ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 194-197
ตอนที่ 194 พี่รองผู้น่าสงสาร
ข้างๆ กอหญ้านั้นยังมีเศษอาหารเน่าหลงเหลืออยู่ เป็นของที่ก่อนนี้ฮว๋ายอันน้อยเก็บเอาไว้ให้น้องสาว
เทพธิดาเคลื่อนย้ายกอหญ้าเหล่านั้นออกไป เผยให้เห็นแผ่นไม้ที่ปิดอยู่ด้านล่าง นางกล่าวสำทับอีกว่า ” เขาอยู่ข้างล่างนั่น เจ้าต้องลงไปดูด้วยตนเอง “
ตู๋กูซิงหลันมิได้รีบร้อนเคลื่อนไหว เพียงถามไถ่ออกไปประโยคหนึ่ง ” เขาอยู่ในนั้นมาตลอดหรือ? “
” อยู่ในนั้นมาตลอด ” ดวงจิตของเทพธิดากล่าว จากนั้นนางก็เปิดแผ่นไม้ออกมา เผยให้เห็นทางลับ
เมื่อมองลงไปก็เห็นแต่เพียงบันไดไม้ที่ลึกลงไป ปากทางคับแคบ เพียงสามารถให้คนๆ เดียวลอดผ่าน
ด้านในมีแต่ความมืดมิด แม้จะบอกว่าเป็นห้องลับ แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับรู้สึกว่าเป็นคุกใต้ดินเสียมากกว่า ภายในยังมีกลิ่นอับชื้นลอยออกมา
นับตั้งแต่ที่พี่รองหายสาบสูญจนถึงตอนนี้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีครึ่งเดือนแล้ว
ต่อให้มีให้กินให้ดื่ม คนธรรมดาที่ถูกกักขังอยู่ในคุกใต้ดินนานถึงพียงนี้ คิดดูแล้วนับว่าไม่ง่ายดาย อย่าว่าแต่พี่รองอาจจะอยู่ในสถานการณ์ที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว
” เจ้าจะไม่ลงไปดูหรือ? ” ดวงจิตของเทพธิดาเห็นนางรีรอไม่ยอมขยับ ก็ถามขึ้นมา
” ไม่ใช่ว่าเจ้าให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวหรอกหรือ? ทำไมพอรู้ว่าเขาอยู่ในนี้ ก็ไม่ตื่นเต้นไม่ได้ยินดี? “
สองประโยคนี้ นางถามออกไปตรงๆ
ตู๋กูซิงหลันเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง ดวงหน้าเผยความเคร่งเครียดออกมา ” ไม่ได้พบกันมานาน ในใจของข้าตื่นเต้นอยู่มาก หวาดกลัวว่าร่างกายและจิตใจของเขาจะได้รับบาดแผล”
ดวงจิตของเทพธิดายิ้มบางๆ ” เจ้าวางใจเถอะ เขาสบายดี “
ว่าแล้ว ภายใต้การประคับประคองหนุนของวิญญาณแค้นทั้งหลาย นางก็ลอยลงไปในทางลับช้าๆ
ตู๋กูซิงหลันมิใช่พวกไร้เดียงสา แต่ไหนแต่ไรมาก็มิใช่พวกที่หลงเชื่อคนโดยง่าย อย่าว่าแต่ที่ตรงหน้าก็เป็นเพียงเทพที่เหลือเพียงดวงจิตองค์หนึ่ง
ถึงจะพูดว่าเป็นเทพ แต่ว่าก็ออกจะประหลาดอยู่บ้าง
รอจนดวงจิตของเทพธิดาผู้นั้นลงไปแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วถึงได้ค่อยติดตามลงไป
พอก้าวเท้าลงไปข้างหนึ่ง ก็รู้สึกได้ถึงความเย็นจากใต้ฝ่าเท้า
เจ้าไก่ขนดำฟูและวิญญาณทมิฬต่างก็ติดตามนางไป สหายน้อบติงต๋องนับตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ก็ยังรักษาความตื่นตัวเอาไว้ที่ระดับสูงสุด สองตาไก่กุ๊กของมัยจดจ้องอยู่ที่ดวงจิตของเทพธิดาอยู่ตลอด
บันไดไม้นี้ยาวมาก ยิ่งเดินลงไปก็ยิ่งรู้สึกถึงความเย็นยะเยือก เจ้าไก่ขนดำฟูเฝ้าสุสานของเย่วฮูหยินมาแล้วสิบปี มันคุ้นเคยกับกลิ่นไอของหลุมฝังศพเป็นอย่างดี
มันกล้ารับประกันเลยว่าใต้บันไดนี้ก็คือสุสานแห่งหนึ่ง!
พี่ชายของพี่สาวตัวน้อยอยู่ในสุสานนี้หรือ?
เช่นนั้นมิกลายเป็นคนตายไปแล้วหรือ?
ตู๋กูซิงหลันเองก็รู้สึกได้ ไม่เพียงแต่รู้สึกถึงไอหยินที่เย็นเฉียบในสุสาน แต่นางยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอีกอย่างหนึ่ง ที่สร้างผลสะท้อนให้กับหยกสรรพชีวิตที่ผนึกอยู่ในดวงจิตของนาง
นางเดินตามดวงจิตของเทพธิดาลงไปนานเกือบหนึ่งชั่วก้านธูป ถึงได้ลงไปจนถึงปลายทาง
ที่ด้านล่างมืดมิด ในอากาศมีแต่กลิ่นอับชื้นของเชื้อรา และกลิ่นเน่าของซากสิ่งมีชีวิตลอยมาจางๆ
นางหรี่ตาลง มองออกไปท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่อาจเห็นนิ้วมือทั้งห้านี้
ท่ามกลางความมืด ดวงจิตของเทพธิดาหันกลับมามองนางครั้งหนึ่ง เปิดเผยกิเลสที่ถูกบดบังเอาไว้ออกมา เป็นความต้องการที่แม้แต่ความมืดมิดอย่างที่สุดก็ยังไม่อาจจะซุกซ่อนเอาไว้ได้
นางเปิดปากขึ้น ลิ้นของนางถึงกับเป็นลิ้นของงู แทบจะกวาดไปทั่วใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน ดวงเนตรแดงฉานดั่งดวงไฟคู่นั้นวาววับไปจนถึงนัยตา
” ซัววาลาลา—” ทันใดนั้น ก็เห็นสหายติ๊งต๊องตีปีกทั้งสองอย่างรวดเร็ว จนเกิดประกายไฟสีทองออกมา
ทันทีที่สิ้นเสียงเปลวไฟสีทองนั้นก็สกัดปลายลิ้นของเทพธิดาเอาไว้ แสงเพลิงที่ร้อนระอุทำให้นางต้องม้วนลิ้นกลับไปในพริบตา
ดวงวิญญาณอาฆาตที่รายล้อมนางอยู่ก็พากันไปหลบอยู่ที่ด้านหลังจนหมด ด้วยความหวาดเกรงว่าเพลิงนั้นจะเผาผลาญพวกมันไปด้วย
ติ๊งต๊องสบัดปีกอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลันราวกับคบเพลิงมีชีวิตที่สว่างจ้าด้ามหนึ่ง
ดูท่าอีกหน่อยมันคงจะต้องกินพวกเนื้องูให้มากหน่อยแล้ว ไฟจากท่าใหม่นี้ใช้ได้สะดวกดีจริงๆ
ดูเอาสิ ขนาดว่าแผดเผาจนปีกของตนเองลุกไหม้ขนาดนี้แล้วก็ยังไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย ซ้ำยังรู้สึกได้ว่าในร่างกายยังมีพลังอัดแน่นอยู่อีกจำนวนมากด้วยซ้ำ
วิญญาณทมิฬถูกสะเก็ดไฟเล็กๆ นั้นกระเด็นเข้าใส่จนสมองของมันชักจะร้อนวูบวาบขึ้นมา มันจึงรีบหลบเข้าไปในเงาของตู๋กูซิงหลันอย่างรวดเร็ว
ประกายเพลิงสีทองทำให้ทั่วทั้งบริเวณสว่างวาบขึ้นมาในทันที ตู๋กูซิงหลันที่ดวงตาเคยชินอยู่กับความมืด พอจู่ๆ ก็ตกอยู่ในความสว่างจ้า ทำเอาดวงตาของนางเกือบจะบอดไป
นางหรี่ตาลงในทันที หลังจากที่หายมึนงงแล้ว จีงได้มองเห็นทั่วทั้งบริเวณใต้ดินของอารามแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน
ที่ประจักษ์แก่ดวงตาของนางในยามนี้ก็คือกองกระดูกขาวโพลน
โครงกระดูกมนุษย์!
ตรงนั้นกอง ตรงนี้กอง นับไปนับมาอย่างน้อยๆ ก็ต้องได้ร้อยกว่าร่าง ดูจากสภาพแล้วก็สามารถจินตนาการได้ถึงความทุกข์ทรมานและหวาดกลัวก่อนตาย
ยังมีกระดูกบางส่วนที่กลายเป็นสีดำ บนนั้นมีตัวหนอนมากมายคืบคลานกันยุบยับไปหมด
หากว่าเป็นคนปกติได้มาเห็นภาพเช่นนี้ เกรงว่าคงต้องเป็นลมล้มลงไปในทันทีแล้ว
แต่ว่าตู๋กูซิงหลันเคยได้เห็นภาพที่ยิ่งกว่านี้มาแล้ว ในโลกก่อนตอนที่อายุได้สิบขวบนั้น ท่านอาจารย์เคยโยนนางลงไปยังสุสานหมื่นทหารของสมัยจ้านกว๋อ ที่นั่นนับว่าน่ากลัวว่าที่นี่มากนัก
บนกองกระดูกมนุษย์ ยังมีโครงกระดูกของกระรอกและกระต่ายปะปนอยู่ด้วย บ้างก็เริ่มจะเน่าแล้ว บ้างก็ยังคงสดใหม่อยู่
เลือดของพวกมันยังหยดนอง ภาพที่เห็นพาให้คนรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจอย่างยิ่ง
ตู๋กซิงหลันได้แต่ขมวดคิ้ว นางกวาดตามองคร่าวๆ รอบหนึ่งก็เห็นว่าในกองซากกระต่ายนั้น มีร่างของบุรุษชุดขาวอยู่
เขานั่งอยู่ท่ามกลางซากกระต่าย หลังพิงอยู่กับก้อนหินก้อนหนึ่ง ชุดขาวบนร่างมีเลือดเปรอะเปื้อน เลือดพวกนั้นแห้งกรังไปแล้ว ทั้งยังเริ่มจะขึ้นรา
เส้นผมยาวปรกอยู่บนใบหน้าอย่างยุ่งเหยิง คงจะไม่ได้ล้างหน้ามานานมากแล้ว ใบหน้ามีหนวดเคราครึ้ม แต่เพียงหัวคิ้วยังดูงดงามอย่างที่สุด
เขาหลับตาอยู่ ขนตางามงอนนั้นถึงกับยาวกว่าสตรีเสียอีก หางตาของเขากระตุกน้อยๆ เขากำลังหลับอยู่ด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
หือ ท่ามกลางกองกระดูกและซากเหล่านี้ เขาคืออย่างเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่
สองมือของเขาถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่เหล็ก บนเอวก็มีโซ่หนาขนาดข้อมืออยู่อีกเส้น ถูกพันธนาการเอาไว้ประหนึ่งว่าเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่ถูกทารุณอย่างน่าสงสาร
ตู๋กูซิงหลันไม่เคยได้พบพี่รองของตนเองมาก่อน แต่ว่าตอนที่อยู่ในจวนตระกูลตู๋กู พี่ใหญ่เคยนำภาพของคนในครอบครัวทั้งหมดมาให้ดู นั้นเป็นผลงานของช่างศิลป์ที่มีฝีมือดีที่สุดในเมืองหลวง
บนภาพนั้นมีท่านปู่ พี่ใหญ่ พี่รอง และก็นาง
ถึงแม้ว่าภาพนั้นจะเทียบไม่ได้กับรูปถ่ายของยุคปัจจุบัน แต่ว่าฝีมือของช่างศิลป์ผู้นั้นก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ถึงกับว่าได้คล้ายคนจริงอยู่ถึงเก้าส่วน
ดังนั้น ตอนนี้พอได้เห็นบุรุษชุดขาวผู้นั้น ตู๋กูซิงหลันก็จดจำเขาได้ในทันที
เป็นพี่รองผู้ชื่นชอบสวมใส่ชุดสีขาวของนางจริงๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงจิตของเทพธิดาที่อยู่ใกล้ๆ ค่อยกล่าวออกมาว่า ” เจ้าเห็นชัดแล้วใช่ไหม เป็นคนในครอบครัวของเจ้าใช่หรือไม่? “
เนื่องเพราะว่าเมื่อครู่ปลายลิ้นถูกไฟลวกเข้าจนพอง ยามนี้พอพูดออกมาจึงไม่ชัดอยู่บ้าง
ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆ กัน ” ใช่แล้ว “
นางมิได้พุ่งเข้าไปที่ข้างกายพี่รองในทันที แต่กลับหันไปถามดวงจิตของเทพธิดา ” ทำไมเขาจึงมีสภาพเช่นนี้? “
ดวงเนตรสีชาดทั้งสองของเทพธิดาทอประกายกระหายเลือดออกมา นางกล่าวว่า ” เจ้ามีบุญคุณกับข้า ข้านำเจ้ามาเจอญาติ ก็ถือว่าได้ตอบแทนบุณคุณนี้ให้แก่เจ้าแล้ว “
นางมิได้ตอบคำถามของตู๋กูซิงหลัน แต่กับพูดไปอีกว่า ” ต่อไป ให้ข้าได้แนะนำตัวสักหน่อย ข้าคือชือหลี เทพธิดาประจำลำน้ำลี่เหอ เฝ้าปกป้องลำน้ำลี่เหอมานานถึงสามพันปีแล้ว เดิมทีข้าได้รับควันธูปบูชาจากผู้คน จึงได้อยู่อย่างนิรันด์ไม่มีดับสูญ “
” มีอยู่ปีหนึ่งในฤดูหนาว หนุ่มน้อยชุดขาวผู้หนึ่งตกลงไปในแม่น้ำลี่เหอ ข้าได้ชีวิตเขาเอาไว้ เขาจึงมักจะมาอยู่ใต้แม่น้ำลี่เหอนี้กับข้า ต่อมาพอเขาเติบโตขึ้น ก็บอกว่าจะสู่ขอข้าแต่งงาน จะเฝ้าแม่น้ำร่วมกับข้าไปจวบจนชั่วชีวิต ข้าก็หลงเชื่อ “
พอพูดมาถึงตรงนี้ นางก็ฝืนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ” เป็นถึงเทพธิดาแห่งสายน้ำ กลับเชื่อในถ้อยคำของมนุษย์ธรรมดา ช่างน่าหัวเราะนัก “
ตอนที่ 195 ข้าต้องการร่างเนื้อของเจ้า
เปลวเพลิงสีทองของเจ้าไก่ขนดำสาดส่องจนสามารถมองเห็นดวงจิตของนางได้อย่างชัดเจน ในดวงเนตรสีชาดคู่นั้นยังคงมีความเจ็บช้ำอยู่
ตู๋กูซิงหลันจดจ้องไปยังดวงเนตรของนาง ” หากว่ามิเคยได้สัมผัสถึงความสว่าง ย่อมไม่รู้ว่าความมืดนั้นน่ากลัวเพียงไร หากแม้นมิเคยมีคู่ครอง ย่อมไม่รู้จักความว้าเหว่ เทพธิดาแห่งสายน้ำ ท่านมิได้น่าหัวเราะเลย “
ผู้ที่เป็นเทพเซียนล้วนแล้วแต่ต้องมีชีวิตอย่างอ้างว้าง หากว่าสามารถมีใครสักคนอยู่เคียงคู่กัน ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่หาได้ยากอย่างยิ่ง
คำพูดนี้ของนางทำให้ ชือหลียิ่งจดจ้องมองนางอย่างลึกซึ้งกว่าเดิม ดวงเนตรสีชาดนั้นคล้ายกับว่าต้องการจะมองเข้าไปให้ทะลุถึงภายในของนาง ” เจ้าก็เป็นผู้ที่มีอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ไหนเลยจะสามารถเข้าใจความเจ็บปวดของผู้ที่เป็นเทพได้กัน? “
” ข้าเป็นถึงเทพประจำลำน้ำลี่เหอ มอบหัวใจทั้งดวงให้แก่เขา แต่สุดท้าย เขากลับหักหลังข้า เขาร่วมมือกับน้องสาวของข้ากระทำเรื่องชั่วช้า ทำลายควันธูปของข้า คิดจะให้ข้าต้องสาปสูญไปจากโลกนี้ มนุษย์อย่างพวกเจ้า ทั้งจิตใจหยาบช้าและน่ารังเกียจนัก “
ตู๋กูซิงหลันได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกว่าเรื่องน้ำเน่าพรรค์นี้ช่างฟังดูคุ้นหูอย่างยิ่ง คล้ายกับภาพยนต์ชุดหนึ่งที่นางเคยได้ร่วมแสดงมาก่อน ในเรื่องนั้นน้องสาวแย่งชิงว่าที่พี่เขยมาจากพี่สาว แถมยังเป็นเหตุให้พี่เขยทำร้ายพี่สาวจนพิการ เรื่องน้ำเน่าพรรค์นี้ก็เกิดขึ้นกับพวกเทพเซียนได้เหมือนกันหรือ?
นางครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยตอบไปว่า ” ข้ารู้สึกว่า ข้าก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เจ้าก็ไม่ควรจะใช้ไม้กวาดทุกคนไปด้านเดียว ในโลกนี้ก็ยังมีคนที่มีเมตตาอยู่ “
ชือหลี “……..” การจับประเด็นของนางทำไมถึงได้ประหลาดเช่นนี้?
” คนที่มีจิตใจชั่วร้ายในโลกนี้ เจ้าคงยังไม่เคยได้พบมาก่อน ” ชือหลีเปลี่ยนเป็นอึมครึมลงไป นางพยายามจะบังคับลิ้นให้พูดชัด เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่สูงส่งในฐานะเทพธิกดาแห่งสายน้ำของนาง
ตู๋กูซิงหลันถอนใจเบาๆ ก็ถามออกไปอีกว่า ” แล้วต่อมาหญิงร้ายชายโฉดคู่นั้นเป็นอย่างไรบ้างล่ะ? “
ชือหลียังมีน้องสาวอยู่อีกคนหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
ถ้อยคำที่ว่า ‘หญิงร้ายชายโฉด’ นั้นได้สลักลงในใจของชือหลีแล้ว ดวงเนตรของนางเปล่งประกาย ตอบว่า ” พอข้าถูกกักขังอยู่ใต้อาราม ชือฉิงน้องสาวข้าก็ทำให้แม่น้ำลี่เหอปั่นป่วน จนเกิดกระแสน้ำหลาก ชาวบ้านบริเวณแม่น้ำลี่เหอเมื่อไม่ได้รับความคุ้มครองจากข้า ในไม่ช้าก็ไม่ได้ให้ความเคารพนับถือข้าอีก ข้าจึงยิ่งอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ “
” บุรุษผู้นั้นได้รับความรักนับถือจากชาวบ้าน ยิ่งทีก็ยิ่งมีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ “
ชือหลียิ่งพูดก็ยิ่งโกรธแค้น พูดไปพูดไปนางก็ยิ่งหัวเราะเหอะๆ ออกมา ” พวกเขารักกันแล้วจะอย่างไร ก็ต้องถูกข้าสาปแช่ง ไม่อาจอยู่ร่วมกัน หนึ่งคนหนึ่งงู ย่อมไม่มีทางลงเอยไปได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า “
พอได้พูดถึงเรื่องนี้ชือหลีก็ยินดีกว่าเดิม ” ฟ้าดินไม่ทอดทิ้งข้า ตอนนี้ก็ได้เจอเจ้าแล้ว ในเมื่อรูปปั้นเทพธิดาถูกตั้งขึ้นใหม่ ข้าก็สามารถออกไปจากใต้ดินที่เย็นยะเยือกนี้ได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะเหลือเพียงเศษเสี้ยวของดวงจิต ข้าก็จะไม่ปล่อยให้พวกมันได้อยู่อย่างมีความสุข! “
” เจ้าพวกชั่วช้าที่ทรยศข้า ทำร้ายข้า ย่อมต้องไม่มีจุดจบที่ดีแม้แต่คนเดียว! ” พูดถึงตรงนี้ ร่างของนางก็เพิ่มพูนไอหยินที่เย็นยะเยือกขึ้นมา ” รวมไปถึงเจ้าพวกที่ข้าเคยปกป้องเหล่านั้นด้วย! ตอนที่ข้าต้องการพวกมันที่สุด แต่ละคนต่างก็ทิ้งข้าไป ไม่มีแม้แต่จะหยุดแวะพียงชั่วครู่เพื่อกราบไหว้ ต่างก็เป็นเพียงพวกขี้ขลาดตาขาว ปกป้องมันไปมีประโยชน์อะไร! “
นางพูดพลางก็ดึงดูดวิญญาณคนตายดวงหนึ่งเข้ามา จากนั้นก็บีบเค้นมันจนแตกละเอียดไปต่อหน้าต่อตาของตู๋กูซิงหลัน ก่อนจะค่อยๆ ดูดซับดวงวิญญาณเข้าไปในร่างอย่างช้าๆ
วิธีการเช่นนี้ดูแล้วน่าหวาดผวาอย่างยิ่ง
วิญญาณคนตายเหล่านั้นกรีดร้อง แต่อย่างไรก็ไม่อาจหลบหนีไปได้
วิญญาณอื่นๆ ที่ได้แต่สั่นสะท้าน พวกมันคิดอยากจะหลบหนี แต่กลับถูกพลังเทพของชือหลีกดครอบเอาไว้ จึงมิอาจหลบเลี่ยงไปได้เลย
ยามที่ยังมีชีวิตอยู่พวกเขาก็คือชาวเมืองลี่โจว ทั้งยังเคยเชื่อถือเทพธิดาแห่งแม่น้ำลี่เหอ แต่พอแม่น้ำลี่เหอท่วมบ่อยครั้งเข้า พวกเขาก็ละทิ้งนางไป แม้แต่อารามก็ผุพังลงมา
ชือหลีดูดกลืนดวงวิญญาณเข้าไปดวงหนึ่ง ดวงจิตของนางก็มั่นคงขึ้นมาบ้าง ดวงเนตรสีชาดนั้นจดจ้องมายังตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง นางมองออกไปยังกองโครงกระดูกขาวโพลนที่อยู่ราบรอบ ” พวกนี้ล้วนเป็นบุรุษหนุ่มเยาว์วัยในชุดขาว และไม่มีสักคน ที่จริงใจ หลายปีที่ข้าต้องทนอยู่ในใต้ดินแห่งนี้ ก็เพียงแค่อยากจะให้พวกเขา อยู่เป็นเพื่อนข้าเท่านั้น แต่ละคนต่างก็หวาดกลัวจนไม่กล้ามองข้าแม้สักแวบเดียว ดังนั้นข้าจึงค่อยๆ ทรมานพวกเขาจนตาย “
ตู๋กูซิงหลันพูดไม่ออก หลายวันนี้มีเหล่าวิญญาณแค้นและวิญญาณคนตายถูกดูดกลืนหายไปมากมาย คิดดูแล้วก็คงจะเป็นฝีมือของชือหลีนั่นเอง
เพียงแต่ว่าเพราะเรื่องที่นางถูกทรยศหักหลังในปีนั้น ทำให้อุปนิสัยเปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น ดูดกลืนวิญญาณคนตายนั้นยังแล้วไปเถอะ แต่ว่านี่แม้แต่คนเป็นก็ไม่ละเว้น
กองกระดูกขาวมากมายบนพื้น เกรงว่ายามมีชีวิตอยู่คงมิใช่แค่ถูกทรมานจนตายแล้ว นางหันไปเหลือบมองพี่รองที่อยู่ท่ามกลางกองซากกระต่ายแวบหนึ่ง หากว่านางมาช้าไปอีกสักหน่อย เกรงว่าพี่รองก็คงจะกลายเป็นหนึ่งในโครงกระดูกขาวเหล่านี้แน่ๆ
เห็นนางมองดูตู๋กูเจวี๋ยโดยมิได้พูดจา ชือหลีก็หัวเราะเสียงเย็นออกมาคำหนึ่ง ” พี่ชายของเจ้าคนนี้ช่าง โดดเด่นเป็นพิเศษนัก ไม่เพียงไม่หวาดกลัวข้า ยังคอยสั่งสอนข้าอยู่ทุกๆ วัน คิดจะเกลี้ยกล่อมข้า หลายปีมานี้ ผู้ที่สามารถอดทนมาได้หลายวันโดยไม่ตายเช่นนี้ ก็มีแต่เขาเพียงคนเดียว “
ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาลงช้าๆ กล่าวว่า ” ข้าต้องการจะพาเขาไป “
ชือหลีได้ฟังแล้ว ดวงเนตรก็มีประกายเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม ” พาเขาไปหรือ? นังเด็กน้อย เจ้าพลาดไปแล้ว ตอนนี้ทั้งเจ้าและเขาล้วนตกอยู่ในกำมือของข้า เจ้าจะพาเขาไปได้อย่างไร? “
” ข้าก็บอกแล้วไง บุญคุณที่ติดค้างเจ้านั้นถูกชดใช้ไปแล้ว ถึงตอนนี้ เจ้าก็เหมือนกับเขา ต่างก็เป็นสัตว์เลี้ยงของข้า เจ้าเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วยังคิดจะช่วยเขาอีกหรือ? “
ตู๋กูซิงหลัน เดินเข้าไปยังข้างกายพี่รอง ยื่นมือออกไปสัมผัสโซ่เหล็กตรงเอวของเขา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาถามชือหลีประโยคหนึ่ง ” เจ้าคิดจะทำอะไร? “
ชือหลีล่อลวงนางมาจนถึงที่นี่ ย่อมมิได้มีประสงค์ดีอยู่แล้ว จุดนี้ตู๋กูซิงหลันเองก็รู้ดี
ชือหลียิ้มอย่างเย็นชา ยกมือขึ้นมาลูบไล้ปอยผมสีแดงเพลิงที่ข้างหู ค่อยยื่นนิ้วยาวๆ ชี้มายังตู๋กูซิงหลัน ” ข้าต้องการร่างเนื้อของเจ้า “
หลายปีมานี้นางควานหาไปจนทั่ว คิดจะตามหา ร่างสักร่างหนึ่งที่สามารถรองรับดวงจิตเทพของนางได้ แต่ว่าน่าเสียดาย จะอย่างไร ก็ไม่เคยได้สมใจ
จนกระทั่งบังเอิญได้เจอกับตู๋กูซิงหลัน นางรู้ดีว่าร่างของ แม่นางน้อยผู้นี้ไม่ธรรมดา
ดวงจิตที่อยู่ในร่างนี้ก็ยิ่งแปลกประหลาด คล้ายกับว่ามีกึ่งเทพกึ่งมาร เคลื่อนไหวอยู่ นางสัมผัสได้เพียงเท่านี้
แต่เพียงเท่านี้ ก็สามารถยืนยันได้แล้วว่า ร่างและดวงจิตของแม่นางน้อยผู้นี้ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน ดูท่าแล้วก็คงจะเป็นการเข้าสิงเช่นกัน
” ร่างเนื้อนี้ เดิมทีก็ไม่ใช่ของเจ้า หากเจ้ามอบนางให้กับข้า ข้าก็จะแผ่เมตตา ละเว้นชีวิตพี่ชายของเจ้าสักครั้ง ” นางพูดไป ก็เคลื่อนเข้าไปหาตู๋กูซิงหลัน
ตู๋กูซิงหลันหลบหลีก ชือหลีก็ซัดส่ายอยู่ในอากาศ ยามนี้นางมีแต่เพียงดวงจิตครึ่งบน ใช้ดวงเนตรแดงชาดนั้นจดจ้องมายังตู๋กูซิงหลัน ” นังเด็กน้อย นอกจากต้องรับปากข้าแล้ว เจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก “
ตู๋กูซิงหลันมองดูนาง เห็นในดวงเนตรของชือหลีมีแต่ความละโมภอย่างไม่อาจปิดบัง
ที่แท้ที่นางต้องการก็คือร่างเนื้อ จึงต้องยอมเสียเรี่ยวแรงไปมากมายกว่าครึ่งวัน ช่างน่าสงสารเทพธิดาแห่งสายน้ำผู้นี้อยู่เหมือนกัน
” ว่าแต่หากได้ร่างกายของข้าไปแล้ว เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันละ? “
ความใจเย็นของตู๋กูซิงหลันราวกับสุนัขแก่ที่ชำนิชำนาญงาน ภายนอกนางดูตกตะลึงพรึงเพริด ” เจ้าเป็นถึงดวงจิตของเทพ ข้าไม่ใช่คู่มือของเจ้าเลยสักนิด แต่ว่าหากข้าไม่มีร่างเนื้อ ก็เท่ากับว่าต้องตายแล้ว อย่างน้อยๆ ข้าก็นับว่ามีบุญคุณกับเจ้ามาบ้าง เจ้าก็ควรจะให้ข้าได้ตายอย่างเข้าใจอะไรชัดเจนมิใช่หรือ? “
——
แซ่ 蚩 นี้ มีเสียงพ้องกับคำว่า 吃 ที่แปลว่า กิน ดังนั้นก็เหมาะสมแล้วกับสองสาวพี่น้องที่บริโภคผู้อื่นเป็นอาหาร
ชือหลี (蚩梨) : 梨 อักษรตัวนี้แม้จะแปลว่าลูกแพร แต่ว่าคนจีนไม่นิยมนำมาตั้งชื่อลูกหลาน เนื่องจากพ้องเสียงกับคำว่า 离 ที่แปลว่าพรากจาก ดังนั้นตัวละครนี้จึงถูกกำหนดมาให้ต้องมีรักที่ไม่สมหวังตั้งแต่ชื่อเลย
ชือฉิง (蚩情) : 情 อักษรนี้หมายถึงความรัก ความผูกพัน ตัวละครน้องสาวจึงเป็นผู้ที่ชะตาพัวพันอยู่ในความรักและความลุ่มหลง นางทำทุกสิ่งเพื่อความรักของนาง
ตอนที่ 196 ผู้คนใต้หล้าทำสิ่งใดผิดหรือ
ชือหลีมองดูสีหน้าที่หวาดกลัวของนาง ในใจก็เกิดความสบายใจขึ้นมาบ้าง
นางเป็นถึงเทพ สมควรจะได้รับความเคารพยำเกรงจากผู้คนบนโลก แต่ว่าแม้นางน้อยผู้นี้กลับรักษาความสงบอยู่ตลอดเวลา
ที่แท้ความสงบนิ่งเหล่านั้นก็เป็นแค่การเสแสร้งเท่านั้น พอความตายย่ำกรายมาถึงศีรษะ นางก็รู้จักหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว
หัวใจของชือหลีบังเกิดความปิติดังเช่นผู้ที่กุมชัยชนะเอาไว้
ดวงเนตรของนางหรี่ลง ตอบว่า ” ร่างเนื้อของเจ้านี้พิเศษอย่างยิ่ง หากว่าข้าได้ครองครองล่ะก็ ชายโฉดหญิงชั่วคู่นั้นจะต้องมิได้ตายดี และข้าจะกวาดล้างผู้คนทั้งใต้หล้าให้เป็นเพื่อนร่วมกลบฝัง ชดเชยความทรมานที่ข้าต้องทนรับมาในหลายปีนี้! “
ความเคียดแค้นของนางระเบิดออกมา ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านไปด้วยความกระเ**้ยนกระหือ จนบนร่างปรากฏไอสีดำจางๆ ออกมา
นั่นดูคุ้นเคยมาก
วิญญาณทมิฬโวยวายใส่นางด้วยท่าทางประท้วง ” ทำไมพอจะขยับนิด ทำอะไรหน่อยก็เป็นต้องกวาดล้างผู้คนทั้งใต้หล้า ผู้คนใต้หล้าทำสิ่งใดผิดกัน พวกเขา… พวกเขาก็แค่คนธรรมดาที่ชอบไปมุงเรื่องชาวบ้านเท่านั้นเอง ขอร้องท่านล่ะ ปล่อยผู้คนใต้หล้าเหล่านี้ไปเสียเถอะ “
นี่คงจะเป็นเพราะว่าในโลกก่อนนั้น มันเคยชมดูตู๋กูซิงหลันร่วมแสดงในละครชุดจำพวกที่นางเอกเก่งกาจและโชคดีขั้นเทพมากเกินไปเสียแล้ว โดยเฉพาะพวกตัวละครบุรุษทั้งตัวหลักและตัวรองทั้งหลายที่อยู่ในเรื่อง อะไรนิดอะไรหน่อยก็เป็นต้องออกหน้ากำหราบคนทั้งโลกให้กับนางเอก
ผู้คนใต้หล้าเอ๋ย ผู้คนเหล่านั้นนั่งอยู่ในบ้านตนเองแท้ๆ แต่ทำไมความซวยถึงได้ตกลงมาจากบนฟ้าได้กัน
ตู๋กูซิงหลันที่กำลังเสแสร้งเป็นหวาดกลัวได้อย่างแนบเนียน ถูกลีลาโวยวายของวิญญาณทมิฬทำเอานางเห็นแล้วต้องคลื่นไส้แทบจะอาเจียนออกมา ขอทีเถอะ สถานการณ์กำลังจริงจังขนาดนี้มันยังกล้ามาทำเป็นเล่นละครแย่งซีนกันอยู่ได้อีก?
แต่เพราะว่าคำพูดของวิญญาณทมิฬนั้นทำเอานางขำจนแทบจะสำลักออกมา ก็ในละครที่นางเคยได้ร่วมแสดงของโลกก่อน คำว่า ‘กวาดล้างผู้คนทั้งใต้หล้า’ ถูกใช้กันเสียจนเกร่อมากเกินไปแล้ว
นางกัดริมฝีปากล่างเอาไว้ สองมือโอบกอดเอวของพี่รองตัวเอง กลั้นหัวเราะเสียจนเนื้อตัวสั่นสะท้าน
ชือหลีกลับคิดว่านางหวาดกลัวจนถึงขีดสุด ก็ยิ้มเย็นพลางกล่าวว่า ” ความอดทนของข้ามีอยู่อย่างจำกัด เจ้าตอบมาเร็วๆ เข้า “
ที่จริงแล้วไม่ว่าตู๋กูซิงหลันจะตอบรับหรือว่าปฎิเสธ ร่างเนื้อนี้นางก็ต้องการจะครอบครองเอาไว้อย่างแน่นอน นางรอคอยมานานหลายปีแล้ว พึ่งจะได้เจอกับร่างเนื้อที่สามารถจะรองรับดวงจิตเทพของนางได้ นางย่อมไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปอย่างแน่นอน
ใบหน้าของตู๋กูซิหลันซุกอยู่ข้างซอกคอของตู๋กูเจวี๋ย จึงรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวบนเส้นชีพจรหลักของพี่รอง ลมหายใจของเขาก็สงบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากความอ่อนเพลียแล้ว ที่เหลือก็ไม่น่าจะมีอะไร
หากว่านางตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องคอยคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตของพี่รอง แล้วต้องต่อสู้อย่างเต็มกำลังกับชือหลีไปด้วยละก็ นางคงจะต้องสิ้นเปลืองพละกำลังอย่างยิ่งเป็นแน่
ภายใต้แสงเพลิงสีทอง ดวงตาของตู๋กูเจวี๋ยกระพริบขึ้นมาเล็กน้อย ขนตายาวๆ ของเขาสั่นไหว บางทีอาจเป็นเพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากร่างของสาวน้อย หรือว่ากลิ่นหอมของกุหลาบจางๆ ที่อยู่บนร่างนาง ในที่สุดเขาก็รู้สึกตัวแล้ว
พอพึ่งจะฟื้นขึ้นมา ก็เห็นว่าน้องสาวของตนเองสวมชุดดำตลอดร่าง กอดร่างของเขาเอาไว้อย่างไม่ยอมปล่อย
ดวงตาของตู๋กูเจวี๋ยงงงันอยู่ครู่หนึ่ง ” น้องเล็ก นี้เจ้าลงมาอยู่กับพี่รองในนรกแล้วหรือ? “
ไม่ทันรอให้ตู๋กูซิงหลันได้ตอบคำ ก็ได้ยินเขาตะโกนออกมาอย่างจริงจังว่า ” ไม่ได้เด็ดขาด! คุณหนูใหญ่ตระกูลตู๋กูของข้าจะต้องมีชีวิตยืนยาวนับร้อยปี สุขสบายชั่วชีวิต! ไม่ต้องกลัวนะ พี่รองจะไปหาผู้ดูแลนรกถกเหตุผลกับเขาเดี๋ยวนี้ “
พูดแล้ว เขาก็ขยับตัวในทันที พอพึ่งจะลุกขึ้นมาได้ ก็ถูกโซ่เหล็หนาเท่าข้อแขนรั้งเอาไว้ คนถูกดึงกลับไปทั้งร่าง จนล้มลงไปนั่งบนพื้นอีกครั้ง
ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เขาตกตะลึงจนชะงักไป พอมองไปรอบด้านก็เห็นว่ายังคงเป็นกองกระดูกมนุษย์มากมายไม่เปลี่ยนแปลง ถึงค่อยได้สติขึ้นมา
” อ้อ ยังอยู่ที่นี่อีกหรือ ” เขาทอดถอนใจออกมาอย่างผิดหวัง จนผ่านไปอีกพักใหญ่ถึงพึ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาคว้าหลังมือของตู๋กูซิงหลันไปกัดคำหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันเจ็บปวดจนต้องร้องออกมา สีหน้าของตู๋กูเจวี๋ยถึงได้เปลี่ยนไปในทันที ” นี่ไม่ใช่ความฝัน! น้องเล็ก เจ้ามาได้อย่างไรกัน? “
ตู๋กูซิงหลันถูกเขากัดจนต้องสูดปาก ดูท่าแล้วพี่รองคงจะถูกขังจนสมองเสื่อม ก็เขาไม่กัดตนเอง แต่กลับหันมากัดนางคำหนึ่ง แถมยังกัดอย่างรุนแรงจนทิ้งรอยฟันลึกไว้เช่นนี้
เขาพูดจบแล้ว ก็เห็นว่าชือหลีกำลังจ้องมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
ตู๋กูเจวี๋ยพอเห็นนาง หัวคิ้วก็ต้องขมวดขึ้นมาในทันที ” แม่นางเทพธิดา ข้าคงต้องพูดกับเจ้าอีกสักรอบแล้ว จับตัวข้ามาก็ช่างเถอะ แต่ว่ากระทั่งน้องสาวของข้าก็ไม่คิดจะละเว้นเลยหรือ? เจ้าเองก็มิใช่เด็กๆ แล้วนะ! ท่านดูสิ นางหน้าตางดงามขนาดนี้ แค่ดูก็รู้อยู่แล้วว่ามีพิษสง อย่าได้สัมผัสเชียวนะ! “
” นี่เป็นกฎของธรรมชาติ เกิดมายิ่งงดงามก็ยิ่งน่ากลัว เจ้าคงจะรู้จักเห็ดพิษใช่ไหม ยิ่งน่าดึงดูดเพียงไรก็ยิ่งมีพิษร้ายแรงเพียงนั้น น้องสาวของข้าก็เช่นเดียวกัน หากว่าสัมผัสแตะต้องนางเข้าล่ะก็ ผลลัพธ์ไม่อาจคิดคำนวนได้เลยจริงๆ นะ ตัวข้าเพียงคนเดียวก็ทำให้เจ้าเพลิดเพลินได้เกินพอแล้ว “
แค่ลมหายใจเดียวก็พูดออกมาได้ยืดยาวเสียขนาดนี้ ชือหลีอยากจะใช้เข็มเย็บผ้าเย็บปากของเขาให้ติดกันจริงๆ
ตู๋กูเจวี๋ยยังคิดจะพูดต่อไป แต่ว่าน่าเสียดายที่กระเพาะของเขาไม่รู้จักรักษาหน้าตาส่งเสียร้องโครกครากออกมา
” หากว่าเจ้ายินยอมหิวตายล่ะก็ ข้าก็ไม่ว่าอะไร ” ชือหลีชี้ไปทางซากกระต่ายที่อยู่ข้างกายเขา ” มีกระต่ายเหล่านี้ให้เจ้ากิน ก็ถือว่าข้ามีเมตตามากแล้ว “
ตู๋กูเจวี๋ยมองดูกระต่ายมากมายที่ตายอยู่ตรงหน้า ในดวงตาก็ปรากฏความเห็นอกเห็นใจราวกับพระโพธิสัตว์ออกมา
เขานั่งสมาธิ กล่าวอามิตตาพุทธออกมาคำหนึ่ง ” กระต่ายน้อยที่น่าสงสาร ข้ามิได้ฆ่าพวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับต้องมาตายเพราะข้า หวังว่าพวกเจ้าเมื่อตายไปแล้วก็จงได้ไปอยู่ในสรวงสวรรค์อย่างมีความสุข จากนี้มิต้องประสบกับความทุกข์และความตายใดๆ อีก หากว่าข้าสามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ จะต้องฝังกลบพวกเจ้าอย่างดี ไม่ให้พวกเจ้าถูกพวกหมาป่าที่โหดร้ายจับไปกินเด็ดขาด “
ว่าแล้ว ก็ไม่ลืมจะตักเตือนชือหลีอีกสักประโยค ” แม่นางเทพธิดา ทำไมจิตใจของท่านถึงได้โหดร้ายเช่นนี้ กระต่ายน้อยน่ารักจะตาย ไยจึงต้องฆ่าพวกมันด้วย? “
ชือหลีแทบจะคลุ้มคลั่ง เกือบจะสกัดกั้นไอดำในร่างกายของนางเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว
แม้แต่ตู๋กูซิงหลันเองก็ยังรู้สึกว่าที่ริมหูมีแต่ยุงตอมส่งเสียงดังหึ่งๆ ไปหมด
เจ้าไก่ขนดำฟูก็เป็นต้องใช้ปีกข้างหนึ่งอดหูเอาไว้ พี่ชายของพี่สาวตัวน้อยช่างจิ๊ๆ จ๊ะๆ มากความเกินไปแล้ว!
วิญญาณทมิฬหนวกหูเสียจนรู้สึกอึดอัดไปทั้งร่าง ไม่เป็นตัวของตัวเอง พี่ชายของไทเฮาน้อยเป็นพวกพล่ามทั้งวันจริงๆ
ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด มัวแต่ทำท่ากังวลพวกกระต่ายอยู่ได้!
ผ่านไปอีกครึ่งวัน ตู๋กูเจวี๋ยถึงพึ่งจะคิดได้ว่าที่ข้างกายยังมีน้องเล็กอยู่อีกคน เขาจับมือนางเอาไว้อย่างอ่อนโยน กล่าวว่า ” น้องเล็ก อย่ากลัวไปเลย พี่รองจะปกป้องเจ้าเอง “
เหลือบมองดูเขาแวบหนึ่ง บอกตรงๆ นะเจ้าคะพี่รอง ข้ารู้สึกว่าโอกาสที่ข้าจะต้องปกป้องท่านนั้นมีมากกว่า
ดูรูปร่างที่ผ่ายผอมเปราะบางนั่นสิ ตัวบางปานจะขาดออกจากกันได้อยู่แล้ว เทียบกับพี่ใหญ่ที่กำยำมีพละกำลังล้นเหลือแล้วเป็นคนละเรื่องกันเลย
แน่ใจหรือว่าพวกเราสามคนเกิดจากพ่อคนเดียวกัน?
วิญญาณทมิฬ ” ข้าคิดว่าที่เขาอยู่ในอันดับสองนั้นก็สมเหตุสมผลดี คำว่า ‘เอ้อ’ (ที่สอง แต่พ้องเสียงกับคำว่า ‘หิว’) นี้เหมาะสมกับเขาอย่างที่สุดแล้ว “
ตู๋กูเจวี๋ย ปลอบน้องสาวแล้ว ก็หันไปหาชือหลีเริ่มพล่ามต่อไป ” แม่นางเทพธิดา พวกเรามาคุยกันหน่อย ท่านพูดเอาไว้ ว่าขอเพียงข้าสามารถทนได้หนึ่งเดือน ท่านก็จะปล่อยข้าจากไป และตัวท่านเองก็จะยอมกลับเนื้อกลับตัวใหม่ เป็นเทพธิดาที่ดี ถึงตอนนี้ก็ผ่ามมาครึ่งเดือนแล้ว เหลืออีกเพียงครึ่งเดือน ข้าก็จะชนะแล้ว ท่านจะอย่างไรก็เป็นถึงเทพธิดาแห่งสายน้ำ ไม่อาจพูดแล้วไม่รักษาคำพูดใช่ไหม? “
” หากว่าแม้แต่เทพเซียนก็ยังโกหกหลอกลวง ในโลกนี้จะยังมีสิ่งใดที่เชื่อถือได้อีก? “
ตู๋กูเจวี๋ยยังคงพร่ำเพ้อต่อไปไม่เลิก ทำเอาชือหลีกรุ่นโกรธจนต้องกลอกตาขาว สองขาที่เรียวยาวของนางแปรเปลี่ยนกลายเป็นหางงูสีเขียว ไม่พูดไม่จาก็สะบัดหางนั้นเข้าใส่ในทันที
เจ้าตัวนี้พูดมากน่ารำคาญเกินไปแล้ว ตลอดครึ่งเดือนมานี้พอนางปิดตาลงเมื่อใด ในสมองล้วนมีแต่เสียงหลอกหลอนของเขาลอยมาเข้าหู หากมิใช่ว่านางเคยเป็นเทพมาก่อน คงยากจะทนทานเสียงที่มีพลังกัดกร่อนทำลายประสาทของเขา
ตอนที่ 197 ยันต์สีชาด
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่านางได้เห็นประสบการณ์ใหม่เพิ่มแล้ว ที่ผ่านมานางเคยรู้สึกว่าวิชาพูดไปเรื่อยเปื่อยของตนเองสูงส่งไม่มีใครเทียบได้ วันนี้พอได้เจอพี่รอง ถึงได้รู้ว่าอะไรเรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า
เทียบกับพี่รองแล้วนางรู้สึกว่าตนเองก็เป็นแค่พวกมือสมัครเล่นเท่านั้น
คราวนี้ พอหางงูสะบัดเข้ามาหา ยันต์สีเหลืองในมือตู๋กูซิงหลันก็พุ่งออกไปแล้ว
ยันต์สีเหลืองกับหางของชือหลีปะทะกัน เกิดเป็นเสียงกึกก้องกังวานไปทั่ว ประกายแสงอันสวยงามระเบิดออกมา
แสงนี้ทำให้วิญญาณคนตายที่รายล้อมอยู่ร่ำร้องจนกระเจิดกระเจิง
กองกระดูกขาวบนพื้นสะเทือนไปมา หางของชือหลีถูกเผาจนเกิดรอยไหม้ตื้นๆ นางหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที
นางดูไม่ผิด ในร่างเนื้อนี้ มีดวงจิตที่พิเศษอยู่จริงๆ
วิชายันต์สะกดเช่นนี้ ปกติใช้ได้กับแค่พวกภูติผีปีศาจเท่านั้น นางไม่รู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้ใช้ยันต์อะไรกันแน่ ถึงได้สามารถทำให้ร่างจิตของนางได้รับบาดเจ็บขึ้นมาได้
พี่รองที่อยู่ด้านข้างก็ตาโตขึ้นมา เขาไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อนเลยว่า น้องสาวที่อ่อนแอและนุ่มนวลของตนเอง วันหนึ่งจะสามารถปกป้องเขาจากอันตรายได้
นี้มันเหมือนกับจะให้แม่หมูปีนต้นไม้ ให้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกอย่างไรอย่างนั้น
เขาอดที่จะเกิดความสงสัยขึ้นมาไม่ได้ แม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้าที่จริงแล้วใช้น้องสาวของตนเองหรือไม่
ตั้งแต่เล็กจนโต มีครั้งไหนบ้างที่ไม่ถูกนางผลักออกไปรับดาบแทน?
แต่ว่าตอนนี้ น้องเล็กกำลังปกป้องเขาอยู่จริงๆ!
เรื่องนี้ทำให้ตู๋กูเจวี๋ยทั้งตกตะลึงทั้งซาบซึ้ง ดูเถอะ เขาที่เป็นถึงคุณชายรองของตระกูลตู๋กู ทำเรื่องอะไรลงไปแล้ว?
อยู่ๆ ก็ตกต่ำจนถึงขั้นที่ต้องให้น้องเล็กออกมาปกป้องเขา!
ยามปกติน้องเล็กหวาดกลัวงูที่สุด แต่ว่าตอนนี้กลับกำลังสู้กับงูตัวหนึ่งอยู่!
แต่เดี๋ยวก่อน! ดูเหมือนว่าที่ต่อสู้กันเมื่อครู่นี้น้องเล็กจะไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบนี่?
ตู๋กูเจวี๋ยมองดูเงาหลังของตู๋กูซิงหลันที่บังอยู่ด้านหน้าของตนเอง เห็นผมหางม้าของนางปลิวไสวขึ้นไปบนอากาศ ในมือมียันต์สีเหลืองรูปร่างหลากหลาย ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาว่าน้องเล็กของตนเองใช่ตกลงไปในทางใต้ดินด้วยความบังเอิญ แล้วก็ได้รับวิชาลับมาชุดหนึ่ง นับตั้งแต่นั้นก็เลยใช้วิชาอันล้ำเลิศเดินในเส้นทางปราบผีล่าปีศาจใช่หรือไม่?
หากว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง นี่คงเป็นชะตาลิขิตอันยิ่งใหญ่ละก็ ถูกน้องเล็กช่วยเอาไว้ก็เป็นเรื่องธรรมดา
นางเป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับชัยชนะอยู่แล้ว หากจะได้วิชาลับมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ในสมองของตู๋กูเจวี๋ยเกิดความคิดความเป็นไปได้อย่างหลากหลาย หลังเพ้อเจ้อไปมาอยู่หลายวูบ ก็เห็นว่าน้องเล็กประมือกับชือหลีไปอีกหลายกระบวน
ทั้งสองฝ่ายมิได้ใช้พลังกันอย่างเต็มที คล้ายกับว่าแค่หยั่งเชิงดูกันเท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ลงแรงแข็งขันเท่าไรนักเพราะหากลงมือหนักเกินไปก็จะกระตุ้นความสนใจของผู้คนด้านบนได้ นางเพียงแค่เขวี้ยงยันต์ออกไปไม่กี่แผ่น ดูซิว่าดวงจิตของชือหลีนั้นแข็งแกร่งในระดับใด
ถึงอย่างไรก็เคยเป็นถึงเทพธิดาประจำสายน้ำมาก่อน ถึงแม้ว่าพลังของนางไม่เหมือนเดิม แต่ก็ถือว่ามีความสามารถอย่างแท้จริง
หากว่าเป็นตัวนางในโลกก่อน ต่อให้เป็นชือหลีในยามที่แข็งแกร่งที่สุด นางก็ยังสามารถต่อกรได้สักรอบ
แต่ว่าตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ในเมื่อเพียงแค่แลกเปลี่ยนฝีมือกัน ตู๋กูซิงหลันก็ยังมิได้เสียเปรียบอันใด
ตู๋กูเจวี๋ยกระชากโซ่บนร่างไปมา สองตาจับจ้องอยู่บนเปลวเพลิงสีทองของเจ้าไก่ขนดำฟู จนเส้นเลือดดำบนสองแขนเบ่งพอง ” แม่นางเทพธิดา ท่านที่เป็นถึงเทพองค์หนึ่ง กลับมารังแกแม่นางน้อยที่อายุเพียงสิบกว่าปีเท่านี้ หากเล่าลือออกไปไม่เกรงว่าจะทำให้น่าอับอายขายหน้าหรอกหรือ? “
” ข้าตู๋กูเจวี๋ยถึงจะเป็นคนสำรวมพูดน้อย แต่ขอเพียงแค่ข้าสามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ข้าจะต้องทำให้คนทั้งแผ่นดินได้รู้ว่า ท่านที่เป็นเทพธิดาแห่งสายน้ำ กลับใจแคบเสียยิ่งกว่ารูเข็ม ลงมาตบตีกับสตรีตัวเล็กๆ ที่สำคัญคือประมือกันไปตั้งหลายรอบแล้วก็ยังเอาชนะไม่ได้ คนบนโลกนี้ได้ยินแล้วก็ช่างเถอะ แต่ว่าหากพวกเทพแห่งน้ำเซียนทั้งหลายพวกนั้นได้รู้เข้าละก็ ไม่รู้ว่าอีกหน่อยยามท่านอยู่ในแดนเซียน ยังจะมีหน้าไปพบผู้คนอีกไหม? “
ชือหลี ตู๋กูซิงหลัน วิญญาณทมิฬ ติ๊งต๊อง แม้กระทั้งเหล่าวิญญาณคนตายที่หลบหนีอยู่รอบๆ ต่างก็เกิดคำถามขึ้นมาในสมอง
สำรวมพูดน้อย?
ขอถามหน่อยคุณชายหมายถึงผู้ใดกัน?
แต่พวกเขากลับได้ยินตู๋กูเจวี๋ยพร่ำบ่นต่อไป ” หากว่าข้าเป็นท่านละก็ จะต้องไม่ทำให้น้องเล็กยุ่งยากแม้แต่น้อย เรื่องพรรค์นี้มีแค้นกับใครก็ควรไปชำระกับคนนั้น ท่านมาวนเวียนอยู่กับน้องสาวข้าไม่ยอมปล่อยไปเพื่ออะไร ก็ไม่ใช่ว่านางเคยไปรังแกท่านสักหน่อย แล้วนางก็ไม่ใช่คนที่ทำลายควันธูปของท่านด้วย นี่ท่านเอาความแค้นมาลงผิดที่ไปหรือเปล่า? “
ชือหลีถูกฝีปากของเขาด่าจนนางปวดศีรษะขึ้นมา หากนางรู้มาก่อนว่าไอ้หนุ่มผู้นี้จิกกัดได้ตลอดเวลา นางย่อมไม่มีทางพาเขามาไว้ที่นี่ตั้งแต่แรก
หลายวันมานี้นอกจากดื่มน้ำ กินผักกินหญ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้กินสิ่งอื่นใดอีกเลย ไม่รู้ว่าเขาไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใดกัน ถึงได้ยังสามารถจิ๊ๆ จ๊ะๆ ได้มากเช่นนี้
ทำเอานางพลอยหมดกำลังใจจะไปประมือกับตู๋กูซิงหลัน ถูกเขาบ่นเสียจนสมาธิกระเจิดกระเจิง คิดแต่จะหาอะไรมาอุดปากเขาให้จงได้
ตู๋กูซิงหลันอาศัยช่วงเวลาที่นางเสียสมาธิ หายตัวไปในชั่วพริบตา นางสะบัดเท้าเหินขึ้นไปกลางอากาศ เหาะขึ้นมาด้วย ท่วงท่าองอาจสง่างาม นางสวมชุดดำตลอดร่าง ผมมัดหางม้าพลิ้วไสว โถมร่างพุ่งเข้าไปหาชือหลี ทันใดนั้นในฝ่ามือก็ปรากฏยันต์สีชาดขึ้นมาผืนหนึ่ง ประทับลงไปบนหน้าผากของชือหลีในทันที
แม้ว่าชือหลีเองจะมีปฎิกริยารวดเร็ว แต่ว่าก็ไม่อาจหลบเลี่ยงยันต์สีแดงของตู๋กูซิงหลันได้
ขณะที่ยันต์แผ่นนี้สัมผัสโดนหน้าผากของนาง ก็สลายกลายเป็นแสงสีแดงแทรกซึมเข้าไป ทำให้นางถูกตรึงอยู่กับที่ในทันที
ถึงตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันถึงค่อยคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับนาง “เทพธิดาชือหลี ลำบากท่านต้องมาเล่นละครร่วมกับข้าเสียแล้ว “
ชือหลีมองดูนางยิ้มแย้มด้วยความมั่นใจ ก็ต้องตกตะลึงขึ้นมา พอคิดย้อนกลับไป แม้เมื่อครู่เห็นนางทำท่าหวาดหวั่นขวัญผวา แต่ที่แท้ก็เป็นตัวเองที่ตกหลุมพลาง
ตั้งแต่ต้นแล้ว สาวน้อยนางนี้มิได้เกรงกลัวนางเลย!
ที่เห็นว่าหวาดกลัว ที่แท้เป็นเรื่องที่นางเสแสร้งเท่านั้น
นาง เป็นผู้ใดกันแน่?
” กุ๊ก กุ๊ก กรู้! ” พอเห็นว่าตู๋กูซิงหลันผนึกชือหลีเอาไว้ได้ เจ้าไก่ขนดำฟูก็กระพือปีกพรึ่บพรั่บ มันคิดจะใช้เปลวเพลิงสีทองฉลองชัยชนะให้กับนาง
พี่สาวตัวน้อยเก่งที่สุด สมแล้วที่มันถูกชะตาด้วย!
” พอก่อน! ติ๊งต๊อง อย่าได้สิ้นเปลืองเพลิงสีทองของเจ้าเลย ขอร้องเถอะ ต่อไปยังมีโอกาสให้ได้ใช้อีกมาก! ” ตู๋กูซิงหลันทำมือห้าม สหายติ๊งต๊องไม่อาจคึกคักได้มากเกินไป หากว่าคึกขึ้นมาเกินควร นางเกรงว่าที่นี่อาจจะระเบิดได้
นางยังต้องเก็บรักษาดวงจิตของชือหลีเอาไว้ ยังมีประโยชน์อยู่อีกมาก
พอเจ้าไก่ขนดำฟูได้ฟังแล้ว คอของมันก็ค่อยๆ ตกลง ปีกที่กระพือขึ้นสูงก็ลดลงมาช้าๆ
ก็ได้ คราวหน้าพอพี่สาวตัวน้อยอยากจะใช้งาน มันจะสำแดงสุดฝีมือไปเลย
วิญญาณทมิฬเองก็อัศจรรย์ใจไปเหมือนกัน มันคิดไม่ถึงเลยว่าพลังของตู๋กูซิงหลันจะฟื้นฟูขี้นมาได้มากถึงขั้นนี้ ยันต์ที่นางใช้มีระดับชั้นที่หลากหลาย ที่ปกติใช้เป็นประจำก็คือยันต์พื้นๆ อย่างสีเหลือง แต่ว่ายันต์สีชาดนี้ มิได้ใช้ออกโดยง่าย โดยมากก็จะใช้กับพวกที่ค่อนข้างหนักมือ หรือประมาณพลังไม่ได้
มันนึกว่านางในตอนนี้ทำได้แค่เพียงใช้ยันต์สีเหลืองเท่านั้น คิดไม่ถึงว่า นางจะสามารถถึงขนาดควบคุมยันต์สีชาดได้แล้ว หรือจะเป็นเพราะพลังของหยกสรรพชีวิตกัน
” น้องเล็ก พี่รองซาบซึ้งยิ่งนัก ไม่ได้พบกันตั้งนาน เจ้าเติบโตจนเปลี่ยนไปมากแล้ว ราวกับว่าเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง ความตื่นเต้นและซาบซึ้งในใจของพี่รองไม่สามารถบรรยายออกมาด้วยคำพูดได้จริงๆ หากว่าจะให้อธิบายให้ได้จริงๆ ละก็ นั่นก็คือ…..”
ตู๋กูซิงหลันไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พร่ำเพ้อต่อไป นางพุ่งกลับไปที่ข้างกายเขา ซัดฝ่ามือใส่คนจนสลบไปในครั้งเดียว
จากประสบการณ์ในครั้งนี้ นางตัดสินใจแล้วว่าต่อไปตนเองจะต้องพยายามบ่นให้น้อยลง มลพิษทางจิตใจเช่นนี้มันทรมานเกินไปแล้ว
——
ยันต์สีเหลืองและยันต์สีแดงต่างกันอย่างไร?
1. จุดประสงค์การใช้งานแตกต่างกัน
– ยันต์สีเหลืองนั้นใช้เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายและปกป้องคุ้มครอง จึงใช้สีเหลืองซึ้งเป็นพื้นฐานของพลังหยาง (แสงอาทิตย์และแสงสว่าง)
– ยันต์สีแดงนั้นใช้เพื่ออัญเชิญเทพและส่งเทพ
2. ช่วงเวลาการสร้างยันต์แตกต่างกัน
– ยันต์สีเหลืองต้องเขียนขึ้นในเวลากลางคืน หากเขียนในเวลากลางวันนัยว่าจะถูกแสงอาทิตย์ตามธรรมชาติสะกดข่ม ไม่แข็งแกร่งเพียงพอ
– ยันต์สีแดง ต้องเริ่มเขียนหลังไก่ขันครบสิบครั้งและต้องเขียนให้เสร็จก่อนที่แสงแรกของดวงอาทิตย์จะขึ้นมาบนท้องฟ้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น