ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1926-1943
ตอนที่ 1926 อย่าใช้เหตุผลกับผู้หญิง
ความจริงเหยียนหมิงซุ่นนึกถึงเสี่ยวกัวได้กะทันหัน เสี่ยวกัวแต่งงานมาหลายปีแล้วแต่ไม่มีลูกสักที ทั้ง ๆที่สองสามีภรรยาไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ประเด็นสำคัญเลยคือพวกเขารู้จักกับเฉินซานเหมือนกัน
เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นเรื่องจริงเหยียนหมิงซุ่นเลยมาหาเสี่ยวกัวและก็เป็นไปตามคาด เมื่อเสี่ยวกัวเองก็โดนพิษกู่เหมือนกัน
ไม่รู้ว่าเฉินซานได้ทำร้ายคนไปมากเท่าไร อีกอย่างเขาทำแบบนี้เพื่อเหตุผลอะไรกันแน่
พ่อมดยอดฝีมือบอกว่าพิษกู่หักสวาทไม่มียาถอนพิษ นั่นหมายความว่าเฉินซานไม่ได้มีเป้าหมายที่จะใช้กู่ควบคุมเขากับเสี่ยวกัว แต่บอกได้เพียงว่าเฉินซานทำไปเพื่อทำร้ายคน หากเป็นเช่นนี้จริง ๆเฉินซานก็คือโรคจิตคนหนึ่ง!
การให้เสี่ยวกัวไปรวบรวมรูปถ่ายมาก็เพื่อรวบรวมหลักฐานให้มากกว่านี้ จากความสามารถของเสี่ยวกัวเขาเชื่อว่าขณะเดียวที่เขารวบรวมรูปถ่ายคงตามสืบทุกเรื่องของเฉินซานในระยะเวลาสามสิบปีที่ผ่านมาได้ด้วยแน่ ๆ เพราะนั่นเป็นสัญชาตญาณตามสายอาชีพของเขา
แต่เจ้าหมอนี่ก็ขี้เกียจเหลือเกิน หากบอกให้เขาไปตามสืบทุกเรื่องในช่วงเวลาหลายสิบปีของเฉินซานโดยตรงเสี่ยวกัวจะต้องปฏิเสธแน่นอนและไม่คิดจะมีลูกอีกต่อไป
เฉินซานเป็นคนเจ้าเล่ห์ เขาจะต้องเอาหลักฐานมัดตัวไปฟาดหน้าเขาเพื่อให้เฉินซานยอมแพ้แต่โดยดีอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
เหมยเหมยนอนขี้เซาอยู่บนเตียงกระทั่งตอนเที่ยงแต่ยังอิดออดไม่ยอมลุกไปไหน เหยียนหมิงซุ่นกลับมาแล้วป้าฟางทำมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว เขามองปราดเดียวก็รู้ว่ายัยตัวแสบกำลังคิดอะไรอยู่เลยอดหัวเราะไม่ได้
“ถ้ายังไม่ลุกก็ไม่ต้องคิดจะไปเรียนช่วงบ่ายแล้วนะ ไหนเธอบอกว่าเป็นคาบของอาจารย์ขาโหดไม่ใช่เหรอ?” เหยียนหมิงซุ่นจงใจเอ่ยขึ้น
ทุกวันหลังจากเหมยเหมยกลับจากมหาวิทยาลัยจะต้องพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยกับเขาทุกวัน ต่อให้เขาไม่ไปเรียนด้วยก็รู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์และรู้ดียิ่งกว่าใครว่าอาจารย์คนไหนที่ยัยปีศาจน้อยของเขากลัวมากที่สุด ซึ่งก็คืออาจารย์ที่ถูกขนามนามว่าเป็นอาจารย์ขาโหดท่านหนึ่งนี่แหละ
แถมได้ยินมาว่ายังมีสี่มือปราบพญายมกับเจ้าอาวาสปราบมังกรอะไรเทือกนั้นอีก ลำบากนักศึกษาเหล่านี้จริง ๆที่ต้องอุตส่าห์คิดตั้งฉายาพวกนี้ขึ้น สงสัยคงศึกษาตำราของกิมย้งโกวเล้งและอุนสุยอันมาอย่างดีแล้วแน่เลย
กองผ้านวมสั่นระริก เหมยเหมยแอบคร่ำครวญในใจ เธอลืมอาจารย์ขาโหดคนนั้นไปได้อย่างไรนะ?
“เพราะพี่นั่นแหละฉันเลยไม่กล้าไปเรียนแล้ว เพื่อน ๆต้องหัวเราะเยาะฉันแน่ ๆ…” เหมยเหมยเลิกผ้าห่มออกแล้วถลึงตาจ้องใครบางคน
เหยียนหมิงซุ่นหยิบเสื้อมาใส่ให้อย่างเอาอกเอาใจ “เมื่อคืนมืดขนาดนั้นใครจะเห็นชัดกันเล่า? อีกอย่างเมื่อคืนคนที่จูบก็ไม่ได้มีแค่เราอย่างน้อยก็มีเป็นสิบคู่ ไหนจะอีกคู่ที่เกือบจะทำอะไรเกินเลยตรงนั้นอยู่แล้วด้วยนะ”
เหมยเหมยถูกเขาจุดประกายความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา “จริงเหรอ? พวกเขาอันนั้นกันจริงเหรอ?”
“จริงสิ แต่พอถึงขั้นตอนสุดท้ายพวกเขาก็ออกไปแล้ว เทียบกับพวกเขาแล้วที่เราทำไปก็แค่เล็กน้อย เธอจะกังวลอะไรเนี่ย?” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยหน้าตายไม่แม้แต่จะกะพริบตา
เมื่อคืนเหตุการณ์ร้อนแรงไปหน่อยก็จริงแต่ไม่ได้ถึงขั้นที่เขาพูด แต่เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของยัยตัวแสบ เขาจำเป็นต้องใส่สีตีไข่เพิ่มสักนิด
เหมยเหมยถูกเขาเบี่ยงความสนใจไปได้สำเร็จเลยรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง เธอกับเหยียนหมิงซุ่นแค่จูบกันเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆเกือบจะดำเนินไปถึงขั้นตอนสุดท้ายเลยนะ เธอมีอะไรให้กังวลอีกล่ะ?
“เฮ้ย ใกล้จะเที่ยงแล้ว ทำไมพี่ไม่มาปลุกฉันเร็วกว่านี้ล่ะ คาบแรกเป็นคาบของอาจารย์ขาโหดเชียวนะ ถ้าไปสายละก็ต้องโดนทำโทษให้ยืนสำนึกผิดอีกแน่เลย…”
เหมยเหมยดูนาฬิกาแวบหนึ่งก็สะดุ้งตกใจจนตื่นเต็มตาแล้วก็รีบสวมเสื้อผ้าอย่างว่องไว ก่อนจะรีบวิ่งไปล้างหน้าแปรงฟันด้วยความร้อนรน ขณะที่แปรงฟันไปก็บ่นเหยียนหมิงซุ่นไป เหยียนหมิงซุ่นลูบจมูกปอย ๆอย่างระอา ใช้เหตุผลกับผู้หญิงไม่ได้จริง ๆ!
ใครให้เขาตามใจยัยตัวแสบนี่ล่ะ!
ยอมทุกอย่างแม้เธอจะทำตัวงี่เง่าเอาแต่ใจ และสามารถให้อภัยได้กับจุดด้อยของเธอทุกอย่าง…
มื้อเที่ยงถูกจัดการไปราวกับกำลังต่อสู้ เหยียนหมิงซุ่นไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง พอรถยนต์ผ่านหอสมุดเหมยเหมยก็ฉุกคิดได้ว่าวันนี้เป็นวันคริสต์มาส เธอจึงเอ่ยถามว่า “เจียงจื้อหรู่แต่งงานวันนี้สินะ?”
………………………
ตอนที่ 1927 โด่งดังแล้ว
“กำลังจัดเลย จัดที่โรงแรมเมืองหลวงนี่แหละ” เหยียนหมิงซุ่นขับรถไปตอบคำถามไป
เหมยเหมยลอบถอนหายใจแผ่วเบา เกรงว่าวันไหนสวีจื่อเซวียนคิดจะกระโดดตึกฆ่าตัวตายขึ้นมาจริง ๆก็ขัดขวางงานแต่งงานนี้ไม่ได้อีกแล้วสินะ!
ทั้งน่าเศร้าน่าสงสารและน่าแค้นใจนัก!
เหยียนหมิงซุ่นพูดขึ้นอีก “เพื่อนคนนั้นของเธออาการไม่ค่อยดีเท่าไรเพราะขาหักไปข้างหนึ่ง ต่อให้กลับมาหายดีก็เดินแบบปกติไม่ได้อีกแล้ว ส่วนขาอีกข้างก็อาการไม่สู้ดีนัก ถือว่าพิการไปแล้ว”
อย่าพูดถึงแค่ว่าอีกฝ่ายอยู่ท่ามกลางอากาศเย็นจัดเป็นเวลานานเลย เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งผ่านการแท้งมาก่อนอีกต่างหาก สวีจื่อเซวียนสุขภาพแย่ลงอย่างสิ้นเชิงและตลอดชีวิตนี้ต้องทุกข์ทรมานกับโรคภัยไข้เจ็บเท่ากับคนพิการคนหนึ่งไปอย่างสมบูรณ์แบบ
เหมยเหมยถอนหายใจอีกที คนน่าสงสารคือคนที่ทำผิดแล้วไม่รู้จักปรับปรุงตัว ผลลัพธ์ที่สวีจื่อเซวียนได้รับจะโทษใครได้ล่ะ?
“ต่อให้น่าสงสารแล้วทำไงได้ ทำได้แค่โทษตัวเธอเองเท่านั้นแหละ”
เหยียนหมิงซุ่นกระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจ เขายังกังวลว่ายัยโง่คนนี้จะใจอ่อนแล้วสอดมือไปยุ่งเรื่องชาวบ้านอีกด้วยซ้ำ!
พอส่งเหมยเหมยถึงใต้ตึกอาคารเรียนแล้วเหยียนหมิงซุ่นก็พูดทิ้งท้ายไม่กี่ประโยคแล้วก็จากไป ใต้ตึกอาคารเรียนคณิตศาสตร์มีนักศึกษาที่หอบตำราเรียนอยู่ไม่น้อย แม้คืนของการเฉลิมฉลองจะผ่านพ้นไปแล้วแต่ทุกคนยังดูคึกคักอยู่เหมือนเดิมราวกับถูกฉีดยากระตุ้นมาเสียอย่างนั้น
“ดาวมหาลัยมาแล้ว…คนที่ขับรถคือผู้ชายคนเมื่อคืนเหรอ? โรแมนติกจัง…”
มีคนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่เบานัก เดิมทีเหมยเหมยยังคิดจะแอบย่องเข้าไปเงียบ ๆ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเป้าสายตาของทุกคนซึ่งแต่ละคนต่างหันมองมาทางเธอ ดั่งแสงสปอร์ตไลท์สาดส่องลงมาทำให้เธอหนีไปไหนไม่ได้
ถูกสายตาจับจ้องราวกับเข็มที่ทิ่มแทงตามตัวทำเอาเหมยเหมยนึกโกรธจนก่นด่าเหยียนหมิงซุ่นในใจหลายที แสร้งทำเป็นแน่นิ่งแล้วเดินตรงไปข้างหน้าไม่หันมองไปทางใด
แต่สายตาประหลาดรวมถึงเสียงซุบซิบด้านหลังทำเอาเธอหนีไม่พ้น หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ขาโหดคนนี้มีพลังทำลายล้างสูงเกินไปเหมยเหมยจะต้องหมุนตัวเดินกลับทันที ไม่เข้าเรียนคาบบ้า ๆนี่อีกแล้ว
ระยะทางสั้น ๆเพียงไม่กี่สิบเมตรแต่เหมือนกับเส้นทางสู่ลานประหาร ในที่สุดก็เดินมาถึงห้องเรียนสักทีเหมยเหมยจึงถอนหายใจพรูยาว ขณะที่พวกฉีฉีเก๋อได้จับจองที่นั่งเสร็จสรรพแล้วโบกมือให้เธอ
“วันนี้เธอยังกล้ามาเรียนจริง ๆนะ? จุ๊ ๆ สุดยอด…” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมองเธอด้วยสายตามีเลศนัยปนหยอกล้อ
เหมยเหมยหน้าแดงระเรื่อพลางยืดตัวตรงเถียงกลับไป “มีอะไรให้กลัวกัน? ไม่ได้ทำเรื่องอะไรน่าอายสักหน่อย…”
ลำพังแค่จูบเท่านั้นและไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวสักหน่อย มีคนตั้งมากมายที่จูบกันแล้วทำไมถึงต้องจ้องเล่นงานเธอคนเดียวล่ะ?
“ใครให้เธอเป็นดาวมหาลัยกันล่ะ อีกอย่างคนอื่นเขาจูบกันในมุมอับแสงแบบหลบ ๆซ่อน ๆแต่เธอก็นะ สงสัยกลัวคนทั้งโลกไม่รู้ว่าดาวมหาลัยจ้าวอย่างเธอจะจูบแล้ว แล้วไหนจะยืนอยู่ตรงกลางที่แสงไฟสว่างมากที่สุดอีก ชิ…ร้อนแรงดุเดือดเหลือเกิน ยินดีด้วยนะ ตอนนี้เธอโด่งดังโดยสมบูรณ์แบบแล้ว”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับฉีฉีเก๋อมองด้วยสายตาประหลาด ดูสมน้ำหน้าเล็กน้อยปนหยอกล้อ เหมยเหมยเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติเลยถามขึ้นว่า “พวกเธอหมายความว่าไง? พูดให้รู้เรื่องสิอย่าพูดครึ่ง ๆกลาง ๆแบบนี้สิ!”
“เธอไปดูกระทู้มหาลัยเองเถอะ”
หลังเรียนคาบวิชาของอาจารย์ขาโหดอย่างกระวนกระวายจนหมดไปสองคาบ ทันทีที่หมดเวลาเรียนเธอก็พุ่งไปยังห้องคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยด้วยความร้อนรน
ยุคนี้คอมพิวเตอร์เริ่มเป็นที่นิยมในเมืองหลวงมากขึ้นแต่ยังไม่ใช่สิ่งที่มีกันทุกครัวเรือน มีเพียงชนชั้นกลางขึ้นไปกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆถึงจะมีในครอบครอง มหาวิทยาลัยเมืองหลวงเปิดให้เรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ทั้งยังสร้างห้องคอมพิวเตอร์ที่ต่อสายอินเตอร์เน็ตเพียงในรั้วมหาวิทยาลัยเท่านั้น ทว่าก็มีอาจารย์นักศึกษาใช้บริการกันอย่างล้นหลาม
เหมยเหมยจ่ายเงินทันทีแล้วเปิดคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง คอมพิวเตอร์ในห้องคอมพิวเตอร์ล้วนเป็นเครื่องซีพียูรุ่น 286 กับรุ่น 386 ที่ถูกคัดออกมาจากห้องปฏิบัติการประจำมหาวิทยาลัย การใช้งานจึงช้าเป็นพิเศษและเทียบกับคอมพิวเตอร์รุ่นบางเฉียบในยุคภายหลังไม่ได้เลยสักนิด ฉะนั้นเธอจึงรังเกียจมากและนี่เพิ่งจะเคยมาเป็นครั้งแรกอีกด้วย!
ตอนที่ 1928 จ้าวเหมยเป็นมือที่สาม
คอมพิวเตอร์ที่มีเครื่องซีพียูรุ่น 386 ถูกนักศึกษาคนอื่น ๆจับจองไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงรุ่น 286 ซึ่งเครื่องที่เหมยเหมยเปิดใช้งานก็คือรุ่น 286 จึงตอบสนองช้า ไฟหน้าจอกะพริบอยู่หลายครั้งและช้ายิ่งกว่าเต่าเสียอีก
ขณะที่เหมยเหมยเกือบจะหมดความอดทนอยู่รอมร่อ ในที่สุดคอมพิวเตอร์ก็เปิดใช้งานได้สำเร็จสักที เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนสอนให้เธอเข้าไปในกระทู้ประจำมหาวิทยาลัย เพิ่งกดเข้าไปเหมยเหมยก็เห็นรูปถ่ายสวยงามรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปที่เธอกับเหยียนหมิงซุ่นกอดจูบกันอย่างดูดดื่มพอดี
หากบอกตามตรงรูปนี้ถ่ายได้ไม่เลวเลยจริง ๆ ไม่ว่าจะเรื่องมุมหรือแสงไม่มีที่ติเลย สามารถเอาไปใช้เป็นรูปหน้าปกนิตยสารได้เลย
คนที่ปล่อยรูปนี้เป็นนักศึกษาประจำมหาวิทยาลัยเมืองหลวง เธอได้ข่าวว่าเป็นรองประธานชมรมถ่ายภาพที่ไม่ทราบชื่อสกุลที่แท้จริง แต่กลับมีฉายาในโลกอินเตอร์เน็ตนามว่า ‘ชางไห่อี๋เซี่ยว’
ผลงานของเขาได้รับรางวัลจากทั่วประเทศมามากมายจึงพอมีชื่อเสียงในวงการช่างภาพเมืองหลวงอยู่บ้าง เขาเป็นผู้ใช้งานกระทู้มหาวิทยาลัยบ่อย ๆ เพราะเขามักปล่อยผลงานที่ตนพึงพอใจในกระทู้เป็นระยะ ๆเพื่อให้อาจารย์และนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยวิพากษ์วิจารณ์
อีกอย่างผลงานส่วนมากของเขาก็ได้มาจากรั้วมหาวิทยาลัยเมืองหลวงแทบทั้งสิ้น รวมถึงภาพทิวทัศน์รอบเมืองที่ล้วนเป็นสถานที่อันคุ้นตาของทุกคน ภาพปกติที่ดูคุ้นเคยกันดีกลับดูงดงามเป็นพิเศษยามอยู่ภายใต้เลนส์กล้องของเขาราวกับถูกยกระดับขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
นักศึกษาที่ได้ฉายาว่าชางไห่อี๋เซี่ยวก็ได้เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองคืนคริสต์มาสอีฟเมื่อคืนเช่นกัน ซึ่งเป้าหมายของเขาคือการถ่ายภาพ เดิมทีคิดว่าคงไม่มีเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรแต่เขากลับเจอคู่เหมยเหมยกับเหยียนหมิงซุ่นเข้าเลยดีใจพร้อมกับกดชัตเตอร์ถ่ายภาพไปหลายใบ นอกจากนี้ยังล้างรูปออกมาทั้งหมดภายในคืนนั้นแล้วเลือกรูปที่พอใจมากที่สุดลงในกระทู้มหาวิทยาลัย
จูบแห่งยุคปลายศตวรรษ–
นี่เป็นชื่อภาพที่ชางไห่อี๋เซี่ยวตั้งเอาไว้ อีกทั้งยังได้รับยอดไลก์จากนักศึกษามากมาย ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตั้งชื่อได้ดี เป็นจูบแห่งยุคปลายศตวรรษจริง ๆไม่ใช่หรือไง?
แม้สังคมในยุคปลายปีเก้าศูนย์จะเปิดกว้างมากขึ้นแต่ก็ยังไม่มากเท่าไร หากจูงมือโอบไหล่ในที่สาธารณะไม่ใช่ปัญหาซึ่งถือได้ว่าพัฒนาขึ้นมากแล้ว แต่การจูบในที่โจ่งแจ้งแบบพวกเหมยเหมยอย่างดูดดื่มร้อนแรงไม่มีใครกล้าทำขนาดนี้หรอก
กลัวเพียงแต่ว่าพอคุณเพิ่งจูบไปไม่นานก็มีผู้ที่เรียกตนว่าผู้ผดุงศีลธรรมออกมาวิจารณ์ตำหนิว่าคุณทำให้สังคมเสื่อมเสียภาพลักษณ์ ผู้ชายจะถูกเรียกว่าคนลามกวิปริต ส่วนผู้หญิงจะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงสำส่อน อย่างไรเสียก็จะมีถ้อยคำด่าสาดเสียเทเสียรอคุณอยู่เป็นกองเลยล่ะ!
สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสังคมอนุรักษ์นิยมคือการเปิดโลกกว้างเรื่องนี้ในรั้วมหาวิทยาลัย
นักศึกษาผู้น่ารักเหล่านี้พยายามต่อสู้กับสังคมอนุรักษ์นิยมที่ล้าสมัย ต่อให้ต้องนองเลือดก็ไม่ย่อท้อ
รูปถ่ายนี้ของพวกเหมยเหมยได้รับยอดไลก์ของคนเกือบพันคน อีกทั้งยังมีคนตอบกระทู้นี้อย่างล้นหลาม
“ความโรแมนติกที่แสนสวยงาม ขอเสนอให้ทางมหาวิทยาลัยใช้รูปนี้เป็นโปสเตอร์รับสมัครนักศึกษาของปีหน้า เชื่อว่าจะมีรุ่นน้องมากมายสึกสนใจและพยายามแก่งแย่งกันเข้ามาเรียนแน่นอน”
“ใช่ คนภายนอกต่างบอกว่ามหาวิทยาลัยปักกิ่งเราไม่มีคนสวย งั้นก็ให้พวกเขาได้เห็นโฉมหน้าอันงดงามของดาวมหาลัยของเราสักหน่อย ในอดีตไม่เคยมีและอนาคตก็จะไม่มีใครสู้ได้…”
“ดาวมหาลัยไม่ใช่แค่หน้าตาดีแต่ยังมากความสามารถอีกต่างหาก ผู้ชายแบบไหนกันนะที่จะสมฐานะ? ฉะนั้น…มีใครรู้บ้างว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครมาจากไหน?”
“ฉันรู้ ผู้ชายคนนี้เป็นคู่หมั้นของดาวมหาลัยแต่ลึกลับมาก นี่เพิ่งเคยเห็นปรากฏตัวครั้งแรกเลยนะ!”
“คู่หมั้นของดาวมหาลัยหุ่นดีชะมัดเลย ไหนจะเป็นประเภทที่ฉันชอบมากด้วย เย็นชาแต่รักเดียวใจเดียว เหมือนเทพเจ้าแห่งนรกเฮดีนเลย…นี่เป็นผู้ชายที่ฉันรักมากที่สุด…”
“เหมือนเฮดีนมากจริง ๆ ดาวมหาลัยดูมีความสุขจัง เธอทำให้ฉันเชื่อในรักแท้อีกครั้ง!”
……
คนตอบกระทู้ล้วนมีแต่คำชื่นชมและอิจฉา เหมยเหมยไล่อ่านทีละข้อความ ๆจนตัวเองเผลอหลุดขำไปด้วย ไฟโทสะที่ก่อตัวเพราะถูกแอบถ่ายก็จางหายไปมากทีเดียว แต่ว่า–
“พวกเธอใสซื่อจริง ๆ จ้าวเหมยไม่มีคู่หมั้นอะไรทั้งนั้น ผู้ชายคนนี้มีภรรยาแล้ว จ้าวเหมยเป็นชู้รักของเขา เธอก็เป็นแค่มือที่สามที่เปิดเผยสถานะอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้เท่านั้นเอง!”
…………………………………………………..
ตอนที่ 1929 เอาหลักฐานออกมากาง
เหมยเหมยมีสีหน้าดุดันไล่อ่านต่อไป จากนั้นจึงพบว่าข้อความนี้มาจากคนที่ใช้ชื่อว่า ‘ฮวาจิงหลิง’ และตอบกลับเมื่อสิบนาทีก่อน อีกทั้งตอนนี้ยังอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพราะเธอยังคอยตอบกลับข้อความไม่หยุด
มีคนเสนอข้อสงสัยกล่าวหาว่าคนที่ชื่อฮวาจิงหลิงกำลังโกหก ฮวาจิงหลิงจึงตอบกลับ “ฉันพูดความจริงทั้งนั้น พวกเธอก็ไม่ลองคิดดูว่าถ้าผู้ชายคนนี้เป็นคู่หมั้นของจ้าวเหมยจริง ๆ แล้วทำไมเขาถึงไม่ยอมเปิดเผยหน้าตาล่ะ? ก็เพราะผู้ชายคนนี้เปิดเผยตัวตนอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้จ้าวเหมยเลยไม่กล้าพาออกมาให้เห็นไง”
“แต่คืนฉลองคริสต์มาสผู้ชายคนนี้ก็เปิดเผยตัวตนแล้วไม่ใช่เหรอ?” มีคนสงสัย
ฮวาจิงหลิงตอบกลับ “กลางคืนดึกดื่นแล้วคนยังเยอะขนาดนั้นอีก พวกเธอมีใครเห็นได้ชัดบ้าง? อีกอย่างพวกเธอเห็นผู้ชายคนนี้เปิดเผยหน้าตาแล้วหรือยัง?”
ในรูปถ่ายมีเพียงปลายคางของเหยียนหมิงซุ่นโผล่ออกมาให้เห็นอย่างว่าจริง ๆ แต่นั่นเป็นเพราะเขากำลังจูบกับเหมยเหมยแล้วจะให้โผล่มาทั้งหน้าได้อย่างไรกันล่ะ?
คิดไม่ถึงว่าฮวาจิงหลิงคนนี้จะใช้จุดนี้ในการใส่ความ แต่ดันมีคนไร้สมองมากมายที่หลงเชื่อ
“ไม่ได้โผล่หน้าให้เห็นจริง ๆด้วย หรือว่าดาวมหาลัยเป็นมือที่สามจริง ๆ? พระเจ้า…น่ากลัวมาก!”
“ฮือ ๆ…ทำไมผู้หญิงสวย ๆถึงชอบเป็นมือที่สามกันนะ? ก่อนหน้านี้สวีจื่อเซวียนก็คนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ดาวมหาลัยก็เป็นเหมือนกันอีก!”
“เพราะผู้ชายพวกนั้นมีเงินมีฐานะไง อยู่กับพวกเขามีเงินซื้อเสื้อผ้ากับกระเป๋าสวย ๆได้ แล้วยังซื้อเครื่องประดับราคาแพงได้ ลำพังนักศึกษาจน ๆอย่างนายซื้อไหวเหรอ?” ฮวาจิงหลิงพูดประชดอย่างไม่เกรงใจ
มีคนกลุ่มหนึ่งตอบกลับเธอด้วยเครื่องหมายอัศเจรีย์ยาวเป็นพรวน ซึ่งดูจากชื่อแล้วน่าจะเป็นผู้ชายทั้งสิ้น คิด ๆแล้วคงกำลังใช้สื่อประมาณว่าอยู่ในอารมณ์ที่พูดไม่ออก!
แต่ก็บ่งบอกได้ว่ามีคนมากมายหลงเชื่อคำพูดของคนที่ชื่อฮวาจิงหลิงว่าเหมยเหมยเป็นมือที่สามจริง ๆ
“คนที่ชื่อฮวาจิงหลิงพูดเหลวไหลทั้งเพ น่าโมโหชะมัด ฉันจะด่าเอง!”
ฉีฉีเก๋อแย่งแป้นพิมพ์มาอย่างอดไม่ได้แต่เธอพิมพ์ค่อนข้างช้าทั้งยังเป็นการพิมพ์แบบใช้นิ้วจิ้ม ๆเอาอีก จึงทำเอาเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโมโหผลักเธอออกไป “พิมพ์ช้าเป็นเต่าคลานอย่างเธออย่ามาทำตัวอับอายขายหน้าเลย ฉันจะถ่วงเวลานังแพศยานี่ไว้เอง เธอไปตามหาให้ทั่วห้องนะ ฉันเดาว่านังแพศยาคนนี้น่าจะยังอยู่ในห้องคอมพิวเตอร์นี่แหละ!”
“นั่นสิ ทั้งมหาวิทยาลัยก็มีแค่ห้องคอมพิวเตอร์ห้องเดียว ตอนนี้หล่อนกำลังตอบข้อความอยู่ งั้นก็แปลว่าต้องอยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ ฉันจะไปตามหาเดี๋ยวนี้เลย”
ฉีฉีเก๋อถึงบังอ้อเลยเบิกตากว้างก่อนจะวิ่งผลุนผลันออกไปตามหา
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนใช้สองมือกดแป้นพิมพ์เกิดเสียงดังปึงปัง ๆ แค่ดูก็รู้ว่าคงผ่านการเล่นคอมพิวเตอร์มาไม่น้อย เธอทักถึงฮวาจิงหลิงโดยตรง “เธอบอกว่าจ้าวเหมยเป็นมือที่สามก็ต้องมีหลักฐานมากางสิ ผู้ชายที่ลึกลับคนนั้นชื่ออะไร ทำงานอะไร ภรรยาของเขาเป็นใคร เรื่องพวกนี้ถ้าเธอบอกกล่าวหาลอย ๆแบบนี้ใครจะเชื่อ? แบบนี้ฉันยังพูดได้เลยว่าเธอเป็นสาวจากสโมสรเศรษฐีน่ะ!”
เดิมทีเหมยเหมยค่อนข้างโมโหพอสมควร แต่พอเห็นประโยคของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็อดขำไม่ได้ รู้สึกอบอุ่นในใจและไม่ได้โมโหเท่าก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับตัวฮวาจิงหลิงนี่มาให้ได้ ไม่อย่างนั้นหากปล่อยให้เธอพูดจาเหลวไหลใส่ความไปเรื่อย ๆ คนที่ไม่รู้ความจริงจะต้องหลงเชื่อถ้อยคำบ้าบอของยัยนี่แน่ ๆ
พอเหมยเหมยเห็นว่าเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเพียงคนเดียวก็เพียงพอสำหรับการต่อกรกับอีกฝ่ายแล้ว เธอจึงลุกขึ้นไปตามหาผู้ต้องสงสัยที่น่าจะเป็นฮวาจิงหลิงด้วยอีกคน ห้องคอมพิวเตอร์ค่อนข้างกว้างมีหลายสิบคนกำลังเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่ หากช่วยกันตามหาคงจะเร็วขึ้นบ้าง
ฮวาจิงหลิงโมโหแทบแย่เพราะถ้อยคำของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเลยโต้กลับ “เธอสิสาวจากสโมสรเศรษฐี เธอคงเป็นขี้ข้ารับใช้ของมือที่สามนั่นสินะ ดูนิสัยทาสของเธอสิ!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยน “เธอบอกว่าเธอไม่ใช่สาวจากสโมสรเศรษฐีก็เอาหลักฐานมากางสิ เธอพูดลอย ๆว่าตัวเองไม่ใช่สาวนั่งดริ๊งก์ ฉันเองก็ไม่ใช่เชียนหลีเหยี่ยน[1] ที่จะพิสูจน์ได้ว่าเยื่อพรหมจรรย์เธอยังอยู่ผ่านจอคอมพิวเตอร์ได้สักหน่อย!”
………………………
[1] เชียนหลีเหยี่ยน หรือตาพันลี้ เทพตาทิพย์ที่มีหน้าที่คอยช่อยเหลือเจ้าแม่ในเรื่องต่างๆ
ตอนที่ 1930 คนเบื้องหลังต้องเป็นคนคุ้นเคยแน่นอน
แม้เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจะไม่ใช่สาวน้อยที่เกิดในเมืองหลวงแต่เธอก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เล็ก ๆ ดังนั้นจึงกล้าพูดกล้าทำ มีวาจากิริยาทุกอย่างเหมือนสาวที่เกิดในเมืองปักกิ่ง ไม่ว่าอะไรก็กล้าพูดออกไปทั้งนั้น
ประโยคเดียวของเธอสร้างความตกใจแก่คนในเน็ตมากโขจนทุกอย่างเงียบไปสามวินาทีฮวาจิงหลิงถึงตั้งสติได้ก่อนจะด่ากลับ “เธอมันน่ารังเกียจ ปากนั่นเพิ่งใช้กินขี้มาสินะ!”
“โทษทีนะ ที่ไม่ได้มีรสนิยมกินขี้เหมือนเธอ เธอมันน่าขำจริง ๆหรือว่ามีแค่เธอที่ใส่ร้ายจ้าวเหมยได้คนอื่นจะว่าเธอไม่ได้งั้นสิ? เหอะ เป็นแค่ต้นกระเทียมก็อย่าคิดว่าตัวเองเป็นดอกสุ่ยเซียนไปเลย!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพิมพ์โต้ด้วยความรวดเร็ว มือทั้งสองรวดเร็วจนแทบไม่เห็นเงา เธอโต้กลับไปได้สามประโยคแต่ฮวาจิงหลิงกลับโต้ทันได้เพียงประโยคเดียวจนถูกเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนด่าไม่เหลือสภาพ
“ฉันว่าเธอก็แค่อิจฉาริษยา อิจฉาที่จ้าวเหมยสวยกว่าเธอ หุ่นดีกว่าเธอ มีความสามารถมากกว่าเธอ มีความสุขยิ่งกว่าเธอ เธอถึงได้กุข่าวใส่ร้ายจ้าวเหมยในโลกอินเตอร์เน็ตแบบนี้ ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดเผยหน้าตาที่แท้จริง แน่จริงเธอก็โชว์หน้าตัวเองออกมาสิ อย่ามาทำเรื่องต่ำทรามลับหลังแบบนี้!”
“ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอกนะ คนที่เป็นปรปักษ์กับจ้าวเหมยจะมีสักกี่คนที่มีจุดจบที่ดี สวีจื่อเซวียนลาออก เจิ้งเสวี่ยซานก็ถูกไล่ออก พวกหล่อนล้วนเคยมีเรื่องกับจ้าวเหมยมาทั้งนั้นถึงได้มีจุดจบเหมือนกัน เหอะ เธออย่ามาบอกฉันเชียวว่านี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ!”
“เธอโดนลากระทืบสมองมาสินะ สวีจื่อเซวียนลาออกเพราะเธอยอมลดตัวไปเป็นมือที่สามเองถึงได้ยอมลาออกจากมหาลัย เจิ้งเสวี่ยซานถูกไล่ออกเพราะเธอติดโรคร้ายแรงมา เรื่องพวกนี้เกี่ยวอะไรกับจ้าวเหมย? หรือว่าอนาคตถ้าเธอเดิน ๆอยู่แล้วโดนรถชนตายก็เป็นเพราะจ้าวเหมยสาปแช่งเธองั้นเหรอ?”
……
เหมยเหมยแสร้งทำเป็นหาเพื่อน เธอไล่หาไปทีละคน ๆ ความจริงในยุคนี้มีเกมออนไลน์ไม่น้อยแล้ว ซึ่งเกมที่ผู้ชายชอบเล่นมากที่สุดก็คือเกมสตาร์คราฟต์ ส่วนเกมที่ผู้หญิงชอบเล่นมากที่สุดคือเกมกระบี่เซียน
ทว่าห้องคอมพิวเตอร์ของทางมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้เล่นเกม อย่างมากก็ทำได้แค่เล่นเกมเด็ก ๆอย่างเกมกู้ระเบิดกับเกมไพ่เท่านั้น ฉะนั้นคนที่มาใช้บริการห้องคอมพิวเตอร์ล้วนเป็นนักศึกษาที่ไม่มีเงินซื้อคอมพิวเตอร์ส่วนตัวจึงมาใช้คอมพิวเตอร์ของทางมหาวิทยาลัย ขณะนี้มีคนมากมายกำลังเข้าส่องกระทู้ของมหาวิทยาลัยพอดี หากฮวาจิงหลิงอยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้จริงคงเป็นเรื่องง่ายหากคิดจะตามหา
แต่พอตามหาครบรอบหนึ่งแล้วกลับไม่เจอผู้ต้องสงสัยว่าเป็นฮวาจิงหลิงเลย เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนยังคงตอบกลับกระทู้นั่นไม่หยุด ฮวาจิงหลิงเองก็ยังไม่หยุดตอบเช่นกัน แต่นักศึกษาในห้องคอมพิวเตอร์ล้วนเป็นพวกกลุ่มรออ่านเรื่องสนุก ๆไม่พบเห็นใครตอบกลับกระทู้สักคน
“ดูเหมือนว่าฮวาจิงหลิงคนนี้จะมีคอมพิวเตอร์เป็นคนตัวเอง” เหมยเหมยส่ายศีรษะน้อย ๆให้เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนที่ยังสู้รบปรบมือกับอีกฝ่ายไม่เลิก
“เธอรอฉันก่อนเถอะ ฉันไปปลดทุกข์ก่อน ไว้จะกลับมาด่าไอ้คนไร้สมองอย่างเธอใหม่!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพิมพ์ดังแกร๊ก ๆก่อนจะออฟไลน์ไป พร้อมถามว่า “แน่ใจนะว่าไม่อยู่ในห้องคอมพิวเตอร์นี้?”
“ไม่อยู่ ฉันไล่ดูทีละคนแล้ว” ฉีฉีเก๋อส่ายหน้า
หลังจากพวกเธอสามคนเดินออกจากห้องคอมพิวเตอร์ไปเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนถึงพูดขึ้นว่า “ก็ตามหาได้ไม่ยากหรอก นักศึกษาหญิงในมหาลัยของเรามีแค่ไม่กี่คนที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัว เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง ภายในสามวันฉันจะขุดนังแพศยานั่นออกมาให้ได้”
“ทำไมเธอถึงรู้ว่าเป็นผู้หญิงล่ะ? บางทีอาจจะเป็นผู้ชายก็ได้” ฉีฉีเก๋อย้อนถาม
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนตวัดฝ่ามือตบหลังศีรษะเธอทันที “ผู้ชายคนไหนจะตั้งชื่อตัวเองว่าฮวาจิงหลิงกัน? อีกอย่างเธอดูถ้อยคำร้ายกาจปนริษยาของหล่อนสิ แค่อ่านก็รู้แล้วว่าเป็นผู้หญิงที่จิตใจคับแคบและมั่นใจว่าต้องรู้จักเหมยเหมยร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันจะบอกเธอให้นะว่าตัวการเบื้องหลังต้องเป็นคนรู้จักร้อยละแปดถึงเก้าสิบแน่นอน ใครมันจะอยู่ว่าง ๆแล้วกุเรื่องใส่ร้ายคนแปลกหน้ากันล่ะ!”
………………………..
ตอนที่ 1931 สหายใต้หล้ามีมากล้น
เหมยเหมยพลันนึกขึ้นได้ เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดมีเหตุผลมาก ร้อยละแปดสิบถึงเก้าสิบคนที่พูดใส่ร้ายเธอลับหลังต้องเป็นคนคุ้นเคยแน่นอน คนที่ไม่รู้จักไม่มีทางทำอะไรเธอลับหลังได้หรอก
ฮวาจิงหลิงนี่มันเป็นใครกันนะ?
มั่นใจได้เลยว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงแน่นอน แต่ไหนแต่ไรมาเธออยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยจนแทบไม่ออกไปไหน อย่างมากก็แค่เอ่ยทักทายพวกนักเรียนหญิงในชั้นเรียน หากพูดถึงความขัดแย้งละก็คงเหลือเพียงแค่สวีจื่อเซวียนกับเจิ้งเสวี่ยซานแล้วล่ะ
แต่ตอนนี้สวีจื่อเซวียนนอนอยู่โรงพยาบาลไม่อาจขยับกายไปไหนได้ ส่วนเจิ้งเสวี่ยซานนั้นเกรงว่าจะมีชีวิตรอดอยู่บนโลกใบนี้หรือไม่นั้นก็ไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นสองคนนี้ตัดทิ้งไปได้เลย งั้นแล้วจะเหลือใครอีกล่ะ?
“หรือจะเป็นสีอันน่า? ฉันว่าเขาทำตัวประหลาด ๆขึ้นทุกวันนะ แถมยังมีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวด้วย” ฉีฉีเก๋อว่า
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนปฏิเสธทันที “คงไม่ใช่เธอแน่ ถึงแม้ยัยบ้าสีอันน่าจะดูไม่ใช่คนดีอะไรแต่เธอขี้ระแวงไปหน่อย ซ้ำยังรู้จักหาผลประโยชน์เพื่อเลี่ยงอันตรายด้วย ไม่กล้าพอที่จะแทงข้างหลังหรอก”
เหมยเหมยเห็นด้วยกับความคิดเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน เมื่อก่อนเธอเอาแต่คิดว่าเจิ้งเสวี่ยซานปลิ้นปล้อนที่สุด แต่ดูจากตอนนี้แล้วคนที่กลับกลอกที่สุดน่าจะเป็นสีอันน่า
ยัยนี่เป็นกิ่งก่าเปลี่ยนสีมาตั้งแต่เกิดและดูเหมือนว่าจะสอดไปหมดทุกเรื่อง แต่อันที่จริงเธอก็เอาตัวรอดไปได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าเรื่องใดก็รอดหมด
“งั้นมีใครอีกล่ะ? คงไม่ใช่ถังม่านลี่หรอกมั้ง เธอไม่มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวนี่นา” ฉีฉีเก๋อปวดหัวตุบ ๆ คิดไม่ตกเลยว่าใครน่าสงสัยมากที่สุด
เหมยเหมยเองก็คิดไม่ออกว่าเป็นใคร ขมวดคิ้วแน่น อารมณ์ไม่ดีสุด ๆเลย
จู่ ๆก็ถูกคนใส่ความในสิ่งที่เธอเกลียดที่สุดนั่นก็คือการเป็นมือที่สาม อารมณ์ดีได้สิแปลก ไม่รู้ว่าแอบโดนคนในมหาวิทยาลัยหัวเราะเยาะไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย!
“ใจเย็น ๆ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง ฉันจะต้องลากตัวยัยนั่นออกมาให้ได้!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมั่นใจเต็มเปี่ยม คนอย่างคุณหนูเหริ่นมิตรสหายใต้หล้ามีมากล้น ความเก่งกาจไม่ใช่แค่เรื่องโม้ ถึงช่วงเวลาสำคัญก็ต้องออกโรงแล้ว!
เธอให้เหมยเหมยและฉีฉีเก๋อแยกย้ายกลับบ้าน ไม่ต้องยุ่งเรื่องใดทั้งสิ้นแล้วนั่งรอข่าวดีจากเธอก็พอ
“ฉันกลับไปเล่นคอมพิวเตอร์ที่หอพักดีกว่า กลับไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำ ฉันจะคอยดูด้วยว่ายัยฮวาจิงหลิงนั่นจะพูดอะไรอีก” เหมยเหมยพูดลอดไรฟัน
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไม่ได้กลับหอพักแต่ไปหาผองเพื่อนด้วยอารมณ์ที่เปี่ยมล้น พูดตามตรงมนุษยสัมพันธ์ของเธอไม่เลวเลย ไม่ว่าจะคณะไหนปีไหนก็ล้วนมีเพื่อนของเธอทั้งนั้น แม้แต่วิทยาเขตนักเรียนต่างชาติคุณหนูเหริ่นก็ยังมีฝรั่งตาน้ำข้าวเป็นเพื่อนอยู่หลายคน ซึ่งก็ไม่รู้ด้วยว่าเธอไปรู้จักได้อย่างไร
เหมยเหมยและฉีฉีเก๋อกลับมาถึงหอพัก ถังม่านลี่กับสีอันน่าก็อยู่ด้วย สีอันน่ากำลังเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ ช่วงนี้นักศึกษาสาวของมหาวิทยาลัยคลั่งไคล้การเล่นเกมเซียนกระบี่มาก สีอันน่าก็เช่นกันพอว่างหน่อยก็จะเล่นเกมเซียนกระบี่อยู่ในหอพัก และเพื่อการนี้เธอจึงได้ซื้อคอมรุ่น 486 มาโดยเฉพาะจนหมดเงินไปหลายพันหยวน
แต่ตอนนี้เธอคงจะไม่ได้เล่นเกมเพราะไม่ได้ยินเสียงดนตรีจากเกมเลย ดูจากสีหน้าแล้วเหมือนกำลังซุบซิบนินทาน่าจะกำลังส่องกระทู้ของมหาวิทยาลัยอยู่
ถังม่านลี่นั่งหวีผมอยู่หน้ากระจก แต่งตัวแต่งหน้าสวยดูเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอก ทั้งสองคนเห็นเหมยเหมยเข้ามาก็มีท่าทีตกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรก่อนจะเริ่มยุ่งกับธุระส่วนตัว
แต่ช่วงนี้ถังม่านลี่ดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรในใจ รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปมาก ยามอยู่ในหอพักก็พูดคุยน้อยลงแตกต่างไปจากตอนเปิดเทอมที่ชื่นชอบเรื่องซุบซิบนินทาอย่างสิ้นเชิง แม้จะดูสวยและมีเสน่ห์มากขึ้นแต่กลับกร้านโลกขึ้นมาไม่น้อย ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ใสซื่อบริสุทธิ์
สุดท้ายสีอันน่าก็อดไม่ได้ถามหยั่งเชิงว่า “จ้าวเหมย เธอดูกระทู้ของมหาวิทยาลัยหรือยัง? มีคนที่ชื่อฮวาจิงหลิงกำลังใส่ร้ายป้ายสีเธออยู่นะ!”
ตอนที่ 1932 ประกาศอย่างเป็นทางการ
เหมยเหมยไม่ชอบน้ำเสียงถามหยั่งเชิงของสีอันน่าเลย แม้ว่าเธอจะไม่ชอบก่อปัญหาแต่เธอก็ชอบดูความสนุก หนำซ้ำความกลัวเพียงหนึ่งเดียวคือกลัวแผ่นดินจะสงบ ปรารถนาให้ผู้อื่นโชคร้ายและยิ่งโชคร้ายเท่าไหร่เธอยิ่งชอบใจ
เฉกเช่นตอนนี้ถึงแม้สีอันน่าจะแสร้งทำทีเป็นห่วงใย แต่เหมยเหมยก็ยังเห็นถึงความดีใจที่โผล่ออกมาจากก้นบึ้งของใจเธอ คิด ๆดูแล้วไม่รู้ว่าตอนนี้เธอมีความสุขขนาดไหน!
“ฉันเพิ่งจะเลิกเรียนเองจะเอาเวลาไหนมาดูกระทู้ล่ะ? เธอลองพูดมาสิใครกันที่กำลังใส่ร้ายฉัน แล้วใส่ร้ายฉันเรื่องอะไร?” เหมยเหมยจงใจแสร้งทำทีไม่รู้เรื่อง ชักอยากจะเห็นแล้วสิว่าแม่สีอันน่านี่จะพูดอะไร
ถึงแม้ว่าจะเป็นไปได้น้อยมากที่สีอันน่าจะเป็นฮวาจิงหลิง แต่เหมยเหมยก็อยากจะลองหยั่งเชิงดูสักครั้งเพราะกลัวว่าเรื่องที่ไม่คาดคิดจะเป็นจริงมากกว่า!
สีอันน่ามีท่าทีลำบากใจพร้อมลอบด่าเหมยเหมยว่าเจ้าเล่ห์ ไม่มีเวลาไปอ่านกระทู้อะไรกันก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าเมื่อกี้ ‘เปิ่นกงเจี่ยเต้า’ ปะทะตอบโต้กันอย่างดุเดือด ฟังดูก็รู้ว่าเป็นสำนวนของยัยเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจอมน่ารังเกียจ พวกจ้าวเหมยสนิทกันจะตายแล้วจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร?
ช่างเสแสร้งเก่งจริง ๆเลย!
“ฉันก็ไมได้รู้อะไรแน่ชัดนักหรอก เธอลองดูเอาเองก็แล้วกัน!”
สีอันน่าปลิ้นปล้อนมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วจึงไม่มีทางเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแน่นอน เธอโยนเรื่องกลับอย่างง่ายดาย พร้อมกับนั่งลงเล่นเกมเซียนกระบี่ต่อ
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็ไปไหนไม่รู้ พอไม่อยู่ก็ขาดความครึกครื้นไม่น้อย กระทู้ดูเงียบเหงา น่าเบื่อชะมัดเล่นเกมดีกว่า เธอเล่นมาจนถึงด่านที่จ้าวหลิงเอ๋อร์ใกล้จะถูกเปิดเผยตัวตนแล้ว!
น่าตื่นเต้นจัง!
เหมยเหมยเปิดคอมลงทะเบียนเข้าเว็บไซต์มหาวิทยาลัย แล้วตรงเข้าไปที่หน้าเพจกระทู้ของมหาวิทยาลัย ฮวาจิงหลิงไม่อยู่แล้วกระทู้จึงเงียบลงมาก เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนที่กำลังแสดงความคิดเห็น คนส่วนใหญ่ยังคุยเรื่องที่เหมยเหมยเป็นมือที่สามไม่จบไม่สิ้นสักที พอเธออ่านแล้วก็นึกโมโห
ใส่ความเธอขนาดนี้ ถ้าเธอยังทนไหวแล้วจะยังเป็นคนอีกเหรอ?
@ฮวาจิงหลิง “ในเมื่อเธอบอกว่าเจ้าเหมยอย่างฉันเป็นมือที่สาม ถ้างั้นก็เอาหลักฐานออกมาสิว่าฉันเป็นมือที่สามของใคร ทำลายครอบครัวใคร แซ่ไหนชื่ออะไร ขอให้เธอแสดงหลักฐานด้วย ไม่งั้นเธอก็รอพบกับทนายของฉันได้เลย!”
เมื่อชาติก่อนเหมยเหมยมักจะเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ที่บ้าน ดังนั้นความเร็วของมือจึงไม่ได้ช้าไปกว่าเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเลย เธอกดแอดฮวาจิงหลิงโดยตรง แต่คิด ๆดูแล้วก็ยังไม่สะใจพอจึงได้โพสต์กระทู้เดี่ยวไปอีกหนึ่งข้อความ
“ดิฉันคือจ้าวเหมย เป็นนักศึกษาสาขาศิลปะจีน คณะศิลปกรรมศาสตร์ ดิฉันคิดว่าตัวฉันเองก็เป็นคนมีน้ำใจต่อผู้อื่น ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร แต่บัดนี้กลับถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าฉันเป็นมือที่สามอย่างไร้เหตุผล จำเอาไว้ด้วยว่าคนอย่างฉันเกลียดที่สุดคือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามือที่สาม
ไม่ทราบว่าฉันไปทำอะไรให้เพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อว่าฮวาจิงหลิงผู้นี้ต้องขุ่นเคืองใจตอนไหน ทำไมเธอถึงได้ใส่ร้ายฉันแบบนี้?
เดิมทีฉันไม่ชอบพูดเรื่องในบ้านแต่ตอนนี้ฉันกลับโดนรังแก ถ้าฉันไม่ยอมออกมาพูดก็เกรงว่าคนอื่น ๆจะเข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็นมือที่สามและละอายใจจึงไม่กล้าออกมาพูด
วันนี้ฉันขอประกาศอย่างเป็นทางการว่าดิฉันจ้าวเหมยมีภูมิหลังครอบครัวที่ดี บิดาเป็นข้าราชการของรัฐ มารดาเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศและเป็นศาตราจารย์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ด้วย ฉันได้รับการเลี้ยงดูที่ถูกครรลองคลองธรรมจากบิดามารดามาตั้งแต่ยังเล็ก แล้วจะไปเป็นมือที่สามของคนอื่นได้อย่างไร?
อีกอย่างจากความสามารถและหน้าตาของดิฉัน ผู้ชายประเภทไหนบ้างที่ฉันจะหาไม่ได้ สมองฉันคงไม่เพี้ยนถึงขนาดไปคว้าเอาของมือสองที่คนอื่นเคยใช้มาแล้วหรอกค่ะ!
ผู้ชายในรูปคือคู่หมั้นของฉัน พวกเราเป็นเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กด้วยใจอันบริสุทธิ์ ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น พอเรียนจบเราก็จะจัดงานแต่งงานกันทันที ส่วนชื่อและหน้าที่การงานของชายผู้นี้ฉันจะขอไม่เอ่ยถึงเพราะงานของคู่หมั้นฉันค่อนข้างพิเศษจึงต้องเก็บเป็นความลับ ดังนั้นโปรดอภัยที่ฉันไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะชนได้ค่ะ”
……………………………………………………………..
ตอนที่ 1933 ความจริงใจพบได้ในยามทุกข์ยาก
เหมยเหมยพิมพ์ข้อความย่อหน้าใหญ่ ๆโดยไม่ปรับแก้ไขและโพสต์ลงไปทันที
คิด ๆดูแล้วก็ยังไม่ค่อยพอใจจึงได้กดแอดฮวาจิงหลิงแล้วเอ่ยไปว่า “เธออย่าคิดว่าใช้ชื่อปลอมบนอินเทอร์เน็ตแล้วฉันจะหาตัวตนที่แท้จริงของเธอไม่ได้นะ คู่หมั้นของฉันทำงานสายอาชีพนี้อยู่ ถ้าเขาอยากจะหาเธอมันก็ง่ายนิดเดียว ถ้าเธอไม่ออกมาขอโทษฉันต่อสาธารณะ งั้นก็รอไปคุยกับทนายของฉันก็แล้วกัน!”
พอพูดสิ่งเหล่านี้จบไปเหมยเหมยถึงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง เพียงไม่นานก็มีคนจำนวนมากเข้ามาคอมเมนต์ใต้โพสต์ของเธอ บ้างก็เป็นห่วง บ้างก็ดูเพื่อความสนุก บ้างก็เป็นสายเผือก…
ฉีฉีเก๋อเองก็ไม่อยู่เฉยเช่นกัน เธอเปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองแล้วก็เข้าไปที่หน้าเพจกระทู้ของมหาวิทยาลัย อันดับแรกเลยคือการกดแอดฮวาจิงหลิง
ฉ่าวหยวนเก๋อซางฮวา[1] “ฉันเป็นเพื่อนสนิทกับจ้าวเหมย คู่หมั้นของเธอฉันเองก็เคยเจอมาหลายครั้งแล้ว ทั้ง ๆที่พวกเขาเป็นคู่หมั่นกันแต่พอมาถึงปากเธอทำไมถึงกลายเป็นมือที่สามไปได้ล่ะ? เธอนี่มันน่าสะอิดสะเอียนเสียจริง!”
จากนั้นเธอก็รีบไปตอบกลับยังใต้โพสต์ของเหมยเหมย
“ฉันคือรูมเมทและเพื่อนของเหมยเหมย ชื่อว่าฉีฉีเก๋อ ฉันขอสาบานต่อฟ้าดินว่าจ้าวเหมยไม่มีทางเป็นมือที่สามอย่างแน่นอน เธอกับคู่หมั้นรักกันจริง ความสัมพันธ์ดีจนเพื่อนอย่างพวกฉันยังอิจฉา หากฉันพูดปดแม้แต่คำเดียวก็ขอให้ฉันถูกฟ้าผ่าจนตายไปเลย!”
พอเหมยเหมยเห็นคอมเมนต์ของฉีฉีเก๋อก็หลุดขำออกมาและรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ ถึงขนาดบอกชื่อจริงไปหมดเลย และยังให้คำมั่นสาบานอย่างหนักแน่นอีก ช่างเป็นผู้หญิงซื่อบื้อเสียเหลือเกิน!
แต่คอมเมนต์ของฉีฉีเก๋อกลับเป็นผลมาก แม้ว่าทุกคนจะเป็นนักศึกษาชั้นแนวหน้าที่มีการศึกษาสูงแต่ยังคงยำเกรงต่อผีสางเทวดา ถ้าไม่ถึงที่สุดจริง ๆคงไม่มีใครสาบานโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุหรอก ฉีฉีเก๋อกล้าพูดออกมาแบบนี้ความน่าเชื่อถือจึงดูศักดิ์สิทธิ์มาก คนจำนวนมากจึงเชื่อเธอ
“ฉันก็คิดว่าดาวมหาวิทยาลัยไม่มีทางเป็นมือที่สามแน่นอน ก็เหมือนอย่างที่เธอพูดว่าเธอมีทั้งพรสวรรค์ ทั้งหน้าตาดี ทั้งมีความสามารถ ซ้ำยังเป็นครอบครัวชนชั้นสูง มีแต่คนสมองเพี้ยนเท่านั้นแหละที่จะไปเป็นมือที่สามได้!”
ในที่สุดก็มีคนฉลาดโผล่มาสักที ใต้คอมเมนต์ของฉีฉีเก๋อเริ่มมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นไม่น้อย ทุกคนล้วนแสดงออกในแง่ที่ว่าไม่เชื่อว่าจ้าวเหมยจะเป็นมือที่สาม กระทั่งมีคนหยิบยกสวีจื่อเซวียนขึ้นมาเปรียบเทียบ
“เด็กผู้หญิงที่จะเป็นมือที่สามส่วนมากจะมาจากครอบครัวยากไร้ แถมยังลุ่มหลงในเกียรติยศอันจอมปลอม อย่างเช่นนักเรียนบางคนที่กระโดดตึกลงมาก่อนหน้านั้น คนที่มีภูมิหลังครอบครัวดีอย่างจ้าวเหมย หนำซ้ำยังเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงอีก จุดเริ่มต้นของตัวเองก็สูงมากแล้ว ใจจริงคงไม่มีทางหลงผิดไปเป็นมือที่สามได้หรอก ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเจ้าชายก็ไม่มีทางหลงผิด!”
นักศึกษาคนนี้มีชื่อว่าหวงซานหวงซง เหมยเหมยเห็นแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าเป็นฉางชิงซง และก่อนหน้ามีอยู่คนหนึ่งชื่ออูกุยต้าเสีย ซึ่งเธอมั่นใจได้ว่าต้องเป็นอิงจวี้กังแน่นอนเพราะเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเป็นคนตั้งชื่อบนอินเทอร์เน็ตว่าอูกุยต้าเสียให้
เหมยเหมยรู้สึกอบอุ่นใจเหลือเกิน ความจริงใจนั้นพบหาได้ในยามทุกข์ยาก ใครที่เป็นเพื่อนแท้ใครที่เป็นเพื่อนจอมปลอมจะดูออกก็ตอนเผชิญเรื่องทุกข์ยากนี่แหละ
คนอื่น ๆที่เป็นกลุ่มสายเผือกก็นับว่าไม่เลว แต่ที่น่าโมโหที่สุดคือพวกที่ชอบพูดตัดกำลังใจอย่างคนประเภทสีอันน่า
เหมยเหมยเห็นคอมเมนต์คนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่าเจ้าหญิงอันน่านานแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้พูดจาร้ายกาจอะไร แต่กลับพูดจาเสี้ยมคนในกลุ่มในทำนองเหมือนจะใช่แต่ความจริงก็ไม่ใช่ อย่างเช่นว่า
“โฮ้ นึกไม่ถึงเลยว่าดาวมหาวิทยาลัยจะเป็นคนแบบนี้ คนเราตัดสินกันที่หน้าตาไม่ได้จริง ๆ!” หรืออย่างเช่นว่า “เป็นมือที่สามนี่มันน่ากลัวจริง ๆ ถ้าหากว่านี่เป็นเรื่องจริงไม่เข้าใจเลยว่าดาวมหาวิทยาลัยจะทำแบบนั้นไปทำไมกัน!”
คำพูดที่ดูคลุมเครือเหมือนจะใช่แต่ความจริงนั้นไม่ใช่เหล่านี้ คนที่ชื่อเจ้าหญิงอันน่าพูดไว้เยอะมาก ดูผิวเผินเหมือนจะเป็นกลุ่มสายเผือกที่ไม่มีความผิดอะไร แต่ในความเป็นจริงกลับชอบเสี้ยมให้เกิดเรื่องวุ่นวาย โพสต์คำพูดก่อกวนในกระทู้จนเละเทะวุ่นวายไปหมด
…………………………………………………………….
[1] ชื่อของฉีฉีเก๋อ (บนอินเทอร์เน็ต)
ตอนที่ 1934 ไม่แยกแยะถูกผิด แต่กลับทำเรื่องย่ำแย่กว่าเดิม
จะว่าไปสีอันน่านี่ก็ฉลาดเป็นกรด คิดว่าคนอื่นไม่รู้ว่าเจ้าหญิงอันน่าเป็นตัวเธองั้นเหรอ?
เหมยเหมยเหลือบหางตามองสีอันน่าที่ใจจดใจจ่อกับการเล่นคอมพิวเตอร์ แล้วก็เห็นว่าสองนาทีก่อนเจ้าหญิงอันน่าได้ตอบกลับคอมเมนต์อีกครั้ง และในตอนนั้นเธอก็กลับมาถึงหอพักแล้ว ยัยสีอันน่าเห็นว่าเธอโง่หรือไง!
พูดจาให้ร้ายเธอต่อหน้าเธองั้นเหรอ หึ!
ถ้าเธอไม่แสดงอะไรออกมาบ้างก็คงโง่จริง ๆแล้ว!
เหมยเหมยหยัดกายลุกขึ้นด้วยความเงียบแล้วเดินย่องไปอยู่ด้านหลังสีอันน่า พร้อมกลั้นลมหายใจพลางมองสีอันน่ากดคีบอร์ดอยู่เงียบ ๆ
“ทั้งหมดที่จ้าวเหมยเธอพูดเป็นความจริงเหรอ? ถ้าภูมิหลังครอบครัวของเธอดีขนาดนั้น แล้วทำไมยังคิดที่จะเป็นมือที่สามอีกล่ะ? นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ!”
สีอันน่ากดคีบอร์ดด้วยท่าทีกระปรี้กระเปร่าและคุยอย่างออกรสออกชาติ ความรู้สึกที่ได้ส่อเสียดคนอื่นบนอินเทอร์เน็ตมันช่างกระปรี้กระเปร่าเหมือนได้สูบกัญชาเลยจริง ๆ
โลกโซเชียลได้สร้างหน้ากากที่สมบูรณ์แบบให้กับเธอ เธอสามารถใช้คำหยาบได้อย่างอิสระ ส่อเสียดเพื่อนรอบตัวเธอ โดยไม่รู้สึกถึงภาระทางจิตใจเลยสักนิด แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนจับได้ ความรู้สึกแบบนี้มันสนุกสุด ๆไปเลย!
สีอันน่ากำลังดื่มด่ำอยู่กับความสุข โดยไม่ทันสังเกตเหมยเหมยที่อยู่ข้างตัว เธอยังคงพยายามกวนน้ำให้ขุ่นต่อไป
ฮวาจิงหลิงที่พึ่งหายตัวไปก็ปรากฏตัวขึ้นมา เขาตอบกลับสีอันน่าโดยตรง “เป็นมือที่สามกับสถานภาพภูมิหลังของครอบครัวไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย ผู้หญิงบางคนคิดทำชั่วมาตั้งแต่เกิด เธอมักชอบแย่งสามีของคนอื่น เสพสุขความสำเร็จที่อยู่ในนั้น บางทีจ้าวเหมยอาจจะเป็นผู้หญิงประเภทนั้นก็ได้!”
สีอันน่าสูดหายใจเข้าเต็มปอดรู้สึกสนุกขีดสุด เธอรีบตอบกลับ “เอ๊ะ ไม่นึกเลยว่าบนโลกนี้จะมีผู้หญิงที่น่ากลัวขนาดนี้อยู่ หรือว่าเธอคึกคะนองปล่อย…ตัวจนเป็นนิสัย? ดูไม่ออกเลยจริง ๆนะ!”
ฮวาจิงหลิง “รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ บางคนภายนอกดูใสซื่อไร้เดียงสา แต่ความเป็นจริงกลับเป็นตัวสำส่อน!”
สีอันน่าหมายจะตอบกลับ ‘เธอพูดถูก’ เหมยเหมยที่โมโหสุดขีดค่อย ๆเอ่ยขึ้นว่า “ฉันไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจตอนไหน? คำพูดพวกนี้ทำไมเธอไม่พูดต่อหน้าฉันล่ะ?”
“เพล้ง!”
สีอันน่าตกใจจนปัดแก้วชาบนโต๊ะหล่นตกพื้นแตกกระจาย น้ำชากระเซ็นไปทั่ว เธอรีบหันกลับมามองเหมยเหมยด้วยใบหน้าซีดเผือดเหมือนกับเห็นผี สมองพลันขาดออกซิเจน นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ
“เธอ…เธอ…เธอมาได้ไงเนี่ย…” พูดลิ้นพันกัน
“ถ้าฉันไม่เข้ามาดูคงไม่รู้เลยว่าข้างกายฉันมีเพื่อนที่ดีแบบเธออยู่!”
เหมยเหมยเน้นเสียงคำว่าเพื่อนที่ดี แววตาพลันเย็นชา แช่แข็งสีอันน่าจนฟันซี่บนล่างกระทบกันเสียงดังกึกๆ
“เธอ…เธอฟังฉันพูดก่อน มันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอเห็น ฉันไม่ใช่เจ้าหญิงอันน่านั่น ฉันแค่เข้าดูกระทู้เฉย ๆ…”
พูดจาให้ร้ายผู้อื่นลับหลังแต่กลับถูกจับได้ สีอันน่าลนลานเข้าให้แล้ว ตอนนี้ไม่ได้ปากคอเราะรายเหมือนเมื่อก่อน พูดจาตะกุกตะกักสารภาพออกมาเองโดยไม่มีใครบังคับ อยากปกปิดแต่กลับกลายเป็นเผยไต๋เสียแล้ว
เหมยเหมยพูดขึ้นอย่างเย็นชา “เจ้าหญิงอันน่าเป็นใคร? เขาพูดอะไรบ้างเหรอ?”
เธอแย่งเม้าส์ในมือของสีอันน่ามาแล้วคลิกขยับเลื่อนหน้าจอ คอมเมนต์ไม่กี่อันที่สีอันน่าเคยตอบกลับไปก่อนหน้านั้นปรากฏอยู่ตรงหน้าเธออย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้สีอันน่าคอมเมนต์ถากถางสะใจมากเท่าไหนตอนนี้กลับรู้สึกอึดอัดใจมากเท่านั้น
เธอหวังอยากจะให้มีหลุมดำหนึ่งโผล่ขึ้นมาพอที่จะทำให้เธอมุดเขาไปได้โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับเหมยเหมยอีก
“จ้าวเหมย…เธอฟังฉันอธิบายนะ ฉันแค่อยากช่วยเธอหลอกล่อคำพูดของฮวาจิงหลิงเลยจงใจพูดออกไปแบบนั้น ฉันคือสายลับ จริง ๆนะ เธอต้องเชื่อฉันสิ ฉันกับเธอเป็นเพื่อนสนิทกัน ฉันจะพูดจาแบบนั้นกับเธอได้ไงล่ะ? ฉันแค่จงใจพูดออกไปแบบนั้น…”
สีอันน่าดูสงบขึ้นมาบ้างแล้วรีบร้อนแก้ต่างให้ตัวเอง ดูมีเหตุมีผลแต่ถ้าเหมยเหมยเชื่อก็คงบ้าแล้ว!
…………………………………………………..
ตอนที่ 1935 ตีสองหน้าแทงข้างหลัง
เหมยเหมยมองสีอันน่าด้วยสายตาเหยียดหยาม “เธอช่างลำบากจริง ๆ ฉันจำเป็นต้องขอบคุณเธอด้วยหรือเปล่านะ?”
สีอันน่าคิดว่าเธอเชื่อคำพูดของตัวเองแล้วจึงโล่งใจไปเปราะหนึ่ง ฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก ๆ เราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่นา ระหว่างคำว่าเพื่อนแล้วต้องคอยช่วยเหลือกัน ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก!”
“จะไม่ให้ขอบคุณได้ไง ฉันต้องขอบคุณเธอหน่อยสิ!”
เหมยเหมยกัดฟันพูดออกมา สีอันน่ายังไม่ทันตั้งตัวใบหน้าก็ถูกตบเข้าอย่างจังจนหน้าหันไปอีกทาง ในหูมีเสียงดังวิ้ง ๆ เลือดซึมออกมาข้างมุมปาก เพียงแค่ครู่เดียวครึ่งหน้าของเธอก็บวมเปล่งจนเหมือนกับหัวหมู
“จ้าวเหมยเธอตบฉันทำไม?”
สีอันน่ากุมหน้าข้างหนึ่งไว้มองเหมยเหมยอย่างหวาดระแวง ทั้งหวาดกลัว แถมยังโกรธและโมโหด้วย
โตจนมาถึงตอนนี้เธอเพิ่งจะเคยโดนตบหน้าเป็นครั้งแรก ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าการโดนตบครั้งแรกของเธอจะเป็นจ้าวเหมยที่ได้ไป!
โหดร้ายจัง!
เหมยเหมยสะบัดมือที่เจ็บชาและร้อนที่ฝ่ามือ แต่เธอกลับคิดว่าตบเบาไป เธอขยับมืออีกข้างพลางพูดเสียงเย็นชาขึ้นว่า “นี่ฉันก็กำลังขอบคุณเธออยู่ไม่ใช่หรือไง?”
พอพูดจบเหมยเหมยก็สะบัดมือตบหน้าอีกฝั่งของสีอันน่าอย่างแรงอีกครั้งด้วยเสียงดังลั่น ใบหน้าทั้งสองข้างของสีอันน่าเท่ากันเสียที จากเดิมที่ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือตอนนี้กลับขยายใหญ่ขึ้นมาสามเท่า เห็นแล้วช่างตลกเหลือเกิน
“จ้าวเหมย…มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”
สีอันน่าไม่ได้มีท่าทียินยอมให้ตบอย่างแน่นอน เธอเอื้อมมือคว้าอัลบั้มภาพขอบแข็งหนา ๆบนโต๊ะขึ้นมา ถ้าฟาดโดนตัวต้องเจ็บเหมือนก้อนอิฐแน่ เธอเหวี่ยงอัลบั้มภาพจนปลิวไปทางเหมยเหมย
เหมยเหมยปลีกตัวหลบอย่างรวดเร็ว ตอนแรกหมายจะตบแค่สองครั้งให้หายโมโห แต่ไม่นึกเลยว่ายัยนี่จะเอาคืน ถ้างั้นก็อย่าหาว่าเธอใจร้ายแล้วกัน!
“ใครกันแน่ที่ทำเกินไป? ฉันกับเธอเป็นรูมเมทกัน ถึงปกติจะไม่ค่อยได้คุยกันแต่การที่ฉันเป็นมือที่สามหรือไม่เธอรู้ดีอยู่แก่ใจไม่ใช่เหรอ? เธอพูดจาคลุมเครือแบบนั้นบนอินเทอร์เน็ตจิตใจทำด้วยอะไรฮะ? ทำไมฉันถึงมองไม่ออกว่าเธอเป็นพวกหน้าไว้หลังหลอกกันนะ!”
เหมยเหมยเก็บอัลบั้มภาพบนพื้นขึ้นมาโยนใส่สีอันน่าโดยไม่แม้แต่จะคิด เธอโมโหแล้วจริง ๆ เธอเกลียดที่สุดคือพวกหมาลอบกัด
“โอ๊ย…จ้าวเหมยหยุดเดี๋ยวนี้นะ…หยุดตบตีฉันเถอะ…”
เหมยเหมยคว้าหมับเข้าที่ผมยาว ๆของสีอันน่าแล้วขึ้นคร่อมบนตัวเธอพร้อมกับยกอัลบั้มภาพทุบหน้าเธอโดยไม่เห็นใจเลยสักนิด จัดการกับพวกคนชั่วช้าแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ แค่พุ่งเข้าไปตบก็สิ้นเรื่องแล้ว!
“แกมันหน้าไหว้หลังหลอก ลอบกัดฉัน…ยังมีหน้ามาพูดอีกว่าตัวเองคือเจ้าหญิงอันน่า ถุย แกมันก็เป็นได้แค่พวกคนชั้นต่ำเท่านั้นแหละ…”
เหมยเหมยเอ่ยพลางตบตี ยัยชั่วฮวาจิงหลิงนั่นยังไม่เจอตัว งั้นขอระบายอารมณ์กับยัยสีอันน่านี่ก่อนแล้วกัน!
ฉีฉีเก๋อเพิ่งตอบคอมเมนต์เสร็จก็เห็นเหมยเหมยกับสีอันน่าตบตีกัน พอได้ยินคำพูดของเหมยเหมยเธอก็รีบเข้าไปดูหน้ากระทู้อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าสีอันน่าพูดจาแบบนั้นความโมโหก็ปะทุขึ้นมาทันที
“สีอันน่าเธอยังเป็นคนอยู่ไหม พวกเราอยู่ห้องนอนเดียวกันนะ เหมยเหมยเป็นคนอย่างไรเธอยังไม่รู้อีกเหรอ? เธอจงใจพูดจาแบบนั้นมันน่าสะอิดสะเอียดเสียยิ่งกว่ายัยฮวาจิงหลิงนั่นอีก!”
ฉีฉีเก๋อโมโหจนยกเท้ากระทืบสะโพกของสีอันน่าอย่างแรง สีอันน่าไม่มีโอกาสได้เอาคืนเลย โดนเหมยเหมยตบตีจนต้องนอนหอบอยู่บนพื้น น้ำมูกน้ำตาเลือดผสมเปรอะเปื้อนอยู่บนใบหน้า ช่างน่าสงสารเหลือเกิน
เด็กห้องอื่นได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากทางฝั่งนี้ก็รีบวิ่งกรูเข้ามาห้ามทัพ พอได้ฟังฉีฉีเก๋อพูดที่มาที่ไปแล้วพวกเธอก็ต่างดูแคลนต่อการกระทำของสีอันน่า
คนที่หาเรื่องต่อหน้าไม่น่ากลัวเลยสักนิดจะกลัวก็แต่ประเภทเดียวกับสีอันน่า ต่อหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแต่ลับหลังกลับเป็นพวกชั่วช้าแทงข้างหลัง น่ากลัวเสียยิ่งกว่างูเห่าอีก!
“จ้าวเหมย พวกเธอหยุดทะเลาะกันเถอะนะ ศาสตราจารย์เหยียนโพสต์ข้อความแล้ว!” มีคนตะโกนขึ้น
ตอนที่ 1936 เหยียนซินหย่าปกป้องลูกสาว
นักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนข้างห้องกำลังยืนอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์ของฉีฉีเก๋อจึงโพล่งตะโกนขึ้นมา
เหมยเหมยรีบปล่อยตัวสีอันน่าที่ขยับตัวไม่ได้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เธอคาดไม่ถึงว่าแม้แต่เหยียนซินหย่าจะปั่นป่วนไปด้วย ช่วงนี้เหยียนซินหย่ามัวแต่ยุ่งอยู่กับการเตรียมงานนิทรรศการภาพวาด แม้แต่คาบสอนในมหาวิทยาลัยก็แทบจะไม่เข้าสอน แต่ตอนนี้กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไม่รู้ว่าเหยียนซินหย่าจะโกรธมากขนาดไหน!
ยัยบ้าฮวาจิงหลิง อย่าให้ฉันหาตัวเจอนะ ฉันไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่!
ถือเป็นเรื่องบังเอิญของเหยียนซินหย่าเพราะวันนี้กลับมาทำธุระเล็ก ๆน้อย ๆในมหาวิทยาลัยพอดี และดันมีอาจารย์เข้ามาพูดเรื่องนี้กับเธอ หลังจากที่เหยียนซินหย่าได้เห็นโพสต์นั้นก็โมโหแทบบ้า เธอเห็นแค่แวบเดียวก็รู้ได้ว่าผู้ชายในรูปคือเหยียนหมิงซุ่น
แม้เธอจะไม่ค่อยพอใจต่อการกระทำที่เหยียนหมิงซุ่นจูบลูกสาวเธอต่อหน้าสาธารณะชน แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาในครอบครัวไว้ค่อยคุยกันทีหลังได้ ตอนนี้ต้องแก้ไขปัญหาภายนอกเสียก่อน
นึกไม่ถึงเลยว่าจะกล้าใส่ร้ายลูกสาวเธอว่าเป็นมือที่สาม มีอย่างที่ไหนกัน ไม่เห็นหัวของคนเป็นแม่อย่างเธอเลยหรือไง?
เหยียนซินหย่าไม่มีความชำนาญด้านการใช้คอมพิวเตอร์ เธอจึงขอให้อาจารย์วัยรุ่นคนหนึ่งช่วยตอบคอมเมนต์ให้
“ฉันคือเหยียนซินหย่าเป็นศาสตราจารย์ของคณะศิลปกรรมศาสตร์ แล้วก็เป็นแม่แท้ ๆของจ้าวเหมย ไม่ใช่ว่าฉันชื่นชมลูกสาวตัวเองนะ เธอเป็นคนว่านอนสอนง่ายตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนหรือการใช้ชีวิต รวมทั้งด้านความรัก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยทำให้ฉันกับพ่อของเธอต้องกังวลใจมาก่อน ผู้ชายในรูปฉันรู้จักเขาดีเพราะเขาคือลูกเขยในอนาคตของฉัน
เขากำลังคบหาดูใจกับลูกสาวของฉันจริง พวกเขารักกันมาเกือบสิบปีแล้วและหมั้นหมายกันแล้วด้วย พอเรียนจบก็จะจัดงานแต่งงานกันทันที นี่คือสิ่งที่ฉันกับพ่อของเหมยเหมยและบรรดาผู้อาวุโสของฝ่ายชายต่างยินดีกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น พวกเราไว้วางใจที่จะยกลูกสาวให้กับผู้ชายคนนี้ และฉันก็รู้แก่ใจดีว่าผู้ชายคนนี้มีภรรยาหรือยัง
ฉันขอประกาศให้ทุกคนทราบ ณ ที่นี้ว่าลูกสาวของฉันไม่ใช่มือที่สามอย่างแน่นอน และเธอก็ไม่มีทางไปเป็นมือที่สามเด็ดขาด เพราะลูกสาวของฉันเก่งกาจขนาดนี้ เธอไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปทำอาชีพที่น่าดูถูกเช่นนั้นแน่นอน
หากยังมีกระทู้ใส่ร้ายลูกสาวของฉันอีก เช่นนั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ รอหมายศาลจากทนายของฉันได้เลย!”
เหยียนซินหย่าเปลี่ยนภาพลักษณ์อันแสนอ่อนโยนที่เคยมีต่อหน้านักศึกษาไปจนสิ้น วาจาฉะฉานและไม่ไว้หน้าเลยสักนิด
แต่ไม่มีใครคิดว่าเธอทำเกินกว่าเหตุเพราะเธอคือแม่คนหนึ่ง เพื่อปกป้องชื่อเสียงของลูกสาวตนเองเธอสามารถแปลงกายเป็นนักสู้ได้เสมอ!
“ว้าว ศาสตราจารย์เหยียนสุดยอดไปเลย!” มีคนตกตะลึง อิจฉาริษยา เธอเองก็อยากจะมีแม่ที่สวยและมีสถานะเหมือนกับศาสตราจารย์เหยียนบ้าง แถมยังเป็นแม่ที่คอยปกป้องลูกสาวอีกต่างหาก!
ประเด็นมุมมองของบางคนกลับแตกต่างกัน “ศาสตราจารย์เหยียนหัวสมัยใหม่จัง จ้าวเหมยกับคู่หมั้นจูบกันต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้นยังไม่ว่าสักคำเลย!”
อิจฉาจัง!
หากเป็นแม่ของเธอคงไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องจูบหรอก แค่จูงมือกับผู้ชายก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว ผู้ชายหน้าไหนจะกล้าเข้ามาจีบเธอล่ะ?
จนถึงปีสามแล้วเธอก็ยังโสดอยู่เลย นั่นเพราะตัวถ่วงอย่างแม่เธอไงล่ะ!
เศร้าใจจัง!
เหมยเหมยยกยิ้มที่มุกปากและไม่ได้รู้สึกโกรธเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว เหยียนซินหย่ายังพูดง่ายหน่อย แต่ที่เธอกังวลคือจ้าวอิงหัว ขอให้ตอนนี้พ่อของเธอยังทำงานอยู่ต่างประเทศ อย่าได้เห็นภาพถ่ายใบนั้นไปตลอดชีวิต!
มิฉะนั้นอย่าได้หวังว่าปีนี้เธอจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกเลย!
ตอนแรกเหมยเหมยกะจะสั่งสอนสีอันน่าอีกสักหน่อยแต่โทรศัพท์ในหอพักดังขึ้นเสียก่อน คนที่โทรเข้ามาคือเหยียนซินหย่า เธอบอกให้เหมยเหมยรีบกลับบ้าน คิด ๆดูแล้วต้องเป็นเรื่องโพสต์นั้นแน่ ๆเลย!
เธอปิดคอมพิวเตอร์และให้ฉีฉีเก๋อคอยจับตาดูสถานการณ์ในกระทู้ไว้ ตัวเธอจึงรีบกลับบ้านด้วยท่าทีหนักใจ
ทำไมตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองแอบคบผู้ชายอยู่นอกบ้านแล้วถูกพ่อแม่จับได้เลยนะ?
…………………………………………………
ตอนที่ 1937 มักมีแต่คนชั่วคิดร้ายกับฉัน
โพสต์ที่เหยียนซินหย่าลงนั้นมีประโยชน์มาก ในเมื่อคนเป็นแม่ออกมาพูดความน่าเชื่อถือก็สูงไม่น้อย นอกจากนี้พวกสายเผือกก็คิดว่าจากภูมิหลังครอบครัวของดาวมหาวิทยาลัย เหยียนซินหย่าและพรสวรรค์ คงไม่โง่เง่าหลงผิดคิดไปเป็นมือที่สามได้หรอก!
ดาวมหาวิทยาลัยก็พูดแล้วถ้าจะกล่าวหาว่าเธอเป็นมือที่สามต้องเอาหลักฐานมาแสดงด้วย แต่ยัยฮวาจิงหลิงนั่นเอาแต่กล่าวหาลอย ๆไม่มีหลักฐานอะไร ความน่าเชื่อถือจึงต่ำมาก ในความเป็นจริงแม้ว่าเหมยเหมยกับเหยียนซินหย่าจะไม่ออกมาพูดก็ยังมีนักศึกษาหลายคนที่มีสติและไม่มีทางเชื่อเรื่องพวกนี้แน่นอน
อย่างไรเสียนักศึกษาที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้ ไอคิวและอีคิวต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
เหตุที่กระทู้แทบแตกเช่นนั้นความจริงเป็นเพราะมีคนประเภทแบบสีอันน่าอยู่เยอะ พอตัวเองมีก็ไปเหยียดหยามเขาแต่พอตัวเองไม่มีก็ไปแซะเขา หวังแต่จะให้ผู้อื่นโชคร้ายแล้วเหยียบซ้ำ
สีอันน่านอนสะอื้นไห้อยู่บนพื้นแต่ไม่มีใครสนใจเธอเลย เดิมทีนิสัยของเธอก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็ยิ่งทำให้คนอื่นพาลแต่จะรังเกียจ ทุกคนต่างก็อยากอยู่ให้ห่างจากคนชั่ว คลุกคลีให้น้อยจะเป็นการดีที่สุด ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักวันที่เธอจะแอบแทงข้างหลังก็ได้
ฮวาจิงหลิงออกมาพูดอะไรอีกเล็กน้อยแต่ตอนนี้กลับไม่มีใครสนใจเธออีก ตัวหล่อนเองก็คงคิดว่าหมดสนุกแล้วจึงค่อย ๆหายไปจนกระทู้เงียบสงบไปชั่วคราว
เหมยเหมยกลับบ้านด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวน เหยียนซินหย่าอยู่บ้านคนเดียว จ้าวอิงหัวไม่อยู่ เธอจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
คุณแม่รับมือง่ายกว่าคุณพ่อเยอะ ออดอ้อนสักหน่อยก็จบ
เหยียนซินหย่าสีหน้าไม่สู้ดี พอเห็นเหมยเหมยก็ไม่ได้มีท่าทียิ้มต้อนรับเหมือนอย่างเคย นั่งกอดอกพลางเชิดคางเล็กน้อย บ่งบอกให้เธอเข้ามาใกล้อีกหน่อย
“แม่คะ…”เหมยเหมยลากเสียงยาวคิดจะออดอ้อน
“พูดให้มันดี ๆหน่อย ยืนดี ๆเลย” แต่วันนี้เหยียนซินหย่ากลับไม่หลงกลเธอ ไม่แม้แต่จะยอมให้เธอนั่งด้วย
เหมยเหมยเบะปาก “เรื่องนี้โทษหนูไม่ได้นะ ใครจะไปรู้ละว่าจะมีคนแอบถ่าย หนูแค่ไปเต้นรำกับพี่หมิงซุ่นเท่านั้นเอง ลูกสาวของแม่เก่งเกินไปเลยมีแต่พวกชั่วช้าแอบลอบกัด หนูเป็นผู้ถูกกระทำนะ…”
เหยียนซินหย่าอมยิ้มที่มุมปากฝืนอยู่นานเพื่อไม่ให้หลุดขำ ตอนนี้กำลังอบรมลูกสาวอยู่จึงต้องวางท่าเคร่งขรึมหน่อย โชคดีที่เรื่องนี้มีแค่เธอรู้ หากจ้าวอิงหัวรู้เข้าไม่รู้เลยว่าจะวุ่นวายขนาดไหน
“แม่ไม่ให้ลูกเต้นหรือไง? เต้นก็ส่วนเต้น ใครให้พวกเธอจูบกันล่ะแถมยังอยู่ต่อหน้าคนมากมายอีก ทำไมถึงได้หน้าหนาขนาดนี้ นี่ยังรู้จักยางอายอยู่อีกไหม?”
เหยียนซินหย่าหน้าร้อนผ่าว เธอเป็นจิตรกรที่มีความคิดความอ่านไปไกลแต่ถึงอย่างไรก็ได้รับการเลี้ยงดูมาด้วยขนบธรรมเนียมของฮวาเซี่ย เธอจึงไม่เข้าใจการแสดงความรักและการจูบต่อหน้าสาธารณะชนจริง ๆ รวมทั้งการกระทำที่ร้อนแรงกว่านั้น เพราะเธอรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความสุขภายในห้องส่วนตัวและจำเป็นต้องปฏิบัติภายในห้องเท่านั้น แสดงออกต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนั้นมันเข้าท่าที่ไหน?
แต่ตอนนี้คนที่แสดงออกต่อสาธารณะชนคือลูกสาวของเธอเอง!
ความรู้สึกที่ได้เห็นภาพถ่ายในวันนี้ ช่างยากเกินจะบรรยายจริง ๆ
เหมยเหมยเองก็หน้าแดง ตอนจูบไม่ได้รู้สึกอายอะไรแต่พอตอนนี้ถูกคนเป็นแม่ถามแบบนี้ เธอก็พลันรู้สึกอายขึ้นมาทันที เพียงแต่…
ยอมรับผิดงั้นเหรอ?
ไม่มีทางหรอก!
“แม่คะ มุมมองความคิดของแม่นี่ล้าหลังมากเลยนะ หนูกับพี่หมิงซุ่นต่างมีความรู้สึกดี ๆให้กัน พออารมณ์มันไปถึงจุดนั้นก็ต้องจูบกันเป็นธรรมดาใช่ไหมคะ? แม่คะ ถ้าแม่กับพ่อเต้นรำในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ภายใต้บรรยากาศแบบนั้น ไม่แน่ว่าก็อาจจะอดใจไม่ไหวเหมือนกัน”
เหมยเหมยดึงดันจะแถต่อไป แต่ความจริงก็เป็นเช่นนั้นเพราะบรรยากาศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดนี่นา!
เหยียนซินหย่าหน้าร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิมแอบด่าลูกสาวว่าหน้าไม่อายขึ้นทุกวัน พออารมณ์มันไปถึงจุดนั้นก็ต้องจูบกันก็พูดออกมาได้ แต่ทำไมเธอเองก็คิดว่ามันดูมีเหตุผลนะ?
แต่จะให้ลูกสาวรู้ความคิดนี้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นอีกหน่อยคงปรามไม่อยู่กันพอดี!
ตอนที่ 1938 เจอตัวการที่อยู่เบื้องหลังแล้ว
เหยียนซินหย่าทำหน้านิ่งพูดเสียงเย็นชา “แม่ไม่ให้หนูกับเหยียนหมิงซุ่นจูบกันหรือไง? แม่หมายถึงให้ลูกดูสภาพแวดล้อมด้วย พวกเธอจะจูบก็เลือกหาที่ที่ไม่มีคนอยู่ไม่ได้หรือไง? รั้นแต่จะแสดงออกต่อหน้าคนมากมาย ตอนนี้เป็นยังไงล่ะถูกแอบถ่าย แล้วยังมาเจอเรื่องเป็นมือที่สามอีก ลูกดีใจงั้นเหรอ?”
เหมยเหมยมุ่ยปากอย่างอัดอั้นใจ “แม่คะ เรื่องนี้จะโทษหนูได้เหรอ? หนูไม่ได้บอกให้ใครมาแอบถ่ายซะหน่อย เห็นได้ชัดเลยว่าลูกสาวของแม่สวยจนไปที่ไหนก็เป็นจุดสนใจ อีกอย่างมีคำพูดที่ว่าอะไรนะ หากไม่ดึงดูดผู้คนก็กลัวเป็นหมี[1] หรือว่าแม่อยากมีลูกสาวเป็นหมี?”
เหยียนซินหย่าหลุดขำ “แม่พูดประโยคเดียวลูกตอบกลับสิบประโยค? แม่เถียงสู้ลูกไม่ได้หรอก งั้นไม่พูดด้วยแล้ว ครั้งหน้าให้พ่อมาพูดกับลูกเองแล้วกัน”
เหมยเหมยตกใจจนแทบแย่ สองขารีบก้าวเข้าไปบีบนวดไหล่เหยียนซินหย่าแล้วพูดเกลี้ยกล่อมเธอ “แม่คะ พ่องานยุ่งขนาดนั้น แม่ก็อย่าเอาเรื่องพวกนี้ไปรบกวนท่านเลย แม่ไม่คิดจะสงสารสามีตัวเองบ้างเหรอ? หนูยังสงสารพ่อเลยนะ!”
ความจริงเหยียนซินหย่าหายโกรธนานแล้ว เรื่องนี้คงไม่อาจโทษลูกสาวเธอได้ เธอเองก็เคยผ่านช่วงวัยรุ่นมาก่อน ตอนที่คบหาดูใจกับจ้าวอิงหัว ถ้าไม่ใช่เพราะยุคสมัยนั้นเข้มงวด นิสัยชอบลวนลามอย่างจ้าวอิงหัว ไม่แน่ว่าอาจจะทำมากว่าเหยียนหมิงซุ่นด้วยซ้ำ
พอได้ฟังบทเพลงที่อบอวลด้วยความรัก เต้นรำในบรรยากาศสลัว การจูบจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้
อีกอย่างเหมยเหมยและเหยียนหมิงซุ่นก็เป็นสามีภรรยากันอย่างชอบธรรม การจูบเป็นสิ่งที่ปกติเสียยิ่งกว่าอะไร
เธอโกรธที่พวกคนใจอกุศลนั้นใส่ร้ายลูกสาวเธอ และยังเอาเรื่องรูปมาก่อเรื่องอีก
“ถ้าหนูสงสารพ่อจริง ๆก็อย่าสร้างเรื่องวุ่นวายให้มากนัก ต่อไปนี้ถ้าอยากจะจูบกับเหยียนหมิงซุ่นก็หาที่ลับตาคนหน่อย อย่าทำอะไรที่มันประเจิดประเจ้อเกินไป เราอยู่คือฮวาเซี่ยไม่ใช่ยุโรปหรืออเมริกา เรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็สร้างข่าวให้ลูกได้ตลอด!”
เหยียนซินหย่ามองบนใส่ หลับตาลงรับสัมผัสการนวดจากลูกสาวพลางลอบถอนหายใจหลายครั้ง “ไหล่ซ้ายตรงนั้นแรงหน่อย อืม ตรงนั้นแหละ…”
ช่วงนี้วุ่นกับการจัดเตรียมงานนิทรรศการ มือทั้งสองข้างใช้วาดรูปจนแทบแข็ง จ้าวอิงหัวก็ไม่อยู่บ้าน แม้แต่คนนวดไหล่สักคนก็ไม่มี ไม่สบายตัวอยู่พอดีเลย!
“แม่คะ ไหล่แม่แข็งมาก พักผ่อนบ้างนะคะ ระวังพ่อกลับมาจะดุแม่เอานะ” เหมยเหมยพยายามอย่างสุดชีวิต เหนื่อยจนหอบแหก ๆ
เหยียนซินหย่ารู้สึกสงสาร “ช่างเถอะ ไม่ต้องนวดแล้ว เดี๋ยวแม่แช่น้ำอุ่นหน่อยก็ดีขึ้น”
“แม่คะ แม่ลองหาร้านนวดดูสักร้านสิ เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเพื่อนหนูแนะนำร้านนวดให้หนูมาร้านหนึ่ง เห็นบอกว่าแม่เธอมักจะไปนวดไหล่ที่นั่นบ่อย ๆ ผลลัพธ์ใช้ได้เลย ไม่งั้นแม่ลองไปดูไหม?” เหมยเหมยเกลี้ยกล่อม
เหยียนซินหย่านึกสนใจจึงให้เธอบอกชื่อร้าน พรุ่งนี้ต้องหาเวลาว่างไปนวดเพราะไหล่ตึงจนรู้สึกไม่สบายตัวแล้ว
“รอเดี๋ยวนะคะ หนูโทรถามเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก่อน ก่อนหน้านั้นเธอเคยบอกหนูแต่หนูลืมไปแล้ว”
เหมยเหมยรีบส่งข้อความเข้าเพจของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน ไม่นานเธอก็โทรกลับมา
“ฉันกำลังจะโทรหาเธอพอดีเลย ฉันมีอะไรจะบอก ฉันหายัยชาติชั่วนั่นเจอแล้วนะ เธออยู่ไหนฉันจะได้พูดกับเธอต่อหน้า!” เสียงปรอทแตกของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน ต่อให้กั้นด้วยหูฟังก็ยังสามารถทำให้หูสั่นสะเทือนได้
เหมยเหมยดีใจมาก นึกไม่ถึงเลยว่าประสิทธิภาพของคุณหนูเหริ่นจะสูงขนาดนี้ ผ่านไปยังไม่ทันถึงสองชั่วโมงก็ได้เรื่องแล้ว
“แม่ให้ฉันกลับบ้านน่ะ ฉันถามอะไรเธอหน่อยสิ เธอบอกชื่อร้านนวดที่เธอเคยบอกฉันตอนนั้นมาให้หน่อยสิ ช่วงนี้แม่ฉันปวดไหล่”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนรีบพูดว่า “วางใจได้ ฝีมือของอาจารย์ร้านนวดนั้นดีมาก ๆ อาการไหล่แข็งของแม่ฉันก็ได้รับการรักษาจากเขามาหลายปีแล้ว ฉันจะบอกชื่อร้านให้”
เหมยเหมยจดชื่อร้านไว้แล้วเตรียมตัวกลับมหาวิทยาลัย เหยียนซินหย่าได้ยินเช่นนั้นจึงถามขึ้นว่า “เจอตัวบงการที่อยู่เบื้องหลังแล้วเหรอ?”
…………………………………………….
ตอนที่ 1939 บุคคลที่คาดไม่ถึง
เหมยเหมยตอบไปตามตรง “เชี่ยนเชี่ยนบอกว่าเธอหาตัวยัยชั่วฮวาจิงหลิงเจอแล้ว แม่คะหนูต้องกลับมหาวิทยาลัยก่อน เรื่องนี้แม่ไม่ต้องเป็นห่วง หนูจะจัดการมันเอง”
เธอกำชับอีกว่า “พรุ่งนี้แม่อย่าลืมไปร้านนวดนะคะ เชี่ยนเชี่ยนบอกว่าอาการไหล่อักเสบของแม่เธอดีขึ้นเพราะการรักษาจากหมอนวดที่นั่น แม่บอกไปเลยว่าคุณนายเหริ่นเป็นคนแนะนำมา หมอนวดจะได้ดูแลแม่เป็นอย่างดี”
เหยียนซินหย่ากลอกตามองลูกสาวไปที “ฉันเป็นเด็กสามขวบหรือไงที่ต้องให้มาคอยกำชับ แล้วเรื่องนี้จะจัดการอย่างไร? ให้แม่ติดต่อกับอาจารย์ทางมหาวิทยาลัยไหม?”
“หนูขอดูสถานการณ์ก่อน ดูว่าเธอถูกใครบงการมาหรืออิจฉาหนูจากใจจริง ถึงเวลานั้นถ้าต้องการความช่วยเหลือหนูจะบอกแม่นะคะ”
เหมยเหมยรู้สึกว่ายัยฮวาจิงหลิงนั่นถูกคนอื่นหลอกใช้ ไม่งั้นจะมาหาเรื่องเธอโดยไม่มีที่มาที่ไปได้อย่างไรกัน?
เหยียนซินหย่าเห็นเธอมีท่าทีมั่นใจเต็มเปี่ยมถึงทำให้เธอรู้สึกว่าลูกสาวของเธอเติบโตแล้วจริง ๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะจัดการกับทุกปัญหาด้วยลำแข้งของตัวเอง นอกเหนือจากความชื่นชมแล้วก็ยังมีความรู้สึกเสียดายอยู่
ช่วงเวลาที่เธอได้อยู่กับลูกสาวมันน้อยเกินไปจริง ๆ รู้สึกว่ายังไม่ทันได้อยู่ด้วยกันดี ๆเลย ลูกสาวก็โตขึ้นกลายเป็นนกอินทรีที่พร้อมโบยบินเสียแล้ว!
“มีเรื่องอะไรก็บอกแม่ได้นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาไหน พ่อกับแม่จะคอยเป็นแรงหนุนที่แข็งแกร่งให้ลูกเอง ลูกไม่ได้แบกรับมันอยู่คนเดียวหรอกนะ”
เหยียนซินหย่ายิ้มพลางพูด เหมยเหมยเองก็อมยิ้มขอบตาพลันร้อนผ่าว
ความจริงหลายปีมานี้เธอมองข้ามพ่อแม่และพี่ชายไปเลย ไม่เชิงว่ามองข้ามแต่คงจะเป็นความรู้สึกลึก ๆที่เธอไม่ค่อยชอบพูดอะไรกับคนในครอบครัวมากกว่า บอกแต่เรื่องดี ๆแต่ไม่เคยบอกปัญหาหรือเรื่องทุกข์ใจ พอมีปัญหาส่วนใหญ่ก็แก้ไขด้วยตัวเอง ถ้าแก้ไขไม่ได้จริง ๆก็จะให้เหยียนหมิงซุ่นช่วย ไม่เคยนึกถึงพ่อแม่มาก่อนเลย
เธอเข้าใจว่าทำแบบนี้ถูกต้องแล้ว แต่ดูจากตอนนี้เธอคงคิดผิด
บางครั้งการเป็นที่ต้องการก็คือการแสดงความกตัญญูอย่างหนึ่ง!
“ค่ะ ถ้ามีปัญหาหนูจะบอกแม่นะคะ ไม่บอกแม่แล้วหนูจะบอกใครได้ล่ะ!”
เหมยเหมยเดินเข้าไปสวมกอดเหยียนซินหย่าอย่างอดไม่ได้ กอดอยู่สักพักถึงค่อยผละออกและขอตัวลาไปมหาวิทยาลัย
เหยียนซินหย่ายิ้มพลางส่ายหน้าแล้วไปที่สตูดิโอเพื่อทำงานต่อ เธอไม่ได้เก็บเอาเรื่องภาพถ่ายมาใส่ใจอีก ลูกสาวและลูกเขยมีความสามารถขนาดนี้ เธอคงไม่ต้องกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วล่ะ!
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเดินวกไปวนมาอยู่ใต้ตึกอย่างร้อนใจ ฉีฉีเก๋อก็อยู่ด้วย และยังมีหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่งอยู่ด้วย ซึ่งการแต่งตัวดูทันสมัย น่าจะเป็นเพื่อนของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน
“เธอมาได้สักที ฉันมีอะไรจะบอก…” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเห็นเหมยก็พุ่งพรวดเข้ามาหา
เหมยเหมยมองไปรอบด้านเห็นมีคนพลุกพล่าน เธอจึงพูดว่า “เราไปหาที่นั่งกินข้าวกัน กินไปคุยไป ฉันเลี้ยงเอง”
พวกเธอไปที่ร้านอาหารที่อยู่หลังมหาวิทยาลัยที่มักจะไปอยู่บ่อยครั้ง สั่งให้เถ้าแก่ตั้งหม้อไฟเนื้อวัวและเลือกห้องอาหารส่วนตัว
“ขอแนะนำก่อนนะ นี่เพื่อนของฉันจางเหยา เธอคือรุ่นพี่ปีสี่คณะเรา”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนคีบเนื้อเข้าปาก สีหน้าดูดีขึ้นมาก พร้อมแนะนำเด็กสาวแปลกหน้าข้าง ๆให้เธอรู้จัก
จางเหยาไม่ได้หน้าตาดีเท่าไรแต่รูปร่างผอมสูง บุคลิกดีมาก แถมยังรู้จักแต่งตัว แค่มองก็รู้ว่าเป็นสาวที่รักในแฟชั่น ผู้หญิงแบบนี้ฮอตในหมู่ผู้ชายมาก
“สวัสดีค่ะรุ่นพี่” เหมยเหมยส่งยิ้มให้เธอ ในใจพอจะเข้าใจคร่าว ๆ ดูทรงน่าจะเป็นจางเหยาที่รู้ว่าฮวาจิงหลิงนั่นอยู่ที่ไหน
แท้จริงแล้ว…
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดอย่างเกินจริง “พวกเธอรู้ไหมว่ายัยชั่วฮวานั่นเป็นใคร? พวกเธอต้องคาดไม่ถึงแน่!”
ฉีฉีเก๋อเริ่มรู้สึกรำคาญ “ถ้าพวกเรารู้แล้วจะถามเธอไปทำไม มีอะไรก็รีบพูดมา อย่ามัวแต่ไร้สาระ!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกลอกตามองบนใส่เธอ พูดชื่อคน ๆหนึ่งออกมา “เซียวเวย ดาวมหาวิทยาลัยคนเก่าของมหาวิทยาลัยเรารู้จักไหม?”
…………………………………………………………
[1] หมี หรือหมีดำ เป็นสัญลักษณ์ของความใคร่ในตัวมนุษย์ ซึ่งอยู่เหนือความตื่นเต้นของคนทั่วไป
ตอนที่ 1940 เซียวเวยนั่นเอง
เหมยเหมยใจเต้นไม่เป็นระส่ำ เซียวเวย?
ทำไมถึงเป็นเธอไปได้ล่ะ?
“แน่ใจเหรอว่าเป็นเซียวเวย ไม่ผิดแน่นะ?” เหมยเหมยถาม
เธอไม่อยากจะเชื่อเลยเพราะปกติเธอกับเซียวเวยไม่เคยทักทายกันเลย ไม่นับว่าเป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ ทำไมเซียวเวยต้องใส่ร้ายป้ายสีเธอบนอินเทอร์เน็ตด้วยล่ะ?
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดอย่างมั่นใจ “เธอนั่นแหละ ไม่ผิดแน่ เหยาเหยาเธอพูดสิ”
จางเหยาพยักหน้ารับแล้วพูดว่า “ฉันอยู่หอพักเดียวกับเซียวเวย ปกติเธอจะไม่พักในมหาวิทยาลัย แต่เมื่อคืนเธอกลับนอนค้างที่มหาวิทยาลัยแล้วเล่นคอมอยู่ตลอดเวลา แม้เธอจะบอกว่าเล่นเกมเซียนก็เถอะ แต่ความจริงคือส่องกระทู้”
“แล้วมีหลักฐานอะไรที่รับประกันชัดเจนว่าเธอเป็นฮวาจิงหลิงไหม?” เหมยเหมยถามขึ้นอีก
จางเหยายิ้มพลางพูดว่า “ชื่อบนอินเทอร์เน็ตของเซียวเวยคือฮวาจิงหลิง เพราะในชื่อของเธอมีคำว่าเวย[1] เธอชอบให้คนอื่นเรียกเธอว่าฮวาจิงหลิง เพราะงั้นชื่อบนอินเทอร์เน็ตของเธอก็เลยชื่อนี้ด้วย แต่เธอไม่เคยบอกชื่อบนอินเทอร์เน็ตของเธอให้ใครรู้มาก่อนนะ แต่ฉันเดาเอา”
เหมยเหมยรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ “แค่คาดเดามันไม่มีประโยชน์หรอก ต่อให้พวกเราจะมั่นใจว่าเธอคือฮวาจิงหลิง แต่ไม่มีหลักฐานก็ไม่ได้”
กรณีนี้เหมือกับกรณีการสืบคดีของทางตำรวจ ทุกเรื่องต้องมีหลักฐาน มิฉะนั้นต่อให้คุณรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ฝั่งหน้าคือฆาตกร แต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปจับกุมเขา
จางเหยาพูดขึ้นอย่างเห็นด้วย “นั่นมันก็ใช่ แต่ฉันช่วยพวกเธอได้เท่านี้ แต่ฉันรู้ว่าเซียวเวยตั้งตัวเป็นศัตรูกับจ้าวเหมยมาโดยตลอด ฉันจึงไม่แปลกใจสักนิดที่หล่อนไม่ลงรอยกับเธอ”
“ทำไมล่ะ? เหมยเหมยไม่รู้จักเธอเลยนะ” ฉีฉีเก๋อถามอย่างแปลกใจ
เหมยเหมยรีบอธิบาย “จะบอกว่าไม่รู้จักเลยก็ไม่ใช่ทั้งหมด เคยเจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง จริง ๆแล้วฉันกับหลานสาวของเซียวเวยเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่เพื่อนฉันกับเซียวเวยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไร”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับจางเหยาเป็นคนฉลาด พอได้ฟังเช่นนั้นก็แสดงสีหน้าเข้าใจทันที ภูมิหลังครอบครัวของเซียวเวยไม่ใช่ความลับอะไรในมหาวิทยาลัย ต่อให้คนอื่นไม่ไปถามเธอก็จะพูดมันออกมาเองอย่างห้ามไม่อยู่ เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับจางเหยาคือคนที่มากประสบการณ์ในเมืองหลวง เรื่องราวรักใคร่ชายหญิงของอาจารย์เซียว พวกเธอรู้ดีเสียยิ่งกว่าอะไร
เมียมาก ลูกหลานก็มากตาม ปัญหาที่ตามมาก็ย่อมมาก
ลงรอยกันได้สิแปลก!
“ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ของเพื่อนเธอ เซียวเวยถึงได้คิดจะทำร้ายเธอ!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนคาดเดา
เหมยเหมยคิดว่ามีเหตุผล เซียวเวยกับเซียวเซ่อเป็นคู่อริกัน เธอโดนเกลียดไปด้วยก็มีความเป็นไปได้
แต่เซียวเซ่อกลับอังกฤษไปแล้ว ไม่งั้นเซียวเซ่อก็คงจัดการยัยเซียวเวยนี่ทันที
“ขอบคุณรุ่นพี่ที่ช่วยนะคะ ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรแล้วฉันช่วยได้ รุ่นพี่บอกมาได้เลย ฉันจะช่วยอย่างเต็มที่” เหมยเหมยพูดขอบคุณจางเหยา
ถึงแม้จะไม่ได้หลักฐานมาแต่จางเหยาก็ช่วยชี้เรื่องบุคคลต้องสงสัย ถือว่าช่วยได้มากทีเดียว และเธอก็ชอบนิสัยที่แสนกระฉับกระเฉงของเธอ เด็กผู้หญิงคนนี้ควรค่าแก่การคบหา
จางเหยายิ้มร่าแอบนึกดีใจ เหตุผลหลักที่เธอเลือกจะหักหลังเซียวเวยก็เพื่อต้องการเกาะทองคำแท่งใหญ่แท่งนี้ ฟ้าดินรู้ดีว่าเธออิจฉาเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมาก ในปีนี้ธุรกิจครอบครัวตระกูลเหริ่นดีขึ้นมาก ทั้ง ๆที่เมื่อก่อนเทียบกับตระกูลจางไม่ได้เลย แต่ตอนนี้กลับทิ้งห่างตระกูลจางไปไกลแล้วด้วย!
ก็ไม่ใช่เพราะเกาะทองแท่งใหญ่อย่างจ้าวเหมยไว้แน่นหรอกหรือ!
แน่นอน เธอเองก็ดูแคลนต่อพฤติกรรมชั่วร้ายของเซียวเวยที่เอาแต่แทงข้างหลังด้วย ประจบสอพลอก็ส่วนประจบสอพลอ ความยุติธรรมก็ต้องมีด้วย!
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก เธอคือเพื่อนของเชี่ยนเชี่ยนก็ถือว่าเป็นเพื่อนของฉันไปด้วย เป็นเพื่อนกันก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว คุณธรรมต้องมาก่อน!” จางหยางตีอกชกลมด้วยอารมณ์ฮึกเหิม
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแอบเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง แถมยังรู้จุดประสงค์ของเธออย่างชัดเจนแต่แรกแล้ว หากไม่เห็นแก่ว่าจางเหยานิสัยดี เธอคงไม่มีทางแนะนำให้เหมยเหมยรู้จักหรอก!
…………………………………………………….
ตอนที่ 1941 เห็นแก่ความงามจะให้ส่วนลด 20%
จางเหยามีธุระต่อจึงกลับไปก่อนแล้ว เหมยเหมยก็ไม่มีอารมณ์กินข้าว คิด ๆแล้วก็ตัดสินใจกลับไปให้ลุงเหลาช่วยหาผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหาที่อยู่ IP ของฮวาจิงหลิง แบบนี้ก็จะมีหลักฐานมัดตัวได้แล้ว
“เรื่องนี้ให้ฉันไปจัดการแล้วกัน เพื่อนของฉันคนหนึ่งทำเกี่ยวกับพวกคอมพิวเตอร์ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขาไม่กี่นาทีก็เสร็จแล้ว” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกินจนใบหน้าของเธอแดงเปล่งปลั่ง อารมณ์ดีสดชื่น บอกให้เหมยเหมยวางใจได้เต็มร้อย
ฉีฉีเก๋อได้ยินเช่นนั้นก็งงงวย “ในเมื่อเพื่อนของเธอเก่งขนาดนี้ แล้วทำไมไม่ให้เขาไปจัดการตั้งแต่แรกล่ะ?”
เหมยเหมยก็พยักหน้า ใช่ สำหรับผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์แล้วการตรวจสอบ IP มันง่ายดายราวกับกินอาหารมื้อหนึ่งเท่านั้น แล้วทำไมต้องตรวจสอบทีละคน ๆด้วยเล่า
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนหัวเราะเหอะ ๆ “เพื่อนฉันคนนี้มันหน้าเงิน ถ้าไม่ได้เงินเขาก็ไม่ทำงาน และราคาก็มหาโหดมาก นี่ไม่ใช่เพราะว่าประหยัดเงินหรอกเหรอ!”
เหมยเหมยกุมหน้าผากอย่างหมดคำจะพูด หยิบกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋าอย่างหงุดหงิด โยนไปไว้ตรงหน้าเธอ “ฉันจ่ายเงินเอง เธอไม่จำเป็นต้องประหยัดเงิน รีบไปหาเพื่อนผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์คนนั้นของเธอซะ”
ยอมจำนนให้ผู้หญิงคนนี้เลยจริง ๆ เวลากินเนื้อไม่เคยพูดเรื่องประหยัดแต่ยามคับขันดันมาคิดเรื่องเงิน สมองนี่…
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนลูบจมูกของเธออย่างเก้อเขินแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะเหอะ ๆออกมาอีกครั้งดูท่าทีไม่เป็นธรรมชาติ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วผลักกระเป๋าเงินคืนไป
“ฉันก็มีเงิน ไม่จำเป็นต้องให้เธอออกหรอก” ตอนที่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดคำนี้ออกมาเธอรู้สึกปวดใจอยู่บ้าง แต่ช่วงนี้ธุรกิจของครอบครัวไปได้ดี หารายได้มากมายซึ่งล้วนเป็นเพราะคุณงามความดีของเหมยเหมยทั้งนั้น เธอไม่สามารถทำตัวเป็นคนใจดำได้
แต่การจะให้เจ้าหมอนั่นมาทำงานให้ มันต้องใช้เงินเยอะมากจริง ๆ!
เหมยเหมยทั้งโมโหทั้งขบขันจงใจเอากระเป๋าเงินกลับมา “งั้นเธอก็รีบไปหาเขาซะ!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกะพริบตาปริบ ๆจ้องกระเป๋าเงินในมือเป็นเวลาสามวินาที เฮ้ย…ทำไมวันนี้ดาวมหาวิทยาลัยถึงทำตัวไม่เกรงใจเธอเลยล่ะ?
เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าแย่งเธอออกเงินทุกครั้งหรือไง?
“ได้…ไปตอนนี้เลย!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนปวดใจอย่างที่สุดแต่ก็กระดากใจจะหยิบกระเป๋าเงินกลับคืนมา ลุกขึ้นอย่างแน่วแน่เพื่อเตรียมตัวไปหาเพื่อนใจดำคนนั้น
เหมยเหมยเห็นสีหน้าอันเจ็บปวดของเธอก็นึกอยากหัวเราะ ล้อเล่นพอแล้วจึงลุกขึ้นตามไป “ฉันไปกับเธอด้วย ฉันมีเงินในกระเป๋าไม่พอ เพื่อนของเธอเสนอราคาเท่าไร? พวกเราไปกดเงินที่ธนาคารกัน”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็หัวเราะอย่างเก้อเขินและไม่เสแสร้งอีกต่อไป เดือนนี้เธอใช้ค่าครองชีพของเธอเกือบหมดแล้ว ไม่งั้นคงจะไม่ขี้เหนียวขี้ตืดขนาดนี้หรอก
“ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งพัน ถ้าต้องใช้เทคนิคเล็กน้อยก็สองพัน และเริ่มต้นที่ห้าพันหากต้องใช้เทคนิคสูงขึ้นไปอีก ราคาสูงไม่มีกำหนดเลย” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกัดฟันพูด
เรียกราคาสูงมากขนาดนี้แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายไปใช้บริการเขา เพื่อนของเธอทำรายได้มากมายโดยอาศัยแค่ฝีมือเกี่ยวกับเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์เท่านั้น ยังไม่ทันเรียนมหาวิทยาลัยก็ซื้อบ้านสี่ประสานในเมืองหลวงได้แล้ว อย่าให้พูดเลยว่ามีชีวิตสะดวกสบายมากแค่ไหน
ที่แท้ความรู้ก็คือความมั่งคั่ง บรรพบุรุษไม่ได้โกหกจริง ๆด้วย!
เหมยเหมยกดเงินห้าพันหยวนแล้วไปหาเพื่อนผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์คนนั้น ซึ่งต่างจากที่เธอคาดเดาไว้ เพื่อนผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์คนนี้ไม่ได้ผอมเป็นไม้เสียบผีอย่างที่เธอคิด บนใบหน้าขาวซีดใส่แว่นหนาเตอะเหมือนโอตาคุ แต่เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาและอายุไม่แก่นัก อายุไม่น่าเกินยี่สิบปี
“โจวเจี๋ยรุ่ย อายุสิบแปด เพื่อนฉันเอง” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแนะนำ
“สวัสดีพี่สาวคนสวยมีอะไรให้ผมรับใช้ครับ?” โจวเจี๋ยรุ่ยปากหวานมาก พอเห็นเหมยเหมยดวงตาก็เปล่งประกายทันที พี่สาวหน้าตาสะสวยขนาดนี้ ไม่ต้องให้พูดเลยว่าเขากระตือรือร้นมากแค่ไหน!
แต่พอพูดเรื่องงานน้ำเสียงก็เปลี่ยนไปทันที
“สองพันหยวน แต่เห็นแก่ความงามของพี่สาวฉันจะให้ส่วนลด 20% เหลือหนึ่งพันเจ็ดร้อยหกสิบหยวน ห้ามขาดแม้แต่สลึงเดียว” โจวเจี๋ยรุ่ยเสนอราคาอย่างรวดเร็วเผยให้เห็นความเฉลียวฉลาดออกมาทางสายตาของเขา
………………………………….
[1] มาจากคำว่า 薇 ซึ่งในอดีตคือพืชตระกูลรากหญ้าที่มีลักษณะคล้ายถั่วลันเตา
ตอนที่ 1942 ผู้ชายของเธอแน่นอนว่าจะดีเลิศที่สุด
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกระโดดสูงสามฟุตชี้ไปที่โจวเจี๋ยรุ่ยแล้วก่นด่าว่า “นายควรเห็นแก่หน้าเพื่อนเก่าอย่างฉันถึงให้ส่วนลด 30% ไม่ใช่หรือไง?”
โจวเจี๋ยรุ่ยชำเลืองมองเธออย่างเย็นชา “ขนาดเป็นพี่น้องกันแท้ ๆเรื่องเงิน ๆทอง ๆยังต้องทำให้ชัดเจนเลย ฉันกับเธอก็ไม่ได้นับว่าเป็นพี่น้องกันสักหน่อย หากไม่ใช่ว่าพี่สาวที่เธอพามาสวยเหมือนนางฟ้าละก็ ฉันยังไม่ให้ส่วนลด 20%นี้ด้วยซ้ำ!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพึมพำอย่างโมโหว่า “ไอ้คนใจดำสารเลว ผลไม้เคลือบน้ำตาลที่ซื้อให้กินเมื่อก่อนก็ถือซะว่าซื้อให้หมามันกินก็แล้วกัน”
“ตั้งแต่พวกเรารู้จักกันจนถึงตอนนี้เธอก็ซื้อแค่ผลไม้เคลือบน้ำตาลให้ฉันไม้หนึ่งเท่านั้นแหละ แล้วฉันยังเลี้ยงเป็ดย่างครึ่งตัวเธออีก สรุปใครติดค้างใครกันแน่?” โจวเจี๋ยรุ่ยพูดอย่างเย็นชา ไม่เห็นแก่หน้าของคุณหนูใหญ่เหริ่นเลยสักนิด
ตอนเด็ก ๆก็ให้แค่ผลไม้เคลือบน้ำตาลไม้หนึ่งเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ?
แถมยังโดนยัยอ้วนนี่กัดเข้าไปครึ่งหนึ่ง ทนจนถึงตอนนี้แม้แต่จะมองยังไม่อยากมองเลย น่ารังเกียจ!
สาวอ้วนสกุลเหริ่นเอาแต่พล่ามเรื่องนี้มานานหลายปี ทำเอาเขาจนปัญญาเลยซื้อเป็ดย่างมาหนึ่งตัว ตัวเองกินครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งแบ่งให้สาวอ้วนคนนี้กินเพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณที่ติดค้างไว้!
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนถลึงตาใส่อย่างโมโหแล้วไม่กล้าพล่ามอะไรอีกต่อไป
ใครใช้ให้เธอขี้เหร่กันล่ะ!
โจวเจี๋ยรุ่ยไอ้คนสารเลว ที่แท้ก็มองคนแค่ที่หน้าตาอย่างเดียว!
เหมยเหมยพอมองออก ถึงแม้ว่าโจวเจี๋ยรุ่ยจะพูดจาไม่ไว้หน้าแต่มิตรภาพระหว่างเขากับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนคงไม่ธรรมดา เธอหยิบเงินออกมาจากกระเป๋านับได้ยี่สิบใบแล้วเลื่อนไปตรงหน้าโจวเจี๋ยรุ่ย
“ตกลงตามนี้ นี่คือเงินค่าเหนื่อยของนาย ไม่ต้องทอนหรอกฉันเลี้ยงน้ำตาลเคลือบผลไม้นายแล้วกัน!” เหมยเหมยพูดยิ้ม ๆ
โจวเจี๋ยรุ่ยยิ้มอย่างมีความสุขเก็บเงินเข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็ว การกระทำนี้คล้ายกับคุณหนูใหญ่เหริ่นมาก ทำอะไรก็ไม่เร็วเท่ากับเก็บเงินเข้ากระเป๋าหรอก
“แค่พี่สาวสุดสวยมีความสุขก็พอแล้ว พี่สาวมีแฟนหรือยังครับ? ผมขอแนะนำตัวเองหน่อยแล้วกัน ผมชื่อโจวเจี๋ยรุ่ย อายุ 18 ปี เป็นนักเรียนมัธยมปลายอีจงในเมืองหลวง สถานภาพทางการเงินอิสระ มีบ้านเป็นของตัวเอง ไม่มีพ่อแม่ ถ้าพี่สาวแต่งงานกับผมก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความขัดแย้งระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ และจะทำให้พี่ได้สัมผัสกับอิสรภาพของการเป็นโสดหลังแต่งงานอย่างแน่นอน…”
โจวเจี๋ยรุ่ยพูดเป็นต่อยหอย กางทรัพย์สินของที่บ้านออกมาจนหมดแล้วเปิดการขายตัวเอง
เหมยเหมยตัดบทเขายิ้มแล้วพูดว่า “ยอดเยี่ยมจริง ๆเลยนะ แต่ว่าฉันมีคู่หมั้นอยู่แล้ว และฉันไม่ได้สนใจการคบเด็กเลยแม้แต่น้อย”
โจวเจี๋ยรุ่ยถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ดอกไม้ดี ๆโดนหมูแย่งไปกินซะแล้ว!
เฮ้อ!
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเตะเขาไปทีหนึ่งอย่างอารมณ์เสีย “หมาเห่าเครื่องบินจริง ๆนะนายเนี่ย อย่ามัวมาทำให้ฉันขายขี้หน้า รีบไปทำงานได้แล้ว!”
โจวเจี๋ยรุ่ยเก็บรอยยิ้มทะเล้นของเขากลับไปแล้วทำท่าทีจริงจังทันที “พูดมาเลย อยากให้ฉันทำอะไร?”
เหมยเหมยพูดว่า “ฉันต้องการให้นายค้นหาที่อยู่ IP ในกระทู้หนึ่งของเพจมหาวิทยาลัยของพวกเรา”
“Ok ไม่มีปัญหา ผมจะไปจัดการตอนนี้แหละ”
โจวเจี๋ยรุ่ยบอกจะทำก็ทำเลยรื้อผ้าปูโต๊ะข้างตัวออก คาดไม่ถึงว่าจะมีคอมพิวเตอร์อยู่ด้วย อีกทั้งมองดูแล้วเหมือนว่าจะประกอบด้วยตัวเองอีกต่างหาก แม้กระทั่งอุปกรณ์ห่อหุ้มก็ไม่มีสายไฟห้อยระโยงระยางโผล่ออกมาให้เห็น ภายนอกไม่ค่อยน่าดูเท่าไรนัก
“ไม่ต้องไปมหาวิทยาลัยของพวกฉันเหรอ? ที่นี่สามารถเข้าเพจของมหาวิทยาลัยได้เลยเหรอ?” เหมยเหมยถามอย่างแปลกใจ
“ไม่จำเป็นหรอก ผมสามารถเข้าถึงเครือข่ายทั้งหมดในเมืองหลวงได้จากที่นี่”
โจวเจี๋ยรุ่ยขยับมือทั้งสองข้างอย่างว่องไว เหมยเหมยมองอย่างตื่นตาตื่นใจ หลังจากนั้นไม่นานก็เห็นหน้าเพจมหาวิทยาลัยเมืองหลวงบนหน้าจออย่างน่าอัศจรรย์ คลิกอีกครั้งก็เข้าสู่เพจของมหาวิทยาลัย
สิ่งที่เห็นก็คือภาพถ่ายของเหมยเหมยและเหยียนหมิงซุ่นจูบกันอย่างดูดดื่ม โจวเจี๋ยรุ่ยผิวปาก มองไปที่เหยียนหมิงซุ่นอย่างพิจารณาสามวินาทีแล้วพูดทันทีว่า “พี่สาวสายตาไม่เลวเลย!”
“แน่นอน ผู้ชายธรรมดาปกติทั่วไปฉันไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก!”
เหมยเหมยยอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำ ผู้ชายของเธอจะต้องดีที่สุดอยู่แล้ว!
…………………………………………..
ตอนที่ 1943 หลักการโดนหมากินไปแล้ว
โจวเจี๋ยรุ่ยขยับนิ้วบนแป้นพิมพ์อีกสักพัก ไม่นานก็พบฮวาจิงหลิงแต่เขากลับส่ายหัวพูดว่า “ตอนนี้ฮวาจิงหลิงนี้ไม่ได้ออนไลน์ ฉันหา IP ของเธอไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกพี่กลับไปก่อนไหมรอเธอออนไลน์เมื่อไรผมก็จะหาได้ทันที ถึงเวลานั้นผมจะโทรหาพวกพี่เอง”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกระโดดพรวดขึ้นมา “ทำไมต้องรอให้ออนไลน์ก่อนถึงจะหาเจอล่ะ? ไม่ใช่ว่านายเก่งกาจมากหรือไง ไม่ใช่ว่านายทำไม่ได้หรอกนะ?”
โจวเจี๋ยลุ่ยพูดฉุน ๆอย่างอารมณ์เสียว่า “นี่ ถ้าไม่เข้าใจก็อย่าพูดจาซี้ซั้วสิ บรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรขายขี้หน้าเพราะเธอหมดแล้ว ไม่ได้ออนไลน์เธอจะให้ฉันไปค้นหาที่ไหน? แม้แต่แฮกเกอร์ที่เก่งกาจที่สุดในโลกก็ยังหาไม่เจอเลย”
เขาหยุดชะงักไป เพิ่มน้ำหนักเสียงแล้วพูดว่า “อีกอย่างขอร้องเธอช่วยรักษากฎหน่อย วันหลังอย่าพูดว่านายทำไม่ได้ต่อหน้าผู้ชายอีก You Know?”
เหมยเหมยมุมปากกระตุก อันที่จริงประโยคนี้ช่าง…
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนส่งเสียงหัวเราะเยาะมองพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้าพูดอย่างดูถูกว่า “นายเป็นผู้ชายด้วยเหรอ? ขนยังขึ้นไม่ครบเลย!”
“เธออย่ามาใช้วิธียุแหย่กับฉัน ขนของฉันจะขึ้นหรือไม่ขึ้นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ ครั้งแรกของฉัน ฉันจะให้ผู้หญิงที่ฉันรักเท่านั้น ไม่เห็นยัยอ้วนอย่างเธออยู่ในสายตาหรอก!” โจวจื่อหัวส่งเสียงหัวเราะเยาะเช่นกัน เชิดจมูกสูง ทำสีหน้าดูแคลน
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนและเขาทะเลาะกันมาตั้งแต่เด็กยันโตจนชินกับปากจัด ๆของเขานานแล้ว แต่ก็ยังเตะเขาไปสองสามครั้งอย่างโมโห
เหมยเหมยจับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนไว้ถามว่า “ขอแค่เพียงฮวาจิงหลิงออนไลน์ นายก็จะสามารถหาที่อยู่ IP ของเธอได้ใช่ไหม?”
“ใช่ ขอเพียงแค่เธอออนไลน์ แค่ครึ่งชั่วโมงก็สามารถหาตัวเธอได้แล้ว” โจวเจี๋ยรุ่ยเชื่อมั่นในตัวเองมาก
“ได้ ฉันจะให้โอกาสนาย”
เหมยเหมยเตรียมตัวจะกลับไปใช้วิธีกวนประสาทเพื่อกระตุ้นเซียวเวยให้โผล่ออกมา ต้องบังคับให้เธอออนไลน์อีกครั้งให้ได้
เธอเตรียมจะขอตัวกลับแต่นึกถึงสิ่งที่โจวเจี๋ยรุ่ยพูดก่อนหน้านี้เลยนึกขึ้นมาได้จึงถามว่า “ตอนนี้นายยังเรียนอยู่หรือเปล่า?”
“เขาแค่มีชื่อประดับไว้งั้นแหละ ในหนึ่งเทอมเข้าเรียนได้สามครั้งก็สุดยอดแล้ว เรียนม.6 มาสองปีแล้วยังไม่จบเลย” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนหวังอยากจะให้เขาดีขึ้น
เห็นอยู่ชัด ๆว่าความฉลาดไอคิวสูงขนาดนั้นคณิตศาสตร์ฟิสิกส์และเคมีได้คะแนนเต็ม แต่ภาษาวรรณกรรม ประวัติศาสตร์และการเมืองสอบได้ศูนย์ คะแนนห่วย ๆแบบนี้เรียนไปอีกสิบปีก็ไม่จบ น่ากลุ้มใจจริง ๆ!
ตัวของโจวเจี๋ยรุ่ยเองกลับไม่สนใจ “เรียนไม่จบก็ไม่เห็นเป็นไร ถึงอย่างไรฉันก็ยังสร้างรายได้โดยที่ไม่ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยได้นี่นา”
“เมื่อกี้นายเพิ่งบอกว่านายสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ทั่วทั้งเมืองหลวง งั้นนายเข้าถึงเครือข่ายของระบบรักษาความปลอดภัยสาธารณะได้ไหม?” เหมยเหมยจงใจถาม
โจวเจี๋ยรุ่ยมองเธออย่างหวาดระแวงแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มว่า “พี่สาว ถึงแม้ว่าพี่จะสวยมากแต่ผมเป็นคนมีหลักการ บางอย่างต่อให้จะเพิ่มเงินให้มากแค่ไหน ผมก็ไม่…”
“หนึ่งหมื่น ขอเพียงแค่นายสามารถเข้าสู่ระบบรักษาความปลอดภัยสาธารณะได้ และอยู่ในนั้นเป็นเวลาสองนาที” เหมยเหมยพูด
โจวเจี๋ยรุ่ยสีหน้าท่าทางดูสงบลง ปากยังพูดอีกว่า “ผมเป็นคนมีหลักการ…”
“สองหมื่น!”
“ผมเป็นคนทำอะไรมีหลักการ แต่เห็นแก่ความสวยของพี่แล้ว หลักการบางอย่างก็สามารถหักล้างกันได้ แต่ว่า…”
“สามหมื่น!”
“เพื่อความสุขของพี่สาว ตกลง!”
โจวเจี๋ยรุ่ยดวงตาเป็นประกาย ตบโต๊ะเบา ๆแล้วขยับปลายนิ้วลงแป้นพิมพ์เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเบิกกว้าง ด่าด้วยความโมโหว่า “แล้วหลักการของนายล่ะ?”
“หมากินไปแล้ว!”
มือของโจวเจี๋ยรุ่ยขยับไม่หยุด ท่าทางดูจริงจังมาก ความเร็วของมือเร็วจนน่าตกใจจนเหมือนภาพลวงตา
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจุกอยู่ในอก ตั้งแต่เล็กจนโตการลับฝีปากของเธอไม่เคยเป็นรองใครมาก่อน แต่ว่า——
ต่อหน้าเจ้าหมอนี่เธอเถียงกลับไม่ได้สักคำ!
“เสร็จแล้ว พี่สาวดูสิ!”
โจวเจี๋ยรุ่ยชี้ไปที่หน้าจออย่างตื่นเต้น ทำหน้าลำพองใจ
เหมยเหมยดูอย่างตั้งใจ นี่เป็นการเชื่อมต่อระบบรักษาความปลอดภัยสาธารณะจริง ๆด้วย เธอเคยเห็นมันจากเหยียนหมิงซุ่นมาก่อน เธอเริ่มจับเวลาตั้งแต่โจวเจี๋ยรุ่ยเริ่มลงมือ ทั้งหมดเป็นเวลายี่สิบนาที
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจเรื่องคอมพิวเตอร์นัก แต่ก็พอรู้ว่าเวลาที่ใช้มันสุดยอดมากจริง ๆ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น