ท่านเทพมาแล้ว 193-204

 บทที่ 193 เงื่อนงำสุดท้าย

โดย

Ink Stone_Romance

อ๋าวเชินน้ำเสียงหนักแน่น กล่าวจบแล้วเขาก็ถอนหายใจช้าๆ “เรื่องนี้ไม่เพียงพวกเจ้าไม่รู้ แม้แต่แม่ของพวกเจ้าก็ไม่รู้เช่นกัน”


เขาพูดแบบนี้ มู่จิ่วถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาป่วยถึงขนาดนี้แล้ว ราชินีมังกรกลับยังไม่เคยมาป้อนยาเลย


ไม่ใช่สมองนางเสื่อม แยกถูกผิดไม่ออก แต่ปีนั้นระบบราชการแต่ละภพสร้างตามหนังสือของลัทธิขงจื๊อเพื่อความสมดุลของหกภพ


ชนชั้นวรรณะของแต่ละภพแต่ละเผ่าพันธุ์ ถึงแม้เทียบกับโลกมนุษย์แล้วมีส่วนที่ปรับเปลี่ยนอย่างเหมาะสม แต่โดยส่วนใหญ่ความคิดที่สามีเป็นผู้นำเป็นที่ยอมรับ แบบนั้นถึงแม้อ๋าวเชินจะทำผิดยิ่งกว่านี้ ราชินีมังกรเป็นภรรยาของเขา ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ออกหน้ามา ทำให้รู้สึกขัดตาอยู่บ้าง


หากราชินีมังกรไม่เห็นอ๋าวเชินอยู่ในสายตาจริง ทำไมนางถึงออกมาร่วมงานเลี้ยงครอบครัวในวันนั้น?


แม้แต่งานเลี้ยงครอบครัวนางยังเข้าร่วมได้ ทำไมกลับไม่อาจมาทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด?


“เจ้าไม่บอกราชินี มิใช่ว่ามีแผนพิเศษอะไรอยู่?” คิดถึงตรงนี้ มู่จิ่วถามคำถามที่สงสัยในใจ


“ไม่มี” อ๋าวเชินอาจยืนจนเหนื่อยแล้ว จึงนั่งลงข้างโต๊ะ “ข้าเพียงรู้สึกว่านางคงไม่สนใจ ก็เลยคร้านจะมากเรื่อง”


พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาช้าลง


ส่วนมู่จิ่วกลับกำลังคิดว่าจะกลับไปรายงานกับหลิวจวิ้นอย่างไร


ในเมื่อตัวอ๋าวเชินเองต้องการกุญแจจันทราหยางมารักษาวิญญาณตน ความเป็นไปได้ที่เขาจงใจกลั่นแกล้งตระกูลอวิ๋นก็ไม่มากนัก แต่ดูจากคุณธรรมของเขาแล้ว ก็พูดได้ไม่ชัดว่าเขาจงใจซ่อนกุญแจจันทราหยางไว้ในตอนนี้เพื่อปกปิดความผิดหรือไม่ ตอนนี้เพียงมั่นใจได้ว่าอวิ๋นเฉี่ยนไม่ได้ป้ายสีอ๋าวเชิน กุญแจจันทราหยินอยู่ในมือเขาจริง และอวิ๋นรองก็ตายแล้ว


ตามหลักเหตุผล ได้ผลลัพธ์เช่นนี้ก็ไม่นับว่ามาเสียเที่ยว แต่อ๋าวเยวี่ยอยู่ไหนเล่า?


ยังมีกุญแจจันทราหยางอีก?


ใครเอามันไป?


ทำไมต้องเอาไป?


วันนั้นลู่ยาคาดเดาว่ากุญแจจันทราหยางหายไปอย่างน้อยห้าร้อยปีแล้ว และพอดีกับตอนที่อ๋าวเชินหยิบกุญแจหยินส่งให้ตระกูลอวิ๋นด้วย อย่างนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่าแต่เดิมเขาซ่อนไว้อย่างดี แต่เพราะตอนหยิบกุญแจหยินมีคนพบเข้า และฉวยโอกาสเอาไป?


คิดถึงตรงนี้นางจึงถาม “ขอบังอาจถาม ราชามังกรใช้กุญแจจันทราหยางรักษาร่างกายอย่างไร?”


อ๋าวเชินเงยหน้าขึ้น “กุญแจหยางฝังอยู่ใต้รากโบตั๋นม่วง โบตั๋นม่วงเป็นรากฐานเซียนที่ปี้เสียหยวนจวินลงมือปลูกเอง มีพลังดูดกลืนส่วนสำคัญในของวิเศษทั้งหมด ข้าเอากลีบดอกโบตั๋นทำชา ปกติจึงไม่มีปัญหา”


“หลายร้อยปีมานี้เจ้าไม่รู้สึกว่าร่างกายมีอะไรผิดปกติหรือ?”


“ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ” อ๋าวเชินพูด “ก็เพราะแบบนี้ ข้าถึงได้ไม่รู้มาตลอดว่ากุญแจจันทราหยางไม่อยู่ใต้ดินแล้ว!”


มู่จิ่วขมวดคิ้วเป็นปม


จากที่เขาพูด กุญแจจันทราหยางมีอานุภาพแข็งแกร่ง ฝังอยู่ใต้ดินก็สามารถให้เขาใช้รักษาร่างกายผ่านโบตั๋นม่วง หลายร้อยปีมานี้เขาไม่เคยรู้สึก เป็นไปได้หรือไม่ว่าพลังที่มันทิ้งไว้ยังคงใช้รักษาวิญญาณได้? ที่จริงตัวโบตั๋นม่วงเองเป็นดอกไม้พิสดาร เวลาหลายร้อยปีอาจไม่เป็นปัญหา


อย่างไรก็ตาม อ๋าวเชินพลันรู้สึกผิดปกติในที่วันนั้นลู่ยาจับเหยี่ยวพิษได้พอดี นี่จะอธิบายอย่างไร?


“ไม่ทราบว่าวันนั้นที่ราชามังกรป่วย เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” นางหยิบกาน้ำชารินน้ำให้เขาพลางพูด


อ๋าวเชินตอบ “ในความเป็นจริง ตอนข้าอยู่ทิวเขาริ้วหยกก็รู้สึกผิดปกติแล้ว แต่หลังจากข้าได้กุญแจจันทราหยินมา ความรู้สึกนี้ก็หายไป บวกกับหลังจากกลับมาพลันพบว่าวังประจิมไสวมีคนบุกรุก พอตื่นตกใจก็ละเลยเรื่องนี้ไป แต่ถึงภายหลังความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงกลับมาอีก และเพิ่มขึ้นรุนแรง หากไม่ใช่เพราะข้านำกุญแจจันทราหยินกลับมา เกรงว่าคนที่ตายคงเป็นข้า”


มู่จิ่วขมวดคิ้วแน่น


อ๋าวเชินพูด “หรือเจ้าคิดอะไรออก?”


นางอ้าปากคิดจะพูดอะไร แต่ใจกลับหยุดชะงัก กลืนคำพูดที่อยู่บนลิ้นกลับลงไป


“ไม่มีอะไร ราชามังกรพักผ่อนก่อนเถิด”


ราชามังกรพยักหน้า เรียกผู้ติดตามเข้ามา “จัดการที่พักให้แม่นางกัว อ๋าวเจียงรับแขกดีๆ”


มู่จิ่วไม่ปฏิเสธ


ออกจากวังมา อาฝูกินอิ่มแล้วหมอบอยู่ตรงระเบียงทางเดิน จ้องคนเดินผ่านไปมาอย่างสงบ มู่จิ่วไม่รู้ว่าเขามองนางยอดเยี่ยมขนาดไหน ถึงมีความมั่นใจในตัวเองอันกล้าแกร่งขนาดนี้ เดินไปที่ไหนก็วางอำนาจที่นั่น แต่ถึงแม้เขาซุกซน นางก็รักเขาอย่างมาก


นางตบๆ หัวให้เขาลุกขึ้น จากนั้นเดินตามอ๋าวเจียงไปยังวังหลัง


ไม่ต้องพูดเลย การต้อนรับนางครั้งนี้เทียบกับมาคราวก่อนแล้วดีขึ้นไม่น้อย นางเดินตามระเบียงทางเดินเข้าไปในวังสามสี่ชั้น ผ่านสวนดอกไม้ฝั่งตะวันออกและสะพานหยก ก็ถึงสถานที่ที่รอบด้านเป็นกลุ่มวังสวยงามละลานตา อ๋าวเจียงเดินเข้าไปพลางพูด “วังสะพานทองทางนั้นแต่ก่อนเป็นวังที่ย่าข้ามาพักชั่วคราว เจ้าพักที่หอกำยานแล้วกัน”


ตอนเขาพูดจบก็มาถึงหน้าลานเล็กที่ปลูกไผ่เขียวกับเถิงหลัวไว้เต็มไปหมด


มู่จิ่วเงยหน้ามองไปไกลๆ เห็นเพียงจุดสูงที่สุดของกลุ่มวังเป็นอาคารเล็กแสบตา ต้องเป็นวังสะพานทองแน่


“ผ่านสวนดอกไม้เล็กข้างหน้าไปก็เป็นวังเทียมบูรพา มีเรื่องอะไร เจ้าก็สามารถมาหาข้าได้”


อ๋าวเจียงพลันก้มหน้าอย่างไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง


มู่จิ่วเหลือบมองเขาคราหนึ่ง ยกมือป้องตามองไปข้างหน้า เป็นวังเทียมบูรพาจริงๆ ตอนปฏิบัติหน้าที่ นางมาเดินเล่นที่สวนดอกไม้เล็กนี่หลายครั้ง มองไปทางทิศตะวันตก ไม้ค้ำยันของวังประจิมไสวเผยให้เห็นครึ่งหนึ่งหลังผืนต้นอู๋ถง


อ๋าวเจียงไม่ได้อยู่นาน สั่งกับพวกผู้ติดตามและเหล่าข้ารับใช้หลายประโยคก่อนเดินไป


คนผู้นี้ไม่รู้ทั้งวันดวงตาตกลงกี่รอบ คงต้องรีบกลับไปปรับอารมณ์


มู่จิ่วพาอาฝูเดินเข้าตำหนัก ในนั้นประดับทองสลักหยกงดงามอย่างมาก


อาฝูยังไม่เคยเห็นภาพแบบนี้ จึงยืนนิ่งอึ้งอยู่กลางวัง จากนั้นกระโดดวิ่งเล่นมุ่งไปยังเตียงเดี่ยวด้านตะวันออก ปีนขึ้นไปกินผลไม้และเนื้อแห้งบนโต๊ะเหลี่ยมตัวเล็ก ไม่นานก็มีข้ารับใช้ยกกล่องอาหารเข้ามาวางกับข้าว มู่จิ่วไม่อยากอาหาร นำเนื้อทั้งหมดให้อาฝู นางเงยหน้ามองโคมไฟนอกหน้าต่าง วางตะเกียบเดินออกประตูไป


นอกประตูมืดสลัว มีเพียงโคมที่ระเบียงทางเดินส่องแสงรำไรออกมาหลายจุด


ต้นไม้ที่ออกดอกในลานโยกไหวเบาๆ ตามมาด้วยเสียงคลื่นน้ำทะเลสาบดังมารางๆ เหนือหัว ยามค่ำคืนของวังมังกรยังคงสงบเงียบ


นางพลันเขย่งปลายเท้า กระโดดเบาๆ ขึ้นไปบนชายคาเพื่อยืนอยู่บนที่สูงหน่อย ทิวทัศน์ทั้งสี่ด้านมองแล้วยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้น


รูปแบบของวังมังกรทั้งหลังโดยรวมแล้วสมมาตรกัน โดยให้ตำหนักใหญ่ด้านหน้าเป็นเส้นศูนย์กลาง ถนนตะวันออกนอกจากตำหนักคลื่นหยก วังเทียมบูรพา วังสะพานทอง ยังมีวังเพลงวิหคที่อยู่บนเส้นศูนย์กลางทางเหนือ


วังเพลงวิหคคือวังของราชินี เป็นอาคารหยกสองชั้น ตอนนี้กำลังส่องสว่าง มีเงาคนมากมาย หันไปดูทางตำหนักคลื่นหยก ถึงแม้คนก็ไม่น้อย แต่เทียบกันแล้วบรรยากาศเห็นได้ชัดว่าต่างกัน


สุดท้ายนางก็ไม่เข้าใจว่าราชินีคิดอย่างไร อ๋าวเชินป่วยถึงขนาดนี้ นางกลับสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข


ไม่ได้พูดถึงว่านางต้องมาถามไถ่อย่างสนิทชิดเชื้อ เพียงคิดไม่ตกว่าทำไมนางไม่จัดการเรื่องให้เรียบร้อยไป


นางกำลังรออะไรอยู่?


……………………………………………



บทที่ 194 คิดถึงองค์หญิงหรือไม่?

โดย

Ink Stone_Romance

นางเงียบอยู่นานบนยอดหลังคา ก่อนพลันกระโดดลงมายังพื้น ลูบหัวอาฝูก่อนเดินเร็วๆ ไปทางเหนือ


คราวก่อนตอนอยู่ที่วังมังกร นางไม่เคยเข้าใกล้วังเพลงวิหคมาก่อน แต่นางกลับเดินผ่านอยู่บ่อยๆ ตลอดทางเดินนางเจาะจงเดินไปยังเส้นทางที่ไม่มีคน ไม่นานก็ถึงกำแพงด้านตะวันตกของวังนั้นแล้ว


อาฝูแสร้งทำเป็นแมวน้อยมาตลอดทาง สุดท้ายทนไม่ได้จึงกัดขากางเกงนาง


มู่จิ่วนั่งยองลงไป จับหูอ้วนๆ ของเขาออกพลางพูด “เจ้าเปลี่ยนร่างให้ใหญ่หน่อยแล้วยืนขึ้น ข้ายืนมองอยู่บนหลังเจ้าน่าจะดี?”


อาฝูถูไถซอกคอนาง ก่อนเรียกพลังเปลี่ยนร่างเป็นเสือขนาดจั้งกว่ายืนนิ่งอยู่ข้างกำแพง มู่จิ่วขึ้นไปข้างบน มือจับกำแพงมองไปข้างใน


นางไม่กล้าเรียกพลังขี่เมฆ เพราะเพียงพลังลมปราณเคลื่อนไหว อากาศรอบด้านก็จะเคลื่อนไหวด้วย พลังบำเพ็ญของราชินีไม่ต่ำต้อย นางต้องรู้สึกได้


แต่อาฝูไม่เหมือนกัน เขาเป็นสัตว์เทพ มีพรสวรรค์พิเศษ ทั้งวังมังกรล้วนเป็นเผ่าพันธุ์มังกร ถึงเขาจะเรียกพลังออกมาก็ไม่ทำให้คนรู้สึกได้


แต่ในกำแพงไม่มีอะไรผิดปกติ


มู่จิ่วกลับไม่ได้ผิดหวังอะไร


แต่เดิมนางมาแอบมองคนเขาก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรอยู่แล้ว


มองไปอย่างละเอียดอีกที ก็ยังคงไม่มีอะไร และสามารถพูดได้ว่าปกติจนถึงไม่มีสิ่งผิดปกติเลย


ดูแล้วราชินีมังกรคงเคยชินกับชีวิตที่ไร้ชีวิตชีวานานแล้ว


นางกระโดดลงจากหลังเสือ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนให้อาฝูหดกลับร่างเดิม ก่อนกลับไปตามทางที่มา


เลี้ยวผ่านกำแพงวัง กำลังจะกระโดดขึ้นไปบนระเบียงทางเดิน นางกลับได้กลิ่นธูปลอยมาจากด้านในประตูวัง จึงพลันชะงักเท้า


อยู่ในวังมังกรมาสองเดือน นางไม่เคยเห็นที่นี่บูชาเทพอะไรมาก่อน


ตัวพวกเขาเองก็เป็นเทพดูแลฝน ไหนเลยจะต้องบูชาผู้อื่นอีก?


แต่กลิ่นธูปนี้กลับไม่ใช่ของปลอม…


นางคิดๆ แล้วเลี้ยวผ่านกำแพงช่วงนี้ไปด้านหน้า ทำทีเป็นเดินช้าๆ อยู่บริเวณใกล้เคียง พูดกับหญิงรับใช้ที่เดินออกมาจากประตูวัง “คิดไม่ถึงว่าใจราชินีจะคิดถึงราชามังกรแบบนี้ ยังขอพรแทนองค์ราชาในวัง”


นางอยู่ที่วังมังกรสองเดือน ทุกคนล้วนรู้จักนาง หญิงรับใช้ผู้นี้ได้ยินก็ยิ้ม “เหนียงเหนียงบูชาเทพจู้หรง (เทพแห่งไฟ) ”


พูดจบคางของหญิงรับใช้ก็เชิดขึ้น แล้วจึงเดินจากไป


เทพจู้หรง…


มู่จิ่วนิ่งอึ้งไปทันที


ในวังใหญ่ห่างไปหนึ่งลานที่พัก ราชินีมังกรกำลังดื่มชา ทุกวันหลังอาหารค่ำ นางชินกับการดื่มชาสดที่งอกเงยในหุบเขาลึก เพราะมีเวลามาก ดังนั้นแม้แต่ใบชาก็เป็นนางคั่วเอง อยู่วังมังกรนี้มาหลายหมื่นปี เรื่องอื่นนางเรียนไม่เป็น แต่กลับเรียนรู้ศิลปะการชงชาสำเร็จ


“รายงานราชินี ใต้เท้ากัวจากสวรรค์ที่คราวก่อนมาปฏิบัติงานที่วังมังกรของเราขอพบ”


นางกำลังยกพู่กันขึ้นบันทึกรสชาติของชาเหล่านี้ หญิงรับใช้ก็เดินก้าวเล็กๆ เข้ามารายงาน


พู่กันในมือนางชะงัก แต่หยุดได้ไม่นาน ก็จรดปลายพู่กันลงไป


จนเขียนจบไปสองแถว นางจึงเงยหน้าขึ้น “เชิญเข้ามา”


มู่จิ่วพาอาฝูก้าวเข้ามาในตำหนักใหญ่ เข้าประตูมาก็ได้กลิ่นหอมสดชื่นของชาลอยอยู่ในห้อง


ราชินีนั่งอยู่ตรงฝั่งตะวันออกของตำหนัก บนโต๊ะกลมข้างกายนางมีชาสดใหม่ตะกร้าหนึ่ง มู่จิ่วเห็นแล้ว ก็รู้สึกว่ากลิ่นชายิ่งเข้มข้นขึ้น


ราชินีมังกรยืนขึ้นมา “แม่นางมาเยือนวังนี้ มีเรื่องอันใดหรือ?”


มู่จิ่วพยักหน้าก่อนพูด “วันก่อนองค์ชายสามอ๋าวเจียงไปหน่วยลาดตระเวน ต้องการให้ข้าไปทิวเขาริ้วหยกกับเขาเพื่อทวงกุญแจจันทราหยินและหาที่อยู่ขององค์หญิงอ๋าวเยวี่ย ไหนเลยจะรู้ว่าทางนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น จึงผิดหวังกลับมา ข้าผ่านสวนดอกไม้ด้านหน้า นึกขึ้นได้ว่ายังไม่มาเยี่ยมคารวะ ดังนั้นเลยมาเสียหน่อย”


ราชินีพยักหน้า “แม่นางช่างใส่ใจ”


ทั้งสองฝั่งแยกที่นั่งแขกกับเจ้าบ้านชัดเจน ไม่พูดถึงเรื่องมีคนยกชากับผลไม้สดมา มู่จิ่วมองใบชาในตะกร้าอย่างละเอียด เห็นแต่ละใบยาวเพียงเล็บมือ มากที่สุดคือใบชาสองใบ บนใบชาล้วนมีขนสีขาวติดอยู่ นางอดพูดไม่ได้ “ชาของภูเขาหิมะที่ทะเลสาบน้ำแข็งต้องต่างจากข้างนอกมาก คิดไม่ถึงว่าราชินียังมีฝีมือด้านศิลปะการชงชาด้วย”


ราชินีพูด “หรือแม่นางก็รู้เรื่องชา?”


“ไม่นับได้ว่ารู้ลึกซึ้ง เพียงแค่ชาที่แต่ก่อนดื่มล้วนเป็นชาที่เก็บเองบนเขา ดังนั้นจึงรู้เล็กน้อย”


ราชินีพยักหน้า ย้ายตะกร้าชาไปยังฉากกั้นลมด้านข้าง


มู่จิ่วไม่แสดงออกอะไร หมุนแก้วชาในมือพลางมองประเมินฉากกั้นลมนี้


ฉากกั้นลมคงทำจากผ้าทอนางเงือก โปร่งแสงและมีสีที่ระยิบระยับ ด้านบนปักลายยวนยางในสระบัว ไม่ต่างกับภาพของผู้สูงศักดิ์ในโลกมนุษย์ ไม่เก่าแก่และไม่มีกลิ่นอายเซียนอะไร กลับดูติดดินอย่างมาก


ด้านหลังฉากกั้นลมมีชั้นวางของขนาดใหญ่ วางของวิเศษมีค่าที่มู่จิ่วเคยเห็นมาน้อยมาก นอกจากนั้นยังมีของใช้หยกของใช้เหล็กสำริดสลักสวยงาม ล้วนไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก เพียงแต่สิ่งเดียวที่แตกต่างคือ แท่นบูชาที่วางอยู่ที่มุมทางตะวันออกเฉียงเหนือของตำหนักใหญ่ ข้างบนวางรูปหล่อทองของเทพแห่งไฟ


“แม่นางดูอะไรอยู่?”


ราชินีรู้สึกได้ถึงสายตาจับจ้องของนาง จึงเอ่ยปากถาม


มู่จิ่วละสายตากลับมา ก่อนพูด “ข้าเพียงได้ยินว่าเทพจู้หรงได้รับความเคารพบูชาอย่างมากในโลกมนุษย์ คิดไม่ถึงว่าราชินีก็เคารพเขาเช่นนี้ด้วย”


สีหน้าของราชีนีชะงักไปครู่ ก่อนกล่าว “เทพจู้หรงกับเหม่ารื่อซิงจวินก็เหมือนกัน เป็นเทพที่ควบคุมแสงสว่าง ใครกล้าไม่เคารพ”


มู่จิ่วยกริมฝีปาก “แต่เผ่าพันธุ์มังกรที่เป็นเทพน้ำกลับบูชาเทพไฟ ยากที่จะเลี่ยงไม่ให้คนรู้สึกแปลกใจ”


ราชินีมังกรเม้มปากไม่พูด


มู่จิ่ววางแก้วชาลงก่อนพูดต่อ “องค์หญิงอ๋าวเยวี่ยหายตัวไปนาน ไม่รู้ว่าราชินีคิดถึงบ้างหรือไม่?”


สีหน้าราชินีมังกรไม่มีอะไรเปลี่ยน


นางยังไม่ทันพูด มู่จิ่วกลับเอ่ย “ต้องขอโทษอย่างมากที่คราวนี้ไม่อาจถามถึงที่อยู่ขององค์หญิงจากทิวเขาริ้วหยกได้ แต่มีเรื่องที่สามารถทำให้ราชินีดีใจได้ ข้ากับองค์ชายสามไปที่นั่นครั้งนี้ พบว่าอวิ๋นฉัวองค์ชายรองผู้แบกรับชะตาของเผ่าหงส์เพลิงไว้ตายแล้ว”


ราชินีชะงักเล็กน้อย มองนางนิ่งๆ คราหนึ่ง “อ้อ?”


มูจิ่วพูดอีก “ข้าได้ยินว่าไม่เพียงลำดับที่สองตระกูลอวิ๋นตายแล้ว ทว่ากุญแจจันทราหยินที่ปีนั้นให้แก่ตระกูลอวิ๋นก็ถูกราชามังกรนำกลับมาแล้ว”


ราชินีมองผ้าม่าน ไม่พูดสิ่งใด สีหน้ากลับค่อยๆ แข็งค้าง


“อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ราชามังกรคิดไม่ถึงคือ ตอนที่นำกุญแจจันทราหยินกลับมาอย่างดีใจ กุญแจจันทราหยางที่สำคัญอีกดอกกลับหายไป ตอนนี้ลมหายใจที่ยังคงอยู่ของราชาล้วนพึ่งพากุญแจจันทราหยินประคับประคองไว้ สามารถพูดได้ว่า เขานำกุญแจจันทราหยินไปทำให้อวิ๋นรองตาย แต่ขณะเดียวกันเขากลับไปอยู่ในสภาวะเดียวกับอวิ๋นรองแทน”


“แม่นางบอกเรื่องเหล่านี้กับข้าทำไม?” น้ำเสียงราชินีมังกรยังคงนิ่ง “เขาป่วยถึงขนาดนั้น ไม่ใช่ข้าเป็นคนทำเสียหน่อย”


“ราชินีทำไมถึงรู้ว่าอาการป่วยของราชามังกรไม่ใช่ท่านทำ?” มู่จิ่วจับคำพูดสุดท้ายของนางก่อนเอ่ยถาม สองตาสว่างระยิบระยับ ราวกับคำพูดนี้ของราชินีมังกรคือสิ่งที่นางรออยู่


ราชินีชะงักไป เนิ่นนานกว่าจะพูด “ความหมายของเจ้าคือข้าบกพร่องในการดูแลเขา?”


“นั่นกลับไม่ใช่” มู่จิ่วพูด “ความหมายของข้าคือ ราชินีดูแล้วเหมือนกับรู้เรื่องที่จิตต้นกำเนิดของราชามังกรเสียหายนานแล้ว”


พูดแล้วนางก็ยืนขึ้น เดินไปพูดยังหน้าตะกร้าชาตรงฉากกั้นลม “ห้าพันปีก่อน ตอนนั้นราชามังกรยังคงเป็นสามีที่จงรักภักดีต่อครอบครัว ตอนนั้นถึงแม้ราชินีกับเขาไม่นับว่ารักกัน แต่อย่างน้อยก็ยังรักษาคุณธรรมของคู่สามีภรรยา”


…………………………………………………………………



บทที่ 195 คลายข้อสงสัยของเจ้า

โดย

Ink Stone_Romance

“หลังจากราชามังกรได้รับบาดเจ็บที่คุนหลุนตะวันออก ถึงแม้จะตรงกลับไปทะเลบูรพาเลย แต่สำหรับท่านที่เป็นราชินีแห่งวังมังกร ท่านที่แม้แต่เรื่องให้กำเนิดบุตรยังคิดควบคุมไว้ในมือ หากคิดหาเบาะแสจะมีอะไรเป็นไปไม่ได้? ยิ่งไปกว่านั้น ราชามังกรเพียงแต่ไม่ยินยอมบอกพวกท่าน ไม่ได้ห้ามให้คนเอาข่าวไปบอกถึงหูท่าน อีกอย่างราชามังกรทะเลตะวันออกมอบกุญแจจันทรานี้ให้ ด้วยความฉลาดของราชินีแล้ว ไม่ยากที่จะรู้ได้”


ราชินีเงียบไปนานก่อนพูดช้าๆ “หากเจ้าไม่พูดถึงขั้นนี้ ข้าก็ยังไม่รู้จริง อะไรนะ เมื่อห้าพันปีก่อนเขาได้รับบาดเจ็บที่คุนหลุนตะวันออก?”


มู่จิ่วหมุนตัวกลับมา ยิ้มให้นางก่อนพูด “ตอนแรกสุดข้าคิดว่าอวิ๋นเฉี่ยนต่างหากถึงเป็นดาราเจ้าบทบาท จนกระทั่งนางเปิดโปงราชามังกร แต่ตอนนี้ข้าพบว่าฝีมือการแสดงของราชินีเหนือกว่าพวกเขาทั้งหมดไปอีก ท่านไม่เพียงแสดงได้ดี อุบายแผนการยังยอดเยี่ยมที่สุดในหมู่คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมด”


ราชินีนั่งตัวตรง มุมปากยกขึ้นมา “คำพูดนี้แม่นางหมายความว่าอย่างไร?”


มู่จิ่วก้าวเท้าไปยังชั้นบันไดหยกที่อยู่ตรงผ้าม่าน “ข้าเดาว่าราชินีคือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด”


“ห้าพันปีก่อนเรื่องที่ราชามังกรได้รับบาดเจ็บ ราชินีต้องรู้เรื่องแล้ว แต่ข้าคิดว่าด้วยความรอบคอบของราชามังกร ก่อนที่เขาเจออวิ๋นเฉี่ยนท่านคงยังไม่ค้นพบ แต่หลังจากอวิ๋นเฉี่ยนปรากฏตัว อวิ๋นเฉี่ยนพาเฉินผิงมาวังมังกรแล้วเปิดเผยเรื่องราวลับของราชามังกรกับนาง ท่านที่เป็นภรรยาหลวงแน่นอนว่าต้องต่อต้านสุดกำลัง”


“ตระกูลอวิ๋นก็คิดถึงขั้นนี้ จึงอาศัยโอกาสนี้พูดเรื่องต้องการกุญแจจันทรา ตอนนั้นถึงได้กระตุ้นความสงสัยของท่านอย่างแท้จริง และจากเรื่องนั้นท่านถึงรู้ว่าราชามังกรทะเลตะวันออกให้กุญแจจันทราที่มีฤทธิ์รักษาหล่อเลี้ยงวิญญาณแก่อ๋าวเชิน แน่นอนว่าท่านต้องสงสัย ของที่สำคัญขนาดนี้ ทำไมท่านกลับต้องใช้วิธีนี้ถึงจะรู้ว่าอยู่ในมือสามีท่าน?”


“จากนั้นเมื่อสืบหาต่อ เรื่องราชามังกรได้รับบาดเจ็บก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากจะรู้”


“ท่านเหมือนกับราชามังกร เกิดสงสัยในเป้าหมายที่ซ่อนไว้เบื้องหลังของอวิ๋นเฉี่ยน ดังนั้นท่านไม่เพียงพบว่าตระกูลอวิ๋นต้องการกุญแจจันทราหยางอย่างมาก ร่างกายของราชามังกรยังต้องพึ่งพามันเพื่อรักษาสภาพปกติไว้ เพื่อแก้แค้นการทรยศของราชามังกรและการเข้ามาแทรกกลางของอวิ๋นเฉี่ยน ท่านมีแผนล้างแค้นอันสมบูรณ์แบบ”


“ด้านหนึ่งท่านให้พวกเขาลอบคบชู้กันต่อไป อีกด้านหนึ่งแอบเอากุญแจจันทราหยางมาไว้ในมืออย่างลับๆ”


“การปล่อยวางของท่านทำให้ราชามังกรวางใจ กล้ามัวเมาในรักกับอวิ๋นเฉี่ยนจนทำลายตัวเขาเอง บางทีอาจจะเคยสับสนบ้างตอนที่ท่านเปลี่ยนท่าที แต่สุดท้ายก็เอาชนะความอ่อนโยนที่อวิ๋นเฉี่ยนทุ่มเทให้ไม่ได้ พวกเขาร้อนแรงขึ้นทุกวัน กระทั่งเอ่ยถึงความคิดที่จะให้อวิ๋นเฉี่ยนกับเฉินผิงมาอยู่ที่วังมังกรอีกครั้ง ตอนนี้เอง ท่านจงใจสร้างเรื่องอ๋าวเจียงทำร้ายเฉินผิง”


“ตอนที่อ๋าวเจียงอยู่ด้วยกันกับเฉินผิง พอได้ยินว่าท่านมา จึงโยนเขาข้ามกำแพงด้วยความตกใจ แต่เฉินผิงไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นเผ่าพันธุ์หงส์และมังกร จะทำให้เขาบาดเจ็บหนักง่ายๆ ได้อย่างไร? และยังบาดเจ็บที่ศีรษะพอดี ทำให้นิสัยของเขาเปลี่ยนไปมาก? เฉินผิงเป็นลูกของอวิ๋นเฉี่ยนกับอ๋าวเชิน ก็เท่ากับเป็นศัตรูของท่านเหมือนกัน ท่านทำร้ายเขา ไม่ต้องการเหตุผลอื่น”


พูดถึงตรงนี้นางหยุดไปครู่ ก่อนเอ่ยต่อ “แต่เดิมข้าไม่คิดว่าอ๋าวเจียงทำร้ายเฉินผิงจะมีเบื้องหลัง แต่หลังจากที่ข้ามั่นใจแล้วว่ากุญแจจันทราหยางอยู่ในมือท่าน ข้าถึงได้คิดถึงความเป็นไปได้นี้ เพราะนิสัยเฉินผิงเปลี่ยนไปมาก ท่านจึงสามารถออกคำสั่งส่งเขากลับทิวเขาริ้วหยก”


“ท่านจะยินยอมให้คนนอกแบ่งของที่แต่เดิมเป็นของลูกสาวลูกชายท่านงั้นหรือ? ถึงแม้ท่านไม่ต้องการทะเลสาบน้ำแข็ง อย่างน้อยท่านก็ไม่มีเหตุผลให้ราชามังกรสมหวังเพลิดเพลินกับการมีหลายภรรยา เพราะสำหรับท่านที่เป็นภรรยาหลวงแล้ว การกระทำของราชามังกรจนถึงตอนนั้นได้รุกล้ำขอบเขตของท่านอย่างลึกซึ้งแล้ว”


“ภายหลังเฉินผิงถูกขังอยู่ที่เกาะเป่ยอี๋ นับได้ว่าเป็นไปตามที่ท่านปรารถนา จากนั้นได้ยินว่าเขาตายในเงื้อมมือข้า เจ้าต้องยิ่งวางใจเป็นธรรมดา”


“และเพราะแบบนี้ นับตั้งแต่ราชามังกรไปตามจับข้าจนถึงเหตุการณ์ต่อมา ท่านถึงได้ไม่ออกหน้ามาแสดงท่าทีเลยสักครั้ง เพราะท่านคือผู้ที่กำชะตาชีวิตของราชามังกรและอวิ๋นเฉี่ยนไว้ กุญแจจันทราหยางอยู่ในมือท่าน ท่านรู้ว่าสุดท้ายราชามังกรกับอวิ๋นเฉี่ยนจะหันมาเป็นศัตรูคู่แค้นกัน”


“หากข้าเดาไม่ผิด ทำไมอวิ๋นเฉี่ยนมาบุกวังมังกร และทำไมราชามังกรถึงได้พาอ๋าวเจียงไปทิวเขาริ้วหยก ท่านรู้เรื่องทั้งหมดอย่างดี รู้ว่าพวกเขาแต่ละคนมีความมุ่งหมายในใจ ท่านถึงเลือกรีบนำกุญแจจันทราหยางย้ายไปทันทีหลังจากที่พวกเขาออกจากประตู”


“ต่อมา ท่านก็นั่งสงบอยู่ในวังเพลงวิหค มองดูพวกเขาด้านหนึ่งเสแสร้งรักกันอย่างไร ด้านหนึ่งทำสงครามกันทั้งในที่แจ้งและที่ลับอย่างไร ส่วนท่านกลายเป็นคนที่ยิ้มจนถึงตอนสุดท้าย”


มู่จิ่วพูดออกมาทั้งหมด สงบเหมือนกับเล่าเรื่องคนอื่นให้ฟัง


ราชินีที่นั่งตัวตรงอยู่ข้างโต๊ะกลับยิ้มไม่ออกนานแล้ว ใบหน้าอันงดงามของนางพลันเขียวขึ้น ไม่ขยับแม้แต่น้อยเหมือนรูปปั้น


มู่จิ่วเดินกลับมาถึงหน้านาง ก่อนพูด “ส่วนเหยี่ยวพิษที่ปลอมเป็นอ๋าวเยวี่ย ข้าคิดว่าต้องเป็นราชินีสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อตบตาผู้คน”


“ราชินีเป็นองค์หญิงแห่งเผ่าพันธุ์มังกร มีพลังบำเพ็ญล้ำลึกไม่ต่างจากราชา บังคับใช้หรือชักนำเหยี่ยวพิษตัวหนึ่งมาทำงานแทนท่านได้ไม่ลำบาก ดังนั้นองค์หญิงอ๋าวเยวี่ยจึงปลอดภัยมาตลอด อยู่ในมือท่านเรื่อยมา และซ่อนตัวอยู่ในวังมังกรนานขนาดนี้โดยไม่โดนคนจับได้ เป็นแบบนี้ใช่หรือไม่?”


ราชินีมังกรยังคงไม่ขยับ ภายใต้แสงไข่มุก ดูไปแล้วนางเหมือนเป็นร่างเดียวกันกับวังอันยิ่งใหญ่งดงามนี้


แต่ในตำหนักใหญ่ นอกจากม่านที่โดนลมพัดกับเสื้อคลุม ก็มีเพียงผงธูปที่ร่วงอยู่หน้ารูปหล่อเทพไฟตรงมุมตำหนักที่แสดงให้เห็นว่าเวลาไม่ได้หยุดลง


“เจ้าสงสัยข้าได้อย่างไร”


นานมาก ราชินีถึงหยุดกลั้นหายใจ ค่อยๆ ยืนขึ้นมา


“ที่จริงก่อนที่ข้าจะมาวังมังกรครั้งนี้ แต่เดิมข้าไม่ได้สงสัยราชินีเลย” มู่จิ่วกล่าว “อ๋าวเจียงพูดกับข้าถึงเรื่องราชามังกรป่วยหนัก แต่ราชินีกลับไม่เคยมาถาม ข้าเห็นใจความรู้สึกท่านมาก เพราะดูแล้วราชามังกรและอวิ๋นเฉี่ยนได้มอบความเจ็บปวดให้ท่านอย่างใหญ่หลวง ท่านทำอย่างไรก็ไม่เกินไป”


“แต่เมื่อกลับจากทิวเขาริ้วหยกมาพบราชามังกรอีก ข้าเห็นสภาพของเขา และรู้อีกว่าราชินีไม่มาเยี่ยมเลยตั้งแต่แรก ข้าถึงได้สงสัยเล็กน้อย เพราะไม่ว่าท่านเกลียดเขาขนาดไหน ยิ่งเกลียดมากเท่าไร ตอนนี้ยิ่งควรมาดูก่อนมิใช่หรือ? เขาให้ความเจ็บปวดแก่ท่านขนาดนั้น สุดท้ายถึงเวลาที่ผลกรรมสะท้อน ทำไมต้องซ่อนตัวด้วย?”


“จากนั้น ข้านำผลได้ผลเสียของเรื่องนี้ขึ้นมาเรียบเรียงอย่างง่ายๆ พบว่าไม่ว่าอย่างไร หลังจากกุญแจจันทราหยางหายไปแล้ว คนที่ได้ประโยชน์ที่สุดก็เป็นท่าน ราชามังกรเริ่มป่วยจริงๆ นั้นพอดีกับตอนที่เขากลับมาที่วัง และหลังจากคนของตระกูลอวิ๋นพ่ายแพ้กับดักของวังมังกร ในวังนี้มีเพียงท่านที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดในการเข้าออกวังประจิมไสวอย่างอิสระ และมีความน่าจะเป็นมากที่สุดกับการควบคุมเรื่องราวทั้งหมดอย่างราบรื่น”


“มีเพียงเท่านี้?”


ราชินีเหลือบมองนางน้อยๆ บนหน้าดูไม่ออกว่าพอใจหรือโกรธ “เจ้าคิดกล่าวโทษข้าโดยอาศัยเรื่องแค่นี้ เหตุผลออกจะอ่อนไปนิด”


………………………………………………………………



บทที่ 196 รีบมาช่วยเร็ว!

โดย

Ink Stone_Romance

“ข้ามีหลักฐานหรือไม่ ดูข้างใต้นี้ก็จะกระจ่างเอง” มู่จิ่วพูดถึงตรงนี้ก็พลันยิ้ม หันหน้าไปทำความเคารพต่อรูปหล่อเทพจู้หรง จากนั้นยื่นมือไปใต้รูปหล่อทอง


ราชินีพลันก้าวไปข้างหน้าสองก้าว สีหน้าไม่มีความนิ่งเฉยอีกแล้ว


แววตามู่จิ่วระยิบระยับขึ้นมา พลันหยิบกุญแจสำริดที่ดูเก่าแต่กลับส่องสว่างไปรอบด้านออกมาจากในหลุม! นางยกริมฝีปากมองตัวอักษรที่หลอมอยู่ด้านบนพลางพูด “ตอนนี้ราชินีคงดิ้นไม่หลุดแล้ว มีกุญแจจันทราหยางนี้อยู่ เพียงพอที่จะยืนยันว่าเรื่องที่ข้าพูดไปเมื่อครู่นี้เป็นความจริง”


ร่างของราชินีโอนเอน โหนกแก้มนูนขึ้นเพราะกัดฟันแน่น


“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันอยู่นี่?!”


“เพราะเทพแห่งไฟ”


มู่จิ่วยกกุญแจในมือขึ้น “กุญแจจันทราหยางเป็นธาตุทอง และไฟสามารถกดข่มทอง หลังจากข้าคิดได้ว่าราชินีบงการอยู่เบื้องหลัง จึงเริ่มครุ่นคิดคำถามหนึ่ง หากคนที่ขโมยกุญแจจันทราหยางไปเป็นราชินี แบบนั้นก่อนเกิดเรื่องท่านทำให้ราชามังกรไม่รู้ตัวในหลายร้อยปีที่ผ่านมาได้อย่างไร?”


“ข้าคิดถึงความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง คือก่อนวันที่พวกเราไปทิวเขาริ้วหยก กุญแจจันทราหยางยังคงอยู่ที่วังประจิมไสว ไม่เพียงอยู่ที่วังนั้น แต่ยังอยู่ใต้โบตั๋นม่วง เพียงแต่ท่านย้ายมันออกจากในกล่องไปอยู่อีกด้าน เช่นนี้โบตั๋นม่วงจะสามารถดูดซึมพลังวิญญาณของกุญแจจันทรา รักษาวิญญาณราชามังกรได้เหมือนกัน”


“ขณะเดียวกัน ช่วงเวลานี้ท่านไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบใด”


“ตอนท่านรู้ว่าในใจอวิ๋นเฉี่ยนและราชามังกรล้วนมีแผนเพื่อกุญแจจันทราคู่นี้ ท่านก็รู้ว่าโอกาสมาแล้ว ดังนั้นตอนที่พวกเราออกเดินทางไปทิวเขาริ้วหยก จึงรีบนำกุญแจจันทราหยางออกมา และสร้างเรื่องโกหกได้ว่ากุญแจจันทราหยางหายไปแล้วหลายปี”


“แต่หากเก็บกุญแจจันทราหยางไว้ในวัง ด้วยความสมบูรณ์ของพลังวิญญาณของมัน พลังสูงส่งของราชามังกร ไม่แน่ว่าอีกไม่นานมังกรเฒ่าแห่งทะเลตะวันออกก็อาจมาตรวจสอบ…ช้าเร็วต้องพบร่องรอยของมัน ดังนั้นท่านจึงทำได้เพียงเชิญเทพจู้หรงมาซ่อนมัน เนื่องจากไฟสามารถข่มทอง และเพราะพลังวิญญาณของมันถูกกดไว้ทั้งหมดพอดี ร่างกายของราชามังกรถึงได้ทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ สิบกว่าวันนี้”


“ข้าทายถูกหรือไม่?”


นางมองราชินีที่แววตาดูว่างเปล่าอยู่ใต้ม่านอย่างสงบ


ที่จริงนางเดาเรื่องเหล่านี้ออกไม่ใช่เพราะฉลาดมากมาย ความจริงแล้วเพียงถูกรายละเอียดมากมายปิดบังไว้ ตอนนางทำตัวเป็นผู้ดู เปิดสิ่งที่ปิดบังอยู่ด้านหน้าออก ความสงสัยทั้งหมดหน้าหลังก็ล้วนเชื่อมต่อกันได้เป็นพวง และสิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดของผู้ได้รับผลกระทบคนแรกคือ ‘การละเลย’ ของราชินีที่เผชิญหน้ากับการนอกใจของอ๋าวเชินและความร้ายกาจของอวิ๋นเฉี่ยน


หญิงคนหนึ่งที่สามารถมีผู้สนับสนุน ไม่กังวลเรื่องหนทางถอยกลับ ยังคงแสดงท่าทีปกติขณะสามีที่นอกใจกำลังลิ้มรสผลกรรมของตัวเอง ความเป็นไปได้มากที่สุดคือนางเป็นผู้กำธงชัยชนะ และนางรู้แต่แรกแล้วว่าบทสรุปจะเป็นแบบนี้ เพราะนางรู้อย่างถ่องแท้ว่าจะมีวันนี้เกิดขึ้น ดังนั้นผลกรรมทั้งหมด สำหรับนางแล้วล้วนไม่คู่ควรให้ตกใจ


ราชินีหันไปหากุญแจจันทราในมือนาง เม้มริมฝีปากทั้งสองแน่น


บนหน้าไม่มีความตื่นตกใจ ไม่มีความโกรธ และไม่มีการอดกลั้นต่อความคับแค้นใจและคำกล่าวหา


ถึงแม้หลังจากถูกมู่จิ่วเปิดโปงความจริงแล้ว การแสดงออกของราชินีก็ไม่ทำให้ฐานะของตนด่างพร้อยเลยแม้แต่น้อย


“เจ้าสามารถสืบจนรู้ว่ากุญแจจันทราหยางอยู่ในมือข้า หากไม่ใช่เจ้าฉลาดพอ เจ้าก็กระจ่างชัดมากพอ”


นางเดินช้าๆ ไปถึงที่เดิมก่อนนั่งลง ยกมือขึ้นนวดมุมหน้าผากพลางเอ่ย “ถึงแม้เรื่องจริงกับสิ่งที่เจ้าพูดยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง แต่โดยส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างกันมากนัก เจ้าไม่รู้ว่าปีนั้นข้าไม่ยินยอมรับคำสั่งของพ่อแม่ให้มาแต่งงานกับอ๋าวเชินขนาดไหน แต่ข้าทำได้เพียงทำตาม ข้าชอบเขาไม่ได้อย่างแท้จริง แต่หลายหมื่นปีมานี้ ลูกชายลูกสาวหลายคนเกิดต่อเนื่องกันมา ข้าก็เคยชินกับชีวิตแบบนี้แล้ว”


“วันคืนเหล่านั้นทั้งสงบและราบเรียบ ข้าคุ้นชินกับการไม่มองเขาอยู่ในสายตา บางทีมีกล่าวโทษ มีความไม่อดทน บางครั้งกระทั่งยังมีความรังเกียจ แต่เมื่อไม่มีเขาคนนี้อยู่ข้างกาย ข้ากลับรู้สึกใจว่างเปล่า ไม่ว่าอย่างไร ข้าล้วนมองเขาเป็นคู่ชีวิตที่จะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าแล้ว”


“แต่ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เขามีความสัมพันธ์ลับกับผู้หญิงอื่นข้างนอก กระทั่งมีลูกนอกสมรสด้วยกันแล้วข้าถึงรู้ เจ้าจินตนาการถึงแรงกระทบกระเทือนนั้นได้หรือไม่? ข้าหัวใจสลาย คิดอยากยกมีดขึ้นสังหารเขาอยู่บ่อยครั้ง


“ด้านหนึ่งข้านึกอิจฉา เขาคนที่ไม่มีอะไรถูกใจเลยในสายตาข้ากลับมีคนมาชอบ อีกด้านหนึ่งก็ใจสลายกับความสงบที่จะถูกทำลายอย่างแน่นอน จนข้ารู้แผนการของตระกูลอวิ๋นเหมือนกับเขา ข้ายังเข้าใจว่าเขาจะตัดความสัมพันธ์กับอวิ๋นเฉี่ยน หากเป็นแบบนั้นข้าคงคิดว่าช่างเถอะ แต่เขาไม่ทำ กลับมอบกุญแจจันทราหยินให้ตระกูลอวิ๋นเป็นของแทนคำมั่นสัญญา”


“ข้าไม่ใส่ใจกุญแจนี้ สิ่งที่ข้าใส่ใจคือความหมายซ่อนเร้นของกุญแจที่ส่งออกไป”


“จนถึงตอนนี้ ใจข้าได้ตายไปหมดแล้ว”


“ข้าเพียงต้องการกุญแจจันทราหยาง อย่างอื่นอะไรก็ไม่ต้องการ ข้าอยู่อย่างสงบโดยอิสระ จัดการทุกอย่างไปตามสถานการณ์ จากนั้นรอบทสรุปอย่างเงียบๆ แต่ตอนที่เรื่องราวทั้งหมดเดินไปตามทางที่คาดไว้ ข้ากลับไม่มีความสุข เพราะไม่ว่าข้ายอดเยี่ยมอย่างไร ข้าก็ชนะเพียงได้เหยียบย่ำบนคนเลวของข้าเท่านั้น”


“บางทีเจ้าอาจพูดได้ว่าอวิ๋นเฉี่ยนคู่ควรกับความเห็นใจ แต่ข้าเห็นใจนางไม่ไหว สำหรับตระกูลอวิ๋นแล้วนางแบกรับหน้าที่สำคัญเพื่อเผ่าพันธุ์ แต่สำหรับข้าล่ะ? นางมันเห็นแก่ตัว ถึงแม้เบื้องหลังนางมีเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่อาจใช้เป็นเหตุผลมาเหยียบย่ำทำร้ายข้า”


“อ๋าวเชินก็เหมือนกัน”


“เขามีเหตุผลที่ชอบคนอื่น แต่ไม่มีเหตุผลในการช่วยภรรยาน้อยเหยียบย่ำข้า ทำไมข้าต้องปล่อยพวกเขาทำตามอำเภอใจ? ด้านหนึ่งเพราะข้าอยากเห็นพวกเขารับผลกรรมในท้ายที่สุด อีกด้านหนึ่งข้าก็อยากเห็นว่า หากข้าไม่สนใจไม่ถามไถ่ เขาจะทนข้าที่ไม่ใส่ใจได้ขนาดไหน”


“ความจริงยืนยันแล้ว บางเรื่องหากเริ่มต้นก็ไม่มีจุดจบ”


“ดังนั้นข้าจึงไม่เสียใจภายหลัง”


พูดถึงตรงนี้ นางพลันยื่นมือออกมา นิ้วทั้งห้าพลันเปลี่ยนเป็นกรงเล็บมังกร ก่อนเข้าชิงกุญแจจันทราหยางในมือมู่จิ่ว!


ใครก็ไม่คาดคิดว่านางจะลงมือกะทันหัน อีกทั้งพลังลมปราณแข็งแกร่งจนคนรับมือไม่ทัน!


มู่จิ่วตกใจหน้าถอดสี รีบกลิ้งหลบและตะโกน “อาฝู!”


อาฝูที่หมอบอยู่นอกประตูม้วนตัวขึ้น พุ่งเข้ามาพร้อมลมแรง เมื่อเห็นนางถูกราชินีที่กระโดดอยู่กลางอากาศกดดันไม่หยุดจนหลบหลีกแทบไม่ทัน ดวงตาทั้งสองพลันเบิกกว้าง เปลี่ยนร่างเป็นเสือใหญ่ ร้องอย่างโกรธเกรี้ยวพลางพุ่งเข้าโจมตีหลังของราชินี!


ราชินีไม่เสียแรงที่มีพลังบำเพ็ญถึงแสนปี นางบีบเข้าใกล้มู่จิ่วพลางยกมือขึ้นรับมือกับอาฝู! ถึงแม้อาฝูได้รับการชี้แนะโดยตรงจากลู่ยา แต่เวลาปีกว่าไหนเลยจะเทียบได้? ในตำหนักใหญ่พลันได้ยินเพียงเสียงพลังเหมือนเส้นสายรุ้งโจมตีไปทุกทิศ ค่ายกลกระบี่ของมู่จิ่วถูกกดจนสำแดงออกมาไม่ได้ และช่องว่างที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็ยิ่งน้อยลงไปทุกที


นางถูกบีบจนไร้หนทาง ทำได้เพียงตะโกนว่า “อ๋าวเจียง ยังไม่ออกมาอีก!”


ราชินีได้ยินก็ชะงักเล็กน้อย ยังไม่ทันได้คิดมาก ขณะที่ชะงักก็มีคนหนึ่งพุ่งเข้ามารวดเร็วเหมือนพายุ พริบตาเดียวก็แยกนางกับมู่จิ่วออกจากกัน


“ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่!”


ราชินีถามเสียงแข็ง


“เป็นข้าให้เขามา!” มู่จิ่วเก็บกุญแจจันทราเข้าไปในอกอย่างมีโทสะ “ในเมื่อข้ามาเพื่อเปิดโปงท่าน ทำไมถึงจะไม่หาพยานมาด้วยล่ะ? ไม่คิดเลยหรือว่าข้าอยู่ตระกูลอ๋าวของพวกเจ้าแล้วลำบากไม่น้อย?!”


ลงมือก่อนโดยไม่แม้แต่จะเตือน รังแกกันเกินไปแล้ว!


………………………………………………………………



บทที่ 197 เลวก็คือเลว

โดย

Ink Stone_Romance

ราชินีกลั้นหนึ่งหายใจอยู่ครู่หนึ่ง พลางมองอ๋าวเจียง “เจ้าได้ยินถึงขนาดไหน?”


“ทั้งหมด” อ๋าวเจียงมองนาง “แต่เรื่องที่หนักหนาที่สุดคือ เฉินผิงไม่ได้บาดเจ็บเพราะข้า แต่เป็นท่านทำร้ายเขาลับหลัง!”


ในดวงตาราชินีเต็มไปด้วยความเย็นชา พูดอย่างเรียบๆ ว่า “นั่นเป็นเพียงลูกนอกสมรส ไม่คู่ควรให้เจ้าเสียใจ!”


“ถึงแม้เขาเป็นลูกนอกสมรส แต่เขาไม่คิดร้ายต่อข้า!”


อ๋าวเจียงกำหมัดแน่น ร่างเริ่มสั่นเทา “เขาไม่ได้ทำผิดต่อข้า แต่ข้ากลับทำร้ายเขาจนตาย! หากไม่ใช่เพราะท่านกับข้า อย่างน้อยเขาคงสามารถอยู่อย่างสงบจนแก่เฒ่า อย่างน้อยไม่ตายอยู่ที่เป่ยอี๋! ข้าจะสงบใจกับเรื่องทั้งหมดนี้เพราะเขาเป็นลูกนอกสมรสได้อย่างไร? ข้าจะทำได้อย่างไร?!”


ราชินีไม่ได้พูดสิ่งใด แต่คิ้วบนหน้ากลับขมวดขึ้นอย่างมีเลศนัย


“ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเจ็บปวดใจกับเรื่องนี้ขนาดไหน? และที่ทำให้ข้ายิ่งเจ็บปวดคือ เขาเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะข้าพลั้งมือ แต่เป็นเพราะแผนของท่าน!” อ๋าวเจียงกัดฟันแน่น “ท่านรู้ชัดว่าเฉินผิงคือบาดแผลในใจข้า แต่ท่านกลับปกปิดความจริงกับข้ามาโดยตลอด!”


“ข้ารู้ว่าท่านพ่อไม่ยุติธรรมกับท่าน แต่เพื่อแก้แค้น แม้แต่ลูกชายของตัวเองท่านก็จัดการด้วย ท่านยุติธรรมต่อข้าหรือ?!”


ราชินีที่ยืนหันหลังให้เขาไหล่ลู่ลง


นางที่เมื่อครู่ยังมีท่าทางอวดดี ตอนนี้ดูไปแล้วเหมือนพลังงานทั้งร่างถูกดึงไปแล้ว


“อ๋าวเจียง!” แม้แต่มู่จิ่วก็อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “นางเป็นแม่เจ้านะ!”


หากต้องพูดละก็ ทั้งสามคนล้วนมีความผิด แบบนั้นหากเทียบความผิดของราชินีกับอ๋าวเชินและอวิ๋นเฉี่ยนคนคู่นั้น แต่เดิมก็ไม่สามารถนับเป็นอะไร


นางเป็นคนนอกจึงสามารถวิจารณ์ สามารถวางเฉย แต่อ๋าวเจียงเป็นลูกชายแท้ๆ กลับยังโทษนางเช่นนี้ ไม่เพียงเกินไป แต่ยังเห็นแก่ตัวมาก


หากราชินีไม่พลันลงมือกับนาง นางคงไม่เรียกเขาเข้ามา


อ๋าวเจียงไหล่ตก จากนั้นกุมหัวนั่งยองลงกับพื้น


มู่จิ่วเห็นท่าทางแบบนี้ก็รู้สึกเขาน่าสงสารอยู่บ้าง


ในเรื่องทั้งหมด ความจริงคนที่ไร้ความผิดที่สุดก็ยังเป็นเขานี่? ถูกพวกอ๋าวเชินหลอกใช้ไปหลอกใช้มา ผลคือยังถูกแม่ของตนเองหักหลังอีก


และเป้าหมายของเขาเรียบง่ายที่สุด เพียงแค่ต้องการให้เฉินผิงมีชีวิตหน้าที่ดียิ่งกว่าเดิมเท่านั้น


เพราะความเรียบง่ายนี้ นางถึงได้รับปากคำร้องขอของเขา หากไม่ใช่เขา เรื่องเวรนั่นของอ๋าวเชินกับตระกูลอวิ๋น ใครจะยินยอมเข้าไปยุ่ง?


“เป็นแม่ผิดเอง” ราชินีก็นั่งยองลงไป กอดไหล่เขาไว้ “บางทีแม่ก็คิดเช่นกัน หากแม่ไม่ทำแบบนั้นกับพ่อเจ้า หากแม่รู้จักให้ความเคารพเขาหลายส่วน เรื่องคงไม่เดินมาถึงจุดนี้ เป็นแม่ผิดเอง อ๋าวเจียงให้อภัยแม่เถอะ”


อ๋าวเจียงเงยหน้าขึ้นมา


มู่จิ่วอ้าปาก คิดจะพูดว่าที่จริงนางไม่ต้องรับผิด แต่เห็นสายตาของนาง มู่จิ่วก็หยุดลง


สายตาของนางมีเพียงความเหนื่อยล้า บางทีนางคงเหนื่อยแล้วจริงๆ


หากการขอโทษและรับผิดสามารถหยุดเรื่องทั้งหมด สามารถได้รับการให้อภัยจากลูกชาย เทียบกับการโต้เถียงไม่หยุดแล้วเปลืองแรงน้อยกว่ามาก


ความเย่อหยิ่งของนางไม่ทำให้นางกลายเป็นคนแบบอวิ๋นเฉี่ยน และนางไม่อาจทำเรื่องสามีกับผู้หญิงคนอื่นเหยียบย่ำศักดิ์ศรีอะไรก็ตาม


ชีวิตคนช่างเต็มไปด้วยทางเลือกที่ยากลำบากหลากหลายรูปแบบ


นางไม่จมอยู่ในความแค้นและความโกรธ บางทีนี่คือส่วนที่ฉลาดของนางพอดี


แต่ถึงแม้เป็นคนฉลาดแบบนี้ ก็ยังยอมรับความลำบากเพื่อแลกกับการให้อภัยและความเข้าใจจากลูกชาย


“พวกเจ้าเอากุญแจจันทราไปเถอะ” ราชินีปล่อยอ๋าวเจียง ถอยกลับไปนั่งข้างโต๊ะ สีหน้ากลับมาราบเรียบดังเดิม “ข้าเก็บไว้ไม่มีประโยชน์ เพียงแค่ต้องการดูจุดจบของอ๋าวเชินเท่านั้น”


อ๋าวเจียงราวกับยังไม่คืนสติจากการเปลี่ยนแปลงนี้ ยังคงยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น


มู่จิ่วครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็พยักหน้า เก็บกุญแจจันทราไป


ราชินีลุกขึ้นเข้าตำหนักในไป ถูกม่านมุกที่สั่นไหวด้านหลังส่งเสียงกระทบกัน


มู่จิ่วมองเสื้อคลุมนั้นเลื่อนผ่านธรณีประตูไป พลันพูด “ราชินี ช้าก่อน!”


นางหยุดที่ม่านมุกนั่น


มู่จิ่วลังเลเล็กน้อย ก่อนพูด “ท่านเคยเสียใจภายหลังหรือไม่?”


ราชินีชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่ตอบ แต่เดินเข้าไปท่ามกลางเสียงของม่านมุก


มู่จิ่วก็ไม่รั้งรอ ลูบหัวอาฝู เดินออกจากประตูไป


นอกประตูท้องฟ้ามืดไม่ต่างจากตอนที่เข้ามาเมื่อครู่ เว้นก็แต่บนระเบียงทางเดินจะมีผู้ติดตามที่ได้ยินข่าวแล้วมาเพิ่มขึ้น


ความสงสัยที่ติดค้างอยู่ในใจมานานในที่สุดก็หาคำตอบเจอแล้ว นางก็อดไม่ได้ ถอนหายใจยาวกับฟ้ามืด


อ๋าวเจียงตามนางมาอยู่ใต้ต้นสนนอกประตูวัง สองคนในความมืดแต่ละคนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาถึงได้เปิดปากพูด “ขอบคุณเจ้า”


“ไม่ต้องขอบคุณ ข้าเพียงแค่ทำงานเท่านั้น” มู่จิ่วยักไหล่พูด


ออกมาคราวนี้บอกแค่ว่าเพื่อทำงานเท่านั้นก็ไม่ถูกนัก ในความเป็นจริงนางก็ใคร่รู้เบื้องหลังของคนที่เริ่มก่อเรื่อง


เรื่องจริงเปิดเผย นางก็รู้สึกพอใจ


“ไม่” อ๋าวเจียงส่ายศีรษะ “หากเจ้าไม่ช่วยข้าอย่างเต็มใจ จะสนใจรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้ได้อย่างไร? เจ้าดู พี่น้องข้าหลายคน รวมถึงพ่อข้าและเหล่าขุนนางเต่ายังมืดแปดด้านอยู่”


พูดถึงตรงนี้เขาสะบัดหัว ราวกับต้องการสลัดความอึดอัดนี้ออกไปให้หมด


แต่มู่จิ่วรู้ว่าเขาสลัดไม่หลุด สาเหตุที่เฉินผิงได้รับบาดเจ็บทำให้เขายิ่งเจ็บปวด และทำให้นางยิ่งความรู้สึกผิดเหมือนกัน ทุกวันนี้ยืนยันได้ว่าเฉินผิงที่จริงเป็นเด็กไร้ความผิดคนหนึ่ง อวิ๋นเฉี่ยนใช้เขาเป็นเครื่องมือเหนี่ยวรั้งอ๋าวเชิน และถึงแม้ในใจอ๋าวเชินมีเขา สุดท้ายกลับยังทำได้เพียงจับเขาขังไว้ที่เกาะเป่ยอี๋


ถึงแม้ฟังแล้วเป็นเพียงการชิงไหวชิงพริบของพวกเขาสามคนเท่านั้น แต่ลากคนเข้ามาเกี่ยวข้องมากขนาดไหน!


“ยังไงก็ไปดูพ่อเจ้าก่อนดีกว่า หากสามารถเอากุญแจจันทราหยินมาได้ บางทีอาจปกปักให้เขากลับมาเกิดใหม่อย่างดีหน่อย”


แม้นางรู้สึกว่าอ๋าวเชินทำเองรับผลกรรมเอง แต่ในเมื่อหากุญแจจันทราหยางเจอแล้ว จะมองดูเขาไปถึงจุดจบได้หรือ?


อ๋าวเจียงเชื่อฟังนาง ก้มหน้าตามหลังเหมือนเป็นลูกน้อง ท่าทางแบบนี้เทียบกับอาการถือดีในตอนแรกแล้วราวกับเป็นคนละคน ไหนเลยจะยังเหมือนองค์ชายเผ่าพันธุ์มังกร?ขนาดอาฝูยังเดินไปพลางเหยียดหยามเขาไปพลาง


ทางตำหนักคลื่นหยกกลับได้รับข่าวนานแล้ว


ขุนนางเต่านำผู้ติดตามหลายคนออกมาต้อนรับ ถึงหน้ามู่จิ่วยังไม่ทันพูดสักคำก็ทำความเคารพกันใหญ่ มู่จิ่วตกใจจนรีบหลบออกไป ขุนนางเต่าถึงค่อยปาดน้ำตาออกและรีบนำมู่จิ่วเข้าไปในตำหนัก


อาฝูกังวลว่านางเข้าไปแล้วจะถูกกับดัก จึงกัดขากระโปรงนางไม่ปล่อย มู่จิ่วทำได้เพียงให้อ๋าวเจียงหาคนยกเนื้อถาดใหญ่มา เขาถึงได้ยินยอมไปกอดถาดเนื้อแทน


อ๋าวเชินนั่งอยู่บนเตียง อาจเพิ่งได้ยินข่าวไม่นาน ความหวาดกลัวบนใบหน้ายังไม่จางหาย จนมู่จิ่วนำกุญแจจันทราวางตรงหน้าเขา เขามองอยู่นานจึงค่อยหยิบมันไว้ในฝ่ามือ กัดฟันอย่างโกรธแค้นก่อนพูด “ราชินีเป็นผู้ทำจริง! ข้ากลับดูนางผิดไป!”


มู่จิ่วอดพูดไม่ได้ “ราชามังกรคงไม่ได้คาดหวังนางไปถึงไหนหรอกกระมัง? ราชาสามารถรักษาชีวิตนี้ไว้ได้ โชคดีที่ราชินีไม่ใช่ภรรยาที่โหดเหี้ยม หากนางคิดลงมืออย่างไร้เยื่อใยขนาดนั้นจริง ตอนนี้เจ้าไม่มีโอกาสพูดคำประเภทว่ามองนางผิดไปอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน”


……………………………………………………………



บทที่ 198 ต้องลดความอ้วนแล้ว

โดย

Ink Stone_Romance

อ๋าวเชินพูดไม่ออก


มู่จิ่วยิ้มเยาะเย้ยก่อนเอ่ยอีก “ข้าไม่ใช่พูดหรือ ราชามังกรนับว่าเป็นผู้ที่มีลูกชายลูกสาวเป็นโขลงแล้ว ถึงแม้ไม่คิดถึงภรรยา ดีร้ายก็ควรคิดถึงเหล่าลูกชายลูกสาวของเจ้า เจ้ารู้ชัดว่าอวิ๋นเฉี่ยนมีแผนด้วย ยังพัฒนาความสัมพันธ์ส่วนตัวอย่างไม่รู้สึกผิด หาได้นึกไม่ว่าคนบนโลกนี้ไม่ใช่คนโง่ทั้งหมด เจ้าที่รู้ทันอวิ๋นเฉี่ยนมาก่อน เป็นธรรมดาว่าต้องรู้ทันราชินีของเจ้า”


“ที่จริงมีชีวิตที่สงบเงียบก็ไม่เลวมากแล้ว ไม่รู้ทำไมเจ้าไม่ลองเปลี่ยนวิธีคิดถึงปัญหา? ดึงดันทำแบบนี้ ไม่รู้ถึงท้ายที่สุดแล้วเจ้าได้อะไรบ้าง?”


อ๋าวเชินละอายจนไม่กล้าสู้หน้า แม้แต่ศีรษะก็เงยไม่ขึ้น


มู่จิ่วไม่คิดวุ่นวายกับเขามาก จึงยืนขึ้น “คดีถูกคลี่คลายแล้ว ข้าต้องกลับไปปฏิบัติหน้าที่ เพียงแต่ข้ายังมีคำถามเรื่องอื่นอยากถามราชามังกร เจ้าคิดจะทำอย่างไรกับตระกูลอวิ๋น?”


ถึงแม้ทั้งสองฝั่งล้วนไม่จริงใจ แต่เมื่อกล่าวถึงการสูญพันธุ์แล้ว ออกจะหนักหนาไปเสียหน่อย


ตระกูลอวิ๋นจบสิ้นแล้ว ทั้งฟ้าดินก็ไม่มีเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงอีก


สำหรับวิถีแห่งฟ้าแล้ว เช่นนี้จะยุติธรรมหรือไม่?


ตั้งแต่แรกอ๋าวเชินรู้ว่าคนเขามาเพื่ออะไร กลับยังทำตัวฉลาดก่อเรื่องจนถึงขั้นนี้ หากเขาปฏิเสธแต่แรกหรือพูดให้ชัดเจน ตระกูลอวิ๋นคงยังสามารถคิดหาหนทางอื่นได้


แต่เขาอย่าหวังว่าจะสำเร็จหากไม่ยอมจ่ายอะไรเลย สุดท้ายถึงเวลาสำคัญยังหลอกลวง ทำร้ายจนทุกวันนี้ตระกูลอวิ๋นทำได้เพียงรอวันเผ่าพันธุ์สูญสิ้นมาถึงเท่านั้น หรือว่าเขาไม่ต้องรับผิดชอบเลยแม้แต่น้อย?


และในความเป็นจริง ถึงแม้เขาคิดไม่ชดใช้หนี้ ไม่ช้าก็เร็วตระกูลอวิ๋นคงมาหาถึงประตูกระมัง?


ในฐานะที่เป็นผู้ดูอยู่วงนอก นางไม่หวังให้เผ่าพันธุ์หงส์เพลิงหายไปจากหกภพแบบนี้


อ๋าวเชินเงียบไปครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมามองก่อนพูด “ข้าจะลองไตร่ตรองให้ละเอียด”


มู่จิ่วกลับไม่ได้พูดอะไรอีก สุดท้ายอ๋าวเชินตัดสินใจจะทำอย่างไรกับตระกูลอวิ๋น นางก็เข้าไปยุ่งไม่ได้ อย่างมากที่สุดคือเพียงเตือนๆ เขาเท่านั้น สรุปคือนางยังหวังว่าสุดท้ายเรื่องนี้จะมีบทสรุปที่ดีทั้งสองฝ่าย เหมือนกับนางในตอนแรกที่สังหารเฉินผิงอย่างไม่ได้ตั้งใจและชดเชยความผิดแล้ว


ส่วนเรื่องเอากุญแจจันทราหยินให้เฉินผิง อ๋าวเจียงคงจะไปจัดการอยู่


นางประสานมือคารวะ ก่อนเดินออกประตูไป


ชุนนางเต่ารั้งนางครั้งแล้วครั้งเล่าให้พรุ่งนี้เช้าค่อยไป แต่นางไม่อยากอยู่ที่วังมังกรเวรนี่ต่อไปแล้ว!


ไม่ว่าจะเป็นอวิ๋นเฉี่ยนก็ดี อ๋าวเชินก็ดี หรือราชินีก็ดี ระหว่างพวกเขาเต็มไปด้วยแผนการมากมายเกินไป นางมองดูแล้วรู้สึกเหนื่อยใจ


อ๋าวเจียงยืนกรานไปส่งนางกับอาฝูที่ริมทะเลสาบ ส่งไประยะแล้วระยะเล่า ท้ายสุดเมื่อส่งไปไกลมากแล้ว จึงได้เพียงแต่หยุดลง


“ภายหลังข้าสามารถไปหาเจ้าได้หรือไม่?” เขาพูดตะกุกตะกัก


มู่จิ่วคิดบอกปัด แต่เห็นเขานางก็อดคิดถึงเรื่องเวรทั้งหลายของบ้านเขาไม่ได้ นางเห็นเขาจริงใจ และในใจเพิ่งได้รับความบอบช้ำในช่วงเวลาอ่อนไหว เพื่อไม่ให้เด็กน้อยเจ็บปวดใจอีก จึงทำได้เพียงพยักหน้า “ไม่มีเรื่องอะไรก็มาเที่ยวเถิด”


แต่เดินไปได้สองก้าว นางกลับหันมาพูด “หากมีข่าวอะไรของตระกูลอวิ๋น เจ้าบอกข้าสักหน่อย ยังมีเรื่อง


ที่พ่อเจ้าได้รับบาดเจ็บที่คุนหลุนตะวันออก หากเขาคิดอะไรออกก็บอกข้า”


เรื่องของคุนหลุนตะวันออกก็ประหลาดมาก สามารถเล่าให้ลู่ยาฟังเพื่อให้เขาใช้เป็นหัวข้อศึกษาในยามว่าง


อ๋าวเจียงพยักหน้า นางถึงได้ปีนขึ้นบนอาฝู มุ่งไปยังประตูสวรรค์แดนใต้


ครั้งนี้ลู่ยาไม่ได้ตามมู่จิ่วไปทิวเขาริ้วหยก หนึ่งเพราะนี่เป็นการทำงานปกติ นางพาอาฝูไปฝึกฝนด้วยกันก็ดีหน่อย อีกอย่างคือหากเขาตามไปอยู่ข้างกายนางเสมอ ความโชคร้ายที่เหลือของเขาก็จะไม่หมดไปเสียที เขาใช้โอกาสนี้ออกไปเดินเล่นข้างนอกระหว่างวันหลายรอบ ประสบความสำเร็จล้มกลิ้งลงไปหลายครั้ง และตกลงไปในทะเลสาบอย่างราบรื่นหลายครา ถึงได้คลุมร่างด้วยเสื้อเปียกก้าวกลับบ้านไปตอนประอาทิตย์ตกดิน


ขณะกำลังอาบน้ำก็ได้รับกระเรียนกระดาษจากมู่จิ่ว หลังจากดูเสร็จเขานิ่งไปในน้ำสามวินาที


เขาก็คาดไม่ถึงว่าอ๋าวเชินจะอาศัยโอกาสตอนที่ตระกูลอวิ๋นคิดหาวิธีเล่นงานเขา วางแผนลงมือกับตระกูลอวิ๋นด้วย และยิ่งคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นรองตายแล้วจริง…เขาตายไม่สำคัญ ถ้าเช่นนี้เผ่าพันธุ์หงส์เพลิงก็จะจบสิ้นไป


ตระกูลหงส์เพลิงไม่ได้ทำบาปใหญ่อะไรไว้ จะยอมให้อ๋าวเชินทำให้สูญสิ้นไปเช่นนี้หรือ?


เขานับนิ้วทำนาย จากนั้นจึงอาบน้ำต่อ


หลังอาหารเย็น เขากระตุ้นรุ่ยเจี๋ยให้ฝึกพลังสักครู่ ก่อนขับเคลื่อนผังดวงชะตา ทั้งวันไม่เห็นหน้ามู่จิ่ว ในใจรู้สึกแปลกพิกล กำลังคิดว่าจะไปวังมังกรหรือไม่ กลับได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังเข้ามาจากนอกประตู ครั้นฟังอย่างละเอียดอีกที ร่างกายกลับยืนขึ้นเองอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อเปิดประตูไปยังระเบียงทางเดิน ก็เห็นหนึ่งคนหนึ่งเสือเดินย่องเข้ามาในลานบ้าน


“อาฝูเจ้า ต้องลดความอ้วนแล้ว อุ้งเท้าตบพื้นเสียงดังขนาดนี้…”


เสียงกระจ่างใสของเด็กสาวจงใจกดให้เบาลง ทั้งยังเจือไปด้วยการบ่นสองส่วน


เสียงแปะแปะของอุ้งเท้ากระทบพื้นจึงเบาลงหน่อย เสือที่อ้วนขนาดนั้น เกือบจะกลิ้งติดพื้นไปแล้ว


ใจเขานึกขบขัน คิดจะส่งเสียงทักทาย แต่เห็นนางดูอ่อนล้าทั้งร่าง จึงล้มเลิกความคิด กลับเข้าห้องไปเงียบๆ


มู่จิ่วนอนเต็มอิ่ม


ตอนเช้านางตื่นขึ้นมาท่ามกลางนกกระจาบฝนและกลิ่นดอกไม้เต็มลาน เพิ่งเปิดตาขึ้นก็เห็นหน้าเตียงมีคนเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน นางตกใจจนกอดผ้าห่มนั่งขึ้นมาทันที


ลู่ยาหันมาพูด “ไม่ได้เห็นผีเสียหน่อย ท่าทางแบบนี้คืออะไร” พูดจบค่อยลูบใบหูนาง “แต่เจ้าระแวดระวังแบบนี้ข้าก็ดีใจ คราวต่อไปหากเจอคนอื่นกล้าเข้ามาในห้องเจ้า เจ้าไม่ต้องหลบ ไม่ว่าเขาเป็นใคร สำหรับคนแบบนี้ฟาดไปตรงๆ ก็พอ เดี๋ยวข้าเก็บกวาดให้เจ้าเอง”


มู่จิ่วส่งเสียงออกทางจมูกสองครั้ง ไม่สนใจเขา


ท่านเป็นมหาเทพเซียน ต้องพูดว่าฟาดใครก็ฟาดคนนั้นอยู่แล้ว นางเป็นหัวเสินคนหนึ่ง ฟาดคนไม่ใช่รนหาที่ตายหรือ?


อีกอย่าง หากนางฟาดได้ ก็ลองฟาดเขาก่อนเป็นอย่างไร


“ข้าเฝ้าเจ้ามาทั้งเช้า ไม่มีผลงานก็มีความบากบั่น ทำไมเจ้าเห็นข้าแล้วส่งเสียงออกจมูกได้” ลู่ยาหันตัวมา ท่าทางต้องการพูดคุยปัญหานี้กับนางอย่างมาก


มู่จิ่วเหลือบมองเขา พลันยื่นมือผลักหน้าเขาไปด้านหลัง จากนั้นคลุมเสื้อลงจากเตียง


ถึงหน้าต่างมองออกไปข้างนอก เห็นเพียงรอบด้านสงบเงียบ มีเพียงเสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นกำลังยุ่งอยู่ในลานด้านหน้า


แต่พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว นาฬิกาน้ำบนโต๊ะชี้ไปยังยามเฉิน


แสงอาทิตย์ส่องสว่างสวยงามไปทั้งลาน หมอกบางลอยวน นกน้อยบินไปบินมาบนกิ่งไม้ ชายคาบ้านไม่รู้มีนกนางแอ่นที่ไหนมาทำรัง แถวนกน้อยอ้าปากรอแม่นกให้อาหาร น้ำค้างบนดอกโบตั๋นแดงที่เพิ่งบานได้แปดเก้าส่วนยังไม่แห้ง ส่องสว่างลงบนจื่อเถิงสีม่วงอ่อนสองต้น งดงามเสียจนพรรณนาไม่ได้


แบบนี้เทียบกับความเสื่อมโทรมของทิวเขาริ้วหยกและความทะมึนของวังมังกร ไม่รู้ว่าสบายตากว่าเท่าไหร่


“ทำไมเจ้าไม่ปลุกข้า?”


นางกลับไปหวีผมที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง


ลู่ยานั่งลง กอดเข่าที่งอขึ้นข้างหนึ่งพลางพูด “ข้าฟังคำพูดนี้ของเจ้า เหมือนเมื่อคืนพวกเราอยู่ด้วยกัน”


ลำคอของมู่จิ่วเปลี่ยนเป็นสีแดง เดินไปดึงหมอนออกจากหลังศีรษะลู่ยาแล้วทุบลงบนหน้าเขา จากนั้นสะบัดหน้าวิ่งออกไป


“เจ้าเด็กบ้า ตีข้าอีกแล้ว! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”


ลู่ยาหยิบหมอนวิ่งตามออกไป ดอกท้อถูกพัดไปตลอดทาง


รุ่ยเจี๋ยกับอาฝูนั่งเรียงกันเล่นพันเชือกอยู่บนหินใต้ต้นท้อ ก็ถูกลมที่พวกเขาพามาทำให้ขนชี้ปลายเสื้อปลิว โลกของอาจารย์พวกเขาไม่เข้าใจ เหลือไว้แค่ความวุ่นวายในสายลม


………………………………………………………………



บทที่ 199 เวลาช่างงดงาม

โดย

Ink Stone_Romance

เสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นกำลังแยกต้นอ่อนผัก พวกเขาตั้งใจปลูกผักสดกลุ่มหนึ่ง รอจนกินของในตอนนี้หมด ผักที่ปลูกใหม่ก็สามารถเก็บได้พอดี เห็นพวกเขาทั้งสองเข้ามาเหมือนพายุ ปากก็พูดเชื่องช้า ดีที่เสี่ยวซิงยังจำได้ว่ามู่จิ่วยังไม่ได้กินข้าว ดังนั้นจึงทักทายคำหนึ่งแล้วลุกขึ้นไปทำข้าวเช้าให้นาง


ในลานบ้าน กระเรียนเซียนสองตัวกำลังเดินเล่น นกกระจาบฝนหลายตัวบนระเบียงทางเดินกำลังนินทาอะไรสักอย่างเสียงแหลมสูง


บนเตาไฟมีกลิ่นน้ำแกงไก่ตุ๋นลอยมา ดอกโบตั๋นหลายดอกบนขอบหน้าต่างก็บานได้อย่างงดงาม


มู่จิ่วกินอาหารเช้า ลู่ยาหยิบหนังสือหนึ่งเล่มมานั่งเป็นเพื่อนอยู่บนเก้าอี้เอนด้านข้าง เมื่อเห็นสิ่งใดน่าสนใจก็อ่านให้นางฟังสักสองประโยค


เวลานี้ช่างงดงาม ช่างทำให้คนหลงใหล


ไม่นานก็กินอิ่ม นางกำลังประคองแก้วชาครุ่นคิดว่าตอนบ่ายค่อยไปที่หน่วยหรือไปตอนนี้ดี ลู่ยาปิดหนังสือลงก่อนพูด “เรื่องอวิ๋นรองเป็นอย่างไร?”


มู่จิ่วมองเขา เช้าขนาดนี้ยังมีใจมาพูดเรื่อยเปื่อย นางยังเข้าใจว่าเขาไม่สนใจเรื่องนี้เสียอีก ดังนั้นแต่เดิมคิดว่าหลังพบหลิวจวิ้นแล้วค่อยพูดกับเขาอย่างละเอียดอีกที แต่ในเมื่อเขาถามมา จึงผลักแก้วชาไปข้างหน้า จากนั้นเล่าเรื่องที่มาที่ไปทั้งหมดให้เขาฟัง


“ตอนนี้สิ่งที่ข้ากังวลที่สุดคือไม่รู้ว่าตระกูลอวิ๋นจะก่อเรื่องใหญ่อะไรเพราะเรื่องนี้หรือไม่ ที่จริงครั้งนี้เสียทีในเงื้อมมือของอ๋าวเชินก็น่าโมโหเกินไป อย่างไรพวกเขาก็รักษาไว้ไม่ได้แม้แต่ตระกูลแล้ว ก่อเรื่องวุ่นว่ายครั้งใหญ่ให้ตระกูลอ๋าวก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้


“ส่วนอ๋าวเชิน ข้ากลับไม่สนใจเขา เพียงแต่คิดว่าหากตระกูลอวิ๋นทุ่มเทกำลังทั้งหมดของเผ่าพันธุ์ เกรงว่าถึงตอนนั้นคงไม่เรียบง่ายเพียงแค่แก้แค้นอ๋าวเชิน ไม่แน่ว่าแม้แต่ทะเลทั้งสี่ทิศอาจได้รับผลกระทบ หากเรื่องราวไปถึงขั้นนี้จริง นั่นก็เลวร้ายอย่างมาก”


ลู่ยากินกุหลาบแช่อิ่มที่เสี่ยวซิงทำไว้ ก่อนพูด “หากถึงขั้นนั้นจริง ก็ใช่ว่าเจ้าจะสามารถต้านทานได้”


“ใช่ ถ้าพูดแบบนี้นะ แต่ข้ารู้สึกตลอดว่าแม้ตระกูลอวิ๋นมีความผิด กลับไม่ใช่ทุกคนที่ผิด ในเผ่าพันธุ์ของพวกเขายังมีเด็กที่ไม่รู้ความอยู่อีก หรือต้องพลอยสังเวยชีวิตไปด้วยเพราะความผิดของเหล่าพี่น้องอวิ๋นเฉี่ยน?” มู่จิ่วเท้าคางถอนหายใจ “แบบนี้มิใช่ว่าโหดร้ายอำมหิตเกินไปหรือ?”


สายตาของลู่ยามองผ่านหนังสือไปยังอู๋ถงบนระเบียงทางเดิน ไม่พูดสิ่งใด


“อา ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” มู่จิ่วพลันวางมือทั้งสองก่อนเอ่ยอีก “ห้าพันปีก่อน เรื่องที่อ๋าวเชินได้รับบาดเจ็บที่คุนหลุนตะวันออกก็แปลกประหลาดมาก เจ้ารู้หรือไม่?”


“อ๋าวเชินได้รับบาดเจ็บ?” ลู่ยาได้ยินนางพูดถึงเรื่องนี้ก็รีบมองมา “ข้าไม่เคยได้ยิน เกิดอะไรขึ้น?”


มู่จิ่วเล่าเรื่องที่อ๋าวเชินโดนโจมตีที่คุนหลุนตะวันออกได้อย่างไรให้เขาฟัง


“นี่คือเรื่องจริงหรือ?” สีหน้าลู่ยาไม่ผ่อนคลายขนาดนั้นอีก


“ข้าแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริง” มู่จิ่วพยักหน้า “เพราะจิตมังกรของเขาปริร้าวแล้ว”


ลู่ยาขมวดคิ้วไม่พูดอะไร


มู่จิ่วหันมาเผชิญหน้ากับเขา แล้วกล่าวอีก “อ๋าวเชินบอกว่าพลังวิญญาณนั้นบริสุทธิ์มาก แต่ทำไมพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์อย่างมากถึงได้ทำร้ายคนไร้ความผิดล่ะ?”


“เรื่องนี้พูดยาก” ลู่ยาจ้องดอกจื่อยวน (ดอกไอริสสีม่วง) ที่อยู่ไม่ไกล “มีความเป็นไปได้ว่าตอนนั้นมีผู้พลังบำเพ็ญสูงส่งกำลังเลื่อนขั้นพอดี และเป็นไปได้อีกว่านั่นเป็นพลังเริ่มต้นบางประเภทในหกภพ” พูดจบเขาก็มองนาง “แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคุนหลุนตะวันออกมีเซียนชั้นสูงอะไร ไม่เคยได้ยินว่ามีของวิเศษมีค่า ทำไมอยู่ๆ ถึงมีพลังวิญญาณพวยพุ่งออกมากะทันหัน?”


มู่จิ่วไหนเลยจะตอบได้? แล้วก็ไม่ใช่นางที่เห็นด้วยตาตัวเอง


นางโบกมือพูด “อย่างไรอ๋าวเชินก็ได้รับบาดเจ็บแบบนี้”


ลู่ยาเหลือบมองนาง เอ่ยอีกว่า “อวิ๋นรองตายแล้วจริงหรือ?”


“ตายแล้วจริง” มู่จิ่วพยักหน้า “ข้าใช้พลังทั้งหมดในร่างก็จับเศษเสี้ยวของพลังชีวิตเขาไม่ได้ และข้าเชื่อว่าตระกูลอวิ๋นไม่มีเหตุผลต้องเล่นละครแบบนี้ คราวก่อนตอนข้าเห็นเขา เขาก็อ่อนแอมากแล้ว ตอนนี้แม้แต่กุญแจจันทราหยินก็ไม่มี เขาจะยืนหยัดต่อไปได้อย่างไร?”


ลู่ยาครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนพูดขึ้นเอง “บังเอิญเช่นนี้ จิตต้นกำเนิดของอวิ๋นรองถูกทำร้าย จิตมังกรของอ๋าวเชินก็ถูกทำร้าย ล้วนต้องการกุญแจจันทราหยางมารักษาวิญญาณ?”


มู่จิ่วค้อมหัวมองเขา “คำพูดนี้ของเจ้าหมายถึงอะไร?”


ลู่ยาวางหนังสือลง หยิบกุหลาบแช่อิ่มครึ่งหนึ่งไปนั่งข้างนาง “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเบื้องหลังยังมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่?”


ซ่อนเร้น? ซ่อนเร้นอะไร?


มู่จิ่วนิ่งอึ้งไร้คำพูด โปรดให้อภัยด้วยที่นางโง่ นางยังคิดไม่ออกว่ามีเรื่องซ่อนเร้นอะไร


ถึงแม้บอกว่าตระกูลอวิ๋นกับอ๋าวเชินตอนนี้กลายเป็นศัตรูกันจริงเพื่อแย่งชิงกุญแจจันทรา แต่คนที่ได้รับประโยชน์มิใช่ราชินีมังกรหรือ? อย่างไรก็ตาม ราชินีมังกรคิดได้ และเอากุญแจจันทราหยางออกมาแล้ว…อา ไม่ถูกสิ! ถึงแม้ราชินีมังกรนำกุญแจจันทราหยางมาให้ ก็ยังสามารถช่วยชีวิตคนได้เพียงคนเดียว ตระกูลอวิ๋นกับอ๋าวเชินก็ยังเป็นศัตรูกันอยู่!


“เจ้าคิดอีก จากนั้นพวกเขายังเชื่อมโยงอะไรกันอีก?”


ยังไม่รอให้นางพูด ลู่ยาเอนตัวมาข้างหน้า ห่างเพียงสองชุ่น จ้องตาทั้งสองของนางพลางเอ่ย


ความเชื่อมโยงหลังจากนั้น ไม่ใช่สิ่งที่นางเพิ่งพูดหรือ?


ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ ต่อมาตระกูลอวิ๋นต้องไปล้างแค้นอ๋าวเชิน เพราะไม่ว่าพูดอย่างไร อวิ๋นรองก็ตายด้วยน้ำมือของพวกเขา


อีกอย่าง แผนการฟื้นคืนของพวกเขาวางแผนมาพันกว่าปี สุดท้ายความหวังยังถูกทำลายลง จึงเป็นไปได้มากว่าต้องไปกระตุ้นความคิดที่จะลากให้ตายตกไปด้วยกัน อย่างไรการสูญเสียอวิ๋นรองก็เท่ากับสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ แบบนั้นย่อมต้องไม่ใส่ใจสิ่งใด ลากตระกูลอ๋าวฝังกลบไปด้วยกันแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตอนนี้สืบได้แล้วว่ากุญแจจันทราหยางยังอยู่ในมือตระกูลอ๋าวเลย!


คิดถึงตรงนี้สีหน้านางก็เปลี่ยน “พูดแบบนี้ มิใช่ว่าทั้งสี่ทะเลตกอยู่ในอันตรายจริงหรือ!”


“ครั้งนี้ตระกูลอ๋าวถูกอ๋าวเชินก่อเรื่องไว้ใหญ่จริง” ลู่ยายกริมฝีปากนั่งลงไป “พวกผู้เฒ่าหลายคนนั่นมีเรื่องต้องทำแล้ว สงครามครั้งนี้ปะทุขึ้นมา โลกเซียนก็พบหายนะแล้ว”


มู่จิ่วฟังจนใจบีบรัด แต่เห็นเขาท่าทางก็สงสัย จึงถามขึ้น “ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเจ้าดีใจนัก?”


“ข้ามีอะไรไม่น่าดีใจกัน” ลู่ยาพูด “เจ้าอ๋าวเชินนั่นใช้พวกเราอย่างกับคนใช้เต็มๆ สองเดือน ตอนแรกยังกล้าพูดว่าจะเอาชีวิตเจ้า ให้เขาถูกผู้เฒ่าเหล่านั้นจัดการบ้างจะหนักหนาอะไร”


มู่จิ่วไร้คำพูดโดยสิ้นเชิง


ใครบอกว่าพลังบำเพ็ญสูงแล้วจะปล่อยวางได้ เรื่องทั้งหมดล้วนว่างเปล่าไม่มีความหมาย?


พ่อหนุ่มตรงหน้าจิตใจเทียบกับรูเข็มแล้วคงใหญ่กว่าไม่เท่าไหร่กระมัง?


แต่เขาแค่รักษาความยุติธรรมแทนนาง เรื่องนี้ก็คิดเล็กคิดน้อยไม่ได้


นางคิดๆ แล้วพูดอีก “ความหมายของเจ้าคือ นี่คือสงครามที่ราชินีมังกรวางแผนไว้?”


“นางไม่น่ามีความสามารถเช่นนี้ และหากนางต้องการความวุ่นวายเพียงนี้คงทำไปนานแล้ว ทำไมต้องรอถึงตอนนี้ด้วย?” ลู่ยางอเข่าบนเก้าอี้ ฟันขาวทั้งสองแถวกัดดอกกุหลาบแช่อิ่มสีแดงสด พลางกล่าว “ข้าเพียงกำลังคิดว่า หากเรื่องจริงกับสิ่งที่ข้าคาดเดาไว้ไม่ต่างกัน เรื่องนี้อาจเกี่ยวพันกับพลังวิญญาณที่คุนหลุนตะวันออกเล็กน้อย”


พูดจบ เขาก็พูดอีกโดยไม่รอมู่จิ่วตอบ “พรุ่งนี้มีเวลาว่าง ข้าจะไปดูที่คุนหลุนตะวันออกเสียหน่อย”


มู่จิ่วรีบเอ่ย “ทำไมวันนี้ไปไม่ได้?”


ลู่ยาหันหน้ามา มือบีบคางนางเบาๆ “วันนี้อากาศดีขนาดนี้เลยไม่อยากออกจากบ้าน พวกเราไปซื้อปลากินกัน”


พูดจบก็ยืนขึ้น หยิบตะกร้าที่ชั้นตรงมุมห้องก้าวเท้าออกประตูไป


มู่จิ่วจนปัญญาจริงๆ


เทพเซียนสูงส่งคนหนึ่งกลับต้องการไปเดินตลาดกับนาง?


ว่างจนประสาทเสียไปแล้ว


มู่จิ่วเห็นเขาเดินถึงนอกประตู ทำได้เพียงกลับห้องไปหยิบเหรียญหยก แล้วเดินตามเขาออกไปบนถนน


……………………………………………………………



บทที่ 200 มีข่าวร้าย

โดย

Ink Stone_Romance

สองคนหิ้วตะกร้าไปถึงนอกประตูสวรรค์แดนใต้ ที่นี่ช่างคึกคักอย่างยิ่ง


ทางตะวันตกเฉียงเหนือนอกประตูสวรรค์แดนใต้เปิดเป็นตลาดโดยเฉพาะ ตอนมีเวลาว่างมู่จิ่วก็ตามเสี่ยวซิงมาซื้อของบ่อยๆ เหล่าปีศาจนกกาน้ำล้วนจำนางได้ เห็นนางหิ้วตะกร้าเดินมา ก็รีบยื่นคอยาวออกมาเรียกนางเหมือนกับกวนอิมพันมือ แบบนี้ทำเอานางซื้อของใครก็ล้วนรู้สึกไม่ดี สุดท้ายทำได้เพียงซื้อหนึ่งชิ้นจากทุกร้าน ดังนั้นเหล่าปีศาจนกกาน้ำจึงยิ่งกระตือรือร้น


“ใต้เท้ากัว วันนี้ท่านชายผู้นี้แจ่มใสอย่างมาก เป็นเพื่อนของท่านหรือ?”


“ใต้เท้ากัว วันนี้ไม่ซื้อผลไม้หน่อยหรือ? ลูกท้อของปีศาจหมีเทาไม่เลวทีเดียว!”


ปีศาจเหล่านี้ไม่เพียงชอบนินทา ยังชอบเร่ขายสินค้าของตนเอง มู่จิ่วอาศัยตอนลู่ยาไปเดินเล่นเลือกอย่างอื่นแล้ว นั่งลงบนเก้าอี้เล็กของพวกเขา “ทำไมเหล่าลิงไม่ขายลูกท้อแล้วเปลี่ยนเป็นปีศาจหมีเทาล่ะ?”


“อย่าพูดถึงเลย ตระกูลลิงวอกเกิดเรื่องแล้ว” พังพอนเหลืองปากไวใจถึงที่ขายเหล้าผลไม้ป่าอยู่ด้านข้างพูดแทรก “เด็กสาวบ้านเขาแต่งให้กับเผ่าลิงขนทองเมืองเสฉวนไป แต่เดิมยังเข้าใจว่าปีนขึ้นไปยังกิ่งสูง ผลคือสามีของสาวคนนี้ ตลอดปีออกล่องเมฆไปบำเพ็ญ ผ่านมาแปดร้อยปีก็ไม่ได้ให้กำเนิดลูก บ้านสามีโทษว่านางไม่ทุ่มเททำหน้าที่ จึงขับไล่นางกลับมา”


นางพูดจบ ปีศาจจิ้งจอกที่ขายไข่ไก่อยู่ข้างๆ และปีศาจงูขาวที่ขายของป่าต่างด่าทอตระกูลลิงขนทองเมืองเสฉวนว่าไร้หัวจิตหัวใจ จากนั้นพูดไปถึงว่าตระกูลใครใครก็ให้ความสำคัญผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผลคือเปลี่ยนหัวข้อของเรื่องไปเพราะเรื่องขายลูกท้อ ลากสามีชั่วพ่อแม่สามีเลวออกมา


มู่จิ่วฟังคำนินทานี้จบ ลู่ยาถึงได้ถือลูกบัวพวงหนึ่งกลับมา


กลับไปถึงบ้านนางรับคำสั่งทำปลาน้ำแดงให้เขา ปลาเล็กที่เหลือนางเพิ่มหญ้าเซียนหลินจือเข้าไปต้มน้ำแกง เสริมพลังให้เหล่าสมาชิก


วันนี้ลู่ยาไม่ออกไปข้างนอกจริง ตอนบ่ายนอนสักครู่ค่อยลุกขึ้นมา เห็นนางปักลายดอกไม้อยู่บนระเบียงทางเดิน จึงย้ายเก้าอี้เอนมานั่งข้างนาง อยู่เป็นเพื่อนพูดคุยด้วยใต้ซุ้มต้นจื่อเถิงตลอดบ่าย


วันถัดมา ตอนเช้ามู่จิ่วกลับไปทำงาน เขาถึงได้เดินทางไปคุนหลุนตะวันออกอย่างสบายใจ


คุนหลุนตะวันออกอยู่ตรงข้ามกับคุนหลุนตะวันตกที่ซีหวังหมู่อยู่ เปรียบเทียบกับพลังเซียนที่ลอยกระเพื่อมของคุนหลุนตะวันตก คุนหลุนตะวันออกกลับมีต้นไม้โบราณปกคลุม อากาศเป็นพิษแผ่กระจาย คนมาถึงน้อย ตลอดมาเป็นที่อาศัยของเหล่าปีศาจ แต่เพราะเป็นทิศตะวันออก พลังหยางสมบูรณ์ จึงยิ่งเหมาะให้เหล่าผู้บำเพ็ญตนเป็นเซียนมารับพลังฟ้าดิน ดังนั้นคนที่มาบำเพ็ญสายเซียนก็ยังคงมากอยู่


ลู่ยาเดินไปตามป่าบนยอดเขาใหญ่โตหนึ่งรอบ ไม่พบอะไร แต่กลับทำให้ปีศาจน้อยบนทางเดินตกใจจนยืนไม่ติด


เดินไปอีกสองรอบก็ยังไม่พบอะไร จึงจับเสือลายเหลืองมาตัวหนึ่งถาม “ในหลายพันปีมานี้ บนเขาเกิดเรื่องอะไรผิดปกติหรือไม่?”


เสือลายเหลืองอยู่มาห้าหกพันปี พบเทพที่ใหญ่ที่สุดคือเทพเอ้อร์หลาง ตอนนี้เห็นบนศีรษะลู่ยามีไอมงคลปกคลุมอยู่ครึ่งฟ้า ก็ตกใจจนหมอบลงกับพื้น “ตอบท่าน ข้าน้อยไม่เคยพบอะไรผิดปกติ ในเขาหลายพันปีมานี้สงบสันติ นอกจากนานๆ ครั้งเหล่าปีศาจน้อยต่อสู้แย่งชิงพื้นที่กันก็ไม่มีเรื่องอะไรอีก”


ลู่ยาถามอีก “เรื่องที่ประมาณห้าพันปีก่อนปรากฏพลังวิญญาณแข็งแกร่งมากขุมหนึ่งตอนกลางคืน เจ้าเคยได้ยินมาหรือไม่?”


เสือลายเหลืองสับสน “ไม่เคยได้ยิน”


ลู่ยาหน้าตึง


เสือลายเหลืองรีบพูด “หากท่านต้องการรู้เรื่องเมื่อก่อน บางทีสามารถใช้บ่อน้ำสามพฤกษาทางตะวันตกดูได้”


“บ่อน้ำสามพฤกษา?”


“ไม่ผิด” เสือลายเหลืองพยักหน้า “ทางบูรพาของคุนหลุนตะวันออกมีอาณาบริเวณหนึ่งอยู่ในเขาลึก ด้านหลังที่นั่นจรดทิวเขาฝูซี มืดมิดตลอดปี กลิ่นอายปีศาจเข้มข้น พวกเราล้วนไม่กล้าเข้าไป แต่บรรพบุรุษของเราเคยพลาดพลั้งเดินเข้าไปมาก่อน จากคำบอกเล่า ที่นั่นมีบ่อน้ำสีดำอยู่ ริมบ่อน้ำยังมีต้นไม้โบราณสามต้น ไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่แล้ว”


“สรุปคือ ตอนพวกเขาเห็นลำต้นก็หนาเท่าโต๊ะกลมกินข้าวที่บ้านแล้ว น้ำนั้นทั้งลึกและดำ ไอมารเข้มข้น เป็นสถานที่ที่พวกเราทั้งเขาคุนหลุนตะวันออกไม่อยากย่างกรายเข้าไป”


เขาพูดพลางกางแขนทั้งสองแสดงความหนาของลำต้นไม้ ใบหน้ายังเผยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด


ลู่ยากวาดตามองไปทางตะวันตก เมฆหมอกหนาจัด มองอะไรไม่เห็นเช่นกัน จึงพูด “เจ้านำทาง”


เสือลายเหลืองรีบเอ่ยทั้งใบหน้ากล้ำกลืน “ข้าน้อยไม่กล้าไป”


ลู่ยาทำหน้านิ่ง “ไปกับข้าเจ้าจะกลัวอะไร!”


เสือลายเหลืองจึงค่อยคืนสติทันใด ค้อมตัวชี้ทางไปข้างหน้า


……………………..


มู่จิ่วไปหน่วยลาดตระเวนก่อนตามปกติ เพื่อรายงานเรื่องตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นแก่หลิวจวิ้น หลิวจวิ้นฟังจบก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงส่ายหน้าอย่างไร้คำพูด พลางเปิดแฟ้มคดีที่นางส่งมา คิดแล้วเรื่องเวรนี่ไปถึงมือใครล้วนไม่อยากสน ครั้งนี้นางกลับจัดการพวกเขาเรียบร้อย ทั้งยังมีความพอใจอยู่น้อยๆ


ช่วงเช้าทำงานเรียบร้อย เวลายังคงเช้าอยู่ แต่ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว มู่จิ่วจึงเรียกอาฝูกลับบ้านไปกินข้าว


ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งเลี้ยวเข้าตรอกตรงประตูบ้าน ก็เห็นมู่เสี่ยวซิงยืนเบิกตากว้างมองไปข้างนอกอยู่หน้าประตู มู่จิ่วเข้าใจว่านางทำอาหารเสร็จนานแล้วรอตนกลับมากิน จึงรีบเพิ่มความเร็ววิ่งเข้าไป มู่เสี่ยวซิงกลับชิงออกมาก่อนพร้อมพูด “จิ๋วจิ่ว! มีข่าวร้าย!”


มู่จิ่วอึ้ง “ข่าวร้ายอะไร?”


คงไม่ใช่ลู่ยา…


“เป็นอ๋าวเจียง!” เสี่ยวซิงกางกระเรียนกระดาษส่งให้นางดู “เมื่อครู่เพิ่งได้รับมา กระเรียนกระดาษนั่นมาถึงก็ตกลงพื้นไม่ไหวแล้ว เห็นได้ชัดว่าบินไกลมาต่อเนื่อง”


มู่จิ่วรีบรับกระเรียนกระดาษมา มันถูกใช้เป็นจดหมาย ด้านบนเขียนอักษรหวัดๆ หลายแถว


ที่แท้ตอนเช้าอ๋าวเจียงไปทิวเขาริ้วหยกมา ผลคือเพิ่งถึงตระกูลอวิ๋นก็ตกอยู่ในกับดักของพวกนั้น!


“ตระกูลอวิ๋นลงมือเร็วขนาดนี้? ไม่มีเรื่องอะไรเขาจะไปทิวเขาริ้วหยกทำไม!” นางหลุดปากพูด อดรู้สึกว่าตึงมือไม่ได้ ตระกูลอวิ๋นตอนนี้เต็มไปด้วยความโกรธ หากเป็นไปตามการคาดเดาของลู่ยาเมื่อวาน เช่นนั้นก็ไม่ได้การแล้ว! เขาโง่ถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?!


“กระเรียนกระดาษนั่นไม่ได้บอกอะไรอย่างอื่นแล้ว?” นางถาม


“ไม่มี!” เสี่ยวซิงส่ายหน้า “มาถึงก็ตกพื้น ตอนนี้แม้แต่เงาก็ไม่มี!”


มู่จิ่วไร้คำพูด


แต่ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อคำร้องขอให้ช่วยมาแล้ว นางไม่อาจไม่สนใจได้


กระเรียนกระดาษเปิดปากไม่ไหว ต้องเป็นเรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานแน่ ให้เขาตายแบบนี้ในเงื้อมมือของตระกูลอวิ๋นก็ไม่เหมาะนัก!


“ข้าไปดูก่อน! หากลู่ยากลับมาแล้วเจ้ารีบบอกเขาด้วย”


พูดจบนางกลับห้องไปหยิบกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ สั่งให้เสี่ยวซิงกับรุ่ยเจี๋ยเฝ้าบ้าน จากนั้นเรียกอาฝูและซ่างกวนสุ่นรวมตัวมุ่งหน้าไปทิวเขาริ้วหยก


หากตระกูลอวิ๋นต้องการลงมือจริง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว นางพาคนไปมากหน่อยก็ไม่เลวนัก


ซ่างกวนสุ่นรู้ว่าอ๋าวเจียงมาขอความช่วยเหลือ แต่ยังไม่รู้เรื่องอะไร รอจนนางเล่าเรื่องทั้งหมด จึงได้รู้ว่าอ๋าวเจียงเข้าปากเสือไปด้วยตนเอง ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาขูดรีดทรัพย์อ๋าวเจียง แต่การที่ตระกูลอวิ๋นรังแกมังกรน้อยบริสุทธิ์ก็ถือว่าไม่มีเหตุผล ดังนั้นระหว่างทางจึงลับมีดไว้เตรียมปะทะกับตระกูลอวิ๋น


……………………………………………………………………



บทที่ 201 สู้หลังชนฝา

โดย

Ink Stone_Romance

มู่จิ่วเลี่ยงไม่ได้ เตือนเขาไปว่าอย่าก่อเรื่อง พวกเขาพูดคุยกันหลายประโยค ไม่รู้ตัวก็ถึงเขตทิวเขาริ้วหยกแล้ว


ยังห่างจากทิวเขาที่วังหงส์เพลิงอยู่อีกหลายร้อยลี้ เห็นเหนือทิวเขาริ้วหยกปกคลุมไปด้วยเมฆทะมึนหนาผืนหนึ่ง ไอมารจากจุดที่วังหงส์เพลิงตั้งอยู่ผ่านชั้นเมฆไปยังทุกที่ ป่าเขาใต้เมฆปรากฏความเงียบสงัดเหมือนความตายไม่เห็นนกบินขึ้นลงเช่นแต่ก่อน สัตว์ป่าที่เดินไปมาก็ไม่เห็น แม้แต่ต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปีก็เหลืองแห้งไปทั้งชั้น!


“นี่คือสัญญาณของพลังวิญญาณเสื่อมโทรม!”


มู่จิ่วพูด “ดูท่าวันสุดท้ายของตระกูลอวิ๋นมาถึงแล้วจริงๆ!”


พลังบำเพ็ญของซ่างกวนสุ่นสูงกว่านาง เป็นธรรมดาที่ดูออกนานแล้ว ถึงแม้ปกติปากร้ายน่าตบ ตอนนี้เขากลับพูดอะไรไม่ออก


เคราะห์สูญสิ้นเผ่าพันธุ์เป็นภัยพิบัติใหญ่หลวง ถึงแม้ไม่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ต้าเผิง กลับยากที่จะเลี่ยงไม่ให้คนรู้สึกเศร้าสลด


สามคนเร่งความเร็วบินไปยังวังหงส์เพลิงที่ไอมารเข้มข้นที่สุด ยิ่งใกล้เท่าไหร่ ไอมารนั้นยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น และภายใต้การเคลื่อนไหวของไอนี้ ผิวทะเลสาบนอกประตูวังที่แต่ก่อนใสเหมือนกระจก ตอนนี้กลับมีคลื่นยักษ์!


มู่จิ่วหยุดอยู่ที่ลานนอกประตูวัง มองดูผิวทะเลสาบนั้น กลั้นความตื่นกลัวในใจพลางมองไปยังวังที่ไหล่เขา เห็นเพียงวังโบราณที่แต่ก่อนเต็มไปด้วยพลังวิญญาณยามนี้มืดทึมไร้แสง สัตว์เทพที่แต่ก่อนเดินเล่นอยู่บนอากาศไม่รู้ไปไหน พลอารักขาและหญิงรับใช้เต็มวังหายไปไม่เห็นเงา และแท่นสูงที่อยู่หลังสุดของวังพวกเขามีควันเขียวลอยวนขึ้นมา…


“เข้าไปดูกัน!”


มู่จิ่วพูดพลางพุ่งเข้าไปในประตูวัง ในนั้นราวกับเพิ่งเจอฤดูหนาวรุนแรง ไม่เพียงรอบด้านทั้งมืดหม่นและหนาวเย็น แม้แต่ดอกไม้นอกรั้ว ต้นไม้ที่มุมลาน และหญ้าบนขั้นบันไดล้วนเหลืองแห้งไปหมด ชายคาโค้งที่เคยงดงาม หยกสลักศีรษะสัตว์บนระเบียงทางเดิน กระเบื้องเขียวบนกำแพงที่สมบูรณ์เหมือนใหม่ กำลังส่งเสียงแตกร้าวออกมา


กระเรียนเซียนน้อยหลายตัวรวมกันเป็นกลุ่มอยู่ที่มุมกำแพง สายตาว่างเปล่าและหวาดกลัว


เมื่อเดินขึ้นไปบนขั้นบันได ดอกใบของหญ้าหอมอุดมสมบูรณ์ล้วนร่วงหล่นหมด วันก่อนมู่จิ่วเพิ่งมาที่นี่ ตอนนั้นถึงแม้จะรู้สึก แต่กลับไม่หนักหนาเหมือนที่ตาเห็นขณะนี้ สั้นๆ เพียงสองวันมันกลับเปลี่ยนไปแห้งแล้งแบบนี้แล้ว


“…รีบสังหารเขา!”


ขณะกำลังสำรวจระหว่างทาง ตอนนี้สักที่บนเขาพลันมีเสียงดังมา คล้อยหลังเสียงนี้หยุดลง ก็พลันมีเสียงฝีเท้าวุ่นวายและเสียงกลองดังขึ้น!


“อยู่ข้างหน้า!”


ใจมู่จิ่วหนักอึ้ง รีบกระโดดขึ้นกลางอากาศมุ่งไปยังไหล่เขา


บนแท่นเรียบตรงไหล่เขาที่เห็นก่อนหน้านี้ ที่แท้กลับเต็มไปด้วยคนยืนอยู่!


แท่นกลมสูงสองสามจั้ง รั้วหยกรอบด้านล้วนพันด้วยผ้าขาว ทั้งสี่ทิศประดับไปด้วยร่มบังแดดขนาดใหญ่ที่มีรูปสลักหลากหลายแบบ ตรงกลางสุดมีแท่นกลมกว้างจั้งหนึ่ง บนยอดแท่นแขวนครอบผลึกส่องสว่าง แสงม่วงของครอบผลึกนี้หลั่งล้นออกมา ทั้งหมดอาศัยพลังวิญญาณยกขึ้น แต่แสงม่วงด้านหน้ากลับส่องแสงอ่อนๆ เท่านั้น


พี่น้องตระกูลอวิ๋นหลายคนที่มีอวิ๋นชือฉางเป็นผู้นำ นอกจากองค์หญิงใหญ่ที่ตายตกแต่ยังสาว ที่เหลือล้วนอยู่หมด คนในที่นั้นทั้งหมดรวมถึงผู้ติดตามและคนจากเผ่าหงส์เพลิงน้อยใหญ่หลายสิบเผ่าที่ยังเหลือรอดล้วนแต่งตัวอย่างประณีต ยืนอยู่ในรั้วหยกชั้นสองใต้แท่นกลม ศพของอวิ๋นรองอยู่ใต้ครอบผลึกบนแท่นหยก ต้นถงจำนวนมากกำลังล้อมพวกเขา


แท่นหยกทางด้านนี้มีผู้ติดตามถือไฟเตรียมจุด แท่นหยกอีกด้านมีศพอีกหลายสิบศพ บนพื้นเลือดไหลนองกลายเป็นตาข่าย อวิ๋นซีถือกระบี่ชี้ไปยังคนที่จมูกปากเลือดไหล คุกเข่าข้างเดียวบนพื้นท่ามกลางศพ เขาตื่นตัวจ้องอวิ๋นซีจากมุมหนึ่ง และเขาก็คืออ๋าวเจียงที่เมื่อคืนเพิ่งส่งนางที่ริมทะเลสาบน้ำแข็ง!


ศพของอวิ๋นรองไม่อาจรักษาได้แล้ว พวกเขาคิดสู้ตายกันหรือ?


“หยุดเดี๋ยวนี้!”


มู่จิ่วเห็นสภาพการณ์ก็ไม่สนใจ ตะโกนออกไปกลางอากาศ


อวิ่นเฉี่ยนกับอวิ๋นชือฉางเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขาก่อน จากนั้นระหว่างคิ้วของแต่ละคนค่อยปรากฏความโกรธเกรี้ยวและตื่นตกใจ


ครั้นอวิ๋นซีเห็นนาง สีหน้าก็เย็นเยียบทันที ยกกระบี่แทงเข้าหาอ๋าวเจียง!


มู่จิ่วยังไม่ทันเรียกแหสวรรค์ตาข่ายกระบี่ออกมาต้านไว้ อาฝูกระโจนร่างเข้าไป อาศัยโอกาสนี้ชิงตัวอ๋าวเจียงมา และขนาบอยู่ข้างกายเขาคู่กับซ่างกวนสุ่นเป็นโล่ป้องกัน!


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”


อวิ๋นซีที่ปกติเสเพล ตอนนี้ในดวงตามีเพียงความมุ่งร้ายและไอสังหาร ความหุนหันพลันแล่นของเขาเผยให้เห็นพอดีว่าสงครามนี้ถึงช่วงหมดแรงแล้ว บนแท่นเรียบเต็มไปด้วยความหดหู่ ไม่ว่าหญ้า ต้นไม้ คน หรือสัตว์ ในแววตาล้วนมีแต่ความท้อถอยอยากมุ่งไปสู่ความตาย!


แต่ไหนแต่ไรมู่จิ่วไม่เคยเห็นความสิ้นหวังที่ทำให้ใจสั่นแบบนี้มาก่อน ตอนนี้นางไม่คิดจะสนใจเขา กลับไปตรงหน้าอ๋าวเจียง เมื่อเห็นบนร่างเขาทั้งท้องและหลังล้วนโดนกระบี่หลายครั้ง จึงรีบเอายาสองเม็ดใส่เข้าปากเขา และช่วยปรับสมดุลพลัง ถึงค่อยถามไป “เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่? เจ้ามาที่นี่ทำไม?”


อ๋าวเจียงโคจรพลังนำยาเข้าสู่ตันเถียน รอจนหายใจคล่องแล้วค่อยพูด “พ่อให้ข้านำกุญแจจันทราหยินมาก่อน ดูว่าสามารถช่วยพวกเขาได้หรือไม่ ใครจะรู้ว่ามาถึงทิวเขาริ้วหยกก็เห็นว่าภายในคืนเดียวที่นี่เปลี่ยนไปแบบนี้ ข้ารู้ว่าแย่แล้ว กำลังจะกลับไป พวกเขากลับพบข้าก่อน ข้านำคนมาเพียงสิบกว่าคน ทั้งหมดไม่สามารถต่อสู้ได้ จึงถูกพวกเขาล้อมอยู่ที่นี่”


มู่จิ่วรีบถาม “แบบนั้นพ่อเจ้ารู้หรือไม่?”


อ๋าวเจียงส่ายหน้า “ข้ายังไม่ทันบอกเขา ตอนนั้นข้าถือกระเรียนกระดาษ ต้องการบอกเจ้าเรื่องทิวเขาริ้วหยกพอดี พวกเขาก็เข้ามาสังหาร คนพวกนั้นเหมือนกับไม่ต้องการมีชีวิตแล้ว ข้าไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบโต้ไป” พูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงัก ก่อนพูดต่อ “พวกเขาคงกำลังดำเนินการขั้นสุดท้าย ถึงแม้พ่อข้ามาได้ เกรงว่าจะเป็นไปตามที่พวกเขาปรารถนาเท่านั้น”


มู่จิ่วหันกลับไปมองตระกูลอวิ๋นที่แต่งตัวเหมือนคนตายแล้วกัดฟันแน่น


ไม่ต้องให้อ๋าวเจียงบอก นางก็ดูออกว่าพวกเขากำลังคิดอะไร


ถึงแม้นางเคยรังเกียจพวกเขาที่วางแผนแบบนั้นเพื่อกุญแจจันทรามาก แต่ตอนนี้เห็นทั้งเขาปกคลุมไปด้วยพลังวิญญาณและชีวิตที่กำลังตายไปอย่างรวดเร็ว แววตาของเด็กน้อยที่กอดคอผู้ใหญ่แน่นเต็มไปด้วยความกลัว ในใจนางก็ทนไม่ได้อยู่บ้าง


นางยืนขึ้น นับคนเผ่าตระกูลอวิ๋นที่ยังคงเหลืออยู่ ทั้งหมดมีสิบเอ็ดคน


นอกจากอวิ๋นชือฉาง อวิ๋นเฉี่ยน อวิ๋นซี พวกเขาพี่น้องท้องเดียวกันทั้งห้าที่เหลือเพียงสามคน ที่เหลือคือเผ่าพันธุ์สาขาย่อย เด็กที่สุดเป็นเด็กอายุสามสี่ขวบ มีพลังบำเพ็ญเพียงสองพันปี


หลายแสนปีผ่านมา เผ่าพันธุ์หงส์เพลิงถึงวันนี้มีเหลือเพียงสิบเอ็ดคน และคล้อยหลังการตายของอวิ๋นรอง สุดท้ายพวกเขาก็ไม่อาจต้านทานพลังวิญญาณทำลายล้างและชะตากรรมดุจล้มภูเขาพลิกทะเลนี้ได้


ตอนนี้พวกเขากำลังดิ้นรนต่อชะตาชีวิตในท้ายที่สุด ปลดปล่อยความไม่ยอมจำนนเป็นครั้งสุดท้าย


พวกเขากำลังคลั่ง นี่มิใช่ความเกรงกลัวต่อการสูญสิ้นหรือ?


อีกทั้งตอนนี้ ฟ้าดินหกภพกลับไม่มีสักคนสามารถยื่นมือมาช่วยได้


“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ? กุญแจจันทราก็ไม่มีประโยชน์หรือ?” นางมองอวิ๋นเฉี่ยน


……………………………………………………………………



บทที่ 202 ยังช่วยได้หรือ?

โดย

Ink Stone_Romance

หญิงที่เคยงดงามเหนือผู้ใดคนนี้ ระยะเวลาเพียงคืนเดียวผมขาวกลับขึ้นแล้ว ถึงแม้แต่งหน้าจัดอีกครั้ง แต่ก็ยังคงปกปิดร่องแก้มลึกที่เหมือนถูกมีดกรีดไม่ได้


เผ่าพันธุ์ส่งพลังให้พวกเขาไม่ไหวแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังแก่ลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้


“ไม่ต้องพูดถึงกุญแจจันทราหยิน ตอนนี้แม้แต่กุญแจจันทราหยางก็ช่วยไม่ได้แล้ว” ในแววตาของอวิ๋นเฉี่ยนมีไอสังหารรุนแรงเหมือนกัน เหมือนนักโทษบนลานประหารที่ไม่ยินยอมและดุร้าย “เป็นอ๋าวเชินที่ล้อเล่นกับพวกเราตระกูลอวิ๋นทั้งเป็นจนมาถึงขั้นนี้ เขาไม่ใช่ไม่รู้ว่าพวกเราจะมีจุดจบแบบนี้ เขาคือเพชรฆาตที่สังหารทั้งเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง!”


ชั้นเมฆกลางอากาศเริ่มพลิกตลบอีกครั้ง เมฆทะมึนยิ่งหนาขึ้น


นี่คือชั้นเมฆที่สะสมไอมารของพวกเขาไว้


ตอนนี้มู่จิ่วไม่คิดถกเถียงถูกผิดกับพวกเขา


“ต้องพาลู่ยามา!”


นางก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว เร่งกระตุ้นกำไลม่วงทองบนข้อมือ รอจนมันส่งวงแสงสว่างแสบตากลืนเข้าไปในกลุ่มเมฆ จากนั้นถึงได้พูดกับซ่างกวนสุ่น “พวกเราจะปกป้องอ๋าวเจียงกับศพของอวิ๋นฉัวอยู่ที่นี่ เจ้าบินได้เร็ว ไปบอกข่าวแก่ทะเลสาบน้ำแข็งก่อน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่อาจให้อ๋าวเชินวางตัวอยู่วงนอกได้!”


ชัดเจนว่าเขาเป็นคนก่อเรื่องนี้ ตอนนี้เขาผู้เป็นต้นเรื่องไม่มา จะให้พวกเขาแบกรับความผิดแทนหรือ?


กลับคิดได้ประเสริฐนัก!


ซ่างกวนสุ่นทำตามโดยไม่ถาม


……………………..


ลู่ยาเดินตามเสือลายเหลืองไปยังทิศประจิมของคุนหลุนตะวันออก ยืนอยู่บนเมฆมองด้านล่าง มีต้นหวายปกคลุมจนมองไม่เห็นพื้นดังคาด เขากำลังจะกดเมฆลงไปดู กระดิ่งเล็กที่พันอยู่บนด้ายแดงกลับพลันสั่นไหว!


ตั้งแต่เขาให้ด้ายแดงมู่จิ่วไป ด้ายแดงนี้ไม่เคยขยับมาก่อน การขยับครั้งนี้ย่อมต้องไม่ปกติ


เขารีบนับนิ้วทำนาย จากนั้นขมวดคิ้ว ปล่อยเสือลายเหลืองลงพื้น หมุนเมฆมุ่งไปยังทิวเขาริ้วหยก!


พวกมู่จิ่วกำลังคุมเชิงกับตระกูลอวิ๋น


พี่น้องตระกูลอวิ๋นแต่ละคน บนร่างเต็มไปด้วยไอมารและไอสังหาร ตั้งแต่นางมาถึงก็แยกมายืนล้อมเป็นวงทันที แสดงออกว่าไม่คิดปล่อยอ๋าวเจียงไปแต่แรก มู่จิ่วคนน้อยไม่สู้คนมาก ก็ไร้หนทาง ทำได้เพียงให้เขาเกาะอยู่บนหลังอาฝูชั่วคราว หากพวกนั้นโจมตีเข้ามา นางจะคุ้มกันให้พวกเขาไปก่อน


“กัวมู่จิ่ว ทิ้งเขาไว้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”


อวิ๋นซียกกระบี่ชี้นาง มุมปากเขามีเลือดไหลออกมา


มู่จิ่วรู้ดีว่าไม่อาจปะทะโดยตรงกับเขา จึงพูด “บางทีเรื่องอาจจะยังเดินไม่ถึงขั้นนั้น อาจยังมีหนทางพลิกสถานการณ์ พวกเจ้าสังหารอ๋าวเจียง ก็เท่ากับกลายเป็นศัตรูกับเผ่าพันธุ์มังกรทั้งเผ่า! แบบนั้นพวกเจ้าไม่ตายก็ต้องตายแล้ว อย่าได้มุทะลุขนาดนั้นเป็นการดี”


“ยังมีหนทางเหลืออีกหรือ? ราชาจื่อเยวี่ยตาย ก็หมายถึงว่าพลังวิญญาณของพวกเราเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงสูญสิ้น ชะตาของพวกเราขาดแล้ว นี่คือชีวิตของพวกเราทั้งเผ่า นี่คือชีวิตที่ฟ้าลิขิต! ตั้งแต่โบราณกาลมา พวกเราก็เป็นเผ่าเทพที่สืบทอดต่อกันมา บนผืนฟ้าพื้นพิภพยังมีใครสามารถทำลายเคราะห์กรรมนี้แทนพวกเราได้?!”


“และเจ้ายังเตือนพวกเราไม่ให้มุทะลุ! หากเปลี่ยนเป็นเจ้า เปลี่ยนเป็นตระกูลอ๋าว พวกเจ้าเจอกับเรื่องแบบนี้ยังไม่มุทะลุได้อีกหรือ?! พวกเราไม่กลัวตาย สิ่งที่เรากลัวคือสิ่งที่สืบทอดกันมาจนถึงมือพวกเราหลายแสนปีสิ้นสุดลง! หากพวกเราไม่ตายไปพร้อมกับตระกูลอ๋าว ทุกชีวิตทุกชาติภพ คนบนโลกต้องมองพวกเราเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงทั้งเผ่าเป็นพวกไม่เอาไหน พวกเราไม่มีทางเลือก!”


อวิ๋นซีตะโกนก้องทุกคำ บนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา


ตระกูลอวิ๋นในที่นั้นแต่ละคนล้วนสะอึกสะอื้นเงียบๆ แต่ไม่มีสักคนที่ร้องไห้เสียงดัง


เด็กหลายคนที่ถูกอุ้มอยู่เริ่มจับเสื้อผู้ใหญ่ร้องไห้ เสียงร้องไห้นั้นมิใช่การร้องไห้เสียงดังตามปกติ แต่เจือไปด้วยความระมัดระวังหลายส่วน ราวกับพวกเขากลัวว่าร้องไห้เสียงดังแล้ว จะยิ่งริดรอนพลังชีวิตของตนลงอย่างรวดเร็ว


“อาจิ่ว”


กลางอากาศพลันมีเสียงอ่อนโยนดังขึ้น


มู่จิ่วหันกลับไปทันที ลู่ยาไพล่มือเดินลงมาจากเมฆทีละก้าว


“เจ้ามาแล้ว!” มู่จิ่วมีชีวิตชีวาขึ้น แม้แต่เสียงยังกระจ่างใสกว่าปกติ “เจ้ามาได้เวลาพอดี! พวกเขา…”


ลู่ยายกมือหยุดคำพูดนาง เดินผ่านกลุ่มคนไปตรงหน้าร่างอวิ๋นรองกลางแท่นหยกราวกับด้านข้างไม่มีคนอยู่


“เจ้าคิดจะทำอะไร?!”


คนตระกูลอวิ๋นไม่เคยเห็นลู่ยา การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขากระตุ้นความหวาดระแวงของกลุ่มคน


เหล่าเด็กตื่นตกใจจึงลืมร้องไห้ อวิ๋นชือฉางแต่เดิมถูกกลิ่นอายความนิ่งสงบของลู่ยาที่ก้าวลงมาจากเมฆทำให้นิ่งไป ตอนนี้เห็นเขามุ่งตรงไปยังอวิ๋นรอง จึงลอยตัวเงื้อฝ่ามือขึ้นฟาดลงไปทันที!


ลู่ยาไม่มองเขา กระทั่งแม้แต่ยกมือขึ้นก็ไม่มี ตอนอวิ๋นชือฉางห่างจากเขาสามฉื่อกลับกระเด็นตกลงห่างออกไปจั้งหนึ่งเสียเอง


“พี่ใหญ่!”


อวิ๋นเฉี่ยนรีบพุ่งเข้าไป แม้แต่อวิ๋นซียังตกใจหน้าถอดสีพุ่งเข้าไป


ทุกคนกำลังมองลู่ยา


แต่ลู่ยากลับยื่นมือออกไปเคลื่อนไปยังชีพจรแต่ละจุดบนร่างราชาจื่อเยวี่ยของพวกเขา


มู่จิ่วทนไม่ไหว เดินเข้าไป “ยังช่วยได้หรือไม่?”


เขาขมวดคิ้ว “พลังวิญญาณของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงล้วนสะสมอยู่ในร่างของราชาแต่ละรุ่น เพราะปีนั้นจื่อเยวี่ยสละร่างกระโจนเข้าไฟ และยังนำพลังวิญญาณออกมาไม่ทัน ดังนั้นพลังวิญญาณชะตาชีวิตจึงรวมอยู่บนร่างเขาคนเดียว หลังจากเขากลับชาติมาเกิด พลังวิญญาณก็นำกลับมาด้วย แต่เดิมล้วนสงบดี เพียงต้องรอให้พลังบำเพ็ญของเขาถึงอายุตอนขึ้นเป็นราชาก็สามารถผ่านพ้นภัยพิบัติไปได้”


“แต่น่าเสียดาย ภายหลังเขาได้รับบาดเจ็บหนัก รากฐานวิญญาณของเขาเสียหายก่อนที่จะควบคุมชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์ได้ กุญแจจันทราหยางมีพลังรักษาจิตต้นกำเนิดและรากฐานวิญญาณ หากมีมันแล้ว การที่เขาจะฟื้นฟูกลับมาก็ไม่เป็นปัญหา หากไม่มี เพียงแค่กุญแจจันทราหยินก็รักษาจิตต้นกำเนิดเขาไว้ไม่ให้ตายได้ชั่วคราว ทว่าก็ไม่มีทั้งสองอย่าง เขาจึงได้แต่ตายตกเท่านั้น ทั้งเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงก็เหี่ยวเฉาโรยราตามไปอย่างรวดเร็ว”


พูดถึงตรงนี้ เขามองระหว่างคิ้วของอวิ๋นฉัวก่อนพูด “หากต้องการช่วยเขาอย่างสมบูรณ์นั้นไม่อาจทำได้ รากฐานวิญญาณและจิตต้นกำเนิดเขาล้วนเสียหาย นี่คือชะตาชีวิต ข้าก็ไม่รู้ว่าแท้จริงเขาบาดเจ็บถึงระดับไหน ตอนนี้ไม่มีหนทางใด แต่หากรักษาไว้สามหรือห้าวันกลับไม่เป็นปัญหา”


ครั้นมู่จิ่วได้ยินคำนี้ ใจช่างเหมือนกับหยดน้ำมันกลิ้งลงไปในน้ำเย็น


แม้แต่เขายังไม่มีหนทางรักษาให้คืนสู่สภาพเดิม เช่นนั้นตระกูลอวิ๋นก็ไม่มีหนทางช่วยแล้ว!


แต่ได้ยินคำพูดสุดท้ายของเขา ลมหายใจกลับผ่อนขึ้นมาในพริบตาเดียว!


“เจ้าเป็นใคร? มาพูดโม้โอ้อวดอยู่ที่นี่!”


อวิ๋นซีโกรธจนแม้แต่เสียงยังแหบห้าว


แต่ไม่มีใครสนใจเขา คำพูดสุดท้ายของลู่ยากระทบเข้าไปในหูของพวกเขาแต่ละคนเช่นกัน สามารถรักษาไว้ได้สามหรือห้าวันหมายความว่าอย่างไร? รักษาชีวิตเขาได้สามหรือห้าวัน? อวิ๋นฉัวตายนานแล้ว พวกเขาพี่น้องหลายคนรวมกันมีพลังบำเพ็ญหลายแสนปี ก็ยังไม่มีหนทางรักษาพลังวิญญาณและวิญญาณไม่ให้สลายไปแม้แต่น้อย แต่เขาบอกว่าตนสามารถรักษาอวิ๋นฉัวไว้ได้สามหรือห้าวัน?


พวกเขาไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่บนหน้าแต่ละคนกลับเต็มไปด้วยความตกใจระคนสงสัยและความคาดหวัง


เมฆทะมึนที่เมื่อครู่รวมตัวอยู่เหนือศีรษะราวกลับลืมเคลื่อนไหว


ลู่ยาเปิดกรามของอวิ๋นรอง ใส่เม็ดยาเข้าไป จากนั้นหยิบปิ่นหยกออกมาทิ่มปลายนิ้ว หยดเลือดลงไประหว่างคิ้วเขา


………………………………………………………………



บทที่ 203 นี่คือเรื่องบังเอิญ?

โดย

Ink Stone_Romance

พี่น้องตระกูลอวิ๋นไม่อาจหยุดยั้ง และไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงเบิกตาดูลู่ยาลงมือกับร่างของราชาจื่อเยวี่ยของพวกเขา


เห็นเพียงเลือดขนาดเท่าเม็ดถั่วกลับซึมเข้าไปในผิวของอวิ๋นฉัวอย่างช้าๆ บนใบหน้าของเขาที่ไร้ชีพจรไปนานแล้วหลายวันกลับค่อยๆ ซับสีเลือด จากนั้นก็เห็นขนตาทั้งคู่ของเขาขยับแผ่วเบา ก่อนลืมตาทั้งสองขึ้นมา สายตาตกไปบนใบหน้าลู่ยา หลังจากจ้องอยู่นานก็พลันร้องออกมาอย่างตกใจ “เต้าจู่?!…”


ลู่ยายืนกอดอก ยกมุมปากให้เขาพลางพยักหน้า นับเป็นการตอบรับ


“พี่รอง!”


คนทั้งหมดล้อมเข้ามา แต่ล้วนมองเขาอย่างตกใจพูดไม่ออก!


ริมฝีปากทั้งคู่ของอวิ๋นชือฉางสั่นเทา ยามกุมมือของเขา น้ำตาไหลอาบบนหน้า


มู่จิ่วมองเหนือหัว เมฆทะมึนที่หนาแน่นค่อยๆ สลายไป เนินเขาเหลืองแห้งห่างออกไปค่อยๆ แผ่สีเขียวกลับคืนมา ดอกไม้บนต้นไม้บานอีกครั้ง เริ่มมีเสียงนกร้องปรากฏหนึ่งหรือสองเสียง จากนั้นเป็นสองกลุ่ม ก่อนกลายเป็นฝูงร้องต่อเนื่องไม่หยุด แผ่นกระเบื้องที่แตกหักในวังกลับคืนสู่สภาพเดิม ผิวทะเลสาบที่ล้อมรอบด้วยไผ่เขียวกลับมาราบเรียบเหมือนกระจกอีกครั้ง


ราชาที่กลับชาติมาเกิดของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงท่านนี้ พลังวิญญาณที่เขาแบกรับไว้มหัศจรรย์เช่นนี้นี่เอง!


ด้านล่างเริ่มมีคนตะโกนอย่างประหลาดใจระคนยินดี โห่ร้องอย่างดีใจ หมอกทะมึนที่ปกคลุมอาณาจักรนี้เอาไว้สลายหายไปในพริบตาเดียว พวกเขาไม่รู้ว่าอวิ๋นฉัวมีชะตาชีวิตเพียงไม่กี่วัน รอจนผ่านพ้นหลายวันนี้ไป ในที่สุดทุกอย่างก็จะกลับไปสู่บทสรุปที่ควรเป็น แต่ตอนที่คนสิ้นหวังถึงขีดสุด แม้แต่ภาพมายาก็ล้วนล้ำค่า นับประสาอะไรกับการเพิ่มขึ้นมาอีกหลายวัน?


ถึงแม้พวกอวิ๋นซียังดำดิ่งอยู่ในความตกตะลึงล้นเหลือ ก็รู้ว่าคำพูดของลู่ยาเมื่อครู่ไม่ใช่โอ้อวด


อวิ๋นฉัวฟื้นขึ้นมาจริง!


ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้เขาฟื้นขึ้นมาจริงๆ แล้ว!


“รีบมาคารวะ…”


อวิ๋นฉัวพูดพลางพยุงร่างลงพื้น คุกเข่าลงไปก่อน แต่เขายังพูดไม่จบลู่ยาก็ห้ามเขาแล้ว


“เรื่องนี้ทุกคนไม่จำเป็นต้องรู้”


แสนปีก่อนอวิ๋นฉัวเป็นราชาแห่งเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง ประสบการณ์มากมายจนมีทัศนะต่างจากผู้อื่น เห็นลู่ยาแบบนี้ก็เข้าใจ


กลุ่มคนยังคงตกตะลึงอยู่ ถึงแม้อวิ๋นฉัวไม่ได้พูดถึงฐานะชัดเจน แต่ก็เดาออกว่าต้องเป็นผู้มีตำแหน่งสูงส่งมาก เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถช่วยอวิ๋นฉัวให้กลับมามีชีวิตจริง และตัวอวิ๋นฉัวเองก็ค้อมคำนับแล้วค้อมคำนับอีก ไหนเลยจะกล้าพูดมาก? ดังนั้นจึงคุกเข่าลงไปบนพื้นกันหมด


อ๋าวเจียงยืนอยู่ด้านข้างก็ตกตะลึง บ้านสกุลกัวหลายคนทั้งองค์ชายนกต้าเผิง เสือขาว และองค์ชายจิ้งจอกเก้าหาง ก็ทำให้ประหลาดใจมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ซ่านเซียนน้อยคนหนึ่งในบ้านพวกเขากลับเป็นมหาเทพที่ฝีมือกล้าแกร่งขนาดนี้!


และแต่ก่อนพ่อเขากลับเคยกดดันให้พวกเขาทำงานอยู่สองเดือนที่วังมังกร…


ขณะมองลู่ยาที่ถูกเหล่าหงส์เพลิงคุกเข่าทำความเคารพ เขาพลันรู้สึกว่าถึงแม้เป็นลมไปก็ดูไม่แย่นัก…


“อ๋าวเจียง!”


ตอนที่เขากำลังละอายใจอยู่นั้น กลางอากาศพลันมีเสียงร้อนรนดังมา เงยหน้าขึ้นไปมอง ที่แท้เป็นซ่างกวนสุ่นที่พาอ๋าวเชินมาแล้ว!


อวิ๋นชือฉางที่คุกเข่าอยู่เห็นอ๋าวเชินก็ลุกขึ้นพุ่งเข้าไป แต่ถูกอวิ๋นฉัวจับข้อมือไว้ จึงทำได้เพียงอดกลั้นถอยกลับไป


อ๋าวเชินเห็นอ๋าวเจียงไม่เป็นอะไรมากก็วางใจ จนกระทั่งเห็นคนจำนวนมากคารวะลู่ยาก็สับสน เมื่อเห็นอวิ๋นเฉี่ยนอีกก็อดรู้สึกผิดในใจไม่ได้ เบือนหน้าหลบไป แต่กลับหันไปสบตากับอวิ๋นฉัวที่เหมือนกับคนปกติพอดี!


วันก่อนมู่จิ่วบอกเขาว่าอวิ๋นฉัวตายแล้วแน่นอน ตอนนี้เทียบกับแต่ก่อนกลับยังดูแจ่มใสกว่ามาก!


นี่เป็นไปได้อย่างไร?!


“เจ้า เจ้ายังไม่ตาย!”


แววตาอวิ๋นฉัวมองเขาอย่างซับซ้อน ไม่ได้พูดอะไร และค้อมกายทำความเคารพ ก่อนพูดกับลู่ยา “เชิญท่านเทพเข้าไปนั่งในวัง”


ลู่ยาเหลือบมองอ๋าวเชินก่อนลงเขาไปช้าๆ


ถึงแม้เรื่องนี้เขาไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใด แต่โดยแท้แล้วราชินีมังกรผิด ตระกูลอวิ๋นผิด ก็ล้วนมิสู้อ๋าวเชินที่ผิดมากที่สุด คนแก่หนังเหนียวนี่ รู้ชัดว่าตระกูลอวิ๋นวางแผนอะไรไว้ยังเล่นตุกติกกับเขา ตอนนี้กลับรู้จักรีบมาช่วยลูกชาย หากหัดเป็นพ่อแบบนี้แต่แรก ก็ไม่มีเรื่องเวรแบบนี้เกิดขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ?


อ๋าวเชินถูกสายตานี้ของลู่ยากวาดมองจนหลังคอเย็นเฉียบ มู่จิ่วเดินไปพูดข้างหน้าเขา “มาก็มาแล้ว เข้าไปในวังเถิด!”


นางก็จนปัญญากับเขายิ่งนัก รู้ชัดเจนว่าตระกูลอวิ๋นทางนี้มีท่าทีอย่างไรด้วย กลับไม่มาด้วยตนเองและส่งอ๋าวเจียงมาแทน สมองเขาเน่าไปแล้วหรือจงใจผลักลูกชายออกมาสำรวจลู่ทาง?


แต่ไม่ต้องให้นางสั่งสอนเขา เพียงเห็นสีหน้าของตระกูลอวิ๋นก็รู้แล้วว่าเขามาครั้งนี้คงไม่โชคดีไปถึงไหน


พวกเขากลับไปถึงวังหงส์เพลิง อวิ๋นชือฉางที่คืนสติแล้วรีบเชิญลู่ยามู่จิ่วเข้าไปในตำหนักใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงอวิ๋นเฉี่ยนอวิ๋นซีที่ไปจัดการชงชาอะไรด้วยตนเอง อวิ๋นฉัวกลับมามีชีวิตครานี้ แม้แต่เดินทุกคนยังมีชีวิตชีวา


อ๋าวเชินแต่เดิมไม่ยอมเข้าไป แต่อ๋าวเจียงกลับต้องการติดตามมู่จิ่ว อ๋าวเชินปล่อยเขาไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงฝืนเดินเข้าประตูไป


ลู่ยาดื่มชา ระหว่างคิ้วยังคงไม่คลายออก


เขาส่งสายตาให้มู่จิ่ว มู่จิ่วยังไม่เข้าใจ ริมหูพลันมีเสียงของเขาแว่วมา “หาที่คุยกับอวิ๋นฉัว” นางจึงเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร จึงทำคอให้โล่งก่อนพูด “ถึงแม้องค์ชายรองฟื้นแล้ว แต่สุดท้ายแล้วรากฐานวิญญาณเสียหาย เกรงว่าไม่อาจทนความตรากตรำนี้ได้ ข้ายังมีเรื่องอยากถามองค์ชายรอง ไม่ทราบว่าที่ไหนเหมาะสม?”


อวิ๋นฉัวพยักหน้า อวิ๋นเฉี่ยนจึงรีบพูด “หลังตำหนักมีห้องเล็กเปิดโล่ง เหมาะสมอยู่เหมือนกัน”


ในคำพูดเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมและเคารพ ต่างกับท่าทีที่ปฏิบัติกับมู่จิ่วเมื่อก่อนอย่างมาก


มู่จิ่วกลับไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้ ตัวนางเองก็อยากรู้ว่าหลังจากอวิ๋นฉัวฟื้นมาครั้งนี้ ที่แท้ยังมีโอกาสหวนคืนสู่โลกหรือไม่ ดังนั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้าไปในประตูทรงกลมเหมือนพระจันทร์ของตำหนักหลัง จึงลุกขึ้นเช่นกัน หลังจากอวิ๋นฉัวลุกขึ้นก็รู้จักวางตัว ค้อมตัวให้ลู่ยาก่อนเชิญเขา ท่านลู่ก็ตรงไปทางตำหนักหลังอย่างสง่าผ่าเผย


ผ่านประตูกลมเหมือนพระจันทร์ เดินไปตามระเบียงทางเดินไปไม่ไกลก็ถึงอาคารเล็กงามละเอียดประณีตในสวน


อาคารเล็กอยู่ใกล้สวนดอกไม้ ด้านหนึ่งเป็นห้องเล็กเปิดโล่ง ตอนนี้ตะวันตกดินส่องลงบนดอกไม้ที่บานอยู่เต็มสวนอย่างอุดมสมบูรณ์ พวกมู่จิ่วไม่รู้สึกอะไร แต่แววตาของคนตระกูลอวิ๋นกลับล้วนเป็นการถอดถอนใจ


ลู่ยานั่งในตำแหน่งประธานพลางพูด “ยื่นมือมา”


อวิ๋นฉัวโน้มตัวพับแขนเสื้อ ก่อนส่งมือให้เขา


ลู่ยาตรวจสอบให้อย่างละเอียด พลันช้อนสายตาขึ้นมาพูด “จิตหงส์ของเจ้าก็ปริแล้วเช่นกัน!”


อวิ๋นฉัวพยักหน้า สีหน้าเศร้าสร้อย ไม่ได้พูดสิ่งใด


ลู่ยาถามทันที “บาดเจ็บได้อย่างไร?”


อวิ๋นฉัวถึงได้ตอบ “นับดูแล้วก็ห้าพันปีกว่า ตั้งแต่ข้าเกิดมาถึงตอนนี้ก็ห้าหมื่นปี แต่เพราะพลังวิญญาณของชาติก่อนใกล้สูญสิ้น เวลาส่วนใหญ่ในชาตินี้จึงใช้เสริมบำรุงวิญญาณ ตอนนั้นข้าพาเด็กไปเก็บสมุนไพร เมื่อกลับมาครึ่งทางกลับหลงทาง ยามเดินไปมาอยู่ในหุบเขาพบคนคนหนึ่งเข้า เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงมือกับข้า ข้าใช้พลังบำเพ็ญทั้งหมดก็ไม่สามารถต่อกรกับเขาได้”


……………………………………………



บทที่ 204 ข้าไม่ให้แน่นอน!

โดย

Ink Stone_Romance

ลู่ยาหรี่ตาลง “ภูเขาลูกไหน?”


“ภูเขาไท่หาง” อวิ๋นฉัวตอบ


มู่จิ่วมองลู่ยา ลู่ยาไม่เปลี่ยนสีหน้า พูดต่อว่า “คนผู้นี้คือใคร? ฝึกพลังสายไหนน่าจะเห็นได้ชัดเจน?”


อวิ๋นฉัวพูด “เป็นคนรูปร่างหน้าตาอายุราวยี่สิบกว่าปี สวมเสื้อเขียว แต่ประหลาดมาก หน้าตาอะไรก็ตาม หลังเกิดเรื่องข้ากลับจำไม่ได้เลย แต่พลังบำเพ็ญเขาสูงมาก สูงถึงระดับไหนข้าไม่อาจวัดได้ เพราะเขาเพียงออกกระบวนท่าเดียวก็ทำให้ข้าล้มลงกับพื้น และตอนนั้นข้ายังได้ยินเสียงที่ปริออกของจิตหงส์อย่างชัดเจน”


มู่จิ่วฟังถึงตรงนี้ก็อดระแวดระวังไม่ได้ ก้าวขึ้นไปพูดข้างหน้า “ทำไมถึงมีคนที่เก่งกาจขนาดนี้อยู่? เหตุใดไม่แยกแยะถูกผิดก็ลงมือด้วย? หรือว่ามีความแค้นกับท่าน?”


“ข้าไม่รู้” คิ้วของอวิ๋นฉัวขมวดแน่น “แต่ข้าแน่ใจว่าไม่ใช่การแก้แค้น เพราะหนึ่ง หลังจากสงครามนั้นเมื่อแสนปีก่อนของพวกเราตระกูลอวิ๋น ข้าตายไปพร้อมบาดแผล พลังวิญญาณของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงเไม่มีผู้สืบทอด จึงเริ่มตายตกตามกันมา คนในเผ่าพันธุ์หลายรุ่นล้วนมีไม่มาก จึงยิ่งขัดแย้งกับผู้อื่นน้อยยิ่งนัก ไม่มีคู่แค้นที่จะเอาเป็นเอาตายกัน”


“ข้อสอง คนนี้ตั้งใจลบล้างความทรงจำเกี่ยวกับใบหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ยินยอมให้ข้ารู้ว่าเขาเป็นใคร หากต้องการล้างแค้น มีเหตุผลอะไรไม่ให้พวกเรารู้? ยิ่งไปกว่านั้น พลังบำเพ็ญของคนผู้นั้น ถึงแม้เป็นกำลังของข้าในชาติก่อนตอนยังไม่ตายก็ไม่แน่ว่าจะรักษาชีวิตให้รอดภายใต้เงื้อมมือเขาได้ และในความเป็นจริงเขากลับไม่ได้มาเอาชีวิตข้า แต่เพียงทำจิตหงส์ร้าว ยิ่งทำให้ข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก”


“หลายปีมานี้พวกเราค้นหาคนผู้นี้ น่าเสียดายที่จับไม่ได้แม้แต่น้อย ในหลายปีแรก ถึงแม้ข้ารู้ว่าจิตหงส์เสียหาย แต่เพราะไม่ได้มีผลกระทบอะไรไม่ดีแสดงออกมา ดังนี้จึงไม่ได้สนใจ เพียงยิ่งทุ่มเทหล่อเลี้ยงวิญญาณมากขึ้นเท่านั้น แต่หลายปีมานี้ ราวสองพันปีก่อน ข้าเริ่มรู้สึกว่าพลังวิญญาณมีสัญญาณการเสื่อมถอยเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น”


“ผ่านไปอีกหลายร้อยปี พลังวิญญาณของข้ายังเสื่อมถอยต่อเนื่อง ข้ารู้ลึกซึ้งว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปต้องส่งผลกระทบถึงรากฐานของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง ข้าต้องมีพลังบำเพ็ญแสนห้าหมื่นปีของชาติก่อนถึงจะควบคุมรากฐานวิญญาณในร่างได้ ข้าไม่มีหนทางอื่น ทำได้เพียงหมายตาไปที่กุญแจจันทรา”


บนใบหน้าเขามีความละอายใจอย่างลึกซึ้ง หมัดทั้งคู่กำแน่นจนซีดขาว


ลู่ยามองมู่จิ่ว มู่จิ่วเงียบไม่พูดสิ่งใด


อวิ๋นเฉี่ยนเดินเข้ามาพูด “เป็นอย่างไร มีปัญหาอะไรหรือ?”


ใบหน้านางเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด มองออกว่าสิ่งที่นางกลัวที่สุดคือพวกเขาบอกนางว่า แม้แต่หลายวันที่เพิ่มขึ้นมานี้ก็มีความเสี่ยง แต่คล้อยหลังการฟื้นคืนของอวิ๋นฉัว ใบหน้าของนางกลับคืนสู่สภาพเดิม มีพลังวิญญาณของเผ่าพันธุ์เดิมมากมายบำรุงอยู่ ผิวจึงเรียบรื่นและยืดหยุ่นราวกับเด็กสาว


ความสำคัญของการดำรงอยู่ของอวิ๋นฉัว ถึงตอนนี้มีหลักฐานยืนยันแล้ว


มู่จิ่วขมวดคิ้วพูด “ข้าไม่พบว่ามีปัญหาอะไร แต่พวกท่านคงรู้ จิตมังกรของอ๋าวเชินก็ปริแตกเช่นกัน?”


“อ๋าวเชิน?”


อวิ๋นเฉี่ยนหลุดปากออกมา พูดจบสีหน้าพลันเปลี่ยน ริมฝีปากทั้งสองเม้มแน่น ราวกับไม่อยากเอ่ยถึงชื่อนี้อีก


มู่จิ่วพยักหน้าพูด “เมื่อวานข้าจากทิวเขาริ้วหยกไปทะเลสาบน้ำแข็ง อ๋าวเชินก็ป่วยหนักแล้ว ข้าตรวจสอบจิตมังกรเขา ด้านบนมีรอยปริร้าวสองรอย อันหนึ่งใหญ่อันหนึ่งเล็ก ราชามังกรทะเลตะวันออกจึงได้ให้กุญแจจันทรานั้นแก่เขาบำรุงวิญญาณ และสาเหตุที่เขาได้รับบาดเจ็บ เพราะห้าพันปีก่อนตอนผ่านคุนหลุนตะวันออกถูกพลังวิญญาณประหลาดโจมตี”


“ข้าไม่รู้…”


อวิ๋นเฉี่ยนส่ายหน้าพึมพำ


มู่จิ่วกลับไม่รู้สึกว่าเหนือความคาดหมาย เพราะอ๋าวเชินแต่เดิมได้พูดไว้แล้วว่าเพื่อรักษาความลับ แม้แต่ภรรยาบุตรชายบุตรสาวก็ไม่บอก เขารู้ชัดว่าตระกูลอวิ๋นวางแผนมาเพื่ออะไร เป็นธรรมดาที่ยิ่งไม่นำเรื่องนี้มาพูด


แต่นางเริ่มมีความคิดเหมือนกับลู่ยาก่อนหน้านี้ การบาดเจ็บของอ๋าวเชินกับการบาดเจ็บของอวิ๋นฉัว แม้วิธีต่างแต่ผลลัพธ์เหมือนกัน สื่งสำคัญคือพวกเขาล้วนต้องการกุญแจจันทรารักษาวิญญาณไว้ และไม่ว่าพวกเขาใช้วิธีอะไรแย่งชิงของวิเศษนี้ไป ผลสุดท้ายก็ต้องกลายเป็นศัตรูต่อกัน หากบอกว่าคนที่ทำร้ายอ๋าวเชินกับคนที่ทำร้ายอวิ๋นฉัวเป็นคนคนเดียวกัน แบบนั้นเป้าหมายของคนผู้นี้ก็เปิดเผยกระจ่างแล้ว


“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าได้ยินเวลาที่ข้าพูดหรือไม่ ตอนที่เขาโดนทำร้ายคือห้าพันปีก่อน” มู่จิ่วพูด


อวิ๋นเฉี่ยนเงยหน้าขึ้นทันที


ได้รับบาดเจ็บเมื่อห้าพันปีก่อนเหมือนกัน จิตสัตว์เทพปริแตกเหมือนกัน แบบนี้ไม่ให้คนคิดมากคงเป็นไปไม่ได้


ลู่ยาตบแขนมู่จิ่วเบาๆ “เจ้าเรียกอ๋าวเชินเข้ามา”


ในตำหนักใหญ่ อ๋าวเชินเหมือนกับนั่งบนพรมเข็ม


คนตระกูลอวิ๋นสะบัดหน้าใส่เขา แม้แต่ผู้ติดตามยังคร้านจะสนใจ ซ่างกวนสุ่นกับอาฝูแต่ละคนล้วนได้รับการต้อนรับด้วยชาและคำพูดที่ดี กระทั่งอ๋าวเจียงก็ยังแค่จับจ้องยืดคอไม่หยุดอยู่ที่ประตูวงพระจันทร์ ไม่สนใจเขาที่เป็นพ่อ มาทิวเขาริ้วหยกหลายครั้ง ที่นี่เหมือนกับเป็นบ้านหลังที่สองของเขา แต่ไม่มีสักครั้งที่นั่งแล้วรู้สึกอึดอัดเช่นนี้


“ราชามังกรนั่งเหนื่อยแล้วกระมัง เชิญเข้ามาพูดคุยเถิด”


มู่จิ่วอยู่ที่ม่านเห็นภาพแบบนี้ก็อดเรียกเสียงเบาไม่ได้ อ๋าวเชินอยากจะเข้าไปดู ได้ยินก็ลุกขึ้นทันที ก้าวยาวๆ ตามเข้าไป


อ๋าวเจียงตอนเห็นนางก็ลุกขึ้นยืน ดูจากท่าทางแล้วคิดจะเข้าไป มู่จิ่วส่ายหัวให้เขา เขาก็เชื่อฟังนั่งลงตามเดิม


เมื่อผ่านระเบียงทางเดินถึงห้องเล็กเปิดโล่ง ที่จริงอ๋าวเชินเตรียมใจมาพบกับอวิ๋นฉัวและอวิ๋นเฉี่ยนอีกครั้งแล้ว อย่างไรก็ตาม พอขึ้นขั้นบันไดไปเห็นลู่ยานั่งอยู่ที่สูงๆ ตรงนั้น อวิ๋นฉัวพี่น้องอยู่ด้านข้างเคารพนอบน้อมอย่างมาก ใจเขาเต้นตุบตุบหลายรอบ ยืนอยู่ที่ม่านโดยไม่รู้ว่าควรจะทักทายอย่างไรดี


ลู่ยาไม่ปล่อยให้เขาอึ้งนาน เอ่ยปากถาม “เดินเข้ามา ยื่นมือเจ้ามาให้ข้าดู”


อ๋าวเชินนิ่งอึ้งไม่ขยับ แต่อยู่ๆ กลับมีพลังขุมหนึ่งดูดเขาเข้าไปด้านหน้าลู่ยาอย่างควบคุมไม่ได้ เขาเป็นคนมีพลังบำเพ็ญแสนกว่าปี กลับต้านทานพลังนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย!


ยังไม่ทันรอเขาตกใจจบ ลู่ยาเหมือนกับแขนยาวขึ้นอีกหลายฉื่อ มือยื่นไปก็จับมือเขาไว้แน่นแล้ว


อ๋าวเชินคิดขัดขืน แต่จะดิ้นหลุดได้อย่างไร?


“ตอนแรกที่ถูกพลังวิญญาณนั้นทำร้าย ได้รับรอยปริร้าวสองรอยเหมือนกัน แต่ห้าพันปีที่ผ่านมา มีรอยหนึ่งที่กลับคืนสู่สภาพเดิม ว่าไปแล้วคงเป็นผลงานของกุญแจจันทราหยาง วันเวลาผ่านไป รอยปริร้าวบนจิตมังกรของอ๋าวเชินฟื้นฟูเหมือนตอนแรกไม่มีปัญหา นี่ก็ยืนยันได้ว่ากุญแจจันทรามีความสามารถในการฟื้นฟูจิตต้นกำเนิดและรากฐานวิญญาณ”


ลู่ยาปล่อยข้อมือเขา กล่าวพึมพำ


มู่จิ่วได้ยินคำของเขา สีหน้าก็ผ่อนคลายขึ้น “พูดได้ว่าตระกูลอวิ๋นมีหนทางช่วยแล้ว?”


ลู่ยาไม่ได้พูดทันที แต่มองหน้าของอ๋าวเชินและอวิ๋นฉัวสองคนไปมาอย่างพินิจพิเคราะห์ จึงค่อยพูด “หากต้องการช่วยตระกูลอวิ๋น เป็นธรรมดาที่ก่อนอื่นต้องแน่ใจว่าอวิ๋นฉัวไม่ตาย ไม่เพียงไม่อาจตาย ยังต้องให้เขาอยู่อย่างแข็งแรงไปจนมีอายุแสนห้าหมื่นปี จากนั้นจึงจะถึงเวลาที่พร้อมควบคุมพลังวิญญาณคุ้มครองเผ่าพันธุ์ที่สืบทอดกันในราชาแต่ละรุ่นของหงส์เพลิง”


“หากต้องการไม่ให้เขาตาย ตอนนี้มีหนึ่งวิธี คือให้อ๋าวเชินมอบกุญแจจันทราหยางให้อวิ๋นฉัว”


คนทั้งห้องนิ่งอึ้ง


“ไม่ได้!” อ๋าวเชินพูดทันที “กุญแจจันทราหยินให้ได้ แต่กุญแจจันทราหยางให้ไม่ได้แน่นอน!”


ให้ไปแล้วเขาเองก็ต้องจบชีวิตมิใช่หรือ?


เขารับปากไม่ได้แน่นอน!


……………………………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)