อัจฉริยะสมองเพชร 1946-1953

 ตอนที่ 1946 การทดสอบของศิษย์สายตรงฝ่ายใน

เฉว่เหยาแทบไม่เชื่อสายตา แต่ก็ไม่กล้าแสดงความกระด้างกระเดื่องต่อผู้อาวุโสลู่อวิ๋น เขาตรงเข้าไปโค้งคำนับ “เจ้าเมืองเฉว่เหยาคารวะผู้อาวุโสลู่อวิ๋น!”


“อือ” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นโบกมือก่อนจะหันไปถามหัวเจียงเหอ “ว่าอย่างไร? เขาปรากฏตัวหรือยัง?”


“ผู้อาวุโส ผมยังไม่แน่ใจนักว่าผู้นั้นคือใคร แต่ผมเชื่อว่าเขามีบางอย่างเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงนั้น” หัวเจียงเหอพูดขณะหันไปมองตั้นเฉี่ยวเทียน


เมื่อคืนวาน ตอนที่เขาอยู่ที่หอนิรันดร์ เจ้าโลกได้ขอร้องให้เขาทำอะไรอย่างหนึ่ง คือมาปรากฏตัวในเวลานี้ ซึ่งก็มีการไต่สวนเกิดขึ้นที่นี่จริงๆ และเพราะการปรากฏตัวของเขาที่ทำให้ตั้นเฉี่ยวเทียนได้แก้ข้อกล่าวหาให้ตัวเอง…ดังนั้น ต่อให้ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่ใช่เจ้าโลก ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะเกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง!


“เขา?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นมองตั้นเฉี่ยวเทียนอย่างสงสัย


ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของผู้อาวุโสลู่อวิ๋น เขามองออกทันทีว่าตั้นเฉี่ยวเทียนคือนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 โลกจารึก ผู้ที่มีวรยุทธระดับนี้จะสังหารศิษย์สายตรงของเขาอย่างง่ายดายได้อย่างไร?


“เรื่องเป็นอย่างนี้…” หัวเจียงเหอทบทวนทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นฟัง


หลังจากได้ฟังเรื่องราว ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นหน้าตาเคร่งเครียด


ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครคนหนึ่งอาจหาญทำเรื่องร้ายแรงแบบนี้ในดินแดนอาณานิคมของสำนักดาบเมฆเหิน…ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ!


ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นสูดหายใจลึก ระงับความหงุดหงิดไว้ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าการไต่สวน “คุณคือตั้นเฉี่ยวเทียนหรือ?”


“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสลู่” ตั้นเฉี่ยวเทียนตอบพร้อมกับโค้งคำนับอย่างงาม


“คุณอยากเข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหินไหม?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นตั้งคำถาม


ตั้นเฉี่ยวเทียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะแอบมองท่านอาจารย์ของเขา เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า ก็รีบโค้งคำนับและตอบว่า “เป็นเกียรติของผมที่จะได้เข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหิน”


“ดีมาก!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพยักหน้า “นับจากวันนี้ไป คุณคือศิษย์สายตรงฝ่ายนอกของสำนักของเรา ใครก็ตามที่กล้าทำร้ายคุณจะถือเป็นศัตรูของสำนักของเราด้วย แน่ใจได้เลยว่าเขาจะต้องเผชิญกับการตอบโต้จากทางสำนัก!”


“ฮะ…” ตั้นเฉี่ยวเทียนถึงกับจังงัง


เขาคิดว่าผู้อาวุโสลู่อวิ๋นคนนี้คงจะทดสอบความสามารถของเขาก่อนตัดสินใจ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะได้การยอมรับอย่างง่ายดายขนาดนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะดูเหมือนการหลอกลวง


ถ้าไม่ใช่เพราะเขารู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหิน คงจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นการกลั่นแกล้งครั้งใหญ่!


เขาได้ยินชื่อของผู้อาวุโสลู่อวิ๋นที่ทำหน้าที่รับศิษย์สายตรงฝ่ายนอกมานานแล้ว อีกฝ่ายเป็นคนเลือดร้อนและตรงไปตรงมา ดูเหมือนเรื่องร่ำลือที่เขาได้ยินจะมีส่วนจริงอยู่มาก…


“เฉี่ยวเทียน ขอแสดงความยินดีที่คุณได้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน!”


คนแรกที่มีปฏิกิริยาคือเฉว่เหยา เขาแสดงความยินดีกับตั้นเฉี่ยวเทียนพร้อมกับยิ้มกว้าง ไม่มีทีท่ากระอักกระอ่วนใจสักนิดกับการโต้เถียงที่เกิดขึ้นก่อนหน้า


ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่แยแสท่าทีของเฉว่เหยา เขาสูดหายใจลึก และราวกับได้ผ่านการตัดสินใจครั้งสำคัญ เขาทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและร่ำร้อง “ผู้อาวุโสลู่ ผมขอวิงวอนให้คุณชดเชยความเสียหายให้ผมด้วย!”


“พูดออกมาเถอะ” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นตอบ


“ตระกูลตั้นของเราเคยเป็นกลุ่มอำนาจใหญ่ในเมืองชวนเจียง ด้วยความแข็งแกร่งและอิทธิพลที่เรามี สำนักเจ้าเมืองจึงมองพวกเราเป็นภัยคุกคามอยู่เสมอ ทางสำนักเจ้าเมืองจับตามองเรา ลงเอยด้วยความตายของสมาชิกในครอบครัวของผมเกือบทุกคน…นี่คือหลักฐานที่แสดงถึงการกระทำอันชั่วร้ายของพวกเขา” ตั้นเฉี่ยวเทียนยื่นตราหยกอันหนึ่งให้ผู้อาวุโสลู่อวิ๋น


หลังจากตระกูลตั้นถูกทำลาย ผู้อาวุโสอี้ได้อุทิศตัวให้กับการค้นหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังการล่มสลายของตระกูลตั้น ยิ่งได้หลักฐานมากชิ้นขึ้นเท่าไหร่ เจ้าเมืองเฉว่เหยาก็ยิ่งน่าสงสัยมากขึ้นเท่านั้น


ที่ผ่านมา ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้เพราะเกรงว่าจะถูกทางสำนักเจ้าเมืองฆ่าปิดปาก แต่เมื่อมีผู้อาวุโสของสำนักดาบเมฆเหินหนุนหลัง ก็รู้ดีว่าไม่มีโอกาสดีกว่านี้อีกแล้วที่จะชดเชยความเสียใจที่เคยได้รับ


นี่คือเจตจำนงของท่านอาจารย์ของเขาเช่นกัน


ผู้อาวุโสลู่รับตราหยกมาเพ่งดู ครู่ต่อมาก็หรี่ตาด้วยความโกรธ


หลักฐานทุกชิ้นที่บรรจุอยู่ในตราหยกบ่งบอกชัดว่าความตายของสมาชิก 97 คนของตระกูลตั้นมีความเชื่อมโยงกับการกระทำของเจ้าเมืองเฉว่เหยา


“คุณจะแก้ตัวอย่างไร?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นคำรามขณะโยนตราหยกใส่เฉว่เหยา


เฉว่เหยารีบรับตราหยกมา เมื่อเห็นรายละเอียดที่บรรจุอยู่ในนั้นก็ตาโตด้วยความประหลาดใจ เขารีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นเพื่อทักท้วง “ผู้อาวุโสลู่ ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก! ผมถูกใส่ร้ายป้ายสี ทุกคนในเมืองชวนเจียงเป็นพยานได้ว่าสำนักเจ้าเมืองมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลตั้น การที่มีสัญญาผูกมัดการแต่งงานระหว่างตั้นเฉี่ยวเทียนกับเฉว่ชิงก็เกินพอจะยืนยันเรื่องนั้นแล้ว การเล่นงานตระกูลตั้นไม่ช่วยให้ผมได้อะไรขึ้นมา!”


“จะต้องเกิดการเข้าใจผิดอะไรบางอย่างแน่…อาจเป็นเพราะตั้นเฉี่ยวเทียนโมโหที่ลูกสาวของผมโง่เง่า หลงเชื่อคำพูดของเฉว่เฉินและพยายามยกเลิกสัญญาผูกมัดการแต่งงาน…ผู้อาวุโสลู่อวิ๋น ผมขอร้องให้คุณสืบสวนเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนและคืนความเป็นธรรมให้ผมด้วย!”


“วางใจเถอะว่าผมจะมีคำตอบที่น่าพอใจให้คุณ” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นคำรามก่อนจะเบนสายตาไปจากเฉว่เหยาที่กำลังคุกเข่า เขามองตั้นเฉี่ยวเทียน “ถึงหลักฐานที่คุณมีจะดูน่าเชื่อถือ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่อาจยืนยันความถูกต้องได้เพราะเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน อีกอย่าง เฉว่เหยาเป็นถึงเจ้าเมือง ถ้าเขาจงใจปกปิดร่องรอยและหลักฐาน ผมก็ไม่อาจสืบหาอะไรได้อีก!”


“ผมเข้าใจ” ตั้นเฉี่ยวเทียนก้มหน้า


เขารู้แล้วว่าจะต้องแบบเป็นแบบนี้ เขารู้อยู่แก่ใจ


ผ่านมา 10 ปีแล้วตั้งแต่เกิดโศกนาฏกรรมกับตระกูลตั้น ซึ่งเมืองชวนเจียงก็เปลี่ยนไปมากนับจากนั้น แม้หลักฐานส่วนใหญ่จะดูน่าเชื่อถือ แต่วันเวลาที่ผ่านไปก็ทำให้ไม่อาจยืนยันความถูกต้องได้ ซึ่งหมายความว่าเขาไม่อาจกล่าวหาเฉว่เหยาได้อีก


อีกอย่าง เฉว่เหยาคือคนที่พร้อมจะสังหารเขาเพียงเพื่อยกเลิกสัญญาผูกมัดการแต่งงานและปกป้องชื่อเสียงของสำนักเจ้าเมือง ในเมื่อการสังหารหมู่ตระกูลตั้นเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น แน่นอนว่าอีกฝ่ายย่อมทำลายหลักฐานทันทีเพื่อให้ไม่อาจเชื่อมโยงมาถึงตัว


“อำนาจของสำนักดาบเมฆเหินจะถูกสั่นคลอนหากผมพิพากษาให้สังหารเจ้าเมืองโดยปราศจาก การยืนยันความถูกต้อง แต่กฎเกณฑ์ก็ย่อมมีข้อยกเว้น!”


นัยน์ตาของผู้อาวุโสลู่อวิ๋นเป็นประกายวาบขณะพูดต่อ “ซึ่งนั่นก็คือ…พละกำลังที่แท้จริง! ขอแค่คุณสามารถสำแดงพละกำลังมากพอที่จะยืนยันว่าคุณเหมาะสมกับสำนักดาบเมฆเหิน คุณก็แน่ใจได้เลยว่าทางสำนักจะอยู่เคียงข้างคุณแทนที่จะเป็นเจ้าเมืองของเมืองขั้น 3 ซึ่งวิธีเดียวที่คุณจะทำอย่างนั้นได้ก็คือต้องได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในของสำนัก ถ้าคุณทำสำเร็จ ก็วางใจได้เลยว่าสำนักดาบเมฆเหินจะแก้ไขทุกปัญหาที่คุณกำลังเผชิญอยู่ เพื่อคุณจะได้มีเวลาให้กับการพัฒนาวรยุทธอย่างเต็มที่!”


“ศิษย์สายตรงฝ่ายใน?” ตั้นเฉี่ยวเทียนถึงกับผงะ


สำนักดาบเมฆเหินรับแค่ศิษย์สายตรงระดับล่างเท่านั้นหากเป็นเมืองชวนเจียง


แม้แต่ตำแหน่งพื้นๆแบบนี้ก็มากพอจะทำให้เฉว่ชิงลำพองใจแล้ว เธอรู้สึกเหมือนได้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอด ซึ่งก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้เธอจงใจยกเลิกสัญญาผูกมัดการแต่งงานกับเขา ซึ่งถ้าเขาได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน ก็จะมีสถานภาพสูงกว่าแม้แต่หัวเจียงเหอกับเฉว่เหยา


เป็นธรรมดาที่สำนักดาบเมฆเหินจะเต็มใจอยู่เคียงข้างเขามากกว่าเฉว่เหยา


เพียงแต่…


มันไม่ใช่เรื่องง่าย


มันไม่ใช่เรื่องง่าย


หัวเจียงเหอเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติแล้ว แต่ก็ยังเป็นแค่ศิษย์สายตรงฝ่ายนอก ในเมื่อเขาเป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 โลกจารึก เขาจะมีโอกาสหรือ?


“ใช่ ศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคนมีความสำคัญต่อสำนัก สถานภาพของพวกเขาสูงส่งกว่าแม้แต่ผู้อาวุโสฝ่ายนอกอย่างผมเสียอีก ขอแค่คุณเข้าเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในได้สำเร็จ ต่อให้คุณสังหารเจ้าเมืองเฉว่เหยาโดยปราศจากความชอบธรรม ก็จะไม่มีใครตั้งคำถามกับการตัดสินใจของคุณเลย!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูด


“ฮะ…” นึกไม่ถึงว่าจู่ๆผู้อาวุโสลู่อวิ๋นจะพูดแบบนี้ เฉว่เหยาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ


คงไม่ใช่ว่า…อีกฝ่ายจงใจจะทดสอบตั้นเฉี่ยวเทียนเพื่อรับเขาเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในหรอกนะ?


แต่การทดสอบเพื่อรับศิษย์สายตรงฝ่ายในไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ตั้นเฉี่ยวเทียนอาจเก่งกาจ แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำสำเร็จ


“ผู้อาวุโสลู่ ไม่ทราบว่าการทดสอบของศิษย์สายตรงฝ่ายในเป็นอย่างไร? ผมพร้อมจะเข้ารับการทดสอบ” ตั้นเฉี่ยวเทียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถาม


“การทดสอบของศิษย์สายตรงฝ่ายในไม่ได้มุ่งเน้นที่วรยุทธ แต่เป็นศักยภาพ ขอแค่ผู้นั้นมีศักยภาพสูงพอ ต่อให้วรยุทธของเขายังอ่อนด้อย ก็สามารถเข้าร่วมกับสำนักของเราได้ มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่คนนอกจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในทันทีที่เข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหิน ไม่จำเป็นต้องไต่เต้าจากการเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายนอก”


“มีเกณฑ์ 2 ข้อที่ผู้นั้นจะต้องผ่านไปให้ได้เพื่อให้ได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน ข้อแรก เขาจะต้องสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณก่อนอายุ 17 ปี, ข้อ 2 จะต้องผ่านการทดสอบศิลปะเพลงดาบของศิษย์สายตรงฝ่ายใน!”


จากนั้นผู้อาวุโสลู่อวิ๋นก็ตั้งคำถาม “ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่?”


“ตอนนี้ผมอายุ 16 ปี แต่…” ตั้นเฉี่ยวเทียนกำลังจะพูดต่อขณะที่ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นขัด


“ขอแค่คุณยังอายุไม่ถึง 17 ปีก็ใช้ได้ ในเมื่อคุณเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 โลกจารึกแล้ว ก็มีโอกาสที่คุณจะได้เป็นนักปราชญ์โบราณก่อนวันครบรอบอายุ 17 ปีของคุณ ส่วนการทดสอบศิลปะเพลงดาบของศิษย์สายตรงฝ่ายใน…หัวเจียงเหอคือศิษย์พี่หมายเลข 1 ของบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายนอก ความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของเขาก็ผ่านเกณฑ์ ขอแค่คุณเอาชนะเขาได้ในวรยุทธระดับเดียวกัน ก็จะถือว่าคุณผ่านการทดสอบ”


“ผมต้องเอาชนะศิษย์พี่หัวในระดับวรยุทธเดียวกันหรือ?” ตั้นเฉี่ยวเทียนออกจะกังวลใจ


เขาเพิ่งได้ร่ำเรียนศิลปะเพลงดาบกับท่านอาจารย์ของเขาเพียงชั่วข้ามคืน ขณะที่อีกฝ่ายเป็นผู้เชี่ยวชาญของสำนักดาบเมฆเหิน ร่ำเรียนศิลปะเพลงดาบมาแล้วอย่างน้อยก็ 20 ปี


การที่เขาจะเอาชนะศิษย์พี่หัวได้ย่อมเป็นเรื่องยากมาก ต่อให้อีกฝ่ายลดระดับวรยุทธลงมาเท่ากับเขาก็ตาม


ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพยักหน้า “ใช่ คุณต้องการทดสอบไหม?”


“ได้สิ ผมอยากเข้ารับการทดสอบ!” ตั้นเฉี่ยวเทียนลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า


นี่คือโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาที่จะได้ล้างแค้นให้ท่านพ่อกับท่านแม่และบรรดาพี่น้องของเขา หากโอกาสนี้หลุดมือไป คงแทบเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีโอกาสชดเชยความเสียหายให้กับตระกูลตั้นอีก


อีกอย่าง ไม่มีทางที่เฉว่เหยาจะนั่งๆนอนๆรอความตาย กว่าเขาจะมีสถานภาพสูงกว่านี้ หมอนั่นคงเผ่นหนีไปนานแล้ว


ตอนที่ 1947 ศิลปะเพลงดาบนั่น…

ด้วยความใหญ่โตของทวีปที่ถูกลืม การควานหาตัวเฉว่เหยาก็ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร


“ดี!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพยักหน้า เขาหันไปพูดกับหัวเจียงเหอ “ลดระดับวรยุทธของคุณลงเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 และสู้กับเขาด้วยทุกวิถีทางที่คุณมี ห้ามออมมือโดยเด็ดขาด เข้าใจไหม?”


“ขอรับ ผู้อาวุโสลู่” หัวเจียงเหอพยักหน้า


เขาเดินตรงเข้าหาตั้นเฉี่ยวเทียนขณะลดระดับวรยุทธลงมาเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 เมื่อประจำตำแหน่งแล้ว ก็ชักดาบออกมาก่อนจะโบกมือร้องเรียกตั้นเฉี่ยวเทียน “มาเลย!”


“ท่านอาจารย์…”


นี่เป็นครั้งแรกที่ตั้นเฉี่ยวเทียนต้องต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง จึงอดกังวลใจเล็กน้อยไม่ได้ เขาหันไปมองท่านอาจารย์เพื่อขอกำลังใจ แต่อีกฝ่ายก็ยืนนิ่งราวกับไม่มีความเห็นใดๆต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้น


เท่าที่เห็น ดูเหมือนท่านอาจารย์ไม่คิดจะขัดขวางการดวลครั้งนี้!


“ช่างมันเถอะ เราก็แค่ต้องทำให้เต็มที่!” ตั้นเฉี่ยวเทียนกัดฟันอย่างมุ่งมั่น


ท่านอาจารย์มอบอะไรให้เขามากมายแล้ว เขาแค่ต้องก้าวข้ามขั้นสุดท้ายไปให้ได้ด้วยตัวเองเพื่อให้ได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในของสำนักดาบเมฆเหิน จะมาท้อถอยในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ไม่ได้


ฟึ่บ!


ในตอนนั้น หัวเจียงเหอพุ่งเข้าใส่ตั้นเฉี่ยวเทียนด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง ราวกับมีกระแสคลื่นอันเกรี้ยวกราดพุ่งเข้าหาตัวเขา


แต่หลังจากได้เห็นศิลปะเพลงดาบของหัวเจียงเหอกับตา สิ่งที่ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้สึกไม่ใช่ความพรั่นพรึง แต่เป็นความประหลาดใจ


ดูเผินๆ ศิลปะเพลงดาบของหัวเจียงเหออาจซับซ้อน แต่นั่นคือทุกอย่างที่ท่านอาจารย์ของเขาได้บอกไว้แล้ว ด้วยความรู้ที่เขามีตอนนี้ เขาพบว่าตัวเองเล่นงานกระบวนท่าของหัวเจียงเหอได้สบาย ความซับซ้อนและสง่างามต่างๆจะถูกกำจัดจนหมดสิ้น มันไม่เป็นความลับต่อเขาอีกต่อไป ราวกับทุกอย่างได้ถูกเปิดเปลือยตรงหน้า


ด้วยสิ่งนี้ การต่อสู้ย่อมง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก


ตั้นเฉี่ยวเทียนยืนนิ่งเพื่อมองลึกลงไปในเจตจำนงของคู่ต่อสู้ เขามองเห็นแปดวิถีทางที่จะเล่นงานศิลปะเพลงดาบของหัวเจียงเหอได้ในชั่วพริบตา


จากนั้นเขาก็ชักดาบและตรงเข้าโจมตีจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดในเพลงดาบของหัวเจียงเหอ


หัวเจียงเหอถึงกับผงะและถอยกรูด


สำหรับตั้นเฉี่ยวเทียน นี่คือหลักฐานที่บ่งบอกชัดเจนว่าการถ่ายทอดความรู้จากท่านอาจารย์ของเขามีประสิทธิภาพ จึงเปิดการโจมตีซ้ำ


หัวเจียงเหอถูกบีบให้ล่าถอย


ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น ฝ่ายหนึ่งรุกคืบขณะที่อีกฝ่ายถอยกรูด วนเวียนไปอย่างนี้กว่า 20 กระบวนท่า ดาบของทั้งคู่ไม่ได้แตะต้องตัวของอีกฝ่าย แต่หัวเจียงเหอก็ถอยไปแล้วกว่า 40 ก้าว


“ศิลปะเพลงดาบนั่น…”


“ไร้เทียมทานจริงๆ!”


หวงเทา หูปิง และคนอื่นๆพากันจังงังกับความเก่งกาจของตั้นเฉี่ยวเทียน พวกเขามองหน้ากันราวกับเห็นผี


หัวเจียงเหอ หวงเทา กับไม้ไผ่ เคยสู้กับเจ้าโลกเมื่อตอนอยู่ที่หอนิรันดร์


ศิลปะเพลงดาบของเจ้าโลกเป็นดั่งศัตรูตัวฉกาจที่ทำให้แต่ละคนงงงัน พวกเขาดูออกว่าศิลปะเพลงดาบนั้นไร้เทียมทานมาก แต่ไม่อาจวิเคราะห์ได้ว่ามันคืออะไรและอะไรที่ทำให้มันไร้เทียมทานขนาดนั้น


พูดอีกอย่างก็คือ ทุกคนรู้แต่ผลลัพธ์แต่ไม่รู้สาเหตุ จึงไม่อาจทำความเข้าใจพละกำลังของอีกฝ่ายได้อย่างถูกต้อง ยิ่งการประเมินยิ่งเป็นไปไม่ได้


แต่ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่ได้เป็นแบบนั้น ทุกคนดูออกว่าทุกกระบวนท่าของเขามีเป้าหมายอยู่ที่จุดอ่อนของหัวเจียงเหอ การวิเคราะห์และตีความพละกำลังของตั้นเฉี่ยวเทียนจึงทำได้ง่าย


ภายในไม่ถึง 10 วินาที การแลกเปลี่ยนกว่า 20 กระบวนท่าก็ทำให้หัวเจียงเหอหมดหนทางตอบโต้


แม้แต่ศิษย์ตรงฝ่ายในก็ยังไม่มีศิลปะเพลงดาบที่เฉียบคมขนาดนี้!


ต่อให้คำว่าน่าสะพรึงก็ไม่เพียงพอที่จะบรรยายศิลปะเพลงดาบของตั้นเฉี่ยวเทียน!


“เขาคือเจ้าโลกหรือเปล่า?” หน้าเหลี่ยมตั้งคำถาม


เขาไม่เคยปะทะกับเจ้าโลก จึงไม่รู้กระบวนท่าและวิธีการของอีกฝ่าย แต่คนอื่นๆเคยสู้กับเจ้าโลกมาแล้ว จึงน่าจะมองเห็นในสิ่งที่เขาไม่ทันสังเกต


“เจ้าโลกเล่นงานพวกเราได้ทันทีที่การดวลเริ่มต้น เขาไม่ได้ใช้กระบวนท่าธรรมดาสามัญ ผมจึงบอกไม่ได้จนกว่าเขาจะสำแดงกระบวนท่านั้นอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นก็วิเคราะห์ได้ยาก!” อวิ๋นเฟยหยางพูด


ไม่ใช่เพราะความสามารถในการหยั่งรู้ของพวกเขาอ่อนด้อย แต่เทคนิคการโยนดาบนั้นทรงพลังเกินไป


ทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็วจนแต่ละคนไม่อาจกะประมาณพละกำลังที่แท้จริงของผู้สำแดงกระบวนท่านั้นได้ ดังนั้น จึงไม่สามารถประเมินพละกำลังของอีกฝ่ายผ่านการสำแดงศิลปะเพลงดาบแบบธรรมดา


“แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนศิษย์พี่หัวคงไม่อาจบีบให้เขาสำแดงกระบวนท่านั้นได้เหมือนกัน…” หวงเทาตั้งข้อสังเกตพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


ทุกคนเงียบไป


อีกฝ่ายบีบศิษย์พี่หัวให้ล่าถอยได้โดยไม่ต้องใช้เทคนิคนั้น ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้ศิษย์พี่หัวแพ้ พวกเขาก็ยังไม่อาจแน่ใจได้อยู่ดีว่าตั้นเฉี่ยวเทียนคือเจ้าโลก


“อันที่จริงก็มีวิธีทดสอบนะ แค่ดูกันต่อไป…” หน้าเหลี่ยมหันไปตะโกน “ศิษย์พี่ ใช้นัยน์ตาวารี!”


นัยน์ตาวารีคือฉายาของหัวเจียงเหอที่ใช้ในหอนิรันดร์ ทั้งยังเป็นชื่อทักษะที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดด้วย


ทักษะนี้เหมือนสายน้ำที่ไหลเซาะอย่างไม่หยุดหย่อนจนกว่าหินทุกก้อนที่ขวางทางของมันจะแหลกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


ก็เพราะศิลปะเพลงดาบนี้ที่ทำให้หัวเจียงเหอโดดเด่นเหนือใครในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายนอก รั้งตำแหน่งศิษย์พี่หมายเลข 1 เอาไว้ได้


“ได้สิ!”


หัวเจียงเหอเข้าใจเจตนาของศิษย์น้องของเขาทันที เขาคำรามก้อง จากนั้นก็ถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ดาบและขับเคลื่อนมันออกมาอย่างดุเดือด ในชั่วพริบตา ก็ดูราวว่ากับตัวเขาแปรสภาพเป็นสายน้ำขนาดใหญ่ที่พร้อมจะกวาดทุกสิ่งที่ขวางทางให้แหลกสลายและราบคาบ


เห็นหัวเจียงเหอใช้เทคนิคขั้นสุดยอดของเขา ตั้นเฉี่ยวเทียนโยนดาบออกไปอย่างลังเลเล็กน้อย


ถ้าเขาอยากเอาชนะอีกฝ่าย ก็จะต้องเล่นงานสายน้ำที่อยู่ตรงหน้าให้ได้เสียก่อน


ฟิ้วววว!


ดาบของตั้นเฉี่ยวเทียนพุ่งแหวกอากาศออกไป


เขาฝึกฝนเทคนิคนี้ตลอดทั้งคืน สำแดงมันออกไปอย่างน้อยก็พันครั้ง ดาบของเขาหายวับไปจากจุดนั้นทันที เมื่อมันปรากฏอีกครั้ง ก็จ่ออยู่ที่ลำคอของหัวเจียงเหอ


“เวรแล้ว…” หัวเจียงเหอนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความพรั่นพรึง


เขามัวแต่พยายามบีบให้เจ้าโลกสำแดงเทคนิคขั้นสูงสุดออกมาจนลืมนึกถึงความเสี่ยง หัวเจียงเหอปลดปล่อยวรยุทธทันที ในชั่วพริบตา พละกำลังของนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติก็แผ่ซ่านออกจากร่าง


เมื่อเรียกพละกำลังเดิมกลับคืนมา หัวเจียงเหอจึงสกัดกั้นดาบเอาไว้ได้ แต่เหงื่อเย็นๆก็ชุ่มโชกแผ่นหลัง


ถ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน กระบวนท่านั้นคงคร่าชีวิตของเขาแล้ว


“เป็นเขาจริงๆ…”


หวงเทากับคนอื่นๆตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นกระบวนท่านั้น


ไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไป ตั้นเฉี่ยวเทียนคือเจ้าโลก


เฉว่เหยายืนโงนเงนก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้น


ตั้งแต่เขากลับจากหอนิรันดร์เมื่อคืนวาน ก็ให้สงสัยว่าผู้เชี่ยวชาญที่มีฉายาว่าเจ้าโลกจะเป็นใคร ไม่นึกเลยว่าคือลูกเขยที่เขาจงเกลียดจงชังและดูถูกมาตลอด!


เฉว่ชิงก็แทบเสียสติ


เมื่อคืนวาน เธออยู่กับหัวเจียงเหอตอนที่อีกฝ่ายท้าทายเจ้าโลก จึงไม่มีทางที่จะจดจำกระบวนท่านั้นไม่ได้…ถ้าตั้นเฉี่ยวเทียนคือเจ้าโลกจริงๆ นั่นหมายความว่าเธอกลายเป็นคนรับใช้ของเขาใช่ไหม?


แทนที่จะเป็นคู่หมั้น กลับกลายไปเป็นคนรับใช้ของเขา…


ในตอนนั้น เธออยากจะควักลูกตาทิ้งเหลือเกิน!


มีหยกงดงามเจิดจ้าอยู่ตรงหน้า แต่กลับมองว่ามันไร้ค่าไม่ต่างอะไรกับก้อนอิฐและโยนมันทิ้ง


ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นเฝ้ามองการดวลที่ดำเนินไป เขาพยักหน้าด้วยความตื่นเต้นขณะประกาศผล “ตั้นเฉี่ยวเทียนคือผู้ชนะ!”


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่อีกฝ่ายไม่ตอบตกลงเข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหินในทันที เรื่องของเรื่องก็คือเขาเฝ้ารอโอกาสที่จะตบหน้าเจ้าเมือง!


ตั้นเฉี่ยวเทียนต้องการทำให้อีกฝ่ายเสียใจกับการกระทำอันชั่วร้ายของตัวเอง!


คนหนุ่มสมัยนี้ช่างเลือดร้อนเสียจริง…แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อครอบครัวของเขาล่มสลาย ใครก็ตามที่เจอเรื่องแบบเขาก็คงต้องทำแบบเดียวกัน


“การที่คุณเอาชนะหัวเจียงเหอได้ก็หมายความว่าคุณผ่านการทดสอบของศิษย์สายตรงฝ่ายในได้อย่างง่ายดาย และในเมื่อคุณสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 โลกจารึกได้ตั้งแต่อายุ 16 ปีโดยปราศจากทรัพยากรพิเศษใดๆ ก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่าคุณน่าจะยกระดับวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้เมื่ออายุ 17 ปี!”


ผู้อาวุโสลู่มองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างพออกพอใจกว่าเดิม เขาประกาศก้อง “ตัวผมในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหิน ขอประกาศว่าตั้นเฉี่ยวเทียนได้ผ่านการทดสอบของศิษย์สายตรงฝ่ายในแล้ว เขาได้การยอมรับให้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหิน และจะได้รับสิทธิพิเศษทั้งหมดที่ศิษย์สายตรงฝ่ายในพึงได้!”


“ขอบคุณ ผู้อาวุโสลู่” ตั้นเฉี่ยวเทียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่าเพื่อกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย


ด้วยตัวตนของเขาในเวลานี้ ต่อให้ไม่มีหลักฐานที่แน่นหนา ก็สามารถสังหารเฉว่เหยาและล้างแค้นให้ท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาได้แล้ว!


เห็นสายตาเย็นเยียบของตั้นเฉี่ยวเทียนที่เชือดเฉือนมา เฉว่เหยาหน้าซีดด้วยความพรั่นพรึงขณะถอยกรูด “คะ-คุณจะทำอะไรน่ะ? คุณยังมีสัญญาผูกมัดการแต่งงานกับเฉว่ชิงนะ ผมคือพ่อตาของคุณ!”


“ศิษย์พี่หัว ผมขอวิงวอนให้คุณช่วยผมจัดการเขาด้วย ผมอยากล้างแค้นให้สมาชิกทั้ง 97 คนในตระกูลของผม!” ตั้นเฉี่ยวเทียนกัดฟันกรอด


ตอนที่คุณสังหารสมาชิกในครอบครัวของผม เคยคิดว่าตัวเองเป็นพ่อตาของผมไหม?


ตอนที่เฉว่เฉินรวมหัวกับกองโจรแล้วเกือบทำให้ผมถูกฆ่าตาย คุณเคยคิดว่าตัวเองเป็นพ่อตาของผมหรือเปล่า?


เพิ่งมานึกได้ตอนนี้ ไม่สายไปหน่อยหรือ?


หัวเจียงเหอกับคนอื่นๆเปิดการโจมตีพร้อมกันเพื่อจัดการเฉว่เหยา ถึงเฉว่เหยาจะเป็นนักรบที่เก่งกาจ แต่อวิ๋นเฟยหยาง หวงเทา กับพรรคพวกของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอ แถมทุกคนยังมีศิลปะเพลงดาบเหนือชั้นตามแบบของศิษย์สายตรงแห่งสำนักดาบเมฆเหินด้วย ทุกคนเล่นงานเฉว่เหยาได้อย่างง่ายดาย


“ผมไม่สังหารผู้บริสุทธิ์! ในตราหยกไม่ได้มีแค่หลักฐานที่บอกชัดว่าเฉว่เหยาวางแผนทำร้ายตระกูลตั้น ยังบอกรายละเอียดของพฤติกรรมชั่วร้ายต่างๆนานาที่เขาเป็นผู้บงการตลอดหลายปีที่ผ่านมาด้วย” ตั้นเฉี่ยวเทียนพูด


เขานำตราหยกออกมาอีกครั้งและถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป ในชั่วพริบตา ตัวอักษรยืดยาวก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ รายงานอาชญากรรมทั้งหมดที่เฉว่เหยาทำไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา


“เขาคือผู้บงการปฏิบัติการหายนะทุ่งใบไม้ร่วงหรือ? ผมคิดมาตลอดว่าเป็นฝีมือของกองโจร…”


“เขาคือตัวการที่ปล้นฆ่าพวกตระกูลหลิวหรือนี่? พวกนั้นเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกถึง 40 คนทีเดียวนะ!”


“ลูกสาวคนเล็กของตระกูลเฉินถูกทำมิดีมิร้ายก่อนจะเสียชีวิต เขายังมีหน้ากล่าวหาว่าเป็นการกระทำของพวกจิตวิปริตได้อย่างไร? เป็นถึงเจ้าเมือง ไม่มีความรู้ผิดชอบชั่วดีเสียเลย…”


“น่าเสียดายที่ผมมองเขาเป็นแบบอย่างมาตลอด ผมเคารพเขา คิดว่าเขาคือผู้มีเกียรติและเที่ยงธรรม ไม่นึกเลยว่าแท้ที่จริงแล้วคือผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังความเลวทรามมากมาย…”


ตอนที่ 1948 ทุกอย่างจบเห่

ถ้อยคำที่ปรากฏกลางอากาศทำให้ฝูงชนส่งเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่


เฉว่เหยาให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของเขามาก ยอมทำทุกอย่างเพื่อสร้างชื่อให้กับตัวเอง จนกลายเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพยกย่องอย่างสูงในเมืองชวนเจียง แต่เมื่อทุกการกระทำของเขาถูกเปิดโปง ทุกคนก็ถึงกับขนลุกขนชัน


ทุกสิ่งที่พวกเขาเคยเชื่อมาตลอดกลับกลายเป็นเรื่องโกหก!


“คุณมีอะไรจะแก้ตัวอีก?” ตั้นเฉี่ยวเทียนชำเลืองมองเฉว่เหยา


เขาย่างสามขุมเข้าหาเฉว่เหยาที่ยอมจำนนและจ่อดาบเข้าที่อีกฝ่าย ขอแค่ออกแรงอีกนิดเดียว ก็จะเชือดคอหอยของเฉว่เหยาและล้างแค้นให้สมาชิกในครอบครัวของเขาได้!


“ผม…” เฉว่เหยาตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง


แม้เขาจะได้ทำอะไรมากมายเพื่อกลบเกลื่อนหลักฐาน แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางทำลายหลักฐานทั้งหมดได้ หากฝูงชนสืบเสาะเรื่องเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน ก็แน่นอนว่าจะต้องปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆได้สำเร็จ


ถ้าตั้นเฉี่ยวเทียนเป็นแค่นักรบธรรมดาสามัญ เขาก็สามารถใช้มาตรการตัดตอนอีกฝ่ายและข่มขู่ฝูงชนให้หวาดกลัวจนต้องปิดปากเงียบได้ แต่เมื่อตั้นเฉี่ยวเทียนกลายเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในของสำนักดาบเมฆเหินแล้ว ก็ไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรได้อีก


ทุกอย่างจบเห่


“มะ-ไม่นะ! คุณจะฆ่าท่านพ่อของฉันไม่ได้!”


ขณะที่เฉว่เหยาหลับตา ถอดใจต่อชะตากรรมของตัวเอง เฉว่ชิงก็รี่เข้ามาและกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง


“คุณอยากลองไหม?” ตั้นเฉี่ยวเทียนหรี่ตาข่มขู่


“คุณฆ่าเขาไม่ได้นะ! คุณไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในของสำนักดาบเมฆเหิน เพราะฉะนั้นก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินท่านพ่อของฉัน!” เฉว่ชิงร้องออกมาอย่างเสียขวัญ


“คุณหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าเขามีคุณสมบัติไม่เพียงพอจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน คุณสงสัยอำนาจของผมในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักหรือ?” ยังไม่ทันที่ตั้นเฉี่ยวเทียนจะได้ตอบโต้ ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นขัดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


เขาคือผู้ตัดสินผลแพ้ชนะของการดวลต่อหน้าฝูงชนมากมาย เห็นกันชัดๆว่าหัวเจียงเหอก็ใช้พละกำลังสูงสุดแล้ว เฉว่ชิงไม่มีสิทธิ์ตั้งข้อสงสัยในการตัดสินของเขา!


“มะ-ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น!” รู้ดีว่าตัวเองพูดผิดไป เฉว่ชิงรีบยกมือขึ้นแล้วตอบอย่างร้อนรน “ผู้อาวุโสลู่ เมื่อครู่นี้คุณพูดว่ามีเงื่อนไข 2 ข้อสำหรับการที่ตั้นเฉี่ยวเทียนจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน…การทดสอบเมื่อครู่นี้เป็นกลางและชอบธรรมแล้ว ฉันไม่กล้าตั้งคำถามอะไร แต่ฉันไม่ยอมรับเงื่อนไขข้อแรกที่บอกว่าตั้นเฉี่ยวเทียนจะต้องได้เป็นนักปราชญ์โบราณก่อนอายุครบ 17 ปี!”


“อ้อ?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นมองหน้าเฉว่ชิง รอคำอธิบาย


“ฉันหมั้นหมายกับตั้นเฉี่ยวเทียน จึงรู้วันเกิดของเขา วันเกิดของเขาคือชั่วโมงเสิ่นของวันนี้ นั่นหมายความว่าเขาจะอายุครบ 17 ปีเมื่อชั่วโมงเสิ่นผ่านไป!” เฉว่ชิงพูดพร้อมกับกำหมัดแน่น


“อีกชั่วโมงเดียวเท่านั้นก็จะถึงชั่วโมงเสิ่น แต่ตอนนี้เขาเป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 โลกจารึก แล้วจะได้เป็นนักปราชญ์โบราณก่อนอายุ 17 ปีได้อย่างไร ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ฉันจึงเชื่อว่าเขามีคุณสมบัติไม่เพียงพอจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในของสำนักดาบเมฆเหิน!”


“เอ่อ…” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นชะงัก


เขาหันไปมองตั้นเฉี่ยวเทียน เห็นอีกฝ่ายหน้าแดงก่ำ


“วันเกิดของผมคือชั่วโมงเสิ่นของวันนี้จริงๆ…” ตั้นเฉี่ยวเทียนพูดอย่างกระอักกระอ่วน


เขาตั้งใจจะบอกตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่ถูกผู้อาวุโสลู่ขัดเสียก่อน


ดังนั้นจึงได้แต่เดินหน้าต่อไปเพื่อจะได้ล้างแค้น อย่างมากที่สุดเขาก็แค่ต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อทำมันให้สำเร็จต่อไป ไม่คิดว่าเฉว่ชิงจะจำวันเกิดของเขาได้


เห็นตั้นเฉี่ยวเทียนยอมรับ ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นมองดวงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าและรู้ได้ว่ามันใกล้จะตกเต็มที ตอนนี้ก็ล่วงเข้าบ่ายคล้อย ซึ่งหมายความว่าอีกเพียงไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็จะถึงวันครบรอบอายุ 17 ปีของตั้นเฉี่ยวเทียน


ยกระดับวรยุทธจากนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 โลกจารึกไปเป็นนักปราชญ์โบราณภายในระยะเวลาเพียงเท่านี้…


ในทางปฏิบัติย่อมเป็นไปไม่ได้!


ถ้าตั้นเฉี่ยวเทียนไม่สามารถยกระดับวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณได้ภายในวันคล้ายวันเกิดครบ 17 ปีของเขา ก็จะไม่ผ่านเงื่อนไขของการเป็นศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน


ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาไม่มีสิทธิ์พิพากษาเฉว่เหยา!


การล้างแค้นของเขาจะล้มเหลว


“ดูเหมือนนี่จะเป็นลิขิตสวรรค์…” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นส่ายหน้าและถอนหายใจ


เขาคิดว่าในที่สุดตัวเขาก็ได้พบศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งและได้สร้างความดีความชอบใหญ่หลวงต่อสำนัก ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเหตุสะดุดครั้งใหญ่แบบนี้


“แต่คุณไม่ต้องกังวลนะ ต่อให้คุณไม่ได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน ก็ยังมีทางเลือกอื่น ขอแค่คุณหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธจนได้เป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติก่อนอายุ 30 ปี ก็ยังมีโอกาสจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน”


มีหลายวิธีที่นักรบผู้หนึ่งจะได้การยอมรับให้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน เพราะถึงอย่างไรก็มีนักรบบางส่วนที่เพิ่งสำแดงศักยภาพอันน่าสะพรึงออกมาได้เมื่ออายุล่วงเลยไประดับหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่ใช่แบบนี้ หัวเจียงเหอกับคนอื่นๆก็ย่อมไม่มีโอกาส


แต่ถ้าตั้นเฉี่ยวเทียนเลือกเดินตามเส้นทางนั้น ก็ไม่อาจดำเนินการล้างแค้นได้


แน่นอนว่าในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหิน เขาสามารถรายงานเรื่องนี้ขึ้นสู่เบื้องบนได้ แต่กว่าทีมสืบสวนจะถูกส่งมา เวลาก็จะล่วงเลยไประยะหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเฉว่เหยาก็น่าจะเผ่นหนีไปแล้ว


“ผมเข้าใจ…” ตั้นเฉี่ยวเทียนกำหมัดแน่น นัยน์ตาแดงก่ำด้วยความเสียใจ


ลงท้าย เขาก็ไม่อาจล้างแค้นให้สมาชิกในครอบครัวของเขาได้ ทุกอย่างจะต้องจบลงเท่านี้หรือ?


ในตอนนั้นเอง เสียงสุขุมเยือกเย็นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น


“ยังเหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมง คุณจะยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้หรือไง?”


ตั้นเฉี่ยวเทียนรีบเงยหน้า เห็นท่านอาจารย์ของเขาซึ่งดูเหมือนจะนิ่งเฉยมาตลอดลุกขึ้นยืน ยังมีกุญแจมืออยู่ที่ข้อมือของเขา แต่ใบหน้านั้นเผยรอยยิ้มที่บ่งบอกความสุขุมและมั่นใจเต็มเปี่ยม


1942 : ตั้นเฉี่ยวเทียนฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณต้นฉบับ


“ท่านอา…”


ตั้นเฉี่ยวเทียนตื่นเต้นสุดขีด เขากำลังจะร้องเรียก ‘ท่านอาจารย์’ ก็พอดีกับที่เห็นอีกฝ่ายส่ายหน้า จึงรีบยั้งปากไว้


ก่อนหน้านี้ ท่านอาจารย์เคยบอกเขาว่าต้องการเก็บเนื้อเก็บตัวและไม่อยากทำอะไรโดดเด่น ดังนั้น แม้เขาจะเรียกท่านอาจารย์ได้ตามปกติในสถานที่ที่มีความเป็นส่วนตัว แต่หากมีคนนอกอยู่ ก็ควรจะเรียกขานอีกฝ่ายเป็นมิตรสหาย


เพราะทั้งคู่อายุต่างกันไม่มาก จึงไม่น่าจะมีใครสงสัย


“คารวะผู้อาวุโสลู่ ผมชื่อจางเซวียน สหายของตั้นเฉี่ยวเทียน” จางเซวียนพูดขณะก้าวออกไป


ในตอนนั้นเองที่หัวเจียงเหอได้เห็นหน้าของจางเซวียนชัดๆ สีหน้าของเขาดูจะเปลี่ยนไปทันที


ทั้งคู่เคยปะทะคารมกันที่ตลาดหงเหยียน แต่ตอนนั้นอีกฝ่ายมีผ้าพันแผลพันไว้ทั้งตัว เขาจึงจำไม่ได้เมื่อแรกเห็น แต่พอเข้ามาใกล้และได้ยินเสียง ก็แน่ใจว่าหมอนี่คือชายที่หยามหน้าเขาเมื่อครั้งอยู่ที่ตลาดหงเหยียน


“คุณถามตั้นเฉี่ยวเทียนว่าจะยอมแพ้หรือไม่ แล้วคุณคิดว่ามันเป็นไปได้หรือไงที่เขาจะกลายเป็นนักปราชญ์โบราณได้ภายในเวลาชั่วโมงเดียว?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ใช่” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ผมได้รับบาดเจ็บ เขาคือคนที่ช่วยชีวิตผมไว้ ผมจึงรู้พละกำลังที่แท้จริงของเขา อันที่จริงเขาสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณมานานแล้ว แต่เพราะใช้พละกำลังมากเกินไปตอนที่พยายามเยียวยาผม วรยุทธของเขาจึงตกฮวบลงมาเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 ขอแค่เขาได้รับการเยียวยาที่ถูกวิธี ผมก็เชื่อว่าการที่เขาจะกลับคืนสู่วรยุทธขั้นเดิมได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมงก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป!”


“ที่แท้ตั้นเฉี่ยวเทียนเป็นนักปราชญ์โบราณหรือ?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นงงงัน เขาหันกลับไปมองตั้นเฉี่ยวเทียนอีกครั้ง


คุณแน่ใจหรือว่านักปราชญ์โบราณควรมีลักษณะแบบนี้? ต่อให้อยากโกหก ก็ควรพูดอะไรที่น่าเชื่อถือกว่านี้หน่อย คิดว่าพูดจาเหลวไหลเลอะเทอะแบบนี้มันดีแล้วหรือไง?


ตั้นเฉี่ยวเทียนก็ไม่รู้เหนือรู้ใต้กับสิ่งที่จางเซวียนพูด


เมื่อวานนี้เขายังเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 6 และคิดว่าการที่ยกระดับวรยุทธมาเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 ได้เมื่อหนอนกู้ในร่างของเขาถูกกำจัดออกไปก็ถือว่าน่าทึ่งแล้ว แต่ท่านอาจารย์กลับพูดว่าแท้ที่จริงเขาคือนักปราชญ์โบราณ?


ผมเป็นนักปราชญ์โบราณตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมไม่เห็นรู้เรื่องนั้นเลย?


“ขอเวลาผม 1 ชั่วโมง อย่าให้ใครมาขัดจังหวะ ผมรับประกันว่าผมจะทำให้เขากลับคืนสู่วรยุทธสูงสุดดังเดิมให้ได้!” จางเซวียนยืนกรานแม้จะมีสายตาข้องใจสงสัยจับจ้องเขาอยู่หลายคู่


เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ฟังดูเหลวไหล โดยเฉพาะเมื่อแทบทุกคนที่นี่รู้ดีว่าตั้นเฉี่ยวเทียนเป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 ซึ่งหากเขายืนยันออกไปว่าจะยกระดับวรยุทธของตั้นเฉี่ยวเทียนให้ได้ถึง 2 ขั้นภายใน 1 ชั่วโมง ก็จะยิ่งทำให้ทุกอย่างไม่น่าเชื่อถือ


แถมเรื่องนี้จะยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมอีกหากเขาทำสำเร็จ เพราะความสำเร็จนี้จะทำให้ทุกคนพากันหันมาสนใจ อาจมีบางส่วนพยายามทำร้ายเขาและตั้นเฉี่ยวเทียนเพื่อเค้นให้คายความลับ


ดังนั้น หลังจากใคร่ครวญแล้ว จางเซวียนจึงตัดสินใจแต่งเรื่องว่าแท้ที่จริงแล้วตั้นเฉี่ยวเทียนเป็นนักปราชญ์โบราณ


เพราะถึงอย่างไร การที่คนคนหนึ่งจะฟื้นคืนพละกำลังได้ดังเดิมก็ไม่ได้น่าตกตะลึงเท่าไหร่


เฮ้อออ ไอ้การเก็บเนื้อเก็บตัวนี่มันยากเย็นจริงๆ แต่จะให้เราทำอย่างไร? เรา, จางเซวียน คือคนชนิดที่ชอบช่วยเหลือใครๆจากในเงามืด ไม่เคยคาดหวังอะไรตอบแทน!


“ไม่มีปัญหา” ถึงผู้อาวุโสลู่อวิ๋นจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีหวัง แต่ก็ตัดสินใจจะทำตามความต้องการของอีกฝ่ายในเมื่อเขาดูมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น เขาหันไปพูดกับหัวเจียงเหอ “พาพวกเขาไปหาที่เงียบๆ ระหว่างนี้ผมจะทำการทดสอบผู้สมัครคนอื่นๆไปก่อน!”


“ขอรับ ผู้อาวุโสลู่” หัวเจียงเหอตอบก่อนจะพาจางเซวียนกับตั้นเฉี่ยวเทียนออกไป


เขาพักอยู่ในคฤหาสน์ของเจ้าเมืองแสงดาวมาหลายวันแล้ว จึงคุ้นเคยกับบริเวณนี้ดี บ้านพักที่เขาพำนักอยู่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างเงียบ แทบไม่มีใครเดินผ่าน เป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับจางเซวียน กับตั้นเฉี่ยวเทียน


เมื่อเข้าสู่ห้องของหัวเทียนเหอ จางเซวียนย้ำอีกครั้งว่าจะต้องไม่มีใครมารบกวนพวกเขา ก่อนจะส่งหัวเทียนเหอกลับไปแล้วปิดประตู ทันทีที่ประตูปิดลง ตั้นเฉี่ยวเทียนก็ทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าท่านอาจารย์ของเขาและทักท้วง “แต่ท่านอาจารย์, ผมไม่ได้เป็นนักปราชญ์โบราณ…”


“คุณจะบอกว่าเมื่อครู่นี้ผมโกหกหรือ?” จางเซวียนย้อนถาม


“คือ…” ตั้นเฉี่ยวเทียนหน้าแดงก่ำ


ถือเป็นความกระด้างกระเดื่องอย่างรุนแรงสำหรับศิษย์สายตรงคนหนึ่งที่จะกล่าวหาว่าอาจารย์ของเขากำลังโกหก แม้จะค่อนข้างชัดเจนว่าท่านอาจารย์กำลังโกหกจริงๆ!


ตอนที่ 1949 ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!

“คุณยังไม่ได้เป็นนักปราชญ์โบราณ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในอีก 1 ชั่วโมงนับจากนี้จะเป็นไม่ได้!” จางเซวียนพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ


“ท่านอาจารย์เชื่อว่าผมจะยกระดับวรยุทธได้ถึง 2 ขั้นภายใน 1 ชั่วโมง?” ตั้นเฉี่ยวเทียนยังออกจะลังเล


ไม่ใช่เขาไม่เชื่อมั่นในความสามารถของท่านอาจารย์ แต่เขาไม่เชื่อมั่นในตัวเอง


ถ้าการยกระดับวรยุทธมันง่ายอย่างนั้น ป่านนี้ทวีปที่ถูกลืมก็คงมีนักปราชญ์โบราณอยู่คลาคล่ำ


“เงียบเถอะ นับจากนี้ไปคุณจะต้องทำตามคำสั่งของผมอย่างเคร่งครัด อย่าลังเลหรือขัดขืนเป็นอันขาด ทำตามที่ผมบอกก็พอ เข้าใจไหม?” จางเซวียนพูด


“ขอรับ ท่านอาจารย์” ตั้นเฉี่ยวเทียนตอบพร้อมกับพยักหน้า


นับตั้งแต่วินาทีที่จางเซวียนปลดปล่อยเขาจากการครอบงำของหนอนกู้ เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีวันฝ่าฝืนคำสั่งของท่านอาจารย์เด็ดขาด


จางเซวียนมองตั้นเฉี่ยวเทียนตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเริ่มสาธยาย “คุณเริ่มสะสมพลังจิตวิญญาณไว้ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน แต่ยังไม่ได้ขัดเกลาพลังนั้นให้กลายเป็นพลังปราณ…พลังจิตวิญญาณที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลาถูกสั่งสมไว้ในร่างกายของคุณมาตลอด ทำให้ทั้งร่างกายและทางเดินพลังปราณของคุณแข็งแกร่งกว่านักรบคนอื่นๆ ขอแค่เราปรับเปลี่ยนโครงข่ายทางเดินพลังปราณของคุณสักเล็กน้อย การจะฝ่าด่านวรยุทธก็ไม่ใช่เรื่องยาก!”


ตั้นเฉี่ยวเทียนสับสน “ปรับเปลี่ยน…โครงข่ายทางเดินพลังปราณของผม?”


คนเราทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยหรือไง?


มันควรจะถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิดไหม? ทางเดินพลังปราณของมนุษย์คนหนึ่งละเอียดอ่อนมากไม่ใช่หรือ?


สิ่งที่เรียกกันว่า ‘วรยุทธถูกธาตุไฟเข้าแทรก’ นั้นคือผลลัพธ์ของการที่พลังปราณของนักรบผู้หนึ่งเดินเข้าสู่ทางเดินพลังปราณผิดเส้นด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ทำให้เกิดแรงตีกลับอย่างรุนแรงจากร่างกาย


ถ้าแม้แต่การขับเคลื่อนพลังปราณผิดทางยังก่อให้เกิดผลร้ายแรงขนาดนั้นได้ แล้วการปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณจะส่งผลอย่างไร?


“ใช่ มันคือกระบวนการที่ผมคิดค้นขึ้นมา แต่ผมยังไม่ได้ทดสอบมันเลย คุณอยากลองไหม? ถ้าคุณทำสำเร็จ มันก็จะเป็นบันไดที่พาคุณลัดตรงขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ คุณจะกลายเป็นนักปราชญ์โบราณผู้ทรงเกียรติของโลกใบนี้ แต่ถ้าล้มเหลว คุณก็จะพิการและไม่อาจฝึกฝนวรยุทธได้อีก!”จางเซวียนพูดอย่างเคร่งขรึม


“….” ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้สึกเหมือนน้ำตาจะร่วง


ท่านอาจารย์พูดมายืดยาว แต่ลงท้ายแผนการของเขาก็เป็นแค่ทฤษฎี ยังไม่ได้ถูกทดลองปฏิบัติเลย


จะใช้สิ่งที่ยังไม่ได้ผ่านการทดสอบกับตัวผม…


ท่านอาจารย์ช่างอาจหาญนัก! แต่สิ่งที่ผมไม่แน่ใจก็คือผมจะคู่ควรกับความอาจหาญของคุณหรือเปล่า…


ขณะที่ตั้นเฉี่ยวเทียนกำลังคิดว่าถึงอย่างไร ท่านอาจารย์ที่ดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจของเขาคนนี้ก็ทำตัวเป็นที่พึ่งของเขามาตลอด จึงลังเลไม่นานก่อนจะตอบตกลง “ท่านอาจารย์ ชีวิตของผมเป็นของคุณ เพราะถ้าไม่ใช่คุณ ป่านนี้ผมก็คงตายไปนานแล้ว ผมเต็มใจจะฝากชีวิตของผมไว้ในมือของคุณอีกครั้ง!”


“ดี มาลงมือทำให้เสร็จๆไป!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ


และเรื่องจริงก็คือ…จางเซวียนไม่ได้โกหก เขาเพิ่งคิดค้นกรรมวิธีนี้ได้เมื่อครู่ก่อน


เขามั่นใจว่าจะสามารถทำให้นักรบคนหนึ่งยกระดับวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ภายในเวลา 2-3 วันด้วยทรัพยากรชั้นดีและคำชี้แนะของเขา แต่การยกระดับวรยุทธถึง 2 ขั้นภายใน 1 ชั่วโมง…เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าเหมือนตัวเขา!


แต่ก็แน่นอนว่าในโลกนี้ นอกจากจางเซวียนแล้ว ไม่มีใครสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าได้ หากตั้นเฉี่ยวเทียนทำอย่างนั้น ก็คงลงเอยด้วยความตายจากการถูกสวรรค์ลงโทษ


ดังนั้นจางเซวียนจึงต้องหาทางเลือกอื่น


จากการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนของเขา เขาพบว่าทางเดินพลังปราณของผู้ที่อยู่ในมิติเบื้องบนมีคุณภาพดีกว่าทางเดินพลังปราณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเสียอีก แต่ยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ


ทางเดินพลังปราณของเผ่าพันธ์มนุษย์มีข้อบกพร่องมากมาย และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้แม้จะกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว พวกเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ ส่วนพวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์นั้นมีข้อบกพร่องน้อยกว่า จึงสามารถสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือได้เมื่ออายุมากพอ แต่สำหรับประชากรในมิติเบื้องบน ทางเดินพลังปราณของพวกเขามีข้อบกพร่องไม่กี่ข้อ จึงสำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 ได้เมื่อเป็นผู้ใหญ่


เห็นได้ชัดว่าความสมบูรณ์แบบของโครงข่ายพลังปราณนั้นทำให้มีข้อได้เปรียบมากมาย ผู้นั้นจะเริ่มต้นด้วยวรยุทธที่สูงส่งกว่าคนอื่น อีกทั้งยกระดับวรยุทธได้เร็วกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆด้วย


ก่อนหน้านี้ เจิ้งหยางกับศิษย์สายตรงคนอื่นๆของเขาก็สำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้อย่างรวดเร็วเพราะการปรับเปลี่ยนโครงข่ายทางเดินพลังปราณเช่นกัน


แต่แน่นอนว่าที่มิติเบื้องบนแห่งนี้มีปัจจัยอื่นๆอีกหลายข้อ เขาจึงไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะใช้ได้ผลแบบเดียวกันกับตั้นเฉี่ยวเทียน ไม่ใช่ว่าจางเซวียนไม่มั่นใจในทฤษฎีของตัวเอง แต่เพราะมันมีความเป็นไปได้อยู่น้อย…น้อยมากที่อะไรๆอาจไม่เป็นไปตามที่เขาต้องการ จึงรู้สึกว่าควรบอกตั้นเฉี่ยวเทียนให้รู้ล่วงหน้า


จางเซวียนสะบัดข้อมือ แล้วหม้อใบใหญ่กับฟืนกองหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในห้องนั้น ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าลืมเก็บน้ำไว้ในแหวนเก็บสมบัติ จึงรีบออกจากห้องไปเพื่อหาน้ำมาถังหนึ่ง ไม่ช้าน้ำนั้นก็เดือดปุดๆอยู่ในหม้อที่มีฟืนลุกโพลงอยู่ข้างใต้


“เอาล่ะ ออกมาอาบน้ำเถอะ…”


จางเซวียนส่งโทรจิตเข้าสู่จุดตันเถียนของเขา ไม่ช้าน้ำเต้าตงฉู่ก็ปรากฏตรงหน้า มันดำดิ่งลงไปในหม้อแล้วระบายลมหายใจยาวอย่างมีความสุข


แม้พลังปราณเทียบฟ้าของจางเซวียนจะเยียวยาอาการบาดเจ็บต่างๆได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่ามันจะดีพอสำหรับการเยียวยาความบอบช้ำครั้งใหญ่ของทางเดินพลังปราณให้สำเร็จได้ภายใน 1 ชั่วโมง


อีกอย่าง บางทีสภาวะร่างกายของผู้ที่อยู่ในมิติเบื้องบนกับทวีปแห่งปรมาจารย์อาจแตกต่างกัน โดยผู้ที่อยู่ในมิติเบื้องบนจะมีความคุ้นชินกับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทที่อยู่ในสภาพแวดล้อมมากกว่า แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง พลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทดูจะมีอานุภาพน้อยกว่าในการเยียวยาความบอบช้ำต่างๆ ไม่อย่างนั้น บรรดานักปราชญ์โบราณของมิติเบื้องบนก็คงเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยได้ยากหากพวกเขาเยียวยาตัวเองได้อย่างรวดเร็วในระหว่างการต่อสู้


ดังนั้น จางเซวียนจึงคิดว่าควรนำน้ำเต้าตงฉู่มาใช้


น้ำที่ได้จากการต้มน้ำเต้าตงฉู่ใช้ได้ผลแม้แต่กับนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติอย่างตัวเขา จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างตั้นเฉี่ยวเทียน


ขณะที่จางเซวียนกำลังต้มน้ำ ก็หันไปบอกตั้นเฉี่ยวเทียนอย่างเคร่งขรึม “คุณต้องอดทนกับความเจ็บปวดนะ”


“ขอรับ” ตั้นเฉี่ยวเทียนพยักหน้า


เขาทำตามคำสั่งของจางเซวียน โดยทรุดตัวลงนั่งกับพื้นและไม่เคลื่อนไหว


จางเซวียนเดินเข้าหาตั้นเฉี่ยวเทียนและทาบฝ่ามือลงบนท้องน้อยของชายหนุ่ม เขาถ่ายทอดพลังปราณเข้าไปในร่างของอีกฝ่ายแล้วทำให้มันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง


พลั่ก!


ตั้นเฉี่ยวเทียนกระอักเลือดออกมากองใหญ่


ในชั่วพริบตา ทางเดินพลังปราณทั้งหมดของเขาก็ถูกท่านอาจารย์ทำลาย


ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้ตั้นเฉี่ยวเทียนหน้ามืด เขาเกือบสลบไป


ถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นอายุ 16 ปีคนอื่นๆ คงสลบไปนานแล้ว แต่ด้วยความเหนื่อยยากและความท้าทายต่างๆนานาที่เขาต้องเผชิญตั้งแต่อายุ 6 ปี เจตจำนงและความตั้งใจมุ่งมั่นของเขาจึงแข็งแกร่งราวกับเหล็ก ตั้นเฉี่ยวเทียนกัดฟัน รักษาสติสัมปชัญญะเสี้ยวหนึ่งที่เหลือไว้ได้


“จำไว้นะ ห้ามสลบโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!” จางเซวียนย้ำอีกครั้ง


เขาตั้งต้นขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าเข้าสู่ร่างของตั้นเฉี่ยวเทียนเพื่อเชื่อมต่อทางเดินพลังปราณของอีกฝ่ายเข้าด้วยกันให้อยู่ในรูปของโครงข่ายพลังปราณที่สมบูรณ์แบบขึ้น


พลังปราณเทียบฟ้าที่ก่อตัวขึ้นจากพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทมีความบริสุทธิ์และเข้มข้นกว่าแต่ก่อน ขณะที่มันเข้าโอบล้อมทางเดินพลังปราณที่แหลกสลายของตั้นเฉี่ยวเทียน มันก็ทำการซ่อมแซมทุกอย่างให้อยู่ในรูปของโครงข่ายพลังปราณที่สมบูรณ์แบบกว่าเดิม


“ได้ผล! เราเชื่อมต่อทางเดินพลังปราณของเขาได้ แต่ดูเหมือนความเร็วของพลังปราณเทียบฟ้าในการเยียวยาบาดแผลของเขาจะยังไม่ดีพอ…” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อภารกิจของเขาลุล่วง


พลังปราณเทียบฟ้าสามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บได้ทั้งภายในและภายนอก แต่มันจะมีอานุภาพลดลงหากต้องเยียวยาผู้ที่มีพื้นฐานของสภาวะร่างกายไม่มั่นคง การแหลกสลายของทางเดินพลังปราณถือเป็นอาการบอบช้ำขนานใหญ่ที่แม้แต่พลังปราณเทียบฟ้าก็ทำอะไรไม่ได้มาก


หากไม่ได้พักฟื้นอย่างน้อยครึ่งเดือน ตั้นเฉี่ยวเทียนก็ไม่อาจฟื้นคืนพละกำลังได้ดังเดิม แต่แน่นอนว่าทำได้เท่านี้ก็ถือว่าน่าทึ่งมากแล้ว


เหลือเวลาอีกเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้นก่อนที่ตั้นเฉี่ยวเทียนจะอายุครบ 17 ปี เวลาจึงไม่คอยท่า


จางเซวียนจ่อน้ำที่ได้จากการอาบน้ำของน้ำเต้าตงฉู่เข้าที่ริมฝีปากของตั้นเฉี่ยวเทียนและสั่งการ “ดื่มมันลงไป…”


ตั้นเฉี่ยวเทียยกนดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ เขาพยายามกล้ำกลืนน้ำนั้น


เป็นอย่างที่จางเซวียนบอก ร่างกายของเขาได้รับการบ่มเพาะจนแทบไม่มีอะไรแตกต่างจากนักปราชญ์โบราณแล้ว ดังนั้น แม้การดื่มน้ำลงไปจะทำให้ร่างกายที่เปราะบางของเขาได้รับความเจ็บปวดมาก แต่ก็ไม่เกิดอันตรายใดๆ


ฟู่!


ขณะที่น้ำซึมซับเข้าสู่ร่างของเขา อาการบาดเจ็บก็ได้รับการเยียวยาจนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพียงไม่ถึง 1 นาที ร่างกายของเขาก็กลับคืนสู่สภาพปกติ


“เฮ้ย…” ตั้นเฉี่ยวเทียนตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ


เขาแทบไม่เชื่อว่าน้ำที่ได้จากการต้มน้ำเต้าตงฉู่จะไร้เทียมทานขนาดนี้


เห็นตั้นเฉี่ยวเทียนยังมัวจังงังทั้งที่เวลาก็กระชั้นเข้ามาเต็มที จางเซวียนตบศีรษะของอีกฝ่ายและตำหนิ “รีบซึมซับพลังจิตวิญญาณและฝ่าด่านวรยุทธเร็วๆเข้า!”


“ขะ-ขอรับ!” ตั้นเฉี่ยวเทียนรีบหันไปเพ่งสมาธิให้กับการฝึกฝนวรยุทธ


แม้เมื่อครู่นี้ทางเดินพลังปราณของเขาจะเพิ่งแหลกสลาย แต่ก็ไม่ได้กระทบกับการฝึกฝนวรยุทธ เพราะพลังปราณทั้งหมดของเขาถูกเก็บไว้ในจุดตันเถียน ด้วยเหตุนี้ ตั้นเฉี่ยวเทียนจึงเรียกคืนวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 โลกจารึกกลับมาได้ทันทีที่ทางเดินพลังปราณของเขาได้รับการเยียวยา


เมื่อตั้งต้นฝึกฝนวรยุทธ ก็พบว่าด่านคอขวดที่เคยสกัดกั้นเขาไว้ได้หายไปแล้ว ทำให้พร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกเมื่อ


“จัดการ!”


ตั้นเฉี่ยวเทียนขับเคลื่อนพลังปราณและทำลายด่านคอขวดโดยไม่ลังเล วรยุทธที่ถูกสกัดกั้นไว้ได้รับการปลดปล่อย เขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4 ชั่วกัลปาวสานได้สำเร็จ


ตอนที่ 1950 จดหมายหย่า

แต่การฝ่าด่านวรยุทธไม่ได้หยุดแค่นั้น


ชั่วกัลปาวสาน ขั้นต้น


ขั้นกลาง


ขั้นสูง


ขั้นสูงสุด


โลกจารึก


ภายในไม่ถึง 1 ชั่วโมง ตั้นเฉี่ยวเทียนก็เหยียบย่างเข้าสู่วรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ พร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกเมื่อ


แต่ในตอนนั้นเองที่จางเซวียนรู้สึกได้ว่าพลังงานภายในร่างของตั้นเฉี่ยวเทียนค่อยๆลดต่ำลง เหมือนกระแสน้ำที่กำลังไหลเอื่อย อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่ตั้นเฉี่ยวเทียนก็เกือบจะไม่ไหวแล้ว


“ดูเหมือนเราจะประเมินความยากของเรื่องนี้ต่ำไป ถึงอย่างไรการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่การเป็นนักปราชญ์โบราณก็เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ แม้แต่ในมิติเบื้องบนก็ยังไม่ใช่งานง่าย…” จางเซวียนคิดขณะเริ่มรู้สึกเครียดขึ้นมา


การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณต้องอาศัยนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ ซึ่งพลังงานนี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในมิติเบื้องบน จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้น การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณก็มีอะไรมากกว่าเพียงแค่ปริมาณพลังงานที่เหมาะสม เหมือนกับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นจงซรือของเขาในสมัยก่อนที่ต้องอาศัยการสั่งสมพลังงานให้ได้มากพอด้วย


ทั้งความปราดเปรื่องและสภาวะจิตของตั้นเฉี่ยวเทียนถือว่าน่าพอใจ แต่ยังขาดการสั่งสมพลังงาน


หากมีเวลาสัก 1 เดือน ตั้นเฉี่ยวเทียนคงฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณได้สบายโดยไม่ต้องอาศัยของล้ำค่าหรือกระบวนการพิเศษใดๆ แต่อายุเป็นสิ่งที่รอคอยกันไม่ได้ ตั้นเฉี่ยวเทียนใกล้จะมีอายุครบ 17 ปีแล้ว ซึ่งหากถึงเวลานั้นเมื่อไหร่ ทุกความหวังก็จะพังทลาย


“กลืนมันลงไป!”


จางเซวียนสูดลมหายใจลึกก่อนจะใช้กระแสดาบฉีเฉือนข้อมือของเขา เลือดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ จางเซวียนรีบรวบรวมเลือดไว้ก่อนจะส่งเข้าปากของตั้นเฉี่ยวเทียน


การเสียเลือดมากอย่างฉับพลันทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดไปเล็กน้อย


ตั้นเฉี่ยวเทียนอ้าปากและกลืนเลือดสดๆลงไป ในชั่วพริบตาก็รู้สึกได้ถึงพลังงานน่าทึ่งที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง ราวกับใครสักคนก่อกองไฟในร่างกายของเขา พลังชีวิตกลับคืนมา เรี่ยวแรงมีมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า


ในฐานะนักปราชญ์โบราณขั้น 4 เลือดทุกหยดของจางเซวียนมีพละกำลังอย่างน่าทึ่ง ปริมาณพลังงานในเลือดที่เขามอบให้ตั้นเฉี่ยวเทียนเทียบเท่ากับยาเม็ดอมตะขั้นต้นหนึ่งเม็ด เมื่อมีพลังงานพลุ่งพล่านอยู่ภายใน เพียงชั่วอึดใจตั้นเฉี่ยวเทียนก็ฟื้นคืนพละกำลังกลับสู่สภาพแข็งแกร่งสูงสุด พลังปราณของเขาเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเร็วอันน่าสะพรึง


บึ้มมมม!


ด่านคอขวดด่านสุดท้ายที่นำไปสู่วรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณถูกทำลายไปด้วยแรงกดดันมหาศาล คลื่นความสั่นสะเทือนพวยพุ่งออกจากร่างของตั้นเฉี่ยวเทียน รังสีของเขาแผดกล้า ไม่ยอมหยุดยั้งเพียงเพราะการฝ่าด่านวรยุทธ


กระบวนการนี้ดำเนินไปครู่หนึ่งก่อนจะหยุด


ในตอนนั้น ตั้นเฉี่ยวเทียนสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบทอดสายเลือดแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าถึงวรยุทธขั้นบรมครูนักปราชญ์


ตั้นเฉี่ยวเทียนรีบขัดเกลาวรยุทธของเขาก่อนจะมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างตื่นเต้น “ท่านอาจารย์…”


เพื่อให้เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ ท่านอาจารย์ถึงกับต้องเสียสละตัวเอง


เขาไม่รู้เลยว่าชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสตอบแทนบุญคุณของท่านอาจารย์หรือไม่


“ผมไม่เป็นไร…เวลาก็จวนเจียนเต็มทีแล้ว คุณออกไปเถอะ ในเมื่อตอนนี้เป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 1 โลกจารึกได้สำเร็จแล้ว ก็คงไม่มีใครกล้าคัดค้านอีก…แค่ก แค่ก!” ขณะที่จางเซวียนกำลังสั่งเสียลูกศิษย์ ก็อดไอออกมาไม่ได้


คราวนี้เขาใช้พละกำลังมากเกินไป


ลำพังแค่เลือดที่เสียไปก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูสภาพร่างกายหลายเดือน


“ท่านอาจารย์พักผ่อนเถอะ ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” ตั้นเฉี่ยวเทียนพูดก่อนจะออกจากห้อง


จางเซวียนเฝ้ามองร่างของตั้นเฉี่ยวเทียนหายลับไปจากประตู เขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ขณะที่กำลังจะซึมซับพลังจิตวิญญาณจากโดยรอบเพื่อฟื้นฟูพละกำลัง ก็พลันนึกได้ว่ายังมีน้ำจากการต้มน้ำเต้าตงฉู่เหลืออยู่อีกมากในหม้อใบใหญ่


เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปแล้วดื่มน้ำที่เหลือ


จางเซวียนรู้สึกได้ถึงเสียงหึ่งที่ดังก้องทั่วร่างของเขา ขณะที่ร่างกายซึ่งอ่อนแรงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา อาการเสียเลือดก็ได้รับการเยียวยา ราวกับไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน


“เฮ้ย…” จางเซวียนตาโตด้วยความตกตะลึง


พลังงานที่เขาสูญเสียไปยังไม่กลับคืนมา แต่เขายิ่งกว่าพอใจกับผลที่ได้รับ


พลังปราณเทียบฟ้าสามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บ แต่ไม่อาจฟื้นคืนพลังชีวิตให้ใครได้ แต่น้ำที่ได้จากการต้มน้ำเต้าตงฉู่ทำได้อย่างง่ายดาย…นั่นจะไม่เท่ากับว่าเขามีถั่วเซนสึอยู่ในมืออย่างไม่รู้จักหมดหรือ?


น่าทึ่งจริงๆ!


“แกเป็นใคร?” จางเซวียนถามน้ำเต้าตงฉู่ที่ยังคงแหวกว่ายอยู่ในน้ำที่เหลืออยู่ในหม้อ


“น้ำเต้าลูกนี้เป็นเพียงร่างอวตารที่ผมนำมาใช้ชั่วคราว เกรงว่าจะทำให้คุณกลัวจนขาดใจตายหากบอกความจริงออกไป ร่างจริงของผมน่ะคืออสูรชั้นยอดที่ทำลายล้างได้แม้กระทั่งโลกและสวรรค์ คุณควรจะทรุดตัวลงคุกเข่าเดี๋ยวนี้และบูชาความสูงส่งของผม!” น้ำเต้าส่ายก้นอย่างเบิกบานใจ


…..


เรื่องนั้นฟังดูไม่น่าเชื่อถือสักนิดสำหรับจางเซวียน เขาตัดสินใจไม่มองน้ำเต้าตงฉู่จอมขี้โม้ จากนั้นก็เก็บน้ำที่เหลือไว้ในขวดก่อนจะเก็บข้าวของทั้งหมดแล้วเดินออกไป


ทันทีที่ก้าวออกจากห้อง ใบหน้าของเขาก็ซีดเหลือง ร่างกายโงนเงนในทุกก้าวที่ออกเดิน ดูพร้อมจะทรุดลงไปกองกับพื้นได้ทุกเมื่อ


ผู้คนมากมายพากันสงสัยข้องใจเมื่อเขายืนยันว่าตั้นเฉี่ยวเทียนคือนักปราชญ์โบราณที่มีระดับวรยุทธหล่นฮวบจากผลของการสำแดงพละกำลังมากเกินไป แต่ตอนนี้ทุกคนคงเชื่อแล้วในเมื่ออีกฝ่ายสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 โลกจารึก แต่ก็ยังมีบางส่วนที่แคลงใจ ถ้าทั้งคู่เดินออกไปด้วยสภาพร่างกายสมบูรณ์เหมือนกัน ก็จะต้องมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามล้วงลึกเรื่องนี้เพื่อสืบหาความจริง


ดังนั้นจางเซวียนจึงตัดสินใจแกล้งทำเป็นบาดเจ็บ ด้วยวิธีนี้ เขาจะได้บอกคนอื่นเป็นนัยๆว่าถึงตั้นเฉี่ยวเทียนจะยกระดับวรยุทธกลับไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง แต่ก็มีอีกฝ่ายที่ต้องลงทุนลงแรงอย่างหนักเพื่อการนั้น สิ่งนี้จะทำให้ผู้คนเชื่อถือมากกว่า


…..


“คุณคิดว่าตั้นเฉี่ยวเทียนจะทำสำเร็จไหม?”


การทดสอบเพื่อเปิดรับศิษย์สายตรงระดับล่างเสร็จสิ้นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นกับคนอื่นๆพอมีเวลา หวงเทามองไปยังทิศทางที่จางเซวียนกับตั้นเฉี่ยวเทียนหายไปและตั้งคำถาม


“ไม่มีทางที่ใครจะยกระดับวรยุทธจากนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 ไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงหรอก!” อวิ๋นเฟยหยางส่ายหน้า ปราศจากความเชื่อมั่นโดยสิ้นเชิง


“จริงด้วย ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้แม้แต่ในสำนักดาบเมฆเหิน ถึงอย่างไรผมก็ไม่คิดว่าตั้นเฉี่ยวเทียนจะทำสำเร็จ!” หน้าเหลี่ยมพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง


สำหรับเรื่องนี้ แม้แต่ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นก็ยังแคลงใจ


“ไม่จำเป็นต้องรอแล้วล่ะ เว้นเสียแต่เทพเจ้าจะลงมาด้วยตัวเอง เขาไม่มีทางกลายเป็นนักปราชญ์โบราณได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมงแน่…” รู้ดีว่าตั้นเฉี่ยวเทียนคงไม่มีวันได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในเฉว่เหยาคลายความหวาดกลัวและคำรามเยาะ


แต่ยังไม่ทันจะขาดคำ เสียงฝีเท้าเร่งร้อนก็ดังขึ้นด้านนอกขณะชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา


“เป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อรู้ว่าเป็นตั้นเฉี่ยวเทียน ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นรีบหันมามองและตั้งคำถาม


“ไม่ง่ายเลย แต่ผมก็ทำสำเร็จ!” ตั้นเฉี่ยวเทียนตอบยิ้มๆขณะเริ่มขับเคลื่อนพลังปราณ


บึ้มมมม!


พลังงานภายในร่างกายของเขาระเบิดออกมา รังสีของตั้นเฉี่ยวเทียนพุ่งขึ้นสู่สวรรค์


การระเบิดของพลังปราณอย่างกะทันหันทำให้ทั้งห้องสั่นสะท้านไม่หยุด เกิดเสียงแตกร้าวอย่างน่ากลัว


ผู้ชมนับพันที่มารวมตัวกันถูกแรงกดดันมหาศาลเล่นงาน ดูเหมือนพละกำลังนั้นพยายามจะบีบพวกเขาให้เข่าอ่อนและยอมจำนน


“นักปราชญ์โบราณขั้น 1…โลกจารึก?” เฉว่เหยาหน้าซีด


ทุกคำที่เขากำลังจะพูดออกมาติดอยู่ที่ลำคอ เขาจังงังสุดขีด


ไม่ห่างออกไปนัก ร่างของเฉว่ชิงทรุดลงไปกองกับพื้น ริมฝีปากของเธอสั่นเทา ไม่อาจสรรหาคำพูดออกมาได้


คู่หมั้นที่เธอดูถูกดูแคลนมาตลอด…ภายในเวลาเพียงวันเดียว สิ่งที่เขาทำลงไปก็ทำลายศักดิ์ศรีทั้งหมดของเธออย่างไร้ความปรานี เธอไม่เคยรู้สึกว่ามีวันไหนที่ยาวนานขนาดนี้มาก่อน…


ถ้ารู้ว่าทุกอย่างจะลงเอยแบบนี้ จะไม่มีวันกล้าแตะต้องตั้นเฉี่ยวเทียนเลย


ถ้าเธอไม่โง่เง่าถึงขนาดพยายามยกเลิกสัญญาการผูกมัดการแต่งงานเมื่อวันก่อน ทุกอย่างก็คงไม่บานปลายจนกลายเป็นแบบนี้…


“เฉี่ยวเทียน เราเกี่ยวดองกันนะ คุณคงไม่…” แม้ในเวลานั้น เฉว่เหยาก็ยังตัดสินใจดิ้นเฮือกสุดท้าย


“เกี่ยวดองกัน?” ตั้นเฉี่ยวเทียนขัดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ขออภัยด้วยนะ…นี่คือจดหมายหย่าของผม! เฉว่ชิงแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่มีความรู้ผิดชอบชั่วดีแม้แต่น้อย ด้วยเหตุผลนั้น ผมจึงไม่ขอรับเธอเป็นภรรยา!”


ตั้นเฉี่ยวเทียนกระดิกนิ้ว เขาโยนกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นสู่กลางอากาศ มันลอยไปตกที่พื้นอย่างเงียบเชียบ ฝูงชนเห็นคำว่า ‘จดหมายหย่า’ ได้อย่างชัดเจนบนหัวกระดาษ สิ่งนี้ทำลายศักดิ์ศรีและความหยิ่งผยองของเฉว่ชิงอีกครั้งหนึ่ง


แทนที่จะเป็นการยกเลิกการหมั้นหมายและการแต่งงาน เธอกลับลงเอยด้วยการหย่า…ในโลกนี้คงไม่มีใครโง่เง่าไปกว่าเธออีกแล้ว!


เธอดิ้นรนจะปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองจนต้องกลายเป็นตัวตลกให้คนทั้งเมืองชวนเจียงหัวเราะเยาะ


พลั่ก!


เมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป เฉว่ชิงกระอักเลือดออกมากองใหญ่


“ผู้อาวุโสลู่ ตอนนี้ผมคือศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหินแล้วใช่ไหม?” ตั้นเฉี่ยวเทียนมองหน้าผู้อาวุโสลู่และตั้งคำถาม


อีกฝ่ายพยักหน้ารับ


“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ผมขอรบกวนศิษย์น้องหัวให้ช่วยตัดตอนวรยุทธของเฉว่เหยา แล้วตรึงร่างของเขาไว้ที่นอกสำนักเจ้าเมือง ผมจะประกาศความผิดของเขาและประหารเขาต่อหน้าฝูงชนสำหรับการกระทำอันชั่วร้ายต่างๆนานาที่เขาทำลงไป!” ตั้นเฉี่ยวเทียนสั่งการ


“ได้” หัวเจียงเหอรับคำพร้อมกับพยักหน้า


ในเมื่อตอนนี้ตั้นเฉี่ยวเทียนได้การยอมรับให้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะกลายเป็นศิษย์น้องของอีกฝ่าย ความแตกต่างของอาวุโสก็หมายความว่าเขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของอีกฝ่ายด้วย


ตอนที่ 1951 ทำไมถึงดูไม่เหมือนเดิม?

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่น้องของผม…ในที่สุดผมก็ล้างแค้นให้พวกคุณได้แล้ว…”


ไม่ช้า ศีรษะของเฉว่เหยาก็หลุดออกจากบ่า ความรู้สึกทั้งหมดที่ตั้นเฉี่ยวเทียนเก็บกลั้นไว้พรั่งพรูออกมา


ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เขาต้องเก็บงำทุกอย่างไว้ในใจ แต่ตอนนี้เขาทนไม่ไหวแล้ว ตั้นเฉี่ยวเทียนสะอึกสะอื้นออกมาเหมือนเด็กเล็กๆ แต่แล้วความหนักอึ้งที่เขาแบกรับมาตลอดก็ค่อยๆบรรเทาลง ในที่สุดเขาก็เป็นอิสระ


เมื่อระบายความคับแค้นใจจนหมดสิ้น ก็เห็นท่านอาจารย์ยืนหน้าซีดเผือดอยู่ไกลๆ


ตั้นเฉี่ยวเทียนประหลาดใจจนต้องรีบลุกขึ้นและเดินไปหาอีกฝ่าย


ถ้าไม่ใช่เพราะชายหนุ่มคนนี้ เขาคงไม่มีวันได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ คงเป็นแค่ดวงวิญญาณน่าสมเพชอีกดวงหนึ่งที่ถูกเจ้าเมืองสังหาร


พูดได้เลยว่าทุกอย่างที่เขามีอยู่ในเวลานี้คือผลงานของท่านอาจารย์


เขาอยากจะตะโกนบอกทั้งโลกและบอกทุกคนว่าชายผู้นี้คืออาจารย์ของเขา และทุกความสำเร็จของเขาก็มาจากคำชี้แนะของท่านอาจารย์ แต่รู้ดีว่าอีกฝ่ายอยากถ่อมเนื้อถ่อมตัวและเก็บตัวเงียบ จึงได้แต่ยับยั้งคำพูดไว้


แต่ขณะที่กำลังรีบเดินไปหาท่านอาจารย์ผู้เป็นที่เคารพ ก็เห็นชายหนุ่มที่กำลังสั่นสะท้านยื่นมือออกไปหาอวิ๋นเฟยหยางกับพรรคพวกและพูดว่า “ตอนนี้ตั้นเฉี่ยวเทียนเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในของสำนักของพวกคุณแล้ว ในฐานะศิษย์สายตรงฝ่ายนอก พวกคุณไม่คิดจะมอบยาเม็ดอมตะ ขั้นต้นสัก 2-3 เม็ดให้เขาเพื่อเป็นการแสดงความยินดีหรือ? นี่ไม่ใช่ของกำนัลนะ แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต เพราะทันทีที่เขาเหยียบย่างเข้าสู่สำนัก ต่อไปพวกคุณก็จะได้รับประโยชน์มาก…”


“….” ตั้นเฉี่ยวเทียนที่กำลังรีบร้อนเดินเข้าไปถึงกับหยุดกึก


ท่านอาจารย์…กำลังพยายามเรียกค่าคุ้มครองจากอวิ๋นเฟยหยางกับพรรคพวกหรือ?


นี่คือท่านอาจารย์ผู้เก็บเนื้อเก็บตัว เคร่งครัด และเที่ยงธรรมของเราใช่ไหม?


ทำไมถึงดูไม่เหมือนเดิม?


อวิ๋นเฟยหยางกับคนอื่นๆก็จังงัง


ตอนที่พวกเขาเห็นระดับวรยุทธของตั้นเฉี่ยวเทียนพุ่งพรวดถึงสองขั้นภายใน 1 ชั่วโมง ก็คิดว่าคงเป็นผลงานของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า จึงพากันกระแซะเข้าหาอีกฝ่ายเพื่อหวังจะซักถามรายละเอียด ใครจะไปคิดว่าหมอนี่จะเอ่ยปากขอยาเม็ดจากพวกเขา…


เรื่องนั้นทำลายภาพลักษณ์ดีงามของชายหนุ่มที่อยู่ในหัวสมองของพวกเขาออกไปจนหมด


ดูเหมือนตั้นเฉี่ยวเทียนคงเป็นนักปราชญ์โบราณอยู่แล้วจริงๆ และหมอนี่ก็แค่ใช้ศาสตร์ลับบางอย่างเพื่อช่วยให้อีกฝ่ายฟื้นคืนพละกำลังดังเดิม


เพราะผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจขนาดนี้จะทำตัวหน้าไม่อายถึงขนาดเรียกเก็บค่าคุ้มครองต่อหน้าผู้คนมากมายหรือ?


เป็นไปไม่ได้ที่ชายผู้ไร้ยางอายขนาดนี้จะสามารถปฏิบัติภารกิจอันน่าทึ่งได้สำเร็จ ไม่มีทางอย่างเด็ดขาด!


“แค่ก แค่ก!”


ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นทนดูภาพนั้นไม่ไหว เขาไอออกมาเบาๆเพื่อกลบเกลื่อนความกระอักกระอ่วนก่อนจะเอ่ยปาก “เฉี่ยวเทียน ศิษย์สายตรงฝ่ายในได้รับอนุญาตให้นำคนรับใช้เข้าสู่สำนักพร้อมกับพวกเขาได้ ผมเชื่อว่าคงไม่มีอะไรผูกมัดคุณไว้กับเมืองชวนเจียงแล้ว ทำไมเราไม่มุ่งหน้าไปสำนักดาบเมฆเหินพร้อมกันเสียตอนนี้เลยล่ะ?”


“ขอรับ ผู้อาวุโสลู่” ตั้นเฉี่ยวเทียนตอบ


เมื่อล้างแค้นสำเร็จแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาต้องอ้อยอิ่งอยู่ในเมืองชวนเจียงอีก ถึงเวลาที่เขาควรจะก้าวสู่โลกกว้างและสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆเสียที


“ผมอยากพาผู้อาวุโสอี้กับพี่จางไปด้วย” ตั้นเฉี่ยวเทียนรายงาน


แน่นอนว่าเขาต้องพาท่านอาจารย์ไปกับเขาด้วย ส่วนผู้อาวุโสอี้ก็รับใช้เขามาเนิ่นนานหลายปี จึงไม่อาจละทิ้งอีกฝ่ายไว้ข้างหลังได้ สำหรับเขา มีแค่ 2 คนนี้ก็มากเกินพอ เขาไม่ต้องการศิษย์สายตรงระดับล่างคนไหนให้มารับใช้


อีกอย่าง ท่านอาจารย์ของเขาก็ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมาก คงจะเป็นการรบกวนอีกฝ่ายหากเขาพาคนไปด้วยมากกว่านี้


“ได้สิ คุณควรกลับไปเตรียมตัวให้เรียบร้อย เราจะออกเดินทางในอีก 2 ชั่วโมงนับจากนี้!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูด


ตั้นเฉี่ยวเทียนพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปหาท่านอาจารย์ เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่ามีร่องรอยของความผิดหวังจางๆอยู่ในสีหน้าที่ดูจะเรียบเฉยของอีกฝ่าย


เห็นได้ชัดว่าท่านอาจารย์ไม่ได้รับค่าคุ้มครองที่เรียกร้องไว้เมื่อครู่


“ท่านอาจารย์ กลับบ้านกันสักครู่หนึ่งเถอะ ผมต้องเก็บข้าวของและสั่งลาบ้านของผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะออกเดินทางสู่สำนักดาบเมฆเหิน” ตั้นเฉี่ยวเทียนพูด


ในเวลานั้นพวกเขาอยู่ห่างจากผู้อาวุโสลู่และคนอื่นๆแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตน


จางเซวียนพยักหน้ารับ


อันที่จริง เหตุผลที่เมื่อครู่นี้เขาเรียกร้องค่าคุ้มครองก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้ผลตามนั้น เขาไม่ผิดหวังสักนิดที่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา!


“สงสัยเหลือเกินว่าจะต้องปกปิดตัวตนของเราในสำนักดาบเมฆเหินไปอีกนานแค่ไหน บางที…การเป็นคนเก่งกาจเกินไปก็น่าท้อใจเหมือนกัน!” จางเซวียนกุมขมับขณะใช้ความคิด


ถ้าเขาเลือกได้ ก็ไม่อยากหลอกลวงใคร แต่ผู้คนก็พากันวี้ดว้ายกระตู้วู้ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหว มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ!


ฟึ่บ!


ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิดหนัก จอมโจรเฉาเฉิงลี่ก็พุ่งปราดเข้ามาและทรุดตัวลงคุกเข่าตรงหน้า นัยน์ตาของอีกฝ่ายเปี่ยมด้วยความจริงใจและความคาดหวัง


“นายน้อย ได้โปรดรับผมไว้ด้วย เป็นเกียรติสูงสุดของผมที่จะได้เป็นคนรับใช้ผู้นอบน้อมของคุณ!”


“ดูสิ เราโดดเด่นเสียจนแม้แต่หัวขโมยยังอดไม่ได้ที่จะหลงเสน่ห์ของเรา…” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


คนอื่นอาจไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของจางเซวียน แต่เฉาเฉิงลี่เห็นตั้นเฉี่ยวเทียนเรียกขานอีกฝ่ายว่า ‘ท่านอาจารย์’ กับตา


ทำให้นักรบระดับเซียนขั้น 6 ไม่ได้เรื่องได้ราวคนหนึ่งที่ทำไม่ได้แม้แต่จะฝึกฝนวรยุทธกลายเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 1 โลกจารึกได้ภายในวันเดียว…ขนาดเขาเห็นกับตาก็ยังแทบไม่อยากเชื่อ


ถ้าเขาได้ติดตามคนแบบนี้ วรยุทธของเขาจะต้องพุ่งผงาดแน่!


อีกอย่าง ลูกน้องของเขาก็ถูกฆ่าตายเกือบหมดแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ช้าก็คงถูกสังหารโดยฝูงชนที่กำลังโกรธเกรี้ยวตั้งแต่ยังไม่ทันได้ออกจากเมือง


เฉาเฉิงลี่ทำเรื่องเลวร้ายไว้มากตลอดหลายปีที่เขากุมอำนาจเหนือภูเขานอกเมือง มีผู้คนมากมาย ที่ยิ่งกว่ายินดีปรีดาที่จะถลกหนังเขาทั้งเป็น


“คุณอยากเป็นลูกน้องของผมหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “คิดจริงๆหรือไงว่าผมจะรับคุณเป็นลูกน้อง ช่วยหยุดความคิดเลวไหลนั้นเถอะ!”


เหตุผลเดียวที่เขาไว้ชีวิตเฉาเฉิงลี่จนถึงตอนนี้ก็เพราะอีกฝ่ายสามารถเปิดโปงพฤติกรรมชั่วร้ายของเฉว่เฉินได้ ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว เขาจะมาเสียเวลาไว้ชีวิตจอมโจรผู้หนึ่งที่ทำเรื่องชั่วร้ายมาทั้งชีวิตเพื่ออะไร?


ผมดูเหมือนเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์สำหรับคุณหรือ?


“นายท่าน ผมจะคุกเข่าอยู่ที่นี่จนกว่าคุณจะรับผม!” เฉาเฉิงลี่ยืนกรานอย่างเด็ดเดี่ยว


“งั้นก็คุกเข่าไปจนกว่าจะตายก็แล้วกัน” จางเซวียนโบกมืออย่างไม่แยแส


“นายท่าน!” เฉาเฉิงลี่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธดื้อๆแบบนั้น เขาร่ำร้องด้วยความเสียอกเสียใจ “ใช่ว่าผมจะอยากเป็นจอมโจร ผมไม่มีทางเลือกจึงต้องทำแบบนี้ ผมเคยเป็นนักธุรกิจผู้ซื่อตรงและมีน้ำใจ แต่อยู่มาวันหนึ่ง ผมก็ดื่มจนเมามายโดยไร้เหตุผล จากนั้นเมียผมก็ไม่ยอมให้ผมเข้าบ้าน”


“ด้วยเหตุนี้ ผมจึงต้องหลับอยู่ในเกี้ยวที่อยู่ข้างนอก แต่มันหนาวเกินไป ผมต้องซมซานไปเปิดห้องในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยความเมามายของผม ผมเรียกผู้หญิงมาถึง 7 คนพร้อมกัน คืนนั้นเป็นคืนที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย แต่หลังจากนั้น…”


“พอได้แล้ว! เลิกตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเสียที ท่านอาจารย์ของผมคือผู้สูงส่งที่รังเกียจการกระทำชั่วร้ายของคุณ การรับคุณเป็นลูกน้องมีแต่จะทำให้ชื่อเสียงของท่านอาจารย์ด่างพร้อย ไสหัวไปซะ! ไม่อย่างนั้นผมจะตัดหัวของคุณเสียเดี๋ยวนี้!” ตั้นเฉี่ยวเทียนตะโกนก้อง


เฉาเฉิงลี่เห็นท่านอาจารย์เป็นอะไร?


ท่านอาจารย์ของเราอาจโลภมากไปสักนิด แต่ก็เป็นมังกรที่ผงาดอยู่กลางอากาศ คือผู้สูงส่งในโลกใบนี้ ชื่อเสียงของท่านอาจารย์มีแต่จะแปดเปื้อนหากรับจอมโจรอย่างคุณเป็นบริวาร


ต่อให้ท่านอาจารย์ของผมยินยอม ผมก็ไม่มีวันยอมหรอก!


อีกอย่าง คุณแน่ใจหรือว่ากำลังเล่าเรื่องน้ำเน่า?


ทำไมถึงดูเหมือนกำลังคุยโวเสียมากกว่า?


เห็นตั้นเฉี่ยวเทียนพร้อมจะเล่นงานเขาได้ทุกเมื่อ เฉาเฉิงลี่หน้าซีด แต่รู้ดีว่าคงไม่มีทางมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หากไม่ได้เป็นลูกน้องของจางเซวียน จึงกัดฟันและยื่นไพ่ไม้ตาย


“นายท่าน ใครๆจะต้องฉีกผมเป็นชิ้นๆแน่หากคุณไม่รับผมเป็นลูกน้อง ในเมื่อถึงอย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้ว ผมก็ขอมอบทุกสิ่งที่ผมมีให้คุณก็แล้วกัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมเลือกปล้นเฉพาะนักธุรกิจที่ร่ำรวยเท่านั้น และเก็บงำทรัพย์สมบัติไว้ได้บางส่วน มียาเม็ดอมตะขั้นต้น 10 เม็ดอยู่ในแหวนเก็บสมบัติวงนี้ มันคือสมบัติทั้งหมดที่ผมมี ผมเต็มใจมอบทุกอย่างให้คุณ, นายท่าน…”


“อย่าคิดจะติดสินบนท่านอาจารย์ของผมด้วยสิ่งนี้ เขาไม่ตกหลุมพรางตื้นๆของคุณหรอก!” ตั้นเฉี่ยวเทียนคำราม


แต่ขณะที่เขากำลังจะผลักเฉาเฉิงลี่ออกไป ใบหน้าซีดเผือดของท่านอาจารย์ก็พลันมีสีเลือดขึ้นมาทันที เขาลุกพรวด และราวกับมีเวทมนตร์บางอย่าง แหวนเก็บสมบัติหายวับจากมือของเฉาเฉิงลี่ไปอยู่ที่ท่านอาจารย์ของเขาทันที


จางเซวียนขจัดรอยจารึกของจิตวิญญาณที่ฝังอยู่บนแหวนเก็บสมบัติก่อนจะมองดูข้าวของภายใน ครู่ต่อมาก็พยักหน้าอย่างพอใจขณะพูดว่า “ก็ได้ ผมรับคุณเป็นลูกน้องของผม มากับผมสิ!”


ยาเม็ดอมตะขั้นต้นแต่ละเม็ดมีราคาถึง 100,000 เหรียญนิรันดร์, 10 เม็ดก็จะมีสนนราคาอยู่ที่ 1 ล้านเหรียญนิรันดร์ อีกทั้งพวกมันยังถูกเก็บรักษาไว้ในแหวนเก็บสมบัติที่มีราคาสูงลิ่วถึงวงละ 500,000 เหรียญนิรันดร์ด้วย ใครจะไปคิดว่าจอมโจรผู้นี้จะมีข้าวของอยู่กับตัวตั้งมากมาย?


ด้วยเงินมหาศาลก้อนนี้ เขาจะยอมละเว้นให้ครั้งหนึ่ง แล้วยอมรับเฉาเฉิงลี่เป็นลูกน้องของเขา


“ท่านอาจารย์!” ตั้นเฉี่ยวเทียนถึงกับผงะ


หมอนี่เป็นอาจารย์ของเราจริงๆหรือ?


ทำไมตอนนี้ถึงทำตัวน่าอับอายเหลือเกิน?


ผู้ที่ทำให้เขายกระดับวรยุทธได้ถึง 2 ขั้นภายใน 1 ชั่วโมง, มีทักษะอันล้ำเลิศทั้งเรื่องการรักษาโรคและศิลปะเพลงดาบ…เขาควรจะอยู่เหนือเรื่องราวทางโลกและไม่ใส่ใจใยดีในสมบัติพัสถานใดๆ ทำไมถึงถูกล่อลวงด้วยยาเพียงไม่กี่เม็ด?


เส้นแบ่งศีลธรรมของเขาอยู่ตรงไหน?


ศักดิ์ศรีของผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งหายไปไหนหมด?


ตอนที่ 1952 ไร้เทียมทานจริงๆ!

ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่มีข้าวของที่จะนำติดตัวไปมากนัก ดังนั้น หลังจากสั่งลาบ้านพักที่เขาเติบโตขึ้นมาเป็นครั้งสุดท้าย ก็กลับสู่สำนักเจ้าเมืองพร้อมกับผู้อาวุโสอี้ จางเซวียน และเฉาเฉิงลี่


ตอนแรก ทั้งม้าและเกี้ยวยืนกรานที่จะไปกับพวกเขาด้วย ทั้งสองขู่จะปลิดชีวิตตัวเองหากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่เมื่อเห็นว่าการข่มขู่ของพวกมันไม่ได้รับการสนใจใยดี ลงท้ายก็ถอดใจแล้วมุ่งเข้าสู่ป่าใหญ่เพื่อใช้ชีวิตร่วมกัน


เพราะจางเซวียนกับคนอื่นๆจะเดินทางสู่สำนักดาบเมฆเหินโดยใช้อสูรบินได้ จึงไม่สะดวกที่จะพาม้ากับเกี้ยวไปด้วย


ส่วนเฉว่ชิง แน่นอนว่าโควต้าของเธอในฐานะศิษย์สายตรงระดับล่างถูกริบไปแล้วหลังจากทุกอย่างถูกเปิดโปง โชคดีที่เธอไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายลงไปมากนัก จึงไม่ถูกลงโทษ แต่ด้วยความตายของท่านพ่อ เธอก็สูญเสียอิทธิพลและการปกป้องจากสำนักเจ้าเมืองไป นับจากนี้ ชีวิตของเธอคงไม่ง่ายดายราบรื่นเหมือนเดิม


เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตั้นเฉี่ยวเทียนหมดอารมณ์จะเอาเรื่องเอาราวกับเฉว่ชิง เขาสนใจชีวิตในภายภาคหน้าของเขามากกว่าจะตามล้างตามเช็ดสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต


“ไปกันเถอะ!”


เมื่อเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น อสูรบินได้ตัวมหึมาก็กระพือปีกและพาจางเซวียนกับพรรคพวกออกจากเมืองชวนเจียง ไม่ช้าพวกเขาก็อยู่บนเส้นทางที่นำไปสู่สำนักดาบเมฆเหิน


“ใช้เวลาราว 10 วันกว่าจะถึงสำนักของเรา” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นบอก


อสูรบินได้ที่พวกเขากำลังโดยสารอยู่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติ ด้วยความแข็งแกร่งของมัน มันบินไกลหลายแสนลี้ได้สบายแม้มิติที่อยู่ในมิติเบื้องบนจะหนักอึ้ง แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังต้องใช้เวลาถึง 10 วันกว่าจะถึงที่หมาย ดูเหมือนสำนักดาบเมฆเหินจะอยู่ไกลออกไปไม่น้อย!


เท่าที่เห็น ทวีปที่ถูกลืมแห่งนี้น่าจะกว้างใหญ่กว่าทวีปแห่งปรมาจารย์


ด้วยตำแหน่งอันทรงเกียรติของตั้นเฉี่ยวเทียนในฐานะศิษย์สายตรงฝ่ายใน เขาจึงได้รับห้องโดยสารส่วนตัวซึ่งกว้างขวางพอให้จางเซวียนกับคนอื่นๆพักอยู่ด้วย


ระหว่างการเดินทาง จางเซวียนกินยาเม็ดอมตะขั้นต้นที่ได้จากเฉาเฉิงลี่ไป 2 เม็ด แล้วดำเนินการฟื้นฟูพละกำลังให้กลับคืนมาดังเดิม เขาขัดเกลาวรยุทธของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าโดยใช้พลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท จนถึงจุดที่พร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกเมื่อ


แต่เพราะยังไม่มีเทคนิควรยุทธที่เหมาะสมอยู่ในมือ จางเซวียนจึงต้องรั้งรอไว้ก่อน


หลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนอยู่หลายวัน ในที่สุดจางเซวียนก็แน่ใจว่ากระแสของกาลเวลาในมิติเบื้องบนแตกต่างจากทวีปแห่งปรมาจารย์ หากคิดเป็นสัดส่วนก็ตกราว 1:10


พูดอีกอย่างก็คือ 1 วันในมิติเบื้องบนเท่ากับ 10 วันในทวีปแห่งปรมาจารย์


ดังนั้น ระยะเวลาหลายหมื่นปีของทวีปแห่งปรมาจารย์จึงเทียบเท่ากับเวลาในมิติเบื้องบนที่ผ่านไปเพียงหลายพันปีเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เชื่อมโยงกับระยะเวลาที่หอนิรันดร์ก่อตั้งขึ้น


ด้วยแรงกดดันของเวลาและมิติในมิติเบื้องบน อายุขัยของเหล่านักรบจึงสั้นลงมาก


นักรบระดับเซียนในทวีปแห่งปรมาจารย์จะมีชีวิตอยู่ได้ราว 1,000 ปี แต่สำหรับที่นี่, 100 ปีก็ถือว่าสิ้นอายุขัยแล้ว เช่นเดียวกันกับนักรบระดับนักปราชญ์โบราณ ซึ่งมีอายุขัยมากกว่า 100 ปีเพียงเล็กน้อย


ส่วนนักรบเสมือนอมตะอย่างผู้อาวุโสลู่อวิ๋น อายุขัยของเขาอยู่ที่ประมาณ 300 ปี


นั่นคือเหตุผลที่นักรบส่วนใหญ่ปรารถนาจะลงไปสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์แม้จะต้องได้รับความบอบช้ำสาหัส


2-3 วันผ่านไป นอกจากให้เวลากับการขัดเกลาวรยุทธของตัวเอง จางเซวียนก็ยังใช้โอกาสนี้มอบคำชี้แนะให้ตั้นเฉี่ยวเทียนกับเฉาเฉิงลี่ ส่วนผู้อาวุโสอี้ ด้วยอายุที่มากและความบอบช้ำสาหัสที่ได้รับมาตลอดหลายปี เขาจึงต้องการเวลาเพื่อเยียวยาร่างกายก่อน การฝึกฝนวรยุทธในเวลานี้ย่อมไม่เหมาะสม


10 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว


เมื่อถึงเช้าตรู่ พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ทุกคนเห็นภูเขาขนาดมหึมาซึ่งเป็นทางเข้าสูงใหญ่อยู่ตรงหน้า


มันมีความสูงเกือบหมื่นเมตรและกว้างหลายพันเมตร ด้วยขนาดอันใหญ่โตของมัน ส่วนบนของประตูจึงสูงเสียดเมฆ สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนหวนนึกถึงประตูสวรรค์ทิศใต้


ที่ใจกลางของประตูมีดาบเล่มใหญ่ซึ่งทำจากคอนกรีต มันปักลงไปในพื้นดิน


แม้จะยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงเจตจำนงเพลงดาบอันเข้มข้นอย่างน่าทึ่งที่แผ่ออกมาจากดาบนั้น ดูเหมือนจะแข็งแกร่งพอที่จะทำลายล้างได้แม้แต่มิติ แรงกดดันที่มันแผ่ออกมาสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของเหล่านักรบได้


“ไร้เทียมทานจริงๆ!” จางเซวียนอัศจรรย์ใจ


สมกับที่เป็นหนึ่งในหกสำนักใหญ่ของมิติเบื้องบน ไม่มีทางที่ประตูบานมหึมาและดาบที่ทรงพลังขนาดนี้จะถูกสร้างขึ้นได้ในทวีปแห่งปรมาจารย์


เจตจำนงเพลงดาบไร้เทียมทานนั้นทรงพลังเสียยิ่งกว่าแก่นสารของดาบที่เขาเคยฝึกฝนมา หากต้องเผชิญหน้ากับนักรบที่ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบซึ่งมีเจตจำนงเพลงดาบเข้มข้นขนาดนี้ ต่อให้ตัวเขาก็คงพ่ายแพ้ราบคาบ


ดูเหมือนทั้ง 6 สำนักใหญ่จะมีพละกำลังที่แสนน่าสะพรึง!


ด้วยความอยากรู้ จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้และพินิจพิจารณาดาบเล่มใหญ่นั้นอย่างถี่ถ้วน เขาเห็นภาพลวงตาของดาบซ่อนตัวอยู่อย่างเลือนรางในส่วนลึกของดาบคอนกรีตเล่มใหญ่นั้น


นั่นคงเป็นกลไกการควบคุมเจตจำนงเพลงดาบที่อยู่ภายในดาบเล่มใหญ่


จางเซวียนต้องประหลาดใจที่พบว่าแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังเจตจำนงเพลงดาบนั้นเหมือนกันกับศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้า แต่มีระดับขั้นสูงกว่า ให้ความรู้สึกล้ำลึกและเหนือชั้นแม้จะวัดตามมาตรฐานของจางเซวียน


แค่ได้เห็น จางเซวียนก็เกิดความเข้าใจในแก่นสารของศิลปะเพลงดาบที่ล้ำลึกกว่าเดิม


แม้เขาจะไม่มีทางเข้าใจศิลปะเพลงดาบได้อย่างชัดแจ้งด้วยการมองเพียงแวบเดียว แต่ด้วยแนวคิดที่เหมือนกัน จางเซวียนก็มั่นใจว่าขอแค่เขามีเวลามากพอ ก็จะสามารถถ่ายทอดเจตจำนงเพลงดาบนี้เข้าสู่ศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าของเขาได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับศิลปะเพลงดาบของเขาให้สูงขึ้นไปอีกขั้น


“สำนักดาบเมฆเหินอยู่ตรงหน้านี่เอง ดาบนี้เป็นสิ่งที่ผู้ก่อตั้งของเราทิ้งไว้ บรรจุเอาความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบและเจตจำนงเพลงดาบของเขาไว้ข้างใน แม้จนถึงวันนี้ ความสำเร็จของเขาก็ยังทำให้ผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบทุกรุ่นล้วนแต่ยำเกรง!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูดขณะจับจ้องประตูบานมหึมาและดาบเล่มนั้นด้วยนัยน์ตาที่เปี่ยมความชื่นชม


ตั้นเฉี่ยวเทียนก็ตัวแข็งไปเล็กน้อยขณะที่นัยน์ตาแดงก่ำ


แม้ในวันคืนที่เขาฝึกฝนศิลปะเพลงดาบอย่างโดดเดี่ยว ก็มีบ่อยครั้งที่เขาใฝ่ฝันถึงการจะได้ไปเยือนสำนักดาบเมฆเหินสักครั้งเพื่อฝึกฝนศิลปะเพลงดาบที่ดีที่สุดในโลก สำหรับเขา นี่คือความฝันที่กลายเป็นจริง


เหลือเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่อสูรบินได้จะบินผ่านประตูเข้าไป ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นหันมาพูดกับตั้นเฉี่ยวเทียน จางเซวียน และคนอื่นๆ “ก่อนที่เราจะเข้าสู่สำนัก ผมขอบอกกล่าวให้พวกคุณรับรู้ถึงกฎระเบียบของสำนักของเราเสียก่อน”


“ศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินแบ่งออกเป็น 4 ขั้นคือ ศิษย์สายตรงระดับล่าง ศิษย์สายตรงฝ่ายนอก ศิษย์สายตรงฝ่ายใน และศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด แม้ศิษย์สายตรงฝ่ายในจะได้รับความเคารพยกย่องในสำนัก แต่ก็ยังมีศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดที่เหนือชั้นกว่า”


“ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด?” ตั้นเฉี่ยวเทียนนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น


“ใช่แล้ว พูดตามตรงนะ ในฐานะศิษย์สายตรงฝ่ายในของสำนักดาบเมฆเหิน คุณไม่ต้องทำอะไรมากนักหรอก คุณสามารถใช้เวลาฝึกฝนศิลปะเพลงดาบหรือฝึกฝนวรยุทธได้ตามสบาย ถ้าต้องการทรัพยากรเพื่อการศึกษาเล่าเรียน ก็สามารถเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายในได้ หรือไม่ก็ขอพบศิษย์พี่หรือผู้อาวุโสสักคนเพื่อขอความช่วยเหลือจากพวกเขา แน่นอนว่าทรัพยากรส่วนใหญ่ไม่ใช่ของฟรี คุณจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเหรียญสำนักดาบ!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูด


“เหรียญสำนักดาบ?” จางเซวียนทวนคำด้วยน้ำเสียงที่เจือความสิ้นหวัง


เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีอัตราแลกเปลี่ยนอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้กันเฉพาะในสำนักดาบเมฆเหิน รู้สึกได้ทันทีว่าต่อไปจะต้องเหนื่อยยากไม่น้อยเพื่อไขว่คว้าหามัน ดูเหมือนเขาไม่มีวันได้เป็นอิสระจากปัญหาเรื่องการเงินเลย


“เหรียญสำนักดาบคืออัตราแลกเปลี่ยนเสมือนจริงที่ใช้กันเฉพาะภายในสำนักดาบเมฆเหิน ใช้ซื้ออะไรก็ได้ตามแต่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ด อาวุธ เทคนิควรยุทธ หรือแม้แต่บทเรียนจากเหล่าผู้อาวุโส แต่การจะได้มันมาก็ลำบากไม่น้อย คุณจะต้องเข้าร่วมในการดวล ปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ตอบคำถามของคนอื่นๆให้ได้ หรือให้คำชี้แนะกับผู้อื่นเรื่องการฝึกฝนวรยุทธ ซึ่งเรื่องสำคัญที่สุดที่คุณจะต้องรู้ก็คือทุกอย่างภายในสำนักต้องใช้เหรียญสำนักดาบ หากไม่มี การจะได้อะไรมาสักอย่างก็ล้วนแต่มีอุปสรรค พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าคุณมีปัญญาหาเหรียญสำนักดาบได้มากพอ ก็จะมีโอกาสได้ใช้ทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนวรยุทธอย่างไม่จำกัด จึงเป็นธรรมดาที่จะยกระดับวรยุทธได้รวดเร็วกว่าคนอื่นๆ” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นอธิบาย


ตั้นเฉี่ยวเทียนก็ออกจากประหลาดใจเล็กน้อย


อะไรๆดูจะแตกต่างไปจากที่เขาเคยวาดภาพไว้ เขาคิดว่าสำนักดาบเมฆเหินน่าจะเป็นสำนักที่ความต้องการด้านวัตถุมีความสำคัญเป็นเรื่องรอง ทุกคนดื่มด่ำอยู่กับการค้นพบความล้ำลึกในวรยุทธและศิลปะเพลงดาบ แต่กลับตรงกันข้าม ดูเหมือนจะมีเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอยู่ที่นี่!


“รอเดี๋ยว ผู้อาวุโสลู่, เมื่อครู่นี้คุณพูดว่าเหรียญสำนักดาบคืออัตราแลกเปลี่ยนเสมือนจริง…นั่นหมายความว่าสำนักดาบเมฆเหินมีหอนิรันดร์ของตัวเองหรือ?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“คุณจะคิดแบบนั้นก็ได้ เรามีหอนิรันดร์เป็นส่วนตัวที่ศิษย์สายตรงเข้าถึงได้ ก็เหมือนกับหอนิรันดร์ที่อื่นๆ มันคือสถานที่ที่เหล่าศิษย์สายตรงจะได้ทำดวลและแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้ากัน ความแตกต่างเดียวก็คือหอนิรันดร์ของเราได้รับการดูแลเป็นการภายในจากคนของเราเอง และมีอัตราแลกเปลี่ยนรวมทั้งระบบต่างๆที่แยกจากที่อื่น เป็นเอกเทศจากหอนิรันดร์สาขาอื่นๆที่อยู่ภายนอก”ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นตอบ


จางเซวียนพยักหน้า


หากใช้ตรรกะจากโลกใบเก่าของเขา หอนิรันดร์ที่อยู่ภายในสำนักดาบเมฆเหินก็เหมือนกับพื้นที่ที่เป็นเครือข่ายเฉพาะของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ มีแต่อุปกรณ์ต่างๆที่เป็นของอินเทอร์เน็ตคาเฟ่เท่านั้นที่จะเข้าถึงเครือข่ายเฉพาะอันนี้ได้


“อ้อ ใช่ ระดับพื้นฐานของวรยุทธในหอนิรันดร์ของเราก็ไม่เหมือนใคร ผู้ที่จะเข้าสู่หอนิรันดร์ของเราได้มีแต่ศิษย์สายตรงฝ่ายในขึ้นไปเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ วรยุทธระดับพื้นฐานในหอนิรันดร์จึงไม่ใช่ระดับเซียนขั้น 1 แต่เป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 1” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูด


สำหรับนักรบที่เข้าสู่หอนิรันดร์ในเมืองแสงดาว ไม่ว่าตอนที่อยู่ภายนอกจะทรงพลังแค่ไหน ทุกคนจะถูกลดระดับวรยุทธไปเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 1 แต่สำหรับที่นี่จะแตกต่างออกไป ไม่ว่านักรบคนหนึ่งจะทรงพลังหรืออ่อนด้อยอย่างไรก็ตาม ทุกคนจะกลายเป็นนักรบระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 เมื่ออยู่ภายในหอนิรันดร์


ตอนที่ 1953 การทดสอบ?

เรื่องนี้พอเข้าใจได้ เพราะศิลปะเพลงดาบไร้เทียมทานมากมายไม่อาจถูกสำแดงออกมาได้หากความแข็งแกร่งของนักรบผู้หนึ่งถูกจำกัดไว้แค่ระดับเซียนขั้น 1 ซึ่งนั่นจะทำให้การดวลขาดความน่าสนใจไปมาก


“นอกเหนือจากนั้น เรื่องอื่นๆก็ดูจะไม่ต่างกัน คุณสามารถปกปิดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองและปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ ซึ่งคนอื่นๆจะดูไม่ออกว่าคุณคือใคร ในทางกลับกัน นั่นก็หมายความว่าคนที่คุณกำลังเสวนาด้วยอาจเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนัก หรือแม้แต่ท่านเจ้าสำนักก็เป็นได้ คุณจึงควรระวังตัวไว้และไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามออกไปภายในหอนิรันดร์ เพราะแม้เหล่าผู้อาวุโสและท่านหัวหน้าสำนักของเราจะไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ก็อาจเกิดปัญหาได้หากคุณล้ำเส้น!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นเตือนอย่างเคร่งขรึม


“ผู้อาวุโส? ท่านเจ้าสำนัก?”


ได้ฟังคำอธิบายนั้น จางเซวียนไม่กังวลใจสักนิด เขาตาโตด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ ถ้าเราเล่นงานผู้อาวุโสสักคนหนึ่ง หรือแม้แต่เจ้าสำนักล่ะ…มันจะตื่นเต้นกว่าการเล่นงานนักรบทั่วไปมากไหม?


1945 : เทพดาบสิบลี้ต้นฉบับ


ในบรรดานักรบที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน จางเซวียนถือว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานผู้หนึ่ง ต่อให้คู่ต่อสู้ที่เขาต้องเผชิญจะเป็นผู้อาวุโสหรือแม้แต่เจ้าสำนัก เขาก็มั่นใจว่าจะไม่พ่ายแพ้ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ควรจะหาประโยชน์สักเล็กน้อย


คนพวกนั้นน่าจะมีข้าวของดีๆอยู่กับตัวมากมาย อีกทั้งได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารสำคัญด้วย ขอแค่เขาเอาชนะคนพวกนั้นได้ ก็จะได้สิ่งเหล่านั้นมาบางส่วน


อาจได้แม้กระทั่งข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับตำนานเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเลยทีเดียว


ดูเหมือนเป้าหมายแรกของจางเซวียนหลังจากเข้าสู่สำนักดาบเมฆเหินน่าจะเป็นการหาตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลสักอันและเข้าสู่หอนิรันดร์ของที่นั่น จากนั้นก็เสาะหาคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่จะหาได้ และใช้กลอุบายล่อลวงให้อีกฝ่ายยอมมอบสิ่งที่เขาต้องการ


เมื่อคิดได้ จางเซวียนเขย่าขาอย่างตื่นเต้นก่อนจะลุกขึ้นยืน “เป็นความคิดที่เจ๋งเป้งจริงๆ ก็แค่ต้องลงมือทำเท่านั้น!”


“ฮะ? คุณจะทำอะไร?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นหันมามองจางเซวียนอย่างสงสัย


ผมก็แค่เตือนคุณว่าคุณอาจได้ต่อสู้กับเหล่าผู้อาวุโสหรือแม้แต่เจ้าสำนักเมื่ออยู่ในหอนิรันดร์ แล้วจะตื่นเต้นเพื่อ?


สมงสมองไปหมดแล้วมั้ง?


ผู้อาวุโสลู่เคยคิดอยากรับจางเซวียนเข้าสำนัก แต่ตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา เขาพบว่าหมอนี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเต็มเต็ง ทุกครั้งที่จางเซวียนทำอะไรเพี้ยนๆ ความตั้งใจเดิมของเขาก็มีอันต้องคลอนแคลนทีละน้อย และเมื่อถึงตอนนี้ มันก็แตกสลายหมดไม่มีเหลือ


“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่คิดไปเรื่อยเปื่อย” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


ส่วนตั้นเฉี่ยวเทียนก็ได้แต่ปิดหน้าด้วยความอับอาย


อสูรบินผ่านประตูสูงตระหง่านเข้าไป จากนั้นก็ร่อนลงบนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นกระโจนลงจากหลังอสูร จากนั้นก็รีบจัดหาที่พักให้ตั้นเฉี่ยวเทียน


“ระหว่างนี้ พวกคุณที่เหลือพักอยู่ที่นี่ไปก่อน ส่วนตั้นเฉี่ยวเทียน, มากับผม คุณต้องเข้ารับการทดสอบ” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูดขณะปล่อยให้จางเซวียน เฉาเฉิงลี่และผู้อาวุโสอี้พำนักอยู่ในบ้านพักหลังนั้น


“การทดสอบ?”


“การทดสอบที่ผมทดสอบคุณไปก่อนหน้านี้เป็นแค่การบ่งบอกว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน แต่สำหรับกระบวนการอย่างเป็นทางการนั้น คุณจะต้องไปที่หอเทพดาบเพื่อสำแดงศิลปะเพลงดาบของคุณก่อน” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูด


“หอเทพดาบ?”


“ใช่ มันคือสถานที่ที่เปิดให้บรรดาศิษย์สายตรงได้เข้ารับการทดสอบ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สายตรงระดับล่างที่อยากจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายนอก หรือศิษย์สายตรงฝ่ายในที่อยากเลื่อนขั้นขึ้นเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด พวกเขาจะต้องสำแดงศิลปะเพลงดาบที่นี่ ก็เหมือนกับความตั้งใจของผมเมื่อครั้งที่ผมให้คุณดวลกับหัวเจียงเหอก่อนหน้านี้นั่นแหละ แต่การประเมินของหอเทพดาบละเอียดแม่นยำกว่านั้นมาก มันจะบ่งบอกพละกำลังที่คุณมีอยู่ในตอนนี้ได้อย่างชัดเจน” ผู้อาวุโสลู่อธิบายยิ้มๆ


“ในการต่อสู้ ศิลปะเพลงดาบของนักดาบคนหนึ่งจะได้รับอิทธิพลจากสภาวะร่างกาย ความแข็งแกร่งของจิตใจ ปฏิกิริยาตอบสนอง และอื่นๆในตัวเขา แต่ปัจจัยเหล่านี้ไม่มีความสำคัญในหอเทพดาบ ขอแค่ความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของคุณเข้าถึงระดับที่น่าพอใจ ผลลัพธ์ก็จะถูกแสดงออกมาตามนั้น!”


ตั้นเฉี่ยวเทียนตาโต


“ไปกันเถอะ” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นร้องเรียกตั้นเฉี่ยวเทียนให้ตามไป


จางเซวียนเดินเข้ามา “ผู้อาวุโสลู่อวิ๋น ผมอยากเห็นหอเทพดาบ พอจะเป็นไปได้ไหมหากผมจะตามไปด้วย?”


เขาไม่เคยได้ยินว่ามีสิ่งที่สามารถทดสอบความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของนักรบผู้หนึ่งได้ จึงอยากรู้มากว่าระบบของมันทำงานอย่างไร


“เอ่อ…” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ผมว่าก็คงไม่เป็นไร”


โดยทั่วไป คนนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่หอเทพดาบ แต่ในเมื่อแม้แต่ศิษย์สายตรงระดับล่างก็ยังเข้าไปรับการทดสอบที่นั่นได้ การที่จางเซวียนจะติดสอยห้อยตามไปเฝ้าดูในฐานะสหายของตั้นเฉี่ยวเทียนก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่


พวกเขาก้าวขึ้นหลังอสูรบินได้อีกครั้งและบินตรงไปยังยอดเขาอีกลูกหนึ่ง


ความโดดเด่นสะดุดตาของยอดเขาลูกนี้คืออาคารรูปร่างเหมือนดาบที่ตั้งอยู่บนนั้น ดูคล้ายกับหอคอย


“นี่คือหอเทพดาบ ในแต่ละวันจะมีทั้งศิษย์สายตรงระดับล่าง ศิษย์สายตรงฝ่ายนอก และศิษย์สายตรงฝ่ายในมากมายเข้ามาที่นี่เพื่อรับการประเมินศิลปะเพลงดาบของพวกเขา”ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูดขณะพาทั้งกลุ่มเดินเข้าสู่หอคอย


ทันทีที่เข้าไป ก็เห็นผู้คนมากมายกระจายตัวกันอยู่รอบๆห้องโถงพร้อมกับมีดาบเหน็บหลังเจตจำนงเพลงดาบอบอวลไปทั่ว น่าตกใจที่ระดับวรยุทธของนักรบส่วนใหญ่ไม่ได้อ่อนด้อยกว่าจางเซวียนเลย!


สมกับเป็นหนึ่งในหกสำนักใหญ่ของมิติเบื้องบน มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมายจริงๆ! จางเซวียนคิด


เขาเคยคิดว่าวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ของเขาก็ไม่ขี้เหร่ แต่กลับกลายเป็นเพียงระดับที่พบได้ทั่วไปเท่านั้น


อีกอย่าง ผู้ที่ปรากฏตัวที่นี่ก็ไม่ใช่ก็ยังไม่ใช่ผู้ที่ทรงพลังที่สุด ยากจะจินตนาการได้ว่าบรรดาศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด เหล่าผู้อาวุโส และเจ้าสำนักจะทรงพลังขนาดไหน


รู้ดีว่าทั้งคู่ไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับหอเทพดาบ ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นอธิบาย “มีห้องอยู่มากมายในหอเทพดาบแห่งนี้ ทุกห้องจะมีแท่นเทพดาบ แค่คุณจ่ายเงินเหรียญสำนักดาบตามจำนวนที่กำหนด ก็จะสามารถเข้าไปในห้องและรับการทดสอบศิลปะเพลงดาบของคุณได้”


“แต่แน่นอนว่าการทดสอบครั้งแรกทำได้ฟรี ครั้งต่อๆไปเท่านั้นที่จะมีค่าใช้จ่าย”


“อ้อ…” ตั้นเฉี่ยวเทียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


เขาเพิ่งมาถึงสำนักดาบเมฆเหินหมาดๆ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหรียญสำนักดาบมีหน้าตาอย่างไร จึงไม่มีทางที่จะหาเงินตามจำนวนนั้นได้


“รอตรงนี้ก่อนนะ ผมจะเปิดห้องให้ ตั้นเฉี่ยวเทียน…คุณเข้าไปก่อน ส่วนจางเซวียน, ถ้าคุณอยากลองดูล่ะก็ หลังจากเสร็จกระบวนการของตั้นเฉี่ยวเทียนแล้วคุณก็เข้าไปได้ แท่นเทพดาบจะประเมินนักรบได้ทีละคนเท่านั้น ไม่อย่างนั้น การตรวจสอบเจตจำนงเพลงดาบจะถูกรบกวน” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูดก่อนจะบ่ายหน้าไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ


ไม่ช้าพวกเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตูงดงามหรูหราบานหนึ่ง ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นหันไปพูดกับตั้นเฉี่ยวเทียน “เมื่อคุณเข้าไปในห้องแล้ว ถือดาบไว้ให้มั่นและปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบรวมทั้งความเข้าใจในแนวคิดของศิลปะเพลงดาบของคุณออกมา ถ้ารัศมีของเจตจำนงเพลงดาบของคุณกินอาณาบริเวณมากกว่า 1 เมตร คุณก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอได้เป็นศิษย์สายตรงระดับล่าง, 10 เมตรจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายนอก, และ 30 เมตรจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน เพราะฉะนั้น ในเวลานี้, 30 เมตรคือเป้าหมายที่คุณต้องทำให้ได้!”


“30 เมตร?” ตั้นเฉี่ยวเทียนพยักหน้าช้าๆ


เขากะไม่ถูกว่าการแผ่เจตจำนงเพลงดาบให้กินอาณาบริเวณถึง 30 เมตรนั้นจะยากเย็นขนาดไหน


เห็นสีหน้ากังขาของตั้นเฉี่ยวเทียน ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นอธิบายต่อ “ไม่ต้องห่วง อาณาบริเวณของเจตจำนงเพลงดาบขึ้นอยู่กับระดับความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของคุณ ไม่ใช่กระแสดาบฉี ด้วยระดับวรยุทธของคุณในเวลานี้ คุณไม่มีทางปลดปล่อยกระแสดาบฉีที่มีความยาวถึง 30 เมตรออกมาได้หรอก!”


“อ๋อ ผมเข้าใจแล้ว!” ตั้นเฉี่ยวเทียนเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน


ด้วยประสิทธิภาพของศิลปะเพลงดาบที่เขามีอยู่ตอนนี้ เขาสามารถปล่อยกระแสดาบฉีออกมาได้อย่างมากราว 2-3 เมตรเท่านั้น 30 เมตรถือว่าไกลเกินเอื้อม


แปลว่า ‘การปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบ’ ที่ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูดถึงนั้นไม่ได้หมายถึงกระแสดาบฉี


แอ๊ดดด!


ตั้นเฉี่ยวเทียนผลักประตูและเดินเข้าไปข้างใน


ระหว่างนั้น จางเซวียนหันกลับไปตั้งคำถามกับผู้อาวุโสลู่อวิ๋นด้วยความอยากรู้ “ไม่ทราบว่าสถิติที่ดีที่สุดในการปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบของเหล่าศิษย์สายตรงฝ่ายในคือเท่าไหร่?”


ถ้า 30 เมตรคือเงื่อนไขพื้นฐานเพื่อผ่านการทดสอบ แล้วสถิติที่ดีที่สุดของบรรดาผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบในสำนักดาบเมฆเหินเป็นอย่างไร?


“ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป นักรบผู้หนึ่งจะมีคุณสมบัติเพียงพอได้เป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหากการปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบของเขากินอาณาบริเวณถึง 100 เมตร แต่ก็ว่ากันว่ามีศิษย์สายตรงฝ่ายในบางส่วนที่ทำได้เหนือกว่านั้น โดยสถิติที่ดีที่สุดในหมู่พวกเขาอยู่ที่ราว 300 เมตร หรือสูงกว่านั้นอีก” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูด


“300 เมตร?” จางเซวียนทึ่ง


เขาไม่รู้ว่ามีวิธีประเมินและคิดคำนวณ ‘การปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบ’ อย่างไร แต่ถ้าแม้แต่ศิษย์สายตรงฝ่ายนอกก็ยังทำสถิติ 30 เมตรได้ด้วยความยากลำบาก ผู้ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกว่านั้นถึง 10 เท่าก็จะต้องมีความน่าสะพรึงไม่น้อย


“แน่นอนว่านั่นเป็นสถิติในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในเท่านั้น ยังมีผู้เชี่ยวชาญผู้ไร้เทียมทานอีกมากมายในหมู่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด บางคนทำได้เกิน 500 เมตรด้วยซ้ำ ผู้ที่ทำสถิติได้ระดับนั้นจะได้รับการขนานนามว่า ‘เทพดาบ’ และนั่นก็คือที่มาของสมญานาม ‘เทพดาบหนึ่งลี้’ และ ‘เทพดาบสองลี้’ ว่ากันว่าตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของสำนัก ผู้ที่เก่งกาจที่สุดสามารถปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบของเขาให้กินอาณาบริเวณถึง 10 ลี้ได้ ด้วยเหตุนี้ ใครๆจึงพากันขนานนามให้เขาด้วยความยกย่องว่า ‘เทพดาบสิบลี้’!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นอธิบาย นัยน์ตาเปล่งประกายชื่นชมยกย่อง


“เทพดาบสิบลี้?” จางเซวียนถึงกับทึ่ง


ขณะที่นักดาบคนอื่นๆพยายามกันแทบตาย ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นกลับปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบได้ถึง 10 ลี้ เหลือเชื่อจริงๆ!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)