อัจฉริยะสมองเพชร 1925-1929

 ตอนที่ 1925 นี่มันบ้าบออะไรกัน?

“นั่นคือจอมหลบหลีก!”


ผู้ชมอุทานด้วยความตื่นเต้น


“กระบวนท่าจอมหลบหลีกมาจากความสามารถในการหลบเลี่ยงการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้โดยเฉียดไปเส้นยาแดงผ่าแปดทุกครั้ง สิ่งนี้ทำให้นักรบประหยัดพลังงานได้มาก ส่งผลให้ถือไพ่เหนือกว่าในการตอบโต้ แต่แน่นอนว่ามันคือดาบสองคม เพราะหากพลาดเพียงนิดเดียวก็หมายถึงจบเห่ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าโลกจะใช้ทักษะระดับสูงขนาดนี้ได้…”


“เขาคงต้องฝึกฝนหลายสิบปีใช่ไหม?”


“ต่อให้ใช้เวลาหลายสิบปีก็ยังจัดว่าน่าทึ่ง!”


“ผมมีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่มุ่งมั่นอยากฝึกฝนทักษะจอมหลบหลีกให้เชี่ยวชาญ เขาใช้เวลาฝึกถึงสามสิบปี แต่ก็ยังไม่กล้านำมาใช้ในการต่อสู้จริง กระบวนท่านี้ไม่ได้เป็นการทดสอบเฉพาะความแม่นยำในการควบคุมการเคลื่อนไหวของนักรบผู้นั้น ที่สำคัญกว่าคือการทดสอบสภาวะจิต หากปราศจากความมั่นใจเต็มเปี่ยมในความสามารถของตัวเอง ก็ไม่มีทางที่ผู้นั้นจะกล้าใช้ทักษะการต่อสู้ชนิดนี้”


นักรบมากมายที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนพากันพูดไม่ออก


ในหอนิรันดร์ คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่าสองทักษะนี้คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง


จางเซวียนไม่รับรู้ความตกตะลึงของฝูงชนนอกสังเวียน เขายื้อการดวลออกไปอีกราว 10 หมัด ก่อนจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ด้วยการเล่นงานอย่างว่องไว


ขณะรอคู่ต่อสู้คนที่ 3 จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะปลื้มปริ่มกับความสามารถของตัวเอง


มันก็ยากอยู่ แต่เราต้องปกปิดพละกำลังไว้ให้ดี ช่างน่าอึดอัดเหลือเกินที่สำแดงพลังออกไปได้แค่ 1 ใน 20 ของที่มี แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ เราก็จะมีคู่ต่อสู้ไม่พอจนถึงรอบที่ 8…


จางเซวียนถอนหายใจเฮือก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเพื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้คนที่ 3


คู่ต่อสู้คนที่ 3 ของจางเซวียนเป็นสาวน้อยในชุดสีเขียว แต่ก็พ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็ว


ส่วนคู่ต่อสู้คนที่ 4 คือชายหนุ่มท่าทางเย่อหยิ่งคนหนึ่ง ซึ่งก็รับมือได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่า


เมื่อเห็นว่าควบคุมพละกำลังของตัวเองได้ ไม่ทำให้ผู้ท้าทายคนอื่นๆเกิดความเข็ดขยาดในการเข้าต่อสู้ จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจกับการควบคุมตัวเองของเขา


สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ในสายตาของนักรบคนอื่นๆ การได้ประลองกับผู้เชี่ยวชาญระดับจางเซวียนโดยจ่ายเงินเพียง 500 เหรียญนิรันดร์นั้นเป็นโอกาสล้ำค่า จึงไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้มันผ่านไป


พูดได้เลยว่าพวกเขาได้กำไรอย่างงามจากการดวลกับจางเซวียน


ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครตายเพราะการดวล ทุกคนจึงไม่มีอะไรจะเสีย


“ศิษย์พี่ คุณมีความเห็นต่อเจ้าโลกคนนั้นอย่างไร?”


นอกสังเวียนประลอง ชายสองคนยืนพิงเสาขณะชมการถ่ายทอดสดจากจอภาพ ผู้พูดสวมชุดสีเขียวและถือดาบไว้ในมือ แม้จะมีทีท่าเอื่อยเฉื่อย แต่นัยน์ตาของเขาก็สะท้อนเจตจำนงเพลงดาบ ที่บ่งบอกความเก่งกาจของเขาออกมา


‘ศิษย์พี่’ ที่เขากำลังพูดด้วยมีดาบอยู่ในมือเช่นกัน เจตจำนงเพลงดาบที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาเข้มข้นกว่า เห็นได้ชัดว่าเขาคือผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบที่มีทักษะเชี่ยวชาญคนหนึ่ง


ทั้งเมืองชวนเจียงและเมืองแสงดาวอยู่ใต้อาณัติของสำนักดาบเมฆเหิน จึงมีผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบอยู่มากมาย อันที่จริง แม้ในสังเวียนประลอง ผู้เข้าท้าทายหลายคนก็เลือกที่จะใช้ดาบเป็นอาวุธ


“การที่เขาสามารถสลับสับเปลี่ยนระหว่างการสับขาหลอกกับการโจมตีของจริงได้อย่างลื่นไหล อีกทั้งสำแดงกระบวนท่าจอมหลบหลีกได้ด้วย ก็บ่งบอกถึงการควบคุมพละกำลังที่แม่นยำในระดับที่เรียกว่าน่าทึ่ง ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าผมเลย แน่นอนว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง!” ศิษย์พี่พยักหน้ายิ้มๆ “แต่ก็ยังเทียบชั้นกับเหล่าศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินของเราไม่ได้!”


“สองทักษะนั้นคือเงื่อนไขเบื้องต้นที่ผู้จะได้การยอมรับอย่างเป็นทางการให้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักของเราจะต้องผ่าน แม้ศิษย์สายตรงระดับล่างส่วนใหญ่ก็สำแดงทักษะนั้นได้ มีแต่ในดินแดนไกลปืนเที่ยงอย่างที่นี่เท่านั้นแหละที่ผู้คนพากันตื่นตูม เห็นเป็นเรื่องใหญ่!” ศิษย์น้องพูด


“ศิษย์น้องหวงเทา ไปลงชื่อเข้าสู่สังเวียนการประลองที ประกาศให้หมอนั่นรู้ว่าโลกภายนอกยังกว้างไกลกว่านี้มาก” ศิษย์พี่สั่งการ


“วางใจเถอะ! ถ้าผมทำให้เขายอมแพ้ไม่ได้ภายในสามกระบวนท่า ผมจะจ่ายค่าสุราของเราคืนนี้ และฝึกฝนศิลปะเพลงดาบเร่ร่อนโดยเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง” ศิษย์น้องที่ชื่อหวงเทาตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ


“อย่ามัวเสียเวลาทำให้การดวลยืดเยื้อนะ เรายังไม่ได้คัดเลือกศิษย์สายตรงฝ่ายนอกและศิษย์สายตรงระดับล่างเลย เวลาก็เหลือน้อยเต็มที แถมที่เราทำไปยังไม่ต่างอะไรกับการรังแกชาวบ้าน ถ้าผู้อาวุโสลู่รู้เข้า เขาต้องตำหนิเราแน่!”


ในฐานะอัจฉริยะจากสำนักขนาดใหญ่ ถือว่าไม่เหมาะสมที่พวกเขาจะเข้าท้าทายบรรดานักรบมือใหม่ในดินแดนไกลปืนเที่ยง เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกับนักกีฬาทีมชาติที่ลงมาแข่งขันกับสโมสรระดับท้องถิ่น การกระทำแบบนั้นมีแต่จะทำลายชื่อเสียงของพวกเขา


“ผมเข้าใจ!” หวงเทาพยักหน้าขณะเดินไปหาเจ้าหน้าที่สาว


ไม่ช้าเขาก็ได้เป็นคู่ต่อสู้คนที่ 5 ของจางเซวียน


“ดูสถิติชัยชนะของนักดาบมหากาฬสิ!”


“จากการดวล 100 นัด เขาแพ้เพียง 5 นัดเท่านั้น! บ้าไปแล้ว?”


“เป็นสถิติที่น่าทึ่งอะไรอย่างนี้ ดูเหมือนคราวนี้เจ้าโลกจะเจอคู่แข่งที่สมตัวแล้วล่ะ!”


“ในเมื่อเขาถือดาบ การดวลครั้งนี้ก็น่าจะเป็นการดวลดาบ เราเพิ่งเห็นความเชี่ยวชาญของเจ้าโลกเฉพาะด้านการต่อสู้มือเปล่าเท่านั้น ยังไม่เคยเห็นทักษะเพลงดาบของเขาเลย”


ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะมีสถิติการดวลที่ผ่านมาปรากฏบนจอภาพ วีรกรรมของนักดาบมหากาฬที่พ่ายแพ้เพียง 5 นัดจาก 100 นัดสร้างเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ในหมู่ฝูงชนทันที


ตอนแรก พวกเขาคาดว่ามันคงเป็นการโจมตีฝ่ายเดียวอย่างนัดก่อนๆ แต่ตอนนี้ความเห็นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย


บางคนเชื่อว่าแม้เจ้าโลกจะมีทักษะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าอันน่าทึ่ง แต่ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเขาจะยังคงทำได้ดีหากมีอาวุธในมือ


ด้วยฉายาของคู่ต่อสู้ของเขา, นักดาบมหากาฬ และสถิติที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน อีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบที่เก่งกาจมาก


“นำอาวุธของคุณออกมา!”


บนสังเวียนประลอง หวงเทาถือดาบของเขาไว้ขณะร้องท้าจางเซวียน


“ได้สิ!”


จางเซวียนสะบัดข้อมือโดยไม่ลังเล แล้วดาบจากรางอาวุธที่อยู่ใกล้ๆก็ลอยเข้าสู่มือของเขา


ดาบที่อยู่ในหอนิรันดร์ไม่มีระดับขั้น พวกมันเป็นแค่อุปกรณ์ที่ใช้สำแดงศิลปะเพลงดาบ บางสิ่งอย่างเช่นอาวุธระดับจิตวิญญาณไม่มีปรากฏที่นี่


“ผมมีทางเลือกให้คุณสองทางก่อนที่ผมจะชักดาบออกมา ถ้าคุณเข้าถึงตัวผมไม่ได้ ผมจะทำให้คุณพ่ายแพ้ภายในกระบวนท่าเดียว!” หวงเทาพูดอย่างสุขุม


ในฐานะศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน เขามีเกียรติยศศักดิ์ศรีที่ต้องรักษา


“คุณจะยังไม่ชักดาบของคุณออกมา?” จางเซวียนชะงัก เขาย่นหน้าผากและพึมพำ “แต่ถ้าทำแบบนั้น ก็อาจเสียชีวิต…”


“บังอาจ!” หวงเทาตะโกนด้วยสีหน้าบึ้งตึง “สำแดงกระบวนท่าของคุณออกมา ไม่อย่างนั้นจะไม่มีโอกาส!”


“ได้สิ” จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา


เขาชูดาบในมือขึ้นแล้วตวัดมันไปมา ราวกับกำลังพยายามทำความคุ้นเคยกับดาบ จางเซวียนยืนอยู่กับที่ เขากระดิกนิ้ว


ฟึ่บ!


ดาบกระเด็นหลุดจากมือ


ยังไม่ทันจะได้สำแดงกระบวนท่าแรก เขาก็ทำดาบหลุดมือเสียแล้ว


นี่เป็นข้อห้ามอย่างเคร่งครัดในการต่อสู้! เมื่อไรก็ตามที่นักรบสูญเสียอาวุธไประหว่างการดวล ก็จะต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ด้วยมือเปล่า ทำให้อยู่ในภาวะเสียเปรียบ


“ผลีผลามมาก!”


“เจ้าหนุ่มนั่นพยายามจะยอมแพ้หรือ?”


ฝูงชนที่เฝ้าดูการดวลต่างชะงักกับภาพที่เห็น


พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นความเลินเล่อขนาดนี้จากเจ้าโลกที่ดูเหมือนจะเป็นนักรบผู้ทรงพลัง


“ดูนั่น เจ้าโลกหันกลับมาแล้ว!”


“คุณพูดถูก ว่าแต่…เขาทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?”


“หรือเขาพยายามจะยอมแพ้ด้วยวิธีนั้น? ไม่มีเศษเสี้ยวของน้ำใจนักกีฬาอยู่ในตัวเลยหรือ?”


ท่ามกลางเสียงอุทานอย่างประหลาดใจ สถานการณ์ก็ดูจะบานปลายขึ้นเรื่อยๆ


บนเวที ชายหนุ่มที่มีฉายาว่าเจ้าโลกหันกลับมา แล้วชูมือขึ้นหลังจากโยนดาบของเขาออกไป ราวกับกำลังไชโยโห่ฮิ้วกับอะไรสักอย่าง…นี่คือเครื่องหมายของการยอมแพ้? หรือเขาคิดจะถอยหลังจากได้เห็นสถิติอันน่าสะพรึงของนักดาบมหากาฬ?


ปัญหาก็คือ การที่เจ้าโลกจะยอมแพ้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ทำไมถึงชูมือขึ้นราวกับกำลังประกาศชัยชนะ? เขามองว่ามันคือเกียรติยศหรืออะไรทำนองนั้นหรือไง?


หวงเทาที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของเวทีก็ชะงักกับสิ่งที่เห็น


เขาไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้คิดอะไรอยู่ หรืออะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ต่อให้อีกฝ่ายอยากยอมแพ้ ก็ควรจะพูดออกมาให้ชัดเจน แทนที่จะแสดงกิริยาท่าทางคลุมเครือแบบนี้!


ขณะที่กำลังคิดหนัก ศิษย์พี่ของเขาก็ตะโกนออกมาอย่างร้อนใจ “หวงเทา อย่าปล่อยให้การ์ดตก ระวังตัวด้วย!”


คำเตือนนั้นฉุดหวงเทาออกจากภวังค์ เขารีบรวบรวมสมาธิ แต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว ดาบที่อีกฝ่ายโยนออกมาอย่างส่งๆก็เคลื่อนตัวเข้าหาเขาอย่างช้าๆ


การเคลื่อนไหวของดาบดูจะเอื่อยมาก ทำให้รู้สึกเหมือนมันลอยอย่างเงียบเชียบอยู่กลางอากาศ แต่เมื่ออยู่ห่างจากตัวเขาเพียง 3 เมตร ดาบนั้นก็เร่งความเร็วขึ้นมาอย่างปุบปับ มันพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความไวราวกับแสง


หวงเทาชักดาบออกมาเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ก็เจ็บแปลบที่ศีรษะ


พลั่ก!


ร่างของเขาทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ สติสัมปชัญญะหลุดลอยหายวับ ดาบนั้นแทงเข้าที่ศีรษะ ทำให้เขาพบจุดจบ


ฟึ่บ!


ศพของหวงเทาสลายตัวเป็นอากาศธาตุอย่างรวดเร็วก่อนจะหายวับไป เหลือไว้เพียงดาบที่เขาถือไว้เมื่อครู่


การเสียชีวิตในหอนิรันดร์ไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับกายเนื้อตัวจริงของผู้นั้น แต่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่เขาครอบครองจะแตกสลายและทำหน้าที่ของมันไม่ได้อีก ร่างสมมุติและจิตใต้สำนึกที่อยู่ในโลกของหอนิรันดร์ก็จะหายไปด้วย


พูดอีกอย่างก็คือ การเสียชีวิตในหอนิรันดร์ก็ใช่ว่าไม่ได้สูญเสียอะไรเลย


เงียบกริบ


ความเงียบอันน่าสะพรึงครอบงำบริเวณนั้น


ทุกคนจับจ้องที่สังเวียนประลองด้วยอาการอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง


พวกเขาคาดหวังจะได้เห็นการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างนักดาบมหากาฬกับเจ้าโลก แต่ก็เหมือนกับการเล่นปาหี่ เจ้าโลกแค่โยนดาบของเขาออกไป จากนั้นนักดาบมหากาฬก็ถูกแทงศีรษะ


นี่มันบ้าบออะไรกัน?


หลังจากความเงียบงันอย่างน่าประหลาด เสียงเชียร์กึกก้องก็ดังขึ้นโดยรอบ


แม้ผู้ชมส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในการดวลที่เพิ่งจบลง แต่ก็เห็นชัดว่าเจ้าโลกคือผู้ชนะ


“เจ้าโลกจงเจริญ! ผมรักคุณมากกว่าทุกสิ่งในโลกนี้!”


“นักดาบมหากาฬสบประมาทคู่ต่อสู้เกินไป เขาปัดป้องการโจมตีอย่างกะทันหันของเจ้าโลกไม่ได้”


“ผมคิดว่านักดาบมหากาฬคือผู้ไร้เทียมทาน ใครจะไปรู้ว่าเขาไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลยด้วยซ้ำ? ถูกดาบแทงแบบนั้น…ไม่มีใครแย่ไปกว่าเขาแล้วล่ะ!”


“ไม่น่าเชื่อว่าเขาเป็นเจ้าของสถิติการได้ชัยชนะถึง 95 เปอร์เซ็นต์…เขาได้สถิตินี้มาด้วยการป่วนระบบ หรือจงใจพ่ายแพ้เพื่อให้พวกเราได้หัวเราะ?”


สำหรับผู้ชมทุกคน ท่วงท่าการโยนดาบที่จางเซวียนแสดงออกไปก่อนหน้านี้ดูแสนจะธรรมดาสามัญ จึงเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่นักดาบมหากาฬถูกกระบวนท่านั้นสังหาร ดังนั้น ในสมองของพวกเขาจึงมีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว นั่นคือนักดาบมหากาฬอ่อนแอเกินไป!


ตอนที่ 1926 คุณใช้ดาบของคุณหรือเปล่า?

“เป็นไปไม่ได้!”


ศิษย์พี่ที่กำลังยืนพิงเสารีบยืดตัวตรง


เขารู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติทันทีที่ดาบถูกโยนออกมา รู้สึกได้ถึงร่องรอยของเจตจำนงเพลงดาบที่อยู่เบื้องหลังการโยนดาบนั้น ซึ่งหมายความว่ามันคือเทคนิคการใช้ดาบรูปแบบหนึ่ง


แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นไปได้จริงๆหรือที่จะสังหารหวงเทาได้ง่ายดายเพียงแค่ใช้การโยนดาบ?


ศิษย์พี่พยายามทบทวนพละกำลังที่อยู่เบื้องหลังการโยนดาบ แต่ยิ่งครุ่นคิดมากขึ้นเท่าไหร่ เหงื่อก็ผุดออกมาจากหน้าผาก


เขาต้องประหลาดใจที่พบว่าไม่อาจวิเคราะห์พละกำลังของการโยนดาบนั้นได้ ดูเหมือนทุกอย่าง เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย หัวสมองของเขาประมวลได้เฉพาะตอนต้นและตอนจบ ส่วนเรื่องราวระหว่างทางล้วนแต่ว่างเปล่า


แม้ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของเขา เขาก็ยังบอกไม่ได้ว่าชายหนุ่มเอาชนะหวงเทาได้อย่างไรด้วยการโยนดาบเพียงครั้งเดียว!


“หรือว่าเราต้องสู้กับเขา ถึงจะได้รู้?” ศิษย์พี่พึมพำขณะกำหมัดแน่น


ผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบที่เก่งกาจมักอยากหาคนมาประลองด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าศิลปะเพลงดาบของตัวเองทรงพลังแค่ไหน เป็นไปได้ว่ากระบวนท่านี้จะเข้าถึงระดับนั้น


เมื่อเกิดความคิดขึ้นมา ศิษย์พี่เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์รับรองอย่างไม่ลังเล แล้วลงชื่อเข้าร่วมการดวล ครู่ต่อมาเขาก็ปรากฏตัวบนสังเวียนประลอง


“เมฆผงาด?” จางเซวียนอ่านฉายาจากจอภาพที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก


เขาเห็นคู่ต่อสู้คนล่าสุดถือดาบไว้ในมือ…เขาเพิ่งกำจัดนักดาบไปคนหนึ่งเมื่อครู่ก่อน แล้วอีกคนหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า นี่เขาบังเอิญไปเหยียบรังแตนเข้าหรืออย่างไร?


“ผมคือเมฆผงาด (อวิ๋นเฟยหยาง) เป็นทั้งฉายาและชื่อจริงของผม” อวิ๋นเฟยหยางพยักหน้า


เขาชักดาบออกมาโดยไม่ลังเล ประกายเย็นวาบปรากฏบนผิวหน้าของดาบ “ชักอาวุธของคุณออกมา!”


เมื่อเห็นคู่ต่อสู้ของเขาหลงตัวเองไม่ต่างจากคนก่อน จางเซวียนชักดาบที่เขาใช้ในการดวลเมื่อครู่ออกจากรางอาวุธอีกครั้งก่อนจะมองคู่ต่อสู้ของเขา


อวิ๋นเฟยหยางประสานมือและร้องขอ “กรุณาใช้ศิลปะเพลงดาบแบบการดวลคราวก่อน!”


เขาต้องการสัมผัสศิลปะเพลงดาบที่สังหารศิษย์น้องของเขาได้ในชั่วพริบตา เพื่อจะได้หาทางทำความเข้าใจมัน ในฐานะผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ เขาทำใจไม่ได้ที่พบว่ายังมีเทคนิคเพลงดาบในโลกนี้ที่ตัวเขายังเข้าไม่ถึง


“ศิลปะเพลงดาบที่ผมใช้คราวก่อน?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“ใช่”


“เอ่อ…อย่างนั้นก็ได้” จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา


เขาไม่คิดว่าการโยนดาบที่ทำไปเมื่อครู่จะเรียกได้ว่าเป็นศิลปะเพลงดาบ มันเป็นแค่การโยนดาบออกไปส่งๆ ไม่มีทักษะหรือแนวคิดล้ำลึกอะไรอยู่เบื้องหลัง


แต่ก็นั่นแหละ มันคือการโยนดาบที่บรรจุแก่นสารของศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าเอาไว้ และนั่นคือเหตุผลที่มันเล่นงานศีรษะของนักดาบมหากาฬได้อย่างแม่นยำไร้ที่ติ


หมอนี่อยากลองแบบเดียวกันหรือ?


เขาคิดว่าหัวของตัวเองแข็งพอจะเอาชีวิตรอดได้หรือไง?


ไม่ว่าเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังคำขอของคู่ต่อสู้ของเขาจะเป็นอะไร สำหรับจางเซวียนก็ไม่แตกต่าง


จางเซวียนกวัดแกว่งดาบในมือเล็กน้อยเพื่อขยับให้ถนัดมือ ก่อนจะชี้ดาบไปที่เมฆผงาด


ฟึ่บ!


เขาสะบัดข้อมือ แล้วดาบก็หลุดจากมือของเขา


“มาแล้ว!” อวิ๋นเฟยหยางหรี่ตาขณะรีบชักดาบออกมา


ในชั่วพริบตา ด้วยเสียงลมคำรามและภาพติดตาที่เกิดจากคมดาบ ร่างของเขาถูกดาบโอบล้อมไว้ ป้องกันไม่ให้แม้แต่น้ำสักหยดแตะต้องตัวเขาได้


“เป็นศิลปะเพลงดาบที่ไร้เทียมทานอะไรอย่างนั้น!”


“เขากวัดแกว่งดาบเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร?”


“ผมมองตามกระบวนท่าเพลงดาบของเขาไม่ทันด้วยซ้ำ คนแบบไหนกันที่จะเจาะการป้องกันตัวแบบนี้ได้?”


ฝูงชนที่อยู่ด้านล่างพากันตื่นตะลึงกับการป้องกันตัวของอวิ๋นเฟยหยาง ศิลปะเพลงดาบของเขา ว่องไวจนดูเหมือนกับมีวงกลมแสงที่มีรัศมีราว 2 เมตรก่อตัวอยู่รอบตัวเขา


ภายใต้การป้องกันตัวอย่างแน่นหนาขนาดนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะบาดเจ็บ


ต่อหน้าสายตาตกตะลึงของฝูงชน ดาบที่ถูกโยนออกไปลอยผ่านอากาศอย่างช้าๆก่อนจะไปหยุดที่ระยะ 3 เมตรจากอวิ๋นเฟยหยาง


ฟิ้วววววว!


เกิดเสียงลมโหมกระหน่ำ ดาบนั้นหายลับไปจากสายตา และตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่มันจ้วงแทงทะลุ ปราการแสงรูปทรงกลมที่เกิดจากการกวัดแกว่งดาบของอวิ๋นเฟยหยาง


“เกิดอะไรขึ้น?”


“เขาตั้งใจยับยั้งมัน แต่ทำไม่สำเร็จ”


ฝูงชนพากันชะงักที่เห็นดาบหายไป แต่ปราการแสงรูปทรงกลมยังคงโอบล้อมอวิ๋นเฟยหยางอยู่


ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของพวกเขา พวกเขาบอกไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนสังเวียน


ยังไม่ทันที่ฝูงชนจะพูดจบ ปราการแสงรูปทรงกลมก็ระเบิดออกอย่างกะทันหัน เผยให้เห็นภาพชายหนุ่มที่ถูกดาบแทงเข้าที่ศีรษะ


ชายผู้นั้นหมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายไปแล้ว


ตุ้บ!


ศพทรุดฮวบลงกับพื้นและสลายตัวไป


อาการตกตะลึงกระจายตัวไปทั่วฝูงชน


ที่บ้านพักของเจ้าเมืองแสงดาว ชายหนุ่มสองคนพูดคุยกันขณะเดินตรงไปยังลานบ้าน


“คราวนี้อวิ๋นเฟยหยางกับหวงเทาไปไหน?” ชายหนุ่มที่อยู่ทางซ้ายคำราม “สองคนนั้นทำตัวลับๆล่อๆมาสักพักแล้ว ไม่ยอมมารวมกลุ่มกับพวกเรา ถ้ารู้ว่าก่อนหน้านี้มีสาวๆสวยๆอยู่เยอะขนาดไหนล่ะก็ คงได้เสียดายจนหน้าเหลืองหน้าเขียวแน่!”


เขามีรูปร่างผอมสูงราวกับไม้ไผ่ สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นเตะตาคือท่อนแขนเรียวยาวที่อยู่ข้างลำตัว


“ทำไมจะต้องเสียดาย? สองคนนั้นน่ะซื้อตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลสองอันทันทีที่มาถึง และใช้ฉายานักดาบมหากาฬกับเมฆผงาดเพื่อท้าดวลกับชาวบ้าน!” ชายหนุ่มที่อยู่ทางขวาตอบอย่างหงุดหงิด


เขามีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมและน้ำเสียงหยาบกระด้าง จากน้ำเสียงของเขา เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับการกระทำของทั้งคู่


“ท้าดวลกับชาวบ้าน?” ไม้ไผ่หัวเราะลั่น “เป็นถึงศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน แต่มาที่นี่เพื่อท้าดวลกับคนบ้านนอกพวกนั้น ศักดิ์ศรีหายไปไหนหมด? ต่อให้ชนะ แล้วมีเกียรติตรงไหน?”


“ผมก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นคิดอะไร ทั้งเมืองนี้ ผมเชื่อว่ามีแต่ท่านเจ้าเมืองแสงดาวเท่านั้นที่คู่ควรกับพวกเราในการประลองศิลปะเพลงดาบ แต่พวกนั้นกลับลดตัวลงไปท้าดวลกับชาวบ้าน เรียกร้องความสนใจละมั้ง?”


ขณะที่กำลังส่ายหน้า ทั้งหน้าเหลี่ยมและไม้ไผ่ก็เดินมาถึงลานบ้าน


ทันทีที่เข้าไป ก็เห็นหนึ่งในผู้ที่พวกเขาเพิ่งพูดถึง, หวงเทา กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะหินตัวหนึ่งด้วยแววตาเลื่อนลอย


“ไง? เล่นงานบรรดานักรบของเมืองแสงดาว…สนุกไหม? พวกนั้นคุกเข่าร้องขอความเมตตาจากวีรบุรุษอย่างคุณหรือเปล่า?” ไม้ไผ่เดินเข้าไปเย้าแหย่หวงเทา


หน้าเหลี่ยมตบไหล่หวงเทาและตั้งคำถาม “คุณน่ะเป็นสุภาพบุรุษตลอด ปล่อยให้พวกนั้นสำแดงกี่กระบวนท่าล่ะ?”


เมื่อเห็นทั้งคู่ หวงเทาก้มหน้าอย่างอับอายขณะใช้นิ้ววาดรูปวงกลมบนโต๊ะ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขาเองก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น “ผมแพ้!”


ราวกับจะช่วยยืนยันความพ่ายแพ้ ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่แตกเป็นเสี่ยงๆวางอยู่บนโต๊ะตัวนั้น


“คุณถูกสังหารในหอนิรันดร์หรือ?”


หน้าเหลี่ยมกับไม้ไผ่ตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ


พวกเขาคือศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน ในแง่ของเทคนิค ย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับนักรบคนไหน ทักษะการต่อสู้ของพวกเขาสูงส่งพอจะทำให้นักรบบ้านนอกทุกคนยำเกรง แต่หวงเทากลับลงเอยด้วยความตาย


เรื่องนี้เหลือเชื่อเสียจนแทบรับไม่ได้


“คุณใช้ดาบของคุณหรือเปล่า?” หน้าเหลี่ยมถาม


“ผมใช้! แต่ก็แพ้เพราะถูกดาบที่หมอนั่นโยนออกมาแทงเข้าที่หัว…ผมยังไม่มีโอกาสสำแดงศิลปะเพลงดาบของผมเลยด้วยซ้ำ!” หวงเทาแทบอยากจะมุดดินเพราะความอับอายขายหน้า


“คุณยังไม่ได้สำแดงสักกระบวนท่าก่อนจะถูกแทงที่หัว?”


ทั้งคู่รู้สึกเหมือนหูฝาด


เห็นอีกฝ่ายยังข้องใจ หวงเทาพูดต่อ “ศิษย์พี่อวิ๋นเฟยหยางก็อยู่กับผมตอนที่เกิดเหตุ แต่เขายังไม่ออกมาเลย ผมเชื่อว่าเขาคงท้าดวลกับหมอนั่น ไว้เขากลับมาเมื่อไหร่ คุณถามเขาก็ได้”


“เฟยหยางก็อยู่ด้วย? เขาคือหนึ่งในพวกเราสี่คนที่กำลังจะได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน ด้วยทักษะเพลงดาบอันไร้เทียมทานของเขา เขาคงเล่นงานนักรบทุกคนที่นี่ได้สบาย” ไม้ไผ่ปลอบ


จากนั้น ทั้งสามก็ลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปยังลานบ้านบริเวณใกล้เคียงเพื่อดูว่าอวิ๋นเฟยหยางเป็นอย่างไร ทันทีที่เดินเข้าไป ก็เห็นร่างหนึ่งที่พวกเขาเคยยกย่องกำลังจับจ้องตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่แตกเป็นเสี่ยงๆตรงหน้า เหมือนอย่างที่หวงเทาเคยทำ สีหน้าของเขาบ่งบอกความตะลึงระคนสับสน ดูเหมือนเพิ่งได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง


ทั้งสามอ้าปากค้างแล้วรีบเข้าไป “คงไม่ใช่ว่า…คุณก็ถูกสังหารเหมือนกันหรอกนะ?”


อวิ๋นเฟยหยางคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา หากแม้แต่อวิ๋นเฟยหยางยังถูกสังหารได้ นักรบผู้นั้นจะต้องทรงพลังขนาดไหน?


“ผมสำแดงกระบวนท่าน้ำไหลไร้ขอบเขต แต่ก็ต้านทานการโยนดาบของเขาไม่ได้ กระบวนท่าเดียวนั่น…มันงดงามยิ่งกว่าทุกสิ่งที่ผมเคยเห็น…” ความคิดของอวิ๋นเฟยหยางล่องลอยไปขณะหวนนึกถึงการโยนดาบที่เพิ่งเกิดขึ้น


“คุณสำแดงกระบวนท่าน้ำไหลไร้ขอบเขต?” ทั้งสามอุทานด้วยความตกใจ


กระบวนท่านั้นเรียกได้ว่าเป็นศิลปะเพลงดาบสำหรับการป้องกันตัวขั้นสูงสุดที่ฝึกฝนกันในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายนอกของสำนักดาบเมฆเหิน ศิลปะเพลงดาบนี้จะห่อหุ้มร่างของผู้สำแดงไว้ด้วยกระแสน้ำเข้มข้นหลายชั้น เกิดเป็นสายน้ำไหลเชี่ยว ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเล่นงานหรือโจมตีอย่างไร กระแสน้ำที่ปกป้องอยู่จะสะท้อนการโจมตีนั้นกลับไปทันที


เรียกได้ว่าเป็นกระบวนท่าที่ไม่มีนักรบคนไหนในระดับวรยุทธเดียวกันจะทำลายได้


ทั้งๆที่สำแดงกระบวนท่านั้น อวิ๋นเฟยหยางก็ยังพ่ายแพ้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว คู่ต่อสู้เก่งกาจไร้เทียมทานขนาดนั้นเลยหรือ?


และที่อาการหนักกว่า…ขนาดถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ก็ยังคิดว่าศิลปะเพลงดาบนั้นช่างงดงาม สีหน้าปลื้มปริ่มของเขาดูราวกับกำลังพร่ำเพ้อละเมอถึงคนรัก!


“ผมอยากเห็นศิลปะเพลงดาบนั่นกับตา เฟยหยาง คุณยังมีตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอีกอันให้ผมใช้ไหม?”


หลังจากตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม้ไผ่กับหน้าเหลี่ยมก็พบว่าพวกเขากำลังตัวสั่นด้วยความอยากรู้ ทั้งคู่ อยากพบผู้ที่สามารถสำแดงศิลปะเพลงดาบที่เหนือชั้นกว่าแม้แต่หวงเทากับอวิ๋นเฟยหยาง


“ผมส่งคนไปซื้อตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลทันทีที่ผมฟื้น คงจะได้เร็วๆนี้แหละ” อวิ๋นเฟยหยางตอบ


หอนิรันดร์ทุกแห่งมีตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของตัวเอง ด้วยการใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเท่านั้นที่นักรบคนหนึ่งจะสามารถเชื่อมต่อกับ ‘โครงข่ายอาณาเขต’ ได้


ไม่ช้า คนรับใช้คนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาพร้อมกับตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล 8 อัน แต่ละอันมีมูลค่าหลายหมื่นเหรียญนิรันดร์ แม้จะเป็นเงินมหาศาลสำหรับตั้นเฉี่ยวเทียนและคนอื่นๆ แต่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับบรรดาศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน


วิ้ง!


ทั้งสี่รีบเชื่อมการติดต่อกับหอนิรันดร์ของเมืองแสงดาว ก่อนจะตรงเข้าสู่สังเวียนประลอง


“รอบที่ 7, เจ้าโลกคือผู้ชนะ!”


“ผมอยากเข้าสู่รอบ 8”


ทันทีที่ทั้งสี่ไปถึง ก็เห็นว่าเจ้าโลกชนะการดวลนัดที่ 7 แล้ว


คู่ต่อสู้คนที่ 7 ของเขาเป็นนักสู้ผู้โด่งดังในสังเวียนประลอง, ราชาสลาตัน


ราชาสลาตันขึ้นชื่อเรื่องการเคลื่อนไหวอันแผ่วเบาและว่องไวอย่างน่าทึ่งของเขา ทุกอย่างดูลื่นไหลราวกับสายลม ตั้งแต่เริ่มการดวล ร่างของเขาก็หายวับไป ไม่มีผู้ชมคนไหนระบุตำแหน่งของเขาได้ แต่ด้วยการเตะเสยกลางอากาศอย่างเต็มเหนี่ยว เจ้าโลกก็โจมตีหว่างขาของอีกฝ่ายได้อย่างจัง…


แน่นอนว่านั่นคือจุดจบของราชาสลาตัน


“มีใครอยากเข้าร่วมการดวลนัดที่ 8 ไหม?”


ไม่มีใครตอบรับสักคน


จริงอยู่ว่าการแลกหมัดกับผู้เชี่ยวชาญสักคนถือเป็นการบ่มเพาะทักษะของนักรบผู้นั้น แต่มันจะเป็นอย่างนั้นได้ก็ต่อเมื่อช่องว่างของประสิทธิภาพการต่อสู้ระหว่างทั้งคู่ไม่ได้ห่างกันเกินไป จะมีประโยชน์อะไรหากพวกเขาต้องจบเห่ภายในวินาทีเดียวหลังจากก้าวขึ้นสู่สังเวียน? ไม่มีใครมีเงินมากพอจะมาโยนทิ้งกับเรื่องสูญเปล่าแบบนี้


“ผมเอง!”


ไม้ไผ่รีบลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่สาว เพียงครู่เดียวเขาก็ปรากฏตัวบนสังเวียนประลอง


เมื่อเห็นว่ายังมีคู่ต่อสู้ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


ตอนที่ 1927 พวกองค์กรทุนนิยม!

เขาได้เงินมาจำนวนหนึ่งแล้วจากการชนะดวลติดต่อกัน 7 รอบ แต่ก็ยังไม่มากพอให้จ่ายค่ายาเม็ดตะวันสีน้ำเงิน ถ้าไม่มีใครตอบรับคำท้าดวลของเขา การจะหาเงินให้ได้ครบตามจำนวนก็คงลำบาก


ไม้ไผ่ยืนนิ่งบนสังเวียน ประเมินชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน


อีกฝ่ายดูธรรมดาสามัญเหลือเกิน ไม่มีอะไรเตะตาหรือเป็นที่สังเกต หมอนี่เอาชนะศิษย์พี่ทั้งสองคนของเขาได้อย่างไร?


“นักดาบอีกคนหรือ?” จางเซวียนเปรยเมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาชักดาบออกมา


ไม้ไผ่พยักหน้าขณะชักดาบออกจากฝัก เขารี่เข้าใส่โดยไม่ลังเล


จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอวิ๋นเฟยหยางและหวงเทา ก็ชัดเจนว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง เขาจึงตัดสินใจออกตัวก่อน


แต่ยังไม่ทันที่ดาบของเขาจะเข้าถึงตัวคู่ต่อสู้ ก็เกิดแสงสว่างวาบตรงหน้า มันเจิดจ้าราวกับพระอาทิตย์ขึ้น รังสีของมันทำให้เขาจังงังไปครู่หนึ่ง


พลั่ก!


อีกร่างหนึ่งทรุดฮวบลงกับพื้น


หน้าเหลี่ยมอ้าปากค้าง


เขาเคยคิดว่าหวงเทากับอวิ๋นเฟยหยางยกยอพละกำลังของอีกฝ่ายเกินจริง แต่เท่าที่เห็น ที่พูดมายังน้อยไปด้วยซ้ำ!


ความสามารถในการป้องกันตัวของอวิ๋นเฟยหยางถือเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดบรรดาของศิษย์สายตรงฝ่ายนอก แต่ถ้าเป็นการโจมตี ไม้ไผ่รั้งอันดับหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้แตะแม้กระทั่งแขนเสื้อของอีกฝ่าย


ใช้คำว่าน่าสะพรึงก็ยังน้อยไป!


หวงเทามองหน้าเหลี่ยม “คุณจะลองไหม?”


“ผม…” หน้าเหลี่ยมส่ายหัวและพูดเสียงอ่อย “ขนาดพวกคุณสามคนยังสู้เขาไม่ได้ ผมก็ไม่คิดว่าผมจะทำได้ดีกว่านั้นหรอก…ผมขอผ่าน!”


เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหา แต่เพราะขนาดไม้ไผ่กับอวิ๋นเฟยหยางที่เป็นสองผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายนอกก็ยังเทียบชั้นกับอีกฝ่ายไม่ได้ เขาคงต้องมีชะตากรรมแบบเดียวกันหากเข้าไปท้าทายหมอนั่น!


“ผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งขนาดนี้ปรากฏตัวในเมืองแสงดาวตั้งแต่เมื่อไหร่? เราต้องรายงานเรื่องนี้ให้ผู้อาวุโสลู่รับทราบ” หน้าเหลี่ยมพูด


“ถูกต้อง!”


ทุกคนพยักหน้า จากนั้นก็รีบออกจากหอนิรันดร์และหายวับไป


…..


“ในที่สุด เราก็เล่นงานคู่ต่อสู้คนที่ 8 ได้สำเร็จ…” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


เขากังวลอยู่ว่าการไม่มีคู่ต่อสู้อาจเป็นอุปสรรคขัดขวางการหาเงินของเขา แต่โชคดีที่มีเจ้าโง่อีกคนหนึ่งกระโจนขึ้นมาในวินาทีสุดท้าย โลกนี้มีคนใจกว้างอยู่มากมายเหลือเกิน!


จางเซวียนรีรออยู่บนสังเวียนประลองอีกครู่หนึ่ง แต่ไม่มีใครอยากดวลกับเขาในรอบที่ 9 จึงจำใจต้องลงจากสังเวียนอย่างผิดหวัง


เขากลับไปที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า และเมื่อพบเจ้าหน้าที่ชายคนนั้นอีกครั้ง ทีท่าของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


ด้วยวีรกรรมอันโด่งดังของจางเซวียนในสังเวียนประลอง เจ้าหน้าที่ชายจึงรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว


เขาเคยคิดว่าหมอนี่เป็นแค่เจ้าหนุ่มจนกรอบที่ยกหางตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง!


เหงื่อเย็นๆผุดออกจากหน้าผากของเจ้าหน้าที่ชาย เกรงว่าลูกค้าจะเอาคืนเรื่องกิริยามารยาทอันไม่สุภาพของเขาที่ทำไปเมื่อครู่ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนไม่ได้คิดจะตำหนิเขาแต่อย่างใด ก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก


“ผู้อาวุโสเจ้าโลก คุณยังเหลือเงินอยู่ 105,500 เหรียญนิรันดร์นะหลังจากจ่ายค่ายาเม็ดตะวันสีน้ำเงินแล้ว” เจ้าหน้าที่ชายพูดหลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการซื้อขาย


“ผมยังเหลือเงินมากกว่า 100,000 เหรียญนิรันดร์หรือ?” จางเซวียนชะงัก


สำหรับค่าตอบแทนจากการดวลเมื่อครู่ รวมแล้วก็น่าจะตกราว 25,000 เหรียญนิรันดร์ ด้วยเหตุนี้ เขาก็ควรเหลือเงินเพียง 5,500 เหรียญนิรันดร์เท่านั้น แล้วอีก 100,000 เหรียญมาจากไหน?


“ผู้อาวุโส, คู่ต่อสู้ในรอบที่ 5 และรอบที่ 6 ของคุณใช้อาวุธที่พวกเขาซื้อหามาเป็นพิเศษ เพราะทั้งคู่เสียชีวิต ดาบนั้นจึงถูกส่งคืนกลับสู่หอนิรันดร์ ซึ่งแต่ละเล่มมีมูลค่า 50,000 เหรียญนิรันดร์ ในเมื่อคุณคือผู้สังหารพวกเขา เงินนั้นจึงเข้าบัญชีของคุณ ทำให้คุณมีเงินเพิ่มมาอีก 100,000 เหรียญ” เจ้าหน้าที่ชายอธิบาย


“พวกเขาซื้อดาบ แต่คุณสมบัติของดาบนั่นไม่ต่างกับดาบที่จัดไว้บนสังเวียนประลองเลยนะ…”


ดาบของพวกเขาไม่ได้คมกว่าหรือมีอานุภาพพิเศษกว่า ทำไมถึงแพงนัก?


“แม้ดาบทุกเล่มจะมีองค์ประกอบพื้นฐานเหมือนกัน แต่ดาบของพวกเขาถูกจารึกและออกแบบมาเป็นพิเศษ สีของด้ามจับก็ไม่เหมือนกัน ลำพังแค่การออกแบบก็ทำให้มีมูลค่าเล่มละ 50,000 เหรียญนิรันดร์แล้ว…”


จางเซวียนอ้าปากค้าง


เพราะฉะนั้น ซื้อ ‘ความมีหน้ามีตา’ ก็ได้ แถมราคาไม่ถูกด้วย


พวกองค์กรทุนนิยม!


ก็อีกนั่นแหละ มีคนแบบนี้อยู่มากมายทั่วโลก คนที่มีเงินเยอะก็มักทำตัวให้โดดเด่นแตกต่างจากคนทั่วไป ถึงจะไม่อาจปรับเปลี่ยนวรยุทธและองค์ประกอบของข้าวของที่ใช้ได้ แต่อย่างน้อยก็ทำตัวให้แตกต่างได้ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์และอาวุธ


“ผมจะนำยาเม็ดที่ผมซื้อออกไปได้อย่างไร?” จางเซวียนถาม


“ผู้อาวุโสเจ้าโลก คุณก็แค่ใช้โทรจิตสื่อสารกับตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของคุณก่อนจะออกจากหอนิรันดร์ และเปิดใช้ค่ายกลทะลุมิติ แล้วของที่คุณซื้อจะถูกส่งถึงคุณทันที” เจ้าหน้าที่ชายตอบ


“ก็สะดวกสบายดีนะ!”


นึกไม่ถึงว่าจะได้รับบริการดีๆแบบนี้ จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ


เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เขาก็รีบออกจากหอนิรันดร์และกลับสู่ห้องเงียบห้องนั้น


จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ เขาวางตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไว้ตรงหน้าและใช้โทรจิตสื่อสารกับมัน


เกิดเสียงหึ่งเบาๆ ขวดหยกใบหนึ่งปรากฏตรงหน้า ในขวดหยกใบนั้นคือยาเม็ดตะวันสีน้ำเงิน


เราคงจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังจากกินยานี้ จางเซวียนคิดขณะเปิดจุกขวดแล้วเทยาเม็ดลงบนฝ่ามือ


เขากำลังจะกลืนมันเข้าไป ก็พอดีกับที่รู้สึกถึงความเย็นเยือกบนฝ่ามือ น้ำเต้าลูกหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันแล้วกินยาเข้าไปทั้งเม็ด


“เวรละ…” จางเซวียนหน้าแดงก่ำ


น้ำเต้าลูกนี้คือน้ำเต้าตงฉู่ที่เข้าไปเกลือกกลิ้งอยู่ในจุดตันเถียนของเขาอย่างหน้าไม่อาย และไม่ยอมออกมาด้วย ล่าสุด มันกระโจนออกมากลืนกินเลือดมังกรที่เขาได้จากอำมาตย์เฉินหลิง และคราวนี้เหตุการณ์แบบเดิมก็เกิดซ้ำอีก…


มีเวลาให้ปรากฏตัวตั้งมากมาย ทำไมต้องโผล่มาตอนนี้ แถมขโมยกินยาเม็ดฟื้นฟูสภาพร่างกายที่เขากำลังต้องการมาก?


ชาติก่อนฉันทำร้ายแกไว้หรือไง?


มันเรื่องอะไรฉันถึงต้องมาติดแหงกอยู่กับไอ้ตัวหน้าไม่อายอย่างแกด้วย?


จางเซวียนตัวสั่นจนหยุดไม่ได้ เขาคำรามลอดไรฟัน “อ้วกมันออกมา เดี๋ยวนี้! เร็วๆเข้า!”


เขาคว้าตัวน้ำเต้าไว้แน่นและปล่อยพละกำลังออกมาด้วยความโมโห แต่โชคร้ายที่พละกำลังที่จางเซวียนสำแดงถูกจำกัดไว้ด้วยอาการบาดเจ็บของเขา


“ก็กลืนลงไปแล้วนี่ แต่ผมอึมันออกมาได้นะถ้าคุณต้องการ” น้ำเต้าตงฉู่ส่ายก้นอย่างเบิกบานใจ


“อึบ้านแกสิ!” จางเซวียนทุ่มน้ำเต้าตงฉู่ลงกับพื้นแล้วกระทืบมันสองหนด้วยความโมโหเดือด ก่อนที่ความโกรธจะทุเลาลงเล็กน้อย “ฉันขอเตือนแกนะ ถ้าแกกล้ารบกวนการฟื้นฟูสภาพร่างกายของฉันอีกหนเดียว ฉันจะโยนแกลงในบ่อเกรอะ!”


“คุณได้รับบาดเจ็บจากคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติและเวลา พละกำลังทำลายล้างของมันยังตกค้างอยู่ในร่างกายนะ แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าการกินยาเม็ดนั่นน่ะจะทำให้คุณต้องใช้เวลาฟื้นฟูสภาพร่างกายนานแค่ไหน?” น้ำเต้าพรั่งพรูอย่างหมดความอดทน


“แกกำลังจะบอกฉันว่ายาเม็ดตะวันสีน้ำเงินไม่ดีพอจะเยียวยาอาการบาดเจ็บของฉันหรือ?”


จางเซวียนไม่อาจใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบสภาพสภาพร่างกายของเขา อีกทั้งขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อสำรวจอาการของอวัยวะภายในก็ไม่ได้ จึงประเมินไม่ถูกว่าอาการบาดเจ็บของตัวเองสาหัสแค่ไหน


“โธ่! มันรักษาได้แค่อาการบาดเจ็บทั่วไปเท่านั้น…แต่ถ้าเป็นอาการบาดเจ็บที่เกิดจากคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติและเวลาล่ะก็ ต่อให้คุณกินยานั่นเป็นตันก็ไม่ช่วยอะไรหรอก” น้ำเต้าตอบ


“ถ้าอย่างนั้น…ฉันต้องกินยาชนิดไหน?” จางเซวียนถาม


เขารู้ว่าน้ำเต้าตงฉู่จะต้องมีความพิเศษบางอย่าง คราวนี้จึงตัดสินใจถามความคิดเห็นของมัน บางทีอาจได้อะไรดีๆก็เป็นได้


“คุณต้องกินยาที่มีอานุภาพรักษาบาดแผลจากคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติและเวลาโดยเฉพาะ แต่ยาชนิดนี้ก็หายากและแพงมาก คนอย่างคุณน่ะไม่มีปัญญาหาได้หรอก…แต่คุณก็ยังโชคดีนะ ถ้าคุณนำยาแบบเมื่อครู่นี้มาให้ผมอีกสัก 2-3 เม็ดแล้วปล่อยให้ผมกินล่ะก็ ผมจะบอกให้ว่าคุณจะรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างไร…” น้ำเต้าคุยเขื่อง


แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ จางเซวียนก็กระเสือกกระสนไปจนถึงประตูห้องและตะโกนเรียก “ตั้นเฉี่ยวเทียน เอาเครื่องตัดมา!”


“เครื่องตัด?”


ผมมีน้ำเต้าอยู่ลูกหนึ่งที่ต้องผ่าครึ่ง ถ้าคุณไม่มีเครื่องตัดล่ะก็ เอาขวานมาก็ได้!” จางเซวียนตะโกน


ทันทีที่ขวานถึงมือ จางเซวียนเล่นงานน้ำเต้าตงฉู่ทันที เขาใช้ขวานจามมันอย่างโกรธเกรี้ยวราวกับคนคลุ้มคลั่ง


เห็นจางเซวียนเอาจริง น้ำเต้ารีบยอมแพ้ “ก็ได้…ก็ได้! ผมจะบอกให้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร อันที่จริง เหตุผลที่ผมอยากได้ยาเม็ดนั้นน่ะไม่ใช่เพราะผมตะกละหรือโลภมากนะ แต่เป็นเพราะพลังงานของผมร่อยหรอและต้องการยาเม็ดเพื่อเข้าไปฟื้นฟูสภาพของมันสักเล็กน้อยก่อนที่ผมจะเยียวยาบาดแผลให้คุณได้!”


“อย่าเล่นตุกติกกับฉัน…” จางเซวียนจ้องหน้าน้ำเต้าตงฉู่ขณะกดคมขวานลงที่ตัวน้ำเต้า


“มะ-ไม่หรอกน่ะ! ผมจะทำแบบนั้นทำไม…” น้ำเต้าตงฉู่ละล่ำละลัก


จางเซวียนส่งสายตาเชือดเฉือนใส่น้ำเต้าตงฉู่เป็นการทิ้งท้าย เขากลับไปที่หอนิรันดร์และใช้เงินที่เหลืออยู่ 100,000 เหรียญนิรันดร์ซื้อยาเม็ดตะวันสีน้ำเงินมา 5 เม็ด ก่อนจะกลับมาอีกครั้ง


หลังจากได้กินยาทั้ง 5 เม็ด น้ำเต้าตงฉู่เรออย่างพออกพอใจก่อนจะสั่งการอย่างยืดยาด “เตรียมหม้อใส่น้ำมาใบหนึ่งและนำผมลงไปต้มให้เดือด…2 ชั่วโมงหลังจากนั้นให้ดื่มน้ำนั้นลงไป แล้วบาดแผลของคุณจะดีขึ้น”


“แกจะให้ฉันดื่มน้ำที่แกอาบหรือ?”จางเซวียนถึงกับอึ้ง


นี่มันใช่วิธีการรักษาที่ถูกที่ควรไหม?


“ใช่แล้ว!” น้ำเต้าตงฉู่พูดขณะนอนเหยียดยาวอยู่กับพื้น “เร็วเข้าเถอะ ถ้าไม่รีบทำ ผมจะกลับไปพักผ่อนแล้วนะ…”


รู้ดีว่าเจ้าน้ำเต้าตงฉู่หน้าด้านหน้าทนนี่จะต้องทำอย่างที่พูด จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่ค่อยเชื่อถือกรรมวิธีที่น้ำเต้าตงฉู่แนะนำ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ จึงตัดสินใจลองดู


จางเซวียนรีบสั่งการตั้นเฉี่ยวเทียนซึ่งรออยู่ด้านนอกให้นำหม้อใส่น้ำใบหนึ่งเข้ามาในห้อง


ไม่ช้า ตั้นเฉี่ยวเทียนก็เข้ามาพร้อมกับหม้อใบหนึ่งที่ใส่น้ำเต็ม เขากำลังสงสัยว่าท่านอาจารย์จะทำอะไร…ตอนแรกท่านอาจารย์ก็เรียกหาเครื่องตัดและขวาน มาตอนนี้ก็ต้องการหม้อใส่น้ำ…คิดจะเตรียมชาบูหรือ?


เมื่อคิดขึ้นได้ ตั้นเฉี่ยวเทียนผู้เอาใจใส่ก็ถามทันที “ท่านอาจารย์…คุณอยากได้เนื้อแกะ ลูกชิ้นปลา หรืออะไรทำนองนั้นไหม? ผมเตรียมให้ได้ตอนนี้เลยนะ!”


“….” จางเซวียน


ต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะพูดจาให้ตั้นเฉี่ยวเทียนที่แสนมีน้ำใจเข้าใจว่าเขาไม่ได้คิดจะกินชาบู และหลังจากส่งศิษย์สายตรงคนที่ 10 ของเขาออกจากห้องแล้ว จางเซวียนก็จุดไฟที่ก้นหม้อก่อนจะโยนน้ำเต้าตงฉู่ลงไป


ตอนที่ 1928 ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นกับผม?

น้ำเต้าตงฉู่ดูจะไม่เดือดร้อนกับอุณหภูมิในหม้อใบนั้น มันว่ายไปมาอย่างอิสระเสรีอยู่ครู่หนึ่ง แล้วอีกสักพักก็ดำลงไปใต้น้ำ ราวกับกำลังใช้เวลาพักผ่อนอย่างมีความสุข


ภาพอันเหลือเชื่อนั้นทำให้จางเซวียนกุมขมับขณะสงสัยว่าเขาบ้าไปแล้วหรือเปล่าที่ฟังคำแนะนำของน้ำเต้าตงฉู่


เขาคือบุคคลผู้โดดเด่นในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ที่นี่, มิติเบื้องบนแห่งนี้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเบ๊ เป็นลูกไล่ของน้ำเต้าตงฉู่ ทำให้ขัดอกขัดใจมาก


ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือเขายังไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าน้ำเต้าพิลึกพิลั่นนี้คืออะไร?


ขณะที่นักรบคนอื่นๆสามารถสั่งการบรรดาของล้ำค่าของพวกเขาให้ทำตามใจได้ เจ้านี่กลับเข้าไปอยู่ในจุดตันเถียนของเขาทันทีที่เจอหน้ากัน แถมยังปฏิเสธไม่ยอมออกมาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ยังพยายามฉกฉวยข้าวของทุกอย่างของเขาไปเป็นของตัวเอง…


ดูเหมือนน้ำเต้าตงฉู่พร้อมจะเล่นงานจางเซวียนทันทีที่เขาไม่ทันระวังตัว และเรื่องที่ทำให้เขาโมโหเดือดจนถึงตอนนี้ก็คือไม่รู้เลยว่าต้องมาลงเอยกับของบ้าๆชิ้นนี้ได้อย่างไร?


2 ชั่วโมงผ่านไป น้ำเต้าตงฉู่ไม่เอ่ยปากร้องขอให้จางเซวียนนำตัวมันออกจากหม้อ มันกระโจนออกจากหม้อและสลัดเนื้อตัวเพื่อไล่น้ำออก ก่อนจะรีบกลับเข้าไปอยู่ในจุดตันเถียนของจางเซวียน


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขายกหม้อขึ้นจิบ มันให้ความรู้สึกสดชื่นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างทันที บรรเทาอาการเจ็บปวดจากบาดแผลได้อย่างชะงัด


ใช้ได้ผลจริงๆ…จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น


เขาเตรียมขวานไว้แล้วเผื่อกรณีที่น้ำเต้าตงฉู่จะหลอกลวงเขา แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามันได้ผล!


น้ำเต้าตงฉู่คือของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับมิติ ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้มันรักษาอาการบาดเจ็บที่เกิดจากคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติและเวลาได้…จางเซวียนสันนิษฐาน


ไม่ช้าเขาก็ดื่มน้ำจนหมดหม้อ อาการบาดเจ็บดีขึ้นทันตาเห็น


ภายในไม่ถึง 1 ชั่วโมง ผ้าพันแผลที่พันรอบตัวจางเซวียนก็ร่วงลงไปกองกับพื้น


ในที่สุด อาการบาดเจ็บของเราก็หายดี แต่เรายังไม่ได้พลังปราณกลับคืนมา…จางเซวียนคิด


เขาไม่ใช่คนป่วยอีกแล้ว แต่พลังปราณที่สูญเสียไปยังไม่ได้รับการเติมเต็ม


จางเซวียนจึงทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอีกครั้งและซึมซับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทซึ่งอยู่รอบตัวอย่างระมัดระวัง เขาเปิดจุดชีพจรทั้งหมดและซึมซับพลังงานนั้นอย่างช้าๆ


ซรืดดดดด!


ทันทีที่พลังงานพวยพุ่งเข้าสู่ร่าง จางเซวียนรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่กดทับทางเดินพลังปราณของเขา แต่โชคดีที่ไม่มีอาการตึงเครียดเหมือนจะฉีกขาดอย่างที่เคยเป็นมาก่อน


ร่างกายของเราเริ่มจะคุ้นชินกับพลังงานนี้ไปพร้อมๆกับบาดแผลที่ดีขึ้นใช่ไหม? จางเซวียนตาโต


เขาขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าแบบปกติแทนที่จะเป็นแบบย้อนกลับ ซึ่งครั้งล่าสุดที่เขาทำแบบนี้ในอาณาจักรคุนฉื่อ ก็เกือบทำให้ทางเดินพลังปราณของตัวเองฉีกขาด แต่บาดแผลที่ได้รับการเยียวยาในครั้งนี้ดูจะทำให้ทางเดินพลังปราณของเขาแข็งแกร่งขึ้น ส่งผลให้จางเซวียนรับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทเข้าสู่ร่างกายได้โดยปราศจากปัญหา


ขณะที่พลังจิตวิญญาณเข้าสู่ร่างกาย จางเซวียนรีบขับเคลื่อนมันให้ไหลเวียนไปทั่วร่างอย่างรวดเร็วและแปรสภาพให้กลายเป็นพลังปราณ


“ถ้าเป็นอย่างนี้ เราคงฟื้นตัวได้ดังเดิมภายใน 3 วัน!” จางเซวียนคิดคำนวณอัตราการซึมซับพลังงานของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก


ในฐานะเซียนฟ้าประทานและครูบาอาจารย์ของโลก ปริมาณพลังปราณของเขาอยู่ในระดับที่เรียกว่าน่าทึ่ง ต่อให้มีเคล็ดวิชาเทียบฟ้าและพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทซึ่งอบอวลอยู่ในอากาศ จางเซวียนก็ยังต้องใช้เวลาถึง 3 วันเต็มกว่าจะเรียกพลังปราณกลับคืนมาได้ในระดับเดิม


แต่ขอแค่เขาพอมีพลังปราณอยู่บ้าง ก็สามารถสำแดงพละกำลังของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้นได้ พูดอีกอย่างก็คือ ในเมืองชวนเจียงแห่งนี้ไม่มีอะไรให้เขาต้องหวาดกลัวอีกต่อไป


จางเซวียนฝึกฝนวรยุทธอีกระยะหนึ่งจนมีกระแสพลังปราณนับร้อยกระแสอยู่ในจุดตันเถียน ก่อนจะเรียกตั้นเฉี่ยวเทียนเข้ามา


ทันทีที่ตั้นเฉี่ยวเทียนเข้ามาในห้อง ก็เห็นว่าผ้าพันแผลของท่านอาจารย์หลุดออกจนหมดแล้ว ความอ่อนเพลียที่อีกฝ่ายเคยมีก่อนหน้านี้หายวับไป เขาตาโตด้วยความตื่นเต้นขณะถามว่า “ท่านอาจารย์ คุณหายดีแล้วหรือ?”


“ใช่ ผมอยากให้คุณออกหมัดพื้นฐานให้ผมดูเดี๋ยวนี้ ผมจะหาตำแหน่งของหนอนกู้ในตัวคุณและกำจัดมันให้คุณเสียเลย!” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


ตั้นเฉี่ยวเทียนพยักหน้า จากนั้นก็รีบออกหมัดพื้นฐาน


หลังจากได้เห็นหมัดพื้นฐาน จางเซวียนระบุตำแหน่งของหนอนกู้ แล้วทาบฝ่ามือของเขาลงบนบริเวณนั้นอย่างแผ่วเบา


ฟิ้ววววว!


กระแสพลังปราณเทียบฟ้าพุ่งเข้าสู่ร่างของตั้นเฉี่ยวเทียนผ่านทางจุดชีพจร เพียงครู่เดียวก็เข้าถึงจุดที่หนอนกู้ซ่อนตัวอยู่


ซรืดดดดด!


ราวกับเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ หนอนกู้ที่นอนเกียจคร้านอยู่เมื่อครู่เผ่นหนีอย่างพรั่นพรึงเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาลที่พุ่งเข้าหามัน แต่ยังไม่ทันจะไปได้ไกล กระแสพลังปราณอีกสายก็เข้ามาสกัดกั้นหนทางหลบหนี


มันถูกล้อม


เมื่อเจอกับการโจมตีของกระแสพลังปราณ 2 สาย หนอนกู้ก็แหลกสลายไป


ทันทีที่จางเซวียนนำซากหนอนกู้ออกมา ร่างของตั้นเฉี่ยวเทียนก็บวมฉึ่งอย่างรวดเร็วจนน่าสยดสยองราวกับมีใครเป่าลมใส่ เขาตัวพองเหมือนบอลลูน


“ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นกับผม?”


ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาลที่พร้อมจะฉีกกระชากร่างของเขาออกจากกันได้ทุกขณะ เขาหน้าซีดเผือดด้วยความพรั่นพรึง


“ผมเคยบอกคุณแล้ว เหตุผลที่ระดับวรยุทธของคุณไม่ก้าวหน้าทั้งที่คุณหมั่นเพียรฝึกฝนตลอด 10 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่เพราะคุณขยันไม่มากพอ แต่เป็นเพราะพลังจิตวิญญาณที่คุณซึมซับเข้าไปถูกหนอนกู้ที่อยู่ในตัวฉกฉวยไปหมด คุณคงนึกภาพออกนะว่าพลังงานที่มันขโมยไปจากคุณตลอด 10 ปีที่ผ่านมามีปริมาณมากมายแค่ไหน!” จางเซวียนอธิบายยิ้มๆ


“ตอนนี้พลังงานเหล่านั้นกลับคืนสู่ตัวคุณแล้ว จึงเกิดภาวะพลังงานล้นขึ้นมา รีบซึมซับพลังงานเหล่านี้ด้วยเทคนิควรยุทธที่ผมกำลังจะถ่ายทอดให้ อย่าได้รีรอ” จางเซวียนพูดขณะถ่ายทอดเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายเข้าสู่หัวสมองของตั้นเฉี่ยวเทียน


ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่มีเวลาพิจารณารายละเอียดที่เพิ่งได้รับ แต่เพราะเชื่อมั่นว่าท่านอาจารย์จะไม่ทำร้ายเขา จึงเริ่มขับเคลื่อนพลังปราณตามกรรมวิธีที่ระบุไว้


ทันทีที่ตั้นเฉี่ยวเทียนเริ่มซึมซับพลังงานเข้าสู่ร่างกาย ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ


โดยทั่วไป เมื่อใครสักคนซึมซับพลังจิตวิญญาณเข้าสู่พลังปราณ ก็จะต้องขัดเกลาและปรับมันให้เข้ากันกับสภาวะร่างกายเสียก่อน แต่พลังงานที่เขาได้คืนมาจากหนอนกู้ไม่ต้องผ่านขั้นตอนแบบนั้นเลย


ราวกับพลังงานเหล่านี้เป็นของเขาอยู่แล้วตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้ควบคุมและซึมซับมันได้อย่างสบาย


“คุณเป็นคนฝึกฝนวรยุทธเพื่อให้ได้พลังงานเหล่านี้มาตั้งแต่ต้น จึงเป็นธรรมดาที่จะขับเคลื่อนมันได้ง่าย รีบหน่อย, กระบวนการจะได้เสร็จสิ้นก่อนพลบค่ำ!” จางเซวียนอธิบายพร้อมกับยิ้มให้


“ขอรับ”


ตั้นเฉี่ยวเทียนหลับตาและเพ่งสมาธิกับการซึมซับพลังงานในร่างกาย


ทางเดินพลังปราณของเขาถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ทำให้พลังงานไหลเวียนไปทั่วอย่างราบรื่น วรยุทธของเขาที่หยุดชะงักอยู่ที่นักรบระดับเซียนขั้น 6 เริ่มก้าวหน้าด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง


วรยุทธระดับเซียนขั้น 7!


วรยุทธระดับเซียนขั้น 8!


วรยุทธระดับเซียนขั้น 9!


ตั้นเฉี่ยวเทียนสำเร็จวรยุทธเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 ในชั่วพริบตา แต่วรยุทธของเขาก็ยังไม่แสดงทีท่าว่าจะหยุด


เขาไม่ต้องผ่านการทดสอบวรยุทธหรือ? จางเซวียนขมวดคิ้ว


ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ผู้ที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 8 จะต้องเจอกับการทดสอบการแบ่งแยกมิติ และผู้ที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 จะต้องเจอกับการทดสอบก้าวสู่จักรวาล ในครั้งนั้น จางเซวียนต้องใช้ความพยายามมากมายกว่าจะผ่านมันไปได้


แต่ศิษย์สายตรงคนที่ 10 ของเขากลับก้าวหน้าไปได้โดยไม่เจอปัญหาใดๆเลย


คงเป็นเพราะสวรรค์ของมิติเบื้องบนแข็งแกร่งกว่า สำหรับพวกเขา วรยุทธระดับเซียนขั้น 8 และขั้น 9 น่าจะไม่ต่างอะไรกับวรยุทธขั้นจงซรือและจื้อจุน จึงไม่จำเป็นต้องส่งการทดสอบวรยุทธลงมาตอบโต้…จางเซวียนครุ่นคิด


เมื่อพิจารณาจากการที่พลเมืองธรรมดาสามัญของมิติเบื้องบนจะสำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 9 ได้เองเมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ ก็เป็นไปได้ว่าสวรรค์คงเหนื่อยตายเสียก่อนหากต้องส่งการทดสอบสายฟ้าลงมาให้คนเหล่านั้นจนครบ


ขณะที่จางเซวียนกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ตั้นเฉี่ยวเทียนก็ฝ่าด่านวรยุทธไปได้ถึงระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่


การพักฟื้นภายใน, ร่างอันทรงเกียรติ, แรงผลักดันสัญชาตญาณ…


วรยุทธของเขาก้าวหน้าไปจนถึงระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 ก่อนจะค่อยๆหยุดลง


หนอนกู้ได้ฉกฉวยเอาความเหนื่อยยากตลอด 10 ปีที่ผ่านมาของเขาไป แต่เมื่อมันถูกกำจัด ก็ทำให้ตั้นเฉี่ยวเทียนก้าวหน้าได้ทีเดียวถึง 6 ขั้น สำเร็จวรยุทธระดับเดียวกันกับเฉว่ชิง!


“ไม่เลว!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ


ศิษย์สายตรงคนนี้ของเขาเหมือนลู่ชง คือมีหัวใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น


ใครก็ตามที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากแบบเขาคงจะถอดใจและสิ้นหวังกับชีวิต แต่สำหรับตั้นเฉี่ยวเทียน แม้จะรู้ตัวว่าไม่อาจก้าวหน้าไปกว่าเดิม แต่ก็ยังอดทนและซึมซับพลังจิตวิญญาณอยู่ทุกวี่วัน


ความมุ่งมั่นนี้นำมาซึ่งความสำเร็จอย่างที่เห็น


มีแต่ผู้เพียรพยายามเท่านั้นที่จะได้รับสิ่งตอบแทน โลกนี้ไม่มีของฟรี


“ท่านอาจารย์!”


พละกำลังมหาศาลไหลพล่านไปทั่วร่างของเขา ความรู้สึกที่กลับคืนสู่ขาข้างซ้ายทำให้ตั้นเฉี่ยวเทียนน้ำตาคลอ เมื่อกลั้นไว้ไม่ไหว เขาทรุดตัวลงคุกเข่าและร่ำไห้


แม้จะมีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวแค่ไหน แต่เขาก็เป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง


เขาเคยคิดอยากตายให้พ้นจากความอับอายที่ถูกคู่หมั้นปฏิเสธ แต่ท่านอาจารย์ของเขาได้เปลี่ยนเป้าหมายของทั้งชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง


“ความมีน้ำใจย่อมได้รับความมีน้ำใจตอบแทน คุณคือผู้ยื่นมือช่วยเหลือผม และคุณก็คู่ควรกับทุกสิ่งที่ได้รับในเวลานี้…” จางเซวียนตอบยิ้มๆ “ในเมื่อวรยุทธของคุณเข้าถึงขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณแล้ว ผมขอถ่ายทอดเทคนิคการต่อสู้เพื่อป้องกันตัวบางส่วนให้คุณนะ”


คงเป็นความสูญเปล่าหากตั้นเฉี่ยวเทียนมีวรยุทธที่ทรงพลัง แต่ปราศจากเทคนิคการต่อสู้ที่จะนำมาใช้ให้สอดคล้องกัน


ตอนที่ 1929 ชื่อของเขา?

ดูฉือจูเป็นตัวอย่าง เขาใช้เวลา 200 ปีในการบ่มเพาะพลังงานภายในร่างกาย แต่นำมันมาใช้ไม่ได้ ทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา


“ผมรู้ว่าคุณฝึกฝนศิลปะเพลงดาบมานานแล้ว และผมก็บังเอิญคิดค้นศิลปะเพลงดาบขึ้นมาชุดหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ อยากให้คุณลองดูว่าจะเรียนรู้มันได้หรือไม่”


นับตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ตั้นเฉี่ยวเทียนทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกฝนวรยุทธและศิลปะเพลงดาบ แม้ความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของเขาจะไม่โดดเด่นอะไร แต่ก็คุ้นชินกับการใช้อาวุธมานาน จึงไม่คิดจะเปลี่ยนไปเป็นอาวุธชนิดไหน อีกอย่าง จางเซวียนรู้สึกว่าตั้นเฉี่ยวเทียนน่าจะเหมาะสมกับศิลปะเพลงดาบที่เขาเพิ่งได้มาจากหอนิรันดร์


ไม่ช้า ตั้นเฉี่ยวเทียนก็ได้ศึกษาศิลปะเพลงดาบ


มีเพียงกระบวนท่าเดียวในศิลปะเพลงดาบนั้น ซึ่งก็คือการโยนดาบ แต่กระบวนท่านี้ซับซ้อนกว่าที่เห็นมาก ผู้ฝึกฝนต้องควบคุมพละกำลังให้ได้อย่างแม่นยำเพื่อเล่นงานจุดอ่อนและฝ่าด่านการป้องกันตัวของศัตรูให้ได้


ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเส้นทางที่นำไปสู่ความเชี่ยวชาญในเทคนิคนี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก


อันดับแรก เขาต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพละกำลังของคู่ต่อสู้ และสามารถออกตัวเพื่อโจมตีได้ก่อน อันดับสอง ความเร็วคือกุญแจสำคัญของการเคลื่อนไหวรูปแบบนี้


แม้เทคนิคจะยากเย็นไม่น้อย แต่ตั้นเฉี่ยวเทียนมีความตั้งใจมุ่งมั่น เขาทุ่มเททุกอย่างให้กับการฝึกฝน เพราะเกรงว่าจะทำให้ท่านอาจารย์ไม่พอใจ


“ดีมาก!” จางเซวียนพยักหน้า


ศิษย์สายตรงที่เขาเพิ่งรับไว้คนนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับจ้าวหย่า หยวนเทา และคนอื่นๆในแง่ของสติปัญญาและความปราดเปรื่อง แต่กลับเหนือชั้นกว่าคนเหล่านั้นในด้านทัศนคติแง่บวกและความขยันหมั่นเพียร


หลังจากฝึกฝนอยู่ 2 ชั่วโมง จางเซวียนรู้ว่าตั้นเฉี่ยวเทียนได้รับความเข้าใจเบื้องต้นของเทคนิคที่เขามอบให้แล้ว ซึ่งก็ได้เวลากลับที่พักพอดี


“แกล้งทำเป็นพิการต่อไปนะ” จางเซวียนส่งโทรจิตเตือนตั้นเฉี่ยวเทียน


ตั้นเฉี่ยวเทียน, ซึ่งเมื่อครู่นี้เดินเหินอย่างคนปกติรีบทำเป็นพิการอีกครั้ง เหมือนอย่างที่เขาเป็นตลอด 10 ปีที่ผ่านมา


ด้วยการฝ่าด่านวรยุทธ ไม่เพียงแต่ขาของเขาจะหายดี ความสูงก็ยังเพิ่มขึ้นไม่น้อย แม้จะยังไม่สูงเท่าจางเซวียน แต่ก็สูงพอๆกับมิตรสหายรุ่นราวคราวเดียวกัน ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้ดีว่าคำสั่งของท่านอาจารย์ย่อมมีเหตุผล จึงค้อมตัวลงเพื่อให้ดูเตี้ยเหมือนอย่างเคย ผู้ที่ไม่สนิทสนมกับเขาจะไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรแตกต่างจากเดิม


ถึงตอนนี้ ฟ้าก็มืดแล้ว เมื่อผู้อาวุโสอี้มาถึงพร้อมกับเกี้ยวเทียมม้า สิ่งแรกที่เขารู้สึกได้คือตั้นเฉี่ยวเทียนที่เปลี่ยนไป เขาตัวแข็งด้วยความอัศจรรย์ใจ


ผู้อาวุโสอี้กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็พอดีกับที่เห็นนายน้อยที่ 3 ส่ายหน้า


รู้ดีว่าอีกฝ่ายย่อมมีเหตุผล ผู้อาวุโสอี้รีบกลบเกลื่อนความประหลาดใจและความยินดีปรีดาไว้ แต่ก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับให้จางเซวียนหลายครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน แล้วเชิญทั้งสองให้เข้าไปในเกี้ยว


เขาคิดอยู่เสมอว่านายน้อยที่ 3 ใจดีเกินไปที่ช่วยคนอื่นไว้ทั้งที่ตระกูลของพวกเขากำลังอยู่ในภาวะคับขัน แต่ใครจะไปคิดว่าความมีน้ำใจของนายน้อยจะกลายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง


“นายท่าน…ในที่สุดนายน้อยที่ 3 ก็หายดีแล้ว” ผู้อาวุโสอี้พึมพำกับตัวเองด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ


เขาปาดน้ำตาแห่งความปีติยินดีที่เอ่อขึ้นมา จากนั้นก็กระตุ้นม้าให้รีบกลับสู่ตระกูลตั้น


ไม่นานหลังจากทั้งสามจากไป เงาหลายเงาก็ปรากฏขึ้นที่มุมถนน คนเหล่านั้นเล็ดลอดผ่านความมืดมิดเพื่อแกะรอยการเดินทางของเกี้ยว


…..


เมืองแสงดาว


“คุณได้ข่าวไหม? ผู้เชี่ยวชาญผู้ไร้เทียมทานคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่หอนิรันดร์ในวันนี้ เขาได้ชัยชนะถึง 8 นัดรวดในการประลอง และสุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก ต้องจากไปเพราะไม่มีใครยอมดวลกับเขาอีก!”


“เอาชนะได้ 8 นัดรวด? สวรรค์โปรด! หลายร้อยปีมาแล้วนับตั้งแต่ผู้เชี่ยวชาญคนสุดท้ายปรากฏตัวขึ้นในหมู่พวกเรา ลองคิดดูสิ บรรดานักรบของสำนักดาบเมฆเหินกำลังเปิดรับศิษย์สายตรงในเมืองนี้อยู่ใช่ไหม? จะเป็นใครคนหนึ่งในนั้นหรือเปล่า?”


“ผมก็สงสัยอยู่ เหล่านักรบของสำนักดาบเมฆเหินเข้าท้าทายผู้เชี่ยวชาญคนนั้นเหมือนกัน แต่ก็พ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว!”


“เอาจริงๆสิ? คุณรู้ได้อย่างไร?”


“ในกลุ่มสี่นักรบจากสำนักดาบเมฆเหิน มีคนหนึ่งชื่ออวิ๋นเฟยหยางใช่ไหม? มีนักรบคนหนึ่งในหอนิรันดร์ที่ใช้ฉายาเมฆผงาด รูปร่างหน้าตาของเขาเหมือนกับอวิ๋นเฟยหยาง ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนท่าที่เขาใช้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นของสำนักดาบ…แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ถูกแทงที่ศีรษะภายในกระบวนท่าเดียว และตายทันที…”


“ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นทรงพลังขนาดนั้นเลย? เขาชื่ออะไร?”


“ชื่อของเขา? คิดก่อนนะ…รู้สึกว่าเขาชื่อเจ้าโลก!”


“เป็นชื่อที่เยี่ยมยอดอะไรอย่างนี้! ยิ่งใหญ่และล้ำลึกเกินหยั่ง แค่ได้ยินชื่อก็เกินพอจะทำให้ผมเย็นเยือกไปถึงกระดูกสันหลังแล้ว!”


“….”


…..


ข่าวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงตั้งแต่จางเซวียนออกจากหอนิรันดร์ ผู้เชี่ยวชาญเกือบทุกคนในเมืองแสงดาวก็รับรู้วีรกรรมของเขา ในชั่วพริบตา หอนิรันดร์ก็เต็มไปด้วยฝูงชนมากมายที่เป็นผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ พวกเขาเฝ้ารออยู่หน้าสังเวียนประลอง หวังให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีฉายาว่าเจ้าโลกปรากฏตัวอีกครั้ง เพื่อจะได้ชื่นชมศิลปะเพลงดาบอันล้ำเลิศของเขา


…..


เมืองแสงดาว, บ้านพักเจ้าเมือง


นี่คือสถานที่ที่บรรดาแขกผู้ทรงเกียรติจากสำนักดาบเมฆเหินมาพักค้างอ้างแรม


ในลานบ้านขนาดใหญ่ ชายชราคนหนึ่งกำลังฝึกฝนศิลปะเพลงดาบของเขา


การเคลื่อนไหวของชายชราเชื่องช้ามาก ดูเหมือนไร้เรี่ยวแรง แต่ทุกครั้งที่เขาขยับดาบ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนผืนโลกจะฉีกขาด บรรยากาศที่อยู่โดยรอบลานบ้านตึงเขม็งขึ้นมาภายใต้กระบวนท่าของเขา มันรวมตัวกัน เกิดเป็นพายุทอร์นาโดขนาดใหญ่


ในลานบ้านนั้นมีดอกไม้และต้นไม้ใบหญ้างอกงามอยู่มากมาย เมื่อกระแสลมจากดาบพัดผ่าน ก็น่าประหลาดใจที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆกับพวกมัน แต่หยดน้ำค้างที่อยู่เหนือดอกไม้และใบไม้เหล่านั้นดูจะหายวับไปทันที


สามารถกำจัดน้ำค้างออกจากดอกไม้ใบหญ้าได้โดยไม่ทำให้พวกมันบอบช้ำ นี่คือการควบคุมพละกำลังในระดับที่เรียกว่าน่าทึ่ง


ฟึ่บ!


ในที่สุดผู้อาวุโสก็หยุดการฝึกฝนศิลปะเพลงดาบและระบายลมหายใจเป็นควันขาวขุ่นออกมา ควันสีขาวลอยสูงขึ้นราว 30 เมตรก่อนจะสลายตัวไปในความมืดมิดยามค่ำคืน


“เข้ามาได้!” ผู้อาวุโสร้องเรียกขณะล้างมือในถังน้ำที่อยู่ข้างลานบ้าน


เขารู้ตัวสักระยะหนึ่งแล้วว่ามีผู้มาเยือนรออยู่หน้าประตู และรู้ว่าคนเหล่านั้นคือศิษย์น้องที่เขาพามาด้วย แต่เพราะกำลังอยู่ระหว่างการฝึกฝนศิลปะเพลงดาบ จึงปล่อยให้พวกนั้นรอไปก่อน


แอ๊ด!


อวิ๋นเฟยหยาง หวงเทา ไม้ไผ่ และหน้าเหลี่ยมเดินเข้ามา ทุกคนรีบโค้งคำนับและทักทาย “คารวะผู้อาวุโสลู่!”


ชายชราที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้อาวุโสลู่อวิ๋น ชายผู้ทำหน้าที่ดูแลการรับศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน


“อือ!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นเดินไปที่โต๊ะหินในลานบ้านและทรุดตัวลงนั่ง “บอกมาซิ มาหาผมดึกดื่นค่ำคืนแบบนี้ มีเหตุผลอะไร?”


ทันทีที่ได้ออกจากสำนักดาบเมฆเหิน เจ้าหนุ่มกลุ่มนี้ก็ทำตัวเหมือนนกคีรีบูนที่ถูกปล่อยออกจากกรง พยายามหลบเลี่ยงไม่มาพบหน้า เพราะเกรงว่าจะถูกจำกัดอิสรภาพ แต่วันนี้ทุกคนกลับมารวมตัวกันที่ด้านนอกลานบ้านของเขา…จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างแน่


“ผู้อาวุโสลู่ เมื่อไม่นานมานี้ อวิ๋นเฟยหยางกับหวงเทาไปที่หอนิรันดร์ของเมืองแสงดาว พวกเขาดวลกับใครคนหนึ่งในสังเวียนประลอง…” หน้าเหลี่ยมก้าวออกมารายงาน


ผู้อาวุโสลู่หน้าตึงทันที “ผมพอเข้าใจความรู้สึกของพวกคุณ ร่ำเรียนเทคนิคมาก็มากมาย คงอยากสำแดงมันให้ใครๆเห็น แต่ในฐานะศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน คุณควรจัดลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง เหตุผลที่คุณร่ำเรียนศิลปะเพลงดาบก็เพื่อบ่มเพาะตัวเองและค้นหาความลับของศิลปะเพลงดาบ ความขยันหมั่นเพียรคือกุญแจที่จะทำให้คุณได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน และนำความรุ่งเรืองมาสู่สำนักดาบเมฆเหินในท้ายที่สุด”


“วันนี้พวกคุณอาจภาคภูมิใจที่ได้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน แต่วันพรุ่งนี้ สำนักดาบเมฆเหินควรจะได้ภาคภูมิใจที่มีศิษย์สายตรงแบบพวกคุณ…ผมขอบอกตามตรงนะ พวกคุณกำลังเสียเวลาอันมีค่าไปโดยเปล่าประโยชน์!”


ถ้าเกมเมอร์ผู้ช่ำชองสักคนหนึ่งไปเยือนอินเทอร์เนตคาเฟ่แบบพื้นๆ ก็คงเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องโชว์ออฟเพื่อให้ได้รับความชื่นชมจากเกมเมอร์คนอื่นๆ แม้การกระทำนั้นจะดูน่าสนใจ แต่กลับไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง เกมเมอร์ผู้นั้นไม่ได้เรียนรู้อะไรสักอย่างจากประสบการณ์ที่ได้รับ


ได้ยินคำนั้น ใบหน้าของอวิ๋นเฟยหยางกับหวงเทาแดงก่ำด้วยความละอาย


“คราวนี้ผมจะไม่เอาความ แต่เรื่องแบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก เข้าใจใช่ไหม?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นสั่งการและโบกมืออย่างวางมาด จากนั้นก็เลิกคิ้วราวกับเพิ่งนึกบางอย่างได้ “สมัยก่อนที่ผมพาเหล่าศิษย์สายตรงออกมา เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นเหมือนกัน ถึงผมจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพวกเขา แต่มันก็ไม่ได้ขัดกับกฎเกณฑ์ของสำนักของเรา…แล้วพวกคุณทั้งสี่ก่อปัญหาหรือเปล่า?”


อวิ๋นเฟยหยางอึกอักเล็กน้อยด้วยความอับอาย “ผู้อาวุโสลู่…ตอนที่ผมเข้าสู่สังเวียนประลองที่หอนิรันดร์ ผมสำแดงกระบวนท่าน้ำไหลไร้ขอบเขตเพื่อเล่นงานคู่ต่อสู้!”


“คุณสำแดงกระบวนท่าน้ำไหลไร้ขอบเขต? ต้องใช้กระบวนท่าระดับนี้เพื่อเอาชนะนักรบของเมืองแสงดาวหรือ? ดูเหมือนคุณจะเจอผู้เชี่ยวชาญเข้าแล้วนะ!” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นผงะไปเล็กน้อยก่อนจะยกกาน้ำชาขึ้นเติมถ้วยชาของเขา


“ผมคิดค้นกระบวนท่านี้ขึ้นได้โดยบังเอิญขณะที่กำลังเฝ้ามองแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวเมื่อสมัยอายุยังน้อย ถึงแนวคิดของมันจะเรียบง่าย แต่ก็มีเศษเสี้ยวของกฎเกณฑ์ธรรมชาติบรรจุอยู่ ทำให้ฝึกฝนให้เชี่ยวชาญได้ยากมาก ถือว่าน่าประทับใจที่คุณสามารถสำแดงมันออกมา…ซึ่งก็แน่นอนว่าคู่ต่อสู้ที่สามารถกดดันให้คุณใช้กระบวนท่านี้จะต้องมีทักษะไม่น้อยเช่นกัน ในเมื่อคุณถึงกับใช้มัน ผมเชื่อว่าคุณคงต้อนเขาให้จนมุมและจัดการให้เขายอมแพ้ได้ใช่ไหม?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพูดยิ้มๆก่อนจะจิบชา


เขามั่นใจเต็มเปี่ยมในศิลปะเพลงดาบที่ตัวเองคิดค้น บรรดานักรบในเมืองแสงดาวจะต้องหวาดกลัวจนยอมจำนนเมื่อเผชิญกับกระบวนท่านี้ของเขา


เห็นผู้อาวุโสลู่อวิ๋นหลงตัวเองขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ความกระอักกระอ่วนของอวิ๋นเฟยหยางยิ่งเพิ่มขึ้น เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงบ่งบอกความลังเล “ตอนที่ผมสำแดงกระบวนท่านี้ คู่ต่อสู้ของผม…เขาแทงศีรษะของผมได้ด้วยการโยนดาบ…”


พรวด!


ผู้อาวุโสลู่พ่นน้ำชาอึกใหญ่ออกมาใส่หน้าของหน้าเหลี่ยม ทำให้ใบหน้าของเขาดูจะใหญ่กว่าเดิม จากนั้นก็ถามอย่างกระวนกระวายด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง “คุณว่าอะไรนะ?”


“ผม…ตั้งแต่เริ่มการดวล ผมสำแดงกระบวนท่าน้ำไหลไร้ขอบเขต แต่หมอนั่นโยนดาบของเขาใส่ผม และดาบนั้นก็ทะลุผ่านการป้องกันตัวของกระบวนท่าน้ำไหลไร้ขอบเขตมาแทงทะลุศีรษะของผมได้ ทำให้ผมตายทันที!” อวิ๋นเฟยหยางอธิบายอีกครั้ง


“ปะ-ปะ-ปะ-เป็นไปได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นแทบจะคลุ้มคลั่ง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)