อัจฉริยะสมองเพชร 1940-1941

 ตอนที่ 1940 ยาเม็ดอมตะ

“ผมเข้าใจแล้ว ต่อให้เป็นเทคนิควรยุทธทั่วไปผมก็ไม่มีปัญหา…แต่ถ้าผมอยากขอดูเทคนิควรยุทธเหล่านั้นสักครู่หนึ่งแทนที่จะซื้อมัน จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?” จางเซวียนถามอย่างตื่นเต้น


ถึงเขาจะสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติแล้ว แต่ก็โชคร้ายที่ไม่มีเทคนิควรยุทธในระดับขั้นนั้นเลย


ถ้าเขามีโอกาสได้เห็นหนังสือเทคนิควรยุทธของที่นี่สักหน่อย ประกอบกับมียาเม็ดอมตะขั้นต้นมากพอ ก็มั่นใจว่าน่าจะสำเร็จขั้นสูงสุดได้ภายใน 2-3 ชั่วโมง ซึ่งนั่นจะทำให้เขาสำรวจทวีปที่ถูกลืมและหาตัวหลัวลั่วชิงได้ง่ายขึ้น


“ราคาจะแตกต่างกันไป ขึ้นกับระดับขั้นของเทคนิควรยุทธเหล่านั้น สำหรับเทคนิควรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นพื้นฐานที่สุดมีสนนราคาอยู่ที่เทคนิคละ 50,000 เหรียญนิรันดร์ แต่ผมเกรงว่าเทคนิควรยุทธของเรามีไว้ขายเท่านั้น เราไม่มีให้ดู!”


“50,000 เหรียญนิรันดร์สำหรับหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นพื้นฐานที่สุด?” จางเซวียนอ้าปากค้างด้วยความพรั่นพรึง


เขากำลังคิดจะซื้อหนังสือเทคนิควรยุทธสักตั้งหนึ่งหากราคาไม่แพงเกินไป ไม่อยากเชื่อเลยว่าราคาจะสูงลิ่วขนาดนี้


หากประมาณคร่าวๆ เขาต้องใช้หนังสือราว 1,000 เล่มเพื่อประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์ของวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ ซึ่งนั่นจะต้องใช้เงินถึง 50 ล้านเหรียญนิรันดร์! ต่อให้เขา เข้าร่วมการดวลบนสังเวียนประลองจนขาดใจตายไปข้าง ก็คงหาเงินไม่ได้มากขนาดนั้น!


อีกอย่าง เขาเพิ่งท้าทายคนกลุ่มใหญ่ไป ไม่รู้เลยว่านักสู้กลุ่มใหม่จะพร้อมตกเป็นเหยื่อของเขาเมื่อไหร่


ดูเหมือนการซื้อหาหนังสือเทคนิควรยุทธที่นี่จะไม่ใช่เรื่องง่าย


“หรือว่าเราต้องเข้าร่วมกับสำนักใดสำนักหนึ่งจริงๆ?” จางเซวียนกุมขมับอย่างปวดใจ


ทั้ง 6 สำนักย่อมมีห้องสมุดของตัวเอง ที่บรรจุเทคนิควรยุทธเอาไว้นับไม่ถ้วน จางเซวียนน่าจะถ่ายโอนหนังสือหลายพันเล่มที่นั่นได้อย่างง่ายดาย…เพราะทรัพยากรที่มีพร้อมสรรพแบบนี้ นักรบมากมายจึงปรารถนาจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทั้ง 6 สำนัก


เหมือนที่ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูดไว้ ด้วยระดับความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของเขา ไม่ใช่เรื่องยากที่จางเซวียนจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหิน อันที่จริง เขาเข้าร่วมกับสำนักใดสำนัก 1 ใน 6 สำนักได้อย่างง่ายดาย และมั่นใจว่าจะไต่อันดับได้อย่างรวดเร็วด้วย แต่ก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าของฟรีอยู่ในโลก


การเข้าร่วมกับสำนักใดสำนักหนึ่งย่อมหมายความว่าเขาจะต้องทำตามกฎเกณฑ์และข้อบังคับของสำนักนั้น ซึ่งหากเป็นแค่กฎเกณฑ์ปลีกย่อยไม่กี่ข้อก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าหนึ่งในกฎเกณฑ์เหล่านั้นกีดขวางไม่ให้เขาตามหาหลัวลั่วชิง หรือสำนักนั้นเป็นปฏิปักษ์กับตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ เขาก็คงต้องบอกลา


เดี๋ยวก่อน…ถ้าตั้นเฉี่ยวเทียนได้เข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหิน และเราติดตามเขาในฐานะคนรับใช้ล่ะ? แบบนั้นน่าจะดีเหมือนกัน ใช่ไหม? จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น


ว่ากันว่าจะมีการคัดเลือกที่เมืองชวนเจียงในอีก 2 วันนับจากนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้เหล่านักรบได้เข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหินในฐานะศิษย์สายตรงระดับล่าง ถ้าตั้นเฉี่ยวเทียนแสดงศักยภาพได้ดีพอ ก็น่าจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายนอก ซึ่งศิษย์สายตรงฝ่ายนอกส่วนใหญ่จะมีคนรับใช้ประจำตัวเพื่อคอยจัดการธุระที่จำเป็นต่างๆ ดังนั้น ขอแค่ตั้นเฉี่ยวเทียนทำสำเร็จ จางเซวียนก็จะได้เข้าสู่สำนักดาบเมฆเหิน


ทันทีที่เขาได้เข้าไป ก็จะแสวงหาสิ่งที่ต้องการได้ และในเวลาเดียวกันก็จะได้ช่วยชี้แนะการเล่าเรียนให้ศิษย์สายตรงของเขาเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่หลงทาง ในฐานะคนรับใช้ของศิษย์สายตรงฝ่ายนอก เขาไม่สำคัญมากพอจะเป็นที่สนใจของสำนักดาบเมฆเหิน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาจะไม่ถูกกฎเกณฑ์เหล่านั้นควบคุมเช่นกัน


เท่ากับยิงกระสุนนัดเดียวได้นก 3 ตัว!


“เอาตามนี้!”


จางเซวียนใคร่ครวญจนแน่ใจแล้วว่าจะไม่เกิดปัญหาตามมาจากการกระทำของเขา เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกและออกจากหอนิรันดร์


…..


ขณะที่จางเซวียนตัดสินใจได้ ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นกับคนอื่นๆที่อยู่ในห้องลับก็ตัดสินใจเช่นกัน


“พวกเราต้องมุ่งหน้าไปเมืองชวนเจียงเดี๋ยวนี้! ขอผมดูก่อน… นี่ก็เลยเที่ยงคืนแล้ว ด้วยอสูร ความเร็วสูงสุดเท่าที่เรามี ก็น่าจะไปถึงที่นั่นได้ตอนบ่าย ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ไม่ควรรอช้า จัดการคัดเลือกที่เมืองชวนเจียงวันนี้เสียเลย! เจียงเหอ, ผมอยากให้คุณป่าวประกาศให้ผู้คนในเมืองชวนเจียงรู้ว่าเราจะจัดการคัดเลือกศิษย์สายตรงทันทีเมื่อถึงรุ่งเช้า ไม่จำเป็นต้องรอพวกเรา เข้าใจใช่ไหม? เรื่องนี้จะมีอะไรผิดพลาดไม่ได้ เราต้องหาตัวเจ้าโลกให้พบ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นสั่งการอย่างเคร่งเครียด


“ขอรับ” หัวเจียงเหอตอบพร้อมกับพยักหน้า


การนำอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องกลับสู่สำนักสำคัญกว่าการได้ศิษย์สายตรงฝ่ายนอกที่มีความสามารถในระดับทั่วๆไปนับร้อย หากเขาปล่อยให้เจ้าโลกหลุดมือไปเป็นของสำนักอื่น จะต้องถูกลงโทษอย่างหนักข้อหาย่อหย่อนความรับผิดชอบ


“ส่วนพวกคุณที่เหลือ เก็บข้าวของได้เลย เราจะออกเดินทางในอีก 5 นาที เข้าใจไหม?”


ฟึ่บ!


ทุกคนหายวับไปจากหอนิรันดร์


…..


จางเซวียนกลับถึงห้อง เขารีบเปิดใช้งานตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเพื่อนำแหวนเก็บสมบัติและยาเม็ดอมตะขั้นต้นที่เพิ่งซื้อออกมา


ยาเม็ดอมตะขั้นต้นมีสีเหลือบเงิน อัดแน่นไปด้วยพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท แค่สูดดมครั้งเดียวก็เกินพอจะทำให้ทางเดินพลังปราณของผู้นั้นสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นราวกับได้พบโอเอซิสในทะเลทราย


รู้ดีว่าการฟื้นฟูพละกำลังเป็นเรื่องเร่งด่วนสูงสุด จางเซวียนกลืนยาลงไปโดยไม่ลังเล


ทันทีที่ยาเม็ดอมตะขั้นต้นตกถึงท้อง จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงกระแสพลังงานอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วแขนขา พลังงานบริสุทธิ์ที่มีหน้าตาเหมือนปรอทแปรสภาพเป็นพลังปราณเข้มข้นอย่างรวดเร็ว


ระหว่างการฝึกฝนวรยุทธ จางเซวียนอดรู้สึกไม่ได้ว่าพลังปราณที่ก่อตัวขึ้นจากพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นทรงพลังกว่ามาก ด้วยความเข้มข้นของมัน เทคนิควรยุทธที่เขาสำแดงออกมาก็น่าจะทรงพลังกว่าเดิม


ความจุของจุดตันเถียนของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง แต่คุณภาพของพลังปราณที่จางเซวียนมีก็แข็งแกร่งกว่าเแต่ก่อนมาก นั่นหมายความว่าเขาจะสำแดงประสิทธิภาพการต่อสู้ออกมาได้เยี่ยมยอดกว่าเดิม


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญในมิติเบื้องบนล้วนแต่แข็งแกร่งกว่าธรรมดา ถึงขนาดที่เขา จะเอาชนะได้ก็ต่อเมื่อต้องทำทุกวิถีทาง เพราะไม่เพียงแต่พลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทจะช่วยบ่มเพาะสภาวะของคนเหล่านั้น มันยังมีบทบาทสำคัญในการบ่มเพาะพลังปราณด้วย


หลังจากฝึกฝนวรยุทธไปได้ระยะหนึ่ง พลังงานที่บรรจุอยู่ในยาเม็ดอมตะขั้นต้นก็ถูกใช้ไปจนหมด จางเซวียนระบายลมหายใจยาว จากนั้นก็ค่อยๆลืมตา


แม้ยาเม็ดอมตะขั้นต้นจะมีพลังงานเข้มข้น แต่ก็ยังไม่มากพอจะทำให้เขาฟื้นคืนพละกำลังได้อย่างสมบูรณ์


“เท่าที่เห็น เราคงต้องกินยาอีกเม็ดหนึ่ง ถึงจะฟื้นคืนพละกำลังได้ดังเดิม…” จางเซวียนพึมพำ


ถ้าเขาต้องกินยาเม็ดอมตะขั้นต้นถึง 2 เม็ดเพียงเพื่อฟื้นฟูพละกำลัง แล้วจะต้องกินยามากมายขนาดไหนหากต้องการฝ่าด่านวรยุทธ?


กระบวนการฝึกฝนวรยุทธช่างเหมือนกับหลุมดำที่ดูดเงินไม่รู้จักจบสิ้น ต่อให้ร่ำรวยขนาดไหนก็ไม่มีวันพอ!


จางเซวียนชำเลืองมองหน้าต่างและพบว่าเช้าแล้ว ทันทีที่เดินออกจากห้อง ก็เห็นตั้นเฉี่ยวเทียนยังคงฝึกฝนศิลปะเพลงดาบอย่างระมัดระวัง


แม้ไม่ได้นอนทั้งคืน แต่การเคลื่อนไหวของตั้นเฉี่ยวเทียนก็ไม่แสดงอาการอ่อนล้า สิ่งที่ดูจะเปลี่ยนไปก็คือกระบวนท่าของเขาที่มั่นคงขึ้น การขับเคลื่อนพลังปราณก็ราบรื่นกว่าแต่ก่อนมาก


“ไม่เลว ผมเห็นแล้วว่าคุณฝึกฝนอย่างหนัก” แค่ชำเลืองมองแวบเดียว จางเซวียนก็ดูออกว่าตั้นเฉี่ยวเทียนทำตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด ไม่ย่อหย่อนแม้แต่น้อย


อันที่จริง ที่จางเซวียนสั่งการให้ตั้นเฉี่ยวเทียนฝึกฝนศิลปะเพลงดาบก็ไม่ใช่เพื่อลงโทษอีกฝ่าย แต่เพราะตั้นเฉี่ยวเทียนเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธได้รวดเดียวถึง 6 ขั้นในวันนั้น ซึ่งการฝ่าด่านวรยุทธอย่างพรวดพราดจะทำให้สมองและปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติของเขาไม่อาจปรับตัวเข้ากับพละกำลังที่ได้มาใหม่ ดังนั้นจึงต้องฝึกฝนให้มากพอเพื่อปรับร่างกายให้คุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลง


แม้การฝึกฝนกระบวนท่าเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายพันครั้งจะน่าเบื่อและเป็นการทดสอบความอดทนของผู้นั้นอย่างมาก แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของตั้นเฉี่ยวเทียนที่จะควบคุมกระแสพลังปราณในร่างของเขาให้ได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งนี้จะทำให้ตั้นเฉี่ยวเทียนควบคุมพละกำลังได้ดีและนำพาเขาไปสู่ความคุ้นชินในพละกำลังที่ได้มาใหม่


ซึ่งก็แน่นอนว่าตั้นเฉี่ยวเทียนบรรลุเป้าหมายแล้ว


ด้วยการฝึกฝนเพียงคืนเดียว เขาก็กลายเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 อย่างสมบูรณ์


“ท่านอาจารย์!”


ได้ยินเสียงเปิดประตู ตั้นเฉี่ยวเทียนรีบเดินเข้ามา เขาทรุดตัวลงคุกเข่าและทักทายจางเซวียน


ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่ใช่คนโง่ เขาเองก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย แล้วจะมองเจตนาของท่านอาจารย์ไม่ออกได้อย่างไร?


จางเซวียนรีบพยุงตั้นเฉี่ยวเทียนให้ลุกขึ้น แต่ในตอนนั้น หัวสมองของเขาก็กระตุก


หน้าหนังสือสีทองหน้าหนึ่งปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า


ในตอนนั้นเองที่จางเซวียนเอาชนะใจตั้นเฉี่ยวเทียนในฐานะศิษย์สายตรงได้สำเร็จ


นี่หมายความว่าหน้าหนังสือสีทองเกิดขึ้นในมิติเบื้องบนก็ได้ ช่างเป็นข่าวดีเหลือเกิน! จางเซวียนคิดอย่างลิงโลด


เขาคิดว่าสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไปอาจมีผลขัดขวางประสิทธิภาพบางอย่างของหอสมุดเทียบฟ้า แต่โชคดีที่ดูจะไม่เป็นอย่างนั้น


หน้าหนังสือสีทองคือไพ่ไม้ตายที่สำคัญ ขอแค่เขามีมันอยู่ในมือ ก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว


“คุณพัฒนาศิลปะเพลงดาบที่ผมถ่ายทอดให้คุณไปได้แค่ไหน แสดงให้ผมดูหน่อย” จางเซวียนพูดยิ้มๆขณะพยุงตั้นเฉี่ยวเทียนให้ลุกขึ้น


จางเซวียนถ่ายทอดเทคนิค ‘การโยนดาบ’ ที่เขาคิดค้นขึ้นเมื่อวานในหอนิรันดร์ให้กับตั้นเฉี่ยวเทียน และอยากรู้ว่าในชั่วข้ามคืน ศิษย์สายตรงของเขาจะฝึกฝนไปได้แค่ไหน


“ขอรับ ท่านอาจารย์”


ตั้นเฉี่ยวเทียนออกเดิน 2-3 ก้าวก่อนจะสะบัดข้อมือเบาๆ


ฟิ้วววว!


ดาบของเขาลอยไป


ถึงความเร็วในการโยนดาบของเขาจะยังไม่เท่ากับจางเซวียน แต่ก็เร็วพอจะทำให้เกิดภาพติดตาขึ้นมากมาย ในชั่วพริบตา ดาบนั้นก็ปักเข้าที่ลำต้นของต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ต้นไม้ใหญ่นั้นระเบิดทันที เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ในบริเวณที่มันเคยตั้งอยู่


“ไม่เลว คุณเข้าถึงระดับขั้นต้นแล้ว ถ้าอยากเพิ่มความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบให้มากขึ้น ก็ควรใช้มันในการต่อสู้ ศึกษาข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้อย่างถี่ถ้วนก่อนจะสำแดงกระบวนท่าใดๆออกไป ถ้าคุณทำได้ถึงขนาดที่มองเห็นจุดอ่อนของในกระบวนท่าของคู่ต่อสู้ได้หลายข้อด้วยการชำเลืองเพียงแวบเดียว ก็จะเข้าถึงระดับการประสบความสำเร็จโดยภาพรวมในเทคนิคนั้น ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น จะไม่มีนักรบคนไหนในรุ่นเดียวกันที่เทียบชั้นกับคุณได้อีก!” จางเซวียนพูด


ตอนที่ 1941 สมกับที่เป็นสำนักเจ้าเมือง!

เทคนิคการโยนดาบดูจะเป็นกระบวนท่าที่เรียบง่าย แต่มันบรรจุเอาหัวใจของศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าไว้ ขอแค่ตั้นเฉี่ยวเทียนหาข้อบกพร่องในกระบวนท่าของคู่ต่อสู้ของเขาได้ ก็จะไม่มีใครขวางทางเขาได้อีก


ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้หัวเจียงเหอกับเฉว่เหยาถึงกับหมดหนทาง


“ขอรับ ท่านอาจารย์!” ตั้นเฉี่ยวเทียนพยักหน้า


หลังจากฝึกฝนมาทั้งคืน เขาเองก็รู้ว่าเทคนิคการโยนดาบนี้ล้ำลึกและทรงพลังขนาดไหน ทุกอย่างที่เขาเคยเรียนรู้มาล้วนแต่ไม่มีสาระอะไรหากจะนำมาเปรียบเทียบกับเทคนิคนี้ เขารู้สึกเหมือนตัวเอง เป็นกบในกะลามาตลอด!


“เอาล่ะ ผมจะถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบอื่นๆให้คุณด้วย การเรียนรู้ศิลปะเพลงดาบให้มากขึ้นจะช่วยเปิดมุมมองของคุณ ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ล้ำลึกกว่าเดิม เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญต่อการพัฒนาตัวคุณในฐานะผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ” จางเซวียนพูด


ขณะที่เขากำลังจะถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบขั้นกลางบางส่วนให้ตั้นเฉี่ยวเทียน เสียงฝีเท้าเร่งร้อนก็ดังขึ้นด้านนอก


แอ๊ดดด!


ประตูทางเข้าถูกเปิดออก จากนั้น ทหารในชุดเกราะเต็มยศสิบนายก็กรูเข้ามาในลานบ้าน ปิดล้อมจางเซวียนกับตั้นเฉี่ยวเทียนทันที


“ใครเป็นเจ้าของบ้าน?” หัวหน้ากองทหารที่ยืนอยู่แถวหน้าตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา


เขาคือชายอายุราว 30 ปี แต่แม้จะอายุยังน้อย ก็สำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบทอดสายเลือดแล้ว


“ผมเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้” รู้ดีว่าผู้บุกรุกคือกองทหารจากสำนักเจ้าเมือง ตั้นเฉี่ยวเทียนเดินออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว


“พวกเรา จับตัวเขาไว้!” หัวหน้ากองทหารสั่งการ


ฟึ่บ!


ทหารสองนายรี่เข้ามาพร้อมกับชักดาบ สีหน้าของพวกเขาบ่งบอกว่าพร้อมจะเล่นงานตั้นเฉี่ยวเทียนโดยไม่ลังเล


“ผมขอแนะนำคุณว่าอย่าตอบโต้ พวกเรามีสิทธิ์สังหารอาชญากรคนไหนก็ตามที่พยายามขัดขืน!” ทหารหนึ่งในสองนายนั้นคำรามขณะถือกุญแจมือและเข้าประชิดตัวตั้นเฉี่ยวเทียน


“ผมทำผิดอะไร?” ตั้นเฉี่ยวเทียนถึงกับผงะ


“เมื่อคืนวาน หน่วยลาดตระเวนของสำนักเจ้าเมืองพบโจรเฉาเฉิงลี่ลักลอบเข้ามาในเมืองพร้อมกับกองโจรของเขา เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นมีเจตนาร้าย ทางสำนักเจ้าเมืองจึงส่งกองทหาร 50 นายออกไล่ล่าและกำจัด แต่ทหารทั้ง 50 นายนั้นก็ไม่ได้กลับมา หลังจากสืบเสาะเรื่องราวในช่วงเช้า เราพบร่องรอยของทหารทั้ง 50 นายมุ่งตรงมาที่บ้านพักของคุณ ผมจึงนำหมายจับจากสำนักเจ้าเมืองมาจับตัวคุณ ข้อหารวมหัวกับกองโจรเพื่อสังหารคนของเรา!” หัวหน้ากองทหารคำราม


ตั้นเฉี่ยวเทียนตาโตด้วยความตกใจก่อนละล่ำละลักออกมา “รวมหัวกับกองโจร? เป็นไปไม่ได้! ผมไม่เคยทำอะไรแบบนั้น!”


เมื่อคืนวาน ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอาจารย์ของเขา เขาคงถูกกองโจรพวกนั้นฆ่าตายไปแล้ว แต่ทหารพวกนี้กล่าวหาว่าเขารวมหัวกับกองโจร?


ล้อกันเล่นแล้วล่ะ!


ในความเห็นของเขา โอกาสที่สำนักเจ้าเมืองจะรวมหัวกับกองโจรมีมากกว่าตัวเขาเสียอีก!


“ก็ไม่เป็นไร ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะยอมรับอยู่แล้ว พวกเรา, นำหลักฐานออกมา!” หัวหน้ากองทหารตวาดก้องพร้อมกับโบกมือ


ฟึ่บ!


ทหารหลายนายตบเท้าออกมาพร้อมกับโยนข้าวของในมือของพวกเขา


มันคืออาวุธและเสื้อเกราะจำนวนหนึ่งที่เปื้อนเลือดเปื้อนดิน


“เราพบของพวกนี้บริเวณรอบๆที่พักของคุณ มันคืออาวุธของกองโจรและเสื้อเกราะของกองทหารของเรา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาปะทะกัน และมีใครบางคนจงใจปกปิดหลักฐาน…คุณยังมีอะไรจะแก้ตัวอีก?” หัวหน้ากองทหารคำราม


“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?” ตั้นเฉี่ยวเทียนถึงกับจังงัง


เมื่อวานนี้ท่านอาจารย์ทำลายหลักฐานทุกอย่างหมดแล้ว ทำไมถึงมีข้าวของพวกนี้ได้?


“อาวุธและเสื้อผ้าพวกนั้นเป็นของกองโจรที่อาศัยอยู่บริเวณภูเขานอกเมืองจริงๆ ผมถูกปล้น มาแล้วหลายครั้งระหว่างที่กำลังขนส่งสินค้า ไม่มีทางที่ผมจะจำผิด!”


“เสื้อเกราะพวกนี้ก็เป็นของสำนักเจ้าเมือง พวกเขาลาดตระเวนในพื้นที่รอบๆอาณาเขตบ้านของผมทุกวัน ผมจะจำไม่ได้ได้อย่างไร?”


“เขาลดตัวลงไปรวมหัวกับพวกกองโจร ชั่วร้ายเหลือเกิน!”


“เราต้องลงโทษให้สาสมสำหรับพฤติกรรมแบบนี้ ต้องเค้นให้สารภาพแผนการของพวกเขาออกมา ถ้ากองโจรปฏิบัติการได้สำเร็จล่ะก็ ใครจะรู้ว่าจะมีคนบาดเจ็บล้มตายอีกเท่าไหร่ในเมืองของเรา?”


“ตระกูลตั้นตกต่ำไปมากจริงๆ ผมเห็นใจในหายนะภัยที่พวกเขาเผชิญ โดยเฉพาะเมื่อทายาทที่ยังเหลืออยู่เป็นคนสุดท้ายก็ฝึกฝนวรยุทธไม่ได้ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นตัวการรวมหัวกับกองโจร พังพินาศไปแบบนั้นก็สมควรแล้ว!”


…..


ยังไม่ทันที่ตั้นเฉี่ยวเทียนจะได้อธิบาย ผู้คนกลุ่มหนึ่งในเมืองซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปก็โพล่งออกมาจากด้านหลังทหารกลุ่มนั้น


มีทั้งพ่อค้า เจ้าของร้านเหล้า คนขายสมุนไพร เจ้าของร้านน้ำชา…พวกเขาคือกลุ่มคนที่กุมบังเหียนเศรษฐกิจของเมืองชวนเจียง


แต่ละคนถูกกองโจรเล่นงานมาหลายต่อหลายครั้งระหว่างการทำธุรกิจ คำพูดของพวกเขาจึงมีน้ำหนักมาก


“คุณยังคิดจะแก้ต่างอะไรให้ตัวเองอีก?” หัวหน้ากองทหารคำราม เขาหันกลับไปมองคนของตัวเองและสั่งการ “จับตัวเขาไว้และนำตัวไปที่สำนักเจ้าเมือง สืบสวนให้ได้ความ!”


นายทหารที่ถือกุญแจมือเดินเข้าหาตั้นเฉี่ยวเทียนอีกครั้ง


“พวกคุณน่ะล้วนแต่ไร้ยางอาย! แท้ที่จริงสำนักเจ้าเมืองผู้สูงส่งก็ต้องการ…” ตั้นเฉี่ยวเทียนกำลังจะโพล่งออกมา แต่แล้วจู่ๆก็หยุดกึกก่อนจะพยักหน้า “ก็ได้ ผมจะตามคุณไปสำนักเจ้าเมือง หวังว่าคุณจะชดเชยความเสียหายให้ผมได้ ผมเชื่อว่าพวกคุณจะได้รู้ความจริงและลงโทษผู้กระทำผิดในเรื่องนี้!”


“ฮึ่มมม! ไปกันเถอะ!” หัวหน้ากองทหารดูจะผิดหวังเล็กน้อยที่เห็นตั้นเฉี่ยวเทียนคล้อยตามอย่างว่าง่าย เขาชำเลืองมองฝูงชนก่อนจะพูดต่อ “การรวมหัวกับกองโจรถือเป็นภัยคุกคามต่อความสงบสุขของเมือง ด้วยความร้ายแรงของข้อหา รวมทั้งข้อเท็จจริงที่พวกคุณเคยถูกเฉาเฉิงลี่ทำร้าย ผมจึงอยากเชิญพวกคุณทุกคนให้ตามผมไปที่สำนักเจ้าเมืองเพื่อเป็นพยานในการพิพากษาคดี อีกอย่าง…ก็เพื่อรับประกันเรื่องความเป็นกลางและความยุติธรรม พวกเราจะไม่เข้าข้างตั้นเฉี่ยวเทียนเพียงเพราะเขาหมั้นหมายกับนายหญิงน้อยที่ 2!”


“ก็ดี”


ฝูงชนพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง


“คนที่เหลือก็น่าจะมีส่วนรู้เห็น จับกุมพวกเขาและนำตัวไปสำนักเจ้าเมือง!”


กองทหารรีบใส่กุญแจมือจางเซวียนกับผู้อาวุโสอี้ ก่อนจะนำตัวทั้งกลุ่มออกจากบ้านพัก


จางเซวียนไม่ได้ขัดขืนการจับกุม เขาส่งโทรจิตแนะนำบางอย่างให้ตั้นเฉี่ยวเทียน ซึ่งอีกฝ่ายก็สงบลงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาค้อมหลังเพื่อทำให้ร่างกายดูเล็กลงกว่าเดิม จากนั้นก็กระย่องกระแย่งออกจากบ้านพักตระกูลตั้น วรยุทธของเขาถูกปกปิดไว้ด้วยวิธีการบางอย่างที่ท่านอาจารย์เพิ่งถ่ายทอดให้


ในสายตาของคนทั่วไป ตั้นเฉี่ยวเทียนดูไม่ต่างอะไรกับนักรบระดับเซียนขั้น 6 คนหนึ่ง


เมื่อออกจากบ้านพักตระกูลตั้น พวกเขาถูกนำตัวขึ้นเกี้ยวหลังหนึ่ง ไม่ช้าก็มาถึงสำนักเจ้าเมือง


ในเวลานี้ สำนักเจ้าเมืองคลาคล่ำไปด้วยผู้คนนับพัน พวกเขาจับกลุ่มหารือกันอย่างเคร่งเครียดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหล่ากองโจร


เห็นได้ชัดว่าแผนการของเฉว่เฉินได้ผล


“ทางสำนักเจ้าเมืองมีความกังวลใจอย่างมากสำหรับเรื่องที่กองโจรบุกเข้ามาในเมืองของเรา หลังจากสืบเสาะอย่างถี่ถ้วนแล้ว เราพบว่าตระกูลตั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อย่างที่พวกคุณรู้ ตั้นเฉี่ยวเทียนหมั้นหมายกับนายหญิงน้อยที่ 2 ดังนั้น เพื่อยืนยันเรื่องความเป็นกลาง เราจะเปิดการไต่สวนสาธารณะเพื่อไม่ให้พวกคุณกังวลว่าเราจะทำการพิพากษาอย่างลำเอียง!” เฉว่เฉินพูดขึ้นท่ามกลางฝูงชน


“สมกับที่เป็นสำนักเจ้าเมือง! พวกเขาหาตัวการได้อย่างรวดเร็ว!”


“ใครก็ตามที่รวมหัวกับเหล่ากองโจรสมควรตาย ผมเคยคิดว่าตั้นเฉี่ยวเทียนเป็นคนซื่อตรง แต่ดูเหมือนหัวใจชั่วร้ายของเขาจะถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าใสซื่อ!”


…..


เมื่อกองทหารนำตัวตั้นเฉี่ยวเทียนเข้าสู่การพิพากษา ทุกคนเงียบเสียงลงทันที


แทบไม่มีใครในเมืองนี้ที่ไม่รู้เรื่องราวการหมั้น แต่พฤติกรรมการรวมหัวกับกองโจรถือว่าชั่วร้ายและให้อภัยไม่ได้ ผู้บริสุทธิ์มากมายนับไม่ถ้วนจะต้องเสียชีวิตหากเกิดความผิดพลาด พวกเขาจึงอยากเห็นว่าทางสำนักเจ้าเมืองจะยังคงรักษาความเป็นกลางไว้ได้หรือไม่เมื่อต้องพิพากษาใครคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับพวกเขา


หลังจากตั้นเฉี่ยวเทียนเดินกระย่องกระแย่งเข้าสู่คอกจำเลยและถูกบังคับให้คุกเข่า เฉว่เฉินชำเลืองมองกองทหารและสั่งการ “นำหลักฐานเข้ามา!”


กองทหารรีบเดินเข้ามาโดยนำเสื้อเกราะเปื้อนเลือด คันธนู และลูกธนูมาวางลงกับพื้น จากนั้น ชายวัยกลางคนท่าทางน่าเชื่อถือคนหนึ่งก็เดินเข้ามาแล้วพูดว่า “นายท่าน ผมตรวจสอบข้าวของทุกชิ้นที่นี่แล้ว คันธนูกับลูกธนูเป็นสิ่งที่เฉาเฉิงลี่กับพรรคพวกใช้ มีร่องรอยชัดเจนว่าพวกเขาใช้มัน ส่วนเสื้อเกราะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นของกองทหารแห่งสำนักเจ้าเมือง และเท่าที่ดูจากรอยเลือด ซึ่งเพิ่งปรากฏไม่นาน การนองเลือดเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้!”


ชายอีกคนหนึ่งก้าวเข้ามา “นายท่าน ผมยืนยันเรื่องนี้ได้ เมื่อคืนนี้ ตอนที่ผมกำลังฝึกฝนวรยุทธอยู่ ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก ผมแอบมองลอดหน้าต่างและเห็นชายชุดดำมากมายลักลอบเข้าสู่บ้านตระกูลตั้น ดูเหมือนพวกเขากำลังรวมหัวกันปฏิบัติภารกิจบางอย่าง!”


ตั้นเฉี่ยวเทียนชำเลืองมองพยานที่ทำหน้าที่ยืนยันเรื่องราว และเห็นว่าอีกฝ่ายคือครอบครัวเพื่อนบ้านของเขาซึ่งอาศัยอยู่ไม่ห่างจากบ้านพักตระกูลตั้นมากนัก โดยปกติพวกเขาสนิทสนมกันดี


“นายท่าน ผมก็เห็น มีคนอยู่หลายสิบคน ผมอดคิดไม่ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดไว้!”


ชายอีกคนหนึ่งก้าวออกมา เป็นเพื่อนบ้านของตั้นเฉี่ยวเทียนเหมือนกัน


เขาเปิดใช้งานผลึกบันทึก แล้วภาพที่ถูกบันทึกไว้ก็ปรากฏต่อสายตาของทุกคน


ภายใต้แสงจันทร์เต็มดวงยามค่ำคืน กองโจรชุดดำกลุ่มหนึ่งเล็ดลอดเข้าไปในบ้านพักของตั้นเฉี่ยวเทียนอย่างเงียบๆ ซึ่งหลังจากเข้าไปถึงด้านใน ก็ไม่เกิดความอึกทึกครึกโครมใดๆขึ้น ทุกอย่างเงียบสงัด ราวกับเจ้าของบ้านเต็มใจต้อนรับพวกเขา


“ผมยังแคลงใจว่าอาจมีความลับบางอย่างเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นความจริง!”


“แต่ทำไมตั้นเฉี่ยวเทียนถึงต้องรวมหัวกับพวกกองโจรล่ะ?”


“ผมว่ามันก็แปลก ตระกูลตั้นอาจเสื่อมถอย แต่ตั้นเฉี่ยวเทียนก็ควรจะยังใช้ชีวิตสูงส่งได้ด้วยทรัพย์สมบัติที่เหล่าบรรพบุรุษของเขาทิ้งไว้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนอย่างเขาจะต้องเข้ามาเสี่ยงขนาดนี้!”


เกิดเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่หลังจากภาพที่บันทึกไว้ในผลึกบันทึกถูกเปิดเผย


ผู้ที่รู้จักนิสัยของตั้นเฉี่ยวเทียนและสงสัยว่าอาจมีการสมคบคิดบางอย่างอยู่เบื้องหลังพากันจ้องชายหนุ่มที่กำลังคุกเข่าอยู่กลางคอกจำเลยด้วยสายตาที่บ่งบอกความไม่อยากเชื่อ


ตระกูลตั้นมีรกรากอยู่ที่เมืองไป๋เย่ แต่พวกเขาย้ายมาพำนักที่เมืองชวนเจียงตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ตลอดช่วงเวลานั้น ตระกูลตั้นเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็เข้าถึงความรุ่งโรจน์สูงสุดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว กลายเป็นกลุ่มอำนาจที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้ในเมืองชวนเจียง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)