ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 194-201

 ตอนที่ 194 งานประมูล

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงนั่งอยู่มุมหนึ่งของโถงใหญ่ คอยสังเกตผู้ฝึกฝนจำนวนมากอยู่ข้างๆ ใบหน้าเขาไร้ความรู้สึก แต่สวมหมวกคลุมปิดบังใบหน้าไว้


ที่เขามาปรากฎตัวที่นี่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าสิ่งของที่เขาต้องการประมูล อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากเถ้าแก่เฉียนให้มาสังเกตการณ์อยู่ที่นี่ เผื่อมีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น


เรื่องที่อาจจะมีคนมาก่อกวนนั้น ดูเหมือนจะเกิดขึ้นได้น้อยมาก


เพราะว่าห้องโถงใหญ่ถูกผู้เชี่ยวชาญค่ายกลของเรือนร้อยวิญญาณวางชั้นจำกัดตามที่ต่างๆ ไว้อย่างแน่นหนา ต่อให้อาจารย์จิตวิญญาณปรากฏออกมา ก็เกรงว่าไม่อาจทำลายชั้นจำกัดเหล่านี้ได้ง่าย


ยิ่งไปกว่านั้นเพื่องานประมูลในครั้งนี้ เถ้าแก่เฉียนไม่เพียงแต่ทำการโยกย้ายแขกจากที่ต่างๆ มากลุ่มหนึ่ง แต่ยังยืมศิษย์จิตวิญญาณจากจวนอ๋องสามมาสิบกว่าคน และหน่วยเงาปีศาจอีกสี่กอง


คนเหล่านั้นจำนวนไม่น้อยต่างก็ปะปนไปกับฝูงชนเช่นเดียวกับหลิ่วหมิง แต่ส่วนใหญ่ยังคงยืนอยู่รอบด้านห้องโถงด้วยสีหน้าเยือกเย็น เพื่อคอยจัดการผู้ที่ไม่ประสงค์ดี


เวลาค่อยๆ ผ่านพ้นไป เมื่อธูปหอมก้านยาวในกระถางธูปที่ตั้งอยู่แบนแท่นสูงด้านหน้าเผาไหม้ไปจนหมดสิ้น ก็มีคนออกคำสั่งขึ้นมา จากนั้นประตูทางออกหลายแห่งก็ค่อยๆ ถูกปิดอย่างรวดเร็ว


ขณะนี้ ผู้อาวุโสเหมี่ยนได้พาไป๋ชิงไห่และแขกคนอื่นๆ ออกมาด้วยรอยยิ้ม พวกเขาเดินออกจากประตูหินด้านหลัง มายังแท่นสูงด้านหน้าอย่างไม่รีบร้อน


เพียงแค่ผู้อาวุโสสะบัดแขนเสื้อ แสงสีขาวก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที แล้วกระถางธูปก็หายไป ขณะเดียวกันโต๊ะไม้ขนาดยาวหลายจั้ง ก็ปรากฏขึ้นบนแท่นหิน


พอได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ฝึกฝนจำนวนหนึ่งก็เผลอร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่คนจำนวนมากก็ไม่รู้สึกหวั่นไหวใดๆ


แม้ว่าโดยปกติแล้ว จะมีแต่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถควบคุมยันต์เก็บของได้ แต่ก็มีสิ่งของย่อส่วนพิเศษบางอย่างที่สามารถใช้ได้โดยไม่ต้องใช้พลังเวทย์มากนัก ซึ่งก็เหมือนกับสิ่งของที่มีข้อจำกัดเป็นจำนวนมากอย่างยันต์เก็บของดัดแปลง หรือผ้าย่อส่วนที่หลิ่วหมิงเคยใช้


ไป๋ชิงไห่และคนอื่นๆ อีกสามคนยืนอยู่บนมุมทั้งสี่ของแท่นหินด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะมาก่อกวน จะต้องผ่านพวกเขาทั้งสี่ให้ได้ก่อน


งานประมูลโดยทั่วไปจะต้องหาผู้ที่พูดจาฉะฉานคล่องแคล่วมาดำเนินการประมูล แต่งานประมูลใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้ฝึกฝนเหล่านี้ ผู้ดำเนินการยิ่งต้องมีพลังแข็งแกร่งด้วย เพราะเหตุนี้เถ้าแก่เฉียนถึงเลือกผู้อาวุโสเหมี่ยนมาดำเนินการ


เดิมทีเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณก็คิดจะให้หลิ่วหมิงมารับผิดชอบเรื่องนี้ เพราะตอนนี้เขากำลังมีชื่อเสียงในเสวียนจิง แต่ก็ถูกหลิ่วหมิงปฏิเสธอย่างไม่ลังเล


“ข้าเชื่อว่าสหายจำนวนมากต่างก็รู้ว่าข้าคือใครแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร เรียกข้าว่าผู้อาวุโสเหมี่ยนก็พอ ข้าเป็นผู้ดำเนินการงานประมูลที่เรือนร้อยวิญญาณจัดขึ้นในครั้งนี้ แม้ว่าเรือนร้อยวิญญาณของเราจะจัดงานประมูลครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่เชื่อว่าจะต้องทำให้ทุกท่านกลับบ้านด้วยความพึงพอใจ เอาล่ะ! คิดว่าทุกท่านคงจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ข้าขอประกาศเปิดงานประมูลในครั้งนี้” ผู้อาวุโสพูดออกมาไม่กี่ประโยค จากนั้นก็กระแอมเบาๆ ก่อนประกาศเปิดงานประมูล


แม้ว่าเสียงเขาจะไม่ดัง แต่ภายใต้พลังเวทย์ที่แฝงอยู่ ทำให้ทุกคนในห้องโถงต่างก็ได้ยินกันอย่างชัดเจน


และในขณะเดียวกัน ประตูตรงด้านหลังแท่นหินก็เปิดออกมาอีกครั้ง หญิงสาวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นสามคน ต่างก็ประคองถาดสีเงินที่ถูกแพรต่วนสีแดงปกคลุมไว้ แล้วเดินขึ้นบนแท่นสูง จากนั้นก็วางลงบนโต๊ะยาวอย่างนอบน้อม


ผู้อาวุโสเหมี่ยนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างไม่รีบร้อน และเปิดแพรต่วนบนถาดตรงหน้าสุดออกมา เผยให้เห็นธงเล็กๆ สีเหลืองอ่อนที่ทับซ้อนกันหนาๆ จำนวนหนึ่ง


“ของประมูลชิ้นแรกคือธงค่ายกลทองคำจุตรสัตว์หนึ่งชุด เฮ่อๆ! เชื่อว่าสหายหลายท่านคงเคยได้ยินมาบ้าง ระหว่างที่แขกเรือนร้อยวิญญาณของพวกเราคุ้มกันนำส่งของประมูลมาเสวียนจิง ได้ถูกโจรดักซุ่มโจมตี สุดท้ายแขกเหล่านี้ ก็ใช้ธงค่ายกลชุดนี้ต้านทานการโจมตีของศัตรูไว้ได้ และยังยืนหยัดจนกองกำลังเสริมมาถึง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่เป็นอะไรเลย ดังนั้นธงค่ายกลชุดนี้จึงมีคุณค่าเป็นอย่างมาก ข้าตั้งใจนำมันมาเป็นของประมูลชิ้นแรก” พอพูดมาถึงจุดนี้ ผู้อาวุโสเหมี่ยนก็หยุดไปครู่หนึ่ง และกวาดสายตามองไปยังผู้คนที่อยู่ในห้องโถง


พอคำพูดนี้เปล่งออกมา ก็ทำให้คนจำนวนหนึ่งแอบกระซิบกันเบาๆ คนจำนวนมากต่างก็แสดงท่าทีสนใจออกมา


เพราะธงค่ายกลชุดนี้ได้ผ่านการพิสูจน์จากการใช้งานจริงมาแล้ว ถึงแม้จะต้องใช้คนจำนวนมากในการควบคุม แต่ก็มีกลุ่มอิทธิพลจำนวนไม่น้อยที่สนใจมัน


ผู้อาวุโสเหมี่ยนเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าพอใจออกมา เขาเชื่อว่าของชิ้นนี้คงประมูลได้ราคาไม่เลว จากนั้นก็เอ่ยปากออกมาอีกครั้ง


“ธงค่ายกลทองคำจุตรสัตว์หนึ่งชุด ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งหมื่นหินจิตวิญญาณ การประมูลแต่ละครั้งจะต้องเสนอราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันหินจิตวิญญาณ เริ่มเสนอราคาได้!”


“หนึ่งหมื่นหินจิตวิญญาณ”


“หนึ่งหมื่นสองพันหินจิตวิญญาณ”


“หนึ่งหมื่นห้าพันหินจิตวิญญาณ”


…….


พอเสียงผู้อาวุโสสิ้นสุดลง คนจำนวนมากต่างก็รีบเสนอราคาออกมา


พริบตาเดียวธงค่ายกลชุดนี้ก็มีมูลค่าเกือบสองหมื่นหินจิตวิญญาณ


ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ยังเสนอราคาอยู่ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ยังมีแค่สี่ห้าคนเท่านั้นที่ยังแข่งกันเสนอราคาอยู่


“สองหมื่นห้าพันหินจิตวิญญาณ” ในที่สุดก็มีเสียงแหบแห้งของคนผู้หนึ่งดันราคาให้สูงขึ้นมาอีก


คนอื่นๆ ที่ยังแย่งชิงกันอยู่ก็รีบหุบปากในทันที


ธงค่ายกลทองคำจตุรสัตว์นี้ ใช้ในการป้องกันเท่านั้น และไม่มีพลังโจมตีใดๆ ทั้งยังต้องใช้คนควบคุมหลายคน ราคาในตอนนี้ถือว่าสูงมากแล้ว


ถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกเสียดาย แต่งานประมูลเพิ่งจะเริ่มขึ้น จึงจำต้องสละมันไป


“ยังมีคนเสนอราคาอีกหรือไม่ ไม่มีแล้วจริงหรือ? หนึ่ง……สอง……สาม ธงค่ายกลทองคำจตุรสัตว์ชุดนี้เป็นของสหายท่านนี้แล้ว สหายไปชำระราคาของประมูลชิ้นนี้ได้ที่ด้านหลัง” ไม่รู้ว่าค้อนเล็กสีเขียวมรกตอยู่ในมือผู้อาวุโสเหมี่ยนตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากที่เขาเคาะลงบนโต๊ะแล้ว ก็ประกาศผู้ที่เป็นเจ้าของธงค่ายกลชุดนี้


บริเวณที่มีเสียงเสนอราคาครั้งสุดท้ายดังออกมา มีชายฉกรรจ์สวมหน้ากากสีขาวยืนอยู่ เขาเดินออกไปประตูด้านข้างของห้องโถงภายใต้การนำของผู้ที่ดูแลอยู่บริเวณนั้น


“ของประมูลชิ้นที่สอง เป็นหุ่นหมาป่ายักษ์สามตัวที่หุบเขาเก้าช่องได้ทำตกหล่นไว้ หากสหายเชี่ยวชาญวิชาหุ่นและควบคุมมันได้อย่างชำนาญล่ะก็ พวกมันแต่ละตัวจะมีพลังแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางเลย” ผู้อาวุโสเหมี่ยนเปิดแพรต่วนบนถาดใบที่สองออก จากนั้นก็ชี้ไปไปยังลูกกลมๆ สีเขียวสามลูกพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


ต่อมาเขาก็ปรบมือ และชายแปลกหน้าที่ยืนรออยู่นานแล้ว ก็เดินมาจากหลังแท่นหิน


พอชายผู้นี้เดินขึ้นบนแท่นหิน ก็หยิบลูกกลมๆ สีเขียวออกมาลูกหนึ่งแล้วโยนลงบนพื้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วชี้ออกไป


เสียงดัง “กรอบแกรบ!”


ลูกกลมๆ สีเขียวเปลี่ยนเป็นหมาป่ายักษ์ที่สูงจั้งกว่ากว่าๆ ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายสีเลือด มันดูคล่องแคล่วปราดเปรียวราวกับมีชีวิต


ภายใต้การควบคุมของชายแปลกหน้า หมายักษ์แสดงออกได้ว่องไวปราดเปรียวกว่าที่คนทั่วไปคิดไว้มากนัก ไม่ว่าจะเป็นการกระโจนเข้าหา หรือการฉีกทึ้งล้วนดูดุดันเป็นอย่างมาก ทั้งยังสามารถพ่นคมวายุสีเขียวออกมาได้หลายเส้น


ผู้ฝึกฝนอิสระส่วนมากในห้องโถงที่เดิมทีไม่สนใจของสิ่งนี้ ต่างก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย


แต่ในสายตาหลิ่วหมิงที่เคยเห็นศิษย์หุบเขาเก้าช่องควบคุมหุ่นมากับตา กลับรู้สึกว่าวิชาหุ่นของชายผู้นี้ดูธรรมดามาก มันไม่อาจเทียบกับศิษย์แกนนำของหุบเขาเก้าช่องได้เลย


หลังแสดงเสร็จ ชายแปลกหน้าก็ชี้ไปยังหมาป่ายักษ์ และทำให้กลายเป็นลูกกลมๆ สีเขียวก่อนที่นำไปวางไว้ในถาด จากนั้นก็ถอยลงไปจากแท่นหินสูงอย่างไร้สุ้มเสียง


“หุ่นหมาป่ายักษ์ทั้งสามแยกกันประมูล ตัวละสามพันหินจิตวิญญาณ เสนอราคาเพิ่มแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าสองร้อยหินจิตวิญญาณ!” ผู้อาวุโสเหมี่ยนถือโอกาสที่คนจำนวนไม่น้อยในห้องโถง ยังรู้สึกตกใจอยู่ ประกาศเริ่มการประมูลขึ้น


“สามพันหินจิตวิญญาณ”


“สามพันสองร้อยหินจิตวิญญาณ”


“สามพันสี่ร้อยหินจิตวิญญาณ”


…….


ภายใต้การแสดงที่ตื่นเต้นในเมื่อครู่ ทำให้ราคาการแย่งชิงหุ่นทั้งสามตัวนี้พุ่งสูงขึ้นมามาก สามพันหกร้อยหินจิตวิญญาณ สามพันแปดร้อยหินจิตวิญญาณ สี่พันสองร้อยหินจิตวิญญาณ


ผู้อาวุโสเห็นราคาเช่นนี้ ย่อมค่อนข้างรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก และเปิดแพรต่วนถาดที่สามออกมาอย่างไม่รีบร้อน เผยให้เห็นป้ายสีดำเทาที่ดูแปลกประหลาดยี่สิบกว่าอัน


“ป้ายเปิดจิตวิญญาณยี่สิบอัน นำมาจากผู้ที่จัดพิธีเปิดจิตวิญญาณ หากสหายท่านใดมีลูกหลาน และอยากให้พวกเขากลายเป็นผู้ฝึกฝนอย่างพวกเรา แต่ไม่สามารถเข้านิกายทั้งห้าได้ล่ะก็ สิ่งนี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ต้องบอกให้ชัดเจนก่อนว่า เรือนร้อยวิญญาณของพวกเราติดต่อกับกลุ่มผู้ฝึกฝนอิสระเหล่านี้เป็นครั้งแรก พวกเราเพียงแค่ช่วยพวกเขาประมูลป้ายเหล่านี้ และแจ้งสถานที่กับเวลาในการจัดพิธีเปิดจิตวิญญาณเท่านั้น เรื่องอื่นๆ จะไม่รับผิดชอบ ป้ายแต่ละอันเริ่มประมูลที่ห้าร้อยหินจิตวิญญาณ เสนอราคาเพิ่มได้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยหินจิตวิญญาณในแต่ละครั้ง เริ่มประมูลได้!” ครั้งนี้ผู้อาวุโสเหมี่ยนเพียงแค่แนะนำเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ประกาศให้เริ่มการประมูลได้!”


แต่เห็นได้ชัดว่า ผู้คนในห้องโถงค่อนข้างคุ้นเคยกับป้ายเปิดจิตวิญญาณ และแสดงสีหน้าดีใจออกมา พอเริ่มการประมูลเริ่มขึ้น ราคาก็สูงขึ้นพรวดพราด และราคาส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราวๆ หนึ่งพันหินจิตวิญญาณ และประมูลขายได้อย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด


ป้ายเปิดจิตวิญญาณที่พูดถึง คือสิ่งของที่เขาพกไปร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณของนิกายปีศาจในตอนนั้น และมันเป็นสัญลักษณ์ของการได้เข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณ


ป้ายในงานประมูลเหล่านี้ ไม่ได้ถูกส่งมาจากนิกายใหญ่ แต่ผู้ฝึกฝนอิสระรวบรวมทรัพยากรขึ้นมาเอง และจัดพิธีเปิดจิตวิญญาณอย่างเงียบๆ


ด้วยเหตุที่ว่าทรัพยากรกับพลังเวทย์ของผู้ดำเนินการมีไม่เพียงพอ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นจำนวนคนเข้าร่วมหรือโอกาสในการเปิดจิตวิญญาณได้สำเร็จ ล้วนไม่อาจเทียบกับนิกายใหญ่ๆ ได้ แต่ผู้ฝึกปราณจำนวนมาก ก็ยังเชื่อว่าสามารถกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณได้ ด้วยเหตุนี้ถึงแม้มันจะมีราคาแพง แต่ก็ยังได้รับความนิยมในบรรดาผู้ฝึกปราณ และสร้างผู้ฝึกฝนอิสระมาไม่รู้จำนวนเท่าไหร่


เกรงว่าในห้องโถงใหญ่นี้ อย่างน้อยก็มีแปดถึงเก้าส่วนที่กลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณด้วยวิธีการนี้


หลังจากที่ป้ายเปิดจิตวิญญาณยี่สิบอันถูกประมูลขายไปอย่างราบรื่นแล้ว ผู้อาวุโสเหมี่ยนก็ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม พอเขาปรบมืออีกครั้งหญิงรับใช้สามคนก็เดินขึ้นแท่นประมูล


ครั้งนี้ไม่มีสิ่งของใดๆ มาปิดถาดที่หญิงทั้งสามถืออยู่ สิ่งที่อยู่บนนั้นเป็นขวดเล็กสีแดงอ่อนๆ ที่มีลักษณะเหมือนกันทั้งสามใบ


“สิ่งของที่จะประมูลในลำดับต่อไป เชื่อว่าสหายหลายคนต่างก็ใฝ่ฝันหา มันคือไอปีศาจบริสุทธิ์สามชุดที่รวบรวมมาจากหลุมปีศาจเดียวกัน!” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกวาดสายตามองขวดทั้งสามด้วยประกายตาที่เร่าร้อน


……………………………………….


ตอนที่ 195 ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังอัคคีกับเกราะกลนักรบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อะไรนะ! คิดไม่ถึงว่าจะเป็นไอปีศาจบริสุทธิ์ ทั้งยังมีสามชุดด้วย! ข้าตัดสินใจถูกที่เข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้!”


“ไอปีศาจบริสุทธิ์ที่ปรากฏในเสวียนจิงเมื่อครั้งก่อน ก็เป็นเวลาสามปีมาแล้ว ทั้งยังมีแค่ชุดเดียว และเป็นรายการประมูลรั้งท้ายด้วย!”


“ผู้อาวุโสเหมี่ยน ไอปีศาจบริสุทธิ์ทั้งสามชุดนี้เป็นไอปีศาจบริสุทธิ์ชนิดใด?”


ตอนแรกผู้คนในห้องโถงต่างก็รู้สึกตกใจ แต่หลังจากนั้นก็ส่งเสียงฮือฮาออกมา บางคนถึงกับลุกขึ้นยืน และยืดคอจ้องมองไปยังขวดทั้งสามใบนั้น


ถึงแม้ในนี้จะมีผู้ฝึกฝนที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายอยู่น้อยมาก และผู้ที่ฝึกฝนจนถึงระดับขั้นสมบูรณ์แบบยิ่งมีน้อยกว่ามาก แต่มันก็เพียงพอที่จะให้ผู้คนทั้งหมดรู้สึกคลั่งขึ้นมา


สำหรับผู้ฝึกฝนอิสระอย่างพวกเขาแล้ว ถ้ามีไอปีศาจบริสุทธิ์อยู่ในมือหนึ่งชุด ก็สามารถรับรองได้ว่าตนเองมีโอกาสเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณได้


ส่วนเรื่องที่ว่า พวกเขาสามารถฝึกฝนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ณ เวลานี้ย่อมไม่มีใครคำนึงถึง


ผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องโถง ต่างก็รู้สึกตกใจระคนดีใจเป็นอย่างมาก พวกตัดสินใจคว้าเอาไอปีศาจบริสุทธิ์มาอยู่ในมือให้ได้


ในขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสเหมี่ยนก็หยิบขวดเล็กๆ สีแดงบนถาดที่หญิงสาวนางหนึ่งถือไว้ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง หลังจากที่สูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปแล้ว ก็ปิดจุกขวดออก


เสียงดัง “ฟู่!”


ภายใต้การปล่อยพลังเวทย์ไปยังก้นขวดของผู้อาวุโสเหมี่ยน ทำให้มีแสงสีแดงจางๆ พุ่งออกมาจากขวด มันหมุนวนรอบขวดใบเล็กอยู่ไม่หยุด ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต และแผ่ไอร้อนออกมาเล็กน้อย


“เรื่องผลกระทบไอปีศาจบริสุทธิ์นั้น ข้าจะไม่พูดถึง ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังอัคคีทั้งสามนี้ เป็นหนึ่งในไอปีศาจบริสุทธิ์ห้าธาตุหลังจากบ่มเพาะสำเร็จแล้ว ไม่เพียงแต่จะใช้คุ้มกันตัวและโจมตีศัตรูได้เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มพลังของวิชาประเภทอัคคีได้เล็กน้อย นับว่าเป็นไอปีศาจบริสุทธิ์ชนิดที่มีคนสนใจมากที่สุด ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังอัคคีทั้งสามชุดจะถูกแยกกันประมูล เสนอราคาได้ครั้งละไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันหินจิตวิญญาณ ตอนนี้เริ่มประมูลชุดที่หนึ่งได้!” พอผู้อาวุโสกระตุ้นพลังเวทย์อีกครั้ง ก็มีแสงสีขาวเปล่งประกายออกมาดูดแสงสีแดงเข้าไป จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่รีบร้อน


หลังจากที่คำพูดนี้เปล่งออกมา ทั่วทั้งห้องโถงก็เงียบลงในทันที ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากเสนอราคาออกมาก่อน


ประจักษ์ชัดว่าผู้คนต่างก็อยากได้ไอปีศาจพลังอัคคี แต่ก็รู้ดีว่าผู้ที่เสนอราคาเป็นคนแรก ไม่มีโอกาสที่จะประมูลไอปีศาจบริสุทธิ์นี้มาได้


หลิ่วหมิงนั่งมองไอปีศาจบริสุทธิ์ทั้งสามชุดอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องโถง ด้วยใจที่เต้นโครมคราม


ถึงแม้ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังอัคคีจะไม่ใช่ของหายากอะไร แต่ปรากฏออกมาพร้อมกันสามชุดเช่นนี้ ถ้าเขาได้มันมาทั้งหมด ก็เพียงพอที่จะใช้ในการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว


แต่ไอปีศาจบริสุทธิ์ธาตุไฟนี้ ไม่ค่อยเหมาะกับเคล็ดวิชากระดูกดำที่เขาฝึกมากนัก หลังจากบ่มเพาะจนกลายเป็นปราณแข็งแกร่งแล้ว ก็ไม่ค่อยช่วยเสริมความแข็งแกร่งของพลังได้มาก


ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ อาจจะประมูลไอปีศาจบริสุทธิ์หนึ่งชุดได้ แต่ถ้าคิดจะประมูลมาให้ได้ทั้งสามชุด คงเป็นแต่เรื่องเพ้อฝันเท่านั้น


ถ้าได้มาชุดหนึ่งล่ะก็ มันไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก และคำสัญญาของเถ้าแก่เฉียนที่ขายให้เขาครึ่งราคานั้น ใช้ได้กับสิ่งของเพียงชิ้นเดียว


หลิ่วหมิงใจเต้นรัวด้วยความลังเล


ขณะนี้ ได้มีคนเสนอราคาขึ้นมา


“สองหมื่นหินจิตวิญญาณ”


“สองหมื่นหนึ่งพัน”


“สองหมื่นสามพัน”


……


ถึงแม้จะมีคนสนใจไอปีศาจบริสุทธิ์ชุดนี้เป็นจำนวนมาก แต่ส่วนมากก็เป็นแค่ผู้ฝึกฝนอิสระทั่วไป มีหินจิตวิญญาณอยู่ไม่กี่พันก้อน ถึงแม้จะเสนอราคาออกมาอย่างดุเดือด แต่ก็มีผู้ประมูลแค่สิบกว่าคนเท่านั้น


และในบรรดาผู้ที่เสนอราคา ส่วนมากมีอิทธิพลใหญ่หนุนอยู่เบื้องหลัง


“สามหมื่นสองพันหินจิตวิญญาณ! ข้าจะต้องได้ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังอัคคีชุดนี้ หวังว่าสหายท่านอื่นๆ คงจะไว้หน้าข้า” น้ำเสียงมุทะลุดุดันเสนอราคาสูงขึ้นมาหลายพัน และเจ้าของเสียงก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับถอดหมวกคลุมออกมา เขาเป็นชายฉกรรจ์หน้าตาโหดเหี้ยม มีรอยแผลเต็มใบหน้า


“ที่แท้ก็คือเยวี่ยเซวี่ยโส่วจากบ้านวายุพิภพ”


“เขาเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง คนทั่วไปต่างก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขา”


พอเห็นใบหน้าที่แท้จริงของชายอัปลักษณ์ผู้นี้ ก็มีคนกระซิบกระซาบขึ้นมาทันที สายตาที่มองมายังชายผู้นี้เต็มไปด้วยความเคารพและยำเกรง


ชายฉกรรจ์หน้าตาอัปลักษณ์มองไปข้างๆ ด้วยสีหน้าพอใจ


“สามหมื่นสามพันหินจิตวิญญาณ! ฮึ! พี่เยวี่ย ท่านอยากได้ไอปีศาจบริสุทธิ์ชุดนี้ แล้วพวกข้าไม่อยากได้หรือ? ถ้าอยากได้ไปจริงๆ ล่ะก็ ต้องดูว่าใครเสนอหินจิตวิญญาณมากกว่ากัน” เสียงราบเรียบของชายผู้หนึ่งดังขึ้นมา และเสนอราคาประมูลออกไปอย่างไม่ลังเล


“ท่านกุ่ย ที่แท้ก็เป็นท่าน ได้! ถ้าเทียบเรื่องวงค์ตระกูลล่ะก็ คิดว่าข้าจะกลัวเจ้าหรือ? สามหมื่นห้าพันหินจิตวิญญาณ!” พอชายฉกรรจ์หน้าอัปลักษณ์ได้ยิน ก็มองไปยังเงาร่างผอมแห้งตรงมุมห้องที่มีแสงสีเทาปกคลุมอยู่ และกล่าวด้วยความโมโห


“สามหมื่นหกพันหินจิตวิญญาณ” เงาร่างผอมแห้งกล่าวอย่างไม่รีบร้อน


“สามหมื่นเจ็ดพัน” แม้จะรู้ว่าราคานี้ค่อนข้างสูงเล็กน้อย แต่ชายฉกรรจ์หน้าอัปลักษณ์ก็กัดฟันพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“เฮ่อๆ! สามหมื่นเจ็ดพันหินจิตวิญญาณซื้อไอปีศาจบริสุทธิ์พลังอัคคีหนึ่งชุด สหายเยวี่ยช่างเป็นคนใจกว้างจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าจะยอมให้ท่านก็แล้วกัน” ท่านกุ่ยหัวเราะก่อนที่จะยอมแพ้ในการประมูล


ถึงแม้ชายฉกรรจ์หน้าอัปลักษณ์จะรู้สึกโกรธที่ได้ยินเช่นนี้ แต่ก็แค่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม หลังจากที่ผู้อาวุโสเหมี่ยนประกาศผู้ชนะแล้ว เขาก็ไปชำระราคาสิ่งของประมูล


ด้วยราคาที่สูงเช่นนี้ ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังอัคคีอีกสองชุดที่เหลือก็ถูกประมูลออกไปในราคาสามหมื่นห้าพันหินจิตวิญญาณ กับสามหมื่นสามพันหินจิตวิญญาณ


หนึ่งในสองชุดนั้นถูกท่านกุ่ยประมูลไปได้


หลังจากที่หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองแล้ว ในที่สุดก็ไม่ได้เข้าร่วมประมูลไอปีศาจบริสุทธิ์ทั้งสามชุด


ในเวลาต่อมา ภายใต้การดำเนินงานประมูลของผู้อาวุโสเหมี่ยน อาวุธจิตวิญญาณ และโอสถหายากกับยันต์จำนวนหนึ่งก็ถูกนำออกมาประมูล


แม้ของเหล่านี้จะไม่อาจเทียบได้กับไอปีศาจบริสุทธิ์ในก่อนหน้า แต่คนส่วนมากสามารถรับราคาประมูลได้ ด้วยเหตุนี้มันจึงคึกครื้นกว่าก่อนหน้านั้นมาก


หนึ่งในนั้น หลิ่วหมิงเองก็ใช้หินจิตวิญญาณไปหลายพันก้อน ประมูลโอสถมาสองชนิด และยันต์หนึ่งชนิด ส่วนอาวุธจิตวิญญาณที่มีมูลค่ามากเหล่านั้น เขากลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย


ครึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อกระบี่ที่เป็นอาวุธธาตุน้ำ และพบเห็นได้น้อยมากถูกประมูลออกไปแล้ว ผู้อาวุโสเหมี่ยนก็หยิบขวดสีเขียวมรกตเล็กๆ ขึ้นมาจากถาดที่สาวใช้ถืออยู่ในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และเทเม็ดโอสถสีแดงเลือดออกมาหนึ่งเม็ด จากนั้นก็ยกขึ้นพร้อมกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเฉียบขาด


“คิดว่าสหายทุกท่านคงรอจนร้อนใจแล้ว! ลำดับถัดไปเป็นของประมูลรั้งท้ายของงานประมูลในครั้งนี้ สิ่งแรกคือโอสถโลหิตเผาไหม้จำนวนสามเม็ด ที่ผู้เชี่ยวชาญฝานปรุงขึ้นมาเอง จากการที่เรือนของเราได้ทำการตรวจสอบ พวกมันแต่ละเม็ดสามารถกระตุ้นโลหิตทั่วร่าง จนทำให้พลังเวทย์เพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสี่ส่วนเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม และถ้าผู้ที่ทานมีร่างกายแข็งแกร่ง มันก็จะแสดงผลลัพธ์ได้มากขึ้นและนานขึ้น มีข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ หลังจากใช้มันแล้ว พลังจะอ่อนแอเป็นระยะเวลาเดือนกว่าๆ แต่แค่ทานโอสถบำรุงจำนวนหนึ่ง ก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้เป็นปกติ และไม่มีผลข้างเคียงอื่นๆ ในแคว้นต้าเสวียนนี้ มีแค่ผู้เชี่ยวชาญฝานที่สามารถปรุงโอสถชนิดนี้ได้ และด้วยเหตุที่วัตถุดิบในการปรุงนั้นหาได้ยากยิ่ง หลายปีมานี้ ผู้เชี่ยวชาญฝานจึงปรุงได้แค่สามเม็ดเท่านั้น ดังนั้นแต่ละเม็ดล้วนล้ำค่าเป็นอย่างมาก และตามความต้องการของผู้เชี่ยวชาญฝาน ท่านให้ประมูลขายทั้งสามเม็ดพร้อมกัน ราคาเริ่มต้นประมูลที่สามหมื่นหินจิตวิญญาณ เริ่มประมูลได้!”


ด้วยชื่อเสียงของฝานไป๋จื่อ ผู้คนในห้องโถงย่อมไม่สงสัยอะไรในผลลัพธ์ของโอสถโลหิตเผาไหม้ และโอสถที่ช่วยชีวิตในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่กลุ่มอิทธิพลจำนวนมากต่างก็ให้ความสนใจ ทันใดนั้นคนลึกลับที่ปิดบังใบหน้าหลายคนก็เริ่มแข่งกันประมูล


หลังจากเสนอราคาไปไม่กี่ครั้ง ราคาโอสถโลหิตเผาไหม้ขวดนี้ ก็พุ่งสูงไปเกือบห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ ซึ่งถูกคนสวมชุดคลุมและหน้ากากสีดำประมูลไปได้


เมื่อคนผู้นี้ประมูลโอสถขวดนี้ได้แล้ว ก็ไปรีบไปจากห้องโถง และก็ไม่กลับมาอีกเลย


หลิ่วหมิงเห็นผลการประมูลเช่นนี้ ก็รู้สึกความเสียวสะท้านอย่างอดไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่เขารู้จักคุณค่าที่แท้จริงของวิชาปรุงโอสถ


ขณะนี้ ผู้อาวุโสเหมี่ยนนำสิ่งของประมูลรั้งท้ายชิ้นที่สองออกมามันเป็นเกราะไม้สี่เหลี่ยมสีเหลืองอ่อน พื้นผิวของมันเต็มไปด้วยอักขระสีเงินจางๆ แลดูลึกลับเป็นอย่างมาก


“เฮ่อๆ! ของชิ้นนี้พบเห็นได้น้อยมาก ไม่ทราบว่ามีใครพอรู้จักของชิ้นนี้บ้าง?” ผู้อาวุโสเหมี่ยนยกเกราะไม้ขึ้นมา หลังจากที่กวาดสายตามองบรรดาผู้คนแล้ว ก็ถามออกไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนกับยิ้ม


คำถามนี้ ทำให้ผู้ฝึกฝนในนั้นฮือฮาขึ้นมา แต่กลับจ้องมองชุดเกราะด้วยสายตางุนงง ประจักษ์ชัดว่ามีไม่กี่คนที่รู้จักมัน


“ของชิ้นนี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง หรือว่าจะเป็น ‘เกราะกลนักรบ’ ตามคำเล่าลือ หลังจากที่เงียบไปสักพัก ก็มีเสียงพูดออกมาด้วยความลังเล


“เฮ่อๆ! ที่แท้พี่หนานก็มาด้วย มิน่าเล่า! ด้วยทักษะวิชากลของพี่หนาน ย่อมรู้จักของสิ่งนี้ นี่เป็นเกราะกลนักรบที่พบเห็นได้น้อยมาก มันสร้างมาจากไผ่จิตวิญญาณพันปีกับเอ็นอสรพิษพันปี ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้น แต่ยังสามารถเพิ่มพลังป้องกันการโจมตีจากอาวุธสามชนิดได้พร้อมกัน ลำพังแค่คำพูดไม่อาจเชื่อถือได้ ข้าจะแสดงอานุภาพของมันให้ทุกท่านได้เห็น” ผู้อาวุโสเหมี่ยนมองหน้าคนพูดทีหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยตาเป็นประกาย จากนั้นก็วางเกราะไม้ลงบนโต๊ะ หลังจากแตะมือข้างหนึ่งลงไป ก็พลันปรากฏร่องเว้าออกมา


แสงสีขาวเปล่งประกาย!


ผลึกหินขนาดเท่านิ้วโป้งก้อนหนึ่งถูกใส่ลงไปในร่องเว้า


จากนั้นผู้อาวุโสเหมี่ยนก็ร่ายคาถา ทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วชี้ไปยังเกราะไม้


เสียงดัง “ฟู่!” เกราะไม้ระเบิดตัวกลายเป็นแผ่นไผ่จำนวนมาก จากนั้นก็กระโจนมายังด้านหน้าผู้อาวุโสเหมี่ยนอย่างพร่ามัว


หลังจากมีเสียงแตกหักดังออกมา เสื้อเกราะที่มีแสงสีเหลืองเปล่งประกาย ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าผู้อาวุโสเหมี่ยน รูปร่างภายนอกดูโบราณและเรียบง่าย เห็นได้ลางๆ ว่าสร้างขึ้นจากแผ่นไม้ไผ่ มันปกคลุมร่างกายของผ้อาวุโสเหมี่ยนไว้อย่างแน่นหนา


พริบตาที่แผ่นไผ่รวมตัวเป็นเกราะนั้น อักขระสีเงินจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากบนแผ่นไผ่ แล้วหลังจากที่มันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็ก่อตัวเป็นค่ายกลอักขระสีเงินล้อมหน้าหลังเสื้อเกราะไว้อย่างน่าอัศจรรย์ มันดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นอย่างมาก


ในขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสเหมี่ยนก็ขยับแขน ไม่รู้ว่าเขาไปสัมผัสกลไกอะไรบนชุดเกราะ ทันใดนั้นแสงสว่างก็เปล่งประกายออกมา ก่อให้เป็นม่านแสงสีเงินจางๆ และปกคลุมผู้อาวุโสเหมี่ยนไว้


……………………………………….


ตอนที่ 196 กระบอกกำจัดปีศาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะนี้ ไป๋ชิงไห่ที่ยืนอยู่มุมหนึ่งของแท่นประมูล ก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วยกมือปล่อยลูกเปลวไฟใส่ผู้อาวุโส


หลังจากเสียงดัง “ตู๊ม!” “ตู๊ม!” ลูกเปลวไฟสองลูกที่มีอานุภาพค่อนข้างรุนแรงก็ระเบิดออกมาพร้อมกัน แต่มันแค่ทำให้ม่านแสงบนตัวของผู้อาวุโสสั่นไหวเพียงเล็กน้อย จากนั้นมันก็กลับมาเป็นปกติ


ไม่เพียงแค่นี้ ไป๋ชิงไห่ยังชักกระบี่ยาวตรงหลังออกมา เขาสะบัดมันแค่ทีเดียว ปราณกระบี่อันน่าสะพรึงก็ฟาดฟันออกไป


“เพล้ง!”


ม่านแสงสีเงินเว้าเข้าไปเพียงเล็กน้อย แล้วมันก็ดีดปราณกระบี่ออกไป โดยที่ม่านแสงไม่เป็นอะไรเลย


ฉากนี้ทำให้ผู้ฝึกในที่ยู่ด้านล่างร้องออกมาด้วยความตกใจ


เมื่อไปชิงไห่เก็บกระบี่ยาวเข้าฝักแล้ว ก็กลับไปยืนที่เดิมด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นผู้อาวุโสเหมี่ยนก็ตบมือข้างหนึ่งไปที่เอว เสื้อเกราะตรงหลังก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นปีกไม้ไผ่สีเหลือง มันแค่กระพือเบาๆ ก็พุ่งขึ้นบนอากาศ และบินวนอยู่ในห้องโถงด้วยความเร็วอันน่าตกใจ


และในขณะเดียวกัน เสียงผู้อาวุโสก็ดังขึ้นในห้องโถง


“นี่คือการเพิ่มพลังของเกราะกลนักรบชุดนี้ ไม่เพียงแต่รวดเร็วกว่าวิชาทะยานเวหาหลายเท่า แต่ยังไม่ด้อยไปกว่าการเพิ่มพลังของยันต์เทพเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความปราดเปรียวในขณะทำการต่อสู้ มันเป็นสิ่งที่วิชาเสริมพลังทั่วไปไม่อาจเทียบได้ ต่อไปข้าจะแสดงพลังการโจมตีของมันให้ทุกท่านได้ชม”


หลังกล่าวจบ เงาร่างผู้อาวุโสเหมี่ยนก็หายไปจากอากาศแล้วมาปรากฏบนแท่นหินด้วยรอยยิ้ม ทำให้ผู้ฝึกฝนในห้องโถงรู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง


ในขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสก็ยกแขนทั้งสองขึ้น และเล็งไปยังเสาหินอ่อนที่อยู่ใกล้ๆ แท่นหิน พอแสงสีเงินเปล่งประกายตรงข้อมือ กระบอกสีเงินขนาดเท่าแขนก็ปรากฏขึ้นบนมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็มีเสียงปะทุอยู่ภายในก่อนที่มันจะพ่นหนามสีเงินออกมา


ครู่ต่อมาก็มีเสียงดังราวกับสายฝนกระหน่ำ หลังจากที่ลำแสงสีเงินเปล่งประกายบนเสาหินอย่างบ้าคลั่งแล้ว รูเล็กๆ จำนวนมากก็ปรากฏอยู่เสาหิน


คนจำนวนไม่น้อยต้องจ้องมองอย่างละเอียด ถึงมองออกว่ารูเล็กๆ เหล่านี้ มีเข็มเงินเล็กๆ ราวกับขนวัวจมปลักอยู่ สิ่งนี้ทำให้ทุกคนเผยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริศออกมา


ด้วยระยะห่างเช่นนี้ อาศัยเพียงแค่พลังของเกราะกลก็ทำให้เข็มเงินสำแดงอานุภาพได้ถึงเพียงนี้ โดยไม่ต้องใช้พลังเวทย์เลย ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเป็นอย่างมาก


“การโจมตีแบบนี้ เป็นแค่อานุภาพต่ำสุดของเกราะกลนักรบเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการโจมตีอีกสองรูปแบบ เพื่อผลประโยชน์ของผู้ที่ประมูลได้ ข้าก็จะไม่แสดงให้ดูอีก แต่เชื่อว่ามันพอที่จะพิสูจน์มูลค่าของเกราะกลนักรบชุดนี้ได้แล้ว แม้ว่ามันไม่อาจเทียบได้กับเกราะนักรบจิตวิญญาณตามที่เล่าลือ แต่ด้วยเหตุที่มันใช้พลังเวทย์น้อยมาก จึงเหมาะสมกับศิษย์จิตวิญญาณอย่างพวกเรา” ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเหมี่ยนไปกดกลไกอะไรอีก หลังจากที่มีแตกหักดังออกมา เกราะนักรบก็กลายเป็นเกราะไม้สีเหลืองอ่อนท่ามกลางแสงสีเงิน แล้วเขาก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ผู้อาวุสเหมี่ยน เกราะกลนักรบชุดนี้น่าสนใจจริงๆ แต่ไม่ทราบว่าการกระตุ้นแต่ละครั้ง ต้องใช้ผลึกหินจิตวิญญาณเท่าไหร่” มีคนถามนี้มาจากด้านล่างของแท่นหิน


“สหายท่านนี้ถามได้ดีมาก ข้ากำลังจะพูดเรื่องนี้อยู่พอดี ชุดเกราะกลนักรบชุดนี้มันใช้งานได้ดี แต่ไม่สามารถใช้หินจิตวิญญาณทั่วไปทำการเปิดใช้งานในแต่ละครั้งได้ ต้องเป็นผลึกหินจิตวิญญาณธาตุลมเท่านั้น อีกอย่างต้องเป็นผลึกหินธาตุลมที่อยู่ระดับกลางขึ้นไป” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวโดยไม่ต้องคิด


คำตอบนี้ทำให้ผู้คนด้านล่างแท่นหิน แสดงสีหน้าแตกต่างกันออกไป


“เอาล่ะ! ความสามารถของเกราะกลนักรบนี้ ข้าก็ได้แสดงมันออกมาให้เห็นแล้ว ตอนนี้เริ่มประมูลอย่างเป็นทางการได้ ราคาเริ่มต้นที่ห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ เสนอราคาเพิ่มได้ครั้งละไม่ต่ำกว่าสองหมื่นหินจิตวิญญาณ!” ผู้อาวุโสเหมี่ยนถือโอกาสประกาศเริ่มต้นการประมูลของสิ่งนี้


แม้ว่าเกราะกลนักรบชุดนี้ จะทำให้คนจำนวนไม่น้อยตาร้อนเป็นผะผ่าว แต่ด้วยราคาที่สูงถึงห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ คนส่วนมากจึงละทิ้งความคิดที่จะได้มันไป


ถึงแม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกใจเต้นกับเกราะกลนักรบนี้เป็นอย่างมาก แต่ถ้าพูดถึงในแง่ของพลังป้องกันล่ะก็ เขามีเกราะหนังเกล็ดมังกรแดงแล้ว ถ้าพูดถึงในแง่ของการโจมตีล่ะก็ ของสิ่งนี้จะเทียบกับกระบี่จันทราหยกในมือเขาที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางได้อย่างไร ดังนั้นเขาย่อมไม่คิดที่จะเสนอราคาออกไป


“ห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ!”


หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็มีคนเอ่ยปากออกมาในที่สุด เขาก็ผู้ฝึกฝนแซ่หนานที่จำเกราะกลนักรบนี้ได้ในตอนแรก


หลิ่วหมิงมองออกไปด้วยใจที่เต้นแรง


คนผู้นั้นนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องโถง เขาสวมงอบขนาดใหญ่ปิดปังใบหน้าทั้งหมดไว้


แต่ดูจากการที่คนบริเวณนั้นพากันหลีกทางให้เขา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกฝนธรรมดา


“ห้าหมื่นสองพันหินจิตวิญญาณ!” มีเสียงราบเรียบของหญิงสาวดังขึ้นมา น้ำเสียงของนางเลือนลางเป็นอย่างมาก มันดังก้องไปทั่วทิศ จนไม่สามารถหาตำแหน่งของเสียงได้


“ห้าหมื่นสี่พัน!” น้ำเสียงของชายแซ่หนานดูเคร่งขรึมขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจมากนัก


“ห้าหมื่นหกพัน” หญิงสาวกล่าวอย่างไม่รีบร้อน


“สหายหู เจ้าคิดว่าข้าจำเสียงของเจ้าไม่ได้หรือ เจ้าไม่ชำนาญทักษะกล เกราะกลนักรบนี้คงไม่ค่อยมีประโยชน์กับเจ้ามากนัก?” ชายแซ่หนานอดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“พี่หนาน ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง! ด้วยระดับทักษะกลของท่าน ข้าควรจะยอมอ่อนข้อให้ แต่ใครใช้ให้นายของข้าอยากได้ของชิ้นนี้เล่า ข้าคงต้องล่วงเกินท่านแล้ว!” หญิงสาวนางนั้นกล่าวด้วยเสียงหัวเราะดังกิ๊กกั๊ก


“ฮึ! นายเจ้าจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับทักษะกล ถ้าเกาะกลนักรบชิ้นนี้ตกอยู่ในมือข้าล่ะก็ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะสร้างมันขึ้นมาได้ใหม่ภายในยี่สิบถึงสามสิบปี ข้าจะต้องประมูลเอาของชิ้นนี้มาให้ได้ ผู้อาวุโสเหมี่ยน ตอนนี้ข้ามีหินจิตวิญญาณไม่มาก ข้าสามารถใช้ของล้ำค่าอื่นๆ แลกหินจิตวิญญาณได้หรือไม่?” พอชายแซ่หนานได้ยินก็กล่าวด้วยความโมโห


“ตามหลักการแล้ว ถ้าหินจิตวิญญาณไม่พอล่ะก็ สามารถใช้ของล้ำค่าอื่นๆ แลกหินจิตวิญญาณได้ แต่ร้านของเราต้องเก็บค่าใช่จ่ายหนึ่งส่วน ไม่ทราบว่าสหายมีของล้ำค่าอันใด?” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


“ข้ามีกระบอกกำจัดปีศาจที่เพิ่งสร้างไม่นานสองชิ้น และเรือกลเหาะหนึ่งลำ ซึ่งเพียงแค่ใช้หินจิตวิญญาณก็สามารถกระตุ้นมันได้ สหายทำการประมูลมันในตอนนี้เถอะ!” ชายแซ่หนานกล่าว


“อะไรนะ! พี่หนานสร้างเรือกลเหาะมาอีกลำหนึ่งแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเสียจริง!” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวด้วยความตกตะลึง


ดูเหมือนว่าเรือกลเหาะที่ชายแซ่หนานกล่าวถึง ก็เป็นของล้ำค่าที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน


ผู้คนในห้องโถงได้ยินเช่นนี้ ต่างก็พากันลุกฮือขึ้นมา


“โอกาสในการสร้างเรือกลเหาะได้สำเร็จนี้ ค่อนข้างน้อยไปหน่อย ข้าใช้เวลาสามสี่ปีถึงสร้างได้สำเร็จหนึ่งชิ้น เดิมทีข้าคิดจะเก็บชิ้นนี้ไว้ใช้งาน แต่เพื่อเกราะกลนักรบชิ้นนี้ ข้าจำเป็นต้องเสียมันไป” ชายซ่หนานกล่าวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี


ผู้อาวุโสเหมี่ยนพยักหน้าราวกับว่าเข้าใจเขา


ขณะนี้ มีคนรับใช้คนหนึ่งหยิบของสามชิ้นมาไว้บนถาด แล้วนำขึ้นแท่นประมูลอย่างรวดเร็ว


“ข้าเชื่อว่า คงไม่ต้องพูดถึงความเชี่ยวชาญทักษะกลของสหายหนานแล้ว สหายจำนวนมากคงเคยได้ยินชื่อเสียงของเขา แต่การทำงานของกระบอกกำจัดปีศาจกับเรือกลเหาะนั้น ข้าจะแสดงให้ทุกท่านดูเล็กน้อย” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าว และหยิบกระบอกเหล็กสีแดงที่ดูธรรมดาๆ ขึ้นมา หลังจากนั้นก็ชี้ไปทางเสาหินอ่อนบริเวณนั้น และใช้นิ้วโป้งกดปุ่มนูนๆ บนกระบอกเบาๆ


เสียงกลไกดังขึ้น


ลำแสงเปล่งประกายออกจากปลายกระบอก แสงลูกกลมๆ กลุ่มหนึ่งพุ่งยิงออกมา แต่พอมันยิงไปได้ไกลไม่กี่จั้ง ก็ระเบิดตัวออกมา ตาข่ายไหมแวววาวขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้น และปกคลุมเสาหินไว้


ไอสีขาวพวยพุ่งออกจากเสาหินในทันที และรวมตัวกันเป็นน้ำค้างแข็งเกาะอยู่บนเสา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันที


แม้ว่าชื่อของกระบอกกำจัดปีศาจจะดูโอ้อวดไปหน่อย แต่สามารถใช้โจมตีระยะสั้นได้โดยฉับพลันเช่นนี้ ช่างเป็นอาวุธจู่โจมที่ทำให้คนป้องกันจนไม่หวาดไม่ไหว


ขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสเหมี่ยนก็วางกระบอกเหล็กลง และประกาศออกมาด้วยรอยยิ้ม


“การใช้กระบอกกำจัดปีศาจในแต่ละครั้ง จะต้องเปลี่ยนหินจิตวิญญาณที่อยู่ข้างในทุกครั้ง ผลึกหินธาตุต่างกัน ผลลัพธ์ของตาข่ายกำจัดปีศาจที่ปล่อยออกมาก็จะแตกต่างกัน โดยทั่วไปหลังจากใช้ไปเจ็ดแปดครั้งแล้ว ถึงแม้จะเปลี่ยนผลึกหินข้างใน แต่กลไกทั้งหมดก็จะชำรุดไป เห็นได้ชัดว่าทั้งสองชิ้นนี้เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ ตามราคาท้องตลาดในตอนนี้ ราคาประมูลของแต่ละชิ้นจะเริ่มต้นที่ห้าพันหินจิตวิญญาณ เสนอราคาได้ครั้งละไม่ต่ำกว่าห้าร้อยหินจิตวิญญาณ”


แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ หลังจากที่ผู้อาวุโสกล่าวคำพูดนี้ออกมา ห้องโถงทั้งห้องก็เงียบกริบทันที อุปกรณ์กลที่มีประโยชน์เช่นนี้กลับไม่มีคนเสนอราคาประมูลออกมา


แม้ว่าชายแซ่หนานจะนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน แต่ใครก็จินตนาการออกว่าตอนนี้เขารู้สึกเสียหน้ามากแค่ไหน


“อิอิ! พี่หนาน! แม้ว่ากระบอกกำจัดปีศาจจะไม่เลว แต่ก็มีหลายครั้งที่มันระเบิดตัวเองออกมา ตอนนี้ใครจะกล้าซื้อง่ายๆ ล่ะ!” หญิงสาวแซ่หูหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา


“ฮึ! ระเบิดอะไรกัน! เห็นๆ อยู่ว่าคนผู้นั้นใช้เกินจำนวนครั้งไปแล้ว แต่ก็ยังละโมบใช้ต่อ จึงก่อให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” ชายแซ่หนานได้ยินก็กล่าวด้วยความโมโห


“ถึงแม้ข้าจะเชื่อคำพูดนี้ แต่คนอื่นๆ ก็ต้องเชื่อด้วยถึงจะได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าหูชุนเหนียงอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าใครกล้าซื้ออาวุธของเจ้า ก็เท่ากับว่าเป็นศัตรูกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังข้า” หญิงแซ่หูตอบกลับด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น


แต่ขณะนั้นเอง เสียงราบเรียบของชายผู้หนึ่งก็ดังขึ้น


“ห้าพันหินจิตวิญญาณ”


ผู้ที่เสนอราคาคือหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงมุมห้อง


พอคำพูดนี้เปล่งออกมา ไม่เพียงแต่หูชุนเหนียงที่ต้องหยุดหัวเราะในฉับพลัน ผู้ฝึกฝนที่นั่งข้างหลิ่วหมิงต่างก็พากันมองหลิ่วหมิงด้วยความตกใจ


“สหายผู้นี้มีนามว่าอะไร หรือท่านคิดจะเป็นศัตรูกับข้า?” น้ำเสียงของหูชุนเหนียงดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก


“เป็นศัตรู? จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าเพียงแต่สนใจกระบอกกำจัดปีศาจเท่านั้น” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่แยแส


“ใช่หรือ? หวังว่าท่านจะไม่เสียใจภายหลังนะ” คำพูดของหูชุนเหนียงเต็มไปด้วยการข่มขู่


“พี่เหมี่ยน นี่เป็นงานประมูลใหญ่ของเรือนร้อยวิญญาณ เรื่องการใช้อำนาจคุกคามการเสนอราคาของคนอื่นนั้น เรือนของท่านจะไม่สนใจเลยหรือ?” ชายแซ่หนานเห็นเช่นนี้ ก็แหงนหน้าขึ้นมากล่าวด้วยความโมโห ทำให้เห็นว่าเขาเป็นชายวัยกลางคนที่ใบหน้าผอมซีดเซียว


“สหายหู ขอให้ท่านระมัดระวังสักหน่อย ถ้าเอ่ยคำพูดคุกคามคนอื่นอีกล่ะก็ ไม่แน่ข้าอาจจะยกเลิกสิทธิ์การประมูลของท่านก็ได้” แน่นอนว่าผู้อาวุโสเหมี่ยนได้ยินเสียงของหลิ่วหมิง เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอได้ยินชายแซ่หนานกล่าวเช่นนี้ ก็ถือโอกาสกล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง


“ได้ ต่อให้พี่หนานได้หินจิตวิญญาณไปหลายพัน แต่จะทำอะไรได้” หูชุนเหนียงเงียบไปครู่หนึ่ง และหัวเราะก่อนกล่าวออกมา จากนั้นก็ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาอีก


……………………………………….


ตอนที่ 197 เรือเหาะถ้ำมรกต

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ห้าพันหินจิตวิญญาณครั้งที่หนึ่ง!”


“ห้าพันหินจิตวิญญาณครั้งที่สอง!”


“ห้าพันหินจิตวิญญาณครั้งที่สาม! เอาล่ะ! กระบอกกำจัดปีศาจชิ้นนี้เป็นของสหายท่านนี้แล้ว ต่อไปจะเริ่มประมูลกระบอกกำจัดปีศาจชิ้นที่สอง ราคาเริ่มต้นที่ห้าพันหินจิตวิญญาณเช่นกัน”


ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ใครมาแย่งชิง ผู้อาวุโสก็รีบประกาศผู้ที่เป็นเจ้าของอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มประมูลชิ้นที่สองต่อ


“ห้าพันหินจิตวิญญาณ”


หลิ่วหมิงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม และเสนอราคาออกมาอย่างไม่ลังเล


ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ผู้คนในห้องโถงจะรู้สึกตกใจเท่านั้น แม้แต่ชายแซ่หนานเองก็มองมาที่หลิ่วหมิงด้วยความประหลาดใจ


แต่สำหรับหลิ่วหมิง ในเมื่อละทิ้งไอปีศาจพลังอัคคีตรงหน้าไปแล้ว เกราะกลนักรบกับสิ่งของประมูลรั้งท้ายอื่นๆ ก็ไม่เหมาะสมกับเขา หรือไม่ก็ราคาสูงจนเกินไป จึงทำให้เขาไม่ต้องพิจารณาอะไรเลย


สิ่งของที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เขาได้อย่างรวดเร็วนี้ ย่อมไม่อาจละทิ้งไปโดยง่าย


เพราะเสวียนจิงในตอนนี้ วุ่นวายจนไม่อาจคาดการณ์ใดๆ ได้ ถ้าสามารถเสริมความแข็งแกร่งได้ล่ะก็ ไม่แน่มันอาจช่วยชีวิตเขาในสถานการณ์คับขันก็เป็นได้


ส่วนเรื่องล่วงเกินผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันไม่กี่คนนั้น เขาไม่สนใจมันเลยแม้แต่น้อย


แต่ที่เหนือความคาดหมายของผู้คนก็คือ ครั้งนี้นอกจากหูชุนเหนียงจะหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้ว ก็ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาอีกเลย


ด้วยเหตุนี้ กระบอกกำจัดปีศาจชิ้นที่สองก็เป็นของหลิ่วหมิงอย่างไม่ต้องสงสัย


ขณะนี้มีคนรับใช้เดินมาข้างหลิ่วหมิง เพื่อที่จะพาเขาไปชำระราคาสิ่งของประมูล


แต่หลิ่วหมเพียงแค่โบกมือ แล้วกล่าวอย่างราบเรียบ


“ข้ายังสนใจรายการประมูลชิ้นต่อไปอยู่ อีกสักครู่ค่อยไปชำระราคาสิ่งของ!”


“ทราบ! ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยจะอีกสักครู่” คนรับใช้คนนั้นเป็นแค่ผู้ฝึกปรานธรรมดา และไม่รู้สถานะในเรือนร้อยวิญญาณของหลิ่วหมิง หลังจากที่เขารู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยแล้ว ก็กล่าวอย่างนอบน้อม


ตอนนี้ผู้อาวุโสเหมี่ยนหยิบลูกกลมๆ สีเขียวอ่อนชิ้นสุดท้ายที่อยู่บนถาดขึ้นมาจากนั้นก็ตบมันด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนที่จะโยนออกไปด้านหน้า


หลังจากมีเสียงดัง “กรอบแกรบ!” เรือเหาะประณีตงดงามที่ยาวไม่เกินสองจั้งก็ลอยต่ำๆ อยู่ในอากาศ


เรือลำนี้มีรูปร่างเพรียว ปลายแหลมทั้งสองด้าน ตรงกลางกว้าง ทั้งสองข้างต่างก็มีผลึกหินสีเขียวอ่อนสิบกว่าก้อนเลี่ยมฝังอยู่ และใต้ท้องเรือยังสลักคำว่า ‘ถ้ำมรกต’ ไว้


“เรือกลเหาะถ้ำมรกต ไม่จำเป็นต้องปรับแต่ง และใช้พลังเวทย์กระตุ้น ใช้เพียงแค่ผลึกหินธาตุลมก็สามารถพาคนเหาะไปได้ เหาะเร็วกว่าวิชาทะยานเวหาทั่วไปห้าเท่าขึ้นไป ทั้งยังสามารถย่อส่วนได้ พกพาสะดวก และเรือกลเหาะที่สหายหนานสร้างขึ้น มีชื่อเสียงในเสวียนจิงเป็นอย่างมาก ว่ากันว่าไม่ด้อยไปกว่าเรือกลเหาะของหุบเขาเก้าช่อง ที่นำออกมาขายภายนอกเลยแม้แต่น้อย แต่ละลำมีราคาประมูลไม่ต่ำกว่าอาวุธจิตวิญญาณทั่วไป ลำนี้เป็นหนึ่งในผลงานที่มีคุณภาพ มีข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ มันเหมือนกับกระบอกกำจัดปีศาจทั้งสองชิ้นในก่อนหน้า กลไกการทำงานภายตัวมันจะเสื่อมลงตามจำนวนครั้งที่ใช้ จนไม่สามารถใช้งานได้อีก” หลังกล่าวจบ ผู้อาวุโสเหมี่ยนก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว และชี้ไปยังเรือเหาะตรงหน้า


“ฟู่!”


เรือเหาะสีเขียวกลายเป็นแสงหิ่งห้อยทะยานขึ้นด้านบน มันเหมือนเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวตรงอีกด้านของห้องโถงอย่างมั่นคง หลังจากนั้นมันก็พร่ามัวจนกลายเป็นแสงสีเขียว และพุ่งกลับไปบนแท่นสูง


มันเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก จนผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ


“เรือกลเหาะถ้ำมรกตหนึ่งชิ้น ราคาประมูลต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งหมื่นห้าพันหินจิตวิญญาณ เสนอราคาได้ครั้งละไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันหินจิตวิญญาณ ตอนนี้เริ่มประมูลได้!” ผู้อาวุโสเหมี่ยนชี้มือข้างหนึ่งไปยังเรือเหาะ เพื่อทำให้มันคืนรูปร่างเป็นลูกกลมๆ จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าสงบ


“หนึ่งหมื่นห้าพันหินจิตวิญญาณ!”


พอเสียงผู้อาวุโสสิ้นสุดลง ก็มีเสียงบุ่มบามตะโกนออกมา


คนจำนวนหนึ่งรีบมองไปด้วยความแปลกใจ ถึงค้นพบว่าผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ผู้นี้ สวมเกราะหนังสีดำ สวมหน้ากากปีศาจวัวบนหน้า


“เฒ่าปีศาจสือ ท่านมีปีกเพลิงอัคคีอยู่แล้วมิใช่หรือ แล้วยังจะมาก่อกวนอะไรอีก?” หูชุนเหนียงเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง ดูเหมือนนางจะเสียงแหลมเป็นอย่างมาก


พอได้ยินชื่อของเฒ่าปีศาจสือ คนจำนวนมากต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ราวกับว่าเฒ่าปีศาจสือผู้นี้จะดุร้ายกว่าหูชุนเหนียง


“ฮึ! สหายหู เห็นแก่เจ้าและหน้านายของเจ้า ข้าได้ละทิ้งกระบอกกำจัดปีศาจไปสองชิ้นแล้ว แต่เรือกลเหาะชิ้นนี้มีประโยชน์ต่อข้ามาก ข้าไม่อาจยอมให้ได้” ชายฉกรรจ์สวมหน้ากากปีศาจวัวได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย และตอบรับด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด


“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าคิดจะเอาของสิ่งนี้ไปเป็นของขวัญให้คนผู้นั้นล่ะสิ! แต่เกรงว่าความคิดนี้คงไร้ประโยชน์ คิดหรือว่าเรือกลเหาะแค่ชิ้นเดียวจะทำให้เขาเห็นความสำคัญของเจ้า เจ้าดูเบาคนผู้นั้นไปหน่อยนะ” พอหูชุนเหนียงได้ยินคำตอบอันแข็งกร้าวของชายฉกรรจ์ นางก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด แต่กลับกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น


“เรือกลเหาะนี้ เป็นแค่กุญแจในการไขประตูเท่านั้น รอข้าได้เจอคนผู้นั้น ย่อมมีของขวัญชิ้นใหญ่ให้อย่างแน่นอน ที่สหายหูอยากได้เกราะกลนักรบชิ้นนี้ ไม่ใช่ว่ามีความคิดเดียวกันหรอกหรือ? ตอนนี้ข้าเอาเรือกลเหาะ สหายได้เกราะกลนักรบ พวกเราต่างก็ไม่ล้ำเส้นกัน” เฒ่าปีศาจสือหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


คำพูดของทั้งสองไม่มีที่มาที่ไป แต่กลับทำให้คนไม่จำนวนไม่น้อยรู้สึกใจเต้นขึ้นมา บางคนนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ก็กระซิบกระซาบด้วยสีหน้าตื่นเต้น


“มีหินจิตวิญญาณเหล่านี้ของเจ้า เกราะกลนักรบชิ้นนี้จะตกอยู่ในมือข้าได้อย่างไร?” หูชุนเหนียงรู้สึกโมโหเล็กน้อยแล้ว


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้าแล้ว! ถ้าจะโทษก็โทษที่นายของเจ้าไม่ยอมเสียหินจิตวิญญาณเป็นจำนวนมากเพื่อแลกกับมัน” เฒ่าปีศาจสือหัวเราะออกมา


หูชุนเหนียงไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่ใครก็พอจะจินตนาการถึงไฟที่สุมอยู่ในอกของนางได้


“หนึ่งหมื่นหกพันหินจิตวิญญาณ!”


ขณะนั้นเองก็มีคนเสนอราคาออกมา


เฒ่าปีศาจสือได้ยินก็รู้สึกโมโหมาก แต่หลังจากที่กวาดสายตามองคนเสนอราคาแล้ว ก็อดที่จะหรี่ตาไม่ได้


คนผู้นั้นยังคงเป็นหลิ่วหมิง


คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็แอบจุ๊ปากอยู่ไม่หยุด


ในเสวียนจิงนี้ มีผู้ที่กล้าล่วงเกินหูชุนเหนียงกับเฒ่าปีศาจสือพร้อมกัน เพียงไม่มีคนเท่านั้น


มาถึงเวลานี้ คนอื่นๆ ต้องรู้ว่าหลิ่วหมิงมีคนหนุนหลังอยู่แน่นอน มีความเป็นไปได้ว่าเขาก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายจนไปถึงขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบ มิเช่นนั้นคงไม่ฮึกเหิมถึงเพียงนี้


“หนึ่งหมื่นเจ็ดพัน!” เฒ่าปีศาจสือมีสีหน้าอึมครึม และไม่ได้หาเรื่องหลิ่วหมิง แต่กลับเสนอราคาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นอีกครั้ง


“หนึ่งหมื่นแปดพัน!”


“หนึ่งหมื่นเก้าพัน!”


“สองหมื่น!”


เมื่อหลิ่วหมิงเสนอราคาสองหมื่นออกมา เฒ่าปีศาจสือก็หยุดเสนอราคาในที่สุด แต่ดูจากหมัดที่เขากำแน่น เห็นได้ชัดว่าในใจเขาไม่สงบเหมือนใบหน้าที่แสดงออกมา


แต่ราคาสองหมื่นหินจิตวิญญาณ มันสูงเกินไปสำหรับสิ่งของที่ใช้ได้ไม่กี่ครั้ง และใช้ในการเหาะเดินทางเท่านั้น


ด้วยสถานะทางครอบครัวของเฒ่าปีศาจสือ ถ้าแย่งชิงต่อไปเรื่อยๆ ก็มีแต่เข้าเนื้อ เขาจึงต้องละทิ้งมันไป


แต่ในขณะนั้นเอง หูชุนเหนียงก็หัวเราะ “ฮี่ๆ!” ดังก้องไปทั่วห้องอยู่ไม่หยุด ไม่ว่าใครก็ฟังความหมายถากถางที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นออก


“สหายหู ถ้าเจ้าอยากหาเรื่องข้าจริงๆ ล่ะก็ ข้าจะหาโอกาสขอคำชี้แนะวิชาระบำผีเสื้อของเจ้าหน่อย ว่าฝึกฝนไปถึงไหนแล้ว?” เฒ่าปีศาจสือกล่าวด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงกลัว


“ฮึ! ดูท่าวิชาหุ่นศิลาปีศาจของเจ้าคงจะก้าวหน้าไปไม่น้อย แต่มาระบายความแค้นกับข้า ข้าว่าเจ้าหาเรื่องคนผิดหรือเปล่า? คนที่ทำให้เจ้าอึดอัดใจเมื่อครู่ไม่ใช่ข้าซะหน่อย!” หูชุนเหนียงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ


“เลือกลูกพลับต้องเลือกลูกที่นิ่ม เทียบกับคนแปลกหน้าที่อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว ข้าจะยิ่งวางใจมากกว่า ถ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่รู้ตื้นลึกหนาบางกัน” เฒ่าปีศาจสือกล่าว


“อะไรนะ เจ้าเห็นข้าเป็นลูกพลับอ่อนนิ่ม” หูชุนเหนียงได้ยินก็รู้สึกโกรธขึ้นมา


ผู้อาวุโสที่อยู่บนแท่นสูงได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก แต่แน่นอนว่าไม่อาจยอมให้พวกเขาลงมือกันในนี้ได้ เขาจึงรีบกระแอมไอขัดบทสนทนาของทั้งสองในทันที และประกาศต่อด้วยเสียงอันดัง


“ในเมื่อไม่มีคนเสนอราคาแล้ว ถ้าอย่างนั้น สองหมื่นหินจิตวิญญาณครั้งที่หนึ่ง สองหมื่นหินจิตวิญญาณครั้งที่สอง สองหมื่นหินจิตวิญญาณครั้งที่สาม เอาล่ะ! เรือกลเหาะชิ้นนี้เป็นของสหายท่านนี้แล้ว”


ผู้อาวุโสเคาะค้อนลงบนโต๊ะหนึ่งที


หูชุนเหนียงกับเฒ่าปีศาจสือเห็นผลลัพธ์เช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะเลิกสนใจทำการต่อสู้ในทันที คนหนึ่งทำเสียงฮึดฮัดแล้วไม่พูดอะไรออกมาอีก อีกคนก็ปิดปากเงียบไม่เอ่ยวาจาใดๆ ออกมา


ขณะนี้ หลิ่วหมิงถูกคนรับใช้พาออกไปจากห้องโถง ผ่านห้องโถงใหญ่ที่มีการป้องกันอย่างเข้มงวด จนมาถึงห้องลับแห่งหนึ่ง


เถ้าแก่เฉียน ซุนอิ๋น และคนอื่นๆ ต่างก็อยู่ในนั้น


หลิ่วหมิงยิ้มแล้วก็ถอดหมวกคลุมออกมา


“คุณชายเฉียน ข้านึกไม่ถึงว่าท่านจะประมูลสิ่งของเหล่านี้ เดิมทีข้าคิดว่าท่านจะแย่งประมูลไอปีศาจบริสุทธิ์พลังอัคคีมาหนึ่งชุดซะอีก!” เหมือนเถ้าแก่เฉียนจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในงานประมูลแล้ว พอเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา เขาก็ถามด้วยความสงสัย


“ถึงแม้ข้าจะสามารถประมูลไอปีศาจบริสุทธิ์พลังอัคคีมาได้ แต่ไอปีศาจชนิดนี้มันขัดแย้งกับวิชาที่ข้าฝึกฝน ข้าจึงต้องละทิ้งมันไป ส่วนสิ่งของเหล่านั้นใช้ประโยชน์ได้มาก ข้าประมูลมันมาไว้ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียงหายอะไร” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างคลุมเครือ


“อืม! ถ้าไอปีศาจบริสุทธิ์พลังอัคคีไม่เหมาะสมล่ะก็ ไม่แน่ว่าไอปีศาจบริสุทธิ์ที่เป็นของรั้งท้ายการประมูลชุดนั้นอาจเหมาะกับท่านก็ได้” ซุนอิ๋นที่อยู่ด้านข้างกล่าวออกมาราวกับคิดอะไรอยู่


“พี่ซุนล้อข้าเล่นแล้ว ไอปีศาจบริสุทธิ์ที่เป็นของรั้งท้ายการประมูลนั้นล้ำค่าเป็นอย่างมาก ต่อให้ขายครึ่งราคา ข้าก็ซื้อมันไม่ไหวหรอก” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


“มันก็ถูก ไอปีศาจบริสุทธิ์ชุดสุดท้ายเป็นไอปีศาจบริสุทธิ์พลังดาราสวรรค์ ปราณแกร่งที่บ่มเพาะออกมาก็มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เรือนของเราใช้ต้นทุนเดิมกว่าครึ่งหนึ่งถึงซื้อมาได้ ราคาเริ่มต้นประมูลอย่างน้อยก็สองแสนหินจิตวิญญาณ กลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่มต่างก็จ้องเล็งของชิ้นนี้นานแล้ว คุณชายเฉียนไม่สามารถแย่งชิงกับพวกเขาได้หรอก แต่คุณชายวางใจเถอะ! ถ้าต่อไปเรือนของเราหาไอปีศาจบริสุทธิ์ที่เหมาะสมได้ จะต้องเก็บไว้ให้คุณชายอย่างแน่นอน” เถ้าแก่เฉียนกล่าวอย่างเสียดาย


“หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าต้องขอขอบคุณเถ้าแก่เฉียนล่วงหน้าแล้ว” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ค่อยๆ ยิ้ม และกล่าวขอบคุณออกมา


ขณะนี้ ประตูอีกฝั่งหนึ่งของห้องลับก็ถูกเปิดออก สาวใช้ใบหน้างดงามถือถาดเดินเข้ามา


“เอาล่ะ! สิ่งของที่คุณชายประมูลมาได้ถูกส่งมาถึงแล้ว สองชิ้นก่อนหน้าราคาหนึ่งหมื่นหินจิตวิญญาณ ชิ้นสุดท้ายสองหมื่นหินจิตวิญญาณ ตามข้อตกลงที่ข้าเคยให้ไว้ เรือกลเหาะชิ้นนี้คิดแค่หนึ่งหมื่นหินจิตวิญญาณก็พอแล้ว คุณชายจ่ายมาสองหมื่นหินจิตวิญญาณก็สามารถนำของทั้งหมดนี้ไปได้” เถ้าแก่เฉียนกวาดสายตามองของบนถาดแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม


……………………………………….


ตอนที่ 198 หูชุนเหนียง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงไม่มีข้อคัดค้านใดๆ เขารีบล้วงถุงหนังออกมาจากอก และโยนออกไปในทันที


เถ้าแก่เฉียนคว้าถุงหนังมาเปิดดูข้างใน จากนั้นก็พยักหน้าและกวักมือออกไป


สาวใช้ใบหน้างดงามผู้นั้น รีบเดินเข้ามาอย่างรู้งาน


หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อเพื่อเก็บของทั้งสามชิ้น


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงก็เดินออกทางประตูข้างห้องโถงใหญ่ และชายแซ่หนานที่สวมงอบกำลังถูกสาวใช้พาเข้ามาพอดี


พอเห็นหลิ่วหมิง เขาก็หยุดชะงักเล็กน้อย


“ขอบคุณที่สหายยื่นมือเข้าช่วย มิเช่นนั้นข้าคงไม่อาจประมูลเกราะกลนักรบนี้ได้ แต่ข้าเป็นคนไม่ชอบติดค้างหนี้บุญคุณใคร ภายหน้าถ้าสหายต้องการสร้างอุปกรณ์กลไกอะไร ก็สามารถมาหาข้าที่วัดไผ่ใต้ ข้าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่” ชายแซ่หนานพลันเอ่ยปากออกมา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อก่อนที่ป้ายไม้ไผ่สีเหลืองอ่อนจะพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” ถึงแม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ย่อมไม่ปฏิเสธเรื่องดีแบบนี้อย่างแน่นอน เขายื่นมือข้างหนึ่งคว้าป้ายไม้ไผ่มาไว้ในมือ จากนั้นก็เดินสวนฝ่ายตรงข้ามไป


พอเขากลับมายังที่นั่งอีกครั้ง บนแท่นหินก็มีศิษย์จิตวิญญาณที่สวมหน้ากากดุร้ายสีดำอยู่สี่คน และหลังจากที่ไปยืนตามจุดต่างๆ บนแท่นหินแล้ว หญิงสาวที่สวยกว่าก่อนสาวใช้ก่อนหน้านั้น ก็ถือขวดเล็กๆ สีทองเดินขึ้นแท่นสูงอย่างระมัดระวัง


หลังจากผู้อาวุโสเหมี่ยนรับขวดเล็กๆ สีทองมาแล้ว ก็กล่าวกับคนในห้องโถงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


ต่อไปเป็นของประมูลชิ้นสุดท้ายของเรือนร้อยวิญญาณเรา และเป็นของประมูลรั้งท้ายที่มีมูลค่าสูงที่สุด เชื่อว่าก่อนหน้านั้นสหายหลายท่านคงได้ยินชื่อของมันมาบ้าง ไม่ผิด! มันคือไอปีศาจบริสุทธิ์พลังดาราสวรรค์ที่เรือนร้อยวิญญาณของเราต้องจ่ายไปจำนวนมาก ถึงซื้อมาได้ชุดหนึ่ง ไอปีศาจบริสุทธิ์นี้หาได้ยากยิ่ง แม้กระทั่งทั่วทั้งแผ่นดินอวิ๋นซาน ก็เห็นมันปรากฏไม่เกินห้าครั้ง ถ้าควบแน่นไอปีศาจบริสุทธิ์นี้เป็นปราณแกร่งล่ะก็ มันไม่เพียงแต่จะมีผลลัพธ์การโจมตีและป้องกันดีเยี่ยมเท่านั้น ในเวลากลางคืนยังสามารถเชื่อมต่อกับพลังของดวงดาวได้ ด้วยเหตุนี้มันจึงมีผลลัพธ์เสริมในการฝึกฝนอย่างคาดไม่ถึง”


พอผู้อาวุโสกล่าวจบ เขาก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนเปิดจุกขวดออกมา จากนั้นก็กระตุ้นพลังเวทย์เข้าใส่ก้นขวดเล็กน้อย


กลุ่มแสงสีทองพุ่งออกจากปากขวด และหมุนวนรอบขวด จนทำให้แสงสีทองเปล่งประกายออกมาเป็นจุดๆ ราวกับว่ามันเป็นดวงดาวสวยงามที่ล่องลอยเต็มท้องฟ้า


“นี่คือไอปีศาจบริสุทธิ์พลังดาราสวรรค์ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”


ผู้ที่รู้ว่าของประมูลชิ้นสุดท้ายนี้คือไอปีศาจบริสุทธิ์พลังดาราสวรรค์ ต่างก็จ้องมองปรากฏการพิเศษบนแท่นหิน และกล่าวพึมพำออกมา


ส่วนผู้ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ยิ่งจ้องมองจนปากอ้าตาค้าง


ตอนนี้คนลึกลับไม่กี่คนที่รู้สึกเฉยๆ ในก่อนหน้านั้น ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา และจ้องมองขวดเล็กๆ สีทองด้วยสายตาที่ร้อนผะผ่าว


“เอาล่ะ! ข้าจะไม่พูดให้มากความ ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังดาราสวรรค์หนึ่งชุด มีราคาต่ำสุดอยู่ที่สองแสนหินจิตวิญญาณ เสนอราคาได้ครั้งละไม่ต่ำกว่าห้าพันหินจิตวิญญาณ!” ผู้อาวุโสเหมี่ยนรอให้ผู้คนในห้องสงบลงแล้ว ถึงได้เก็บแสงสีทองเข้าไปในขวด และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน


“สองแสนหนึ่งหมื่น!”


เจ้าของร่างที่ถูกชุดคลุมสีเทาปกคลุมรอบตัว เสนอราคาออกมาในทันที


“สองแสนสามหมื่น!”


ชายอีกคนที่สวมหน้ากากปีศาจ เสนอราคาเพิ่มขึ้นมาสองหมื่นอย่างไม่ลังเล


“สองแสนสี่หมื่น!”


น้ำเสียงเคร่งครึมดังก้องกังวานไปทั่วห้องโถง ราวกับเป็นปีศาจ


“ฮึ! เพิ่มขึ้นทีละน้อยอย่างนี้ เมื่อไหร่ถึงจะสิ้นสุด ข้าขอเสนอสามแสนหินจิตวิญญาณ ดูสิว่ายังจะมีใครกล้ามาแย่งกับข้าอีก” น้ำเสียงแก่หง่อมหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก่อนกล่าวออกมา


เมื่อราคานี้ถูกเสนอออกมา ไม่เพียงแต่คนส่วนใหญ่จะอึ้งเท่านั้น ผู้ที่เริ่มเสนอราคาคนแรกก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


ห้องโถงเงียบสงัดไปชั่วขณะหนึ่ง


……


ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงปรากฏตัวบนถนนเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่งเพียงลำพัง นอกจากจะมีร้านค้าเก่าๆ ที่อยู่สองข้างทางไม่กี่ร้านแล้ว ผู้คนที่เดินอยู่บนท้องถนนก็มีไม่มาก


แต่เขากลับค่อยๆ เดินไปตามถนนอย่างไม่สนใจ หลังจากที่เลี้ยวขวาวนซ้ายแล้ว ก็เดินมาถึงตรอกวังเวงแห่งหนึ่ง


หลิ่วหมิงกวาดสายตามองเข้าไปในตรอก และกล่าวออกมาในฉับพลันโดยไม่หันหน้ามาเลย


“ตั้งแต่ออกมาจากงานประมูล สหายก็ตามติดข้ามาโดยตลอด ระดับการฝึกฝนของท่านกับข้าก็พอๆ กัน คิดหรือว่าจะรอดพ้นสายตาข้าไปได้”


“ฮึ! ที่แท้เจ้าก็คือคุณชายเฉียน แขกคนใหม่ที่มีชื่อเสียงของเรือนร้อยวิญญาณ! ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ข้าคงต้องถามเหตุผลกับสหาย ว่าทำไมถึงทำลายแผนการประมูลของข้า?” เงาร่างเคลื่อนไหวด้านหลังหลิ่วหมิง ร่างอรชรโผล่ออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง


“ที่แท้ก็เป็นสหายหู ข้าคิดว่าเป็นสหายสือเสียอีก” หลิ่วหมิวกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน และหันหน้ากลับมาในที่สุด


ห่างจากเขาไปไม่ไกล มีหญิงสาวใส่ผ้าปิดหน้าสีขาว มีเครื่องประดับเต็มศีรษะ แต่ดวงตาดุร้ายทั้งคู่จ้องมองเขาอย่างเยือกเย็น


ถึงแม้ใบหน้าส่วนล่างของนางจะถูกปิดบังไว้ แต่ดวงตากับระหว่างคิ้วที่ดูคุ้นเคย ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย และจ้องมองฝ่ายตรงด้วยความสงสัยอย่างอดไม่ได้


“คิดไม่ถึงว่าคุณชายเฉียนที่ร่ำลือ จะเป็นจะเป็นคนมักมากในกาม!”


หญิงสาวเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโมโหป็นอย่างมาก น้ำเสียงของนางดูเยือกเย็นมากขึ้นกว่าเดิม


“หืม! เมื่อครู่สหายหูว่าอะไรนะ! ต้องขออภัยด้วยจริงๆ เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะค้นพบว่าสหายเหมือนกับคนผู้หนึ่งเป็นอย่างมาก ดังนั้นถึงได้ใจลอยไปหน่อย” ตอนนี้หลิ่วหมิงเพิ่งจะได้สติขึ้นมา และป้องมือไปทางหญิงสาวในเชิงขอโทษแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“เหมือนคนผู้หนึ่ง? สหายเฉียนคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดนี้หรือ? ช่างเถอะ! เราจะยังไม่พูดถึงเรื่องนี้ ที่ข้าถามออกไปในก่อนหน้านั้น สหายยังไม่ตอบเลยนะ!” หูชุนเหนียงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่สีหน้าดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย


“มีอะไรที่ต้องตอบด้วยเล่า? ข้าสนใจอุปกรณ์กลไกเหล่านั้น เลยประมูลมันมาก็แค่นั้น สหายสงสัยอะไรหรอกหรือ?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ต่อให้สหายจะไม่ได้ตั้งใจ แต่การกระทำเช่นนี้ มันทำลายแผนการสำคัญของข้า เรื่องนี้เจ้าจะว่าอย่างไร?” หูชุนเหนียงทำเสียงฮึดฮัด


“มันช่วยไม่ได้! คิดเสียว่าสหายหูดวงไม่ดีก็แล้วกัน แต่ถ้าสหายรู้สึกไม่พอใจล่ะก็ พวกเราคงต้องต่อสู้กันสักครา สำหรับผู้ฝึกฝนระดับพวกเราแล้ว ผู้ใดแข็งแกร่งกว่า ผู้นั้นย่อมมีเหตุผลกว่า” หลิ่วหมิงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


“ได้! ข้าเองก็อยากเห็นความสามารถที่แท้จริงของคุณชายเฉียนเช่นกัน ไม่ทราบว่าท่านว่างเมื่อไหร่ พวกเราจะได้มาแลกมือศึกษากันเล็กน้อย!” หญิงสาวเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่แสดงอาการให้เห็นบนสีหน้า


“วันไหนมันก็ไม่ต่างกัน งั้นตอนนี้เลยดีกว่า แน่นอนว่าสถานที่นี้ไม่เหมาะต่อการลงมือ พวกเราไปยอดสันเขาเหล็ก ที่อยู่ห่างประตูเสวียนจิงทางด้านตะวันตกไปไม่กี่ลี้เถอะ! ข้าจะออกไปรออยู่ที่นั่นก่อน” หลิ่วหมิวหัวเราะก่อนกล่าวออกมา พอเขาขยับตัว ร่างของเขาก็แวบผ่านข้างตัวหญิงสาวไปอย่างรวดเร็ว


หูชุนเหนียงรู้สึกตกตะลึง แต่สุดท้ายก็หันไปมองหลิ่วหมิงที่แฉลบผ่านข้างเธอไปอยู่บนท้องถนน และเขากำลังก้าวยาวๆ ไปทางประตูเมืองด้านตะวันตก


“ได้! ข้าจะดูว่าเจ้าเป็นปีศาจอะไรแปลงกายมา ถึงได้อาจหาญเช่นนี้!” สีหน้าภายใต้ผ้าคลุมของหญิงสาวเปลี่ยนไปมา และในที่สุดนางก็เดินตามหลิ่วหมิงไป


หลายชั่วยามต่อมา บนยอดเขาที่อยู่นอกเสวียนจิงแห่งหนึ่ง


หลิ่วหมิงกับหูชุนเหนียงต่างก็สบตากันจากที่ไกลๆ


“ในเมื่อเป็นการประลอง ย่อมต้องมีการเดิมพันกันเล็กน้อย ถ้าข้าชนะ สหายก็มอบอุปกรณ์กลไกที่เพิ่งได้มาใหม่ให้ข้า แต่ถ้าสหายชนะ ถ้าจะมอบไอปีศาจพลังอัคคีนี้ให้!” หูชุนเหนียงจ้องหมองหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็นอยู่พักหนึ่ง ทันใดก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา เผยให้เห็นขวดสีแดงเล็กๆ ใบหนึ่ง และกล่าวอย่างไม่เกรงใจ


“ไอปีศาจบริสุทธิ์พลังอัคคี! ที่แท้ของสิ่งนี้ก็อยู่ในมือสหายชุดหนึ่ง มิน่าล่ะ! ถึงไม่ได้แย่งชิงเกราะกลนักรบในตอนท้าย ของสิ่งนี้มีมูลค่าพอๆ กับของที่ข้าประมูลมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้” หลังจากที่หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย สีหน้าเขาก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมาเป็นครั้งแรก


“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้สหายเฉียนได้เห็น ความร้ายกาจของวิชาระบำผีเสื้ออันเลื่องชื่อของข้า?” หูชุนเหนียงกล่าว หลังจากที่เก็บขวดเล็กๆ เข้าไปแล้ว นางก็สะบัดแขนเสื้อทั้งสอง และแสงหลากสีก็สว่างออกมา


แสงเหล่านี้รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว และมากขึ้นเรื่อยๆ พริบตาเดียวมันก็ครอบคลุมพื้นที้กือบครึ่งหนึ่งของบริเวณโดยรอบ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หรี่ตาทั้งสองอย่างอดไม่ได้


ทันทีที่หูชุนเหนียงตะโกนเสียงอ่อนหวานออกมา กลุ่มแสงทั้งหมดก็หมุนติ้วๆ และก่อตัวเป็นผีเสื้อยักษ์หลากสี หลังจากที่พวกมันกระพือปีก ก็เกิดเป็นเงาร่างสวยงามของผีเสื้อบินเต็มอยู่บนท้องฟ้า ก่อนที่จะพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


ในขณะเดียวกัน หญิงสาวก็บิดตัวเคลื่อนไหวจนเกิดเป็นภาพพร่ามัว และจมหายไปในท่ามกลางเงาร่างของผีเสื้อยักษ์อย่างไร้ร่องรอย


หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ แต่ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวในทันที แสงสีเขียวเป็นจุดๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็กลายเป็นคมวายุเจ็ดแปดเส้น และพุ่งยิงออกไปด้วยเสียงแหลมดัง


“เต๊ง!” “เต๊ง!”


พอคมวายุฟันเข้าไปในเงาร่างของผีเสื้อยักษ์ ก็ถูกอะไรบางอย่างปัดกระเด็นออกมา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็สะบัดแขนเสื้ออย่างไม่รอช้า และปล่อยลูกเปลวไฟแดงออกไปหลายลูก


“ตู้ม!” “ตู้ม!”


ลูกเปลวไฟยังไม่ทันได้เข้าใกล้เงาร่างผีเสื้อ ก็ถูกแสงเย็นสะท้านจำนวนมากที่พุ่งออกมาในฉับพลัน ทำลายจนแตกกระจายออกมา


สีหน้าหลิ่วหมิงเคร่งขรึมขึ้น ไอสีดำพวยพุ่งออกมาในทันที และกลายเป็นหนวดสัมผัสสีดำโบกสะบัดไปมา


ขณะนั้นเอง เงาร่างผีเสื้อบนฟ้าก็ม้วนตัวอย่างรวดเร็ว และบินมาห่อหุ้มหลิ่วหมิงไว้ด้วยภาพมายาที่สวยงาม


หลิ่วหมิงอยู่ภายใต้การคุ้มครองของหนวดสัมผัสที่โบกสะบัดจนกลายเป็นม่านแสง เขาจ้องมองเงาร่างสวยงามจากที่ไกลๆ และกำลังเคลื่อนไหวไปทั่วทิศ ดวงตาทั้งสองของนางเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ในมือมีกระบี่สั้นสีเขียวอยู่เล่มหนึ่ง


หลังจากที่เงาร่างผีเสื้อรอบด้านค่อยๆ หยุดชะงักลง แสงเย็นสะท้านก็ฟันเข้ามาจากทิศทางตรงกันข้ามทั้งสองด้าน


“เต๊ง!” “เต๊ง!”


พอหลิ่วหมิงสะบัดข้อมือ ปราณกระบี่สองสายก็ฟาดฟันออกไป แสงเย็นสะท้านก็ถูกปัดจนกระเด็น


จากนั้นเขาก็คำรามเสียงต่ำออกมา เพียงแค่เขาตวัดกระบี่สั้นในมือ ปราณกระบี่สีเขียวจำนวนมากก็ปะทุออกมา และกลายเป็นจันทราสีเขียวกลมๆ ก่อนพุ่งขึ้นไปด้านบน


……………………………………….


ตอนที่ 199 แลกเปลี่ยน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากแสงเย็นสะท้านจากจันทราสีเขียวพุ่งผ่านไป ผีเสื้อจำนวนมากก็ค่อยๆ ถูกทำลายจนแตกกระเจิง!


“เพล้ง!” แสงเย็นสะท้านทั้งสองฟันลงบนจันทราหยก แต่มันกลับสั่นไหวและกระเด็นออกไป


จากนั้นเงาร่างผีเสื้อก็พร่ามัวกลายเป็นเงาร่างของหญิงสาว เมื่อเท้าทั้งสองของนางแตะลงพื้น ก็ต้องล่าถอยไปสองสามก้าว


“ในมือเจ้าคือกระบี่จันทราหยก!” หูชุนเหนียงจ้องมองกระบี่สั้นในมือหลิ่วหมิงด้วยความสงสัย


“ความสามารถที่แท้จริงของสหายหูคงไม่ใช่วิชาระบำผีเสื้อ แต่เป็นเส้นทางการฝึกฝนกระบี่ใช่ไหม?” หลังจากที่หนวดสัมผัสสีดำของหลิ่วหมิงกระจายตัวไปแล้ว เขาก็ถามออกไปด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้ม


“อะไรคือเส้นทางการฝึกฝนกระบี่! ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไร และเจ้ายังไม่ตอบคำถามของข้าในก่อนหน้านั้น!” หูชุนเหนียงได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป แต่ก็ควบคุมให้สงบได้ในทันที


“ถ้าอย่างนั้น ไม่ทราบว่าสหายรู้จักศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ที่ชื่อจางซิ่วเหนียงหรือไม่?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มออกมา และถามออกไปอย่างไม่ใส่ใจ


“จางซิ่วเหนียง? เจ้าเป็นใครกันแน่!” ครั้งนี้ หูชุนเหนียงไม่อาจสงบสติอารมณ์ไว้ได้ นางตะคอกออกไปด้วยแววตาที่ดุร้าย


จากนั้นนางก็สะบัดแขนเสื้อทั้งสอง และกระบี่สั้นสีขาวสองเล่มก็ปรากฏอยู่บนมือ ขณะเดียวกันกลิ่นไออันน่าสะพรึงกลัว ก็แผ่ออกมาจากร่างของนาง


“เฮ่อๆ! ดูท่าข้าจะเดาไม่ผิด สหายหูเป็นศิษย์ตรวจตราของนิกายจันทราสวรรค์จริงๆ สหายอย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าจะให้เจ้าดูของบางอย่างก่อน” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับตบมือหัวเราะใหญ่ พอเขาขยับแขน ลำแสงสีเงินก็พุ่งยิงออกไป


สีหน้าหูชุนเหนียงเปลี่ยนไป นางวาดกระบี่เล่มหนึ่งไปยังด้านหน้าอย่างชำนาญ และพลังไร้รูปบางอย่างก็ม้วนตัวออกมา


หลังจากที่แสงสีเงินสั่นสะท้าน มันก็หยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าหญิงสาว มันคือป้ายสีเงินที่เป็นสิ่งบ่งบอกสถานะศิษย์ตรวจตราของนิกายปีศาจ


ความจริงแล้ว หลังจากที่หลิ่วหมิงเห็นว่าระหว่างคิ้วของหูชุนเหนียง มีส่วนคล้ายคลึงกับศิษย์ที่มีร่างกระบี่สื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ของนิกายจันทราสวรรค์เจ็ดถึงแปดส่วน เขาก็เกิดความสงสัยขึ้นมาในทันที


จนเมื่อเขาตั้งใจกระตุ้นกระบี่จันทราหยกให้แสดงอานุภาพออกมา และนางก็จำมันได้ จึงทำให้เขามั่นใจสถานะของนางแปดถึงเก้าส่วน


“ที่แท้คุณชายเฉียนก็เป็นศิษย์ตรวจตราคนใหม่ของนิกายปีศาจ สิ่งนี้ทำให้ข้าค่อนข้างรู้สึกตกใจ แต่กระบี่จันทราหยกเล่มนี้อยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร และรู้จักซิ่วเหนียงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าได้อย่างไร?” พอหูชุนเหนียงเห็นรูปร่างของแผ่นป้ายอย่างชัดเจน ก็รีบเก็บกระบี่สั้นในมือทันที และคว้าเอามันมาตรวจสอบอย่างละเอียด แล้วถึงถอนหายใจยาวๆ ก่อนกล่าวออกมา


“มันเป็นเรื่องยากที่จะพูดถึงเรื่องกระบี่จันทราหยก แต่ถ้าสหายไปสอบถามกับทางนิกาย ก็จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนสหายจางน่ะหรือ เมื่อไม่นานมานี้เราเคยพบกันไม่กี่ครั้ง ในการการทดสอบความเป็นความตาย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่รีบร้อน


“การทดสอบความเป็นความตาย! เจ้าเป็นศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจ! แต่ทำไมข้าถึงไม่รู้จักศิษย์แกนนำนิกายปีศาจที่มีอายุขนาดนี้?” หูชุนเหนียงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย


“เฮ่อๆ! ข้าเพิ่งเป็นศิษย์แกนนำคนใหม่ ใบหน้านี้ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของข้า สหายไม่รู้จักก็เป็นเรื่องปกติ” หลิ่วหมิงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


“ฮิๆ! อย่างนี้ก็หมายความว่าศิษย์น้องเฉียนคงยังมีอายุไม่มากนัก ควรจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่ แต่เจ้าวางมาดเป็นผู้ใหญ่มาก ทำให้มองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ เลยจริงๆ” พอหญิงสาวได้ยิน ก็เบิกตาพินิจดูหลิ่วหมิงอย่างละเอียด และหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


“ศิษย์พี่ชมเกินไปแล้ว! ศิษย์น้องยอมรับว่าตนเองมีพรสวรรค์ด้านการปลอมตัวอยู่บ้าง แต่จะว่าไปแล้ว ศิษย์พี่หูก็ควรจะยืนยันสถานะของตัวเองหน่อยไหม?” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


“ฮึ! อายุยังน้อย แต่ช่างระมัดระวังเสียจริง อ่ะ! นี่คือป้ายศิษย์ตรวจตราของข้า!” หูชุนเหนียงเบ้ปาก แต่ก็ยังเอาแผ่นป้ายสีเงินออกมาจากแขนเสื้อ และโยนออกไปพร้อมกับแผ่นป้ายของหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ ม้วนเอาแผ่นป้ายทั้งสองมาไว้ในมือ หลังจากที่ก้มหน้าตรวจสอบเล็กน้อย ก็ค้นพบว่านอกจากอักขระที่จารึกอยู่หน้าหลังไม่เหมือนกันแล้ว ส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือน้ำหนักล้วนไม่แตกต่างกัน


เขาออกแรงที่นิ้วมือเล็กน้อย แต่ป้ายของนิกายจันทราสวรรค์ยังแข็งแกร่งดังเดิม ไม่มีร่องรอยเสียหายใดๆ เลย


ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงถึงได้รู้สึกวางใจขึ้นมาจริงๆ หลังจากที่กล่าวคำว่า “ขออภัย” ออกไปแล้ว ก็โยนป้ายนิกายจันทราสวรรค์คืนกลับไป


“แต่ข้ากลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย! ศิษย์น้องมั่นใจถึงขนาดเปิดเผยตัวตนออกมาก่อน ถ้าหากคาดเดาผิดพลาด และข้าไม่สามารถเอาป้ายออกมายืนยันได้ล่ะก็ ศิษย์น้องจะชดเชยความผิดนี้อย่างไร” หูชุนเหนียงคว้าเอาป้ายหยกไว้ได้ และเลิกคิ้วถามออกไป


“เรื่องนี้ง่ายมาก เพียงแค่ทำให้ท่านอยู่ที่นี่ตลอดไป ก็ไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และตอบอย่างสบายใจ


“ฮึ! สมกับเป็นศิษย์แกนนำของนิกายศาจ มาดการพูดจาไม่เบา แต่ในเมื่อเจ้ามีชีวิตรอดจากการทดสอบความเป็นความตายได้ คิดว่าคงจะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ข้าก็อยากเตือนเจ้าสักเรื่อง! ศิษย์น้องอย่าได้ลำพองตนว่าเป็นศิษย์แกนนำของนิกายใหญ่ แล้วปฏิบัติต่อผู้ฝึกฝนอิสระที่อยู่ในระดับเดียวกันอย่างหนิ่งยโส ผู้ฝึกฝนอิสระเหล่านี้อาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าพวกเรา แต่สามารถมีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้ และกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งได้ ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจเป็นอย่างมาก เวลาที่พวกเขาต่อสู้กัน จะไม่ยั้งไม้ยั้งมือเหมือนกับพวกเรา ขอเพียงแค่มีโอกาสชนะอันน้อยนิด พวกเขาก็พร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา บางทีการประลองมือตามปกติ พวกเขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา แต่พอถึงยามต่อสู้ที่ตัดสินความเป็นความตาย ศิษย์นิกายใหญ่อย่างพวกเราอาจจะเสียเปรียบเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นผู้ฝึกฝนอิสระที่ฝึกฝนมาจนถึงระดับนี้ ล้วนมีอายุมาก ลำพังแค่พลังเวทย์ที่สะสมกับประสบการณ์การต่อสู้ ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราไม่อาจเทียบได้” หูชุนเหนียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะ ก่อนหน้านั้นข้าอวดดีไปหน่อย” หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้านในใจ และโค้งตัวกล่าวขอบคุณด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“อืม! ดูแล้วเจ้าคงไม่ได้อวดดีเสียทีเดียว ดีแล้ว! ถ้าเป็นศิษย์นิกายปีศาจคนก่อนที่ไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำล่ะก็ ข้าจะหันตัวเดินจากไปในทันที” พอหูชุนเหนียงเห็นหลิ่วหมิงถ่อมตัวเช่นนี้ ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ


“ศิษย์พี่หูเคยติดต่อกับศิษย์นิกายปีศาจคนก่อนหน้า?” หลิ่วหมิงได้ยินกลับใจเต้นขึ้นมา


“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ต้องถามให้มากความ ข้าไม่เคยติดต่อกับศิษย์ตรวจตราของนิกายปีศาจคนก่อน หลังจากเห็นว่าเขาไม่ใช่คนที่สามารถร่วมมือได้ ข้าก็ไม่เคยเปิดเผยสถานะต่อหน้าเขา จนกระทั่งก่อนเขาหายตัวไป ก็ยังไม่รู้ว่าข้าเป็นศิษย์นิกายจันทราสวรรค์” หูชุนเหนียงมองออกว่าหลิ่วหมิงคิดอะไรอยู่ นางจึงกล่าวออกมาโดยไม่ต้องคิด


“ท่านเป็นศิษย์ตรวจตราของนิกายจันทราสวรรค์ และอยู่ในเสวียนจิงมานานขนาดนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับการหายตัวไปของศิษย์พี่ผู้นี้” หลิ่วหมิงกระพริบตาแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ถ้าจะบอกว่าไม่มีเบาะแสเลยแม้แต่น้อย ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย?” พอหูชุนเหนียงได้ยินเช่นนี้ นางก็ชายตามองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และกล่าวออกมา


“ถ้าจะให้ศิษย์พี่บอกเบาะแสโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนอะไร มันก็ดูเกินไปหน่อย เอาอย่างนี้เถอะ! ข้ากับศิษย์พี่ต่างก็แลกเปลี่ยนข้อมูลกันดีไหม? แบบนี้ล้วนได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมา


“แลกเปลี่ยนข้อมูล? เจ้าเพิ่งจะมาอยู่เสวียนจิงได้ไม่เท่าไหร่ แล้วจะมีข้อมูลอะไรมาแลกกับข้าได้?” หูชุนเหนียงทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมาอย่างดูถูก


“ถ้าข้าบอกว่า ข้ารู้ต้นตอความวุ่นวายของเสวียนจิงว่าอยู่ที่ไหนล่ะก็ ศิษย์พี่ยังจะสนใจไหม?” หลิ่วหมิงเอานิ้วลูบคางไปมา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“รู้ต้นตอ? เจ้าคงไม่พูดเล่นหรอกนะ! เรื่องนี้ข้าเองก็เพิ่งรู้เพียงเล็กน้อย!” หูชุนเหนียงได้ยินก็รู้สึกตกใจ และหรี่ตาจ้องมองหลิ่วหมิง


“เอาอย่างนี้เถอะ! ข้ากับศิษย์พี่ต่างก็เขียนชื่อๆ หนึ่งออกมา จากนั้นก็เปิดออกพร้อมกัน แล้วมาดูกันว่ามันจะสอดคล้องกันไหม?” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน


“ต่างก็เขียนชื่อคนละหนึ่งชื่อ? อืม! มันก็เป็นวิธีที่ดี ถ้าศิษย์น้องรู้ต้นตอที่แท้จริง มันก็สามารถเอามาแลกกันได้” หูชุนเหนียงมีท่าทีเปลี่ยนไป และพยักหน้าเห็นด้วยในที่สุด


เวลาต่อมา ทั้งสองต่างก็หยิบพู่กันอาญาสิทธิ์ กับผงเงินออกมาจำนวนหนึ่ง หลังจากที่เขียนอักขระลงในฝ่ามือของตนเองแล้ว ก็กำมือแล้วยื่นไปชนกับอีกฝ่าย และค่อยๆ คลายออกมาพร้อมกัน


ผลลัพธ์คือ มือของหลิ่วหมิงเขียนคำว่า “ราชวงศ์” และฝ่ามืออ่อนนุ่มของหญิงสาวกลับเขียนกับว่า “ราชสำนัก”


พอหูชุนเหนียงเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป


“ดูท่าศิษย์น้องเฉียนคงมีความสามารถจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะสามารถจับต้นชนปลายได้ภายในระเวลาสั้นๆ เช่นนี้”


“มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ที่ได้ข้อมูลนี้มา” หลิ่วหมิงไม่แสดงสีหน้าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย แต่ก็แอบโล่งใจอยู่บ้าง


ถึงแม้เขาจะรู้ว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเป็นปีศาจอสูร แต่เขาก็ไม่รู้ต้นตอของการเปลี่ยนแปลงในเสวียนจิงอย่างแท้จริง ส่วนมากล้วนเป็นเรื่องคาดเดาเท่านั้น


“ดี! ในเมื่อศิษย์น้องมีข้อมูลอยู่ในมือ ก็มีสิทธิ์แลกเปลี่ยนข้อมูลกับข้าแล้ว แต่เพื่อความยุติธรรม ควรเปลี่ยนกันถามคนละคำถามจะดีกว่า ตอนนี้เจ้าอยากรู้เรื่องอะไร?” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น


“ดูท่าศิษย์พี่จะไม่ยอมเสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย! เรื่องที่ศิษย์น้องอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้ ย่อมเป็นเรื่องการหายตัวของศิษย์พี่คนก่อน ศิษย์พี่รู้ไหมว่ากลุ่มอิทธิพลใดเป็นคนลงมือ? ตอนที่ข้าเพิ่งมาถึง เคยถูกคนบางกลุ่มลอบโจมตี ฟังจากคำพูดของพวกเขาแล้ว คงเป็นกลุ่มอิทธิพลเดียวกัน” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสีเคร่งขรึม


“ศิษย์น้องเคยถูกคนลอบโจมตีมาแล้ว? คนกลุ่มนี้ลงมือรวดเร็วจริงๆ ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ การหายตัวไปของศิษย์ตรวจตรานิกายปีศาจคนก่อน คงเป็นฝีมือของพรรควิญญาณมืด” ตอนแรกหญิงสาวขมวดคิ้ว แต่ก็สงบสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะกล่าวออกมา


“ฝีมือของพรรควิญญาณมืด ศิษย์พี่รู้ได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจมากนัก


พรรควิญญาณมืดลึกลับเช่นนี้ เดิมทีมันก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลที่เขาคาดเดาเอาไว้


“อย่างนี้นับเป็นคำถามข้อที่สองไหม? ต่อไปข้าควรเป็นฝ่ายถามมิใช่หรือ?” หญิงสาวทำตามองบนก่อนกล่าวออกมา


“เฮ่อๆ! ศิษย์น้องใจร้อนไปหน่อย ศิษย์พี่ถามมาได้เลย?” ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงงัน แต่ก็ฝืนหัวเราะออกมา


“คนที่ลอบโจมตีเจ้า มีฑูตวิญญาณมืดที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายไหม?” ผิดกับที่หลิ่วหมิงคาดการณ์ไว้มาก หญิงสาวไม่ได้ถามเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ แต่กลับถามเรื่องที่เขาถูกลอบโจมตีเมื่อครั้งก่อน


ฑูตวิญญาณมืดคืออะไร? ข้ารู้แต่ว่ากลุ่มคนที่ลอบโจมตีข้า ส่วนมากเป็นผู้ฝึกปราณ ในนั้นมีผู้ฝึกฝนที่แท้จริงอยู่แค่สองคนเท่านั้น คนหนึ่งเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง อีกคนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย” หลิ่วหมิงฉุกคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ กล่าวออกไป


……………………………………….


ตอนที่ 200 ร่วมมือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ถ้ามีศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายล่ะก็ คงเป็นฑูตวิญญาณมืดอย่างไม่ต้องสงสัย ก่อนตายคนผู้นี้ได้ระเบิดตัวเองใช่หรือไม่!” หูชุนเหนียงหัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนกล่าวออกมา


“เขาระเบิดตัวเองจริงๆ! ทำไมหรือ? ฑูตวิญญาณมืดผู้นี้ มีอะไรแปลกประหลาดงั้นหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป


“ข้าไม่ค่อยรู้ชัดเจนมากนัก รู้แต่ว่าฑูตสิบกว่าคนของพรรควิญญาณมืด ล้วนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย และพอเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง แล้วไม่สามารถเอาชนะได้ พวกเขาต่างก็ระเบิดตัวเองจนเสียชีวิต แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีฑูตวิญญาณมืดรหัสเดียวกัน ปรากฏตัวในพรรควิญญาณมืดอีกครั้ง” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“มีเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ด้วย?” หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


“เฮ่อๆ ไม่อย่างนั้น ตอนที่พรรควิญญาณมืดปรากฏตัวในเสวียนจิงครั้งแรก ทำไมถึงแย่งชิงเขตอิทธิพลกับกลุ่มอื่นมาได้เล่า และยังทรงอิทธิพลในเสวียนจิงมาจนถึงทุกวันนี้” หูชุนเหนียงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


“เอาล่ะ! ตอนนี้ศิษย์พี่บอกได้หรือยังว่า ท่านรู้เรื่องที่พรรควิญญาณมืดลงมือกับศิษย์ตรวจตราคนก่อนของนิกายข้าได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นมาอีกครั้ง


“เพราะว่าข้าซื้อตัวคนในพรรควิญญาณมืดไว้แล้ว เสียดายที่ตำแหน่งในพรรคเขาต่ำเกินไป หลังเกิดเหตุ ข้าก็ติดตามเบาะแสตามที่เขาบอก ถึงคาดการณ์ได้ว่าศิษย์ตรวจตราคนก่อนของนิกายเจ้า ถูกพรรควิญญาณมืดสังหาร ว่ากันว่าการลงมือในครั้งนั้น พรรควิญญาณมืดส่งทูตสองคนมาจัดการศิษย์ตรวจตราคนก่อน และยังตัดรากถอนโคนผู้คนที่เฝ้าอยู่ในอารามเสี่ยวชิงทั้งหมด” หูชุนเหนียงกล่าวอย่างเรียบราบ


“ศิษย์พี่รู้หรือไม่ ทำไมพรรควิญญาณมืดถึงลงมือกับศิษย์ตรวจตราคนก่อนของนิกายข้า ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีเหตุผลพิเศษบางอย่าง ที่ทำให้กลุ่มผู้ฝึกฝนอิสระอย่างพรรควิญญาณมืด กล้ายั่วโทสะนิกายปีศาจของพวกเรา” หลิ่วหมิงพยักน้าแล้วถามออกไป


“ก่อนข้าจะตอบ ศิษย์น้องควรบอกข้าก่อนไหม เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าต้นตอความวุ่นวายในเสวียนจิงอยู่ในราชวงศ์?” หญิงสาวถามกลับอย่างไม่รีบร้อน


“ง่ายมาก ข้าได้ช่วยขุนนางในราชสำนักคนหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ เขาบอกความลับอย่างเกี่ยวกับจักรพรรดิในตอนนี้” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่ลังเล


“เจ้าพูดถึงจักรพรรดิเสวียนจื้อในตอนนี้?” หูชุนเหนียงฟังมาถึงจุดนี้ สีหน้านางก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป


“ไม่ผิด! คือเขาผู้เป็นใหญ่ในเสวียนจิงผู้นี้” หลิ่วหมิงกล่าว


”ดี! ข้าเริ่มสนใจข้อมูลของศิษย์น้องมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เหตุที่ศิษย์ตรวจตราคนก่อนถูกสังหารนั้น จากที่ข้าสืบมา เป็นเพราะพรรควิญญาณมืดได้ข่าวว่า เขาค้นพบความลับสุดยอดของพรรควิญญาณมืด ถึงได้ฆ่าเขาปิดปาก” ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสาวเริ่มเปล่งประกาย แต่ก็กล่าวอย่างรวดเร็ว


“เพราะรู้ความลับ ถึงโดนฆ่าปิดปาก? ดูท่าความลับที่ศิษย์พี่คนก่อนค้นพบ จะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่” หลิ่วหมิงกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่


“เฮ่อๆ คงเป็นเช่นนั้น แต่เจ้าไม่ต้องถามข้าว่ามันคือความลับอะไร เพราะข้าเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่าความลับของจักรพรรดิเสวียนจื้อที่ขุนนางคนนั้นบอกคืออะไร?” ในที่สุดหูชุนเหนียงก็ถามคำถามที่สำคัญที่สุดออกมา


“ความลับนี้ก็คือ เสวียนจื้อไม่ใช่มนุษย์ แม้กระทั่งอาจจะถูกสับเปลี่ยนตัวไปแล้ว” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา


“อะไรนะ! เป็นไปได้อย่างไร!” รูม่านตาของหูชุนเหนียงหดลงในตอนแรก หลังจากนั้นนางก็สูดหายใจเข้าไป


“ทำไมล่ะ! หรือว่าศิษย์พี่ไม่ได้รับข่าวนี้? แล้วก่อนหน้านั้นศิษย์พี่สงสัยอะไรในราชสำนัก?” หลิ่วหมิงถามด้วยสีหน้าสงบ


“ฮึ! ที่ข้าสงสัยราชสำนักในก่อนหน้านั้น แท้จริงแล้วคือเฒ่าประหลาดในราชวงศ์ กับผู้บัญชาการแขกระดับจิตวิญญาณทองคำเหล่านั้น” หญิงสาวมีสีหน้าไม่สงบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงกล่าวออกมา


“ศิษย์พี่หมายถึงผู้ฝึกฝนที่ราชวงศ์บ่มเพาะมาเอง กับแขกระดับจิตวิญญาณทองคำที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสมบูรณ์แบบ! เป็นเพราะเหตุใดกัน?” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแล้ว


“เพราะว่าคนเหล่านี้ ต่างก็เก็บตัวฝึกฝนพร้อมกันอย่างแปลกประหลาด และหลังจากพวกเขาเก็บตัว ทั่วทั้งราชสำนักถึงดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่จะไม่ควบคุมกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในเสวียนจิงเท่านั้น แม้แต่การกระทำขอท่านอ๋องหรือองค์ชายต่างๆ ก็ล้วนไม่สนใจ ทำให้พวกเขาค่อยๆ ดึงผู้ฝึกฝนอิสระจากแคว้นอื่นๆ มาอย่างบ้าคลั่ง และพยายามสร้างอิทธิพลของตนเองไปเรื่อยๆ สิ่งนี้ถึงเป็นสาเหตุของความวุ่นวายในเสวียนจิง!” หญิงสาวถอยหายใจก่อนกล่าวออกมา


“ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ผู้ฝึกฝนของราชวงศ์ กับผู้บัญชาการแขกระดับจิตวิญญาณทองคำ ก็น่าสงสัยจริงๆ” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยความแปลกใจ


“ไม่ใช่ว่าขุนนางคนนั้นพูดอะไร ศิษย์น้องก็เชื่อไปหมดหรอกนะ เดิมทีเขาพูดว่าอย่างไร มีหลักฐานอะไรยืนยันบ้าง?” หูชุนเหนียงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“เขาพูดไว้ยาวมาก ตอนที่ข้าถามเขานั้น ได้ใช้ยันต์เก็บเสียงสองสามผืนเก็บคำพูดของเขาไว้ เพื่อใช้ประโยชน์ในภายหน้า ส่วนหลักฐานน่ะหรือ ถ้าศิษย์พี่เห็นแล้วก็จะเข้าใจเอง” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่รีบร้อน พอเขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา ก็มียันต์สีขาวจางๆ ผืนหนึ่งคีบอยู่ระหว่างนิ้ว หลังจากที่มันโบกสะบัดตามลม ก็เกิดเสียงดัง “ฟู่!” แล้วกลายเป็นแสงเพลิงลุกไหม้ขึ้นมา


ขณะนี้ แสงเพลิงได้ปล่อยเสียงของใต้เท้าซุนผู้นั้นออกมา


“ในเมื่อคุณชายเฉียนช่วยข้าออกมาจากเรือนจำ ความลับที่เก็บซ่อนอยู่ในใจข้ามานานนี้ ย่อมต้องยกออกมาให้หมด แต่หลังจากที่ข้าเปิดเผยความลับนี้ออกไปแล้ว ก็ไม่กล้าอยู่เสวียนจิงได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงหวังว่าท่านเซียนจะช่วยพาครอบครัวของข้า……”


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาไม่ทันถึง แสงเพลิงก็ปล่อยเสียงที่ใต้เท้าซุนพูดกับหลิ่วหมิงในวันนั้นออกมาทั้งหมด โดยไม่ตกหล่นเลยสักคำ และในที่สุดแสงเพลิงก็ดับลงไป


“ที่แท้เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ เช่นนี้ก็หมายความว่า เรื่องที่ผู้ฝึกฝนเชื้อพระวงศ์กับผู้บัญชาการแขกระดับจิตวิญญาณทองคำเก็บตัวฝึกฝน เกี่ยวข้องกับจักพรรดิเสวียนจื้อแปดถึงเก้าส่วน ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เรื่องราวกว่าครึ่งหนึ่งก็สามารถอธิบายได้แล้ว ศิษย์น้องคงได้รับเกล็ดปีศาจที่เขาพูดถึงแล้ว ให้ข้าดูมันได้หรือไม่?” หูชุนเหนียงพูดพึมพำกับตนเองไม่กี่ประโยค แล้วถามหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


“ย่อมไม่มีปัญหา ศิษย์น้องอยากอาศัยประสบการณ์ของศิษย์พี่ เพื่อตรวจสอบดูว่าเกล็ดปีศาจนี้มาจากปีศาจอะไรกัน “ หลิ่วหมิงย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ หลังจากพยักหน้าแล้ว ก็หยิบกล่องหยกใบเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ พอเปิดมันออกมา ก็พบกับเกล็ดสีเขียวที่ถูกวางนิ่งๆ อยู่ในนั้น


หูชุนเหนียงรับกล่องหยกมา และคีบเกล็ดสีเขียวออกมาอย่างระมัดระวัง และทำการตรวจสอบด้วยตาที่เป็นประกาย


ผ่านไปไม่นาน นางก็ส่ายหน้าแล้ววางเกล็ดลงในกล่องหยก และยังกล่าวกับหลิ่วหมิงว่า


“ช่างน่าละอายเสียจริง ข้าเองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเกล็ดนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร แต่อย่างที่ศิษย์น้องพูด ตอนนี้เสวียนจื้อไม่ใช่มนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เรื่องนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก อาศัยแค่หลักฐานเพียงแค่นี้ไปบอกนิกายล่ะก็ เกรงว่ามันคงไม่พอ””


“ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ถึงยังไม่ส่งข่าวนี้ให้กับนิกาย มิเช่นนั้นหากมีอะไรผิดพลาด พวกเราไม่เพียงจะไม่ได้สร้างผลงาน แต่ยังก่อให้เกิดภัยแก่ตนเองด้วย “ ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง


“ศิษย์น้องช่างสุขุมรอบคอบในทุกด้าน พวกเราระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน แยกกันหาหลักฐานมาอีกจำนวนหนึ่ง แล้วค่อยส่งข่าวกลับไปนิกาย เช่นนี้แล้วก็จะไม่มีอะไรผิดพลาดเลย!” หญิงสาวคิดไตร่ตรองก่อนกล่าวออกมา


“ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเชื้อพระวงศ์กับราชสำนัก แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่ศิษย์ตรวจตราอย่างพวกเราจะจัดการเองได้ เพียงแค่พวกเรามีหลักฐานที่เพียงพอ ที่เหลือก็มอบให้ทางนิกายจัดการก็พอแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้า


“ดี! แต่จะหาหลักฐานที่แน่ชัดได้นั้น เกรงว่าจะต้องใกล้ชิดกับจักรพรรดิเสวียนจื้อผู้นี้ถึงจะได้ ครึ่งเดือนให้หลัง จะเป็นพิธีบูชาของราชวงศ์ คนที่สนับสนุนข้าผู้นั้นก็อาจจะเข้าวังด้วย พอถึงเวลานั้นจะต้องพาข้าไปด้วยแน่นอน และข้าจะหาโอกาสดูว่า จะหาหลักฐานอะไรในวังได้บ้าง” หญิงสาวพลันคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้


“คนที่สนับสนุนศิษย์พี่คือ……” ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง แต่ก็ได้สติและถามกลับไปในทันที


“คือองค์ชายเจ็ดผู้หยิ่งผยองผู้นั้น” หูชุนเหนียงทำปากยื่นแล้วกล่าวออกมา


“องค์ชายเจ็ด! ถ้าพิธีบูชาของราชวงศ์ล่ะก็ เขาต้องเข้าวังอย่างแน่นอน แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พระราชวังคงถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนา ศิษย์พี่แฝงตัวเข้าวังไปเก็บหลักฐาน มันจะไม่อันตรายไปหน่อยหรือ” หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองแล้ว ก็ยังดูเหมือนจะกังวลอยู่


“ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้อย่างไร! แต่ถ้าศิษย์น้องรู้สึกไม่วางใจล่ะก็ หาวิธีเข้าวังไปพร้อมกับข้าดีไหม ถ้ามีศิษย์น้องเป็นเพื่อน ศิษย์พี่ก็วางใจเป็นอย่างมาก” หญิงสาวหัวเราะอิๆ ก่อนกล่าวออกมา


“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ! ตอนนี้ข้าเป็นแค่แขกของเรือนร้อยวิญญาณ เกรงว่าคงไม่อาจแฝงตัวเข้าวังได้” หลิ่วหมิงแบะปากก่อนกล่าวออกมา


“ศิษย์น้องคิดเข้าใกล้ผู้ที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเรือนร้อยวิญญาณอย่างอ๋องสามผู้นั้นใช่หรือไม่?” รอยยิ้มของหูชุนเหนียงหายไปก่อนที่จะกล่าวออกมา


“ข้าคิดเช่นนี้จริงๆ หากเข้าใกล้อ๋องสามได้ล่ะก็ ต่อไปข้าคงเข้าวังได้ง่ายขึ้น ทำไมล่ะ! หรือว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้อง?” หลิ่วหมิงฟังอะไรบางอย่างออกในทันที จึงขมวดคิ้วถามออกไป


“แม้ข้าจะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน แต่อ๋องสามผู้นี้มันไม่ง่ายนัก ข้าสงสัยว่าเขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับพรรควิญญาณมืด?” หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงกล่าวออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจ


“อะไรนะ! มีความสัมพันธ์กับพรรควิญญาณมืด?” แม้ว่าหลิ่วหมิงจะเป็นคนสุขุมมาโดยตลอด แต่พอได้ยินคำพูดนี้ เขาก็รู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้


“ถูกต้อง คนที่ข้าซื้อตัวไว้ เคยเห็นทูตวิญญาณมืดเข้าออกจวนอ๋องสามอยู่หลายครั้ง และตั้งแต่พรรควิญญาณมืดปรากฎตัวในเสวียนจิง อ๋องสามผู้นี้ก็ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนน้อยมาก นอกจากนี้ หลายปีมานี้ เคยมีผู้ฝนอิสระถูกรับตัวเข้าไปในจวนอ๋องสาม แต่ส่วนหนึ่งในนั้นไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมาก่อน มันน่าสงสัยเป็นอย่างมาก” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง


“ขอบคุณศิษย์พี่ที่เตือน ข้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไรแล้ว” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงถอยหายใจยาวๆ ก่อนกล่าวออกมา


“ข้าเองก็เชื่อว่าความฉลาดหลักแหลมของศิษย์น้อง คงจะจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา” หูชุนเหนียงหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา


“ใช่สิ! ศิษย์พี่รู้สถานการณ์ของศิษย์ตรวจตราอีกสามนิกายไหม? เรื่องนี้ควรจะส่งข่าวให้พวกเขาหรือไม่?” หลิ่วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกล่าวออกมา


“พวกไร้ประโยชน์ทั้งสามคนนั้นหรือ! ถ้าศิษย์น้องเฉียนไม่อยากถูกล้อมสังหารเหมือนศิษย์ตรวจตราคนก่อนล่ะก็ ทางที่ดีควรละความคิดนี้ไปซะ!” หญิงสาวได้ยินก็กล่าวเหน็บแหนมออกมา


……………………………………….


ตอนที่ 201 เทพธิดาพยากรณ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ทำไมล่ะ! สามคนนั้นพึ่งไม่ได้หรือ?” พอหลิ่วหมิงได้ยิน ตาก็เป็นประกาย


“ศิษย์ตรวจตราของสามนิกายนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถพึ่งได้ แต่ข้ายังสงสัยว่าอาจมีคนถูกอิทธิพลบางกลุ่ม ซื้อตัวไปตั้งนานแล้ว แต่จะเป็นใครนั้น ข้าไม่อาจยืนยันได้ แต่เพื่อป้องการอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ข้าจึงไม่เคยติดต่อกับพวกเขา ถ้าศิษย์น้องไม่เชื่อก็ลองไปติดต่อดูได้ แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ก็อย่าลากข้าเข้าไปพัวพันด้วยก็แล้วกัน” หูชุนเหนียงหัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนกล่าวออกมา


“ข้าเข้าใจแล้ว ศิษย์พี่บอกสถานะของพวกเขาในตอนนี้ให้ข้าเถอะ! ข้าจะระมัดระวัง” หลิ่วหมิงพยักหน้า และตอบกลับไปโดยไม่กระโตกกระตาก


“ในเมื่อศิษย์น้องรู้ตัวว่าจะทำอย่างไร ศิษย์พี่ก็จะบอกสถานะพวกเขาทั้งสามให้โดยไม่คิดค่าตอบแทน” หูชุนเหนียงได้ยินก็ยิ้มหวานออกมา


จากนั้นนางก็หยิบแผ่นกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง และเขียนอักขระเล็กๆ ลงไปสองสามแถวก่อนโยนให้หลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงคว้าเอาไว้ได้ หลังจากที่ก้มหน้าอ่านอย่างละเอียดไม่กี่รอบ และจดจำไว้ในสมองแล้ว ก็ใช้สองมือฟั่นกระดาษแผ่นนั้น


“ฟู่!” เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นมาจากมือ


แผ่นกระดาษกลายเป็นขี้เถ้าไปในพริบตา


“ใช่สิ! งานประมูลในก่อนหน้านั้น ศิษย์พี่บอกว่าซื้อเกราะกลนักรบชิ้นนั้น เพื่อให้องค์ชายเจ็ดเอาใจใครบางคน เรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไร?” หลิ่วหมิงนึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกล่าวออกมา


“อ๋อ! ศิษย์น้องสนใจเรื่องนี้ด้วยหรือ แต่มันก็ไม่นับว่าเป็นความลับอะไร ศิษย์น้องเพิ่งมาเสวียนจิงได้ไม่นาน จึงไม่รู้เรื่องนี้ ไม่ทราบว่าศิษย์น้องรู้จักชื่อเสียงของ ‘เทพธิดาพยากรณ์’ หรือไม่?” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา


“เทพธิดาพยากรณ์? ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกตะลึง เหมือนเขาจะงุนงงเล็กน้อย


“หญิงนางนี้เป็นผู้ฝึกฝนอิสระ เคยปรากฏตัวที่แคว้นไห่เยวี่ยเมื่อหลายปีก่อน ว่ากันว่านางมีร่างลิขิตฟ้าตามคำร่ำลือ สามารถสื่อสารกับฟ้าดินได้ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถทำนายชะตาของคนได้ แม้กระทั่งอาจจะชี้แนะโอกาส ให้ร้ายกลายเป็นดีได้ ตอนแรกก็ยังไม่มีคนเชื่อ แต่พอผู้ฝึกฝนอิสระบางคนถูกนางทำนายดวงชะตา และประสบเหตุการณ์ตรงกับคำทำนายภายในหนึ่งปี นางก็ดังครึกโครมไปทั่วแคว้นไห่เยวี่ย เรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ผู้ฝึกฝนอิสระที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสมบูรณ์แบบ อายุสามสิบกว่าปีคนหนึ่ง ได้ทำตามคำชี้แนะของนางจนได้พบกับโอกาสอันดี ด้วยเหตุนี้จึงควบแน่นลมปราณได้สำเร็จ และกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ” หญิงสาวค่อยๆ กล่าวออกมา


“เป็นไปไม่ได้ จะมีเรื่องแบบนี้บนโลกใบนี้ได้อย่างไร?” พอหลิ่วหมิงได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็มีสีหน้าตกใจขึ้นมา


“ไม่ผิด! พอคนจำนวนมากได้ยินคำพูดเหล่านี้ ต่างก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับศิษย์น้อง แต่ผู้ฝึกฝนอิสระที่สามารถควบแน่นไอปีศาจให้เป็นปราณแกร่งได้นั้น เป็นคนที่ผู้คนในแคว้นไห่เยวี่ยต่างก็รู้จักกันดี เดิมทีเขาก็หมดหวังในการเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเท็จแต่ประการใด ทั้งยังว่ากันว่าเพื่อขอบคุณเทพธิดาพยากรณ์ผู้นี้ ผู้ฝึกฝนอิสระถึงกับยอมติดตามรับใช้นาง เรื่องนี้คนจำนวนมากเห็นมากับตา ได้ยินมาว่า หลังจากที่นางมีชื่อเสียงโด่งดัง นิกายหลายนิกายในแคว้นไห่เยวี่ย ดูเหมือนจะเคยขัดขวางการกระทำของนาง แต่ต่อมาไม่รู้ว่าทำไมถึงละทิ้งความคิดนี้ไป และทำเหมือนกับมองไม่เห็นการมีตัวตนอยู่ของนาง ด้วยเหตุนี้ ชื่อเสียงของเทพธิดาพยากรณ์จึงโด่งดังมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งมักจะมีผู้ฝึกฝนในแคว้นรอบๆ ไปให้นางทำนายดวงชะตาและชี้แนะโอกาสให้เสมอ ว่ากันว่านางทำนายแม่นมาโดยตลอด สิ่งนี้ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของนางโด่งดังมากขึ้น แม้แต่ผู้ฝึกฝนอิสระในแคว้นต้าเสวียนของเรา ก็เลื่อมใสศรัทธานางเป็นอย่างยิ่ง เฮ่อๆ! ไม่ว่าหญิงนางนี้จะทำหน้าลิงหลอกเจ้าอย่างไร แต่นางจะต้องเป็นพวกตุ้มตุ๋นลึกลับอย่างแน่นอน ช่วงเวลาหลายเดือนก่อน นางได้ส่งข่าวมาว่า จะมาเตรียมจัดงาน ‘ความลับสววรค์’ ในเสวียนจิง นางจะทำนายชะตาและชี้แนะโอกาสให้ผู้มีวาสนาจำนวนหนึ่ง และวิธีเดียวที่สามารถเข้าร่วมงานใหญ่นี้ได้ จะต้องพกอุปกรณ์กลไกที่นางพอใจเข้าไปด้วย มิเช่นนั้นก็ไม่อาจพบหน้านางได้” หูชุนเหนียงหัวเราะเฮ่อๆ! ก่อนกล่าวออกมา


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าองค์ชายเจ็ดกับเฒ่าปีศาจสือต่างก็อยากเข้าร่วมงานใหญ่นี้ ถึงได้ร้อนใจอยากได้อุปกรณ์กลไกในงานประมูลเป็นอย่างมาก แต่จะว่าไปแล้ว พอถึงเวลาศิษย์พี่หูจะเข้าร่วมงานความลับสวรรค์นี้ไหม?” หลิ่วหมิงกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่


“ถ้าองค์ชายเจ็ดเข้าร่วมล่ะก็ ข้าก็ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ อีกอย่างข้ายังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย อยากจะรู้ว่าเทพธิดาพยากรณ์ผู้นี้เป็นอย่างไร และทำนายได้แม่นจริงหรือไม่” หญิงสาวกล่าว


“พอได้ยินศิษย์พี่หูพูดเช่นนี้ ข้าเองก็รู้สึกสนใจขึ้นมาแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าว


“ถ้าศิษย์น้องอยากเข้าร่วมล่ะก็ เพียงแค่พกเรือกลเหาะชิ้นนั้นไป คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่พอถึงเวลานั้น ถ้าอยากให้ธิดาพยากรณ์ผู้นี้ทำนายดวงชะตาล่ะก็ ว่ากันว่าจะต้องเตรียมสิ่งของที่ล้ำค่ากว่าไปด้วย ไม่รู้ว่าพอถึงเวลานั้นศิษย์น้องเฉียนจะยอมเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากไหม?” หูชุนเหนียงหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา


“ยังต้องเตรียมของขวัญล้ำค่า…… เห้อ! ถ้าอย่างนั้นคงต้องรอถึงเวลานั้น แล้วค่อยว่ากันอีกที!” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็แบะปากออกมา


“อิๆ! พวกเราทั้งสองออกมานานแล้ว ถ้าไม่กลับไปล่ะก็ อาจจะทำให้ใครบางคนผิดสังเกตได้ ต่อไปเจ้ากับข้าอย่าเพิ่งติดต่อกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ มีเรื่องอะไรก็รอหลังเสร็จพิธีบูชาของราชวงศ์ก่อน แล้วค่อยว่ากัน” หูชุนเหนียงหัวเราะออกมาก่อนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“วางใจเถอะ! ข้ารู้ว่าจะต้องทำอย่างไร” หลิ่วหมิงย่อมเข้าใจคำพูดของหญิงสาว เขาจึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ


“ดีมาก! งั้นข้าจะออกไปก่อน”


หญิงสาวพยักหน้าอย่างพอใจ พอนางทำท่ามือด้วยมือเดียว เมฆเทาก็ปรากฏขึ้นที่ใต้เท้า และพานางเหาะทะยานขึ้นฟ้าไป


หลิ่วหมิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความลังเล ประจักษ์ชัดว่าเขากำลังแยกย่อยข้อมูลจำนวนมากที่เพิ่งได้รับมา


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด สีหน้าเขาก็ผ่อนคลายขึ้นหลังจากคิดอะไรขึ้นมาได้ หลังจากกระทืบเท้าแล้วก็พุ่งขึ้นฟ้าไป


สามวันต่อมา


หลิ่วหมิงพาเฉียนหรูผิงมาปรากฏกายบนถนนสายเล็กๆ ตรงทางขึ้นเขาเซียนทอแสง เพื่อมุ่งตรงไปยังถ้ำที่เขาเช่าไว้


ผ่านไปไม่นาน เขาก็พาเด็กหญิงมาถึงริมแม่น้ำเล็กๆ ที่กำลังไหลเอื่อยอยู่


จะบอกว่าเป็น ‘แม่น้ำ’ แต่ความจริงแล้วพูดว่าเป็น ‘ลำธาร’ ที่ใหญ่กว่าหน่อยถึงจะถูก


บริเวณแม่น้ำ มีป่าไผ่ที่ดูเขียวขจีอยู่ผืนหนึ่ง


หลิ่วหมิงค่อยๆ ยิ้มออกมา หลังจากพาเด็กหญิงก้าวไปตรงชายป่าไผ่แล้ว ก็หยิบป้ายสีเขียวอออกมาอันหนึ่ง และปล่อยพลังเวทย์เข้าไปในนั้นก่อนที่จะโบกไปทางป่าไผ่


“ฟู่!”


อักขระสีขาวจางๆ พุ่งออกจากแผ่นป้ายเป็นเส้นเดียวกัน และจมหายเข้าไปในป่าไผ่


ครู่ต่อมา ก็มีเสียงดังหวึ่งๆ ออกมาจากไผ่


อากาศตรงหน้าสั่นสะเทือนขึ้นมา จากนั้นสภาพทั้งหมดก็กลายเป็นจุดแสงสีขาวก่อนที่จะสลายไป


หลังจากที่ป่าไผ่หายไป มันก็ถูกแทนที่ด้วยกำแพงหินสีดำ


ด้านล่างของกำแพง มีประตูหินที่สลักอักขระสีเงินอยู่บานหนึ่ง


“หรูผิง นี่คือที่พักใหม่ของเรา พวกเราอาจจะอยู่ที่นี่สักสองสามปี” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หันมายิ้มให้กับเด็กหญิงก่อนกล่าวออกมา


“ดีจังเลย จากนี้ไปข้าก็สามารถฝึกฝนพร้อมกับพี่หมิงได้อย่างเต็มที่แล้ว” เฉียนหรูผิงมองภาพตรงหน้าแล้วกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย สีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ


หลิ่วหมิงหัวเราะออกมา แล้วโบกป้ายไปยังประตูหิน


อักขระบนประตูหินเปล่งประกายขึ้นมาในทันที จากนั้นบานประตูก็ค่อยๆ เปิดออก


หลิ่วหมิงพาเด็กหญิงเดินเข้าไปข้างใน


หนึ่งเค่อต่อมา หลังจากที่เขาเตรียมที่พักให้เด็กหญิง และเก็บของที่พกติดตัวมาเรียบร้อยแล้ว ก็มาปรากฏตัวในห้องลับของถ้ำเพียงลำพัง


เขานั่งขัดสมาธิบนเบาะกลมผืนหนึ่ง จากนั้นก็คิดแผนหลังจากนี้ด้วยตาที่เป็นประกาย


ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขาเพิ่งจะกล่าวลากับเฉียนเชา ผู้อาวุโสเหมี่ยน และคนอื่นๆ เพื่อย้ายออกจวนเฉียนอย่างเป็นทางการ


ตอนนี้งานประมูลก็เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์แบบ และหลังจากผ่านศึกในครั้งนั้น หอรวมสมบัติก็สูญเสียพลังไปมาก ช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ ไม่สามารถคิดทำอะไรเรือนร้อยวิญญาณได้ ด้วยเหตุนี้ถึงแม้เฉียนเชาจะรู้สึกเสียดายที่เขาย้ายออกมา แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร


แน่นอนว่าในตอนนี้พิษในร่างของลูกชายเฉียนเชา ถูกขับออกไปจนหมดสิ้นแล้ว


และหลังจากที่เขาย้ายออกมา นอกจากจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นกับเรือนร้อยวิญญาณแล้ว ในสถานการณ์ปกติเถ้าแก่เฉียนก็จะทำตามสัญญา คือไม่ส่งคนมารบกวนการฝึกฝนของเขา


แน่นอนว่าที่หลิ่วหมิงรีบร้อนย้ายมาเขาเซียนทอแสง ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าหลังจากนี้ไป มีเรื่องบางอย่างที่ต้องหลบเลี่ยงสายตาของเรือนร้อยวิญญาณ อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าสะดวกในการเรียนวิชาปรุงโอสถกับผู้เชี่ยวชาญฝานไป๋จื่อ


เริ่มตั้งแต่เมื่อวาน เขาได้ไปเรียนวิชาเกี่ยวกับการปรุงโอสถกับฝานไป๋จื่อแล้ว


แต่ตอนนั้นฝานไป่จื่อไม่ให้เขาลงมือปรุงโอสถเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่อธิบายความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการปรุงโอสถกับประสบการณ์การปรุงโอสถของตนเองเท่านั้น


เรื่องราวเหล่านี้ หลิ่วหมิงเคยทำความเข้าใจจากคัมภีร์โบราณมาแล้วส่วนหนึ่ง แต่ส่วนมากก็เป็นเรื่องที่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ทำให้เขาได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก


แต่ครั้งต่อไป ผู้เชี่ยวชาญฝานผู้นี้จะชี้แนะเทคนิคการปฏิบัติจริงของเขาให้


แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายของวัตถุดิบในการปรุงโอสถ เขาจะต้องเตรียมพร้อมไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


พอนึกถึงปัญหาเรื่องหินจิตวิญญาณ หลิ่งหมิงก็แอบแบะปากอย่างอดไม่ได้


ตั้งแต่ซื้ออุปกรณ์กลไกจากงานประมูลมาสามชิ้น หินจิตวิญญาณที่มีอยู่ก็ลดลงไปกว่าครึ่ง บวกกับยังต้องจ่ายค่าเช่าถ้ำ และการที่ต้องฝึกฝนปรุงโอสถอย่างหนักในภายหลัง ดูท่าคงต้องนำพืชจิตวิญญาณฟ้าดินที่เขาไม่ได้ใช้ ออกมาขายแลกหินจิตวิญญาณซะแล้ว


ตอนที่เขาออกมาจากแดนลึกลับ นอกจากจะเก็บหนังมังกรแดงไว้แล้ว ยังซ่อนพืชจิตวิญญาณล้ำค่าจำนวนหนึ่งไว้ในหอยสังข์ย่อส่วนอีกด้วย


แน่นอนว่าหินจิตวิญญาณในตัวเขาตอนนี้ ยังพอใช้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นเรื่องการขายพืชจิตวิญญาณ จึงสามารถชะลอไปก่อนได้


ถ้าเขาคิดจะฝึกฝน และเรียนวิชาปรุงโอสถอยู่ในเสวียนจิงอย่างสงบล่ะก็ จำเป็นต้องจัดการปัญหาความวุ่นวายของเสวียนจิงในตอนนี้ให้ได้ก่อน


มิเช่นนั้น หากเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นในเสวียนจิง โทษของศิษย์ตรวจตรา คงทำให้เขายากที่จะทนรับได้ไหว


เขาได้แต่หวังว่าการเข้าวังของหูชุนเหนียงในอีกไม่นาน จะราบรื่นไปด้วยดี


เพียงหาหลักฐานที่เพียงพอได้ แล้วให้ทางนิกายใช้อำนาจกวาดล้างเสวียนจิงใหม่อีกครั้ง ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลายลงทั้งหมด


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)