ยอดหญิงสกุลเสิ่น 193.2-194.2
ตอนที่ 193-2 สงครามมติมหาชน
ส่วนเย่ว์กุ้ยเหอฮวาก็นำสาวใช้ไปวิ่งวุ่นทำงานอยู่ก่อนแล้ว จัดโต๊ะจัดเก้าอี้ เช็ดฝุ่นบนข้าวของเครื่องใช้ คล่องแคล่วปราดเปรียว เหอหลินหลินมองแล้วก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ที่แท้แล้วคนรับใช้ในจวนโหวก็เป็นเช่นนี้! คนรับใช้ในจวนตระกูลเหอเทียบกับพวกนางแล้ว ถูกโยนออกไปแปดสายถนนทันที
เสิ่นหย่าถอนหายใจหนึ่งครา พาลูกสาวเข้ามาในห้องด้านในด้วยสีหน้าสับสน นางกำลังจะเรียกหลินเจี่ยเอ๋อร์ ก็ถูกเหอหลินหลินตัดบท “ท่านแม่ คงไม่ใช่ว่าท่านไม่อยากหย่าหรอกนะ จวนตระกูลเหอกับท่านพ่อควรค่าให้ท่านอาลัยอาวรณ์เพียงนั้นหรือไร” คำถามนี้นางอยากถามตั้งแต่ที่อยู่ข้างนอกเมื่อครู่แล้ว
“หลินเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าไม่เข้าใจ” เสิ่นหย่ามองใบหน้าเล็กๆ ที่ไร้เดียงสาของลูกสาว ในใจเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
เหอหลินหลินร้อนใจแล้ว “ท่านแม่ ท่านอย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ เชียวนะ! ท่านย่ากับท่านป้าสะใภ้ใหญ่หลอกท่าน ตอนนี้พวกนางพูดจาดี นั่นก็เพราะว่าญาติผู้พี่สี่มาหนุนหลังให้พวกเรา เมื่อญาติผู้พี่ไป ยังไม่รู้ว่าพวกนางจะทรมานท่านอย่างไร ท่านอย่าได้ตกหลุมพรางเป็นอันขาด!”
เห็นท่าทางร้อนใจของลูกสาว หัวใจของเสิ่นหย่าก็อบอุ่น นางลูบใบหน้ารูปไข่ของลูกสาวแล้วกล่าว “หลินเจี่ยเอ๋อร์ จวนตระกูลเหอแห่งนี้ รวมถึงพ่อเจ้า แม่เลิกอาลัยอาวรณ์ณ์มานานแล้ว แต่แม่ไม่วางใจเจ้า หากแม่กับพ่อเจ้าหย่าร้าง พ่อเจ้าคงจะไม่ให้แม่พาเจ้ากลับไปด้วยกันเป็นแน่ เจ้าเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ แม่ไหนเลยจะทิ้งเจ้าลง” เพื่อลูกสาวแล้วนางยอมตายได้ ไหนเลยจะยอมทิ้งลูกสาวให้อยู่ในจวนตระกูลเหอ
เพียงคนเดียวเล่า
ทว่าเหอหลินหลินกลับส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต “ท่านแม่ ไม่เอาๆ ลูกไม่อยากให้ท่านเสียสละเช่นนี้ หากไม่หย่า พวกเราแม่ลูกอยู่ที่จวนตระกูลเหอต่อไปไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องตาย ท่านยังมองไม่เห็นความทะเยอทะยานของเถียนอี๋เหนียงหรือ ญาติผู้พี่สั่งสอนนางแล้ว นางจะยอมวางมือหรือ เมื่อญาติผู้พี่ไป นางจะไม่ระบายอารมณ์กับพวกเราแทนหรือ”
นางหยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “ท่านเองก็ได้ยินญาติผู้พี่กล่าวแล้ว เรื่องหย่าเป็นเจตนาของท่านตา หากท่านไม่ปฏิบัติตาม ท่านตาก็จะผิดหวังต่อท่านอย่างยิ่ง หลังจากนี้ก็ขี้เกียจจะสนใจท่านแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็จะไร้ซึ่งที่พึ่งต้องยอมให้คนกดขี่แล้วจริงๆ”
“แต่แม่ทิ้งหลินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ลง!” เสิ่นหย่ายังคงไม่ยินยอม ต่อให้จะต้องใช้ชีวิตลำบากนางก็ไม่กลัว ขอเพียงแค่ได้อยู่ข้างกายลูกสาวก็พอ
“ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงไม่เข้าใจ” เหอหลินหลินยิ่งร้อนใจแล้ว ขึ้นเสียงสูงอย่างอดไม่ได้ “ขอเพียงแค่ท่านมีชีวิตที่ดีในจวนโหว ต่อให้ลูกจะต้องอยู่ในจวนตระกูลเหอ พวกเขาก็ไม่กล้าปฏิบัติไม่ดีต่อข้า ยิ่งไปกว่านั้นลูกคิดว่าญาติผู้พี่มีจุดประสงค์ ไม่แน่ว่าอาจจะคิดหาวิธีพาลูกกลับเมืองหลวงไปพร้อมกันไว้แล้ว”
“จริงหรือ” ดวงตาของเสิ่นหย่าเป็นประกายในชั่วขณะ หากสามารถพาหลินเจี่ยเอ๋อร์กลับไปพร้อมกันได้ นางจะยังลังเลอะไรอีก รีบหย่าแล้วกลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด
เหอหลินหลินหยุดชะงัก นางเพียงแค่พูดออกไปเช่นนี้ ไหนเลยจะรู้ว่าญาติผู้พี่มีวิธีหรือไม่
ในตอนนี้เองก็ได้ยินเพียงเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตู “จริงเจ้าค่ะ”
เสิ่นหย่าสองแม่ลูกหันหน้ากลับไปมองพร้อมกัน เห็นเพียงสาวใช้ที่พูดก่อนหน้านี้ยืนอยู่หน้าประตูห้องด้านใน
เสิ่นหย่าสองแม่ลูกสนทนาโดนไม่ได้ปิดประตู เหอฮวาทำงานอยู่ข้างนอกย่อมต้องได้ยินบทสนทนาของพวกนาง อดไม่ได้พูดแทรกเข้ามา
อย่างไรเสียนางก็พูดแทรกแล้ว เหอฮวาก็ถือโอกาสเดินเข้ามาเสีย โค้งตัวทำความเคารพเสิ่นหย่ากับเหอหลินหลิน กล่าว “กูไหน่ไนกับคุณหนูญาติผู้น้องโปรดให้อภัยบ่าวที่บุ่มบ่าม คุณหนูญาติผู้น้องกล่าวถูกแล้ว ตอนที่มาคุณชายของพวกเราตั้งใจจะพากูไหน่ไนกับคุณหนูญาติผู้น้องกลับเมืองหลวงพร้อมกัน ทั้งยังยืนยันกับนายท่านผู้เฒ่าโหวว่าจะปฏิบัติหน้าที่จนสำเร็จ ส่วนคุณชายจะใช้วิธีใด บ่าวก็ไม่ทราบแล้ว แต่บ่าวรู้ว่าขอเพียงแค่เป็นเรื่องที่คุณชายคิดจะทำก็ไม่มีทางทำไม่ได้ ดังนั้นกูไหน่ไนท่านโปรดวางใจเถอะ” หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “พ่อบ้านรองสั่งคนไปเชิญหมอมาแล้ว อีกประเดี๋ยวจะเข้ามาดูบาดแผลบนลำคอของกูไหน่ไนเจ้าค่ะ”
เสิ่นหย่าสองแม่ลูกได้ยินดังนั้นก็ดีใจแล้ว “ท่านแม่ ท่านได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ญาติผู้พี่บอกว่าจะไม่ทิ้งพวกเราไม่สนใจพวกเรา ท่านจะต้องยืนหยัดความตั้งใจของท่านไว้ อย่าได้ถูกพวกนางพูดจาดีเกลี้ยกล่อมไม่กี่ประโยคก็เปลี่ยนความตั้งใจ”
เสิ่นหย่าพยักหน้าไม่หยุด “แม่จะจำไว้ แม่จะจำไว้” ส่วนประโยคหลังของเหอฮวานางไม่ได้ฟังเข้าหูอย่างสิ้นเชิง
เหอหลินหลินยังคงไม่วางใจ คนเลวเมื่อหมดทางถอยอะไรก็ล้วนทำได้ทั้งนั้น ใครจะรู้ว่าพวกนางจะเล่นลูกไม้อะไรออกมาอีก นางอยู่ข้างกายแม่นางไม่ให้ห่างจะดีกว่า
เหอจังหมิงที่ออกจากเรือนเสิ่นหย่าแล้วก็ตำหนิแม่เขาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงรับปากหย่าตามอำเภอใจเช่นนั้นเล่า หากตัดความสัมพันธ์กับตระกูลนี้แล้ว งานการของลูกก็คงจะจบสิ้นเป็นแน่” เขารู้ตัวเองดี ด้วยอำนาจของจวนจงอู่โหวในตอนนี้จะจัดการนายอำเภอเล็กๆ เช่นเขา เพียงแค่กระดิกนิ้วมือเล็กน้อยก็ได้แล้ว กระทั่งไม่ต้องให้จวนโหวลงมือเอง เพียงแค่จวนโหวเผยเจตนาเงียบๆ ก็จะมีคนจำนวนมากวิ่งเข้ามาเหยียบย่ำเขาไปเลียแข้งเลียขาจวนโหว
ทว่ามารดาแซ่เหอกลับถลึงตาใส่ “แม่เจ้าไม่ได้โง่ เรื่องขัดอนาคตของเจ้าแม่จะทำได้หรือ เจ้าน่ะ อย่ามองว่าเจ้าเป็นขุนนาง แม่เป็นเพียงยายแก่ชนบทที่ไม่มีความรู้ไม่มีประสบการณ์ แต่ความคิดของผู้หญิงคนนี้แม่เข้าใจดีกว่าเจ้า” นางมองลูกชายคนเล็กที่ทำให้นางภูมิใจอย่างถึงที่สุดผู้นี้ กล่าวจากใจจริง “ผู้หญิงน่ะ ไม่ว่าปากจะร้ายเพียงใด เพียงแค่มีบุตรเป็นแม่คน จิตใจก็อ่อนลงแล้ว ภรรยาของเจ้าก็มีหลินเจี่ยเอ๋อร์หนึ่งคน นางทิ้งหลินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ลงหรอก วางใจเถอะ นางจะต้องไม่กล้าหย่า ขอเพียงแค่พวกเรารับมือกับคุณชายสี่ผู้นั้นให้ได้ก็พอแล้ว”
เหอจังหมิงคล้ายกำลังครุ่นคิด รู้สึกว่าแม่เขาพูดถูกจริงๆ จิตใจก็วางลงช้าๆ “แต่คุณชายสี่แซ่เสิ่นผู้นั้นไหนเลยจะรับมือได้ง่ายๆ ไม่อ่อนข้อ ดื้อรั้น เมื่อครู่ท่านเองก็เห็นแล้ว” จนถึงตอนนี้เขาก็ยังหวาดกลัวอยู่ คุณชายสี่แซ่เสิ่นผู้นั้นสุภาพมีมารยาท แต่เหตุใดการกระทำถึงได้โหดเ**้ยมดุร้ายเพียงนั้นเล่า
มารดาแซ่เหอทนมองท่าทางหวาดผวาเช่นนี้ของลูกชายไม่ได้ “สองมือหรือจะสู้สี่มือ อย่างไรเสียอวิ๋นโจวก็เป็นเขตแดนของเจ้ามิใช่หรือ ยังกลัวว่าจะจัดการเด็กคนหนึ่งไม่ได้อีกหรือ” ลูกชายคนนี้ดีหมดทุกอย่าง ฉลาดเรียนหนังสือเก่ง เพียงแต่ขี้ขลาด ตอนเด็กๆ พอฟ้ามืดก็ไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำคนเดียว ทุกครั้งต้องให้พี่ชายเขาพาไป
หยุดครู่หนึ่งนางจึงกล่าวต่อ “แม่ตริตรองดีแล้ว เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับภรรยาของเจ้า ขอเพียงแค่นางไม่ยอมหย่า คุณชายสี่แซ่เสิ่นผู้นั้นจะยืนกรานตัดสินใจแทนนางได้อยู่หรือ ช่วงนี้เจ้าก็โน้มน้าวภรรยาเจ้าสักหน่อย ผู้หญิงน่ะ ใจอ่อนเสมอ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่เรือนหลังเจ้าก็ทำให้น้อยหน่อย ดูสิช่วงนี้เจ้าผอมหมดแล้ว”
เหอจังหมิงถูกมารดาพูดเช่นนี้ต่อหน้าก็อึดอัดอย่างอดไม่ได้ “ดูท่านแม่พูดเข้า ลูกเป็นคนไม่รู้ลำดับความสำคัญหรืออย่างไร ช่วงนี้ลูกงานยุ่ง เหนื่อยก็ต้องมีบ้าง” ไม่ต้องเอ่ยถึงเถียนอี๋เหนียง เพียงแค่อี๋เหนียงอีกสองคนก็รู้จักอ่านสถานการณ์ ทุกครั้งต่างก็ทำให้เขาพอใจได้ หากบุรุษหมดความสนใจแม้แต่เรื่องนี้ เช่นนั้นชีวิตจะยังมีความน่าสนใจอะไรอีก
มารดาแซ่เหอชายตามองลูกชายปราดหนึ่ง กลับไม่พูดอะไรแล้ว นางคิดมาดีอย่างยิ่ง เดาความกังวลของเสิ่นหย่าได้ แต่นางไหนเลยจะรู้ว่าเสิ่นเวยเตรียมการมาก่อน ตอนที่นางรู้ว่าเสิ่นหย่าใจแข็งต้องการหย่า ไม่สนแม้กระทั่งลูกสาว นางก็โมโหจนแทบจะหายใจไม่ออก ตบต้นขาสาปแช่งเสิ่นหย่า บ้างก็ว่าโหดร้าย บ้างก็ว่าใจเ**้ยม บ้างก็ว่าชั่วช้า…และคำไม่น่าฟังอีกมากมาย
หลังจากนั้นท่าทีของจวนตระกูเหอก็เปลี่ยนไปแล้ว ไม่เอ่ยถึงเรื่องหย่าแม้แต่ประโยคเดียว แต่ยืนกรานจะขับภรรยาให้ได้ เพราะเหตุใดน่ะหรือ หย่าต้องคืนสินเดิมฝ่ายหญิง แต่ขับภรรยากลับไม่ต้อง
ขับภรรยาก็ขับภรรยา อย่างไรเสียก็มีเหตุผลที่เหมาะสมมิใช่หรือ จวนตระกูลเหอกลับแย้งไม่ได้ จึงยืนกรานจะขับภรรยาอย่างเป็นนัยๆ
เสิ่นเวยโมโหแล้ว คนพวกนี้หน้าไม่อายไม่มีจุดสิ้นสุดจริงๆ ขับภรรยาอะไร ก็แค่ต้องการยึดครองสินเดิมของท่านน้ามิใช่หรือ เหอะๆ ในเมื่อเจ้าต้องการให้ได้ เช่นนั้นข้าก็ยิ่งไม่ให้ ดวงตาเสิ่นเวยกะพริบวาบ เกิดความคิดดีๆ แล้ว
วันที่สอง เด็กขอทานทั่วทั้งเมืองอวิ๋นโจวต่างก็ร้องเพลงพื้นบ้านที่แปลกใหม่หนึ่งเพลง เนื้อหามีดังนี้ ‘น่าแปลก น่าแปลก น่าแปลกจริง อวิ๋นโจวมีนายอำเภอเหอผู้หนึ่ง นายอำเภอเหอ เรือนหลังวุ่น ยกอี๋เหนียงผู้เป็นม้าซูบผอมขึ้นหิ้ง ทิ้งขว้างฮูหยินภรรยาเอก สิบกว่าปี สิบกว่าปี ภรรยาเอกเดิมเป็นบุตรสาวจวนโหว ลดตัวลงแต่งงานกับนายอำเภอ ใครจะรู้นายอำเภอใจโลเลแล้วยังลืมบุญคุณ แย่งสินเดิมภรรยาเอกทรยศ ภรรยาเอกหญิงอ่อนแอผู้น่าสงสาร ขังอยู่ในเรือนหลังเจ็บปวดจนพูดไม่ออก ทนลำบากเลี้ยงดูลูกสาว กลับถูกหญิงชั่ววางแผนลวง เดิมเป็นหญิงงามเยาว์วัย ถูกกดจนผมหงอกหัวขาว เจ้าว่าเป็นเพราะเหตุใด เพราะเหตุใด ภรรยาเอกร้องไห้จนเหือดแห้ง ทำอย่างไรเมื่อใจสามีเย็นชาดั่งเหล็ก ภรรยาเอกจนใจไปผูกคอตาย ดวงแข็งจึงยังรอดอยู่…’
เพลงพื้นบ้านติดปาก ภาพลักษณ์สดใสซ้ำยังเปิดเผยเรื่องราวของคุณหนูผู้สูงศักดิ์กับชายชั่วผู้ลืมบุญคุณผู้หนึ่งที่ดวงชะตาไม่ราบรื่น เพราะว่าแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ไม่ถึงครึ่งวัน ในเมืองอวิ๋นเหอตั้งแต่ขุนนางสูงส่งจนถึงคนต้อยต่ำที่สุดต่างก็รู้จักเพลงพื้นบ้านบทนี้แล้ว ในเหลาสุรา ในโรงน้ำชา ข้างถนนใหญ่ ผู้คนล้วนแต่ถกเถียงถึงเพลงพื้นบ้านบทนี้อย่างให้ความสนอกสนใจ สายตาต่างก็มองไปยังประตูที่ว่าการอำเภอรางๆ
ไอ๊หยา ไม่คิดว่านายอำเภอจะเป็นคนแบบนี้ เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงมองไม่ออกเลยเล่า
ได้ยินเรื่องนั้นแล้วใช่หรือไม่ เจ้าว่าเหตุใดจิตใจคนผู้นี้ถึงได้ดำขนาดนี้เล่า กินของคนอื่น ดื่มของคนอื่น ใช้ของคนอื่น พอก้าวหน้าแล้วก็ทรมานเขาแทบตาย นี่ยังเป็นคนอยู่หรือไม่
นี่ๆๆ อะไรคือม้าซูบผอม ม้าที่ผอมๆ แบบนั้นน่ะหรือ หรือว่าคนผู้นี้เป็นคนโง่ ชอบอะไรแบบนี้งั้นหรือ
ชู่ๆๆ ไม่มีความรู้สิท่า ม้าผอมๆ อะไรกัน ข้าจะบอกเจ้าให้ ไม่ใช่ม้า เป็นคน คนซูบผอม!
ทุกๆ วันเสิ่นเวยพาคนออกไปเดินเล่น ทุกครั้งที่ได้ยินข้อความเหล่านี้นางก็อดมีความสุขไม่ได้ ไอ๊หยา สติปัญญาของทุกคนนี่ดูถูกไม่ได้จริงๆ เหอจังหมิง นายอำเภอเหอ ใต้เท้าเหอ ท่านค่อยๆ รับของขวัญชิ้นใหญ่ที่ข้าส่งให้ท่านเถอะ ใช่รู้สึกสบายอารมณ์อย่างยิ่งหรือไม่
เพลงพื้นบ้านที่มีพลังสังหารแข็งกล้าบทนี้ย่อมเป็นฝีมือของเสิ่นเวยเอง นางเองก็เป็นคนที่เคยได้รับการศึกษาชั้นสูง แต่งเพลงติดปากเพลงหนึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายดายหรอกหรือ เคยเห็นสงครามน้ำลายนับไม่ถ้วนในวงการบันเทิงยุคปัจจุบัน เสิ่นเวยรู้ถึงพลังของมติมหาชนเป็นอย่างดี ในเมื่อพวกเจ้าหน้าไม่อายขนาดนั้น เช่นนั้นข้าก็จะเปิดฉากสงครามมติมหาชนกับพวกเจ้าก่อน เจ้าก็คอยประคองร่างเล็กๆ ที่บอบบางนั้นของเจ้าให้ได้แล้วกัน
กว่าเหอจังหมิงจะรู้เรื่องนี้ก็ตกบ่ายแล้ว เหตุใดเขาถึงรู้ช้าเช่นนี้น่ะหรือ ไม่ใช่มีคำพูดหรือว่า ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามคนต้นเรื่องมักจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้หรอกหรือ
และผิดที่ปกติแล้วเหอจังหมิงประพฤติตัวไม่ถูก มักจะคิดว่าตนเป็นผู้รู้ผู้มีความสามารถ แม้แต่ขุนนางชั้นสูงเขายังไม่ยอมก้มหัวให้ จะผูกมิตรแท้ในที่ทำงานได้หรือไร ดังนั้นเมื่อเพื่อนร่วมงานทั้งหลายได้ยินเพลงพื้นบ้านบทนี้ ต่างก็มองเขาเป็นตัวตลกอยู่เงียบๆ ไม่มีใครเล่าให้เขาฟังเลยแม้แต่คนเดียว
ท้ายที่สุดยังเป็นพี่ใหญ่เขาที่วิ่งมาบอกเรื่องนี้กับเขา เขาโมโหแทบตาย เส้นเลือดดำบนดำคอปูดนูน ดวงตาถลึงจนแดงไปด้วยโลหิต ไม่ต้องคิดเขาก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของใคร แต่ในมือเขาไม่มีหลักฐาน
“โธ่เอ๊ย เสียหน้าบรรพบุรุษหมดแล้ว เหล่าเอ้อร์เจ้ายังรออะไรอีก รีบไปจัดการเสีย!” มารดาแซ่เหอรู้เรื่องนี้แล้วก็อายจนไม่กล้าแม้แต่จะออกจากบ้าน
ใบหน้าของเหอจังหมิงเหยเก จัดการหรือ พูดเหมือนง่าย ห้ามปากประชาชนนั้นยากยิ่งกว่าห้ามสายน้ำไม่ให้ไหล ประชาชนทั่วทั้งเมืองอวิ๋นเหอ ไหนเลยจะหยุดได้ เขาคงไม่อาจฆ่าคนทั้งหมดได้กระมัง
ตอนที่ 194-1 ฉีกหน้าอย่างต่อเนื่อง
เสิ่นหย่าเองก็ได้ยินเพลงพื้นบ้านที่ดังไปทั่วเมืองบทนี้แล้วเช่นกัน นางไม่ได้ดีใจเหมือนกับอวิ๋นหรงเสี่ยวจวี๋ ความรู้สึกของเสิ่นหย่าซับซ้อนมากเป็นพิเศษ แม้เพลงพื้นบ้านบทนี้จะเปิดโปงความชั่วร้ายของเหอจังหมิง วางนางอยู่ในตำแหน่งที่น่าสงสารน่าเห็นใจ แต่นางก็ยอมที่จะไม่ต้องเป็นคนที่น่าสงสารน่าเห็นใจเช่นนี้
สตรีที่ไหนบ้างที่ไม่อยากแต่งงานกับคนดีๆ มีแต่ความสุข แต่นางเล่า ความดื้อรั้นเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตนี้กลับทำลายตัวเองไปครึ่งชีวิต ท่านพ่อเคยบอกแล้วว่าเหอจังหมิงไม่ใช่คนดี แต่ตนเองที่ถูกความรักบังตาไหนเลยจะเชื่อฟัง ร้องห่มร้องไห้โวยวายขอร้องจะแต่งงานให้ได้ ผลสุดท้ายเล่า ไม่ฟังคำเตือนของผู้อาวุโส ความลำบากอยู่ตรงหน้า
เดิมนางคิดว่าตนหาเรื่องเองก็ต้องทนรับเอง หลายปีมานี้นางเองก็ทำเช่นนี้ ต่อให้จะยากลำบากเพียงใดก็ต้องกัดฟันทน ข่าวแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ส่งกลับจวนโหว ทนเอาเสีย ทนจนบุตรสาวออกเรือนนางก็จะหลุดพ้นแล้ว แต่จังเหอหมิงกลับทำลายแม้แต่ความหวังอันน้อยนิดนี้ เพื่อลูกสาว แม้จะต้องตายนางยังไม่กลัว นับประสาอะไรกับการหย่าเล่า
นางเองก็รู้ว่าการที่นางหย่าส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของลูกสาว แต่ตอนนี้นางไม่สนใจเรื่องมากมายเพียงนั้นแล้ว นางเองก็ไม่คิดจะให้ลูกสาวแต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์ มีจวนโหวค้ำจุนอยู่ตรงนั้น ลูกสาวก็น่าจะแต่งงานกับบัณฑิตที่กำลังจะก้าวหน้าได้กระมัง ดีกว่าไปเป็นฮูหยินขั้นสี่นั่นมาก ตอนนี้นางคิดอยากจะพาลูกสาวหนีไปจากถ้ำสัตว์ร้ายนี้เต็มทนแล้ว
เหอจังหมิงบุกเข้ามาในเรือนของเสิ่นหย่าด้วยความโมโหเดือดดาล ชี้หน้าเสิ่นหย่าแล้วกล่าวอย่างกระหืดกระหอบ “เจ้า เจ้า รีบให้หลานชายคนเก่งผู้นั้นของเจ้าวางมือเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” เขาเอ่ยวาจาข่มขู่
“วางมืออะไรกัน หลานสี่ทำอะไรให้ท่านเดือดดาลถึงเพียงนี้ ท่านพี่ท่านต้องอธิบายมาก่อน” บนใบหน้าเสิ่นหย่ามีความประหลาดใจ ท่าทางไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เหอจังหมิงจุกแน่นในหน้าอก เห็นสายตาของเสิ่นหย่างุนงง เขาพูดได้หรือว่าหลานเจ้าป่าวประกาศเพลงพื้นบ้านหนึ่งบทให้ร้ายข้าเพื่อทวงความยุติธรรมให้เจ้า พูดถึงเพลงพื้นบ้านขึ้นมาก็จะต้องถามเนื้อหาของเพลงแน่นอน เขาจะมีหน้ามาพูดได้หรือ อีกทั้งเขายังไม่เชื่อว่าเสิ่นหย่าจะไม่รู้เรื่องนี้เลย ข้างในข้างนอกเรือนแห่งนี้ของนางต่างก็เป็นบ่าวรับใช้ที่คุณชายสี่แซ่เสิ่นผู้นั้นพามา การส่งข่าวจะไม่ใช่เรื่องง่ายหรือ
เสิ่นหย่าสบสายตาของเหอจังหมิงอย่างไร้กังวล นางมั่นใจว่าด้วยนิสัยห่วงศักดิ์ศรีของเขาจะต้องเล่าเรื่องเพลงพื้นบ้านไม่ได้แน่ นางชนะแล้วจริงๆ แต่ในใจของเสิ่นหย่ากลับไม่มีความรู้สึกดีใจในชัยชนะแม้แต่นิดเดียว ชายผู้ที่นางเคยสุขใจผู้นี้ เหตุใดถึงเปลี่ยนไปเป็นคนที่น่ารังเกียจอย่างเช่นทุกวันนี้ บางทีเขาอาจจะเป็นแบบนี้มาโดยตลอด แต่ตนมองเห็นไม่ชัดก็เท่านั้นเอง เสิ่นหย่าทอดถอนใจไม่หยุด
บางทีสายตาของนางอาจจะใสซื่อเกินไป เหอจังหมิงหงุดหงิดอย่างถึงที่สุดแล้ว “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้ ไปบอกหลานชายคนดีผู้นั้นของเจ้าเสีย เล่นละครหน้าไม่อายเหล่านี้ให้น้อยหน่อย แค่ข่าวลือเล็กน้อยคิดว่าจะโจมตีข้าได้หรือ ฝันไปเถอะ! คิดยั่วโมโหข้าหรือ เหอะๆ!” ในแววตาเขามีประกายดุร้ายแวบผ่าน
หัวใจของเสิ่นหย่าจมดิ่ง ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวอย่างอดไม่ได้ เย่ว์กุ้ยก้าวขึ้นมาทันที “อะไรกัน เป็นถึงนายอำเภอใหญ่โตแต่จะลงมือกับสตรีหรือไร ไม่กลัวขายหน้าหรือ!” คุณหนูบอกแล้วว่า จะต้องปกป้องกูไหน่ไนกับคุณหนูญาติผู้น้องให้ดี สำหรับใต้เท้าเหอผู้นี้ ช่วงเวลาที่จำเป็นจะบังเอิญทำร้ายเขาสักสองหมัดก็อนุญาต ดังนั้น ความมั่นใจของเย่ว์กุ้ยจึงมากพอ
เมื่อถูกบ่าวเอ่ยเสียดสี เหอจังหมิงก็โกรธจนเบื้องหน้าดำมืดไปหมด หากไม่ใช่ว่าเด็กรับใช้ที่ตามเขามาพยุงเขาไว้ก็คงจะล้มลงไปเป็นแน่
“ได้ ได้ พวกเจ้าคอยดูแล้วกัน!” เหอจังหมิงกระฟัดกระเฟียด หลังจากนั้นก็หันหลังกลับออกไปจากเรือนของเสิ่นหย่า
คิดจะหย่าหรือ ฝันไปเถอะ! แม้ตายเขาก็จะไม่รับปาก หากพูดว่าก่อนหน้านี้ทำเพื่อสินเดิมของเสิ่นหย่า เช่นนั้นตอนนี้ก็ทำเพราะว่าเกลียด ต่อให้ต้องตาย เขาก็จะต้องลากเสิ่นหย่าให้ตายอยู่ในจวนตระกูลเหอให้ได้
เหอจังหมิงออกมาจากเรือนของเสิ่นหย่าแล้วก็ไปที่เรือนของเถียนอี๋เหนียง เถียนอี๋เหนียงได้ยินคำรายงานของสาวใช้ก็ออกมาต้อนรับแต่ไกล ความกระตือรือร้นทั่วทั้งใบหน้าทำให้เหอจังหมิงรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง ไฟโกรธเต็มอกในเรือนของเสิ่นหย่าก็ลดลงครึ่งหนึ่ง เขาคว้ามือของเถียนอี๋เหนียง กล่าวเสียงอ่อน “เหตุใดถึงไม่สวมเสื้อเพิ่ม อากาศยังหนาวอยู่เลย ร่างกายเจ้าอ่อนแอ ต้องระวังหน่อย”
มุมปากเถียนอี๋เหนียงเผยรอยยิ้มชดช้อย กล่าวเสียงนุ่ม “ไม่ใช่ว่าข้าอยากเจอนายท่านเร็วๆ หรือไร”
“เจ้านี่นะ” เหอจังหมิงยิ้มอย่างชอบใจ โอบเถียนอี๋เหนียงเดินเข้าไปในห้อง
เข้าห้องแล้วสาวใช้ก็นำชาหอมเข้ามา เหอจังหมิงรับมาดื่มหนึ่งอึกก็วางลงข้างๆ เถียนอี๋เหนียงเห็นทีท่าก็นั่งลงบนตักของเขา สองมือโอบคอของเขาไว้ กล่าวเสียงหวาน “วันนี้นายท่านเป็นอะไรไปหรือ ใช่ข้าทำอะไรให้ท่านไม่มีความสุขหรือไม่”
เหตุใดเหอจังหมิงถึงอารมณ์ไม่ดีเถียนอี๋เหนียงย่อมรู้อยู่แก่ใจ นางดูแลงานในจวน ในจวนมีเรื่องอะไรนางจะไม่รู้หรือ ได้ยินว่าคุณชายสี่จวนโหวผู้นั้นเอ่ยเรื่องหย่า นางก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง หลังประหลาดใจแล้วก็แอบดีใจ นายท่านกับฮูหยินหย่ากันแล้ว เช่นนั้นนางใช่จะมีโอกาสเป็นภรรยาเอกหรือไม่ อีกทั้งยังไม่ต้องเปลืองความคิดกำจัดเสิ่นซื่อคนไร้ประโยชน์ผู้นั้นแล้ว
เหอจังหมิงอ่านความเป็นห่วงในคำพูดของเถียนอี๋เหนียงได้ ในใจก็อบอุ่น ถอนหายใจ “ยังคงเป็นเถียนอี๋เหนียงที่รู้ร้อนรู้หนาว” เขาเงยหน้าขึ้นตรงกับใบหน้าที่ยังบวมเล็กน้อยใบนั้นของเถียนอี๋เหนียงพอดี ไม่ได้รังเกียจ แต่ในใจกลับรู้สึกผิด “ยังเจ็บอยู่หรือไม่” มือของเขาลูบใบหน้าของนางเบาๆ
เถียนอี๋เหนียงถอนหายใจโล่งอก นางรู้ว่านายท่านชอบความสวยความงาม กลัวว่านายท่านจะรังเกียจที่หน้าของนางน่าเกลียด นางทุ่มแรงรักษาอย่างยิ่งแล้ว แต่มือแรงของสาวใช้ผู้นั้นมากอย่างยิ่ง ไหนเลยจะหายบวมได้เร็วเพียงนั้น ต่อให้ใช้ผงไข่มุกที่ดีที่สุดก็ยังคงปกปิดไม่ได้
แววตาของเถียนอี๋เหนียงปรากฏความซาบซึ้ง ส่ายหน้า “ไม่เจ็บแล้ว ไม่เจ็บนานแล้ว แต่ข้าเจ็บปวดใจ” นางจับมือของเหอจังหมิงมากุมไว้ที่อกตน “ข้าปวดใจแทนนายท่าน คุณชายสี่แซ่เสินสั่งสอนข้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมิใช่หรือ ข้าเป็นเพียงคนต้อยต่ำ หากไม่พบนายท่านก็อาจจะลำบากอยู่ที่ไหนแล้วก็ได้ แต่คุณชายสี่แซ่เสิ่นก็ไม่ควรไม่ไว้หน้านายท่านเช่นนี้ เขายังต้องเคารพนายท่านเป็นอาเขย ไหนเลยจะมีอย่างที่ชนรุ่นหลังจะบังอาจทำเช่นนี้ต่อหน้าผู้อาวุโส จวนจงอู่โหวของพวกเขากลั่นแกล้งคนเกินไปแล้วจริงๆ” สีหน้านางมีความเศร้าโศก ดวงตามีน้ำตากะพริบวาบ ดูเหมือนรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมแทนนายท่าน แต่ความจริงแล้วกลับยั่วยุอย่างถึงที่สุด
แววตาเหอจังหมิงมีบางอย่ากะพริบผ่านอย่างรวดเร็ว ทว่าหลังจากนั้นกลับถอนหายใจ “หากฮูหยินมีสติปัญญาเช่นเจ้าก็ดี” เขากอดเถียนอี๋เหนียงด้วยความสงสาร ในใจก็ยิ่งไม่พอใจเสิ่นหย่า เสิ่นเวยและจวนจงอู่โหวมากขึ้น
ใช้อำนาจระรานคน เหอะ คอยดูเถอะ ต้องมีสักวันหนึ่งที่ข้าจะเหยียบจวนจงอู่โหวให้จมดิน
ทว่าเถียนอี๋เหนียงกลับตีเหอจังหมิงอย่างอ่อนโยน “หึ นายท่านก็แค่พูดจาดีๆ ปลอบข้า ข้าเป็นเพียงคนต้อยต่ำ ฮูหยินเป็นบุตรสาวจวนโหวผู้สูงส่ง ข้าไหนเลยจะเทียบฮูหยินได้ ข้ารู้ตัวดีว่าฐานะต่ำต้อย ท่านพ่อเป็นเพียงบัณฑิตยากจน ไม่กล้าเปรียบเทียบกับฮูหยิน ข้าขอเพียงแค่นายท่านสามารถมาหาข้าได้บ่อยๆ ไม่ลืมข้าก็พอแล้ว”
เถียนอี๋เหนียงพูดประโยคนี้โดยมีเจตนาหยั่งเชิง ข่าวลือตามท้องถนนบอกว่านางมีฐานะเป็นม้าซูบผอมทำให้นางกลัวแทบตาย นางไม่แน่ใจว่าคนที่ปล่อยข่าวลือแต่งขึ้นมั่วๆ หรือว่าหาสืบหาข้อมูลของนางเจอแล้วจริงๆ ดังนั้นนางจึงอยากดูว่านายท่านมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร
เหอจังหมิงเองก็นึกถึงประโยคนี้ในข่าวลือก็ยิ่งโมโหแล้ว “หลานสี่แซ่เสิ่นผู้นี้ ไหนเลยจะเป็นคุณชายสูงศักดิ์จวนโหว เป็นคนพาลไม่เอาไหนต่างหาก ม้าซูบผอมหญิงนางโลมอะไรกัน เป็นผู้มีความรู้ต่างหากเล่า” เขาเหอจังหมิงจะเอาม้าซูบผอมมาเป็นอนุภรรยาได้อย่างไร อีกทั้งเหออี๋เหนียงยังมีคุณธรรมดีงามอ่อนโยน ไหนเลยจะเป็นม้าซูบผอมยั่วสวาทอะไรนั่น
เถียนอี๋เหนียงวางใจในชั่วขณะ แต่ใบหน้ากลับกลับปั้นสีหน้าตกใจ อุทานกล่าว “อะไรนะ ข่าวลือคุณชายสี่แซ่เสิ่นเป็นคนปล่อยหรือ เขาต้องการจะทำอะไร ฮูหยิน…” พูดถึงตรงนี้ชั่วขณะนางก็ตระหนักได้ว่าไม่ควร รีบปิดปาก ทว่าดวงตาคู่งามกลับจ้องมองเหอจังหมิงอย่างปราดเปรียว ข้างในนั้นมีความรู้สึกร้อยแปดพันเก้าทำให้เหอจังหมิงใจอ่อน อยากจะกดร่างไว้แล้วปลุกปล้ำนางอย่างรุนแรงสักรอบหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงเขาก็ทำเช่นนี้จริงๆ
เมื่อเสร็จเรื่อง เถียนอี๋เหนียงก็ซบอยู่ในอ้อมอกของเหอจังหมิงราวกับแมวหนึ่งตัว กล่าวเสียงเบา “เหตุใดข้าถึงได้ยินว่าฮูหยินจะหย่าเล่า เฮ้อ พูดจาเกินไป แท้จริงแล้วในใจฮูหยินคิดอย่างไรกันแน่ นายท่านไม่เคยปฏิบัติไม่ดีต่อฮูหยินเสียหน่อย หลายปีเพียงนี้ฮูหยินก็ไม่สามารถมีบุตรชายให้นายท่านได้ นายท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรมิใช่หรือ มีแต่ข้า ต้องการให้ฮูหยินสงบจิตใจพักฟื้นร่างกายให้เพียงพอ จึงรับภาระเหน็ดเหนื่อยกายใจในจวนมาแทนมิใช่หรือ ฮูหยินยังมีอะไรไม่พอใจอีก”
หึ ไม่ใช่คนในครอบครัวไม่อาจอยู่บ้านร่วมกันได้จริงๆ ความสามารถในการกลับดำเป็นขาวก็เก่งเช่นเดียวกัน
แต่ว่าคำพูดนี้ของเถียนอี๋เหนียงกลับพูดตรงใจของเหอจังหมิง เสิ่นซื่อไม่ออกไปร่วมงานเลี้ยงนอกจวน ทั้งยังไม่จัดการเรื่องในบ้าน ทุกวันก็ว่างอย่างยิ่ง ยังมีอะไรไม่พอใจอีก
เห็นเหอจังหมิงไม่พูด เถียนอี๋เหนียงก็โน้มน้าวต่อ “นายท่านวางแผนอย่างไร ข้าว่า แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน ในเมื่อฮูหยินตั้งใจจะไป นายท่านจะไม่ทำให้นางสมหวังหรือ อีกทั้งจะได้ลดความกลัดกลุ้มเมื่อท่านมองเห็นเรือนหลังนั้นอีกด้วย” นายท่านกับฮูหยินหย่าร้างเป็นผลดีต่อนางที่สุด มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะไม่สนับสนุน
ทว่าเหอจังหมิงกลับถอนหายใจ ก้มหน้าลูบศีรษะนุ่มสลวยของเถียนอี๋เหนียง “เจ้ามีจิตใจดีงาม แต่ไหนเลยจะง่ายเพียงนั้น หากหย่า สินเดิมของฮูหยิน…” แววตาเขากะพริบวาบ ไม่ได้กล่าวต่อ
แต่เถียนอี๋เหนียงกลับเข้าใจแล้ว นางเองก็ไม่เห็นด้วยกับการที่ต้องคืนสินเดิมของฮูหยินกลับไป นางดูแลเรื่องในจวน ไหนเลยจะไม่รู้ว่ารายได้มากกว่าครึ่งในจวนมาจากร้านค้าสินเดิมของฮูหยิน หากคืนกลับไปแล้ว นางกับลูกคงไม่ต้องกินแกลบกันเลยหรือ ไม่ ไม่ได้เด็ดขาด
จู่ๆ ดวงตานางก็กะพริบวาบ เกิดความคิดดีๆ “นายท่าน คุณหนูใหญ่ยังอยู่ที่จวนมิใช่หรือ ฮูหยินรักคุณหนูใหญ่เพียงนั้น จะต้องยอมทิ้งสินเดิมไว้ให้คุณหนูใหญ่เป็นแน่ คุณหนูใหญ่อายุยังน้อง สินเดิมเหล่านี้ยังต้องให้นายท่านช่วยดูแลมิใช่หรือ”
เหอจังหมิงตาลุกวาวในชั่วขณะ ใช่แล้ว นี่เป็นความคิดที่ดี “ยังคงเป็นชิงชิง[1]ที่ฉลาด!” มือใหญ่ๆ ของเขาลูบหน้าอกที่ขาวเนียนของเถียนอี๋เหนียงหนึ่งครา หูก็ได้ยินเสียงครางหวานของเถียนอี๋เหนียง อารมณ์ของเขาสบายใจมากอย่างยิ่ง
[1] ชิงชิง มีความหมายว่าที่รัก ใช้เรียกระหว่างสามีภรรยาหรือคนสนิทในภาษาจีนโบราณ
ตอนที่ 194-2 ฉีกหน้าอย่างต่อเนื่อง
เหอจังหมิงคิดว่าหาทางแก้ไขปัญหาได้แล้ว จึงขลุกตัวอยู่ในเรือนเถียนอี๋เหนียงอย่างวางใจไร้กังวล แต่ตอนที่เขาเดินออกจากจวนตระกูลเหอไปยังที่ว่าการกลับพบว่าตนดีใจเร็วเกินไป
เมื่อเหอจังหมิงก้าวออกจากจวนตระกูลเหอ ก็เห็นคนจำนวนมากข้างนอกชี้ไม้ชี้มือมาที่เขา เขากระทั่งได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของพวกเขา “ดูเร็ว นั่นก็คือนายอำเภอเหอ จุ๊ๆ หน้าตาก็เหมือนคนแต่การกระทำเหมือนสุนัข ไม่เหมือนคนลืมบุญคุณเหล่านั้นงั้นหรือ”
อีกคนหนึ่งก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที “หรือว่าบนหน้าคนเลวจะสลักอักษรไว้เล่า ว่ากันว่าคนหน้าตาดีมักประพฤติตัวแย่ หน้าตานายอำเภอเหอก็ดีจริงๆ นั่นแหละ”
เหอจังหมิงเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย หวังว่าจะเข้าที่ว่าการได้เร็วขึ้น น่าเสียดายที่เรื่องไม่เป็นอย่างที่หวัง ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีขอทานหนึ่งกลุ่มที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหน ตบมือร้องเพลงอยู่ข้างหลังเขา ร้องเพลงพื้นบ้านบทนั้น โดยเฉพาะประโยค ‘นายอำเภอเหอผู้ลืมบุญคุณ’ ประโยคนั้นร้องดังกังวานมากเป็นพิเศษ
ใบหน้าของเหอจังหมิงดำแล้ว ไม่ต้องให้เขาสั่ง ผู้ติดตามข้างกายเขาก็ไล่เด็กขอทานออกไปเอง “ออกไป รีบออกไป อยากกินข้าวแดงหรือไร”
เด็กขอทานว่องไว ฝั่งนี้ไล่จับ ฝั่งนั้นก็ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหนอีกแล้ว วิ่งไปพลางกล่าวไปพลาง “นายอำเภอเหอตีคนไร้สาเหตุ นายอำเภอเหอรังแกประชาชน!” เสียงทั้งแหลมทั้งดัง ทำให้คนจำนวนมากหันมามองเหอจังหมิง
เหอจังหมิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว เขากล้ายืนยันว่านี่คือฝีมือของคุณชายสี่แซ่เสิ่นอีกแน่นอน เล่นลูกไม้นี้กับข้าในอาณาเขตของข้า คิดว่าข้าจะกลัวเจ้าหรือ เขาก้าวเร็วเดินไปหลายก้าว คิดอยากจะเข้าที่ว่าการไประดมคนให้เร็ว แต่ใบไม้ผักเปื่อยกับไข่ไก่เน่าที่ไม่รู้ว่าลอยมาจากไหน กลับกระแทกลงบนศีรษะและร่างของเหอจังหมิงพอดี เยี่ยม ตอนนี้ก็ไปที่ว่าการไม่ได้แล้ว
เหอจังหมิงโมโห แต่มองดูเด็กขอทานที่วิ่งออกไปไกล เขาไม่มีหนทางแม้แต่นิดเดียว
เหอจังหมิงแบกร่างจนตรอกกลับจวน เด็กขอทานที่วิ่งไปไกลฝั่งนี้กลับกำลังรับเงินทองแดงอย่างมีความสุข แต่ละคนได้ยี่สิบกว่าเหรียญ ซื้อหมั่นโถวได้ไม่น้อย เด็กขอทานทั้งหลายดีใจอย่างยิ่ง พากันรับปากว่าจะจับตามองจวนตระกูลเหอเป็นอย่างดี
เหอจังหมิงกลับไปถึงจวนแล้ว เสิ่นเวยก็พาคนมาถึงหน้าบ้านทันที ผลักคนรับใช้จวนตระกูลเหอที่ขวางทางออกไป เดินเข้ามาอย่างไร้อุปสรรคขัดขวาง
“ใต้เท้าเหอคิดได้แล้วหรือยัง” เสิ่นเวยนั่งลงบนเก้าอี้อย่างตรงไปตรงมา ท่าทางนั้นเหมือนเจ้าของบ้านเสียยิ่งกว่าเจ้าของบ้านเอง
เหอจังหมิงกดไฟโกรธในใจไว้ กล่าว “หลานสี่ อย่างไรเสียข้าเองก็เป็นผู้อาวุโสของเจ้า ก่อนหน้านี้ที่เจ้าโวยวายข้าก็จะไม่ถือสา แต่ไหนเลยจะมีอย่างที่ชนรุ่นหลังเร่งรัดผู้อาวุโสให้หย่าร้าง หากว่าเรื่องนี้ดังออกไป จวนจงอู่โหวจะยังมีเกียรติอยู่อีกหรือ สตรีในจวนจะแต่งออกเรือนได้หรือ” ทั้งใบหน้าเขาเศร้าโศก ราวกับว่าเสิ่นเวยทำเรื่องผิดมหันต์
เสิ่นเวยถือพัดพับได้ตีลงในฝ่ามือ “ใต้เท้าเหอ เรื่องวุ่นวายจนถึงขั้นนี้แล้วคงไม่ต้องหลอกตัวเองแล้วกระมัง ท่านโปรดปรานอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอก เอาบุตรสาวภรรยาเอกไปปูทางให้บุตรชายลูกอนุภรรยา ท่านยังไม่กลัวคนเอาไปพูดลับหลัง แล้วข้าจะกลัวอะไร สำหรับสตรีจวนโหวหรือ”
นางเปลี่ยนเรื่อง กล่าว “จวนจงอู่โหวของพวกข้ามีฐานะเดิมมาจากทหาร ไม่เข้าใจธรรมเนียมเหล่านั้นเช่นบัณฑิตอย่างพวกท่าน มีเกียรติไม่มีเกียรติอะไร พวกข้ารู้เพียงแค่ว่าไม่อาจให้คนกลั่นแกล้งกูไหน่ไนที่ออกเรือนได้ มิเช่นนั้นจะมีลูกหลานเช่นนี้ไว้ทำไม วางไว้ประดับเฉยๆ หรือ ขอเพียงแค่พี่น้องของพวกข้าทำคุณงามความดี ยังต้องกังวลอีกหรือว่าสตรีในจวนจะออกเรือนไม่ได้”
ความดูถูกในแววตานั่นยั่วยุจนเหอจังหมิงเกือบทนไม่ไหวโพล่งคำหยาบออกมา “พูดเช่นนี้หลานสี่ยืนยันจะทำเช่นนี้ใช่หรือไม่ “ใบหน้าของเขาเย็นชาลง นี่คือจวนตระกูลเหอ เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรเขาได้
เสิ่นเวยพยักหน้า “ยืนยันหรือไม่ยืนยันอะไร เจตนาในการมาของข้าชัดเจนอย่างยิ่งมาโดยตลอด นั่นก็คือการหย่า กูไหน่ไนที่เติบโตมาบนกองเงินกองทองของพวกข้า ในเมื่อใต้เท้าเหอไม่ทะนุถนอม เช่นนั้นพวกข้าก็จะรับกลับไปเลี้ยงดูเอง ใครให้นี่เป็นสายโลหิตในครอบครัวเล่า พวกข้ายอมรับว่าดูคนผิด ยอมรับความโชคร้ายยังไม่พออีกหรือ ดูสิ พวกข้ามีเหตุมีผลยิ่ง ไม่ได้เอาอำนาจจวนโหวมากดดันเลยแม้แต่นิดเดียวไม่ใช่หรือ”
ท่าทีของเสิ่นเวยดีอย่างยิ่ง เม้มปากกล่าวต่อ “กลับเป็นท่านใต้เท้าเหออ้างนู่นอ้างนี่หมายความว่าอย่างไร ทำร้ายจนถึงแก่ความตายแล้วยังไม่ยอมหย่า ไม่ต้องมาเอ่ยถึงความผูกพันอะไรให้ข้าฟังอีก คนใจดำเช่นท่านรู้จักความผูกพันด้วยหรือ คิดดูว่าใครบ้างที่ไม่รู้แผนการลับๆ นั่นของพวกท่าน ก็แค่อยากได้สินเดิมของท่านอาไม่ใช่หรือ ข้าว่านะใต้เท้าเหอ ท่านมีเจตนาดีจริงๆ หรือ ครอบครองสินเดิมบ้านภรรยา ชื่อเสียงนี้หากว่าแพร่ออกไป ลูกชายหลายคนของท่านจะยังแต่งภรรยาได้อยู่อีกหรือ” เสิ่นเวยตอกหน้ากลับไป
เหอะๆ พวกเรามาลองดูกันสิว่าคุณหนูจวนโหวของพวกข้าจะออกเรือนไม่ได้ หรือว่าลูกชายของชายชั่วแซ่เหอเช่นเจ้าที่จะแต่งภรรยาไม่ได้
“เจ้า เจ้าบังอาจนัก!” เหอจังหมิงถูกทักษะการพูดของเสิ่นเวยทำให้โกรธจนตัวสั่นไปทั่วทั้งร่าง
ดวงตาของเสิ่นเวยเฉียบแหลม มองปราดเดียวก็เห็นรองเท้าปักที่โผล่ออกมาจากใต้ฉากกั้น ก็รู้แล้วว่ามีคนซ่อนอยู่หลังฉากกั้น ส่วนคนผู้นี้จะเป็นใคร ฮ่าๆ นั่นยังต้องถามอีกหรือ ด้วยเหตุนี้เสิ่นเวยจึงเกิดความคิดดีๆ
“ใต้เท้าเหอเองก็ได้ยินเพลงพื้นบ้านบทนั้นแล้วใช่หรือไม่ ในนั้นมีประโยคหนึ่งที่หลานสี่จำได้แม่นอย่างยิ่ง! ยกอี๋เหนียงที่เป็นม้าซูบผอมขึ้นหิ้ง เป็นม้าซูบผอมใช่หรือไม่” เสิ่นเวยยังเอียงหน้าถามเถาจือที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง
“จุ๊ๆ ใต้เท้าเหอท่านเก่งจริงๆ เป็นถึงขุนนางราชสำนัก ไม่เพียงแต่เลี้ยงดูม้าซูบผอม ซ้ำยังยกเป็นอนุภรรยาศักดิ์สูงอย่างโจ่งแจ้ง ท่านต้องการจะท้าทายกฎหมายต้ายงหรือ ช่างเป็นผู้กล้าเสียจริงๆ!” เสิ่นเวยกล่าวชื่นชมเกินจริง
ใบหน้าของเหอจังหมิงโกรธจนม่วงแล้ว “เจ้าใส่ร้ายป้ายสีคน! เถียนอี๋เหนียงเป็นสตรีมีความสามารถ ไม่ใช่ม้าซูบผอมอะไรอย่างที่เจ้าว่า ต่อให้จวนจงอู่โหวของเจ้าจะมีอำนาจมาก แต่ก็ไม่อาจกลับขาวเป็นดำเช่นนี้ได้”
เสิ่นเวยหลุดหัวเราะหนึ่งครา คนที่กลับขาวเป็นดำมาโดยตลอดคือพวกท่านไม่ใช่หรือ
“สตรีมีความสามารถงั้นหรือ ยังเป็นคนแก่มีความสามารถที่ยากจนจนต้องขายลูกสาว สามารถเลี้ยงเถียนอี๋เหนียงจนเป็นเช่นนี้ได้ จะใช้คำว่าอะไรดีเล่า” เสิ่นเวยขมวดคิ้วท่าทางราวกับลำบากใจอย่างยิ่ง
“ใต้เท้าไม่เคยสังเกตสักนิดเลยหรือ ท่านไม่รู้สึกว่าบนเตียงเถียนอี๋เหนียงเก่งเรื่องนั้นสักนิดเลยหรือ สตรีตระกูลดีจะเป็นแบบนั้นหรือ อ้อ เกือบลืมไปแล้ว นอกจากท่านอาของข้า ใต้เท้าเหอไหนเลยจะเคยเห็นสตรีตระกูลดีๆ คนอื่น เถียนอี๋เหนียงมีฐานะเดิมเป็นม้าซูบผอม หวังอี๋เหนียงเป็นหญิงขายศิลปะในหอนางโลม ส่วนหลี่อี๋เหนียงผู้นั้นก็มีที่มาดียิ่งกว่า ต่อให้ท่านคิดก็คิดไม่ถึง นางเป็นนางโลมบนเรือสำราญ ฮ่าๆ ทั้งสามคนต่างก็ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี ใต้เท้าเหอคงจะมีความสุขมากใช่หรือไม่ เรื่องนั้นใต้เท้าเหอนับว่ามีวาสนาดียิ่งนัก” เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่สนใจ จ้องมองข้างล่างฉากกั้นปราดหนึ่ง เห็นรองเท้าปักข้างนั้นหายไปแล้ว
“ว่าอย่างไรนะ ใต้เท้าเหอไม่เชื่อหรือ ข้าหวังดีมาบอกกับท่าน ท่านยังไม่เชื่ออีก หรือว่าชอบเก็บไว้เป็นความลับ อะไรนะ ท่านบอกว่าหลักฐานงั้นหรือ ย่อมมีแน่นอน โอวหยางไน่ เอาหลักฐานมาให้ใต้เท้าเหอดู” มุมปากเสิ่นเวยยกสูง โดยเฉพาะตอนที่หลักฉากกั้นมีเสียงดังสนั่นดังเข้ามา คล้ายเสียงของบางอย่างตกลงพื้น
เสิ่นเวยหัวเราะเยาะกล่าว “ใต้เท้าเหอ หนูในจวนท่านใจกล้าจริงๆ!”
เหอจังหมิงพลิกดูหลักฐานที่โอวหยางไน่ส่งมา เงยหน้าขึ้นดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยสีแดงโลหิต จ้องมองเสิ่นเวย “เจ้าปลอมแปลงหลักฐาน ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว” สองมือของเขาออกแรง จากนั้นจึงฉีกหลักฐานที่เสิ่นเวยให้เขาออกเป็นชิ้นๆ ราวกับว่าฉีกทิ้งแล้วเรื่องนี้จะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ปลอมหรือไม่ในใจเหอจังหมิงรู้ดี แต่เขาจะยอมรับได้หรือไม่ เขายอมที่จะหลอกตัวเองดีกว่าจะต้องยอมรับ! เพราะเมื่อยอมรับแล้ว เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
เสิ่นเวยยักไหล่ไม่ถือสาแม้แต่นิดเดียว นางเองเพียงหวังดีเตือนเขาก็เท่านั้นเอง ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ไม่ใช่เรื่องที่นางจะยุ่งด้วยแล้ว
“ใต้เท้าเหอไม่เชื่อก็ช่าง พวกเรามาเข้าเรื่องเดิมเถอะ เมื่อวานใต้เท้าหลี่ข้าหลวงประจำจังหวัดมาเยี่ยมเยียนที่เรือน พอได้ยินเรื่องของท่านอาก็โมโหอย่างยิ่ง เขียนหนังสือหย่าแทนท่านอาตอนนั้นเลย อยู่ตรงนี้ ใต้เท้าเหอลงนามเถอะ” เสิ่นเวยบอกเป็นนัยให้โอวหยางไน่ส่งหนังสือหย่าไปให้
เหอจังหมิงตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี เขาไม่รู้ได้อย่างไรว่าใต้เท้าหลี่ไปเยี่ยมเยียนถึงเรือน แม้แต่ข้าหลวงประจำจังหวัดผู้ยิ่งใหญ่ยังไปเอาใจเด็กคนหนึ่งได้ อำนาจของจวนจงอู่โหวรุ่งเรืองเพียงนั้นเชียวหรือ
ยังมี หนังสือหย่าฉบับนี้คืออะไรกัน เหอจังหมิงถลึงตามองกระดาษบางๆ แผ่นนี้ตรงหน้า แววตาปรากฎความหวาดกลัว คว้าไว้กำลังจะฉีก แต่กลับถูกเสียงที่เย็นเยียบของเสิ่นเวยห้ามไว้ “ท่านกล้าหรือ!”
เสิ่นเวยมองเหอจังมิงอย่างเฉยชา เสียงๆ นั้นประหนึ่งดังมาจากนรก “ท่านลองฉีกดูสิ หากท่านฉีก ข้าจะลงดาบกับลูกๆ ของท่านเสีย”
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ!” บุตรอนุภรรยาทั้งสามของเหอจังหมิง รวมถึงเหอเทียนเฉิงบุตรของเถียนอี๋เหนียงต่างก็ถูกคนจับไว้ในมือ โดยเฉพาะคนเล็กที่สุด เพิ่งจะอายุสี่ขวบ กลัวจนร้องไห้ลั่น
“เจ้า เจ้ารีบปล่อยพวกเขาเดี๋ยวนี้” เหอจังหมิงทั้งตกใจทั้งโมโห อีกทั้งยังหวาดกลัว ลูกชายของเขาตกอยู่ในมือคนอื่นตั้งแต่เมื่อไร เขาลุกขึ้นกำลังจะเข้าไป แต่กลับพะว้าพะวง ไม่กล้าเข้าไป เพียงแค่มองเสิ่นเวยด้วยสายตาโกรธแค้น
แต่เสิ่นเวยกลับยังคงสบายอารมณ์ “ตกลงใต้เท้าเหอจะลงนามหรือไม่ ลงนาม ลูกๆ ของท่านก็ยังคงเป็นของท่าน ไม่ลงนาม ขออภัย ท่านก็รอสิ้นบุตรหลานสืบสกุลได้เลย!”
เถียนอี๋เหนียงที่หลบอยู่ข้างหลังฉากกั้นก็ทนไม่ไหวแล้ว วิ่งออกมาร้องห่มร้องไห้มองลูกชายของตน “เฉิงเกอเอ๋อร์ เฉิงเกอเอ๋อร์” จากนั้นจึงหันไปหาเหอจังหมิง อ้อนวอนไม่หยุด “นายท่าน ท่านช่วยลูกของพวกเราเถิด ข้าขอร้องท่านล่ะ ข้ามีลูกชายเพียงคนเดียว ข้าคุกเข่าขอร้องท่านแล้ว ท่านลงนามเถิด”
เหอจังหมิงปากสั่น หมัดกำแน่น เสิ่นเวยนั่งอยู่อย่างสุขุม รอเขาตัดสินใจครั้งสุดท้าย
“ได้ ลงนาม ข้าลงนาม!” คุณชายสี่แซ่เสิ่นผู้นี้เป็นปีศาจ เขามองออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น เขากล้าฆ่าลูกชายของเขาจริงๆ จวนของเขานั้นไม่เลว แต่คนรับใช้ในจวนตระกูลเหอไหนเลยจะสู้ชายฉกรรจ์ที่คุณชายสี่แซ่เสิ่นพามาได้ ในสถานการณ์ที่ด้อยกว่าผู้อื่น นอกจากน้อมรับคำสั่งแล้วเขาจะยังทำอะไรได้อีก
เสิ่นหย่ากับลูกๆ เหอจังหมิงยังคงเลือกอย่างหลัง เขายกพู่กัน ประหนึ่งหนักพันจิน มือสั่นระริกอยู่นานก็เขียนไม่ได้สักที
เสิ่นเวยเลิกคิ้วกล่าว “โอวหยางไน่ เจ้าไปช่วยใต้เท้าเหอหน่อย”
โอวหยางไน่ขานรับ เหอจังหมิงเห็นชายน่ากลัวที่บนใบหน้ามีแผลเป็นเช่นนี้ ชั่วขณะมือก็ไม่สั่นแล้ว ลงนามชื่อของตนในกระดาษอย่างคล่องแคล่ว
โอวหยางไน่หยิบหนังสือหย่าส่งให้เสิ่นเวยด้วยความเคารพ เสิ่นเวยมองชื่อข้างบนก่อน จากนั้นจึงส่งให้โอวหยางไน่อย่างระมัดระวัง “เอาไปให้ที่ว่าการบันทึกคดี”
นางลุกขึ้นยืนกล่าวกับเหอจังหมิง “ไม่รบกวนใต้เท้าเหอแล้ว สินเดิมของท่านอาพวกท่านจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง พรุ่งนี้ข้าจะสั่งคนมาขนย้าย เถาฮวา ไปเชิญกูไหน่ไน พวกข้ากลับแล้ว”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น