ข้ามกาลบันดาลรัก 193-194

ตอนที่ 193 ซื้อใจคน

 

เมิ่งเจี๋ยที่ตามมาดูความคึกคักเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว แหงนใบหน้าน้อยๆ พูดว่า “ท่านพี่ ข้าอยากกินข้าวโพดอ่อน” 


 


 


หลังจากเลิกเรียนกลับมาเมื่อวาน เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กน้อยทั้งสองคนเห็นข้าวโพดอ่อนก็ดีใจกระโดดโลดเต้น แต่เมิ่งเชี่ยนโยวหักกลับไปไม่มาก ได้กินคนละฝักก็ไม่มีแล้ว เด็กน้อยสองคนเอาแต่เฝ้าพะวงถึงเรื่องนี้ รีบตื่นแต่เช้าตรู่ตามผู้ใหญ่มายังแปลงดิน ตอนนี้เห็นว่าหมดเรื่องแล้ว จึงเอ่ยปากพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะเขา รับปากเต็มคำ “ได้ พวกเราหักเพิ่มอีกหน่อย ให้พวกเจ้ากินให้เต็มที่” 


 


 


เด็กน้อยทั้งสองคนดีใจโห่ร้อง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขาหักข้าวโพดอ่อนเพิ่มอีก แล้วแบ่งส่งไปเรือนใหญ่และบ้านท่านอาจารย์ 


 


 


เหวินเปียวรับคำ นำพวกอู๋ต้าไปหักมาเพิ่ม 


 


 


แม้เมิ่งชื่อจะปวดใจ กลับไม่ได้พูดอะไร 


 


 


กลับมาถึงบ้าน เมิ่งชื่อง่วนอยู่กับการทำอาหารเช้า เมิ่งเชี่ยนโยวเติมน้ำในกระทะอีกใบเพื่อต้มข้าวโพด 


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเดินวนรอบเตาไปมาอย่างทนไม่ไหว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการแทบจะทนต่อไปไม่ไหวของพวกเขา ก็ให้ขบขัน 


 


 


เมิ่งชื่อยังทำอาหารไม่เสร็จ ข้าวโพดก็ต้มสุกแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดฝาออก ช้อนขึ้นมาสองฝัก พักให้เย็น ถึงส่งให้เด็กน้อยทั้งสองคน 


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงกินข้าวโพดในมือของตัวเองจนหมด รู้สึกยังไม่หายอยาก จ้องมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาเว้าวอน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ ช้อนให้พวกเขาอีกคนละฝัก 


 


 


ข้าวโพดสองฝักลงท้อง เด็กน้อยสองคนแม้จะยังรู้สึกไม่เต็มอิ่ม กลับไม่ร้องขออีก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแอบพยักหน้าชื่นชม 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่นำข้าวโพดไปส่งให้เรือนใหญ่และท่านอาจารย์เสร็จกลับมารายงาน ได้กลิ่นหอมของข้าวโพดสายตาเผลอมองกระทะอย่างไม่รู้ตัว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาของพวกเขาทั้งหมด ยิ้มหวานแล้วชี้ข้าวโพดอ่อนด้านข้างพูดว่า “พวกท่านทั้งสองเอากลับไปเยอะหน่อย ให้คนในครอบครัวได้ลิ้มรสของอร่อย” 


 


 


เหวินเปียวและหวินหู่ดีอกดีใจ รีบพูดว่า “ขอบคุณแม่นาง พวกเราขอแค่ไม่กี่ฝักก็พอ ให้พวกเด็กๆ กินให้หายอยาก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชักสีหน้า “ให้พวกเจ้าเอาไปก็จงเอาไป ข้าเคยพูดแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องเห็นตัวเองเป็นคนนอก อาหารสดใหม่นี้ย่อมต้องมีส่วนของพวกเจ้าด้วย ต่อไปก็เป็นเช่นนี้ หากข้ามีธุระยุ่ง ลืมเลือนไป ให้พวกเจ้ามาเอาได้เอง” 


 


 


ทั้งสองตื้นตันใจเป็นอย่างมาก หลังจากกล่าวขอบคุณหลายครั้ง ก็นำข้าวโพดอ่อนจำนวนหนึ่งกลับไปเรือนของตัวเอง 


 


 


เมิ่งเจี๋ยเห็นพวกเขาไปไกลแล้ว ถึงพูดด้วยเสียงอ้อแอ้ “ท่านพี่ ให้เหวินจิ้งและเหวินจงไปเรียนที่สถานศึกษากับพวกเราด้วยได้หรือไม่ ทุกวันตอนที่พวกเรากลับมาจากเรียนหนังสือพวกเขาจะแอบจ้องมองกระเป๋านักเรียนของพวกเราอยู่เป็นนาน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าผากตัวเองเต็มแรง คิดว่าตัวเองกลับเลินเล่อเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ไปได้ จากนั้นพาเด็กน้อยทั้งสองคนมาหยิบกระเป๋านักเรียนจำนวนหนึ่งแล้วมายังเรือนรองของเหวินเปียว 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่นำข้าวโพดอ่อนกลับมา คนในครอบครัวเหวินเปียวต่างดีอกดีใจ ภายใต้แววตาเว้าวอนของเด็กๆ รีบนำข้าวโพดอ่อนใส่กระทะต้มให้สุก 


 


 


เหวินซงและเหวินเหลียนค่อนข้างโตแล้วจึงไม่แสดงอาการอะไรมาก แม้จะรอคอย กลับรออยู่อีกด้านอย่างมีสติ 


 


 


เหวินจิ้งและเหวินจงกลับไม่ไหวแล้ว คอยล้อมหน้าล้อมหลังถามภรรยาเหวินเปียว เมื่อไหร่ข้าวโพดอ่อนถึงจะสุก 


 


 


ภรรยาเหวินเปียวตอบพวกเขาอย่างอดทน รอประเดี๋ยวเดียวก็ได้แล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงมาในลานบ้าน คนทั้งครอบครัวผลุนผลันออกมาทำความเคารพ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ยกยิ้มพูด “ช่วงที่ผ่านมาข้ายุ่งมากไปหน่อย ทำให้ลืมเรื่องสำคัญไป” พูดจบกวักมือเรียกเหวินจิ้งและเหวินจงมาข้างกายตัวเอง 


 


 


เหวินจิ้งและเหวินจงเดินเข้ามาอย่างเชื่อฟัง เมิ่งเชี่ยนโยวให้กระเป๋านักเรียนพวกเขาคนละใบ พูดเสียงละมุน “นี่เป็นกระเป๋านักเรียนของพวกเจ้า นับแต่วันนี้ไปพวกเจ้าจะได้ไปสถานศึกษาพร้อมเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ดีหรือไม่?” 


 


 


เด็กน้อยทั้งสองคนไม่กล้ารับ หันกลับมามองบิดามารดาของตัวเองอย่างวาดหวัง 


 


 


เหวินเปียวรีบพูดทันที “นายหญิง ไม่ได้เด็ดขาด พวกเราเป็นบ่าว ไหนเลยจะมีสิทธิ์ไปสถานศึกษาได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ข้าเคยบอกแล้วว่า แม้พวกเจ้าจะขายตัวเป็นทาสให้ข้า แต่ข้าไม่เคยเห็นพวกเจ้าเป็นคนนอกมาก่อน นอกจากสถานะที่เปลี่ยนไปของพวกเจ้า ชีวิตของพวกเจ้ามีอะไรที่แตกต่างไปจากแต่ก่อนบ้าง?” 


 


 


เหวินเปียวเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มจะโมโห น้ำเสียงร้อนรนทันที “แม่นาง แม้ท่านจะปฏิบัติต่อพวกเราไม่แตกต่าง พวกเราก็ไม่ควรลืมสถานะตนเอง ไม่ว่าในอดีตสถานะของพวกเราจะเป็นเช่นไร ตอนนี้พวกเราก็คือบ่าว นายก็คือนาย ทาสก็คือทาส จะก้าวข้ามไม่ได้เด็ดขาด ในบ้านกำลังต้องการแรงงาน แม้จิ้งเอ๋อร์และจงเอ๋อร์จะยังเด็ก แต่ก็สามารถทำงานที่พอจะทำได้ อย่าให้พวกเขาไปเรียนที่สถานศึกษาเลย” 


 


 


เขาพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็โมโหเดือดดาล ถามอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณชายใหญ่เหวิน ท่านบอกข้าหน่อย เด็กสี่ห้าขวบสองคน สามารถทำงานอะไรที่พอจะทำได้บ้าง?” 


 


 


เหวินเปียวสะอึกกึก อึกอักพูดไม่ออก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งเสียงแข็งขึ้ง “ประเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้ว ก็ให้พวกเขาสองคนตามเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ไปสถานศึกษา นี่เป็นคำสั่ง ห้ามฝ่าฝืน” 


 


 


ในสายตาซาบซึ้งใจของภรรยาเหวินหู่และเหวินเปียวเต็มไปด้วยหยดน้ำตา พูดกล่าวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวไม่หยุด “ขอบคุณแม่นาง ขอบคุณแม่นาง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ข้ามีธุระมาก เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเรื่องให้คิดไม่ทั่วถึง ต่อไปเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ พวกเจ้าเตือนข้าก็ได้ อย่าได้เห็นตัวเองเป็นคนนอกอีก” 


 


 


คนทั้งหมดกล่าวขอบคุณอย่างตื้นตันใจ 


 


 


เหวินจิ้งและเหวินจงก็รับกระเป๋านักเรียนมาสะพายหลังของตัวเองอย่างชอบใจ วิ่งไปตรงหน้าบิดามารดาของตัวเองพูดจาฉอเลาะ 


 


 


เหวินหู่กับภรรยาและเหวินเปียวกับภรรยาเห็นอาการดีอกดีใจของเด็กๆ อดน้ำตาซึมไม่ได้ กล่าวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยเสียงสั่นเครืออีกหลายครั้ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ชอบสถานการณ์เช่นนี้ที่สุด โบกสะบัดมือแล้วรีบเดินออกไปจากเรือนพวกเขา กำชับเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง หลังจากไปถึงสถานศึกษาให้คอยดูแลเหวินจิ้งและเหวินจงให้ดีๆ 


 


 


เด็กน้อยทั้งสองพยักหน้าอย่างรู้ความ 


 


 


รถม้าหลายคันจอดลงที่หน้าประตู หลงจู๊จากเหลาจวี้เสียนเดินลงมาจากกรถม้า ร้องตะโกนลั่นอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์อยู่หน้าประตู “แม่นางเมิ่ง รีบออกมา ข้าพาคนมาด้วย” 


 


 


ได้ยินเสียงเขา เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินออกมา ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก หลงจู๊ก็พูดกับนางอย่างครึ้มอกครึ้มใจ “แม่นางเมิ่ง รีบมาดูเร็ว ข้าพาลูกค้าจำนวนหนึ่งมาให้เจ้าด้วย” พูดจบ ก็หันไปร้องเรียกคนที่ลงจากรถม้ามาแล้วว่า “พวกท่านทั้งหลายเข้ามาเถอะ นี่ก็คือแม่นางเมิ่ง” 


 


 


คนทั้งหมดเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ก็ให้ตกตะลึง จากนั้นเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในลานบ้าน 


 


 


หลงจู๊แนะนำกับเมิ่งเชี่ยนโยว “พวกเขาเป็นพ่อค้าในตำบลใกล้เคียงสองสามแห่ง มักจะมารับประทานอาหารที่เหลาจวี้เสียนเป็นประจำ เมื่อวานพอดีเห็นข้าขายข้าวโพดอ่อน ก็ให้ตกใจยกใหญ่ ถามข้าว่าได้ข้าวโพดอ่อนนี้มาจากที่ใด ข้าบอกพวกเขาไปตามตรง พวกเขาก็เลยอ้อนวอนข้าให้พาพวกเขามา ข้าคิดว่าข้าวโพดอ่อนที่บ้านแม่นางมีอยู่ไม่น้อย ไม่ได้บอกกล่าวก่อนก็พาพวกเขาเข้ามา หวังว่าจะไม่ได้สร้างความไม่สะดวกต่อแม่นาง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มโบกมือ “หลงจู๊เกรงใจไปแล้ว หาได้มีความไม่สะดวกอะไรไม่” พูดจบก็เชิญทุกคนอย่างเกรงใจ “ทุกท่านเชิญด้านใน พวกเราเข้าไปนั่งคุยกัน” 


 


 


คนทั้งหมดไม่ขยับ หนึ่งคนในนั้นเอ่ยปากพูด “แม่นางเมิ่ง พวกเราไม่เข้าไปในบ้านแล้ว ข้าต้องการข้าวโพดอ่อนห้าร้อยฝัก ไม่ทราบว่าพอจะมีปริมาณมากเช่นนี้หรือไม่?” 


 


 


เห็นเขาเอ่ยปาก อีกคนหนึ่งก็พูดพรวดขึ้น “ข้าก็ต้องการห้าร้อยฝัก” 


 


 


คนที่เหลือก็เอ่ยปากว่าต้องการกี่ร้อยฝัก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้ามีปริมาณมากเช่นนั้น ทว่าต้องให้ทุกท่านรอสักครู่ ข้าจะให้คนไปเด็ดมาเดี๋ยวนี้” 


 


 


อีกคนหนึ่งพูด “เช่นนี้จะรออะไร พวกเราไปตอนนี้เลย เด็ดเสร็จเร็วพวกเราจะได้กลับเร็วขึ้น” 


 


 


คนที่เหลือก็เห็นดีเห็นงามด้วย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีร้อนใจแทบทนไม่ไหวของพวกเขา ให้เมิ่งเสียนไปเรียกเหวินเปียวและพวกอู๋ต้ามาหักข้าวโพด ให้เมิ่งฉีไปเรียกครอบครัวเมิ่งต้าจินและเมิ่งซานถงกับภรรยาเข้ามาช่วยด้วย 


 


 


หลงจู๊และคนทั้งหมดไม่แม้แต่จะเข้าไปในบ้าน เดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงแปลงข้าวโพด เห็นแปลงข้าวโพดสุดลูกหูลูกตา ก็ให้ตกใจขวัญหาย ทนไม่ได้ต้องเดินเข้าไปเยี่ยมชม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหลงจู๊เดินตามหลัง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกระซิบกระซาบกับหลงจู๊ “ท่านขายให้พวกเขาเป็นเงินกี่เฉียน?” 


 


 


หลงจู๊หัวเราะแหะๆ อย่างเก้อเขิน “ข้าขายที่เหลาจวี้เสียนในราคายี่สิบเฉียนต่อหนึ่งฝัก ราคาที่ข้าบอกพวกเขาคือแปดเฉียน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ประเดี๋ยวพอพวกเขาไปแล้ว ท่านอยู่รอก่อน ข้าจะมอบเงินที่เกินมาให้ท่าน” 


 


 


หลงจู๊ไม่ได้ปฏิเสธ พูดว่า “แม่นางไม่ต้องมอบเงินให้ข้าแล้ว หักเป็นข้าวโพดแทนเถอะ เมื่อวานขายข้าวโพดเป็นเทน้ำเทท่า วันนี้ข้าคิดจะซื้อเพิ่มอีกพอดี” 


 


 


“ไม่มีปัญหา” 


 


 


แม้จะมีคนมากเพียงใด ข้าวโพดพวกนี้ก็ยังต้องใช้เวลาไม่น้อยถึงจะเด็ดเสร็จทั้งหมด เหล่าพ่อค้าจ่ายเงินอย่างหน้าชื่นตาบาน แล้วลากรถที่บรรทุกจนเต็มคันกลับไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหักเงินส่วนต่างที่ต้องให้หลงจู๊เป็นข้าวโพด และนำไปบรรทุกใส่รถม้าให้เขา 


 


 


หลงจู๊ก็จากไปอย่างอิ่มอกอิ่มใจ 


 


 


ทุกคนทำงานมาครึ่งวัน ในที่สุดก็ได้พักเสียที 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูก้านข้าวโพดว่างเปล่า ถามเมิ่งเอ้ออิ๋นว่า “ท่านพ่อ ก้านข้าวโพดพวกนี้จะทำอย่างไร?” 


 


 


ในอดีตก้านข้าวโพดจะถูกถอนออกมาพร้อมราก วางตากแดดจนแห้ง จากนั้นนำไปทำเป็นเชื้อฟืน แต่ปีนี้มีมากเกินไป เกรงจะวางในบ้านได้ไม่หมด 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพลันไม่รู้จะทำอย่างไร 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ไม่เช่นนั้นเอาอย่างนี้ เราให้ก้านข้าวโพดพวกนี้กับคนในหมู่บ้าน บ้านไหนต้องการก็ให้มาถอนไป อย่างไรครอบครัวเราก็ใช้ไม่หมด สู้ให้คนในหมู่บ้านถือเป็นน้ำใจต่อกัน” 


 


 


เมิ่งชื่อรู้สึกเสียดาย พูดว่า “ครอบครัวเรามีคนตั้งเยอะ จะใช้ไม่หมดได้อย่างไร อีกอย่างยังมีครอบครัวท่านยาย เชื้อฟืนที่มีในแต่ละปีไม่เคยมีพอใช้ แม่จะให้คนไปแจ้งข่าวกับลุงใหญ่เจ้า ให้พวกเขาก็มาถอนไปจำนวนหนึ่ง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเมิ่งชื่อปวดใจ จึงไม่ได้ยืนกรานต่อ 


 


 


หลังจากเซี่ยเจียงเฟิงขนส่งข้าวโพดอ่อนไปถึงเมืองหลวง ทำตามวิธีที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอก ตั้งกระทะใบใหญ่ไว้หน้าประตูร้าน นำข้าวโพดที่สดอ่อนมาปลอกเปลือกออกใส่ลงไปต้มให้สุก ทั่วทั้งถนนที่แสนคึกคักคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของข้าวโพดฉับพลัน ผู้คนในเมืองหลวงไม่รู้ว่าของสิ่งใดถึงได้ส่งกลิ่นหอมลอยฟุ้งได้ถึงเพียงนี้ ต่างเดินเข้ามาที่หน้าร้าน 


 


 


พนักงานของร้านฉวยโอกาสนี้บอกพวกเขา สิ่งที่ร้านของตัวเองขายก็คือข้าวโพดอ่อน 


 


 


ฤดูกาลเช่นนี้มีข้าวโพดก็นับว่าแปลกประหลาดแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้าวโพดต้มสุก พลันมีคนอยากดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันควัน 


 


 


พนักงานช้อนออกมาสองสามอัน วางแบไว้ตรงหน้ากลุ่มคน 


 


 


กลุ่มคนเห็นเป็นข้าวโพดอ่อนนุ่มจริงๆ ซักถามราคาขายพลัน 


 


 


พนักงานร้องบอกพวกเขาเสียงดังลั่นว่าฝักละสามสิบเฉียนด้วย 


 


 


สำหรับคนในเมืองหลวงแล้ว สามสิบเฉียนเป็นราคาที่ถูกมาก มีคนล้วงเงินออกมาซื้อหนึ่งฝักทันที 


 


 


พนักงานดีใจช้อนออกมาหนึ่งฝัก วางพักไว้ให้เย็นครู่หนึ่ง ใช้สิ่งของห่อไว้ครึ่งฝัก แล้วมอบให้กับคนที่จ่ายเงิน 


 


 


คนผู้นั้นรับไป หลังจากกัดไปหนึ่งคำอย่างอดใจไม่ไหว ก็ร้องชมเสียงลั่น “อร่อย หอมหวานยิ่งนัก” พูดจบก็รีบกินอีกหลายคำ 


 


 


กลุ่มคนเห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อย บวกกับความหอมของข้าวโพดที่ลอยเข้าจมูกไม่ขาดสาย อดทนต่อไปไม่ไหว ทยอยล้วงเงินออกมาซื้อ 


 


 


หลงจู๊ของร้านเห็นการค้านี้ได้รับความนิยมมาก ก็ให้ดีใจจนปากหุบไม่ลง 


 


 


พนักงานบอกพวกเขา ในร้านยังมีข้าวโพดดิบที่สดใหม่ขาย แต่ละฝักจะขายถูกกว่าข้าวโพดที่สุกแล้วห้าเฉียน ทุกคนสามารถซื้อกลับไปทำกินเองที่บ้านได้ 


 


 


คนที่หลังจากได้กินข้าวโพดกำลังคิดจะซื้อกลับไปให้คนที่บ้านเพิ่ม ได้ยินว่ายังมีข้าวโพดดิบขาย ต่างเฮโลเข้าไปในร้าน เจ้าซื้อห้าฝัก ข้าซื้อเจ็ดฝัก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ขายไปได้หลายร้อยฝัก 


 


 


หลงจู๊ยิ้มหน้าบาน รีบส่งข่าวถึงเซี่ยเจียงเฟิง บอกสถานการณ์การจำหน่ายทางนี้ของตนเอง ให้เขาส่งของมาเพิ่มอีก 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงก็กำลังยุ่งมาก นอกจากส่งข้าวโพดจำนวนหนึ่งไปเมืองหลวง เขายังใช้ช่องทางค้าส่งของตัวเองขายไปได้อีกไม่น้อย 


 


 


เห็นหลงจู๊ร้านในเมืองหลวงส่งข่าวมา เซี่ยเจียงเฟิงก็สั่งการคนให้บังคับรถม้าคันใหญ่อีกสองสามคันตามเข้ามาด้วย 


 


 


ข้าวโพดในแปลงดินร่อยหรอลงทุกวัน คนในหมู่บ้านต่างอิจฉาเป็นอย่างมาก ในแต่ละวันได้แต่เบิกตาโตจับจ้องดูว่าข้าวโพดขายออกไปได้เท่าไหร่แล้ว เริ่มขบคิดในใจว่าปีหน้าครอบครัวตัวเองก็ควรจะปลูกข้าวโพดอ่อนสักจำนวนหนึ่งหรือไม่ 


 


 


อยู่ๆ เซี่ยเจียงเฟิงก็บังคับรถม้าคันใหญ่สองสามคันเข้ามา คนในหมู่บ้านยิ่งให้อิจฉา คนที่มีไหวพริบหน่อยเดินตามหลังรถม้ามาถึงบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว บอกว่าอย่างไรตัวเองก็ว่างงานไม่มีอะไรทำ ช่วยพวกเขาหักข้าวโพดได้  

 

 


ตอนที่ 194 เคี่ยวกรำ

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นรถม้าหลายคันเข้ามา รู้ว่าครั้งนี้เซี่ยเจียงเฟิงต้องการข้าวโพดจำนวนมาก ก็ไม่ได้บอกปัด เพียงแต่บอกพวกเขาจะไม่ได้ช่วยเปล่า จะให้พวกเขาวันละสามสิบอีแปะ 


 


 


คนที่เดินเข้ามาโบกมือบอกว่าไม่ต้องการ เมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าหากเขาไม่ต้องการก็จะไม่ขอให้พวกเขาช่วย 


 


 


เห็นนางดึงรั้นจะให้ให้ได้ คนที่เดินเข้ามาจำต้องรับปากอย่างจนใจ 


 


 


คนทั้งหมดกำลังเด็ดข้าวโพด เมิ่งเชี่ยนโยวมายืนดูข้างๆ เป็นเพื่อนเซี่ยเจียงเฟิง 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงมองข้าวโพดในแปลงดินพูดว่า “ตั้งแต่ข้ารับทอดกิจการจากครอบครัวมา ทำการค้ามียอดขายถล่มทลายเพียงสองครั้ง หนึ่งก็คือกุนเชียงเมื่อปีที่แล้ว อีกอย่างก็คือข้าวโพดของปีนี้ ด้วยการค้าเพียงสองอย่างนี้ ทำให้รายได้ของข้าเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วหนึ่งเท่าตัว เป็นเพราะได้แม่นางช่วยไว้แท้ๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ท่านและข้าทำการค้าล้วนได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ท่านทำกำไรได้มาก พูดได้เพียงว่าท่านรู้จักทำการค้า ท่านอย่าได้คืนความชอบใหญ่หลวงนี้มาที่ตัวข้าเลย” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงพูดว่า “แม่นางถ่อมตนแล้ว หากไม่ใช่ข้า เปลี่ยนเป็นคนอื่น มีการค้าสองชนิดนี้ก็ร่ำรวยชั่วข้ามคืนได้ เพียงแต่ข้าโชคดีกว่า ที่ได้รู้จักแม่นางแต่เนิ่นๆ ก็เท่านั้น” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ เปลี่ยนหัวข้อพูด “คุณชายเซี่ย ท่านดูเถิดว่าข้าวโพดในแปลงดินเหลือไม่มากแล้ว เกรงว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ท่านจะมาขนถ่ายข้าวโพดแล้ว” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ตกใจเล็กน้อย พูดว่า “เร็วเช่นนี้เลย ข้าวโพดมากมายนี้ขายไปหมดแล้ว?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ข้าก็ไม่คิดว่าจะเร็วเช่นนี้ นอกจากท่านแล้ว หลงจู๊เหลาจวี้เสียนและพ่อค้าจากตำบลใกล้เคียงจำนวนหนึ่งก็เข้ามาขนถ่ายข้าวโพดไปหลายครั้ง วันนี้หลังจากบรรทุกจนเต็มรถม้าสองสามคันของท่าน เกรงจะเหลืออีกไม่เท่าไหร่แล้ว” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงเริ่มกระวนกระวาย พูดว่า “เช่นนั้นวันนี้ข้าจะขนข้าวโพดที่เหลือนี้ไปทั้งหมด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ยิ้มพูด “ข้ายังต้องเก็บไว้จำนวนหนึ่ง หมายจะนำไปทำสิ่งอื่น เกรงว่าจะทำให้เจ้าต้องผิดหวังแล้ว” 


 


 


ทราบดีว่าแต่ไหนแต่ไรเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนที่ตรงไปตรงมามาตลอด หากนางให้ตัวเองได้จะต้องยอมขายให้ตัวเอง ได้ยินนางพูดเช่นนี้ เซี่ยเจียงเฟิงก็ไม่ยืนหยัดอีก เพียงแค่พูดอย่างเสียใจ “หากรู้เช่นนี้ ตอนนั้นข้าคงเหมาข้าวโพดทั้งหมดนี้เอาไว้เพียงคนเดียว ตอนนี้ดีแล้ว กำลังขายดีเทน้ำเทท่า กลับไม่มีแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ภายหน้าข้ายังมีการค้าที่ดี เอาไว้ข้าจะเก็บไว้ให้ท่าน” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงร้องยินดี พูดว่า “แม่นางอย่าได้ผิดคำพูดเล่า ถึงตอนนั้นจะต้องบอกข้าเป็นคนแรก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “วางใจเถอะ ต้องบอกแน่นอน” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงเตรียมการมาก่อนแล้ว ดังนั้นรถม้าสองสามคันนี้ล้วนแต่บรรทุกมากกว่าปกติอีกหนึ่งเท่าตัว กลุ่มคนใช้เวลาเกือบทั้งเช้าถึงบรรจุเต็มรถม้าที่นำมาทุกคัน 


 


 


หลังจากจ่ายเงินแล้ว เซี่ยเจียงเฟิงก็กำชับเมิ่งเชี่ยนโยวหากมีการค้าที่ดีจะต้องแจ้งให้เขาทราบ แล้วบังคับรถม้ารีบเร่งจากไปพร้อมคนงาน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปเดินวนรอบแปลงข้าวโพดที่เหลือหนึ่งรอบ คำนวณดูว่ายังเหลือข้าวโพดอีกมากแค่ไหน สั่งเหวินเปียวให้เด็ดออกมาจำนวนหนึ่ง แล้วตามตัวเองไปบ้านท่านอาจารย์ 


 


 


ท่านอาจารย์กำลังสอนหนังสือ หลังจากได้ยินคนรับใช้มารายงาน ก็ให้เมิ่งอี้เซวียนทบทวนบทกวีด้วยตัวเอง แล้วเดินมาพบเมิ่งเชี่ยนโยวที่ห้องรับแขก 


 


 


ไม่รอให้ท่านอาจารย์ซักถาม เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นทันที “ข้ามาวันนี้เพราะมีเรื่องเล็กน้อยจะมาหารือกับท่านอาจารย์ หวังว่าท่านอาจารย์ฟังจบแล้วจะไม่โมโห” 


 


 


ท่านอาจารย์พูดอย่างอารมณ์ดี “พูดเถอะ เรื่องอันใด?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ข้าอยากให้ท่านและอาจารย์โจวพักการสอนสักสองสามวัน ให้อี้เซวียนและพี่เมิ่งเหรินตามข้าไปทำการค้าสองสามวัน” 


 


 


ท่านอาจารย์ในฐานะตี้ซือ มีข้อเรียกร้องความเข้มงวดต่อราชสกุลสูง ในแต่ละวันต้องเข้าเรียนเวลาใด ต้องเรียนอะไรล้วนแต่มีข้อเรียกร้องอย่างเข้มงวด แต่หลังจากมาสอนให้เมิ่งอี้เซวียน กฎเกณฑ์ถูกทำลายไปทั้งหมด อย่างแรกคือวิธีการเรียนห้าวันพักสองวันเขาก็ไม่เห็นด้วย ทว่าเห็นแก่ที่เมิ่งอี้เซวียนมีสติปัญญาล้ำเลิศ แค่พูดก็เข้าใจทันทีเขาถึงได้ยอมรับปาก แต่ตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาขอร้องให้เขาหยุดเรียนสองสามวัน ให้เมิ่งอี้เซวียนไปทำการค้า ท่านอาจารย์เดือดดาลโทสะคุกรุ่นปะทุขึ้นทันควัน “เหลวไหลที่สุด เช่นนี้ไฉนเลยจะยังร่ำเรียนได้อย่างปกติสุข?” 


 


 


ก่อนมาเมิ่งเชี่ยนโยวได้เตรียมใจกับการระบายโทสะของท่านอาจารย์แล้ว ดังนั้นพอเห็นเขาเดือดดาลก็ไม่ได้หวาดถอย กลับพูดอย่างพินอบพิเทา “ข้าเคยพูดกับท่านอาจารย์แล้ว นอกจากความรู้แล้ว ข้ายังอยากให้พวกเขามีอีกหนึ่งทักษะติดตัว เลี่ยงไม่ให้ภายหน้าเกิดความเปลี่ยนแปลงกะทันหัน พวกเขาจะเอาตัวรอดไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงอยากให้พวกเขาหยุดเรียนสองสามวัน ติดตามข้าไปเรียนรู้การทำการค้า ข้าจะให้พวกเขาเสียเวลาเพียงสามวันเท่านั้น ท่านวางใจเถอะ วิชาเรียนในสามวันนี้ข้าจะไม่ให้พวกเขาตกหล่น” 


 


 


ท่านอาจารย์ได้ฟังคลายโทสะลงได้บ้าง พูดว่า “แม่นางเมิ่ง ข้ารู้ความนึกคิดของเจ้า แต่ภายหน้าพวกเขาล้วนแต่จะต้องรับราชการเป็นขุนนาง แม้จะเรียนรู้การทำการค้าไปก็เปล่าประโยชน์กับพวกเขา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ท่านอาจารย์กล่าวผิดแล้ว ต่อให้ภายหน้าพวกเขารับราชการเป็นขุนนาง ก็ไม่แน่ว่าจะราบรื่นไปได้ตลอดรอดฝั่ง การเรียนรู้การทำการค้าไว้ เท่ากับเป็นการเตรียมทางหนีทีไล่ให้กับพวกเขาอีกทาง หากมีอะไรเปลี่ยนแปลง พวกเขาจะได้ไม่ต้องมีชีวิตแร้นแค้น ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก อีกอย่าง ครั้งนี้ที่ข้าพาพวกเขาไปก็มิได้เป็นการค้าใหญ่อะไร พูดตามตรงก็คือข้าได้เตรียมสิ่งของจะให้พวกเขาไปร้องเร่ขายข้างถนน สิ่งสำคัญก็คือเพื่อฝึกศักดิ์ศรีหน้าตาของพวกเขา เพราะแต่ไหนแต่ไรเหล่าปัญญาชนมักจะทะนงตนว่าสูงส่ง พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็จะไม่กล้าลดศักดิ์ศรีลงมา ข้าไม่อยากให้พวกเขากลายเป็นคนเช่นนั้น” 


 


 


ท่านอาจารย์ได้ฟังมองนางอย่างตกตะลึง ครู่หนึ่งถึงพูดว่า “ร้องเร่ขายข้างทาง เสื่อมเสียเกียรติของปัญญาชนเกินไปแล้ว เรื่องเช่นนี้พวกเขาจะทำได้อย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ดังนั้น ข้าถึงให้พวกเขาไปฝึกฝน ภายหน้าไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดจะได้เอาตัวรอดได้” 


 


 


ท่านอาจารย์ขบคิดครู่หนึ่ง พยักหน้าเห็นด้วย “แม้ข้าจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเจ้า แต่ข้าคิดว่าเจ้าพูดมีเหตุผล เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะอนุญาตให้พวกเขาหยุดได้สามวัน อีกสามวันให้หลังพวกเขาจะต้องมาเข้าเรียนตรงตามเวลา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวผุดลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ 


 


 


ท่านอาจารย์พูดว่า “มีคนในครอบครัวคอยตรึกตรองแทนพวกเขา นับว่าเป็นโชคของพวกเขาแล้ว หวังว่าต่อไปภายหน้าไม่ว่าจะเกิดความพลิกผันเช่นใด พวกเขาจะไม่ลืมการเพาะบ่มอย่าสุดกำลังแรงใจที่เจ้ามีต่อพวกเขา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน หาได้เป็นการเพาะบ่มใดไม่ ข้าเพียงหวังให้ภายหน้าพวกเขาสามารถเอาตัวรอดได้ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขใดก็พอ” 


 


 


ท่านอาจารย์ฟังแล้ว ได้แต่พินิจนางเป็นนานไม่พูดอะไร 


 


 


หลังจากบอกลาท่านอาจารย์ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาที่บ้าน บอกเมิ่งชื่อว่าพรุ่งนี้ตัวเองตัดสินใจจะเข้าเมืองไปตั้งแผงขายข้าวโพดกับเมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งเหริน เมิ่งอี้และเมิ่งอี้เซวียน 


 


 


เมิ่งชื่อได้ฟังก็ให้ตื่นตกใจ พลันพูดอะไรไม่ออก อึดใจใหญ่ถึงพูดว่า “ตอนนี้บ้านเรามีเงินแล้ว ไม่ต้องการให้พวกเจ้าไปตั้งแผงหาบเร่อีก เจ้าคิดจะทำอะไรอีกกันแน่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนเมิ่งชื่อ พูดกระเง้ากระงอด “ช่วงเวลานี้ไม่มีอะไรทำ ข้าอยากไปตั้งแผงหาบเร่ แต่ก็ลดเกียรติตัวเองไม่ลง จึงอยากให้พวกเขาไปเป็นเพื่อนข้า” 


 


 


เมิ่งชื่อมองนางอย่างกังขา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้นางพินิจมองตามใจอย่างไม่สะทกสะท้าน 


 


 


เมิ่งชื่อมองครู่หนึ่งก็ไม่เห็นว่านางมีตรงไหนผิดปกติ จึงพูดว่า “หากเจ้าอยากจะไปให้ได้ ก็ให้พี่ใหญ่พี่รองไปกับเจ้า อย่าได้ถ่วงเวลาเรียนของอี้เซวียนและเหรินเอ๋อร์” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไหนเลยจะยอม “คนมากถึงจะคึกคัก อีกอย่าง พวกเขาต้องร่ำเรียนทุกวัน จะต้องเหนื่อยมากแล้ว ถึงควรแก่เวลาให้พวกเขาได้พักผ่อนบ้าง ทั้งกลับจะส่งผลดีต่อการเรียนของพวกเขามากขึ้น” 


 


 


เมิ่งชื่อเอ็ดทั้งรอยยิ้ม “แม่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าการตั้งแผงหาบเร่มีผลดีต่อการเรียน เจ้าไปเอาตรรกะประหลาดเช่นนี้มาจากที่ใด?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืดแอ่นอกอย่างซุกซน แสดงอาการร้องขอคำชมจากเมิ่งชื่อ “ย่อมต้องเป็นข้าที่คิดได้เอง ข้าฉลาดหรือไม่เล่า?” 


 


 


เมิ่งชื่อหัวร่องอหาย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเรื่องสำเร็จแล้ว แอบลอบถอนใจโล่งอก 


 


 


ช่วงบ่าย เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเหวินเปียวไปเด็ดข้าวโพดอ่อนสามร้อยฝัก แล้วแบ่งวางไว้สามกอง กระทั่งยามค่ำ ถึงเรียกรวมพลเมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งอี้เซวียน เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ บอกพวกเขาว่าเรื่องที่ตัวเองตัดสินใจจะให้พวกเขาออกไปขายข้าวโพดเองในวันพรุ่งนี้ 


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีเคยตั้งแผงขายแล้ว ย่อมไม่ติดขัดสิ่งใด เมิ่งอี้เซวียนค่อนข้างมีอาการตื่นเต้น ส่วนเมิ่งเหรินและเมิ่งอี้กลับมีอาการงุนงง 


 


 


เมิ่งเหรินลองเอ่ยปากถาม “น้องสาวโยวเอ๋อร์ จะไม่ค่อยเหมาะสมหรือไม่ ข้าเป็นปัญญาชน ไปกระทำเรื่องเช่นนั้นจะหมิ่นเกียรติลดคุณค่าได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มหวานพูดว่า “พี่เมิ่งเหรินมิต้องเห็นตัวเองเป็นปัญญาชน ให้คิดว่าตัวเองเป็นคนบ้านนอกที่ยากจนข้นแค้นคนหนึ่ง มีชีวิตที่แทบจะเอาตัวไม่รอดแล้ว จำต้องไปตั้งแผงหาบเร่ขายข้าวโพด” 


 


 


ในตอนนี้เมิ่งเหรินแสดงความเลื่อมใสเมิ่งเชี่ยนโยวจากหัวใจ รู้ว่านางจะไม่ทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ จึงพยักหน้ารับปาก “ได้ ข้าเชื่อเจ้า พรุ่งนี้พวกเราจะไปขายข้าวโพดกัน” 


 


 


เมิ่งอี้เป็นเสี่ยวเอ้อที่ภัตตาคารมาหลายปี การต้อนรับลูกค้าหาได้เหนือบ่ากว่าแรงไม่ แต่การจะให้เขาไปขายข้าวโพด ก็ให้หวั่นเกรงยิ่งนัก ทว่าแม้แต่เมิ่งเหรินยังรับปากแล้ว ภายใต้ภาวะจำยอม เมิ่งอี้จึงตัดสินใจรับปากไปด้วย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้พวกเขาแบ่งเป็นสามกลุ่ม เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีหนึ่งกลุ่ม ตนเองและเมิ่งอี้เซวียนหนึ่งกลุ่ม เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้หนึ่งกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะได้รับข้าวโพดหนึ่งร้อยฝัก วันพรุ่งให้เข้าไปจับจองพื้นที่ตั้งแผงขายข้าวโพดในตลาดสดแต่เช้าตรู่ 


 


 


เมื่อทุกคนรับปากจะไปขายข้าวโพดแล้ว จึงยิ่งไม่มีความเห็นต่างเรื่องเวลาอีก ต่างรับปากทันควัน 


 


 


ค่ำคืนผ่านไป 


 


 


วันถัดมา เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้ก็มาถึงตรงตามเวลา 


 


 


หลังจากคนทั้งหมดช่วยกันขนถ่ายข้าวโพดมาไว้บนรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวให้บังคับรถม้าเข้าเมือง 


 


 


รถม้ามาถึงตัวเมือง ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสาง คนที่มาตั้งแผงในตลาดสดยังน้อยมาก หลังจากทุกคนลงจากรถม้าแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้ทุกคนแยกกันไปหาที่เหมาะสมเพื่อขายข้าวโพดของตัวเอง 


 


 


คนทั้งหมดทำตามที่นางบอก แยกย้ายไปหาสถานที่แตกต่างกัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองโดยรอบ แล้วพาเมิ่งอี้เซวียนเดินลึกเข้าไปในตลาดสด หาตำแหน่งที่เหมาะสม หลังจากถามว่าไม่มีคน ก็นำภาชนะบรรจุข้าวโพดออกมาวางบนพื้น 


 


 


หญิงชราที่ตั้งแผงอยู่ข้างเคียงเห็นเด็กน้อยสองคนมาตั้งแผง นึกว่าเป็นเด็กที่ฐานะทางบ้านไม่ดี จึงพูดด้วยความหวังดี “อีกประเดี๋ยวจะมีคนมาเก็บภาษี ข้าเห็นของพวกเจ้ามีไม่มาก ตอนที่พวกเขามาเก็บภาษี พวกเจ้ามายืนด้านหลังข้า ข้าจะบอกว่าของพวกนี้ข้าเป็นคนขาย จะได้จ่ายน้อยลงห้าเฉียน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท “ขอบคุณมาก แต่คงไม่ต้อง” 


 


 


หญิงชราคิดว่าเด็กน้อยทั้งสองยังไม่รู้ถึงความสำคัญของเงิน จึงพูดเตือน “แม่หนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าเงินห้าเฉียนมีความสำคัญกับคนอย่างพวกเรามากเพียงใด?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าทราบ ท่านแม่ข้าบอกแล้ว เงินห้าเฉียนซื้อแป้งข้าวโพดได้หนึ่งจิน” 


 


 


หญิงชราเริ่มงุนงง “เช่นนั้นเจ้ายังไม่คิดจะประหยัดเงินห้าเฉียนนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้าทราบว่าท่านมีเจตนาดี แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าพาน้องชายมาตั้งแผงขาย ข้าไม่อยากให้เขาเรียนรู้การฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบ กลายเป็นนิสัยไม่ดีในภายหน้า” 


 


 


หญิงชรามองนางอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง กลับไม่ได้พูดอะไรอีก 


 


 


ผ่านไปครึ่งชั่วยาม คนที่มาตั้งแผงในตลาดสดค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ทุกคนเห็นเด็กเข้ามาตั้งแผงขายของ ก็ให้ประหลาดใจ โดยเฉพาะได้เห็นเด็กรูปงามอย่างน่าเหลือเชื่ออย่างเมิ่งอี้เซวียน ถึงกับทอดถอนใจว่า “เป็นเด็กชายที่งดงามยิ่งนัก น่าเสียดายที่เกิดในครอบครัวชาวนา ชีวิตนี้เกรงว่าจะไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปากแล้ว” 


 


 


เป็นครั้งแรกที่เมิ่งอี้เซวียนถูกคนมากมายประเมินมองเช่นนี้ เริ่มกระดากอาย เอาแต่ก้มศีรษะไม่กล้าเงยหน้าขึ้น 


 


 


ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามกว่า คนที่มาซื้อของในตลาดสดค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดภาชนะที่บรรจุข้าวโพดออก ข้าวโพดสดอ่อนปรากฏต่อหน้าสายตาผู้คน 


 


 


ในฤดูกาลนี้เหลาจวี้เสียนกลับมีข้าวโพดอ่อนขาย คนในเมืองต่างทราบดี ต่างทอดถอนใจที่นายท่านแห่งเหลาจวี้เสียนช่างมีอำนาจบารมีนัก แม้แต่สิ่งของที่ไม่ใช่ฤดูกาลนี้ก็ยังหามาได้ ตอนนี้คนที่มาตั้งแผงหาบเร่เห็นพวกเมิ่งเชี่ยนโยวสองพี่น้องมีข้าวโพดอ่อนมาวางขาย ก็ให้ตกตะลึง ใช้แววตาพินิจมองประเมินพวกเขาอีกครั้ง 


 


 


หญิงชราจิตใจดีข้างๆ ก็ตกใจจนพูดไม่ออกแล้ว ได้แต่ถลึงดวงตาขุ่นมัวคู่นั้น จับจ้องมองพวกเขาสองคนอย่างอัศจรรย์ใจซ้ำไปซ้ำมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ หลังจากจัดเรียงข้าวโพดแล้ว หันไปถามเมิ่งอี้เซวียน “เจ้าหรือข้าที่ร้องขาย?” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนถูกคนมองประเมินจนไม่กล้าเงยหน้ามาตลอด ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา ถึงใช้น้ำเสียงที่แทบจะฟังไม่ได้ยินตอบกลับ “ข้า ข้าทำเอง” 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)