำหนัก ทุกสิบจินจะได้หนึ่งอีแปะ”
คนในหมู่บ้านไม่เคยเห็นมันฝรั่ง ไม่รู้ว่ามันฝรั่งหนึ่งลูกหนักเท่าใด แต่พอคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยเอาเปรียบคนในหมู่บ้าน ก็ถามอย่างระวัง “ท่านผู้ใหญ่บ้าน ท่านว่าข้าพอไหวหรือไม่? ข้ามีแรงมากโขอยู่นะ”
เมิ่งต้าจินมองแววตากระหายอยากของคนเหล่านี้ ยิ้มพูด “ขุดมันฝรั่งต้องใช้แรงกำลังบ้าง แต่ไม่ใช่ว่ากำลังน้อยก็จะทำไม่ได้ พวกเจ้าช่วยไปบอกต่อๆ กัน ขอเพียงต้องการไปขุดมันฝรั่ง ไม่ว่าเป็นใคร ก็สามารถมาได้ ค่าแรงเหมือนกันทุกคน”
“ท่านหมายความว่า บิดามารดาและลูกๆ ของข้าก็ไปได้ เหมือนกับตอนที่ไปเก็บกวาดที่ดินร้าง?” ชาวบ้านคนหนึ่งถามอย่างยินดี
เมิ่งต้าจินพยักหน้า โบกมือ “รีบกลับบ้านไปเรียกคนในครอบครัว หยิบฉวยอุปกรณ์ ไปตอนนี้ได้เลย”
คนทั้งหมดหันหลังวิ่งแน่บกลับบ้าน
เมิ่งต้าจินร้องตะโกนในหมู่บ้านอีกรอบ คนในหมู่บ้านได้ยินข่าวดีนี้ ต่างเคลื่อนไหวออกมาทั้งครอบครัว หยิบฉวยอุปกรณ์และตะกร้าสะพายหลังวิ่งไปที่แปลงดินอย่างเบิกบานใจ
ตอนที่ 198 แอบรัก
ตอนที่เมิ่งต้าจินกลับมาจากเดินวนรอบหมู่บ้าน เกือบทุกบ้านแทบจะว่างโล่งไม่เหลือคน
เมิ่งเชี่ยนโยวก็จัดเตรียมให้ทุกคนไว้พร้อมแล้ว พวกอู๋ต้ารับหน้าที่ชั่งน้ำหนัก เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีรับหน้าที่จดบันทึก พวกเหวินเปียวสามพี่น้องและพวกจางมู่มีหน้าที่นำมันฝรั่งที่ขุดออกมาขนย้ายไปโรงงานที่สร้างเสร็จแล้ว
โรงงานกระเป๋านักเรียนของเมิ่งชื่อก็หยุดงานชั่วคราว ให้กลุ่มหญิงสาวออกไปขุดมันฝรั่งพร้อมคนในครอบครัว
แม้แต่เมิ่งจงจวี่ผู้ไม่รู้เรื่องการเกษตรยังอดออกไปดูแปลงมันฝรั่งด้วยไม่ได้
เด็กๆ ที่มาเข้าเรียนในโรงเรียนบางตาลงไปมาก โจวหลี่มองดู เด็กที่เหลืออยู่ต่างไม่มีกะจิตกะใจอยู่ในสถานศึกษา จึงให้หยุดเรียนสองสามวัน เมื่อเก็บเกี่ยวมันฝรั่งเสร็จแล้ว ค่อยเปิดสถานศึกษาอีกครั้ง
เด็กๆ ย่อมดีใจลิงโลด แต่ละคนประหนึ่งลูกเจี๊ยบแตกรังวิ่งแจ้นไปที่แปลงดิน
เมิ่งอี้เซวียน เมิ่งเหรินและซุนเหลียงไฉก็ถึงวันที่ได้หยุดพัก เข้ามาช่วยในแปลงดินอีกแรง
แม้ตี้ซือจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามันฝรั่งเป็นอย่างไร มาที่แปลงดินพร้อมโจวเสี้ยวและโจวหลี่ด้วยความสนใจใคร่รู้ กระทั่งเห็นผู้คนเต็มแปลงดินกำลังขุดมันฝรั่ง คิดว่าต่อไปตนเองต้องพำนักยาวอยู่ในชนบทแห่งนี้ งานเกษตรกรรมเช่นนี้ยากที่จะหลีกเลี่ยง จึงสั่งโจวหลี่กลับไปบอกคนในครอบครัว ให้เข้ามาช่วยขุดมันฝรั่ง
สะใภ้ใหญ่โจวสั่งทุกคนให้เปลี่ยนเสื้อผ้า พาเด็กทั้งหมดและคนรับใช้ของครอบครัวดาหน้าตรงเข้ามา
ชาวบ้านในหมู่บ้านก็เพิ่งจะเคยเห็นพวกเขาทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรก มองประเมินพวกเขาอย่างสนอกสนใจ สะใภ้ใหญ่โจวและสะใภ้เล็กโจวทำงานในโรงเย็บกระเป๋านักเรียนมาได้ระยะเวลาหนึ่ง คุ้นชินต่อการถูกมองประเมินจากชาวบ้านเสียแล้ว คนรับใช้ก็ไม่ใส่ใจ พวกเด็กๆ กลับทนไม่ไหว โดยเฉพาะโจวอิ๋งบุตรสาวคนโตของโจวเสี้ยว ที่เติบโตอยู่แต่ในหอดรุณีมาแต่เด็ก ได้รับการสั่งสอนมิให้ย่างกายออกจากเรือน จู่ๆ ก็มีคนมากมายจ้องมองประเมินตนเอง เอียงอายเอาแต่หลบด้านหลังสะใภ้ใหญ่โจว
สะใภ้ใหญ่โจวเห็นอากัปกิริยาเช่นนี้ของบุตรสาวก็ให้ปวดใจ บุตรสาวอายุได้สิบสี่ปีแล้ว เดิมทีมีคนมาทาบทามสู่ขอ กำลังจะได้หมั้นหมาย ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับพ่อสามี อำลาราชการอย่างฉุกละหุก พาคนทั้งครอบครัวกลับบ้านเกิด แม้สะใภ้ใหญ่โจวจะพันไม่ปรารถนาหมื่นไม่ปรารถนาอย่างไร ก็ไม่กล้าฝ่าฝืนต่อเจตนารมณ์ของเขา ทว่าพอคิดถึงบุตรสาวที่เติบโตในเมืองหลวงแต่เด็ก ไม่คุ้นชินต่อสิ่งแวดล้อมในชนบท คิดจะกำหนดเรื่องแต่งงานของบุตรสาวไว้ก่อนจะออกจากเมืองหลวง โจวเสี้ยวกลับไม่เห็นด้วย บอกนางว่า ตี้ซือไม่มีสถานะแล้ว โจวอิ๋งอยู่เมืองหลวงต่อไปไม่มีทางมีคู่หมายที่ดีได้ อีกทั้ง พวกเขากำลังจะต้องกลับบ้านเกิดทั้งหมด ทิ้งโจวอิ๋งให้อยู่ลำพังคนเดียว ต่อให้กำหนดการแต่งงานได้ ฝ่ายชายก็คงไม่ปฏิบัติต่อต่อนาง สะใภ้ใหญ่โจวคิดว่าโจวเสี้ยวพูดมีเหตุผล ตนเองก็มีบุตรสาวเพียงคนเดียว ทำใจเห็นนางต้องไปตกระกำลำบากไม่ได้ ต่อให้หลังจากกลับไปบ้านเกิดได้ครอบครัวชาวนาที่มีฐานะพอมีอันจะกินบ้าง ก็ยังดีกว่าต้องไปรองรับอารมณ์อยู่ในเมืองหลวง จึงพานางกลับมาด้วย ตอนนี้เห็นบุตรสาวถูกกลุ่มคนมองประเมินอย่างโจ่งแจ้งไร้มารยาท ความขื่นขมภายในใจไม่อาจพรรณนาได้
แม้โจวอิ๋งจะอายหลบอยู่หลังสะใภ้ใหญ่โจว แต่ก็แอบลอบมองไปทั่วอย่างสนอกสนใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีของนาง กวักมือเรียกเหวินเหลียนเข้ามา พูดกำชับเสียงเบากับนางสองสามคำ
เหวินเหลียนพยักหน้า เดินไปตรงหน้าโจวอิ๋ง พูดอย่างมีมิตรไมตรี “ที่นี่มีเด็กสาวอย่างพวกเราไม่กี่คน ข้าพาเจ้าไปขุดมันฝรั่งนะ”
โจวอิ๋งมองไปที่สะใภ้ใหญ่โจว
สะใภ้ใหญ่โจวพยักหน้า
โจวอิ๋งผละออกไปจากแผ่นหลังสะใภ้ใหญ่โจว เหวินเหลียนจูงมือนาง หยิบอุปกรณ์และตะกร้าสะพายหลังพานางไปอีกด้าน สอนนางขุดมันฝรั่งไปพลางชวนนางพูดคุย
เหวินเหลียนเติบโตมาในสำนักคุ้มภัย วันๆ เห็นแต่คนในสำนักคุ้มภัยรำดาบควงกระบอง ทำให้มีนิสัยเหมือนผู้ชาย เปิดเผยตรงไปตรงมา ทว่าอายุยังน้อย ครอบครัวประสบภัยพิบัติ ถึงกลายเป็นคนขี้ขลาดหวาดระแวง บัดนี้มาอยู่กับเมิ่งเชี่ยนโยวหลายเดือนแล้ว รู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรแตกต่างจากเมื่อก่อน จึงค่อยๆ เผยตัวตนเดิมออกมา เอาแต่พูดจาฉอเลาะไม่หยุด
โจวอิ๋งอย่างไรก็เพิ่งจะสิบสี่ปี เพียงชั่วอึดใจทั้งสองก็สนิทสนมเข้ากันได้ดี พูดคุยกระซิบกระซาบอย่างถูกคอ
สะใภ้ใหญ่โจวคอยชะเง้อมองไปทางคนทั้งสอง เห็นบุตรสาวและเหวินเหลียนพูดคุยยิ้มแย้ม ถึงยอมวางใจลง
มันฝรั่งก็มีเพียงเท่านี้ คนทั้งหมู่บ้านกลับเข้ามาขุดกัน เพื่อหาเงินให้ได้มากขึ้น แต่ละคนต่างเร่งไม้เร่งมือ ไม่ทันไรก็จะมีคนเข้ามาชั่งน้ำหนัก เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีช่วยกันจดบันทึก
เมิ่งอี้เห็นทั้งสองคนทำกันไม่ทัน จึงเข้ามาช่วย
เหวินเหลียนและโจวอิ๋งขุดได้มันฝรั่งหนึ่งตะกร้าเตรียมจะเอาไปเทบนรถเทียมเกวียน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มบอกให้พวกเขาเอาไปชั่งน้ำหนัก บอกว่าไม่ว่าใครขุดมันฝรั่งได้ก็จะให้เงินค่าแรง
ทั้งสองแย้มยิ้มดีใจ แบกตะกร้าเข้ามาต่อแถวรอชั่งน้ำหนัก
อู๋ต้าและซุนเอ้อวุ่นวายกับการชั่งน้ำหนักไม่ได้หยุด เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ร้องเรียกโจวอู๋และหลี่ลิ่ว “พวกเจ้ามาสับเปลี่ยนหน่อยเถิด”
ทั้งสองรับคำ รีบเดินเข้ามา ตอนที่เดินผ่านหน้าเหวินเหลียนและโจวอิ๋งกลับทำตะกร้าของพวกนางล้มคว่ำ ตะกร้าและมันฝรั่งล้มเทใส่โจวอิ๋ง
โจวอิ๋งเอี้ยวตัวหลบตามสัญชาตญาณ กลับยืนไม่มั่นคง ร่างหงายล้มไปด้านหลัง
เหวินเหลียนรีบยื่นมือออกไป กลับคว้านางไว้ไม่ได้
โจวอิ๋งร้องอุทาน หลับตาลงเตรียมอับอายต่อหน้าผู้คน
เมิ่งอี้ที่กำลังช่วงงานเห็นฉากนี้เข้าพอดี ก้าวขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว ประคองร่างโจวอิ๋งที่กำลังจะล้มหงาย ถามอย่างห่วงใย “แม่นาง ไม่เป็นอะไรนะ?”
ได้ยินเสียงเขา โจวอิ๋งที่ยังตื่นตระหนกลืมตาขึ้น เห็นตัวเองถูกเด็กชายคนหนึ่งประคองไว้ พลันหน้าแดงก่ำ รีบยันตัวยืนให้มั่นคง กล่าวขอบคุณเมิ่งอี้
เมิ่งอี้เห็นนางแก้มแดงฝาด ดวงตาคู่งามสุกสกาว ตาสองชั้นลึกหนา ลูกนัยน์ตาทั้งดำและแวววาว ลูกนัยน์ตาไปจนถึงกรอบดวงตาทุกส่วนล้วนสะท้อนถึงความปราดเปรียวฉลาดเฉลียว พลันจับจ้องมองเหม่อ
โจวอิ๋งเห็นเขาเอาแต่จ้องมองตัวเองไม่วางตา ใบหน้ายิ่งแดงก่ำ
เหวินเหลียนเห็นโจวอิ๋งไม่หงายหลังล้ม ก็ให้โล่งอก เดินมาข้างกายนางถามขึ้น “เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”
โจวอิ๋งส่ายหน้า
สะใภ้ใหญ่โจวได้ยินเสียงร้องของโจวอิ๋ง รีบร้อนเข้ามาซักถาม
โจวอู่และหลี่ลิ่วที่ก่อเรื่องเอาแต่กล่าวขอโทษโจวอิ๋งเป็นพัลวัน “ขอโทษแม่นาง ขอโทษแม่นาง”
เห็นท่าทีหวาดผวาของทั้งสองคน โจวอิ๋งโบกไม้โบกมือ “ไม่เป็นไรๆ”
เหตุการณ์ตื่นตระหนกผ่านไป ไม่มีใครเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจอีก ต่างก้มหน้าก้มตาขุดมันฝรั่ง
ผ่านไปอีกหลายวัน โจวอิ๋งเริ่มสนิทสนมคุ้นเคยกับทุกคนแล้ว จึงทำตัวตามสบายมากขึ้น พูดคุยหยอกล้อขุดมันฝรั่งไปพร้อมเหวินเหลียน เวลาคุยถึงเรื่องสนุก ยังอดใจไม่ไหวเปล่งเสียงหัวเราะสดใสน่าฟังออกมา
ในทุกช่วงเวลานี้ เมิ่งอี้จะคอยลอบมองนาง
มีบางครั้งที่โจวอิ๋งรับรู้ได้ว่ามีคนแอบมองตัวเอง เงยหน้าสำรวจมอง กลับเห็นแววตาที่เก็บคืนอาการไม่ทันของเมิ่งอี้ จำได้ว่าเขาก็คือเด็กชายที่ประคองตนเองวันก่อน พลันเขินอายหน้าแดง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สังเกตเห็นเรื่องทั้งหมดนี้ เดินมาหาสะใภ้เมิ่งต้าจิน พูดกับนางว่า “ท่านป้าใหญ่ ข้ามีเรื่องอยากให้ท่านช่วย”
“มีเรื่องอะไรก็พูดกับป้ามาได้เลย ต้องขอให้ช่วยอะไรอีก” สะใภ้เมิ่งต้าจินยิ้มพูด
“ข้าคิดจะทำโรงงานมันฝรั่งแผ่น ข้าอยากให้ท่านเป็นคนรับผิดชอบ”
สะใภ้เมิ่งต้าจินโบกมือ “ข้าไม่ไหวหรอก ให้แม่เจ้าเป็นคนรับผิดชอบเถอะ ข้าเป็นผู้ช่วยนางก็พอ”
“ช่วงนี้เถ้าแก่จางขายกระเป๋านักเรียนได้เร็ว ท่านแม่ดูแลโรงเย็บกระเป๋านักเรียนก็แทบไม่ทันแล้ว ไหนเลยจะมาดูแลโรงงานมันฝรั่งแผ่นได้อีก ท่านอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
สะใภ้เมิ่งต้าจินเริ่มลังเล
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างน่าเวทนา “ข้ารับปากคุณชายอันแล้ว พอได้มันฝรั่งมาจะผลิตมันฝรั่งแผ่นให้เขา หากท่านไม่ช่วยข้า ข้าก็จะผิดคำพูด เช่นนี้จะทำให้เสียความน่าเชื่อถือ ต่อไปจะไม่มีใครมาทำการค้ากับข้าอีก”
สะใภ้เมิ่งต้าจินผลุนผลันรับคำ “ได้ๆๆ ข้าช่วยเจ้าๆ ข้าจะไปหาคนเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ยิ้มกว้าง “ขอบคุณท่านป้าใหญ่ ท่านบอกคนที่มาทำงาน จะได้วันละสามสิบอีแปะ”
เมื่อตบปากรับคำแล้ว สะใภ้เมิ่งต้าจินจึงไม่ลังเลอีก หันหลังเข้าไปซักถามหญิงสาวที่กำลังขุดมันฝรั่งจำนวนหนึ่งในแปลงดิน
หญิงสาวทั้งหมดตอบตกลงทันที เดินตามสะใภ้เมิ่งต้าจินมาเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวมองประเมินหญิงสาวทั้งหมด เห็นพวกนางแม้จะขุดมันฝรั่ง กลับไม่ได้ขุดจนทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ดิน ร่างกายสะอาดสะอ้าน ดูออกว่าปกติเป็นคนที่ทำงานคล่องแคล่วฉับไว พยักหน้าพึงพอใจ “ข้าคิดจะทำโรงงานมันฝรั่งแผ่น เวลาเข้างานและค่าแรงเหมือนกับโรงงานกุนเชียง หากพวกท่านยินดี พรุ่งนี้ไม่ต้องมาแปลงดินแล้ว ให้ตรงไปรอข้าที่โรงงานปลูกใหม่ได้เลย”
หญิงสาวทั้งหมดพูดโดยพร้อมเพรียง “พวกเรายินดี”
“เช่นนั้นก็ดี พวกท่านไปขุดมันฝรั่งก่อนเถอะ พรุ่งนี้มาเข้างานตรงตามเวลาก็พอ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
หญิงสาวทั้งหมดกล่าวขอบคุณ
วันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ไปแปลงดิน แต่ตรงมาที่โรงงาน
สะใภ้เมิ่งต้าจินและหญิงสาวทั้งหมดมารออยู่ที่โรงงานแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนเบื้องหน้าพวกเขา พูดอย่างขึงขัง “กรรมวิธีการผลิตมันฝรั่งแผ่นง่ายมาก พวกท่านแค่เรียนก็ทำได้แล้ว และเพื่อป้องกันพวกท่านแพร่งพรายออกไป ก่อนที่จะสอนพวกท่านอย่างเป็นทางการพวกเราจะต้องทำสัญญากันก่อน ในสัญญาจะระบุว่า หากพวกท่านพูดกรรมวิธีการผลิตมันฝรั่งแผ่นออกไป พวกท่านจะต้องชดใช้ความเสียหายทั้งหมดให้ข้าตามที่สัญญาระบุไว้ หากชดใช้ความเสียหายไม่ได้ จะส่งพวกท่านให้ทางการ ให้ทางการมาจัดการแทน”
หญิงสาวทั้งหมดเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ตื่นตกใจไม่มีใครกล้าขานรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เร่งเร้า ให้เวลาพวกเขาค่อยๆ ตัดสินใจ
หญิงสาวคนหนึ่งรวบรวมความกล้าถามขึ้น “พวกเราต้องทำสัญญานานเพียงใด?”
“สิบปี” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
หญิงสาวตกใจสะดุ้ง พูดตะกุกตะกัก “สะ สิบปี?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ายืนยัน
หญิงสาวนางนี้ลังเล
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูทั้งหมดนี้ พูดว่า “หากพวกท่านตัดสินใจไม่ได้ ก็กลับไปปรึกษาคนในครอบครัวก่อน เมื่อตัดสินใจได้แล้วค่อยมาบอกข้า”
มีหญิงสาวสามคนหันหน้าสบตากัน แล้วพูดพร้อมกัน “พวกเราขอกลับไปปรึกษาก่อน”
“ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หญิงสาวสามคนจากไปพร้อมกัน
เหลือหญิงสาวอีกห้าคนยืนไม่ขยับ
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตาดูเป็นคนที่เคยทำงานในโรงงานกุนเชียงมาก่อน แย้มยิ้มถามพวกนาง “พวกท่านทั้งหมดไม่ต้องกลับไปปรึกษาก่อนหรือ?”
คนทั้งหมดโบกมือพร้อมกัน หญิงสาวหนึ่งในนั้นพูดอย่างไม่แยแส “จะทำสัญญากี่ปีก็ไม่เป็นไร อย่างไรพวกเราก็ไม่มีทางพูดออกไป”
คนที่เหลือพยักหน้าคล้อยตาม พูดรับประกัน “ท่านวางใจ ต่อให้นายหญิงไม่ให้ทำสัญญา พวกเราก็ไม่มีทางพูดออกไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบสัญญาจำนวนหนึ่งออกมา วางไว้เบื้องหน้าทุกคน “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลงนามในสัญญาเถอะ พวกเราจะได้ลงมือทำงาน”
หญิงสาวทั้งหมดไม่รู้อักษร กลับไม่ถามถึงเนื้อหาในสัญญา ประทับลายนิ้วมือของตัวเองในสัญญาทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวหยอกเย้าคนทั้งหมด “พวกท่านไม่คิดจะถามว่าสัญญามีเนื้อหาอะไรบ้างหรือ ไม่กลัวข้าจะหลอกเอาพวกท่านไปขายหรืออย่างไร?”
หญิงสาวทั้งหมดได้ฟังก็หัวเราะร่วน พูดกระเซ้าตัวเอง “อย่างพวกเราต่อให้เอาไปขายก็ได้เงินไม่กี่มากน้อย ท่านไม่มีทางทำการค้าขาดทุนหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกแหย่เย้าหัวเราะขบขัน “พวกท่านเชื่อใจข้าเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เอาเปรียบพวกท่าน พวกท่านทำงานให้ดีๆ ภายหน้าหากมีการขยายโรงงาน พวกท่านจะได้เป็นผู้ดูแล”
หญิงสาวทั้งหมดตื่นเต้นยินดี
เมิ่งเชี่ยนโยวเตือนสติพวกนาง “แต่สิ่งแรก พวกท่านจะต้องตั้งใจทำงานก่อน”
คนทั้งหมดตบหน้าอกรับประกัน “วางใจเถอะ นายหญิง พวกเราจะไม่แอบอู้เด็ดขาด”
หลังจากพูดแหย่เย้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เริ่มสอนกรรมวิธีการผลิตมันฝรั่งแผ่นอย่างละเอียดตั้งใจ
หญิงสาวเหล่านั้นล้วนเป็นแรงงานสำคัญของครอบครัว งานเล็กน้อยแค่นี้เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยสำหรับพวกนาง เวลาไม่นานคนทั้งหมดก็ทำได้อย่างคล่องมือ
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนมองพวกนางทำมันฝรั่งแผ่นออกมา หลังจากลองชิมรสแล้วก็พยักหน้า “ไม่เลว แค่การควบคุมไฟยังด้อยไปเล็กน้อย ไม่ต้องใจร้อน ลองทอดใหม่อีกครั้ง”
หญิงสาวทั้งหมดได้ฟังคำชี้แนะของเมิ่งเชี่ยนโยว ทดลองทอดอีกครั้ง
กระทั่งยามเที่ยง เมิ่งเชี่ยนโยวถึงพยักหน้าพึงพอใจ “สำเร็จแล้ว ตอนบ่ายให้พวกท่านเริ่มผลิตอย่างเป็นทางการได้”
ได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว ในที่สุดหญิงสาวทั้งหมดก็ถอนใจโล่งอก ใช้ชายแขนเสื้อซับเหงื่อบนหน้าผาก
เห็นพฤติกรรมของพวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย “ตอนบ่ายข้าจะแจกชุดทำงานให้พวกท่านคนละชุด ผ้าเช็ดหน้าคนละผืน พวกท่านจะต้องผลิตมันฝรั่งแผ่นอย่างสะอาดถูกหลักอนามัย”
ตอนที่ 199 ผิดรสชาติ
คนทั้งหมดก็ตระหนักรู้ว่าพฤติกรรมตัวเองไม่เหมาะสม รีบปล่อยชายแขนเสื้อลง ขานรับคำ “ทราบแล้ว นายหญิง”
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้มันฝรั่งแผ่นที่ทอดออกมายังไม่เป็นที่พอใจ พูดว่า “หากไม่รังเกียจ พวกท่านแบ่งมันฝรั่งแผ่นจำนวนหนึ่งกลับไปด้วยเถอะ”
มันฝรั่งแผ่นหนึ่งห่อราคาหลายตำลึง รายได้ปกติของพวกนางต่อปียังซื้อหาไม่ได้ ต่อให้การใช้ไฟจะด้อยไปบ้าง ก็ไม่ใช่จะหากินได้ง่ายๆ หญิงสาวทั้งหมดได้ฟังก็ดีใจยกใหญ่ หลังจากกล่าวขอบคุณเป็นพัลวัน ก็ยกมันฝรั่งแผ่นจำนวนหนึ่งจากไปอย่างเบิกบาน
สะใภ้เมิ่งต้าจินมองพวกนางจากไป ถึงถามอย่างเป็นห่วง “โยวเอ๋อร์ อยู่ๆ คนก็หายไปถึงสามคน ยังจะผลิตมันฝรั่งแผ่นที่คุณชายอันต้องการออกมาได้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบมันฝรั่งแผ่นแผ่นหนึ่งใส่ปากนางอย่างซุกซน “ท่านป้าใหญ่ ไม่ต้องเป็นห่วง ขอเพียงท่านควบคุมคุณภาพมันฝรั่งแผ่นให้ดี เรื่องอื่นมอบให้ข้าเป็นคนจัดการเอง”
สะใภ้เมิ่งต้าจินกินไปพลาง พยักหน้ายินดี
สะใภ้เมิ่งต้าจินวางใจจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมันฝรั่งแผ่นที่เหลือมายังบ้านชายชราทำโครงไม้มันฝรั่งแผ่น
จางเซิงและภรรยาที่มีหน้าที่ตัดฝืนตลอดฤดูหนาวพาลูกน้อยสองคนกลับมาจากแปลงมันฝรั่งพอดี เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในบ้าน ร้องทักทายนางอย่างกระตือรือร้นเหมือนเคย “นายหญิงมาแล้ว รีบเข้ามานั่งในบ้านเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวมอบมันฝรั่งแผ่นในมือให้สะใภ้จางเซิง “นี่เป็นมันฝรั่งแผ่นที่ทางโรงงานทดลองทำ กำลังไฟด้อยไปสักหน่อย ข้าเอามาให้เด็กๆ ได้กินกัน พวกท่านอย่าได้รังเกียจ”
สะใภ้จางเซิงรับมาอย่างตื้นตัน กล่าวขอบคุณไม่ขาด “ขอบคุณนายหญิง ขอบคุณนายหญิง”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ถามขึ้น “ข้าเข้ามาดูว่าโครงไม้ทำไปถึงไหนแล้ว?”
พ่อจางเซิงได้ยินเสียงเมิ่งเชี่ยนโยว ลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องทำโครงไม้ พอได้ยินที่นางถาม หยุดยืนหน้าประตู เชิญนางเข้าไปอย่างเกรงใจ “ทำไปได้สองพันกว่าอันแล้ว นายหญิงดูก่อนว่าพอใจหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในห้อง สุ่มหยิบโครงไม้อันหนึ่งขึ้นมาดู ฝีมือการทำยังประณีตเหมือนก่อน พยักหน้าพอใจ “ทำได้ดีมาก เพียงแต่ปริมาณยังน้อยไป หากโรงงานเปิดอย่างเป็นทางการ ของพวกนี้จะพอใช้แค่ไม่กี่วัน”
พ่อจางเซิงหวาดผวา ตื่นกลัวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเก็บคืนงานรายได้ดีนี้กลับไป พูดประจบเอาใจ “นายหญิงวางใจ นับจากวันนี้ไป แต่ละวันข้าจะทำให้มากกว่านี้ ขอท่านอย่ามอบงานไปให้คนอื่นทำ”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาเข้าใจผิด ยิ้มพูด “ท่านคิดมากไปแล้ว ข้าหมายความว่าท่านสามารถหาคนมาช่วยทำเพิ่มได้”
พ่อจางเซิงลนลานส่ายหน้า “ไม่ต้องๆ พวกเรากันเองก็พอ”
จางเซิงก็พูดว่า “ไม่ต้องแล้ว นายหญิง นับจากวันนี้ไปพวกเราจะไม่ไปขุดมันฝรั่งอีก จะช่วยกันทำโครงไม้อยู่ที่บ้าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ก็ได้ พวกท่านตัดสินใจเองก็แล้วกัน แต่อย่าให้เสียงานข้าก็พอ”
พ่อจางเซิงรับประกัน “ท่านวางใจ จะไม่ให้ท่านเสียงานเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับพวกเขาให้นำส่งมาที่โรงงานก่อนห้าร้อยชิ้น
จางเซิงรับคำ
ตอนบ่ายหญิงสาวห้าคนเข้ามาทำงานตรงตามเวลา เมิ่งเชี่ยนโยวมอบชุดทำงานและผ้าเช็ดหน้าให้พวกนาง
หลังจากคนทั้งหมดใส่เรียบร้อยก็เริ่มทำการผลิตมันฝรั่งแผ่น
หญิงสาวสามคนที่กลับไปปรึกษาที่บ้านไม่ได้เข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้สนใจ มาหาสะใภ้เมิ่งซานถง บอกว่าโรงงานตัวเองยังต้องการคนอีกจำนวนหนึ่ง ให้นางไปถามสะใภ้สองคนของบ้านฝั่งแม่นางว่ายินดีจะเข้ามาทำงานหรือไม่ ทั้งบอกเรื่องการทำสัญญาสิบปีกับนางไปด้วย
สะใภ้เมิ่งซานถงได้ฟังเสร็จก็ไม่ขุดมันฝรั่งแล้ว วิ่งเหยาะๆ กลับไปบ้านฝั่งแม่ เรียกสะใภ้สองคนของนางตรงเข้ามา
ทั้งสามเดินหายใจหอบแฮ่กๆ ครู่ใหญ่ถึงผ่อนคลายลง
สะใภ้เมิ่งซานถงและสะใภ้ทั้งสอง สะใภ้ใหญ่หวังและสะใภ้เล็กหวังไม่ถามอะไรสักคำ เอ่ยปากพูดทันที “นายหญิง พวกเรายินดีเข้ามาทำงาน ให้ทำสัญญากี่ปีก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองพวกนาง แสร้งพูดข่มขู่ “พวกท่านต้องคิดให้ดีๆ นะ หากภายในสิบปีนี้ พวกท่านแพร่งพรายกรรมวิธีการผลิตมันฝรั่งแผ่นออกไป จะต้องถูกส่งตัวไปรับโทษกับทางการ”
ทั้งสองคนไม่แยแส “อย่าว่าแต่สิบปี ต่อให้เป็นยี่สิบปีพวกเราก็ไม่มีทางพูดออกไป เชิญนายหญิงวางใจได้”
ทั้งสองเคยมาช่วยทำอาหารให้คนงาน เมิ่งเชี่ยนโยวพอจะเข้าใจอุปนิสัยของพวกนางอยู่บ้าง ได้ฟังก็พยักหน้า “พวกท่านตามข้าไปทำความคุ้นเคยกับโรงงานก่อน วันพรุ่งค่อยเข้ามาทำงานตรงตามเวลาก็พอ”
ทั้งสองกล่าวขอบคุณอย่างตื้นตันใจ ตามเข้ามาในโรงงาน
หญิงสาวห้าคนก็สนิทสนมกับพวกนางดี ทอดมันฝรั่งแผ่นไปพลางร้องเรียกทักทายพวกนาง
ทั้งสองก็ไม่เคอะเขิน เข้าไปรุมช่วยทันที
กระทั่งวันถัดมาหญิงสาวทั้งสามคนถึงเข้ามาพร้อมกัน บอกว่าตัวเองยินดีจะทำสัญญา
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มบอกพวกเขาว่านางหาคนได้แล้ว หากพวกนางยินดี ให้มาช่วยบรรจุมันฝรั่งแผ่นได้ เพียงแต่เป็นงานที่ค่อนข้างเบาสบาย ได้วันละสิบห้าอีแปะ
หาเงินได้น้อยลงถึงวันละสิบห้าอีแปะ หญิงสาวทั้งสามคนปวดใจเป็นอย่างมาก ลอบเสียใจที่ตัวเองไม่ตัดสินใจแต่เนิ่นๆ แต่ถ้าไม่รับปาก เกรงว่างานนี้ก็จะเสียไปด้วย จำต้องตบปากรับคำภายใต้สภาวะจำยอม
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกพวกนาง หากรังเกียจว่าค่าแรงน้อย ให้รอก่อนได้ ต่อไปนางยังมีงานที่ค่าแรงสูงกว่านี้
หญิงสาวทั้งสามเริ่มลังเล
เมิ่งเชี่ยนโยวจับจ้องมอง ขมวดคิ้วมุ่น
หญิงสาวคนหนึ่งทำการตัดสินใจ “ค่าแรงน้อยก็น้อยเถอะ ข้าจะทำงานนี้แล้ว”
หญิงสาวอีกสองคนเห็นนางรับคำแล้ว ก็ตกลงทำด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ให้พวกนางทำสัญญา แต่พาพวกนางไปอีกห้องหนึ่ง บอกทั้งสามคนว่า “พวกนางจะยกมันฝรั่งแผ่นที่ทอดเสร็จแล้วเข้ามา หลังจากผึ่งลมจนเย็นแล้วถึงบรรจุใส่โครงไม้ได้ จะต้องทำอย่างเบามือ พยายามอย่าให้เสียหาย”
สะใภ้เมิ่งต้าจินยกมันฝรั่งแผ่นที่ทอดเสร็จแล้วเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวบรรจุหนึ่งห่อให้ทั้งสามคนดู
ทั้งสามคนต่างก็เป็นมือฉมังด้านทำงาน ลงมือทำได้อย่างคล่องแคล่วง่ายดายทันที
ประมาณครึ่งเดือนกว่า มันฝรั่งบนแปลงดินถึงเก็บเกี่ยวหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งเสียน เมิ่งฉีคำนวณเงินค่าแรงให้ครบถ้วน แล้วจ่ายให้ชาวบ้านภายในวันนั้นทั้งหมด ทั้งบอกพวกเขาว่า หากพวกเขาต้องการใบมันฝรั่งในแปลงดินสามารถมาตัดกลับไปได้
ชาวบ้านดีใจลิงโลดอีกครั้ง ลงแรงทำทั้งครอบครัวอย่างหามรุ่งหามค่ำ ไม่ถึงสองวันใบมันฝรั่งบนแปลงดินก็ถูกแย่งไปจนหมดเกลี้ยง
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูมันฝรั่งกองเต็มโรงงาน ตัดสินใจแบ่งไปให้เหลาจวี้เสียนจำนวนหนึ่ง
วันนี้หลังจากกินข้าวเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวบอกกับเมิ่งชื่อ แล้วให้เหวินเปียวและเหวินหู่บังคับรถม้าสองคันมาโรงงาน หลังจากให้พวกอู๋ต้าบรรทุกมันฝรั่งจำนวนหนึ่งไว้บนรถม้าคันหนึ่งจนเสร็จ ก็สั่งการให้ทั้งสองคนบังคับรถม้าไปเหลาจวี้เสียน
เหวินหู่บังคับรถม้าที่บรรทุกมันฝรั่ง ไม่กล้าวิ่งเร็ว ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าถึงจะมาถึงเหลาจวี้เสียน
เสี่ยวเอ้อเฝ้าหน้าประตูเหลาจวี้เสียนเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวลงมาจากรถม้า รีบร้อนเข้ามาทักทายอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง ท่านมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “รบกวนเจ้าช่วยไปบอกหลงจู๊ บอกว่าข้านำมันฝรั่งมาส่งให้”
เสี่ยวเอ้อขานรับคำ วิ่งแนบเข้าไปรายงาน ไม่นานหลงจู๊ก็เร่งฝีเท้าเดินหน้าบานออกมา พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง เจ้าคือดาวช่วยชีวิตของพวกเราเหลาจวี้เสียนโดยแท้ เมื่อวานข้ากับเหล่าหลิวเพิ่งพูดกันว่าช่วงนี้ไม่มีผักที่สดใหม่เลย วันนี้เจ้าก็ส่งมาให้ทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกระเซ้า “ข้าทำนายอนาคตได้ รู้ว่าพวกท่านต้องการอะไร ก็รีบส่งมาให้พวกท่านทันที”
หลงจู๊หัวเราะลั่น
หัวเราะเสร็จก็สั่งเสี่ยวเอ้อให้บังคับรถม้าไปหลังร้าน แล้วขนถ่ายมันฝรั่งลงมาอย่างระวัง
พ่อครัวเห็นเหวินหู่บังคับรถม้าเข้ามาหลังร้าน ร้อนรนถาม “แม่นางเมิ่งมาหรือ?”
เหวินหู่รับคำ “มาด้วย กำลังพูดคุยกับหลงจู๊อยู่หน้าประตู”
พ่อครัวพรวดพราดวิ่งมาหน้าประตู กลับไม่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยว จึงซักไซ้ถามเสี่ยวเอ้อ “แม่นางเมิ่งเล่า?”
เสี่ยวเอ้อตอบอย่างอ่อนน้อม “ไปที่ห้องรับรองกับหลงจู๊แล้วขอรับ”
พ่อครัววิ่งพรวดเข้าไปในห้องโถง เห็นหลงจู๊และเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะขึ้นไปชั้นบน
พ่อครัวร้องตะโกนไล่หลัง “แม่นางเมิ่ง!”
เสียงของพ่อครัวดังสนั่น คนที่มากินข้าวในห้องโถงต่างมองมาที่เขา
เมิ่งเชี่ยนโยวนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ชะงักฝีเท้า หันหลังมองเขาอย่างกังขา
พ่อครัวก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำการไม่เหมาะสม ขยี้ศีรษะ พูดแก้เก้อ “ข้ามีเรื่องอยากขอคำแนะนำจากเจ้า” พูดจบกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่เข้าใจ ทำมือชี้ไปที่ห้องครัว
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจทันที เดินลงบันได หายไปด้านหลังพร้อมพ่อครัว
หลงจู๊มองพ่อครัวที่ผลีผลามไม่รู้กาลเทศะ ส่ายศีรษะเดินตามเข้าไป
พอออกมาจากห้องโถง พ่อครัวก็ร้อนรนพูดทันควัน “หลังจากข้ากลับมา ทำพระกระโดดกำแพงตามวิธีที่แม่นางสอนหลายครั้ง ก็ไม่ได้กลิ่นหอมเหมือนที่แม่นางทำ ข้ากำลังคิดจะไปขอคำชี้แนะจากแม่นาง แม่นางก็มาพอดี รบกวนช่วยข้าดูหน่อยเถิด ว่าเกิดความผิดพลาดในขั้นตอนไหนกันแน่”
หลงจู๊ก็พูดบ้าง “หลังจากเหล่าอู๋กลับมา บอกว่าพระกระโดดกำแพงที่เจ้าทำส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปเป็นสิบลี้ แต่เขาทำหลายครั้งแล้วก็ไม่ประสบผลสำเร็จ หลายวันนี้เอาแต่หงุดหงิดงุ่นง่านเพราะเรื่องนี้”
พอเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาหลังร้าน ก็เห็นเตาไฟที่เพิ่งก่อขึ้นใหม่ข้างห้องครัวตั้งอยู่หลังร้าน บนเตาไฟมีไหใบขนาดพอเหมาะตั้งอยู่ ภายในมีกลิ่นหอมจางๆ ลอยออกมา
พ่อครัวพูดว่า “นี่ก็คือพระกระโดดกำแพงที่ข้าทำ ต้องเข้าไปดมใกล้ๆ ถึงจะได้กลิ่นหอม ต่างกับที่แม่นางทำลิบลับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดความผิดพลาดในขั้นตอนไหน”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้พ่อครัวสั่งให้คนมายกไหลง
พ่อครัวโบกมือเรียกเสี่ยวเอ้อสองคนเข้ามา ยกไหลงมาอย่างระมัดระวัง
พ่อครัวเดินขึ้นหน้า แง้มฝาออก
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นหน้าสูดดมเล็กน้อย มุ่นหัวคิ้วแล้วพูดว่า “ตะเกียบ”
พ่อครัวรีบสั่งเสี่ยวเอ้อไปหยิบตะเกียบคู่หนึ่งมา
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้ตะเกียบเขี่ยผักด้านบนออก แล้วคีบผักที่อยู่ติดกับก้นไหขึ้นมา เอามาชิดปลายจมูกแล้วสูดดม ถามพ่อครัว “หลายครั้งก่อนที่ทำก็ได้รสชาตินี้หรือ?”
พ่อครัวพยักหน้า “หลายครั้งก่อนที่ทำข้าก็ลองชิมดูแล้ว รสชาติต่างกับที่แม่นางทำลิบลับ ไม่ทราบว่าด้วยสาเหตุใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เสี่ยวเอ้อหยิบตะเกียบมาอีกสองคู่ ส่งสัญญาณให้พ่อครัวและหลงจู๊ตั้งใจลิ้มรสดู
หลงจู๊ไม่เคยกินพระกระโดดกำแพงมาก่อน ย่อมแยกรสชาติไม่ออกว่ามีอะไรที่แตกต่าง
พ่อครัวกลับไม่เหมือนกัน รู้สึกเหมือนเมิ่งเชี่ยนโยว คีบผักจากก้นไหขึ้นมาใส่เข้าปาก ละเมียดลิ้มรสชาติ ขมวดคิ้วพูดว่า “ผักด้านล่างเริ่มไหม้แล้ว พอกินเข้าปากให้รสขมอ่อนๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “หัวใจหลักของพระกระโดดกำแพงคือใช้ไฟอ่อนค่อยๆ ตุ๋นตามเวลาที่กำหนด ให้ความหอมของผักทุกชนิดคลุกเคล้ากัน เกิดเป็นรสชาติเฉพาะของมัน พระกระโดดกำแพงของท่านมิได้ใช้ไฟอ่อนในการตุ๋น แต่ใช้ไฟแรง ถึงทำให้ผักหลายชนิดด้านล่างไหม้ไฟ”
“ไม่มีทาง ข้าคอยเฝ้าดูพวกเขาด้วยตัวเอง พวกเขาใช้ไฟอ่อนในการตุ๋นจริงๆ” พ่อครัวพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ที่ข้าพูดไม่ผิดแน่ ท่านลองเรียกเสี่ยวเอ้อเข้ามาถามเถอะ”
พ่อครัวตะโกนไปทางห้องครัว “เอ้อจื่อ ซานจื่อพวกเจ้ามาทางนี้ซิ”
เสี่ยวเอ้อสองคนรับคำเดินออกมาจากห้องครัว “อาจารย์ มีเรื่องอันใดขอรับ?”
“ข้าถามพวกเจ้า พวกเจ้าได้ใช้ไฟอ่อนตุ๋นพระกระโดดกำแพงตามที่ข้ากำชับไว้หรือไม่?” พ่อครัวถาม
ทั้งสองชะงักเล็กน้อย แววตาล่อกแล่ก อึกๆ อักๆ ไม่กล้าพูดออกมา
เห็นปฏิกิริยาของพวกเขา พ่อครัวจะยังไม่เข้าใจอะไรอีก โมโหเดือดดาล ถีบใส่พวกเขาคนละที “เศษสวะ ข้ากำชับพวกเจ้าจะต้องใช้ไฟอ่อนเท่านั้นไม่ใช่หรือ? เห็นคำพูดข้าเป็นเพียงหูทวนลมเรอะ?”
ทั้งสองคนถูกถีบล้มไปกองกับพื้น เห็นพ่อครัวบันดาลโทสะ ไม่กล้าร้องโอดโอย ลนลานลุกขึ้นมาคุกเข่าต่อหน้าพ่อครัว อ้อนวอนขออภัย “ท่านอาจารย์ พวกเราผิดไปแล้ว คราวหน้าพวกเราไม่กล้าอีกแล้ว”
พ่อครัวโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “ยังคิดจะมีครั้งหน้า รีบไปเก็บข้าวของแล้วไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้”
ทั้งสองตื่นตกใจ พูดวิงวอน “ท่านอาจารย์ พวกเราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เพราะความง่วง ถึงเร่งกำลังไฟขึ้นเล็กน้อยตอนย่ำรุ่ง”
ได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้ พ่อครัวยิ่งทวีความเดือดดาล ถีบพวกเขาไปอีกคนละที “ง่วงแล้วมาบอกข้าไม่ได้เรอะ? ข้าให้คนมาผลัดเปลี่ยนแทนพวกเจ้าได้ ตอนนี้ดีแล้ว ทำพระกระโดดกำแพงของข้าเสียของไปหลายครั้ง หากไม่เพราะวันนี้แม่นางเมิ่งเข้ามาพอดี พวกเจ้าคิดจะปิดบังข้าไปถึงเมื่อไร?”
ทั้งสองคนลุกขึ้นมาคุกเข่าใหม่อีกครั้ง พูดรบเร้าวิงวอน “ท่านอาจารย์ พวกเราผิดไปแล้วจริงๆ ต่อไปไม่กล้าแล้ว ท่านให้อภัยพวกเราสักครั้งเถอะ”
ตอนที่ 200 เรื่องลึกลับของเหลาจวี้เสียน
พ่อครัวตวาดลั่น “ไสหัวไป อย่าให้ข้าเห็นพวกเจ้าอีก”
การหางานไม่ใช่เรื่องง่าย โดยยังได้เป็นที่ถูกใจยอมรับเป็นศิษย์จากพ่อครัว เป็นเรื่องที่ใครๆ ต่างก็อิจฉาริษยา เอ้อจื่อและซานจื่อเห็นพ่อครัวคิดจะไล่พวกเขาไปแน่แท้แล้ว ตื่นกลัวจนวิญญาณแทบออกจากร่าง ร้องไห้ร้องห่ม อ้อนวอนหลงจู๊ขอร้องแทนพวกเขา หลงจู๊เห็นสภาพน่าเอน็จอนาถของพวกเขาสองคน พูดเกลี้ยกล่อมพ่อครัว “เหล่าหลิว การรับศิษย์ที่มีพรสวรรค์สองคนไม่ใช่เรื่องง่าย จากเรื่องครั้งนี้พวกเขาจะต้องได้บทเรียนแล้ว เห็นแก่ที่ปกติพวกเขามีความตั้งใจมุมานะทุ่มเท ให้อภัยพวกเขาสักครั้งเถอะ”
เพลิงโทสะของพ่อครัวยังแผดเผา “เพราะในยามปกติข้าให้ความสำคัญพวกเขา ข้าถึงได้ยิ่งโมโห ตอนนี้พวกเขากล้าฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ ภายหน้าหากได้เป็นพ่อครัวใหญ่ไม่แน่ว่าจะทำลายชื่อเสียงข้าได้ ข้าไม่อยากต่อไปต้องถูกสาปส่งเพราะพวกเขาสองคน”
“เจ้าพูดเกินไปแล้ว พวกเขาเพียงทนง่วงไม่ไหวถึงได้ทำเช่นนั้น ไม่เกี่ยวกับฉวยโอกาสหาผลประโยชน์สักนิด อีกอย่าง เรื่องนี้ก็เพราะเจ้าไม่รอบคอบเอง เจ้าลองคิดดู มีเพียงพวกเขาสองคนดูกำลังไฟตลอดทั้งคืน จะไม่เหนื่อยได้อย่างไร?” หลงจู๊ยังคงพูดโน้มน้าว
พ่อครัวยังคงไม่หายโกรธ ถีบพวกเขาไปอีกคนละที “เห็นแก่ที่หลงจู๊พูดขอร้องให้พวกเจ้า วันนี้จะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน หากครั้งหน้ายังทำผิดอีก จงไปหัวไปทันที”
ทั้งสองกล่าวขอบคุณหลงจู๊ไม่ยอมหยุด
“นับแต่วันนี้ไป พวกเจ้าสองคนไปจุดไฟ ไม่ได้รับการอนุญาตจากข้าห้ามเข้าใกล้เตาเด็ดขาด” พ่อครัวยังคงพูดด้วยโทสะคุกรุ่น
แม้จะไม่อาจได้ติดตามเรียนวิชากับพ่อครัว แต่อย่างน้อยก็ยังไม่ถูกไล่ออกไป เอ้อจื่อและซานจื่อกล่าวขอบคุณหลงจู๊อีกครั้ง ถึงวิ่งแนบเข้าไปในห้องครัว
พ่อครัวหันกลับมาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรู้สึกผิด “แม่นางเมิ่ง ขายหน้าเจ้าแล้ว ข้ากลับไม่สังเกตเห็นเลยว่าปัญหาเกิดจากกำลังไฟ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “หากไม่เพราะเคยชิมพระกระโดดกำแพงที่ข้าทำ ที่ท่านทำนี้ก็นับว่าใช้ได้แล้ว ไม่เชื่อท่านลองยกไปให้ลูกค้าในห้องโถงได้ติชมดู พวกเขาจะต้องกล่าวชมเป็นเอกฉันท์”
พ่อครัวส่ายหน้า “ข้าทำอาหารมีแต่จะให้ดียิ่งขึ้น เมื่อข้าเคยลิ้มรสอาหารของแม่นาง ก็จะไม่มีทางนำพระกระโดดกำแพงรสชาติเช่นนี้ไปให้ลูกค้าลิ้มรสเด็ดขาด”
พูดจบ สั่งเสี่ยวเอ้อให้มายกไหออกไป
เสี่ยวเอ้อเข้ามารายงานว่าขนถ่ายมันฝรั่งเสร็จแล้ว ทั้งรายงานน้ำหนักที่ได้
หลงจู๊พูดว่า “แม่นางไปรอที่ห้องรับรองก่อนเถอะ ข้าจะไปห้องบัญชีเบิกเงินมาให้ท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเขา “ช้าก่อนหลงจู๊ รอให้พวกเราตกลงกันเรื่องราคามันฝรั่งได้ก่อน ท่านค่อยไป”
หลงจู๊กังขา “มิใช่หนึ่งจินหนึ่งตำลึงหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “มันฝรั่งเมื่อปีที่แล้วค้นพบบนภูเขา ปริมาณไม่มาก ดังนั้นราคาจึงแพงไปบ้าง มันฝรั่งปีนี้ข้าเพาะพันธุ์ขึ้นเองในปริมาณมาก จะลดราคาพิเศษให้ท่าน เป็นหนึ่งจินครึ่งตำลึงก็พอ”
หลงจู๊ปิติยินดี “ขอบใจแม่นางเหลือเกิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ปีนี้มีมันฝรั่งมาก รบกวนหลงจู๊บอกกับหลงจู๊ของเหลาจวี้เสียนสาขาอื่นด้วย หากพวกเขาต้องการ ให้มารับที่บ้านข้าได้โดยตรง”
หลงจู๊ยิ่งปิติเบิกบาน “เช่นนั้นก็ดีจริงเทียว ปีที่แล้วนายท่านของพวกเราบอกให้ข้าซื้อมันฝรั่งให้ร้านสาขาอื่นบ้าง เสียแต่ว่าที่ร้านข้าเองก็ไม่พอใช้แล้ว จึงไม่ได้รับปากเขา ครานี้ดีแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะไปเขียนจดหมายบอกข่าวดีนี้แก่นายท่าน”
หลงจู๊ไปเบิกเงินที่ห้องบัญชี เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินหู่บังคับรถม้าออกไปรอด้านนอก แล้วขึ้นไปห้องรับรองชั้นสองภายใต้การนำทางอย่างพินอบพิเทาของเสี่ยวเอ้อ
ไม่นานหลงจู๊ก็เบิกเงินเข้ามา วางไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “นี่เป็นตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงสามสิบอีแปะ แม่นางเชิญดูก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับเงินมา เก็บไว้กับตัวลวกๆ “ไม่ต้องดูแล้ว ข้าเชื่อใจหลงจู๊”
ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเมิ่งเชี่ยนโยวเช่นนี้ หลงจู๊แย้มยิ้มอย่างยินดี
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บตั๋วเงินดีแล้วพูดว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากถามหลงจู๊ ไม่ทราบว่าท่านพอจะตอบได้หรือไม่?”
หลงจู๊ยิ้มพูด “แม่นางมีอะไรเชิญถามได้เลย ขอเพียงข้าบอกได้ข้าจะต้องบอกท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อ้อมค้อมอีก ถามขึ้นตามตรง “ข้าอยากรู้ว่านายท่านของท่านเป็นคนเช่นไร?”
หลงจู๊ตะลึงงัน รอยยิ้มบนใบหน้าหดหาย มองนางอย่างตกตะลึง
เมิ่งเชี่ยนโยวรอคำตอบจากเขาเงียบๆ
หลงจู๊หน้าเปลี่ยนสีกระอักกระอ่วน ครู่ใหญ่ถึงถามขึ้น “แม่นาง จู่ๆ ก็ถามถึงนายท่านของพวกเราไม่ทราบว่าเพื่อเหตุอันใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บปฏิกิริยาสีหน้าของเขาไว้ในดวงตา มีความคิดแน่ชัดบางอย่างขึ้นในใจ ทว่ายังคงยิ้มตอบ “หลังจากที่ครั้งก่อนข้าได้ประลองกับคุณชายเปาที่หลังร้าน ข้าก็อยากรู้เป็นอย่างมากว่านายท่านของเหลาจวี้เสียนเป็นคนเช่นไรกันแน่ ถึงกับสร้างสนามฝึกยุทธ์ขนาดใหญ่เช่นนั้นไว้หลังเรือนได้โดยไม่มีใครรู้ใครเห็น”
หลงจู๊กลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว “ข้านึกว่าแม่นางจะถามแต่แรก รอมาจนถึงตอนนี้ได้ แม่นางช่างแน่วแน่ยิ่งนัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “เดิมเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ข้ามิได้สนใจใคร่รู้ เพียงแต่ว่าช่วงที่ผ่านมาเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ข้าถึงอยากลองถามดู”
หลงจู๊ใคร่ครวญครู่หนึ่ง พูดว่า “ข้าบอกได้เพียงว่านายท่านของพวกเราเป็นผู้มียศถาในเมืองหลวง สำหรับเรื่องอื่น เพราะนายท่านของพวกเรามีสถานะพิเศษ อภัยที่ข้าไม่อาจบอกท่านได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวคาดไว้แต่แรกแล้วว่าจะต้องได้คำตอบเช่นนี้ จึงไม่ซักถามต่อ แต่เปลี่ยนเป็นคำถามอื่น “หากข้าเดาไม่ผิด สนามฝึกยุทธ์หลังเรือนนี้แม้แต่เสี่ยวเอ้อในเหลาจวี้เสียนก็คงจะไม่รู้ ข้าขอถามว่าคุณชายเปาและนายท่านของพวกท่านมีความสัมพันธ์ใดต่อกัน ถึงขั้นเข้าออกสนามฝึกยุทธ์หลังเรือนนี้ได้อย่างเสรี”
เห็นนางไม่ซักไซ้ถามต่อ หลงจู๊ก็ให้โล่งอก ผ่อนคลายสีหน้าอาการไปมาก พอได้ยินนางถามถึงเปาอีฝาน จึงตอบว่า “นายท่านของพวกเราและพ่อลูกเปาชิงเหอมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เกรงว่าเขาอยู่ไกลถึงเมืองหลวง เรื่องบางอย่างเกินอำนาจของตนเองจะไปข้องเกี่ยว จึงฝากฝังคุณชายเปาให้คอยมาดูแล”
ได้ยินเขาขานเรียกชื่อแซ่เปาชิงเหอโดยตรง เมิ่งเชี่ยนโยวหัวคิ้วกระตุกเล็กน้อยอย่างไม่ทันสังเกตเห็น ลองหยั่งเชิงพูดขึ้น “ครั้งก่อนที่เหลาจวี้เสียนในจังหวัดข้าได้ยินคุณชายเปาพูดว่า ต่อให้ใต้เท้าเปาทำคุณความชอบใหญ่หลวงเพียงใดในตอนนี้ก็ไม่อาจได้รับเลื่อนขั้น คงไม่เกี่ยวข้องกับการฝากฝังของนายท่านของพวกท่านหรอกนะ”
หลงจู๊ลอบสะดุ้งตกใจ ไม่คิดว่าเพียงคำพูดเดียวของเปาอีฝาน ทำให้นางคาดเดาความสัมพันธ์ของพวกเขากับนายท่านได้ ทว่า ใบหน้ามิได้แสดงออกมา พูดว่า “ข้าเพียงรับผิดชอบการค้าของเหลาจวี้เสียน เรื่องอื่นข้าไม่รู้จริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อน “ข้าก็เพียงถามไปเรื่อยเปื่อย เมื่อหลงจู๊ลำบากใจ ข้าก็จะไม่ถามมากแล้ว ตอนนี้ถึงฤดูเก็บเกี่ยวมันฝรั่งของข้าแล้ว รบกวนหลงจู๊บอกนายท่านของพวกท่านแต่เนิ่นๆ ดูว่าเหลาจวี้เสียนสาขาอื่นยังต้องการมันฝรั่งหรือไม่ ข้าจะได้รีบวางแผนให้ก่อน”
หลงจู๊รับคำอย่างเบิกบาน “ได้ ข้าจะเขียนจดหมายหานายท่านเดี๋ยวนี้ แม่นางรอไม่กี่วัน ข้าจะรีบแจ้งความกลับไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นข้าจะกลับไปรอฟังข่าวดีจากหลงจู๊ที่บ้าน”
หลงจู๊ออกมาส่งเมิ่งเชี่ยนโยวถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง มองรถม้าจากไปไกล ถึงหุนหันกลับในห้องเขียนจดหมายส่งถึงนายท่าน
รอจนรถม้าห่างจากเหลาจวี้เสียนมาได้ระยะหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเหวินเปียว “ไปร้านยาเต๋อเหริน”
เหวินเปียวรับคำ หันกลับรถม้าอย่างระวัง มุ่งหน้าไปร้านยาเต๋อเหริน
เหวินหู่บังคับรถม้าตามหลังมา
พอมาถึงร้านยาเต๋อเหริน เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า แล้วเดินตรงเข้าไปในร้านยาเต๋อเหริน
ด้วยเป็นเวลาช่วงสาย คนที่มาเข้ารับการตรวจในร้านยาเต๋อเหรินจึงมีปริมาณมาก หมอชราและหมอท่านอื่นอีกสองสามท่านต่างยุ่งจนไม่ได้เงยหน้า
พนักงานเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา รีบเดินเข้าหา ทักทายอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง ท่านมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าถาม “นายท่านของพวกเจ้าอยู่หรือไม่?”
“นายท่านอยู่ข้างบน ข้าจะช่วยไปรายงานให้ท่านเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง พวกเจ้าทำงานต่อไปเถอะ ข้าขึ้นไปเองก็ได้แล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
พนักงานยืนหลบไปอีกด้าน แสดงท่วงท่าเชื้อเชิญ “แม่นาง เชิญ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเท้าขึ้นไปชั้นบน
เหวินซื่อกำลังดูสมุดบัญชี ได้ยินเสียงฝีเท้า ถามขึ้นโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “มีเรื่องอันใด?”
ไม่มีเสียงตอบ
เหวินซื่อเงยหน้ากังขา เห็นเป็นเมิ่งเชี่ยนโยว วางสมุดบัญชีในมือลงอย่างดีใจระคนประหลาดใจ ลุกขึ้นยืน “ยายตัวแสบ เจ้ามาได้อย่างไร?” สิ้นเสียง ถ้วยชาก็ลอยลิ่วเข้าหาเขา
เหวินซื่อตกใจตัวลอย เบี่ยงตัวเอี้ยวหลบ ถ้วยชาตกลงพื้น แตกเป็นเสี่ยงๆ
หมอชราที่กำลังตรวจรักษาให้คนป่วยได้ยินเสียงโครมคราม สะดุ้งตกใจ ไม่สนใจเขียนใบสั่งยาแล้ว ออกคำสั่งพนักงานเสียงรน “ไปดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายท่าน?”
พนักงานไม่ขยับ พูดเสียงแผ่ว “ท่านหมอชรา แม่นางเมิ่งมาแล้ว เพิ่งจะขึ้นไปชั้นบนขอรับ”
หมอชราชะงักอึ้ง แล้วแย้มยิ้มอย่างเข้าใจทุกอย่าง คาดว่านายท่านจะยังไม่เปลี่ยนความเคยชิน ร้องเรียกแม่นางเมิ่งว่ายายตัวแสบ แม่นางเมิ่งฉุนขาด ขว้างถ้วยชาใส่เขา คิดถึงตรงนี้ ก็วางใจลง ไม่สนใจเรื่องนี้อีก ก้มหน้าตั้งใจเขียนใบสั่งยาให้ผู้ป่วย
เรียกได้ว่าหมอชราเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งแล้ว แต่ตัวเหวินซื่อเองกลับยังไม่รู้สำนึก ร้องคำรามใส่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าเพิ่งมาถึงก็เป็นบ้าอะไรอีก?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจเขา ตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบถ้วยชาใบหนึ่งมากลิ้งเล่นในมืออย่างไม่ยี่หระ มองเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
เหวินซื่อจ้องมองถ้วยชาในมือนางเขม็ง หวาดผวาว่านางจะโยนใส่ตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวเอาแต่กลิ้งถ้วยชาในมืออย่างสบายอารมณ์ ไม่ได้พูดอะไร
เหวินซื่อทนไม่ไหวถามขึ้น “ข้าไปล่วงเกินอะไรเจ้าไม่ทราบ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเผยรอยยิ้มเ**้ยมเกรียม “เจ้ามิได้มีส่วนไหนล่วงเกินข้า ข้าเพียงแค่เห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าเจ้าใกล้หายดี เริ่มไม่คุ้นชิน คิดจะช่วยเจ้าอีกสักรอยก็เท่านั้น”
แม้เหวินซื่อจะเป็นคนไม่อินังขังขอบ ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่เคยนำมาใส่ใจ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ เขาเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เก็บคืนกิริยาระแวดระวังภัย พูดอย่างไม่แยแส “ก็แค่เรียกเจ้าว่า “ยายตัวแสบ” เอง? เจ้าถึงกับต้องบันดาลโทสะถึงเพียงนี้…”
ยังพูดไม่ทันจบ ถ้วยชาในมือเมิ่งเชี่ยนโยวก็ลอยตรงมาอีกครั้ง
ครั้งนี้เหวินซื่อไม่ได้ระวังภัย ถ้วยชาลอยปะทะกับตัวเขาอย่างจัง
เหวินซื่อเจ็บจนร้องดัง “โอ๊ย” โพล่งปากพูดว่า “นังตัวแสบ เจ้าเอาจริงเรอะ”
ครั้งนี้เป็นถ้วยชาสองใบลอยเข้ามา
เหวินซื่อลนลานเบี่ยงซ้ายหลบขวา ถึงหลบมาได้อย่างหวุดหวิด อ้าปากกำลังจะพูด พอคิดขึ้นได้ก็รีบปิดปากตัวเองแน่น
ผู้ป่วยชั้นล่างได้ยินเสียงดังเป็นระลอก ต่างแหงนหน้ามองชั้นบนอย่างประหลาดใจ
หมอชราไม่แยแสแม้แต่น้อย ยังคงตรวจอาการให้ผู้ป่วยอย่างสงบนิ่ง
ถ้วยชาบนโต๊ะใช้หมดแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหยิบกาน้ำชามาไว้ในมือ
เหวินซื่อตกใจลนลานพูด “เจ้า เจ้า เจ้ารีบวางลง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วมองไปที่เขา
เหวินซื่อถูกมองจนขนลุกชูชัน ลุกลนรับประกัน “ต่อไปข้าจะไม่เรียกเจ้าแบบนั้นอีกแล้ว เจ้าวางกาน้ำชาลงก่อนเถิด”
“เจ้าแน่ใจ?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เหวินซื่อคอยจ้องมองถ้วยน้ำชาในมือนางเตรียมการรับมือ ปากก็เอาแต่ตอบว่า “ข้ายืนยัน ข้ายืนยัน”
เมิ่งเชี่ยนโยววางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ วางมือพักไว้บนฝากาน้ำชา
เหวินซื่อกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ชี้กาน้ำชา พูดตะกุกตะกัก “เจ้า เจ้า เจ้าเอามันไปวางไกลๆ หน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง ผลักถ้วยน้ำชาไกลออกไป
เหวินซื่อเดินขึ้นหน้าอย่างระแวดระวัง คว้าถ้วยน้ำชามาไว้ในมือ ในที่สุดก็วางใจโล่งอก กอดถ้วยน้ำชาพูดว่า “ยาย…” พูดได้เพียงคำเดียว ก็ได้สติ รีบร้อนเปลี่ยนคำพูด “เป็นเจ้าหรอกนะ หากเป็นคนอื่นกล้าทำกับข้าเช่นนี้ ข้าจะอัดจนนางจำไม่ได้แม้แต่แม่ของตัวเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเหล่มองเขาแวบหนึ่ง
เหวินซื่อลูบคลำจมูกตัวเอง หันหลังกลับไปที่โต๊ะ นำกาน้ำชาในมือวางไว้บนโต๊ะ ถึงนั่งลงบนเก้าอี้ได้อย่างสบายใจ
“ท่านอ๋องฉีคือใคร?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เหวินซื่อไม่ได้ตอบ กลับถามกลับนางอย่างตกตะลึง “เจ้ามิได้รู้จักท่านอ๋องฉี เจ้าจะถามถึงเขาอย่างไร้มูลเหตุไปทำไม?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเอนตัวพึงไปด้านหลัง นั่งบนเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ แสร้งพูดขึ้นอย่างไม่สนใจไยดี “วันก่อนได้ยินตี้ซือเอ่ยถึง ใคร่รู้ จึงลองถามดู”
เหวินซื่อยิ่งทวีความประหลาดใจ “ตี้ซือเอ่ยถึงท่านอ๋องฉี ด้วยเหตุอันใด?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น