อัจฉริยะสมองเพชร 1932-1939

 ตอนที่ 1932 ถ้าอย่างนั้นเป็นใคร?

“นรกอะไรกันนี่…”


หัวหน้าทีมลอบสังหารขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อ


ลูกธนูก็ยิงไม่ถูก เอาเถอะ…อาจมีผู้เชี่ยวชาญบางคนเบนทิศทางของลูกธนูได้ เราพอเข้าใจ!


จู่ๆม้าก็ทรงพลังขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ก็อาจเป็นเพราะมันเพิ่งได้รับการพัฒนาสายเลือดหรือเป็นอสูรของใครสักคน เราก็พอรับได้!


แต่เกี้ยวซึ่งเป็นสิ่งไม่มีชีวิตกลับกระโจนใส่และสำแดงศิลปะการต่อสู้ออกมาได้ราวกับนักรบที่ทรงพลังที่สุดในโลก…เราจะยอมรับเรื่องเหลวไหลแบบนี้ได้อย่างไร?


ที่นี่มีผีหรือบางสิ่งที่เหนือธรรมชาติอยู่หรือเปล่า?


“ต้องเผ่นแล้ว!”


เพราะเกรงว่าจะต้องพบเจอกับเรื่องเหลือเชื่ออีก เขารีบนำตราหยกอันหนึ่งออกมาแล้วหักมัน


วิ้ง!


เกิดแสงสว่างเจิดจ้า แล้วปราการพลังงานก็โอบล้อมร่างของเขาไว้


ในฐานะกองโจร ทักษะที่สำคัญที่สุดของเขาไม่ใช่การปล้นฆ่า แต่เป็นการรู้รักษาตัวรอด ก่อนจะปฏิบัติภารกิจใดๆ เขาจะต้องวิเคราะห์หาทางหนีทีไล่และเตรียมมาตรการป้องกันตัวไว้ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด


ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้เขายอมจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อซื้อตราหยกอันนี้มา มันมีอานุภาพปัดป้องได้แม้แต่การโจมตีของนักปราชญ์โบราณ ทำให้เขาสามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายต่างๆได้


ฟึ่บ!


ทันทีที่ปราการพลังงานก่อตัว หัวหน้าทีมลอบสังหารก็กระโจนข้ามกำแพงสูงที่อยู่ด้านข้างเพื่อหลบหนี


ขณะที่กำลังหนี เขาไม่กล้าแม้แต่จะเหลียวหลังไปดูว่ามีใครตามมาหรือไม่ เพราะกลัวว่าจะเห็นอะไรบางอย่างที่ชวนให้ขวัญผวา ตอนนี้ ต่อให้ความตายด้วยน้ำมือของผู้เชี่ยวชาญสักคนก็ไม่ทำให้เขาหวาดกลัว…แต่ถ้าเขาต้องตายเพราะม้าหรือลาตัวหนึ่ง คงไม่มีวันได้ตายอย่างสงบสุขแน่!


หัวหน้าทีมลอบสังหารโกยอ้าวสุดกำลังราวกับใกล้หมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย บางทีอาจเป็นเพราะตราหยกทำงานได้ผล หรือไม่ อีกฝ่ายก็ไม่อยากไล่ล่าเขาอีก เพราะเมื่อเขาหันกลับไปก็ไม่มีใครตามมา เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก


“บ้าที่สุด เกือบไปแล้วสิเรา!”


ตอนที่เขารับงานนี้ อีกฝ่ายบอกว่าเป็นงานง่ายๆ เขาสามารถกำจัดเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย แต่ก็แน่นอนว่าคนระแวดระวังอย่างเขาย่อมไม่ฟังความข้างเดียว จึงสืบเสาะเรื่องราวของตั้นเฉี่ยวเทียนจนแน่ใจแล้วว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรก่อนจะรับงาน ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะลงเอยแบบนี้


ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่ได้เก่งกาจอะไรก็จริง แต่ทั้งม้าและเกี้ยวของหมอนั่นทรงพลังจนน่าสะพรึง!


เขาจะปฏิบัติภารกิจลอบสังหารให้สำเร็จได้อย่างไร?


หัวหน้าทีมล่าสังหารเผ่นหนีออกจากเมืองไปยังจุดที่เขานัดพบกับผู้ว่าจ้างไว้เมื่อทำงานสำเร็จ เขา ก่อไฟและรอคอยอย่างอดทนให้อีกฝ่ายปรากฏตัว


ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ!


…..


ผู้อาวุโสอี้ใช้พลังไปมากตลอดการปะทะจนกระทั่งทุกอย่างจบสิ้น ร่างของเขาซวนเซอย่างอ่อนแรงและทรุดฮวบลงกับพื้น


เขารู้สึกราวกับได้เผชิญกับความตกตะลึงมาทั้งชีวิตภายในคืนเดียว


ผู้อาวุโสอี้คิดว่าการปรากฏตัวของทีมลอบสังหารคงทำให้ทุกอย่างจบเห่ แต่ด้วยความพิสดารบางอย่าง ทั้งเกี้ยวและม้ากลับมีชีวิตขึ้นมา ทุกอย่างมหัศจรรย์ราวกับเทพนิยาย เขาไม่ต้องทำอะไร ปัญหาก็คลี่คลายไปได้ด้วยตัวเอง…


มีเรื่องเหลือเชื่อแบบนี้ในโลกด้วยหรือ?


ขณะที่ผู้อาวุโสอี้ยังจังงัง ม้าก็เหยาะย่างกลับไปที่เกี้ยว จัดการเทียมตัวเองเข้ากับเกี้ยวอีกครั้ง จากนั้นก็เชิดหน้าแล้ววิ่งตรงไปยังบ้านพักตระกูลตั้น


ผู้อาวุโสอี้จับจ้องม้าที่อยู่ตรงหน้าด้วยมือสั่นเทา


ม้าที่เทียมเกี้ยวของพวกเขาน่าสะพรึงขนาดนี้…


ต่อให้แกเต็มใจลากเกี้ยวของเรา ฉันก็ไม่กล้าคิดจะใช้แกไปไหนมาไหนอีกแล้ว!


“นายท่านจาง…” ผู้อาวุโสอี้หันกลับไปตั้งคำถาม


อันที่จริง เขาก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจ


ม้าและเกี้ยวไม่ได้มีความพิเศษอะไรตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปก็คือเมื่อจางเซวียนปรากฏตัว!


“ถึงบ้านพักตระกูลตั้นแล้วค่อยคุยกัน” เสียงของจางเซวียนลอดออกมาจากเกี้ยว


จางเซวียนรู้ว่าจะต้องมีคนกลุ่มหนึ่งลอบสังหารพวกเขาระหว่างขากลับ จึงได้ร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณใส่ม้าและเกี้ยวเอาไว้เมื่อตอนออกเดินทาง


ขนาดคนธรรมดาสามัญที่นี่ยังเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 ได้โดยไม่ต้องฝึกฝนวรยุทธ นับประสาอะไรกับม้าที่มีสภาวะร่างกายแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไป เมื่อโตเต็มวัย พวกมันจะมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 แต่เนื่องจากสติปัญญาของพวกมันออกจะอ่อนด้อยและไม่มีใครสื่อสารกับมันได้ จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดึงพละกำลังของมันมาใช้


แต่หากใครสักคนทำให้ม้ายอมจำนนและสื่อสารกับมันได้ ก็จะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ


อย่าว่าแต่สังหารกองโจรกลุ่มนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหัวหน้าหนีไปอย่างไว ม้าก็คงสังหารหมอนั่นได้เหมือนกัน!


“ขอรับ”


ผู้อาวุโสอี้ระงับความตื่นเต้นไว้ จากนั้นก็หันกลับไปและเฝ้ามองเกี้ยววิ่งไปตามถนนเพื่อกลับสู่บ้านพักตระกูลตั้น


…..


กองไฟลุกโพลงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สองร่างจะปรากฏ


หนึ่งในนั้นคือชายวัยกลางคน หัวหน้าทีมลอบสังหารจำได้ว่าคือคนที่มามอบหมายภารกิจลอบสังหารตั้นเฉี่ยวเทียนให้เขา


ส่วนอีกคน…แม้จะสวมหน้ากาก แต่ก็พอประเมินได้จากรูปร่างว่าเป็นสาวน้อยคนหนึ่ง แถมยังสวยมากด้วย!


“ว่าอย่างไร? สำเร็จไหม?” ชายวัยกลางคนตรงเข้าประเด็นทันที


เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหัวหน้าใหญ่ของสำนักเจ้าเมือง, เฉว่เฉิน


ซึ่งก็แน่นอนว่าสาวน้อยที่อยู่ข้างเขาคือเฉว่ชิง


โดยปกติเธอจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ แต่หลังจากถูกหยามหน้า เธอก็อยากเห็นกับตาว่าศีรษะของตั้นเฉี่ยวเทียนกับเจ้ามัมมี่ที่กล้าหาเรื่องเธอหลุดออกจากบ่าแล้ว!


เธอจึงตัดสินใจตามเฉว่เฉินมาที่นี่หลังจากสวมหน้ากากอำพรางใบหน้า


“สำเร็จ? ดูเอาเองเถอะ ไม่คิดบ้างหรือไงว่าคุณควรมีคำอธิบาย? ไอ้แบบนี้หรือที่คุณเรียกว่างานง่าย?” หัวหน้าทีมลอบสังหารคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว


“คุณหมายความว่าอย่างไร?” เฉว่เฉินขมวดคิ้ว “คนของคุณเหยาะแหยะถึงขนาดกำจัดไม่ได้ แม้แต่ชายแก่ที่บาดเจ็บสาหัสกับคนพิการคนหนึ่งหรือ?”


“เหยาะแหยะกับผีอะไร!” หัวหน้าทีมลอบสังหารคำราม “พี่น้องของผมมากกว่า 30 คนต้องตายเพราะภารกิจครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะผมเผ่นหนีอย่างไวล่ะก็ คงต้องตายที่นั่นเหมือนกัน คุณจะชดใช้ความเสียหายของผมอย่างไร?”


“คนของคุณมากกว่า 30 คนต้องตาย?” เฉว่ชิงตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ “คุณจะบอกฉันว่า ลำพังพวกตั้นเฉี่ยวเทียนน่ะกำจัดพวกคุณได้ทั้งหมดเลยหรือ? เขาเก่งกาจขนาดนั้นเลยหรือไง?”


“ไม่ใช่เขา!” หัวหน้าทีมลอบสังหารคำราม


“ถ้าอย่างนั้นเป็นใคร?” เฉว่เฉินสงสัย


เขาสืบเสาะภูมิหลังของตั้นเฉี่ยวเทียนมาแล้วอย่างดี หมอนั่นไม่มีพรรคพวกที่ไหนในเมืองชวนเจียง ด้วยความแข็งแกร่งของกองโจรกลุ่มนี้ ก็น่าจะจัดการได้สบาย


กองโจรกลุ่มนี้คือปัญหาหนักอกของบรรดาพ่อค้าวานิชที่เดินทางเข้าสู่เมืองชวนเจียง แล้วทำไมจู่ๆถึงเกิดไร้สมรรถภาพขึ้นมาเมื่อเป้าหมายเป็นแค่ตั้นเฉี่ยวเทียน?


หัวหน้าทีมลอบสังหารถ่มน้ำลายลงกับพื้นและตวาดก้อง “ตัวการที่สังหารบรรดาพี่น้องของผมน่ะคือม้าของพวกมัน! อ้อ ไม่ใช่แค่นั้น เกี้ยวของพวกมันด้วย!”


“???” เฉว่เฉินกับเฉว่ชิง


1930 : ความประหลาดใจของเฉาเฉิงลี่(ต้นฉบับ)


เฉว่เฉินมั่นใจในแผนการของเขา เขาแน่ใจว่ากองโจรทั้งกลุ่มจะสามารถกำจัดคนตระกูลตั้นและล้างอายให้นายหญิงน้อยที่ 2 ได้


แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นความตายของพวกนั้น แถมหัวหน้ากลุ่มก็ดูเหมือนจะเสียสติ…


ตัวการที่สังหารพวกคุณคือม้ากับเกี้ยวหรือ?


น่าประทับใจนะ? ทำไมไม่รวมลูกบอลกับช้างเข้าไปด้วยล่ะ?


คุณคิดว่าเรากำลังเล่นหมากรุกจีนกันหรือไง?


“คิดจะตุกติกกับผมหรือ? ผมกำลังถามว่าใครคือตัวการที่สังหารคนของคุณ ตอบมา!” เฉว่เฉินตวาด


“ผมก็ตอบคุณไปแล้วไง? มันคือม้าตัวหนึ่งกับเกี้ยวหลังหนึ่ง!” หัวหน้าทีมลอบสังหารคำราม


“ม้า?”


“เกี้ยว?”


เฉว่เฉินกับเฉว่ชิงสับสนหนัก


“ม้ากับเกี้ยวของตั้นเฉี่ยวเทียนมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 พวกมันเล่นงานลูกน้องของผมจนตาย ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนจะมีพลังงานเหนือธรรมชาติบางอย่างหนุนหลังพวกมันด้วย เรายิงธนูใส่ไม่รู้กี่ดอก แต่ไม่มีดอกไหนเข้าถึงเป้าหมายเลย…”


ถึงเรื่องราวจะดูเหลวไหลสักแค่ไหน แต่หัวหน้าทีมลอบสังหารก็จดจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้แม่นยำ


“ม้ากับเกี้ยวที่รู้จักศิลปะการต่อสู้?” เฉว่เฉินหน้าตึง รู้สึกเหมือนกำลังถูกท้าทาย เขาคว้าคอเสื้อของหัวหน้าทีมลอบสังหารแล้วดึงตัวอีกฝ่ายลอย “แก ไอ้สารเลว ฉันไม่มีความอดทนพอจะเล่นเกมกับแกนะ ต่อให้แกไม่อยากทำงานให้ฉัน อย่างน้อยก็ควรมีคำอธิบายที่ฟังขึ้น!”


“คุณ…คุณคิดว่าผมโกหกคุณหรือ?” หัวหน้าทีมลอบสังหารแทบเสียสติ


ทำไมไม่มีใครเชื่อสิ่งที่เขาพูด? เขาพูดความจริงทุกคำ!


“พอที! นี่คือบัตรนิรันดร์ มีเงิน 500 เหรียญนิรันดร์อยู่ในนั้น น่าจะชดเชยความเสียหายของแกได้!” เฉว่เฉินคร้านจะเสียเวลากับอีกฝ่าย เขาโยนบัตรนิรันดร์ให้อย่างไม่แยแส


“คุณจะให้เงินผมแค่ 500 เหรียญนิรันดร์เพื่อชดเชยชีวิตของพี่น้องกว่า 30 คนของผมอย่างนั้นหรือ?” หัวหน้าทีมลอบสังหารหน้าถอดสี


เงินเสี้ยวนี้ไม่พอแม้แต่จะจ่ายค่าลูกธนูและคันธนูที่พวกเขาเสียไปด้วยซ้ำ!


“แกทำงานที่เราตกลงกันไว้ไม่สำเร็จ ฉันให้แก 500 เหรียญนิรันดร์ก็ถือว่าปรานีแล้ว ตอนนี้ก็ไสหัวไปได้ ไม่อย่างนั้น ฉันสาบานเลยว่าแกจะไม่ได้เงินจากฉันแม้แต่แดงเดียว!” เฉว่เฉินคำรามพร้อมกับหรี่ตา


“คุณ…”


เมื่อรับรู้ได้ถึงเจตนาสังหารในดวงตาของเฉว่เฉิน หัวหน้าทีมลอบสังหารรู้ดีว่าคงต้องตายแน่หากยังท้าทายความอดทนของอีกฝ่าย จึงรีบเก็บบัตรนิรันดร์แล้วจากไปในความมืดยามค่ำคืน


“ท่านอาจารย์ ตั้นเฉี่ยวเทียนยังไม่ตายนะ แล้วเราจะทำอย่างไร?” เฉว่ชิงถามอย่างร้อนใจ


“ไอ้พวกโง่เง่าไร้ประโยชน์! เหตุผลเดียวที่ผมเรียกใช้พวกมันก็เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก” เฉว่เฉินคำราม “ตอนนี้กลับสำนักเจ้าเมืองก่อนเถอะ ไม่ต้องห่วง ผมคิดออกแล้ว หมอนั่นจะไม่มีวันทำตัวเป็นก้อนหินขวางทางของคุณได้อีก ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนล่ะก็ แม้แต่ชื่อเสียงของคุณก็จะกลับมาดีงามเหมือนเดิม!”


…..


หัวหน้าทีมสังหารครุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้น ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห


ถ้าไม่ใช่เพราะความโลภมากของเขา คงไม่ต้องสูญเสียมากมายขนาดนี้ จากกองโจรทั้งกลุ่ม ตอนนี้เหลือเขาเพียงคนเดียว


เขากำหมัดอย่างเคืองแค้นและรีบกลับสู่ที่ซ่อน แต่ขณะที่เพิ่งถึงทางเข้า เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากหมู่ไม้ทะมึนที่อยู่โดยรอบ


“พี่น้องของคุณตายไปมากมาย จะปล่อยให้เรื่องจบง่ายๆด้วยเงินเพียง 500 เหรียญนิรันดร์หรือ?”


“นั่นใคร?”


หัวหน้าทีมลอบสังหารชักกระบี่ออกมาและกวาดสายตาโดยรอบ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่มีใครให้เห็น


“แกเป็นใคร? ออกมานะ! คิดว่าวิธีนี้จะทำให้ฉันกลัวหรือ? ลูกไม้ตื้นๆน่ะใช้กับตัวฉัน, เฉาเฉิงลี่ ไม่ได้ผลหรอก!”


“อย่าเสียเวลาหาเลย ผมอยู่บนกิ่งไม้ตรงหน้าคุณนี่แหละ” เสียงนั้นพูดต่อ


เฉาเฉิงลี่รีบเงยหน้า ท่ามกลางแสงจันทร์นวลตา เขาเห็นรางๆว่ามีหนังสือเล่มหนึ่งส่ายไปมา ราวกับมีวิญญาณปีศาจสิงอยู่


ตอนที่ 1933 ยังไม่จบ

เสียงนั้นมาจากหนังสือ


“กะ-กะ-กะ-แก…แกกำลังพูดกับฉันหรือ?” เฉาเฉิงลี่สั่นจนฟันกระทบกัน


จะไม่ให้เขาเสียขวัญได้อย่างไร? ในค่ำคืนเดียว เขาเห็นลูกธนูมากมายเบนออกจากเป้าหมายของมันด้วยเหตุผลลึกลับที่อธิบายไม่ได้ ม้าตัวหนึ่งและเกี้ยวอีกหลังหนึ่งที่สำแดงศิลปะการต่อสู้ออกมา เขากำลังคิดจะเข้านอนและลืมฝันร้ายทุกอย่างที่ได้เจอ แต่ตอนนี้ หนังสือพูดได้เล่มหนึ่งก็มาอยู่ตรงหน้า!


“ก็ใช่น่ะสิ” หนังสือตอบ


“แกเป็นใคร? ใครส่งแกมาที่นี่? อย่าคิดว่าจะตามติดฉันได้นะ ฉันจะฆ่าแกเสียเดี๋ยวนี้แหละ!”


เฉาเฉิงลี่คำราม แต่แล้วก็ขว้างกระบี่ทิ้งและวิ่งหนีไปในทิศทางตรงกันข้าม


เขาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือหนีไปให้ไกลที่สุด!


พลั่ก!


แต่ยังไม่ทันจะไปถึงไหน เฉาเฉิงลี่ก็สะดุดเข้ากับบางอย่างแล้วล้มลงกระแทกพื้น ขณะที่กำลังกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน ก็เห็นหนังสือที่อยู่บนต้นไม้เมื่อครู่มาอยู่ตรงหน้า เขาตัวแข็งด้วยความจนปัญญา


“ถ้าคุณอยากตายก่อนวัยอันควรล่ะก็ เชิญเลย วิ่งหนีตามสบาย ผมยินดีจะไปส่งคุณด้วยความจริงใจสูงสุดของผม!”


ขณะที่หนังสือพูด แรงกดดันหนักหน่วงก็ระเบิดออกจากตัวมัน ทำให้เฉาเฉิงลี่รู้สึกเหมือนถูกขังไว้ในน้ำแข็ง เขาตัวสั่นขณะละล่ำละลักด้วยริมฝีปากสั่นเทา “มะ-ไม่ ไม่แน่นอน!”


เขารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าหนังสือที่อยู่ตรงหน้ามีพละกำลังเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณที่แข็งแกร่งที่สุด…มันมีวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ


สิ่งนี้ทำให้เฉาเฉิงลี่ถอดใจ เขารู้ดีว่าต่อให้งัดวิธีการไหนมาใช้ ก็ไม่มีทางหนีพ้นหนังสือเล่มนี้ได้


“เด็กดี!” หนังสือชมเชย “คนที่คุณเพิ่งพบน่ะ พวกเขาปิดบังความจริงสำคัญไว้และทำให้คุณต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ ไม่อยากเอาคืนหรือ?”


“นะ-แน่นอน ผมอยากเอาคืนถ้าผมทำได้ ผมจะฉีกพวกมันให้เป็นชิ้นๆ!” เฉาเฉิงลี่หน้าเปลี่ยนสีด้วยแรงโทสะ


“อย่างน้อยที่สุด คุณก็ควรจะรู้ตัวตนของพวกเขาถ้าอยากเอาคืน รู้หรือเปล่าว่าพวกนั้นเป็นใคร?” หนังสือตั้งคำถาม


“คือ…” เฉาเฉิงลี่อึ้ง


ตอนที่เขารับงาน อีกฝ่ายขอปกปิดตัวตนไว้เป็นความลับ ซึ่งเขาก็ไม่มีปัญหาอะไรตราบใดที่เงินถึงมือ จึงไม่ได้ใส่ใจเสาะหาตัวตนของลูกค้าของเขา


“ป่านนี้พวกนั้นคงยังไปไม่ได้ไกลเท่าไหร่ ตามไปสิ” หนังสือสั่งการ “ในฐานะหัวหน้ากองโจร เรื่องพื้นๆอย่างการสะกดรอยคงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคุณ จริงไหม?”


“…ผมเข้าใจแล้ว” เฉาเฉิงลี่พยักหน้า


คำพูดเหล่านั้นทำให้แน่ใจว่าหนังสือก็เหมือนกับม้าและเกี้ยวที่เขาได้เจอ คือมาจากตั้นเฉี่ยวเทียน เป็นไปได้ว่าเหตุผลที่ตั้นเฉี่ยวเทียนยังไม่ฆ่าเขาก็เพราะอีกฝ่ายเห็นว่ายังมีข้อมูลบางอย่างที่ต้องเค้นจากปากเขาให้ได้


“เดินหน้า!” หนังสือสั่งการ


เฉาเฉิงลี่กัดฟันและรีบกลับไปบริเวณที่ก่อกองไฟ


แม้วรยุทธของเขาจะอ่อนด้อยกว่าเฉว่เฉิน แต่เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญการปล้น จึงเก่งกาจเรื่องการหลบซ่อนและสะกดรอย ไม่ช้าเฉาเฉิงลี่ก็มายืนอยู่หน้าคฤหาสน์โอ่อ่าหลังหนึ่ง


“นี่มัน…สำนักเจ้าเมือง?” ท่านเจ้าเมืองคือผู้สั่งการลอบสังหารหรือ?” เฉาเฉิงลี่ตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ


เจ้าเมืองชวนเจียง, เฉว่เหยา เป็นผู้ที่ใครๆต่างเคารพยกย่อง ขึ้นชื่อเรื่องความเป็นกลางและชอบธรรม อีกฝ่ายมีส่วนรู้เห็นในเรื่องโหดเหี้ยมอย่างการลอบสังหารหรือ?


เฉาเฉิงลี่แนบตัวเข้ากับกำแพงอย่างระแวดระวังและกระโจนขึ้นไป เขาลงมาที่ลานบ้าน และเห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังรวมตัวกัน สองคนที่เขาได้พบเมื่อครู่ยืนอยู่แถวหน้าของคนกลุ่มนั้น


เฉาเฉิงลี่ควบคุมลมหายใจอย่างระมัดระวัง เขาพยายามกลบเกลื่อนทุกร่องรอย


หนึ่งในคนที่ยืนอยู่แถวหน้าคือทหารนายหนึ่งในชุดเกราะเต็มยศ เท่าที่ดู คนเหล่านั้นน่าจะเป็นบุคลากรตำแหน่งสูงของสำนักเจ้าเมือง


“เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าของคนพวกนี้แล้วกำจัดตั้นเฉี่ยวเทียนเสีย! เมื่อถึงรุ่งเช้า หมอนั่นจะต้องไม่หายใจ เข้าใจไหม?” เสียงทุ้มลึกของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งดังก้องไปทั่วทั้งลานบ้านขณะชี้นิ้วไปยังกองเสื้อผ้าสีดำที่อยู่ข้างๆ


“ขอรับ นายท่าน!”


เหล่าทหารรีบถอดชุดเกราะและเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าสีดำเหล่านั้น เมื่อมองใกล้ๆ เฉาเฉิงลี่แทบลมจับด้วยความตกใจ


มันคือเสื้อผ้าที่กองโจรของเขาสวมใส่!


บุคลากรตำแหน่งสูงของสำนักเจ้าเมืองกำลังจะปลอมตัวเป็นพวกเขาเพื่อสังหารตั้นเฉี่ยวเทียน! เขาจะไม่มีวันเชื่อเรื่องนี้เลยหากไม่ได้เห็นกับตา


ท่านเจ้าเมืองมีความแค้นอะไรถึงทำกับตั้นเฉี่ยวเทียนขนาดนี้…เฉาเฉิงลี่ครุ่นคิดขณะตัดสินใจอย่างชาญฉลาดด้วยการหยิบผลึกบันทึกขึ้นมาบันทึกภาพที่อยู่ตรงหน้าไว้


ไม่ช้า กองทหารของสำนักเจ้าเมืองที่ปลอมตัวแล้วก็มุ่งหน้าไปยังที่พักตระกูลตั้น พวกเขาปิดล้อมพื้นที่บริเวณนั้น


“เราจะบุกเข้าไปข้างใน ไม่ไว้ชีวิตใครหน้าไหนทั้งนั้น!” หัวหน้ากองทหารกระซิบกระซาบสั่งการ


“ขอรับ!” เมื่อได้รับคำสั่งจากหัวหน้า กองทหารบุกเข้าไปในบ้านพัก


เฉาเฉิงลี่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่เป็นพุ่มหนาพุ่มหนึ่งอย่างระมัดระวังและเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านพักผ่านแสงจันทร์สลัว สิ่งที่เขากำลังจะได้เห็นจะเป็นภาพที่ชั่วชีวิตนี้ไม่มีวันลืม


ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่กลางบ้านพักพร้อมดาบในมือ ทุกครั้งที่เขาสะบัดข้อมือ ศีรษะหนึ่งจะกลิ้งหลุนๆไปกับพื้น สายลมคำรามหวีดหวิวอยู่ในลานบ้าน ดูราวกับว่าพละกำลังนี้จะไม่มีวันหมดสิ้นจนกว่าทุกร่างที่บุกเข้ามาจะเสียชีวิต


ภายในไม่ถึง 3 นาที กองทหารทั้ง 50 นายจากสำนักเจ้าเมืองก็กลายเป็นศพ


“หมอนั่นคือตั้นเฉี่ยวเทียนหรือ น่าจะเป็นเจ้าหนุ่มอ่อนแอที่เราต้องสังหารนี่?” เฉาเฉิงลี่หน้าซีดขณะใจเต้นรัวจนแทบกระโดดออกมาจากหน้าอก “ไอ้สารเลวพวกนั้นจากสำนักเจ้าเมือง…พวกมันพยายามจะให้เราถูกฆ่า!”


โชคดีที่สิ่งที่เล่นงานเขาก่อนหน้านี้คือม้าและเกี้ยว หากเขาต้องสู้กับตั้นเฉี่ยวเทียนตัวต่อตัว หัวคงหลุดจากบ่าภายในชั่วอึดใจ


ศิลปะเพลงดาบของชายหนุ่มเข้าถึงระดับที่ล้ำลึกเกินหยั่ง แม้แต่การโจมตีแบบเรียบง่ายก็มีเจตจำนงอันล้ำลึก ชั่วชีวิตของเฉาเฉิงลี่ เขาไม่เคยเห็นเทคนิคที่น่าสะพรึงขนาดนี้!


“ท่านอาจารย์…”


หลังจากสังหารทุกคนแล้ว ชายหนุ่มคนนั้น, ตั้นเฉี่ยวเทียน ก็เดินกลับเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าทึ่งจัด ราวกับไม่อยากเชื่อว่าตัวเขาคือผู้สังหารหมู่ทหารพวกนั้น และตอนนั้นเองที่เฉาเฉิงลี่เห็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าห้อง เฝ้ามองการต่อสู้ เขาไม่เห็นชายหนุ่มคนนั้นเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้!


ชายผู้นั้นดูจะมีอายุราว 20 ต้นๆ ท่วงท่างามสง่า เมื่อเห็นตั้นเฉี่ยวเทียน เขาวางถ้วยชาลงอย่างสุขุมก่อนจะย่นหน้าผาก


“ก็แค่ศัตรูไม่กี่คน คุณใช้เวลาจัดการพวกนั้นมากกว่า 2 นาทีเสียอีก เท่ากับใช้เวลา 3 อึดใจต่อหนึ่งคนทีเดียวนะ ถ้าคุณทำได้เท่านี้ล่ะก็ ผมจะถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบที่ซับซ้อนกว่านี้ให้คุณได้อย่างไร? แบบนี้ไม่ได้ คืนนี้น่ะคุณต้องฝึกฝนศิลปะเพลงดาบอยู่ที่นี่จนถึงเช้า เข้าใจไหม?”


“เข้าใจขอรับ” ชายหนุ่มก้มหน้าลงอย่างละอาย


ตั้นเฉี่ยวเทียนสังหารทหารพวกนั้นได้ทุกสามอึดใจ แต่ยังถูกตำหนิ? เฉาเฉิงลี่แทบสำลัก


เขาเห็นอัจฉริยะมาแล้วมากมาย ซึ่งตั้นเฉี่ยวเทียนก็น่าจะอยู่อันดับต้นๆ แต่ท่านอาจารย์ของเขายังไม่พอใจกับสิ่งที่เห็น…อาจารย์ของตั้นเฉี่ยวเทียนจะโหดร้ายไปหน่อยไหม?


แต่นั่นยังไม่จบ


ขณะที่เฉาเฉิงลี่กำลังพยายามใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เห็นม้าตัวที่เล่นงานลูกน้องของเขาเมื่อครู่วิ่งเหยาะๆไปหาชายหนุ่มคนนั้น มันยิ้มกว้าง ยกกาน้ำชาขึ้นและเติมถ้วยชาของชายหนุ่มจนเต็ม จากนั้นก็เช็ดกีบของตัวเองจนสะอาดก่อนจะนวดหลังให้ชายหนุ่ม


เฉาเฉิงลี่รู้สึกเหมือนสติจะหลุดลอย


ไอ้ที่เห็นอยู่ตรงนั้นคือม้าจริงๆหรือ?


ม้าควรจะทำอะไรแบบนี้หรือไง?


เราจะไม่เหยียบตระกูลตั้นอีกแล้ว ไม่มีวัน…เฉาเฉิงลี่ตัดสินใจเด็ดขาดขณะหันหลังกลับและเตรียมจากไป


แต่ในตอนนั้น เสียงหนึ่งก็ดังเข้าหู “คุณรู้นี่ว่าต้องทำอะไร”


เสียงนั้นนุ่มนวลและปลอบประโลม แต่ทำให้เขาขนลุกขนชันไปทั้งตัว เฉาเฉิงลี่รีบหันกลับไปมองบ้านพักตระกูลตั้น เห็นชายหนุ่มที่กำลังจิบชามองมาทางเขาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ราวกับอีกฝ่ายมองทะลุความมืดมาเห็นตัวเขาได้


“ผะ-ผม…” เฉาเฉิงลี่ทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับ


“คุณก็แค่ต้องทบทวนสิ่งที่เห็นในวันนี้” ริมฝีปากของชายหนุ่มคนนั้นไม่ขยับ แต่เสียงของเขาดังชัดเจนอยู่ในหู


“ผมเข้าใจแล้ว…” เฉาเฉิงลี่ตอบพร้อมกับโค้งคำนับอย่างงาม


“ก่อนหน้านี้คุณมีเจตนาร้ายต่อผม แต่เพราะคุณทำตามคำสั่งของชายอีกคนหนึ่ง ครั้งนี้ผมจึงจะไม่เอาเรื่องและไว้ชีวิตคุณ แต่ขอเตือนนะว่าผมจะไม่ใจดีถ้าคุณกล้าสังหารคนอื่นๆอีกด้วยมือชั่วร้ายของคุณคู่นั้น ผมจะจับตามองคุณทุกฝีก้าว…” ชายหนุ่มพูดต่อ ก่อนที่เสียงของเขาจะจางหายไป


“ดะ-ได้!” เฉาเฉิงลี่รับคำก่อนจะโกยอ้าว


จางเซวียนเฝ้ามองเฉาเฉิงลี่โกยอ้าวอย่างคนเสียสติ เขายิ้มก่อนจะยกมือขึ้นและสะบัดแขนเสื้อ


บึ้มมมม!


ศพทั้งหมดที่ก่ายกองอยู่ในบ้านพักระเบิดเป็นจุณ กลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา


จางเซวียนสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง แล้วหลักฐานทั้งหมดก็ไหลลงสู่ท่อระบายน้ำใต้ดินและหายวับไป


ทุกร่องรอยการต่อสู้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ถูกกลบเกลื่อนหมดสิ้น ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


จางเซวียนเดินกลับเข้าห้องและทรุดตัวลงนั่งทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังปราณในร่างกาย เขาต้องยอมรับว่าน้ำที่ได้จากการต้มน้ำเต้าตงฉู่มีอานุภาพน่าทึ่งมาก ไม่เพียงแต่อาการบาดเจ็บของเขาจะหายดี ร่างกายก็ยังคุ้นชินกับมิติและพลังจิตวิญญาณในมิติเบื้องบนด้วย ทำให้เคลื่อนไหวและซึมซับพลังจิตวิญญาณได้ง่ายกว่าเดิม


จางเซวียนฝึกฝนวรยุทธอยู่ราว 2 ชั่วโมงก่อนจะหยุด เขาครุ่นคิดเงียบๆก่อนจะเพ่งสมาธิเข้าสู่จุดตันเถียน “น้ำเต้า แกอยู่ที่ไหน?”


คำถามนี้ติดค้างในใจของเขามาระยะหนึ่งแล้ว


จางเซวียนรู้ดีว่าอาการบาดเจ็บของเขารุนแรงแค่ไหน แต่เพียงแค่ดื่มน้ำที่ได้จากการต้มน้ำเต้าตงฉู่ ก็ทำให้เขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เป็นไปได้ว่าน้ำเต้าตงฉู่น่าจะเป็นบางอย่างที่น่าสะพรึงกว่าที่เขาเคยคิดไว้


เมื่อหวนนึกดู ก็น่าสงสัยว่าทำไมนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ถึงสร้างค่ายกลมิติขึ้นเพียงเพื่อบ่มเพาะน้ำน้ำเต้าตงฉู่มายาวนานหลายหมื่นปี เรื่องนี้น่าจะมีอะไรมากกว่าที่เห็น


“ที่นั่นมีของให้ผมกินมากกว่าที่นี่ ถ้าคุณมีอาหารให้ผมกินมากพอล่ะก็ ไม่ช้าก็จะรู้” น้ำเต้าตงฉู่ย้ายตำแหน่งของมันเพื่อหาที่เหมาะๆก่อนจะลงนอนอย่างเกียจคร้าน


จางเซวียนพยายามตั้งคำถามอีก 2-3 ข้อ แต่อีกฝ่ายไม่แยแส เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลออกมาและเพ่งสมาธิเข้าไป


ตอนที่ 1934 นี่มันปล้นกันชัดๆ!

“ทำไมพวกนั้นยังไม่กลับมา?”


ที่สำนักเจ้าเมือง เฉว่เฉินเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่นพร้อมกับย่นหน้าผาก


ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ กองทหารที่เขาส่งไปควรจะสังหารเจ้าขยะนั่นได้สำเร็จและกลับมาแล้ว นี่ก็ผ่านไปแล้วถึง 2 ชั่วโมง ทำไมถึงไม่มีใครกลับมา?


“คุณ ออกไปดูซิ!” เฉว่เฉินหันไปสั่งการองครักษ์คนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ


องครักษ์รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีดำและจากไป ไม่ช้าก็กลับมาด้วยสีหน้าประหลาด “นายท่าน ที่ตระกูลตั้นดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ตั้นเฉี่ยวเทียนกับตั้นอี้ยังคงปกติดี!”


เฉว่เฉินงงงันกับรายงานนั้น “เป็นไปได้อย่างไร? คำสั่งของผมไม่ชัดเจนหรือ?”


เขาสั่งการกองทหารให้กำจัดทั้งสามคนที่อยู่ในบ้านพักตระกูลตั้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ผ่านไป 2 ชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่?


“ไปสืบเสาะเรื่องนี้! ดูซิว่าทีมที่เราส่งไปก่อนหน้านี้อยู่ไหน!” เฉว่เฉินตวาดก้อง


องครักษ์รีบออกไป, 1 ชั่วโมงต่อมาก็กลับมารายงาน “จากการแกะรอยฝีเท้า พวกเขาเข้าสู่ตระกูลตั้นแล้ว แต่ไม่มีร่องรอยการกลับออกมา…ผมเดาว่าพวกนั้นถูกสังหารหมด และศพของพวกเขาก็ถูกกำจัดด้วย!”


“พวกเขาถูกสังหาร? ฝีมือของสามคนนั้นหรือ?” เฉว่เฉินถึงกับผงะ


กองทหาร 50 นายที่เขาส่งไปล้วนแต่เป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ส่วนตัวหัวหน้าก็เป็นถึงนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 หากผนึกพละกำลังกัน ก็สามารถรับมือได้แม้แต่กับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 แต่กลับถูกฆ่าตายอย่างเงียบๆแบบนั้น ถึงขนาดที่ไม่มีใครสักคนรอดชีวิตกลับมาส่งข่าว…


ในเมื่ออีกฝ่ายคือตั้นเฉี่ยวเทียนที่พิการและตั้นอี้ซึ่งไร้เรี่ยวแรง พร้อมกับชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกคนหนึ่ง เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น!


หรือว่า…ที่เจ้าโจรคนนั้นพูดมาจะเป็นเรื่องจริง? เฉว่เฉินหวนนึกถึงคำพูดของเฉาเฉิงลี่


หมอนั่นบอกว่าตั้นเฉี่ยวเทียนมีม้ากับเกี้ยวที่ทรงพลังถึงขนาดสำแดงศิลปะการต่อสู้ได้


ไม่อย่างนั้น ทั้งสองคนจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?


“นายท่าน ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? ส่งคนไปอีกดีไหม?” องครักษ์ตั้งคำถาม


“ไม่ต้อง…ถ้าพวกนั้นถูกสังหารหมด ป่านนี้อีกฝ่ายก็คงระวังตัวแล้ว ตอนนี้เราต้องรวบรวมข้อมูลและประเมินพละกำลังของตั้นเฉี่ยวเทียนก่อนจะลงมือทำอะไรต่อไป” เฉว่เฉินส่ายหน้า


“อีกอย่าง พระอาทิตย์ใกล้ขึ้นแล้ว ถ้าเราทำอะไรเอิกเกริกไปตอนนี้ ก็เสี่ยงต่อการทำให้ชื่อเสียงของสำนักเจ้าเมืองต้องด่างพร้อย”


“แต่เราจะปล่อยให้ไอ้สารเลวนั่นลอยนวลหรือ…หลังจากที่พี่น้องของเราต้องตายไปแล้วมากมาย?” องครักษ์ถามอย่างร้อนใจ


สำนักเจ้าเมืองอาจร่ำรวยก็จริง แต่การบ่มเพาะดูแลทหารทั้ง 50 นายต้องลงทุนลงแรงและใช้ทรัพยากรมาก พวกนั้นถูกฆ่าตายหมดแบบนี้…เป็นเรื่องที่ยากจะรับไหว


เฉว่เฉินหน้าตาเคร่งเครียด “ผมอยากให้คุณไปที่ตลาดหงเหยียนแล้วตรวจสอบจุดลอบสังหารที่อยู่ระหว่างทาง พยายามหาศพของพวกกองโจรหรือร่องรอยของการต่อสู้ให้ได้!”


“ขอรับ นายท่าน” องครักษ์รับคำก่อนจะออกจากห้อง ครู่ต่อมาก็กลับมารายงาน “นายท่าน ที่ตรอกด้านหน้าใกล้ตลาดหงเหยียน เราพบศพ คันธนู และลูกธนูจำนวนหนึ่ง เป็นของพวกกองโจร”


“ดี ส่งคนของคุณไปกำจัดศพโจรพวกนั้นเสีย จากนั้นนำชุดเกราะที่เปื้อนเลือดไปแอบฝังไว้ใกล้ๆกับบ้านพักตระกูลตั้น” เฉว่เฉินคำรามขณะผุดรอยยิ้มเยือกเย็น


“นายท่าน จะให้ผมฝังอาวุธและชุดเกราะไว้รอบๆบ้านพักตระกูลตั้นหรือ?”


เห็นองครักษ์สับสนกับคำสั่งของเขา นัยน์ตาของเฉว่เฉินฉายความขัดใจออกมาขณะอธิบาย “ตั้นเฉี่ยวเทียนเป็นคนอ่อนแอมาตลอด ไม่มีใครในเมืองที่ไม่รู้เรื่องนั้น ถ้าเรื่องแดงออกไปว่าทหารมากมายของสำนักเจ้าเมืองหายตัวไปในชั่วข้ามคืน และอาวุธกับเสื้อเกราะของทั้งกองโจรและกองทหารถูกพบในบริเวณใกล้บ้านพักตระกูลตั้น คุณคิดว่าผู้คนจะพูดถึงเรื่องนี้อย่างไร?”


“ผู้คนจะพูดถึงเรื่องนี้อย่างไร? พวกเขาก็น่าจะคิดว่าตั้นเฉี่ยวเทียนรวมหัวกับพวกกองโจรเพื่อสังหารกองทหารของสำนักเจ้าเมือง…” ขณะที่องครักษ์พูด นัยน์ตาของเขาก็ค่อยๆเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น


หากทำแบบนั้น ต่อให้ไม่ต้องเล่นงานตั้นเฉี่ยวเทียนโดยตรง พวกนั้นก็จะต้องจนมุมและถูกบีบให้ยอมจำนน ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงของตั้นเฉี่ยวเทียนจะด่างพร้อย ยังอาจเกิดแรงกดดันให้มีการประหารตั้นเฉี่ยวเทียนด้วย


ด้วยความชั่วร้ายของเหล่ากองโจรตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พวกนั้นเป็นที่จงเกลียดจงชังของผู้คนทั่วไป ถ้าใครๆรู้ว่าตั้นเฉี่ยวเทียนรวมหัวกับกองโจร หมอนั่นต้องจบเห่แน่


และนั่นจะทำให้สำนักเจ้าเมืองมีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะปฏิเสธสัญญาผูกมัดการแต่งงาน


เพราะท่านเจ้าเมืองผู้สูงส่งจะยอมให้ลูกสาวของตัวเองแต่งงานกับคนที่ถูกตั้งคำถามด้านคุณธรรมจริยธรรมได้อย่างไร?


“ใช่! ผมอยากให้คุณกระจายข่าวพรุ่งนี้เช้า บอกไปว่ากองทหาร 50 นายของเราพบร่องรอยของเหล่ากองโจรและตั้งใจจะสังหารพวกนั้น แต่กลับหายตัวไประหว่างปฏิบัติการ ทางเราจึงออกค้นหา…กระพือเรื่องให้ลุกลามออกไปมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้ารู้กันทั่วทั้งเมืองได้ก็ดี!” เฉว่เฉินสั่งการพร้อมกับยิ้มออกมา


“เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไปมากพอ เราจะมุ่งหน้าไปยังตระกูลตั้นเพื่อค้นหาหลักฐานและสืบเสาะหากองทหารที่หายไป ซึ่งที่นั่น เราจะพบอาวุธของกองโจรและเสื้อเกราะเปื้อนเลือดของกองทหารของเรา ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่มีทางดิ้นหลุดแน่!”


“ขอรับ นายท่าน” เห็นเฉว่เฉินยังตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดแม้กำลังเพลี่ยงพล้ำ องครักษ์โค้งคำนับอย่างงามด้วยความชื่นชมยกย่อง เขาใคร่ครวญแผนการอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถาม “แต่ว่า…นายท่าน ถ้าตั้นเฉี่ยวเทียนไม่ยอมรับผิดแม้เราจะพบหลักฐานที่นั่นล่ะ?”


เฉว่เฉินตอบด้วยนัยน์ตาเย็นเยียบ “เขาจะปฏิเสธก็ตามใจ แต่นั่นไม่มีประโยชน์ หากเรามีเหตุผล เพียงพอที่จะนำตัวเขามายังสำนักเจ้าเมืองได้ เขาก็จะอยู่ใต้อาณัติของเรา เราจะป้ายสีอะไรข้อหาอะไรก็ได้ตามแต่ที่เราต้องการ และจากนั้นก็พิพากษาเขา!”


“จริงด้วย…” องครักษ์พยักหน้า “ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”


…..


“นายหญิงน้อยที่ 2 เรียกตัวผมหรือ?”


ขณะที่เฉว่เฉินกำลังเตรียมการเล่นงานตั้นเฉี่ยวเทียน เฉว่ชิงก็กลับห้องนอนของเธอ แต่นอนไม่หลับ ลงท้ายก็เรียกคนใกล้ชิดคนหนึ่งของหัวเจียงเหอให้มาที่ห้อง


ชายหนุ่มคนนี้มาจากสำนักดาบเมฆเหินและเป็นศิษย์สายตรงระดับล่างเหมือนเธอ เขามีหน้าที่ทำตามคำสั่งของหัวเจียงเหอ เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกฝนวรยุทธอย่างเต็มที่


“เงินจำนวนนี้เป็นสัญลักษณ์แทนความปรารถนาดีของฉัน กรุณารับไว้ด้วย” เฉว่ชิงพูดอย่างสุภาพ


เธอโบกมือครั้งหนึ่ง แล้วคนรับใช้ก็รีบยื่นถุงเหรียญทองให้ ก่อนจะยื่นออกไป คนรับใช้เขย่าถุงนั้นเบาๆ ได้ยินเสียงกระทบกันกรุ๋งกริ๋งของเหรียญทองถนัด เท่าที่เห็น น่าจะมีเงินอยู่ในนั้นอย่างน้อยก็ 100 เหรียญ


“นายหญิงน้อยที่ 2, เราอยู่สำนักเดียวกัน ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอก…” ชายหนุ่มตาโตขณะรับเหรียญทองไว้


ศิษย์สายตรงระดับล่างอย่างเขาไม่มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรของสำนักดาบเมฆเหินมากนัก จึงเป็นธรรมดาที่จะยิ่งกว่ายินดีปรีดาที่ได้รับของกำนัลจากความใจกว้างของเฉว่ชิง


“ฉันขอถามอะไรหน่อย ศิษย์พี่หัวพูดอะไรบ้างหลังจากกลับที่พัก?” เฉว่ชิงมองหน้าชายหนุ่มอย่างตั้งอกตั้งใจ


“ศิษย์พี่หัวไม่ได้พูดอะไรเลย…” อาจเป็นเพราะความอ่อนประสบการณ์ของเขา ชายหนุ่มเพิ่งจะเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของเฉว่ชิงในตอนนั้น เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสริม “เขาบอกพวกเราให้จับตาดูชายที่มีฉายาว่าเจ้าโลกในหอนิรันดร์ไว้ให้ดี และสั่งการให้รายงานเขาทันทีที่ชายผู้นั้นปรากฏตัว”


“เจ้าโลก?” เฉว่ชิงขมวดคิ้ว


“เรื่องเป็นอย่างนี้…” ชายหนุ่มเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหอนิรันดร์ให้เฉว่ชิงฟังอย่างรวบรัด


“เข้าใจแล้ว ถ้าเจ้าโลกปรากฏตัว ฉันขอรบกวนให้ศิษย์พี่บอกฉันก่อน ฉันอยากเป็นคนแจ้งข่าวนี้กับศิษย์พี่หัวด้วยตัวเอง” เฉว่ชิงพูดขณะยื่นถุงเหรียญทองอีกถุงหนึ่งให้


“ได้สิ เรื่องนั้นไม่มีปัญหา!” ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


อันที่จริง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อยู่แล้ว ถ้าเขาหาผลประโยชน์จากมันได้ง่ายๆอย่างนี้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธคำขอของเฉว่ชิง


หลังจากพูดจบ ชายหนุ่มก้มหน้าและนำตราหยกอันหนึ่งออกมา เขามองที่ตราหยก จากนั้นก็ตาโต “นายหญิงน้อยที่ 2, คุณโชคดีจริงๆ เจ้าโลกเพิ่งปรากฏตัวที่หอนิรันดร์ เราไปพบศิษย์พี่หัวด้วยกันเถอะ!”


“ได้สิ” เฉว่ชิงรีบลุกขึ้นและตามชายหนุ่มไปยังที่พักของหัวเจียงเหอ ไม่ช้าทั้งคู่ก็ถึงที่หมาย


“เขาอยู่ที่นั่นหรือ?”


ได้ฟังรายงาน หัวเจียงเหอหรี่ตา


“ศิษย์พี่ นี่คือตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจากเมืองแสงดาว…” เฉว่ชิงรีบนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลออกมาสองอัน


แม้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจะเป็นของล้ำค่า แต่ก็ถือเป็นทรัพยากรธรรมดาสามัญสำหรับสำนักเจ้าเมือง


เห็นสาวน้อยรู้งาน หัวเจียงเหอพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะลุกขึ้นและพูดว่า “ไปหอนิรันดร์กับผม ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่าศิลปะเพลงดาบที่แท้จริงของสำนักดาบเมฆเหินของเราเป็นอย่างไร!”


“ขอบคุณ ศิษย์พี่” เห็นอีกฝ่ายไม่ตำหนิเธอถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เฉว่ชิงถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเพ่งสมาธิเข้าสู่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล


วิ้ง! วิ้ง!


ทั้งคู่เข้าสู่หอนิรันดร์พร้อมกัน


“นำข้าวของติดตัวไปไหนต่อไหนด้วยนี่ลำบากจริงๆ ดูซิว่าเราจะหาซื้อแหวนเก็บสมบัติสักวงได้ไหม?”


จางเซวียนเคยชินกับการใช้แหวนเก็บสมบัติในทวีปแห่งปรมาจารย์ จึงรู้สึกพะรุงพะรังที่ต้องหอบข้าวของไปทุกที่ เขาจึงกลับสู่หอนิรันดร์โดยหวังว่าจะหาซื้อแหวนเก็บสมบัติสักวงได้ที่นั่น


แม้ข้างนอกจะเป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืนแล้ว หอนิรันดร์ก็ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แถมบรรยากาศโดยรอบก็สว่างเจิดจ้า ราวกับไม่มีกลางวันกลางคืน จางเซวียนเดินไปที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าและแจ้งความจำนง


“ได้สิ ที่หอนิรันดร์มีแหวนเก็บสมบัติขาย วงหนึ่งราคา 500,000 เหรียญนิรันดร์” เจ้าหน้าที่ตอบอย่างกระตือรือร้น


“500,000 เหรียญนิรันดร์?” จางเซวียนเลิกคิ้ว


นี่มันปล้นกันชัดๆ!


ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมตระกูลใหญ่โตอย่างตระกูลตั้นถึงไม่มีแหวนเก็บสมบัติสักวง!


“วันนี้ผมเพิ่งชนะการดวล 8 รอบติดต่อกัน ถ้าผมเข้าร่วมการดวลที่สังเวียนประลองตอนนี้ ผมจะได้เริ่มจากรอบที่ 9 หรือต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น?” จางเซวียนตั้งคำถาม


ในเวลานี้ การเข้าร่วมการดวลในสังเวียนประลองเป็นวิธีหาเงินที่เร็วที่สุดเท่าที่เขารู้ อีกอย่าง เขาก็มาได้ครึ่งทางแล้ว ถ้าต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่รอบแรกก็คงจะน่าเบื่อมาก


เป็นไปได้ว่าอาจไม่มีใครอยากดวลกับเขาเมื่อผ่านไปถึงรอบที่ 8 อีกครั้ง


อีกอย่าง เมืองแสงดาวก็มีผู้เชี่ยวชาญอยู่เพียงหยิบมือ คงมีคนไม่มากนักที่เต็มใจจะจ่ายเงินเพียงเพื่อมาแพ้


“ในเมื่อคุณเอาชนะได้ 8 รอบติดต่อกัน การเข้าร่วมการดวลระดับล่างก็คงไม่สร้างความท้าทายให้คุณอีก โชคร้ายที่ตอนนี้ไม่มีการจับคู่ดวลในการดวลระดับกลาง การดวลนัดแรกสุดจะมีขึ้นในอีก 2 วันข้างหน้า อีกอย่าง ดูเหมือนระดับขั้นของคุณก็ยังไม่สูงพอ” เจ้าหน้าที่ดูสถิติของจางเซวียนครู่หนึ่งขณะตั้งข้อสังเกต


“การดวลระดับกลาง?” จางเซวียนชะงัก


ระดับล่างและระดับกลาง…สังเวียนประลองมีการแบ่งระดับขั้นด้วยหรือ?


ตอนที่ 1935 เดิมพันอีกครั้ง

“ใช่” เจ้าหน้าที่อธิบายยิ้มๆ “ประสิทธิภาพการต่อสู้ของนักรบนั้นอาจแตกต่างกันได้มากมายด้วยช่องว่างของระดับวรยุทธที่มีอยู่ และไม่มีใครอยากท้าทายคนที่พวกเขารู้ดีว่าไม่มีโอกาสเอาชนะ วัตถุประสงค์หลักของสังเวียนประลองคือการบ่มเพาะเทคนิคการต่อสู้ และนั่นจะเป็นผลก็ต่อเมื่อได้เจอคู่ดวลที่เหมาะสมเท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้การจับคู่เป็นไปอย่างเหมาะเจาะ สังเวียนประลองจึงแบ่งออกเป็นหลายระดับขั้น”


จางเซวียนพยักหน้า


อย่างตัวเขา การแข่งขันในระดับนี้ไม่อาจสร้างความตื่นเต้นอีกแล้ว อย่าว่าแต่จะพัฒนาทักษะของเขาเลย


“สังเวียนประลองแบ่งออกเป็นการดวลระดับล่าง ระดับกลาง และระดับสูง ถ้าคุณเอาชนะได้ 10 รอบติดต่อกันในระดับขั้นหนึ่งๆ คุณก็จะได้รับอนุญาตให้ก้าวเข้าสู่ขั้นต่อไป” เจ้าหน้าที่อธิบาย


“ตอนนี้คุณมีสถิติอยู่ที่ 8 รอบ ซึ่งทำให้เข้าใกล้การดวลระดับกลาง แต่ด้วยความเก่งกาจที่คุณสำแดงออกไป มีความเป็นไปได้ว่านักรบส่วนใหญ่คงไม่กล้าท้าทายคุณแล้ว ถ้าคุณอยากเดินหน้า ก็ต้องเพิ่มเงินรางวัลตอบแทนให้สูงขึ้น ขอแค่มีคนยอมรับคำท้าและคุณเอาชนะพวกเขาได้ 2 รอบติดต่อกัน คุณก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอได้เข้าสู่การดวลระดับกลาง และได้พบกับผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งกว่าเดิม!”


จางเซวียนพยักหน้าอีกรอบ


รูปแบบนี้ถือว่าสมเหตุสมผลดี


“ถ้าอย่างนั้น ผมขอยื่นคำท้า!”


“ได้สิ คุณจะวางเดิมพันเท่าไหร่?” เจ้าหน้าที่ตั้งคำถาม


“5,500 เหรียญนิรันดร์” จางเซวียนตอบพร้อมยื่นบัตรนิรันดร์ออกไป


ก่อนหน้านี้ เขาใช้เงินซื้อยาเม็ดให้น้ำเต้าตงฉู่เกือบหมด จึงเหลือติดตัวเพียงเล็กน้อย


“5,500 เหรียญนิรันดร์?” เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “เป็นจำนวนที่ต่ำเกินไป คงไม่มีใครรับคำท้าของคุณหรอก…”


ถ้าไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันจากการดวล จะมีใครเต็มใจรับคำท้า?


โดยทั่วไป เงินรางวัลควรจะอยู่ที่ 50,000 เหรียญนิรันดร์เป็นอย่างน้อย ถึงจะดึงดูดความสนใจของใครต่อใครได้ เงินที่มากพอเท่านั้นที่จะทำให้บรรดานักรบเต็มใจเสี่ยงดวงแม้จะรู้ดีว่าโอกาสชนะมีไม่มาก


5,500 เหรียญนิรันดร์…มันน้อยเกินไป!


ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังรู้สึกว่าจางเซวียนออกจะขี้เหนียวไปสักหน่อย ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ก้าวยาวๆเข้ามาและพูดว่า “ผมรับคำท้าของเขา!”


ชายหนุ่มมีอายุราว 20 กลางๆ เขาถือดาบไว้ในมือ บ่งบอกว่าเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบคนหนึ่ง ข้างกายเขาคือสาวน้อยที่มีอายุราววัยรุ่นตอนปลาย


ทั้งคู่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหัวเจียงเหอกับเฉว่ชิง


แต่เพราะพวกเขาปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตา จางเซวียนจึงจำทั้งคู่ไม่ได้


“คุณเต็มใจรับคำท้าของผม?”


นึกไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้จะปรากฏตัวรวดเร็วขนาดนี้ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาตั้งคำถามขณะส่งรอยยิ้มไม่มีพิษภัยให้อีกฝ่าย “ถ้าอย่างนั้น คุณจะเต็มใจยอมรับเดิมพันของผมด้วยไหม?”


เมื่อได้ยินว่ามีเดิมพันเข้ามาเกี่ยวข้องอีกรอบ หัวเจียงเหอหน้าตึงขึ้นมาทันทีขณะหวนนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่เขาเพิ่งเจอ “คุณจะเดิมพันแบบไหนล่ะ?”


“ง่ายนิดเดียว ถ้าผมแพ้ ผมจะมอบเงินให้คุณ 100,000 เหรียญนิรันดร์ แต่ถ้าคุณแพ้ คุณก็ต้องมอบให้ผม 100,000 เหรียญนิรันดร์เหมือนกัน!”


เดิมที จางเซวียนคิดจะเพิ่มเงินรางวัลให้สูงขึ้นไปถึง 500,000 เหรียญนิรันดร์ แต่ก็เกรงว่าจะทำให้เหยื่อหวาดกลัวและหลุดมือไป ลงท้ายจึงเลือกลดจำนวนลง เขาดูออกว่าอีกฝ่ายจงใจเข้ามาท้าทายเขา โดยเฉพาะการที่หมอนี่ตอบรับคำท้าของเขาอย่างรวดเร็วทั้งๆที่ได้ค่าตอบแทนต่ำมาก ถึงตอนนี้จางเซวียนจะกำลังอยากได้คู่ดวล แต่เป้าหมายหลักก็คือหาเงินมาใช้ ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการยื่นเดิมพัน!


“100,000 เหรียญนิรันดร์ คุณหาเงินขนาดนั้นได้ด้วยหรือ?” หัวเจียงเหอคำราม


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหิน 100,000 เหรียญนิรันดร์ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา แต่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยให้ใครเอาเปรียบ


“ผมคิดว่าปัญหาตอนนี้ก็คือคุณเต็มใจจะเดิมพันกับผมหรือเปล่า ถ้าคุณยอมรับเดิมพันล่ะก็ ผมพร้อมจะดวลกับคุณ แต่ถ้าไม่…ผมก็ไม่อยากเสียเวลาสู้กับคุณเหมือนกัน” จางเซวียนโบกมืออย่างรำคาญ


ดูจากเจตจำนงเพลงดาบที่ชายหนุ่มตรงหน้าเขาแสดงออกมา จางเซวียนรู้ว่าอีกฝ่ายก็เหมือนกับเมฆผงาดและคนอื่นๆที่เขาเพิ่งสังหารไป คือเป็นศิษย์สายตรงคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหิน


ในสายตาของตั้นเฉี่ยวเทียน บรรดาศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินมีเกียรติสูงส่งในมิติเบื้องบน ดังนั้น การที่อีกฝ่ายจงใจมาที่นี่เพื่อรับคำท้าก็หมายความว่าตั้งใจมาแก้แค้นให้พรรคพวกที่ถูกจางเซวียนใช้ศิลปะเพลงดาบสังหารไป ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็น่าจะพอกดดันอีกฝ่ายได้


อีกอย่าง การที่จางเซวียนต้องกดข่มวรยุทธลงให้เหลือเพียง 1 ใน 20 ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาแทบสำแดงเทคนิคการต่อสู้อะไรไม่ได้เลย ซึ่งนั่นทำให้อึดอัดใจมาก เป็นธรรมดาที่เขาควรจะได้รางวัลตอบแทนอย่างงามสำหรับความเหนื่อยยากครั้งนี้!


ถ้าเขาไม่กดข่มพละกำลังไว้ คู่ต่อสู้คงกลัวจนขาดใจตาย


“บังอาจ! เป็นเกียรติของคุณแล้วนะที่ศิษย์พี่หัวเต็มใจรับคำท้า กล้าดีอย่างไรถึงพูดกับเขาแบบนั้น!”เฉว่ชิงตวาดก้อง แสนจะหงุดหงิดกับทีท่าไม่แยแสของเจ้าโลก


มีความเป็นไปได้ว่าหัวเจียงเหอน่าจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในภายในปีหน้า ซึ่งอีกฝ่ายควรรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ดวลกับผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังระดับนี้ แต่หมอนั่นกลับแสดงทีท่าไม่เต็มใจ ถึงกับยื่นเดิมพันด้วย…


เจียมกะลาหัวเสียบ้าง!


“เอาล่ะ พอที” หัวเจียงเหอยกมือขึ้นยับยั้งเฉว่ชิง เขามองเจ้าโลกอีกครั้งและพูดต่อ “ผมไม่รังเกียจจะเดิมพันกับคุณหรอก แต่ถ้าคุณแพ้ ผมไม่ต้องการ 100,000 เหรียญนิรันดร์ของคุณ…ที่ผมต้องการก็คือคุณต้องยอมรับว่าศิลปะเพลงดาบของคุณอ่อนด้อยกว่าศิลปะเพลงดาบของสำนักดาบเมฆเหิน และติดตามผมกลับไปที่สำนักดาบเมฆเหินเพื่อเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายนอกของเรา!”


เงิน 100,000 เหรียญนิรันดร์เป็นเงินจำนวนที่เขาพอหาได้ แต่ชื่อเสียงของสำนักดาบเมฆเหินถือเป็นสิ่งแรกที่ต้องปกป้องไว้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม


ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วว่าอวิ๋นเฟยหยางกับพรรคพวกพ่ายแพ้ เรื่องนี้เป็นที่โจษขานกันทั่วทั้งเมือง ซึ่งถ้าตัวเขาในฐานะศิษย์พี่หมายเลข 1 ยังคงนิ่งเฉย ในไม่ช้า ใครต่อใครก็คงพากันพูดว่าศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินนั้นอ่อนแอเสียยิ่งกว่านักรบพเนจร เขาไม่อาจปล่อยให้เรื่องหยุมหยิมแบบนี้มาทำให้ชื่อเสียงของสำนักต้องด่างพร้อย!


อีกอย่าง หากเขาพาอัจฉริยะหน้าใหม่ผู้ปราดเปรื่องเข้าสู่สำนักได้ ก็จะได้ค่าตอบแทนอย่างงาม ถือเป็นความดีความชอบครั้งใหญ่


“ได้สิ” จางเซวียนพยักหน้า


เงื่อนไขพวกนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับเขาเลย อีกอย่าง…


แพ้? จะเป็นไปได้อย่างไร?


คำนั้นเป็นคำที่ผมไม่เคยเขียนเลยในช่วงชีวิตของผม!


“ไปที่สังเวียนประลองกันเถอะ”


เมื่อตกลงกันได้ ทั้งคู่รีบเดินเข้าสู่สังเวียนประลอง


“ดูนั่น! เจ้าโลกกลับมาแล้ว…คราวนี้เขาจะสู้กับใคร?”


“เยี่ยมเลย! ผมจะได้เห็นทักษะเหนือชั้นของเขาอีกที อธิบายไม่ถูกเลยว่าประทับใจเทคนิคของเขามากแค่ไหน…”


“เร็วเข้าเถอะ รีบไปเรียกเจ้างั่งพวกนั้นมา ถ้าพลาดการดวลของเจ้าโลกล่ะก็ พวกนั้นคงเกลียดเราไปจนตายแน่!”


“เขาจะสู้กับใครน่ะ?”


“นัยน์ตาวารี? ผมไม่รู้จักหมอนั่น แต่…สาวน้อยที่อยู่ข้างเขา, พิณเหมันต์น่ะ ผมรู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อเธอมาก่อน…”


“เธอเป็นใคร?”


“ขอคิดก่อนนะ ใช่แล้ว…เธอคือนายหญิงน้อยที่ 2 ของเมืองชวนเจียง ดูเหมือนจะชื่อเฉว่ชิงหรืออะไรประมาณนี้นี่แหละ เธองดงามไม่เบา และศิลปะเพลงดาบของเธอก็น่าทึ่ง…”


…..


เสียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอื้ออึงไปทั่ว


ฉายาของหัวเจียงเหอ, นัยน์ตาวารี เป็นฉายาเดียวกับที่เขาใช้ในทุกที่ เพียงแต่เขาไม่เคยเข้าสู่หอนิรันดร์ของเมืองแสงดาวมาก่อน จึงไม่มีใครเคยได้ยินชื่อนี้


แต่สำหรับเฉว่ชิงนั้นแตกต่างออกไป ในฐานะลูกสาวท่านเจ้าเมือง เธอเป็นแขกประจำของหอนิรันดร์และสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้ระดับหนึ่ง ผู้คนมากมายจึงจดจำเธอได้อย่างรวดเร็ว


เรื่องนี้เป็นทำนองเดียวกันกับการที่นักเล่นกีฬาอีสปอร์ตชั้นนำเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในอินเทอร์เน็ต และในชีวิตจริง เหมือนใบไม้ร่วง, เย่ชิว


“เฉว่ชิง?”


บทสนทนาเหล่านั้นไม่เบานัก จางเซวียนจึงได้ยินชัดเจนทุกคำ เขาอดชะงักฝีเท้าไม่ได้


แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?


เขามาที่นี่เพียงเพื่อจะหาซื้อแหวนเก็บสมบัติสักวง แต่กลับต้องมาเจอแม่สาวคู่หมั้นคนนี้


จะว่าไป ถ้าพิณเหมันต์คือเธอจริงๆ นั่นก็หมายความว่านัยน์ตาวารีคือชายหนุ่มจากสำนักดาบเมฆเหินที่เดินทางมาที่นี่เพื่อเปิดรับศิษย์สายตรง ใช่ไหม? เมื่อครู่นี้หมอนั่นพูดอะไรบางอย่างทำนองว่าอยากนำตัวเขาเข้าสู่สำนักดาบเมฆเหินในฐานะศิษย์สายตรงสายนอก…


ขณะที่ใกล้ถึงสังเวียนประลอง จางเซวียนก็หันขวับไปคว้าตัวเฉว่ชิง


การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวเสียจนสาวน้อยไม่ทันระวัง เธอเงื้อดาบขึ้นโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันตัว แต่ทันทีที่ดาบของเธอชูขึ้นสูง อีกฝ่ายก็ถอนฝ่ามือออก เขายิ้มให้อย่างสุภาพ


“คุณจะทำอะไรน่ะ?” เฉว่ชิงถามอย่างหงุดหงิด


เธอคิดว่าผู้เชี่ยวชาญที่เข้าตาศิษย์พี่หัวควรจะวางตัวเหมาะสมกว่านี้ ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะพยายามเล่นงานเธอ


“ไม่มีอะไรหรอก ผมเห็นยุงตัวหนึ่งบนศีรษะของคุณ ก็เลยไล่มันไป” จางเซวียนตอบ


“คุณ…” เฉว่ชิงหายใจถี่กระชั้นด้วยความโกรธ


ยุง? ยุงบ้านคุณสิ!


เราอยู่ในหอนิรันดร์นะ เป็นสิ่งที่ปรากฏในจิตใต้สำนึกเท่านั้น จะมียุงได้อย่างไร?


อย่างน้อยก็ควรโกหกให้มันดีกว่านี้หน่อยไหม?


จางเซวียนไม่ใส่ใจอาการฟึดฟัดของเฉว่ชิง เขาเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า และก็เป็นอย่างที่คาดไว้ หนังสือเล่มหนึ่งถูกประมวลออกมา เต็มไปด้วยข้อบกพร่องในวรยุทธของพิณเหมันต์ รวมทั้งคำอธิบายสั้นๆเกี่ยวกับตัวเธอ


“เฉว่ชิง, ลูกสาวคนที่ 2 ของเจ้าเมืองชวนเจียง…”


จางเซวียนเหยียดริมฝีปาก


ถึงทุกคนจะปกปิดรูปร่างหน้าตาและตัวตนได้เมื่ออยู่ในหอนิรันดร์ แต่ก็ไม่อาจปิดบังสายตาของหอสมุดเทียบฟ้า


พูดอีกอย่างก็คือ ขอแค่อีกฝ่ายสำแดงเทคนิคการต่อสู้ออกมา หอสมุดเทียบฟ้าก็สามารถประมวลหนังสือ อีกทั้งมองทะลุความลับและข้อบกพร่องของผู้นั้นได้ทันที


“ในเมื่อเป็นเธอ ทุกอย่างก็เริ่มจะตื่นเต้นแล้วสิ…” จางเซวียนคิด


เขาหันไปมองหัวเจียงเหอ จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่เฉว่ชิง “แม่สาวคนนี้น่ะแสดงทีท่าไม่สุภาพกับผม ทำไมเราไม่ทำแบบนี้แทนล่ะ? ถ้าคุณแพ้ ไม่เพียงแต่คุณจะต้องชดใช้ให้ผมเป็นเงินจำนวน 100,000 เหรียญนิรันดร์ แต่ยังต้องส่งตัวเธอมาเป็นคนรับใช้ของผมด้วย!”


ตอนที่ 1936 การดวลน่าจะสิ้นสุดแล้ว…

“คุณ…”


เฉว่ชิงโมโหเดือด


เธอคือนายหญิงน้อยที่ 2 แห่งสำนักท่านเจ้าเมือง ได้รับความเคารพและเป็นที่รักใคร่ไม่ว่าจะไปที่ไหน…ตอนนี้มาถูกใช้เป็นเดิมพัน ทั้งยังต้องไปเป็นคนรับใช้ของคนอื่น นี่คือการหยามหน้ากันอย่างเกินจะรับไหว!


“เธอไม่ใช่ลูกน้องของผม ผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ” หัวเจียงเหอตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว


“อย่างนั้นหรือ? ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้ เจ้าหนุ่ม 3 คนที่มาก่อนหน้าคุณน่ะไม่ได้มีความท้าทายเลยสักนิด ใช้แค่กระบวนท่าเดียวก็จอด ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ และผมว่าคุณก็คงไม่ต่างอะไรกับพวกเขา ถ้าอย่างนั้น เราอย่าเสียเวลาดีกว่า ยกเลิกการดวลเสียดีไหม?” จางเซวียนยืดหลังบิดขี้เกียจขณะพูด


หัวเจียงเหอจ้องหน้าจางเซวียนอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ “ในฐานะผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ คุณคืนคำง่ายๆแบบนี้หรือ?”


“เมื่อครู่นี้ผู้หญิงคนนั้นดูถูกผม ผมหงุดหงิดกับการกระทำของเธอมาก รู้สึกคับข้องใจจนถึงตอนนี้ ถ้าเธอไม่มาเป็นคนรับใช้ของผม ผมก็ไม่มีทางหาย ด้วยสภาวะของผมเวลานี้ ผมไม่คิดว่าจะสามารถดึงเอาพละกำลังสูงสุดของศิลปะเพลงดาบของผมออกมาได้ ซึ่งจะทำให้การดวลหมดความหมายไปอย่างสิ้นเชิง…ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ คุณไม่คิดว่าผมควรจะพิจารณามันอย่างรอบคอบหรือ?”


จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังขณะเชิดหน้ามองหัวเจียงเหอ ราวกับกำลังมอบความปรานีให้อีกฝ่าย “ไม่ใช่ว่าผมอยากจะหาเรื่องแม่สาวที่อยู่ข้างคุณหรอกนะ แต่เรื่องนี้ก็เพื่อประโยชน์ของการดวล ผมมองไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่เป็นการดูถูกคู่ต่อสู้ของตัวเองมากไปกว่าการเผชิญหน้ากับเขาในสภาวะที่เขากำลังอ่อนแอ คุณเข้ามาด้วยความจริงใจ ผมจึงเชื่อว่าคุณคงอยากดวลกับผมในสภาวะที่ผมมีพละกำลังแข็งแกร่งสูงสุดมากกว่าจะเอาชนะขณะที่ผมกำลังอ่อนแอ…ชัยชนะแบบนั้นคงไม่เป็นผลดีกับคุณเช่นกัน ถูกไหม?”


กร๊อบบบบ!


ข้อนิ้วของหัวเจียงเหอลั่นกราว


หมอนี่พล่ามเรื่องเหลวไหลออกมาโดยไม่รู้สึกอับอายสักนิดได้อย่างไร? ถ้าเขาทำได้ เขาอยากจะซ้อมอีกฝ่ายเหลือเกิน!


สรุปว่า…คุณกำลังบอกผมว่าตราบใดที่ผมยังไม่ยอมรับเดิมพัน ก็เท่ากับผมรังแกคุณ ต่อให้ผมชนะ นั่นก็จะเป็นเพราะผมเอาเปรียบคุณในสภาวะที่คุณกำลังอ่อนแอ อย่างนั้นใช่ไหม?


“ศิษย์พี่ อย่าตกหลุมพรางการยั่วยุแบบตื้นๆของเขานะ!” เห็นหัวเจียงเหอกำลังใคร่ครวญใหม่ เฉว่ชิงหน้าซีดเผือดขณะอุทานอย่างร้อนใจ


“ดูเหมือนพวกคุณกำลังพยายามทำให้ผมเป็นผู้ร้าย…ก็ได้ เอาเถอะ! ต่อให้คุณไม่ยอมรับคำขอของผม ผมก็จะดวลกับคุณ ตกลงไหม? ที่คุณต้องการก็คือเอาชนะผม ใช่หรือเปล่า? ผมยังสงสัยอยู่ว่าคุณจะใส่ใจไหมว่าการดวลครั้งนี้ยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม…” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างหมดหวัง “ผมคิดว่าศักดิ์ศรีของเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสำนักดาบเมฆเหินก็คงมีแค่นี้ พวกเขายอมลดตัวลงทำทุกอย่าง ตราบใดที่จะได้มาซึ่งชัยชนะ…”


“พอที! ผมยอมรับคำขอของคุณ พอใจหรือยัง?” หัวเจียงเหอตวาดก้อง


อาจดูเหมือนจางเซวียนกำลังพยายามคว้าฟางเส้นสุดท้าย แต่เรื่องจริงก็คือเขาจี้จุดอ่อนของหัวเจียงเหอเข้าอย่างจัง หัวเจียงเหอคือคนที่แสนจะหยิ่งในศักดิ์ศรี เขาทนไม่ได้กับการได้รู้ว่ามีใครคนหนึ่งข้องใจในความเก่งกาจของเขา


“ศิษย์พี่…” เฉว่ชิงถึงกับเซด้วยความตกตะลึง


เธอคือนายหญิงน้อยที่ 2 แห่งสำนักท่านเจ้าเมือง คือคนที่ได้รับพรจากสวรรค์ เธอได้การยอมรับให้เข้าสู่สำนักดาบเมฆเหิน และในอนาคตก็มีโอกาสที่จะได้ไต่เต้าไปสู่การเป็นผู้กุมอำนาจคนหนึ่งของทวีปแห่งนี้


นี่คือการเหยียดหยามกันอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ สำหรับการที่เธอถูกใช้เป็นเดิมพัน!


แต่ทันทีที่กำลังจะอ้าปากพูด ก็บังเอิญสบตากับหัวเจียงเหอ นัยน์ตาของอีกฝ่ายเย็นเยียบ “คุณคิดว่าผมจะแพ้คนอย่างหมอนั่นหรือ?”


“ฉัน…” สายตาเชือดเฉือนนั้นทำให้เฉว่ชิงหน้าซีดเผือดด้วยความพรั่นพรึง “มะ-ไม่ ไม่แน่นอน…นักรบที่ทรงพลังอย่างคุณเอาชนะเขาได้สบายอยู่แล้ว…”


หัวเจียงเหอคว้าดาบที่เฉว่ชิงถือไว้และชักมันออกมา เกรงว่าหากพูดอะไรออกไปอาจต้องโมโหจนขาดใจตาย จึงพรวดพราดขึ้นไปบนสังเวียนประลองแล้วตะโกน “เร็วเข้าเถอะ รีบดวลให้มันเสร็จๆไป!”


“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน!” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะกระโจนขึ้นไปบนสังเวียน


“ผมได้ยินว่าคุณใช้เทคนิคการโยนดาบในการดวลสองสามครั้งก่อนที่บรรดาศิษย์น้องของผมท้าทายคุณ ผมอยากเห็นพละกำลังของเทคนิคนั้นกับตา” หัวเจียงเหอพูด


ในเมื่อเขาต้องการกอบกู้ชื่อเสียงของสำนักดาบเมฆเหิน ก็ต้องเอาชนะเจ้าโลกให้ได้ขณะที่อีกฝ่ายกำลังสำแดงศิลปะเพลงดาบที่ทรงพลังที่สุด


“ได้สิ” จางเซวียนพยักหน้าขณะชักดาบออกจากรางอาวุธ


…..


“ผู้อาวุโส! ผู้อาวุโส! เจ้าโลกปรากฏตัวแล้ว!”


ที่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองในเมืองแสงดาว อวิ๋นเฟยหยางพรวดพราดเข้าไปในห้องอย่างรีบร้อน


ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นนั่งอยู่ในห้องนั้น เมื่อรู้ข่าวก็ตาโตด้วยความตื่นเต้น เขานำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลออกมาและเพ่งสมาธิเข้าไปในนั้น


อวิ๋นเฟยหยาง หวงเทา และคนอื่นๆรีบตามไปติดๆ


ทันทีที่เข้าสู่หอนิรันดร์ พวกเขาก็ได้ยินเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ครั้งใหญ่ดังมาจากบริเวณสังเวียนประลอง ฝูงชนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังรุดหน้าไปที่นั่น


“เร็วๆหน่อย! การดวลระหว่างเจ้าโลกกับนัยน์ตาวารีใกล้จะเริ่มแล้ว!”


“นัยน์ตาวารี? ใครกัน?”


“ผมก็ไม่รู้ แต่ได้ยินว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะเพลงดาบที่น่าทึ่งคนหนึ่ง ผมว่าการดวลครั้งนี้คงน่าตื่นเต้นทีเดียว!”


“กล้าท้าทายเจ้าโลกทั้งที่รู้สถิติของเขาแล้ว หมายความได้อย่างเดียวว่านัยน์ตาวารีคนนั้นคงไม่ใช่มือใหม่ ผมอยากรู้เหลือเกินว่าเขาจะโค่นบัลลังก์ของเจ้าโลกได้หรือเปล่า…”


…..


“นัยน์ตาวารี? ใช่ศิษย์พี่หมายเลข 1 ของเราไหม?” อวิ๋นเฟยหยางตาโตด้วยความตื่นเต้น


“เจียงเหอก็อยู่ที่นี่หรือ? เขาคงรู้เรื่องความพ่ายแพ้ของพวกคุณและตั้งใจมากอบกู้ชื่อเสียงให้สำนักของเรา!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพยักหน้าด้วยอาการยอมรับขณะสันนิษฐานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


คำพูดนั้นทำให้ทั้งสี่หน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย “พวกเราขออภัยในความอ่อนซ้อม!”


น่าละอายเหลือเกินที่ศิษย์พี่หมายเลข 1 ต้องมาชดเชยความพ่ายแพ้ของพวกเขา


“เจียงเหอเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งมั่นคงเสมอ ผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาก็มากมาย ผมเชื่อว่าเขาคงกอบกู้ชื่อเสียงให้สำนักของเราได้” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นลูบเคราขณะตั้งข้อสังเกต


แม้จะอยู่ในหอนิรันดร์ รูปลักษณ์ของเขาก็ยังคงเป็นผู้อาวุโสดังเดิม


“จริงด้วย ศิษย์พี่หมายเลข 1 ของเราออกโรงด้วยตัวเอง ผมเชื่อว่าต่อให้เจ้าโลกก็ไม่น่าจะเอาชนะได้หรอก”


“รีบไปดูกันเถอะ!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นร้องเรียก


ทั้งกลุ่มฝ่าฝูงชนเข้าไปจนถึงด้านหน้า แต่ทันใดนั้น เสียงเชียร์และโห่ร้องดังสนั่นก็ดังกึกก้องไปทั่วจนแทบทะลุหมู่เมฆ


“การดวลน่าจะสิ้นสุดแล้ว…” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นเปรย


พวกเขารีบเดินหน้า มั่นใจว่าจะได้เห็นหัวเจียงเหอยืนจังก้าประกาศชัยชนะบนสังเวียนประลอง แต่กลับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ ทุกคนเห็นร่างของนัยน์ตาวารีกองอยู่กับพื้น มีดาบปักอยู่ที่ศีรษะ


ไม่ช้าศพนั้นก็สลายตัวเป็นอากาศธาตุ


“ศิษย์พี่หมายเลข 1…”


อวิ๋นเฟยหยางกับพรรคพวกถึงกับจังงัง ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นก็พูดไม่ออก


การดวลเพิ่งเริ่มเมื่อครู่นี้ไม่ใช่หรือ?


ทำไมถึงดูเหมือนจบลงในชั่วพริบตา?


หรือว่าแม้แต่ศิษย์พี่หมายเลข 1 ของพวกเขาก็เทียบชั้นกับเจ้าโลกไม่ได้ และลงเอยด้วยการถูกสังหารภายในไม่กี่วินาที


ในตอนนั้น เฉว่ชิงตัวสั่นจนหยุดไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เธอแทบเป็นบ้า


การถูกใช้เป็นเดิมพันก็ทำให้เธอโมโหเดือดอยู่แล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าศิษย์พี่ที่เธอแสนจะเคารพบูชาจะพ่ายแพ้ให้กับการโยนดาบเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างจบเร็วเสียจนทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าหัวเจียงเหอร่วมมือกับเจ้าโลกเพื่อทรยศเธอ!


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ…ก็หมายความว่าตอนนี้เธอคือคนรับใช้ของเจ้าโลกแล้วใช่ไหม?


ราวกับจะอ่านใจของเธอได้ ชายหนุ่มที่อยู่บนสังเวียนประลองร้องเรียก “คนรับใช้ของผมที่อยู่ตรงนั้นน่ะ มัวทำอะไรอยู่? มานวดหลังให้ผมที!”


“คุณ…” เฉว่ชิงหน้าร้อนผ่าว


ในชีวิตของเธอไม่เคยถูกเหยียดหยามขนาดนี้มาก่อน


อยากให้ฉันเป็นคนรับใช้ของคุณหรือ? ฝันไปเถอะ!


เฉว่ชิงกระโจนขึ้นสู่สังเวียนประลองและเงื้อมือขึ้น ตั้งใจจะตบหน้าจางเซวียน แต่ยังไม่ทันได้ตบ มือของอีกฝ่ายก็คว้าข้อมือของเธอไว้


เพียะ!


เฉว่ชิงเจ็บแปลบที่ใบหน้า แทนที่จะเป็นคนตบ เธอกลับถูกตบเสียเอง


มันเป็นแค่การตบครั้งเดียว แต่ไม่มีการยั้งมือเลย ใบหน้างดงามของเธอบวมฉึ่งขึ้นมาทันที แก้มซ้ายดูเหมือนกับขนมปังสีแดงก้อนใหญ่


แม้จะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่โลกของความเป็นจริง แต่ความเจ็บปวดและความอับอายที่เธอได้รับก็สมจริงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ถ้ามีหลุมมีรูอยู่กับพื้น เธอคงมุดลงไปแล้ว


เฉว่ชิงเคยคิดว่าด้วยการสนับสนุนของหัวเจียงเหอ เธอน่าจะก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดและทำตามความฝันของตัวเองได้ แต่ก็เหมือนกับฟองสบู่ล่องลอย ทุกอย่างแตกโพละในชั่วพริบตา…


เธอไม่เคยรู้สึกสมเพชชีวิตของตัวเองมากเท่านี้มาก่อน


“กล้ามากนะที่ลงไม้ลงมือกับเจ้านาย!” จางเซวียนคำราม


เขาไม่มีความปรารถนาดีแม้แต่น้อยให้กับหญิงสาวใจคอโหดเหี้ยมคนนี้ ถ้าไม่ติดที่ว่าเขาตั้งใจจะ เก็บเธอไว้ให้ศิษย์สายตรงของเขาจัดการ คงจะกำจัดเธอเสียแล้ว!


“ฉันจะฆ่าแก!” เฉว่ชิงคำรามด้วยนัยน์ตาแดงก่ำขณะพุ่งเข้าใส่จางเซวียน ตั้งใจจะเอาชีวิตเข้าแลก


แต่ในตอนนั้นเอง เสียงตวาดเย็นเยียบก็ดังขึ้นในหมู่ฝูงชน “พอที ยังทำให้ตัวเองอับอายขายหน้าไม่พออีกหรือ?”


เฉว่ชิงตัวแข็ง เธอหันกลับไป เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามา


“ท่านพ่อ…” เธอพึมพำอย่างงุนงง


ด้วยความโล่งใจใหญ่หลวงที่ได้เห็นเสาหลักพักพิง สาวน้อยทรุดฮวบลงกับพื้นแล้วตั้งต้นสะอึกสะอื้น ความคับแค้นใจทั้งหมดของเธอพรั่งพรูออกมา


“เธอเรียกเขาว่าท่านพ่อ? หรือว่าเขาคือ…ท่านเจ้าเมืองชวนเจียง เจ้าเมืองเฉว่เหยา?”


“เจ้าเมืองเฉว่เหยาเป็นนักรบระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติ นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะ มาที่นี่…”


“เขาจะนิ่งเฉยได้อย่างไรหลังจากได้รู้ว่าลูกสาวกลายเป็นคนรับใช้ของชายอีกคนหนึ่งไปแล้ว!”


“ถ้าเจ้าเมืองเฉว่เหยาออกโรงด้วยตัวเอง เจ้าโลกจบเห่แน่…”


“จริงด้วย เจ้าโลกไม่เพียงดูถูกเฉว่ชิง ยังถึงกับตบหน้าเธอด้วยซ้ำ เพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครช่วยชีวิตเขาได้แล้วล่ะ!”


ตอนที่ 1937 รนหาที่ตาย

เฉว่เหยาไม่แยแสเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ของฝูงชน เขามองจางเซวียน “สหาย ทำไมเราถึงไม่จบเพียงเท่านี้ เป็นธรรมดาที่คนหนุ่มอย่างคุณจะเลือดร้อน แต่ควบคุมไว้บ้างจะดีกว่า เราไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นมิตรสหายกันย่อมดีกว่าเป็นศัตรู คุณไม่คิดอย่างนั้นหรือ?”


“คุณพูดถูก โลกนี้จะน่าอยู่ขนาดไหนถ้าทุกอย่างคลี่คลายได้ด้วยวิธีการสันติ?” จางเซวียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ที่น่าเสียดายก็คือเราไม่ได้อยู่ในโลกอุดมคติแบบนั้น อีกอย่าง ผมไม่คิดจะ เสวนากับพวกสุนัข!”


เฉว่เหยาหน้าตึงขึ้นมาทันที เจตนาสังหารแผ่ซ่านออกจากร่างของเขา


ฝูงชนรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว ในฐานะเจ้าเมืองชวนเจียง เขายอมลดตัวลงมาเจรจาสันติภาพก่อน แต่หมอนั่นบังอาจสับความปรารถนาดีของเขาเละเป็นชิ้นๆ เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้!


อันที่จริง จางเซวียนก็ไม่ได้สุขุมอย่างที่เห็นภายนอก ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ป่านนี้ตั้นเฉี่ยวเทียนผู้มีน้ำใจคงตายไปนานแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเพราะตั้นเฉี่ยวเทียนมีสัญญาผูกมัดการแต่งงานกับเฉว่ชิง


เพื่อรักษาชื่อเสียงของตัวเอง ไม่มีอะไรที่สองคนนั้นจะไม่ยอมลดตัวลงมาทำ เขาไม่มีความอดทนพอจะพูดจาดีๆกับคนชั่วร้ายโหดเหี้ยมอย่างทั้งคู่


“ดูเหมือนคุณจะมั่นใจในความเก่งกาจของตัวเองเหลือเกินนะ ทำไมเราไม่ดวลกันล่ะ?”


เห็นผู้คนออกันเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ เฉว่เหยารู้ดีว่าไม่อาจถอยได้ เขาต้องปกป้องเกียรติยศเกียรติยศและศักดิ์ศรีในฐานะเจ้าเมืองไว้


“เดิมพันคือ 400,000 เหรียญนิรันดร์ แต่เอาเถอะ ขึ้นอยู่กับคุณนะว่าจะตอบรับหรือไม่ ถ้าคุณไม่มีปัญญาหาเงินเพียงเท่านี้ล่ะก็ ผมจะกลับไปนอนแล้ว วันนี้ผมเหนื่อยมาทั้งวัน คุณก็รู้ คนรับใช้ของผมก็ไม่เชื่อฟังคำสั่งของผมเลย…บอกตามตรงนะ ผมไม่รู้จริงๆว่าคุณดูแลเมืองที่มีประชากรเป็นล้านๆได้อย่างไร ในเมื่อแม้แต่ลูกสาวของตัวเองก็ยังดูแลไม่ได้!” จางเซวียนถอนหายใจอย่างผิดหวัง


สำนักเจ้าเมืองของคุณมีเงินเหลือเฟือเพื่อดูแลบ่มเพาะกองทหาร ทำไมไม่เจียดมาให้ผมสักหน่อย?


เฉว่เหยาไม่เคยอยากฆ่าใครมากเท่านี้


หลายปีที่ผ่านมา เขาเป็นที่เคารพยกย่อง แม้แต่ศัตรูก็ยังไม่กล้าพูดกับเขาแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกเหยียดหยามต่อหน้าสาธารณชน


ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้หมอนี่ลอยนวลไปได้


“เจ้าหนุ่ม คุณคิดว่าการปกปิดตัวตนภายในหอนิรันดร์จะทำได้ตลอดรอดฝั่งหรือ? ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้วที่ใครสักคนถูกตามล่าและสังหารในชีวิตจริงหลังจากมีเรื่องกับคนอื่นในหอนิรันดร์” เฉว่เหยาพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่


“ดูเหมือนคุณจะชื่นชอบการอ้อมค้อมเหลือเกินนะ ถ้ามีเงินไม่พอจะเดิมพันล่ะก็ ผมคงต้องขอร้องให้คุณไสหัวไป เวลาของผมมีค่า!” จางเซวียนโบกมือไล่เฉว่เหยาอย่างไม่แยแส


“คุณ…” เฉว่เหยากัดฟันอย่างเคืองแค้น “ก็ได้ ผมตอบรับเดิมพันของคุณ!”


พูดกันตามตรง เงิน 400,000 เหรียญนิรันดร์ถือเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับสำนักเจ้าเมือง แต่ถ้าเขา ไม่ตอบรับเดิมพันก้อนนี้แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายจากไป เกียรติยศศักดิ์ศรีที่เขาสั่งสมไว้ด้วยความยากลำบากตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาจะต้องป่นปี้ไม่มีเหลือ!


เขาแน่ใจที่สุดว่าหมอนี่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อล้างผลาญชื่อเสียงของสำนักเจ้าเมืองหากเขาหันหลังกลับ


มันเรื่องอะไรที่เจ้าเมืองอย่างเขาจะต้องมายุ่งเกี่ยวกับเจ้าหนุ่มตัวปัญหาคนนี้!


เพราะเกรงจะเสื่อมเสียเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จึงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และกติกามารยาทของการประลองอย่างเคร่งครัด ถือเป็นมารยาททางสังคมที่เหล่าชนชั้นสูงให้ความสำคัญ


แต่เจ้าหนุ่มคนนี้ดูจะไม่มีตาไว้มองกฎกติกาใดๆเลย


รู้ดีว่าลูกสาวของเขาคือต้นเหตุของความยุ่งยากทั้งมวล เฉว่เหยาส่งสายตาเชือดเฉือนใส่ ทำให้เฉว่ชิงตัวสั่นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันไปคำรามใส่จางเซวียนด้วยความหงุดหงิด “เร็วเข้าเถอะ!”


จางเซวียนส่งยิ้ม จากนั้นก็โบกมือและขยับที่ทางบนสังเวียนประลอง “คุณออกตัวก่อนได้เลย”


“ขอผมอธิบายให้เข้าใจตรงกันก่อนนะ เดิมพันของเราไม่ได้อยู่บนกฎเกณฑ์ของสังเวียนประลองแห่งนี้ แต่เป็นการดวลแบบชี้เป็นชี้เป็นชี้ตาย!” เฉว่เหยาพูด ยังไม่รีบร้อนออกตัว “คุณมั่นใจได้เลยว่าผมจะมอบเงิน 400,000 เหรียญนิรันดร์ให้หากคุณชนะ แต่ถ้าผมชนะ คุณจะต้องบอกตัวตนที่แท้จริงของคุณให้ผมรู้ อีกอย่าง ผมต้องการให้คุณไปที่สำนักเจ้าเมืองและกล่าวคำขอโทษตัวผมกับลูกสาวของผมด้วย!”


ขอแค่เขาได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของหมอนี่ ก็จะต้องเอาคืนอย่างสาสม หมอนี่จะต้องตกนรกทั้งเป็น!


“ไม่มีปัญหา!” จางเซวียนตอบห้วนๆ


“ก็ดี เราจะวางเดิมพันกันได้หรือยัง?”


เฉว่เหยาโบกมือ จากนั้นก็ยื่นบัตรนิรันดร์ของเขาให้สาวน้อยที่ทำหน้าที่ลงทะเบียน


วิ้งงงง!


เกิดแสงสว่างเจิดจ้า ข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ระบุว่าเฉว่เหยาทุ่มเงิน 4 แสนเหรียญนิรันดร์เข้าสู่การดวลเป็นที่เรียบร้อย


เห็นความตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย จางเซวียนกระดิกนิ้วขณะยื่นข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนและที่อยู่ของเขาให้สาวน้อยเช่นกัน


เกิดแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง ถ้อยคำที่ระบุว่าจางเซวียนทำตามเงื่อนไขปรากฏขึ้นกลางอากาศ


ถึงตัวตนของนักรบผู้หนึ่งในหอนิรันดร์จะเป็นตัวตนสมมติ แต่ก็เฉพาะกับสายตาของนักรบคนอื่นๆเท่านั้น หากเป็นตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล ระบบจะสามารถระบุที่อยู่ที่แท้จริงและตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้งานได้ผ่านทางหยดเลือด


“ดี เริ่มเลย!”


เมื่อจัดการเดิมพันเป็นมั่นเหมาะแล้ว เฉว่เหยาเดินตรงไปที่รางอาวุธอย่างไม่ลังเลและคว้ากระบี่เล่มใหญ่ขึ้นมาเล่มหนึ่ง


ความเชี่ยวชาญของเขาไม่ได้อยู่ที่ศิลปะเพลงดาบ แต่เป็นศิลปะเพลงกระบี่!


“ผมจะไม่เอาเปรียบคุณหรอก ในเมื่อคุณใช้กระบี่ ผมก็จะใช้เหมือนกัน” จางเซวียนพูดขณะคว้ากระบี่อีกเล่มหนึ่งที่มีหน้าตาแบบเดียวกันขึ้นจากคลังอาวุธ


“เขาใช้กระบี่ได้ด้วยหรือ?”


“แต่เขาเป็นนักดาบนี่ ถ้าใช้กระบี่ จะไม่เป็นการลดทอนประสิทธิภาพของตัวเองหรือไง?”


ฝูงชนพากันงงงัน


หลังจากผ่านการดวล 9 นัดอันน่าทึ่ง ก็ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่ไม่รู้ว่าเจ้าโลกคือนักดาบตัวจริงที่ยืนหยัดต้านทานได้แม้แต่กับเหล่าศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน


แล้วนักดาบคนหนึ่งจะมาใช้กระบี่แทน…เขาเสียสติหรือเปล่า?


“คุณรนหาที่ตายแล้ว!”


เฉว่เหยามั่นอกมั่นใจในความเก่งกาจของตัวเอง แต่แม้ตัวเขาก็ยังลังเลเล็กน้อยที่จะต้องเผชิญหน้ากับการโยนดาบของจางเซวียนหลังจากเห็นแล้วว่าคู่ต่อสู้ผู้ไร้เทียมทานมากมายต้องถูกสอยร่วงเพราะกระบวนท่านั้น แต่ลงท้าย…อีกฝ่ายก็กลับตัดสินใจอย่างโง่เขลาด้วยการเลือกจะท้าทายเขาในศิลปะเพลงกระบี่ เฉว่เหยาได้แต่คำรามเยาะ


กระบี่และดาบอาจดูคล้ายคลึงกัน แต่ความแตกต่างข้อใหญ่เรื่องขนาดและน้ำหนักของมันทำให้มีวิธีใช้งานแตกต่างกันมาก ดังนั้น ผู้ที่คุ้นชินกับการถือดาบจะพบว่าไม่อาจสำแดงพละกำลังการต่อสู้ออกมาได้ดังเดิมเมื่อใช้กระบี่ ซึ่งในทางกลับกันก็เป็นเช่นนั้น


หายากมากที่จะได้เห็นใครสักคนเข้าถึงความเชี่ยวชาญสูงสุดทั้งในศิลปะเพลงดาบและศิลปะเพลงกระบี่


ยอมละทิ้งพละกำลังของตัวเอง ลดทอนความสามารถของตัวเองเสียอย่างนั้น…ได้สิ ผมจะทำให้คุณเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการตัดสินใจครั้งนี้!


ฟึ่บ!


เฉว่เหยาสะบัดข้อมือและปล่อยกระแสกระบี่ฉีหลายสายออกมา กระแสกระบี่ฉีนั้นเข้าพันรอบตัวจางเซวียนทันที สกัดกั้นหนทางเคลื่อนไหวของเขาไว้ พร้อมกันนั้น เฉว่เหยาก็พุ่งเข้าใส่พร้อมกับชี้กระบี่ไปที่จางเซวียน


ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นเลิกคิ้ว “ไม่แปลกใจแล้วที่เขาได้เป็นเจ้าเมืองชวนเจียง”


หากมองเผินๆ ศิลปะเพลงกระบี่ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นดูออกว่าเทคนิคนี้มีความหลากหลายออกไปถึง 49 รูปแบบ ไม่ว่าจางเซวียนจะเคลื่อนไหวไปทางไหน เฉว่เหยาก็มีวิธีรับมือและเล่นงานเขาได้


ลงท้าย จางเซวียนก็จะต้องจนมุมและพ่ายแพ้


ต่อให้ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นเองก็ยังรับมือกับกระบวนท่าแบบนี้ได้ยาก


“นั่นคือกระบวนท่าเหมันต์สีเงินของท่านเจ้าเมือง!”


“ผมเคยได้ยินเรื่องนี้ ว่ากันว่าเมื่อครั้งที่เจ้าเมืองอายุเพียง 27 ปี ในค่ำคืนหนึ่งที่แสงจันทร์สีเงินสุกสกาวอยู่เหนือทุ่งหิมะ สะกดทุกสายตาให้จังงัง ค่ำคืนนั้นเองที่ท่านเจ้าเมืองเกิดแรงบันดาลใจและคิดค้นกระบวนท่านี้ขึ้น!”


“ก็เหมือนกับแสงจันทร์สีเงินที่สุกสกาวทั่วทั้งทุ่งหิมะ ไม่มีวิธีไหนที่จะหลบหนีหรือซ่อนตัวจากศิลปะเพลงกระบี่ของเขาได้ ก็เพราะเทคนิคนี้ที่ทำให้ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้นำในสังเวียนประลองที่นี่!”


“คุณคิดว่าเจ้าโลกจะรับมือกับกระบวนท่านี้ไหวไหม?”


…..


ผู้ที่มีทรัพยากรมากพอจะซื้อหาตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลและเข้าสู่หอนิรันดร์ได้ล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญ แม้พวกเขาจะยังอ่อนด้อยหากเปรียบเทียบกับจางเซวียน แต่ความสามารถในการหยั่งรู้ก็มีพอตัว


พวกเขาดูออกว่ากระบวนท่าของเฉว่เหยามีอะไรลึกซึ้งกว่าที่เห็น ส่วนใหญ่คิดว่าเจ้าโลกคงต้องพ่ายแพ้ในการดวลนัดนี้


“ไม่เลว ผมขอชื่นชมที่คุณใช้กระบวนท่านี้ได้…” จางเซวียนก็ไม่ต่างจากฝูงชน ออกจะอัศจรรย์ใจเล็กน้อยกับกระบวนท่าของเฉว่เหยา เขาย่นหน้าผาก จากนั้นก็ครุ่นคิดหนัก


เราควรใช้พละกำลังของเราเพียง 1 ใน 10…หรือ 1 ใน 5 ดี?


ถึงอย่างไร ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่ได้อ่อนแออย่างคนอื่นๆที่เขาเคยเจอ อีกฝ่ายมีประสบการณ์การต่อสู้มากกว่าคนอื่นๆ และดูเหมือนจะเล่นงานเขาได้…พละกำลังเพียง 1 ใน 10 อาจไม่พอจะยับยั้งอีกฝ่าย แต่ถ้าเป็น 1 ใน 5, ก็น่าจะเล่นงานอีกฝ่ายได้จบในคราวเดียว!


ชื่อเสียงแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ!


ถ้าใครต่อใครรู้ว่าเขาเก่งกาจพอจะจัดการได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแม้แต่กับท่านเจ้าเมือง ก็คงไม่มีใครกล้ายอมรับคำท้าดวลของเขาและเป็นถุงเงินถุงทองให้เขาสูบได้อีก


ก็ตามนั้น เราคงต้องนอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัวต่อไป!


“ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า เริ่มด้วยพละกำลังที่ 1 ใน 8 ก็แล้วกัน เราจะยื้อการต่อสู้ออกไปสักหน่อย ก่อนจะหาโอกาสเหมาะๆเล่นงานเขาทีหลัง…” จางเซวียนรีบตัดสินใจก่อนจะพุ่งเข้าใส่พร้อมกับกระบี่ของเขา


การเคลื่อนไหวของจางเซวียนไม่มีทั้งความลึกซึ้งและสง่างาม กระบี่ในมือของเขาดูแสนจะธรรมดาสามัญ แต่เหมือนกับมีปราการอันแข็งแกร่ง เขาสามารถปัดป้องการโจมตีอย่างไม่ลดละของเฉว่เหยาออกไปได้ทุกครั้ง


ในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็ปะทะกันไปกว่า 20 ครั้ง


“ผู้อาวุโสลู่ คุณคิดว่าใครจะชนะ?” อวิ๋นเฟยหยางซึ่งไม่มีความเข้าใจในศิลปะเพลงกระบี่มากนักตั้งคำถาม


ทั้งกลุ่มที่เหลือรีบหันมามอง


“ผมเชื่อว่าท่านเจ้าเมืองกำลังถือไพ่เหนือกว่า” ผู้อาวุโสลู่ตอบพร้อมกับพยักหน้าอย่างคนรู้ดี


“ถ้าอย่างนั้น ท่านเจ้าเมืองจะเป็นฝ่ายชนะหรือ?”


“มีความเป็นไปได้สูง แม้เจ้าโลกจะรับมือการโจมตีของเจ้าเมืองได้ดี แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าโลกไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงกระบี่มากนัก นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาถูกบีบให้ต้องเป็นฝ่ายปัดป้อง ไม่อาจปล่อยการโจมตีอย่างจังๆใส่ท่านเจ้าเมืองได้ ส่วนศิลปะเพลงกระบี่ของท่านเจ้าเมืองก็มีความสมดุลกันทั้งในด้านความเร็วและพละกำลัง ทุกการเคลื่อนไหวของเขาส่งผลให้กระบี่มีพละกำลังหนักหน่วง ซึ่งในที่สุดก็จะทำลายปราการการป้องกันตัวของเจ้าโลกได้!” ผู้อาวุโสลู่ตอบอย่างสุขุมขณะลูบเครา


ผู้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เป็นเจ้าเมืองและรั้งตำแหน่งมาได้ยาวนานย่อมมีความเก่งกาจเหนือชั้นกว่าคนอื่นๆ


“เข้าใจแล้ว” อวิ๋นเฟยหยางกับพรรคพวกพยักหน้ารับ


จากการวิเคราะห์ตามมุมมองของผู้อาวุโสลู่ สิ่งที่เกิดขึ้นบนสังเวียนก็ดูจะเป็นไปตามนั้น


ตอนที่ 1938 ต้องจบให้เร็วที่สุด!

ในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนจะเกิดพายุหิมะขึ้นบนสังเวียน ปล่อยบรรยากาศเย็นยะเยือกออกไปโดยรอบ ทุกกระบวนท่าและการโจมตีของเจ้าเมืองเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดที่สังเวียนประลองเริ่มเกิดรอยร้าว


“น่าทึ่งจริงๆ!” จางเซวียนพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น


เขาใช้พละกำลังถึง 1 ใน 8 แต่เฉว่เหยาก็ยังควบคุมทิศทางการต่อสู้ไว้ได้ด้วยเทคนิคอันแข็งแกร่ง


อันที่จริง ต่อให้เขาใช้พละกำลัง 1 ใน 7 การต่อสู้ครั้งนี้ก็ยังยืดเยื้ออยู่ดี


เขาคงต้องใช้พละกำลังอย่างน้อย 1 ใน 6 เพื่อให้ได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด


นี่คือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดที่จางเซวียนเคยเจอนับตั้งแต่มาถึงมิติเบื้องบน…เขาเพิ่งจะฟื้นคืนสติได้เพียงวันเดียวเท่านั้น แต่ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ทดสอบทักษะของตัวเอง


ขณะที่จางเซวียนเริ่มจะพลิกมาถือไพ่เหนือกว่า ความพรั่นพรึงในดวงตาของเฉว่เหยาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


เหมือนอย่างที่คนอื่นๆพูดไว้ ศิลปะเพลงกระบี่ที่เขาสำแดงออกมาคือกระบวนท่าเหมันต์สีเงิน เทคนิคนี้ทำให้เขารักษาพละกำลังและความเร็วในการโจมตีอย่างต่อเนื่องไว้ได้ ขอแค่เขามีเวลามากพอ ก็จะกลายเป็นนักสู้ผู้บ้าคลั่งในสังเวียน สามารถฉีกกระชากทุกอย่างที่ขวางทาง


แต่วันนี้อะไรๆดูจะไม่เป็นไปตามคาด เขาคิดว่าเขาน่าจะเล่นงานอีกฝ่ายได้ในทันทีที่ผนึกเอาพละกำลังและความเร็วเต็มพิกัดเข้าด้วยกัน…แต่ใครจะไปคิดว่าหมอนี่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเมื่อการต่อสู้ดำเนินไป!


มือไม้ของเขาเป็นเหน็บชาไปหมดเพราะการใช้พลังเต็มพิกัด ง่ามนิ้วก็มีเลือดไหลซึม


“ต้องจบให้เร็วที่สุด!”


อาการบาดเจ็บที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจะส่งผลขัดขวางประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขา และนั่นจะเป็นโอกาสให้เจ้าโลกพลิกผันสถานการณ์มาเอาชนะได้ รู้ดีว่าจะต้องไม่ปล่อยให้การต่อสู้ยืดเยื้อ เฉว่เหยาตัดสินใจทุ่มสุดตัว เขาคำรามกร้าวและพุ่งกระบี่เข้าใส่


ฟิ้ววววว!


กระแสกระบี่ฉีทั้งหมดที่เฉว่เหยาปล่อยเข้าใส่จางเซวียนรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นพายุทอร์นาโดลูกใหญ่


พละกำลังที่แท้จริงของกระบวนท่าเหมันต์สีเงินไม่ได้อยู่ที่การผนึกเอาพละกำลังของกระบี่เข้าด้วยกัน แต่เป็นการปล่อยกระแสกระบี่ฉีจากการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งให้อบอวลอยู่ในพื้นที่การประลอง ซึ่งจะทำให้เขาเปิดการโจมตีขั้นเด็ดขาดที่มีพละกำลังรุนแรงเกินพิกัดของตัวเองได้!


“กระเสือกกระสนไปให้พอใจ ถึงอย่างไรคุณก็แพ้แน่” เฉว่เหยาคำรามใส่จางเซวียนขณะที่หัวใจเต้นรัวอยู่ในอก


นี่คือเทคนิคเหนือชั้นที่สุดของเขาหรือ?


เห็นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายทรงพลังขึ้นเรื่อยๆจนถึงระดับที่ต่อให้ใช้พละกำลัง 1 ใน 6 ก็ยังรับมือได้ยาก จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะตัดสินใจ “ช่างมันเถอะ เราต้องโจมตีแล้ว!”


แต่หลังจากใช้ความคิด ก็ยังรู้สึกว่าศิลปะเพลงกระบี่เทียบฟ้าที่เขาได้ฝึกฝนมาออกจะทรงพลังไปหน่อย จางเซวียนจึงกระดิกนิ้วเบาๆ แล้วกระบี่ในมือของเขาก็พุ่งแหวกอากาศออกไป


“เทคนิคนี้ใช้กับกระบี่ได้ด้วยหรือ?” อวิ๋นเฟยหยางกับพรรคพวกถึงกับจังงัง


พวกเขาดูออกว่าชายหนุ่มตั้งใจจะโยนกระบี่ออกไปเหมือนกับที่เคยโยนดาบใส่พวกเขา


แต่มันจะได้ผลหรือไง? ทั้งรูปร่างและน้ำหนักของกระบี่กับดาบนั้นต่างกันมาก ซึ่งความแตกต่างเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงผลลัพธ์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำแบบนี้จะดีหรือ?


ก่อนที่ความสงสัยของพวกเขาจะเพิ่มมากขึ้น กระบี่ก็พุ่งหวือแหวกอากาศออกไปด้วยเสียงดังสนั่น


ฟึ่บ!


เพียงชั่วพริบตา มันก็ไปจ่อตรงหน้าเฉว่เหยา


เฉว่เหยาหน้าแดงก่ำ เขารีบเงื้อกระบี่ขึ้นเพื่อปัดป้อง แต่ก็พบว่าการตอบโต้ของเขาพลาดเป้า


ฉึกกกก!


กระบี่นั้นเสียบเข้าที่ศีรษะของเขาอย่างเหมาะเจาะ


แม้ในตอนนั้นเฉว่เหยาจะแพ้แล้ว แต่ด้วยพละกำลังสูงส่งในฐานะนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ เขาจึงยังคงสภาพร่างของตัวเองไม่ให้สลายเป็นอากาศธาตุได้ครู่หนึ่ง


“คุณ…คุณเอาชนะผมได้ตั้งแต่แรกเลยหรือ?” เฉว่เหยาจ้องจางเซวียนด้วยนัยน์ตาเบิกโพลงจนแทบทะลุออกจากเบ้า


เขาได้ยินเรื่องร่ำลือมามากว่าอีกฝ่ายมีความเชี่ยวชาญในการโยนดาบ


เขาคิดว่าเหตุผลที่หมอนี่ไม่ได้โยนอาวุธใส่เขาก็เพราะไม่อาจสำแดงเทคนิคอันทรงพลังแบบเดิมกับกระบี่ได้ แต่ข้อสันนิษฐานของเขาไม่เป็นความจริง…คู่ต่อสู้ใช้เทคนิคเดิมกับกระบี่ได้ แถมยังทำได้อย่างง่ายดายด้วย


การขว้างกระบี่นั้นทรงพลังเสียจนเขาไม่อาจปัดป้องได้แม้จะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ถ้าหมอนี่ใช้กระบวนท่านี้ตั้งแต่แรก เขาคงไม่มีโอกาสได้ต่อสู้


พูดอีกอย่างก็คือ ที่ผ่านมาคู่ต่อสู้แค่เล่นเกมกับเขา ทุกอย่างที่เขาทำลงไปคงดูไม่ต่างอะไรกับปาหี่ในสายตาของอีกฝ่าย


“คุณยอมควักเงินตั้ง 400,000 เหรียญนิรันดร์เพื่อการดวลครั้งนี้ คงน่าเสียดายมากถ้าต้องพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว ผมก็เลยเพิ่มมูลค่าให้เงินของคุณอีกหน่อยด้วยการยื้อการดวลให้ยาวนานออกไป…” จางเซวียนสารภาพด้วยความอับอาย


พลั่ก!


เฉว่เหยากระอักเลือดออกมา


เพิ่มมูลค่าเงินกับผีอะไร!


ถ้าคุณอยากเพิ่มมูลค่าเงินให้ผมจริงๆ อย่างน้อยก็ควรจะบอกว่าคุณใช้พละกำลังสูงสุด! ไอ้การเปิดเผยทีหลังว่าที่ผ่านมาคุณออมมือให้ผมมาตลอดนี่…ผมควรจะรู้สึกดีหรือไง?


เพ้อเจ้อเหลวไหลอย่างไร้ยางอาย!


“ผมจะยอมแพ้ แต่ก็เห็นชัดเจนแล้วว่าคุณไม่ได้ใช้พละกำลังเต็มพิกัด ผมอยากรู้ว่าคุณใช้พละกำลังของคุณไปแค่ไหน?” เฉว่เหยารวบรวมลมหายใจเฮือกสุดท้ายตั้งคำถาม


การที่อีกฝ่ายยังรับมือกับเขาได้ทั้งที่เขาเพิ่มพละกำลังและความเร็วของศิลปะเพลงกระบี่แล้ว ก็หมายความว่าหมอนี่ต่อสู้กับเขาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ซึ่งในเมื่อเป็นแบบนั้น ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วอีกฝ่ายทรงพลังแค่ไหน


“ผมใช้พละกำลังแค่ไหนหรือ?” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจตอบตามจริง


“คุณไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เหยาะแหยะเหมือนคนอื่นๆ คุณทำให้ผมปล่อยพละกำลังออกมา 0.1666666666… เอาเถอะ คุณคงเข้าใจเรื่องทศนิยมไม่รู้จบใช่ไหม?”


“อะไรนะ?” เฉว่เหยาชะงัก


ผมถามคุณว่าคุณสำแดงพละกำลังออกมาแค่ไหน แล้วเป็นบ้าอะไรถึงพูดตัวเลข 6 ออกมาเป็นชุดยืดยาวขนาดนั้น?


ฟึ่บ!


เมื่อต้านทานไม่ไหว ร่างของเฉว่เหยาสลายไปทันที


บริเวณนั้นเงียบงัน ขณะที่ฝูงชนพากันเลิกคิ้ว


พวกเขาไม่คิดว่าเจ้าโลกจะพูดความจริง เพราะไอ้จุดทศนิยมมากมายนั่นคืออะไร? ในโลกนี้ไม่มีใครควบคุมพละกำลังได้ละเอียดลออขนาดนั้น!


ทศนิยมไม่รู้จบ? ไม่รู้จบบ้านคุณน่ะสิ!


จะทำตัวให้เหมือนผู้เชี่ยวชาญกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ?


ขณะที่ทุกคนกลอกตาใส่เจ้าโลก เฉว่ชิงก็หน้าซีดเผือดด้วยความพรั่นพรึง


เธอพอเข้าใจการที่หัวเจียงเหอพ่ายแพ้ให้กับเจ้าโลก เพราะถึงอย่างไร เขาก็ยังหนุ่มและยังไม่ได้เข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเอง แต่ท่านพ่อของเธอเป็นถึงเจ้าเมืองชวนเจียง, นักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติ ในแง่ของความเข้าใจเรื่องวรยุทธและความเชี่ยวชาญในเทคนิคการต่อสู้ เขาเข้าถึงระดับที่ลึกซึ้งแม้จะเทียบกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญของเมืองแสงดาว แต่ท่านพ่อก็ยังเอาชนะเจ้าโลกไม่ได้เมื่อวรยุทธของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน…


หมอนั่นโผล่มาจากไหน? ทรงพลังขนาดนั้นได้อย่างไร?


ถ้ามีคนแบบนี้อยู่ในเมืองแสงดาว ป่านนี้ชื่อเสียงของเขาก็น่าจะโด่งดังแล้ว


“ตอนนี้เราก็แค่อยู่ห่างจากหอนิรันดร์ไว้ เราไม่เชื่อหรอกว่าหมอนั่นจะกล้าไปสร้างความวุ่นวายที่สำนักเจ้าเมือง ถ้าทำอย่างนั้นก็เท่ากับรนหาที่ตาย!” เฉว่ชิงกำหมัดแน่นขณะตัดสินใจเด็ดเดี่ยว


จะเป็นคนรับใช้หรือไม่เป็น? ขอแค่เธอไม่เข้าสู่หอนิรันดร์ หมอนั่นจะทำอะไรเธอได้?


ถึงเจ้าโลกจะเอาชนะท่านพ่อของเธอได้ที่นี่ แต่เธอก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งกว่าท่านพ่อ


หลังจากบอกตัวเองเป็นมั่นเหมาะ เฉว่ชิงรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก


ฟึ่บ!


เกิดแสงสว่างวาบก่อนที่ร่างของเธอจะหายวับไป


“พวกคุณนี่ไม่เอาไหนเลย ถามหาความจริงทำไมในเมื่อรับไม่ได้?” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างระอาและถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขาดูออกว่าเฉว่เหยากับฝูงชนที่ชมการดวลไม่เชื่อเขา ในฐานะผู้รักความสมบูรณ์แบบ หากเขาพูดออกไปว่าสำแดงพละกำลังเพียงแค่ 1 ใน 6 ของที่มี ก็หมายความว่าเขาใช้พละกำลัง 1 ใน 6 ของที่มีจริงๆ ซึ่งจะเท่ากับ 0.1666666…


เขาก็ตรงไปตรงมาสุดๆแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อ…ทำตัวเป็นคนดีนี่มันยากจริง!


จางเซวียนถอนหายใจอีกเฮือก เขาเดินลงจากสังเวียนประลองและมุ่งหน้าไปยังเคาน์เตอร์ลงทะเบียน จางเซวียนทำลายหลักฐานที่บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่และตัวตนของเขาไว้ก่อนจะยื่นบัตรนิรันดร์ออกไป


เพราะหัวเจียงเหอเสียชีวิตพร้อมกับอาวุธของเฉว่ชิง อาวุธนั้นจึงถูกส่งคืนกลับสู่ระบบโดยอัตโนมัติ และมูลค่าของมันจะตกเป็นของจางเซวียน ตอนนี้เขาจึงมีเงินอยู่ในบัตรทั้งหมด 600,000 เหรียญนิรันดร์


จางเซวียนรีบใช้เงินซื้อแหวนเก็บสมบัติคุณภาพดีวงหนึ่ง และขณะที่กำลังจะออกจากหอนิรันดร์ ชายผู้หนึ่งที่เขาเคยเอาชนะตอนอยู่บนสังเวียนประลอง, เมฆผงาด ก็เดินเข้ามาพร้อมกับสมุดแนะนำตัวเล่มหนึ่งในมือ


“ผู้อาวุโสเจ้าโลก, ผู้อาวุโสลู่จากสำนักของเราอยากขอพบคุณเป็นการส่วนตัว ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณสะดวกไหม?”


“ผู้อาวุโสลู่?” จางเซวียนพึมพำ


ในเมื่อเมฆผงาดมาจากสำนักดาบเมฆเหิน ก็แปลว่าผู้อาวุโสลู่ที่เขาพูดถึงคือผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนัก?


“ก็ได้” จางเซวียนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาพยักหน้าโดยไม่ลังเล


ผู้ที่จะได้เป็นผู้อาวุโสของ 1 ใน 6สำนักใหญ่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับมิติเบื้องบนไม่น้อย นี่คือโอกาสดีที่เขาจะได้เรียนรู้เรื่องราวของกลุ่มอำนาจต่างๆในมิติเบื้องบน โดยเฉพาะตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ


ตอนที่จางเซวียนอยู่ที่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ด้วยการพลีชีพของหวู่เฉิน พวกเขาเรียกเทพเจ้าจากมิติเบื้องบนมาได้ ซึ่งอีกฝ่ายพูดว่าเธอจะยอมเปิดเผยที่อยู่ของหลัวลั่วชิงก็ต่อเมื่อเขาสามารถเข้าสู่ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ นี่คือคำบอกใบ้ที่ชัดเจนที่สุดสำหรับการตามหาหลัวลั่วชิง


จางเซวียนตามหลังเมฆผงาดไป ไม่ช้าก็มาถึงห้องที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา


นอกจากสังเวียนสำหรับการดวลอย่างเป็นทางการ หอนิรันดร์ยังมีสถานที่พิเศษให้นักรบได้เจรจาหารือกันอย่างเป็นส่วนตัวด้วย ห้องลับพวกนี้เป็นที่มั่นใจได้เรื่องความเป็นส่วนตัว ไม่ว่าคนในห้องจะพูดอะไร ผู้ที่อยู่ด้านนอกจะไม่มีทางได้ยินสักคำ


ชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่ใจกลางห้อง มีชายอีก 4 คนยืนอยู่ด้านหลัง ซึ่งก็คือคู่ต่อสู้ทั้ง 4 ที่จางเซวียนปราบจนราบคาบในสังเวียนประลอง แต่ละคนมีสีหน้ากระอักกระอ่วน ไม่มีใครเต็มใจจะสบตาเขา


น่าประหลาดใจที่นัยน์ตาวารีก็อยู่ในกลุ่มคนทั้ง 4 ด้วย ดูเหมือนเขาจะได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันใหม่และกลับเข้ามาอีกครั้ง


ทันทีที่จางเซวียนเดินเข้าไป ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นรีบลุกขึ้นยืนและแนะนำตัวอย่างสุภาพ “ผมคือผู้อาวุโสฝ่ายนอกของสำนักดาบเมฆเหิน, ลู่อวิ๋น”


“ยินดีที่ได้พบคุณ ผู้อาวุโสลู่!” จางเซวียนประสานมือและทักทาย “ผมคือเจ้าโลก”


ตอนที่ 1939 ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?

ในเมื่อเจตนาการเชื้อเชิญของอีกฝ่ายยังไม่ชัดเจน เขาก็ไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง


แม้จางเซวียนจะมั่นใจว่าไม่มีใครเหนือชั้นไปกว่าเขาได้ในหอนิรันดร์ แต่ในโลกของความเป็นจริง ตัวเขาเป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติเท่านั้น แข็งแกร่งพอที่จะเป็นใหญ่ได้แค่ในเมืองเล็กๆอย่างเมืองชวนเจียง หากเป็นเมืองแสงดาวและเมืองที่อยู่ในระดับขั้นสูงกว่า ก็น่าจะมีผู้เชี่ยวชาญอีกมากมายที่ทรงพลังกว่าเขา


“ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรหรอก” การที่เจ้าโลกเลือกแนะนำตัวโดยใช้ฉายาแทนชื่อจริงทำให้ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นรู้ว่าอีกฝ่ายยังระแวง


เขายิ้มอย่างสุภาพ “ผมได้ดูบันทึกภาพการดวลระหว่างคุณกับพวกเขาแล้ว ความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของคุณจัดว่าไร้เทียมทานจริงๆ…แต่ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณกำลังเข้าสู่ด่านคอขวดในศิลปะเพลงดาบ สำหรับผู้ที่มีความสามารถระดับคุณ การจะพัฒนาตัวเองให้เหนือชั้นไปกว่านี้ย่อมไม่ง่าย คุณต้องการทรัพยากรและคำชี้แนะ หากคุณยังคงเป็นนักรบพเนจรต่อไป ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่มีวันก้าวข้ามด่านคอขวดไปได้…”


“ผมจึงอยากเชื้อเชิญด้วยความจริงใจให้คุณเข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหินของเรา!”


ศิลปะเพลงดาบของนักรบคนหนึ่งสะท้อนถึงบุคลิกของผู้นั้น ซึ่งสิ่งที่ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นรู้สึกได้จากศิลปะเพลงดาบของจางเซวียนคือความเด็ดเดี่ยว เขาจึงตัดสินใจตรงเข้าประเด็น


“คุณเชิญผมให้เข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหินหรือ?” จางเซวียนเข้าใจว่าผู้อาวุโสลู่อวิ๋นเรียกตัวเขามาเพื่อคิดจะสั่งสอนบทเรียน จึงคลายความระแวดระวังลงเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากเชิญเขา


“หัวเจียงเหอกับเฉว่เหยาเทียบชั้นกับคุณไม่ได้เมื่อมีวรยุทธระดับเดียวกัน ด้วยความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของคุณ คุณจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในทันทีที่เข้าสู่สำนักของเรา ในฐานะศิษย์สายตรงฝ่ายใน คุณจะได้เล่าเรียนศิลปะเพลงดาบชั้นสูง อีกทั้งมีผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบอีกมากมายให้คุณได้แลกเปลี่ยนความรู้และดวลกับพวกเขา ผมเชื่อว่าคุณจะก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้!”


การที่จางเซวียนเอาชนะศิษย์พี่หมายเลข 1 ของบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายนอกได้อย่างง่ายดายก็หมายความว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน


“เอ่อ…ผมเกรงว่าคงต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบก่อน” จางเซวียนยังไม่ตอบรับ


สำนักดาบเมฆเหินคือหนึ่งในกลุ่มอำนาจหลักของมิติเบื้องบน ถ้าเขาสามารถใช้เส้นสายนี้เพื่อตามหาหลัวลั่วชิง อะไรๆก็จะสะดวกและง่ายกว่าเดิมมาก


แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน แม้สำนักดาบเมฆเหินจะมอบความปรารถนาดีให้ แต่เขาก็ต้องมีความจงรักภักดีเป็นการตอบแทน ซึ่งจางเซวียนไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการเมืองระหว่าง 6 สำนักใหญ่ และไม่อยากพัวพันกับกิจธุระของพวกนั้น มันจะเป็นปัญหายุ่งยากยืดเยื้อถ้าเขาตัดสินใจเข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหิน


“ได้สิ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ผมก็ไม่คาดหวังให้คุณให้คำตอบตอนนี้หรอก” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพยักหน้า


“ผู้อาวุโสลู่ มีบางคำถามที่ผมอยากถามคุณ หวังว่าคงไม่เป็นการล่วงเกิน” จางเซวียนมองหน้าผู้อาวุโสลู่อวิ๋น


“ไม่อย่างแน่นอน พูดมาเลย!”


“ไม่ทราบว่า…คุณเคยได้ยินชื่อสถานที่ที่เรียกว่าตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณบ้างไหม?” จางเซวียนถามอย่างกระวนกระวาย


“ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นครุ่นคิดหนักก่อนจะส่ายหน้า “ผมไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่แบบนั้น”


“เข้าใจแล้ว…” จางเซวียนมองหน้าผู้อาวุโสลู่อย่างตั้งใจขณะที่อีกฝ่ายพูด มีความผิดหวังเจืออยู่ในน้ำเสียงของเขา


“ผมเป็นแค่ผู้อาวุโสฝ่ายนอกคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหิน หน้าที่หลักของผมคือชี้แนะบรรดาศิษย์สายตรงรุ่นหลัง เกรงว่าผมจะมีความรอบรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆของทวีปแห่งนี้ไม่มากพอ แต่สำนักของเรามีหนังสือมากมายที่อธิบายรายละเอียดของความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มอำนาจอันหลากหลายในทวีปที่ถูกลืม ผมเชื่อว่าคุณจะได้พบสิ่งที่คุณต้องการจากที่นั่น” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นดูปั่นป่วนใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็รีบตั้งตัวและตอบอย่างสุขุม


แม้ตัวเขาจะมีเกียรติในฐานะหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักดาบเมฆเหิน แต่เรื่องจริงก็คือเขาอยู่ในระดับขั้นต่ำสุด ไม่มีสิทธิ์ได้เข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับหรือได้รู้เห็นเรื่องเหล่านั้น


ในเมื่อตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณที่อีกฝ่ายพูดถึงมีคำว่า ‘เทพเจ้า’ อยู่ ก็เป็นไปได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ซึ่งคนระดับเขาไม่มีโอกาสรับรู้


“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า


อีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอกที่มีหน้าที่รับศิษย์สายตรงระดับล่างและศิษย์สายตรงฝ่ายนอก จึงไม่น่าจะมีความเข้าใจมากมายอะไรในความลับของบุคคลระดับสูงกว่า


“อ้อ ยังมีอีกคำถามหนึ่งที่ผมอยากขอความรู้ ผมรู้ว่าระดับขั้นของวรยุทธแบ่งออกเป็นระดับเซียน ระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ และระดับนักปราชญ์โบราณ แต่ผมอยากรู้ว่าที่สูงไปกว่านั้นคืออะไร?” จางเซวียนถาม


“วรยุทธขั้นสูงสุดของนักปราชญ์โบราณคือผู้ทำลายล้างมิติ ส่วนที่สูงไปกว่านั้นคือวรยุทธขั้นเสมือนอมตะ นักรบขั้นเสมือนอมตะจะไม่สะทกสะท้านต่อเปลวไฟ จิตวิญญาณของพวกเขาบริสุทธิ์ราวกับทองคำ เพียงแค่ใช้ความคิด ก็สามารถทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ ตัวผมในเวลานี้เป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะ เช่นเดียวกันกับท่านเจ้าเมืองของเมืองแสงดาว วรยุทธขั้นเสมือนอมตะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นย่อย คือขั้นเสมือนอมตะระดับล่าง เสมือนอมตะระดับสูง เสมือนอมตะปฐพี และเสมือนอมตะสรวงสวรรค์…”


“…ที่สูงขึ้นไปกว่านักรบขั้นเสมือนอมตะคือนักรบอมตะตัวจริง นักรบอมตะตัวจริงคือผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงในทวีปที่ถูกลืม ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ใน 6 สำนักใหญ่มีวรยุทธระดับนั้น ส่วนผู้ที่พัฒนาตัวเองไปได้ไกลกว่านั้นอีกเป็นที่รู้จักในชื่อนักรบอมตะขั้นสูง พวกเขาได้รับการขนานนามว่าราชาผู้เป็นอมตะ…มีแต่เหล่าผู้อาวุโสคนสำคัญของสำนักดาบเมฆเหินเท่านั้นที่สำเร็จวรยุทธระดับนี้!”


ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นหยุดพูดไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ นี่คือระดับขั้นของวรยุทธทั้งหมดเท่าที่ผมรู้ สรวงสวรรค์นั้นไร้ขอบเขต จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องมีวรยุทธที่สูงไปกว่านักรบอมตะขั้นสูง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมมีสิทธิ์จะได้รับรู้…การฝึกฝนวรยุทธนั้นไม่ง่าย ยากที่จะพัฒนาได้ไกลหากปราศจากกลุ่มอำนาจหนุนหลัง อีกทั้งทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธในโลกใบนี้ก็มีจำกัด ดูเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง คำถามที่คุณเพิ่งถามผมถือเป็นความรู้ทั่วไปในหมู่ศิษย์สายตรงธรรมดาสามัญ แต่คุณยังต้องมา เจาะจงถามผมเป็นพิเศษ!”


“นักปราชญ์โบราณ นักรบเสมือนอมตะ นักรบอมตะตัวจริง นักรบอมตะขั้นสูง” จางเซวียนพยักหน้าขณะบันทึกความรู้เหล่านั้นลงในหัวสมอง


“ด้วยความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของคุณและการแนะนำจากผม คุณจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายในอย่างง่ายดาย ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณพักอยู่ที่ไหน? ถ้าเป็นไปได้ ผมคิดว่าน่าจะดีกว่าหากเราทั้งคู่ได้หารือเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง อีกอย่าง เรื่องนี้สำคัญมากต่ออนาคตของคุณ!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูด


ในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะพูดอะไรกันที่นี่ ก็เป็นเพียงข้อตกลงเลื่อนลอย เขาอยากพบชายผู้นี้เป็นการส่วนตัวในโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายทรงพลังแค่ไหน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นมนุษย์หรืออสูรก็ตาม


“ตอนนี้ผมอยู่ที่เมืองชวนเจียง เชื่อว่าในที่สุดเราก็คงได้พบกัน แต่…ยังมีบางอย่างที่ผมต้องขอรบกวนศิษย์พี่หัว” จางเซวียนพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย


“คุณอยู่ที่เมืองชวนเจียงหรือ?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นสบตากับหัวเจียงเหอทันทีขณะเกิดความกังขาในใจ


มีนักรบที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ในเมืองล้าหลังอย่างเมืองชวนเจียงด้วยหรือ?


“หากเป็นสิ่งที่ผมทำได้ ผมจะทำอย่างดีที่สุด” หัวเจียงเหอประสานมือ


เขาดูออกว่าผู้อาวุโสลู่อวิ๋นตั้งใจจะนำเจ้าโลกเข้าสู่สำนัก ดังนั้น แม้จะไม่ชอบขี้หน้าหมอนี่เท่าไหร่ แต่ก็ ‘อยู่เป็น’ เกินกว่าจะทำอะไรหุนหันพลันแล่นออกไป


“เรื่องเป็นอย่างนี้…” จางเซวียนส่งโทรจิตหาหัวเจียงเหอ เมื่อจบเรื่อง เขาประสานมือและโค้งคำนับ “ผมขอรบกวนศิษย์พี่หัวเรื่องนี้ด้วย ตอนนี้ผมยังมีธุระอื่นที่ต้องจัดการ จึงไม่อยากรบกวนพวกคุณแล้ว ลาก่อน!”


หลังจากได้รู้ในสิ่งที่ต้องการ จางเซวียนก็ไม่อยากจะอยู่ในห้องลับแห่งนี้อีก


เขากลับไปที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าของหอนิรันดร์และสอบถาม “ไม่ทราบว่าที่นี่มีอะไรที่จะทำให้นักรบฟื้นฟูพละกำลังได้อย่างรวดเร็วไหม?”


“ถ้าคุณเป็นนักปราชญ์โบราณ ก็ควรจะทดลองยาเม็ดอมตะขั้นต่ำ ราคาเม็ดละ 100,000 เหรียญนิรันดร์” เจ้าหน้าที่ตอบ


“แม้แต่ขั้นต่ำก็ยังราคาสูงถึง 100,000 เหรียญนิรันดร์หรือ?”


ดูเหมือนหอนิรันดร์จะทำให้จางเซวียนตกใจไม่หยุดไม่หย่อนกับราคาค่างวดของสินค้าแต่ละชิ้น เขารู้สึกเหมือนองค์กรแห่งนี้พยายามทุกวิถีทางที่จะปล้นทุกเหรียญนิรันดร์ที่เขาหามาได้


ด้วยความขี้เหนียว จางเซวียนพยายามสืบเสาะหาข้อมูล ซึ่งก็กลายเป็นว่าราคาเหล่านี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่


โดยทั่วไป ยาเม็ดอมตะจะถูกใช้เป็นอัตราแลกเปลี่ยนในหมู่ชนชั้นสูงของมิติเบื้องบน ด้วยประโยชน์หลากหลายของมัน จึงไม่มีนักรบคนไหนไม่อยากได้ ความต้องการสินค้าชนิดนี้จึงมีอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับหินวิเศษในทวีปแห่งปรมาจารย์


ยาเม็ดอมตะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นย่อย คือยาเม็ดอมตะขั้นต้น ใช้กับนักรบขั้นเสมือนอมตะ, ยาเม็ดอมตะทั่วไป ใช้กับนักรบอมตะตัวจริง และยาเม็ดอมตะขั้นสูง ใช้กับนักรบอมตะขั้นสูง ส่วนยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษนั้นหายากถึงขนาดที่ต่อให้มีเงินก็แทบไม่อาจหาได้ในท้องตลาด มีผู้คนไม่มากนักที่มีโอกาสได้เห็นมัน


ในเมื่อยาเม็ดชนิดนี้เป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้กันทั่วไปในหมู่ชนชั้นสูง อีกทั้งเป็นทรัพยากรในการฝึกฝนวรยุทธที่สำคัญกับนักรบขั้นเสมือนอมตะ จึงพอเข้าใจได้ที่จะมีราคาสูง แต่ถ้าจางเซวียนต้องใช้เงินถึง 100,000 เหรียญนิรันดร์ในการซื้อยาแต่ละเม็ด เงินน้อยนิดที่เขาเพิ่งหาได้ก็คงหมดเกลี้ยงในพริบตา


จางเซวียนใช้เงินที่เหลืออยู่ซื้อยาเม็ดอมตะขั้นต้นเม็ดหนึ่งก่อนจะมองหน้าเจ้าหน้าที่ด้วยความอยากรู้ “ผมถามหน่อยเถอะ ดูเหมือนหอนิรันดร์จะขายทุกอย่าง ไม่ทราบว่าขายหนังสือเทคนิควรยุทธหรืออะไรทำนองนั้นด้วยไหม?”


“ขายสิ” เจ้าหน้าที่พยักหน้า “แต่เทคนิควรยุทธที่เรามีคือเทคนิคที่ผู้คนฝึกฝนกันทั่วไป หากเป็นเทคนิควรยุทธเฉพาะของ 6 สำนักใหญ่ ผมเกรงว่าเราจะไม่มีขาย”


ไม่มีทางที่ 6 สำนักใหญ่จะปล่อยให้เทคนิควรยุทธของตัวเองรั่วไหล หากหอนิรันดร์ทำการลอกเลียนและนำมาขาย ก็คงต้องมีปัญหาเดือดร้อนเพราะความไม่พอใจของ 6 สำนักใหญ่นั้น


หากเป็นแค่การดวล, 6 สำนักใหญ่ก็ไม่มีปัญหาอะไรกับหอนิรันดร์ เพราะไม่ขัดผลประโยชน์ของพวกเขา แต่ถ้าหอนิรันดร์กล้าสั่นคลอนรากฐานของคนเหล่านั้น ก็ย่อมกลายเป็นการระเบิดสงครามเต็มรูปแบบ


เพราะเหตุผลนี้ หอนิรันดร์จึงเติบโตมาได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาและขยายสาขาออกไปทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)