กระบี่จงมา 192.2-194.2
บทที่ 192.2 ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย
โดย
ProjectZyphon
ตัวอักษรของหลี่ซีเซิ่งเป็นระเบียบอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับรูปแบบที่ ‘เรียบง่ายน่าเบื่อ’ บนเทียบยาสองสามแผ่นของนักพรตเต๋าลู่เฉินแล้ว แม้จะคล้ายคลึงกัน แต่ความศักดิ์สิทธิ์กลับไม่เหมือนกัน
ทว่าเฉินผิงอันเองก็อธิบายไม่ถูกว่าไม่เหมือนกันอย่างไร เพียงแค่สัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์อย่างไร้คำบรรยายเท่านั้น
หลังจากนั้นหลี่ซีเซิ่งก็เขียนแต่ละประโยคที่ตัวเองคิดว่าเป็นบทกลอน คำสอนของอริยะปราชญ์ แก่นแท้ในตำราลัทธิเต๋าและความรู้ของร้อยสำนักที่ ‘งดงาม’
หากเป็นตำแหน่งสูง หลี่ซีเซิ่งจะเขย่งปลายเท้าขึ้นเขียน หากเป็นตำแหน่งต่ำจะก้มตัวลง เดี๋ยวๆ ก็ขยับเท้า เดี๋ยวๆ ก็เป่าลมเพิ่มความชุ่มชื้นให้ปลายพู่กัน ขณะที่กำลังเขียนอย่างเพลิดเพลินก็ถึงกับบอกให้ชุยชื่อเด็กรับใช้ลงจากเรือนไปหยิบเก้าอี้ไม้ไผ่มา แล้วตัวเองก็ยืนบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ตวัดพู่กันเขียนอย่างฮึกเหิม หรือไม่ก็นั่งลงบนพื้นเขียนอย่างสง่างามเปี่ยมไปด้วยความเป็นตัวของตัวเอง
เขาเขียนประโยคที่กล่าวว่าไม่กล้าเอ่ยเสียงดัง เพราะกลัวว่าจะรบกวนเทพเทวดาบนสวรรค์ เขาเขียนประโยคที่บอกว่าคิดจะทำลายรังโจรนั้นง่าย แต่คิดจะทำร้ายด้านมืดในจิตใจคนนั้นยาก
เขียนประโยคที่บอกว่ามนุษย์คือพระพุทธรูปที่ยังไม่ตื่น พระพุทธรูปคือมนุษย์ที่ตื่นแล้ว เขาเขียนประโยคบรรยายเสียงแจวเรือที่ดังมาจากน้ำสีเขียวมรกต และยังเขียนประโยคที่ว่าวิถีของอาจารย์ก็คือความซื่อสัตย์
เมื่อเฉินผิงอันยังไม่พูดว่า ‘ข้าเข้าใจแล้ว’ หลี่ซีเซิ่งก็เขียนไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ทุกตัวอักษรล้วนเขียนเสร็จอย่างว่องไว เขียนเสร็จแล้วจะมีแสงสีทองเปล่งวาบบนผนังไม้ไผ่หนึ่งทีแล้วสลายหายไป แต่ความหมายของมันคงอยู่ยาวนาน สืบสานไม่ขาดสาย
เด็กชายชุดเขียวกระโดดลงมาจากราวระเบียงแล้ว เขาเดินมากระซิบถามเบาๆ ข้างหูเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู “เขาเขียนอะไร?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกดเสียงเบาตอบกลับ “ข้ารู้ตัวอักษร แต่ไม่เข้าใจความหมาย มัน…ยิ่งใหญ่เกินไป”
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะฮ่าๆ “ก็เจ้าโง่นี่นา”
ชุยชื่อหันมาถลึงตาใส่ ทั้งยังพูดสั่งสอน “ห้ามรบกวนตอนอาจารย์เขียนตัวอักษร!”
เด็กชายชุดเขียวเบ้ปาก “ที่นี่คือบ้านของข้า หากเจ้ายังพูดมากอีก ระวังข้าจะทำให้เจ้าต้องหอบเสื่อไสหัวกลับบ้าน”
ชุยชื่อกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้ามีตาแต่ไม่มีแวว ถึงได้มองไม่เห็นความลำบากของอาจารย์ข้า”
เด็กชายชุดเขียวยกสองแขนกอดอก เอนหลังพิงราวระเบียง เอ่ยเย้ยหยัน “แล้วเจ้ายุ่งอะไรกับข้าด้วย? นายท่านข้าต่างหากที่ถึงจะมีสิทธิ์มาสั่งสอนข้าเรื่องพวกนี้”
หลี่ซีเซิ่งเขียน เฉินผิงอันอ่าน ทั้งสองต่างก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงทะเลาะเบาๆ ที่ดังขึ้นด้านหลัง
ฟ้ามืดแล้ว หลี่ซีเซิ่งมายืนอยู่สุดปลายทางของระเบียงอีกด้านแล้ว เวลานี้เขาถึงหยุดมือ ถามยิ้มๆ “เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเจื่อน
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร พวกเราลงไปข้างล่างกัน”
ดังนั้นคนทั้งกลุ่มจึงพากันลงมาที่ชั้นล่างของหอไม้ไผ่ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกับเด็กหนุ่มชุยชื่อช่วยถือเทียนไขส่องสว่างให้กับตัวอักษร
แม้ว่าปากของเด็กชายชุดเขียวจะบ่นพึมพำไม่หยุด แต่กลับมองตาไม่กะพริบอย่างตั้งใจ
ขงจื๊อทอดถอนใจอยู่ข้างลำน้ำ “เวลาเหมือนสายน้ำที่ไหลผ่าน ทั้งวันและคืนไม่มีเคยหยุดพัก”
วันเวลาของวันนี้ก็คือเช่นนี้เอง
ชุยชื่อพลันสะบัดมือที่ถือเทียน ที่แท้เทียนไขก็เผาไหม้หมดแล้วจึงลามมาถึงนิ้วมือของเขา
เด็กหนุ่มหน้าตางามประณีตเปลี่ยนเทียนเล่มใหม่อย่างเงียบเชียบ
เมื่อหลี่ซีเซิ่งเขียนถึงสี่คำว่า ‘เผาจดหมายทำลายตราประทับ’ เฉินผิงอันก็หลุดปากพูดว่า “ไม่ถูก”
หลี่ซีเซิ่งหยุดเขียน หันมามองเฉินผิงอันแล้วหัวเราะฮ่าๆ “นี่สิถึงจะถูก!”
ใบหน้าของบัณฑิตสวมชุดขงจื๊อซีดขาวเล็กน้อย ความอ่อนล้าฉายชัดอยู่ทั่วไปหน้า แต่สายตาของเขากลับเป็นประกายวาววับ
หลี่ซีเซิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยืดแขนบิดขี้เกียจ ยื่นพู่กันที่อยู่ในมือส่งให้กับเด็กหนุ่ม “เฉินผิงอัน เหล็กหมาดลมหิมะด้ามนี้ ข้ามอบให้เจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ดูถูกมัน”
เวลานี้เฉินผิงอันถึงนึกถึงปมปัญหาขึ้นมาได้ “ข้าไม่อาจฝึกตน เป็นผู้ฝึกลมปราณไม่ได้ การเขียนยันต์จำเป็นต้องใช้ปราณวิญญาณช่วยเสริม แล้วข้าจะเขียนยันต์วิเศษสักแผ่นหนึ่งได้อย่างไร?”
หลี่ซีเซิ่งเปิดเผยความลับสวรรค์ด้วยการอธิบายช้าๆ พร้อมรอยยิ้ม “ภาพยันต์ที่ข้าจะมอบให้เจ้าหลังจากนี้มียันต์วิเศษหลากหลายชนิดก็จริง แต่ระดับกลับไม่สูงมากนัก ดังนั้นยันต์หลายแบบจึงมีข้อเรียกร้องต่อปราณวิญญาณไม่สูงมาก แต่ก็มีข้อเรียกร้องต่อช่องโพรงลมปราณที่เกี่ยวข้องในระดับหนึ่งแน่นอน การวาดยันต์ของเจ้าก็เหมือนกับการฝึกวรยุทธ์ที่แค่ใช้วิธีการแตกต่างไปจากเดิม ผู้ฝึกยุทธ์เองก็มีลมปราณที่แท้จริง แล้วก็เพราะว่ามันตรงข้ามกับต้นทุนโชคชะตาของผู้ฝึกลมปราณอย่างสิ้นเชิง ยันต์ทุกแผ่นที่เขียนจึงกลายมาเป็นการทดสอบสั้นๆ ครั้งหนึ่ง คือการปะทะกำลังทหารบนสมรภูมิรบในช่วงสั้นๆ เมื่อเจอกันบนเส้นทางคับแคบ ผู้กล้าจึงเป็นฝ่ายชนะ เจ้าจำเป็นต้องรวบรวมลมปราณเฮือกหนึ่งเขียนยันต์หนึ่งแผ่นด้วยความเร็วที่มากที่สุดและมั่นคงที่สุด หาไม่แล้วต่อให้พลาดไปแค่จุดเล็กๆ ก็ยังไม่สามารถเขียนยันต์ได้สำเร็จอยู่ดี ขอแค่เจ้ายืนหยัดตั้งมั่น นานวันเข้า น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน การวาดยันต์ก็จะไม่ใช่แค่การวาดยันต์อีกต่อไป แต่จะช่วยเจ้าหล่อหลอมเรือนกาย ฝึกปรือจิตวิญญาณโดยที่เจ้ามองไม่เห็น”
เฉินผิงอันรับพู่กันมาพลางผงกศีรษะรับ “เข้าใจแล้ว!”
ม่านราตรีมืดดำ
หลี่ซีเซิ่งหันหน้าออกไปมองข้างนอก “จากลากันครั้งนี้…”
หลี่ซีเซิ่งไม่ได้พูดความคิดที่อยู่ในใจออกมาจนหมด เพียงขับไล่ความกลัดกลุ้มเล็กน้อยนั่นออกไปแล้วเอ่ยยิ้มๆ “เดิมทีข้าก็อยากออกไปดูโลกภายนอกอยู่แล้ว ก็แค่ไปเร็วกว่าที่คิดไว้ ไม่ได้เลวร้ายอะไร”
หลังจากนั้นหลี่ซีเซิ่งก็ไม่ได้เลือกค้างคืนที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่พาเด็กหนุ่มชุยชื่อเดินลงเขาไปตอนกลางคืนนั้นเลย
บัณฑิตหนุ่มถึงขั้นไม่ยอมให้เฉินผิงอันไปส่งที่ตีนเขาด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันยืนอยู่นอกเรือนไม่ไผ่ รู้สึกเศร้าใจกับการจากลา
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะคิกคัก “นายท่าน เจ้าหมอนี่ไม่เลวเลยจริงๆ มรรคาถาสูงส่ง มีคุณธรรม มีน้ำใจ ข้าชอบ! เขามีคุณสมบัติจะกลายมาเป็นสหายของข้า”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ายินดี แล้วเขาล่ะยินดีไหม?”
เด็กชายชุดเขียวกล่าวด้วยน้ำเสียงโอหัง สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ใต้หล้านี้ยังจะมีใครที่ไม่เต็มใจเป็นสหายของข้าอีก? เขาโง่ไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “เขาโง่หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าเจ้าโง่หรือไม่”
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะเสียงดังอย่างลำพองใจ “นายท่าน แน่นอนว่าข้าต้องฉลาดล้ำเลิศ”
สายตาที่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหันไปมองเพื่อนร่วมเดินทางทอประกายเวทนา ก่อนหน้านี้แค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีพฤติกรรมดุร้าย นิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิด แต่ตอนนี้จู่ๆ กลับรู้สึกว่าแท้จริงแล้วเขาโง่อย่างมาก
เด็กชายชุดเขียวสัมผัสได้ถึงสายตาของนางอย่างเฉียบไวจึงเอ็ดตะโรขึ้นมา “นังเด็กโง่ เจ้าไม่เห็นด้วยรึ? พวกเรามาสู้กันตัวต่อตัวเลย!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไปหลบอยู่ข้างหลังเฉินผิงอัน
นางไม่ได้โง่สักหน่อย
……
แสงจันทร์ขมุกขมัว หลี่ซีเซิ่งพาเด็กหนุ่มเดินลงจากภูเขาไปช้าๆ หลังเดินออกจากขอบเขตของภูเขาลั่วพั่วแล้วก็แวะวักน้ำล้างหน้าตรงริมลำธารแห่งหนึ่งเพื่อช่วยปลุกสติให้แจ่มชัด เพราะอย่างไรซะทุกครั้งที่ตวัดพู่กันก็ล้วนต้องรวบรวมสมาธิในการเขียน ซึ่งเผาผลาญแรงกายแรงใจไปมาก
หลี่ซีเซิ่งเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าฝั่งตรงข้ามลำธารมีผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังยืนสูบยาคำใหญ่
หลี่ซีเซิ่งจึงลุกขึ้นยืน คารวะพลางกล่าวว่า “หลี่ซีเซิ่งคารวะท่านผู้เฒ่าหยาง”
ผู้เฒ่าเบี่ยงตัวหลบการคารวะจากบัณฑิตหนุ่มอย่างไม่กระโตกกระตาก
รอจนหลี่ซีเซิ่งยืดตัวขึ้นตรงแล้ว หยางเหล่าโถวจากร้านยาถึงกล่าวว่า “ข้าต้องการให้เจ้าช่วยทำนายชะตาให้เฉินผิงอัน จะได้หรือไม่?”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้ารับโดยไม่ลังเล “ไม่มีปัญหา”
หยางเหล่าโถวอืมรับหนึ่งที “หลังจบเรื่องข้าย่อมมีค่าตอบแทนให้”
หลี่ซีเซิ่งไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เพียงให้คำตอบโดยตรงว่า “เดินตรงบนมหามรรคา มีภูเขาเปิดภูเขา มีน้ำข้ามน้ำ ให้ดีควรรีบเดินทางไกล ทิศแห่งชัยอยู่ที่ทักษิณ”
หยางเหล่าโถวพยักหน้า “ข้าเชื่อเจ้า”
แม้หลี่ซีเซิ่งจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร
หยางเหล่าโถวปรายตามองยันต์ไม้ท้อตรงเอวบัณฑิตหนุ่มด้วยสีหน้าซับซ้อน แสงเปล่งวาบหนึ่งครั้ง ร่างของเขาก็สลายหายไปตามควัน ที่แท้ผู้เฒ่าก็เป็นเพียงควันสีม่วงกลุ่มหนึ่ง
คนทั้งสองออกเดินทางต่ออีกครั้ง
ชุยชื่อเอ่ยถาม “อาจารย์ หากท่านต้องเดินทางไกล พาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”
หลี่ซีเซิ่งคลี่ยิ้ม “ได้สิ”
เด็กหนุ่มตื่นตะลึงอย่างยิ่ง “หา?”
เดิมทีนึกว่าการจะทำให้อาจารย์รับปากเรื่องนี้นั้นยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ไม่เคยคิดเลยว่าจะง่ายยิ่งกว่าเดินลงภูเขาซะอีก?
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยเบาๆ “เพราะมีคนต้องการให้เจ้าติดตามข้า ส่วนตัวข้าเองก็ไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรที่ไม่ดี”
เด็กหนุ่มเงียบงันไปนาน เขาก้มหน้าลง อารมณ์ค่อนข้างห่อเหี่ยว “อาจารย์ ข้าอยากรู้ว่าข้ามาจากที่ไหน”
หลี่ซีเซิ่งถอนหายใจ “แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่สู้ลองไตร่ตรองให้ชัดเจนว่าจะไปที่ไหนก่อนดีกว่า”
เด็กหนุ่มพลันอารมณ์ดี “ข้ายังจะไปที่ไหนได้อีก ก็แค่ติดตามท่านอาจารย์ไปอย่างเดียวเท่านั้น อาจารย์ไปไหนข้าก็ไปนั่น!”
หลี่ซีเซิ่งเพียงแต่ยิ้มให้เขา ไม่เอ่ยอะไร
แสงจันทร์ส่องสกาว แสงดาวพราวพร่าง อารมณ์เบิกบานแจ่มใส การได้พบท่าน นับเป็นเรื่องงดงาม
เด็กหนุ่มสัมผัสถึงอารมณ์ของอาจารย์ได้อย่างชัดเจน เขาจึงอารมณ์ดีตามไปด้วย ระหว่างเดินลงจากเขา ฝีเท้าของเขาแผ่วเบาว่องไว เปี่ยมไปด้วยความลิงโลด
……
เวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งคืน ภูเขาลั่วพั่วก็ถูกกดทับให้ยุบลงมาช้าๆ หนึ่งฉื่อกว่า
เว่ยป้อยืนอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งในบริเวณใกล้เคียง จับตามองภูเขาลั่วพั่วที่ลดระดับลงทีละนิดอย่างไม่คลาดสายตา
ที่แท้บนโลกก็มีตัวอักษรที่หนักอึ้งได้ถึงเพียงนี้
เว่ยป้อกล่าวยิ้มๆ “ร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ ขนาดข้ายังรู้สึกใคร่รู้ หลี่ซีเซิ่งเจ้าเป็นเทพเจ้าจากไหนกันแน่ ต้นอบเชยของสกุลเฉินต้นนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าจริงๆ หรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะเป็นใครไปได้?”
ในขณะช่วงเปลี่ยนผลัดระหว่างกลางคืนและกลางวัน เว่ยป้อทอดสายตามองไปทางเรือนไม้ไผ่อีกครั้งอย่างอดไม่ได้
แสงจันทร์และแสงอาทิตย์ตัดสลับส่องแสง ขับดุนจุดเด่นของกันและกัน
……
นอกเรือนไม้ไผ่ ในเมื่อไม่รู้สึกง่วง เฉินผิงอันสามคนจึงนั่งเรียงกันบนเก้าอี้ไม้ไผ่ รอให้ฟ้าสางไปพร้อมๆ กัน
เฉินผิงอันพลันหันไปถามเด็กชายชุดเขียว “หินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งแลกกับหนึ่งหมื่นตำลึงเงินจากเจ้า ขายแพงเกินไปหรือไม่?”
เด็กชายชุดเขียวสีหน้าอึ้งค้าง
เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบายใจนัก “แพงไปหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวเต้นผาง “แค่หนึ่งหมื่นตำลึง? นายท่าน ท่านกำลังดูหมิ่นข้าอยู่งั้นหรือ?!”
เฉินผิงอันค่อยโล่งใจ “ถ้าอย่างนั้นก็หนึ่งหมื่นหนึ่งพันตำลึง?”
เด็กชายชุดเขียวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “นายท่าน หากท่านยังเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะหนีออกจากบ้านจริงๆ แล้ว!”
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง เพียงถามอย่างใคร่รู้ “เวลาที่คนฝึกตนบนภูเขาแลกเปลี่ยนกัน ใช้เงินอะไร?”
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะหึหึ “นายท่าน ท่านรอก่อน ข้าจะให้ท่านได้ดูเงินทองที่เทพเซียนบนภูเขาใช้กัน สมบัติข้ามหาศาลนักล่ะ!”
เด็กชายชุดเขียวโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง วัตถุฟางชุ่นที่เขาพกติดตัวก็แสดงความลี้ลับให้เห็น เสียงพรวดๆๆ ดังเหมือนเสียงฝนตกได้พักหนึ่ง บนพื้นก็มีแต่เพชรนิลจินดากองกันเป็นภูเขา ทั้งหมดล้วนถูกแกะสลักให้มีลักษณะเหมือนเหรียญทองแดง หลักๆ แล้วมีอยู่ประมาณสามรูปแบบ ขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันออกไป
เขานั่งยองบนพื้น เริ่มอธิบายความเป็นมา รวมไปถึงความต่างด้านมูลค่าของอัญมณีแต่ละชนิดให้เฉินผิงอันฟัง
นี่ก็คือเงินที่เทพเซียนใช้กัน!
เฉินผิงอันทาสเฝ้าทรัพย์ (เปรียบเปรยถึงคนที่ชอบเงินทองเป็นชีวิต) รีบลุกจากเก้าอี้มานั่งยองอยู่ข้างภูเขาเงิน ตั้งใจฟังเด็กชายชุดเขียวอธิบายอย่างละเอียด
สุดท้ายเฉินผิงอันโพล่งประโยคหนึ่งออกมา “ข้าอยากจะยกภูเขาเป่าลู่ให้แม่นางหร่วน พวกเจ้าคิดว่าเหมาะสมหรือไม่?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกะพริบตาปริบๆ อย่างทำตัวไม่ถูก
เด็กชายชุดเขียวคุกเข่าลงบนพื้นดังตุ้บ “นายท่าน ท่านไม่เสียดายหรือ? ต้องหักห้ามใจ ต้องหักห้ามใจให้ได้! ข้าขอร้องนายท่านโปรดอย่าได้วู่วามเด็ดขาด แม่นางซิ่วซิ่วคือแม่นางที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว ข้อนี้ข้าไม่ปฏิเสธ แต่จะอย่างไรซะนายท่านก็ยังไม่ได้แต่งนางเข้าบ้านนะ!”
เฉินผิงอันไม่ถือสาคำพูดเหลวไหลเรื่องแต่งไม่แต่งอะไรที่อีกฝ่ายพูดถึง เพียงส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่เสียดาย”
เด็กชายชุดเขียวคร่ำครวญหวนไห้ “แต่ข้าเสียดายนี่นา!”
—–
บทที่ 193 ร่วมแซ่แต่ต่างชะตา
โดย
ProjectZyphon
โรงเรียนในเมืองเล็กมีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยอยู่คนหนึ่งที่แม้จะเป็นอาจารย์สอนหนังสือ แต่กลับสวมอาภรณ์สกปรกมอมแมม เขามีนามว่าเฉินเจินหรง ชอบดื่มเหล้า พอเมาแล้วก็มักจะยื่นนิ้วชี้ไปยังความว่างเปล่าแล้วตวัดวาดอะไรบิดๆ เบี้ยวๆ เรื่อยเปื่อย ไม่มีใครรู้ว่าเขาเขียนหรือวาดภาพอะไรกันแน่ เวลาเมายังพูดจ้อไม่หยุด แต่ภาษาที่พูดไม่ใช่ทั้งภาษาทางการของต้าหลี และไม่ใช่ภาษาราชการของแจกันสมบัติทวีป สรุปคือไม่ว่าใครก็ฟังไม่รู้เรื่อง
แม้ผู้เฒ่าจะแซ่เฉิน แต่กลับไม่ได้มาจากสกุลเฉินเขตการปกครองหลงเหว่ย ทว่าเฉินซงเฟิงที่มีฐานะสูงส่งกลับให้ความเคารพนับถือผู้เฒ่าอย่างมาก แต่พวกอาจารย์ในโรงเรียนกลับมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีต่อเขาเท่าใดนัก
วันนี้ผู้เฒ่าสกปรกดื่มเหล้าอีกครั้ง เขาที่เนื้อตัวมีแต่กลิ่นเหล้าคละคลุ้งเดินผ่านสะพานหินโค้ง มุ่งหน้าไปยังร้านตีเหล็กพลางตะโกนเสียงดังด้วยภาษาของตัวเองว่า “มังกรโผนบินบนนภา เดี๋ยวก็โฉบเข้าใกล้ภูเขาหัวซาน (ภูเขาประจิมในห้าขุนเขาใหญ่) เดี๋ยวก็บินไปยังภูเขาซงซาน (ภูเขากลางในห้าขุนเขาใหญ่) โปรยฝนรสหวานให้แก่หมู่มวลมนุษย์ ในที่สุดเมื่อฝึกตนจนบรรลุผล ก็ควบคุมลมปราณแท้จริงของฟ้าดินท่องทะยานในห้วงจักรวาล!”
เมื่อมาหยุดอยู่นอกร้าน ผู้เฒ่าก็ยังพอจะรู้ว่าไม่ควรบุกเข้าไปทั้งอย่างนี้ เขาวิ่งไปล้างหน้าที่ลำคลองหลงซวี คงเพราะน้ำเย็นๆ แค่ไม่กี่มือวักไม่อาจชำระล้างความเมามายให้หายไปได้ ผู้เฒ่าจึงฟุบตัวลงนอนหมอบบนพื้นแล้วจุ่มศีรษะทั้งศีรษะลงไปในน้ำเย็น ส่ายสะบัดหน้าอย่างแรง สุดท้ายเงยหน้าพรวดขึ้นมาหัวเราะร่าเสียงดัง “สบายจริงๆ สบายจริงๆ!”
ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจ เพราะนึกถึงสภาพน่าอนาถของลูกหลานสกุลเฉินมากมายในเมืองเล็กขึ้นมา พวกเขาถึงขั้นไปเป็นข้ารับใช้ให้กับคนสกุลอื่น แม้ผู้เฒ่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา แล้วก็รู้ถึงความยากลำบากของโลกใบนี้ จึงไม่อาจกล่าวโทษลูกหลานสกุลเฉินทั้งหลายที่ทำให้บรรพบุรุษอับอายขายหน้า แต่จะอย่างไรซะก็เป็นคนแซ่เดียวกัน ความอัดอั้นของผู้เฒ่าจึงยากจะระบายออก ได้แต่เปิดจุกกาเหล้าอย่างสองจิตสองใจ หลังจากความคิดดีชั่วในหัวตีกันอยู่พักหนึ่งเขาก็กวาดตามองไปรอบด้าน จากนั้นถึงได้แอบดื่มเหล้าจิบเล็กอย่างลับๆ ล่อๆ ก่อนพึมพำว่า “หากเป็นที่อุตรกุรุทวีป ขอแค่เป็นลูกหลานสกุลเฉินที่ยังมีหลักฐานให้ตรวจสอบ ต่อให้มีสภาพตกต่ำแค่ไหนก็ไม่มีทางกลายเป็นวัวเป็นม้าให้คนอื่นได้ แบบนั้นย่อมทำให้สกุลเฉินผู้มากความรู้เสียหน้า”
ผู้เฒ่ากล่าวมาถึงตรงนี้ก็ตบบ้องหูของตัวเองอย่างไร้สาเหตุ “เจ้าเฒ่าหน้าไม่อาย แถมยังควบคุมปากของตัวเองไม่ได้ บอกแล้วว่าจะไม่ดื่มแต่ก็ยังดื่ม!”
หลังตบตัวเองแล้ว ผู้เฒ่าก็หัวเราะหึหึ ด้วยคิดว่าเมื่อไหแตกแล้วก็ทุบไหให้ละเอียดไปเลยจึงดื่มอีกสองอึก เพียงแต่ว่าดื่มเสร็จยังตบตัวเองแบบไม่เจ็บไม่คันอีกสองที
ดื่มเหล้าหมักที่ซื้อมาจากมือสาวงามไปสองอึกใหญ่ ในที่สุดผู้เฒ่าก็พึงพอใจ เดินตรงดิ่งเข้าไปในร้านตีเหล็ก ตะโกนเรียกชื่อหร่วนฉงเสียงดัง ไม่นานหร่วนฉงก็เดินออกมาจากเตาหลอมกระบี่แห่งหนึ่ง เขาปลดผ้าคลุมหนังวัวตรงเอวโยนไปให้เด็กหนุ่มคิ้วยาวที่เดินตามมาด้านหลัง
พอเห็นอริยะตระกูลหร่วนจากศาลลมหิมะผู้นี้ปรากฏตัว ผู้เฒ่าก็พูดจาหาเรื่องทันที “หร่วนฉง เจ้าสู้ฉีจิ้งชุนไม่ได้เลย เทียบฉีจิ้งชุนไม่ติดฝุ่นเลยสักนิด…”
หร่วนซงไม่ถือสากับเรื่องนี้ คล้ายชินกับนิสัยของอีกฝ่ายมานานแล้ว เขายังคงเงียบขรึมเหมือนเดิม ไม่คิดจะทักทายผู้เฒ่าสักคำด้วยซ้ำ กลับเป็นเด็กหนุ่มคิ้วยาวซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขาที่ขมวดคิ้ว ข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้
หร่วนฉงเดินนำอยู่ข้างหน้า ผู้เฒ่าเดินเคียงไหล่ไปกับเขา และยังไม่ยอมปล่อยหูหร่วนฉงไปง่ายๆ ยังคงบ่นพึมพำเหมือนหญิงปากร้ายในตลาด คราวนี้ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยภาษาทางการของอุตรกุรุทวีป ฟังแล้วให้ท่วงทำนองที่แตกต่าง “หร่วนฉง เจ้าดูอย่างฉีจิ้งชุนสิ สายบุ๋นของเขาถูกพวกเรามองเป็นปรปักษ์ แต่เขากลับยินดีใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้น ช่วยดูแลต้นอบเชยต้นนั้น”
“หากเปลี่ยนมาเป็นข้าจะให้นังเด็กเฉินตุ้ยผู้นั้นได้เห็นต้นไม้บนหลุมศพก่อน หลังจากนั้นจะกระทืบให้เละ ปล่อยให้พวกเราดีใจเก้อไปซะ แบบนั้นจะไม่สะใจยิ่งกว่าหรือ? น่าเสียดายก็แต่ฉีจิ้งชุนคือสุภาพชนที่แท้จริง จึงไม่ทำเรื่องประเภทนี้”
“ดังนั้นตอนที่ใครบางคนไปพูดหลักการกับบรรพบุรุษของพวกเรา ต่อให้เขาจะขโมยดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งที่อยู่เหนือไหล่ของบุรพาจารย์เฒ่า บุรพาจารย์เฒ่าก็ยังไม่ยอมแตกหักกับเขา ปล่อยให้เขา ‘ยืมใช้’ ไปหนึ่งร้อยปี”
“แล้วเจ้าลองคิดดู ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าน่ะหมดอาลัยตายอยากเกินไป ตบะก็ไม่มีการพัฒนา ถึงเวลาก็ได้แต่รับลูกหมาลูกแมวสองสามตัวมาเป็นลูกศิษย์เปิดภูเขา ยกตัวอย่างเช่นเจ้าเด็กคิ้วยาวผู้นี้ที่อาศัยแค่โชคชะตาของตระกูล จะมีช่วงเวลาที่ดีไปได้สักกี่ปีกัน? หนึ่งร้อยปี หรือว่าสองร้อยปี?”
ผู้เฒ่ากล่าวมาถึงตรงนี้ก็หันไปคลี่ยิ้มให้เด็กหนุ่มคิ้วยาว เดิมทีเด็กหนุ่มที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจนักยังมีโทสะอยู่บ้าง เขาโมโหที่ผู้เฒ่าไม่ให้ความเคารพอาจารย์ของตนมากพอ แต่พอผู้เฒ่าหันมาเผยสีหน้าปราณีของผู้อาวุโสให้กับตน เด็กหนุ่มตระกูลเซี่ยที่ชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม่นวมก็ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ ไม่รู้ถึงความคิดชั่วร้ายที่มีอยู่เต็มท้องของจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้สักนิด แล้วก็ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงตัวเองในแง่ร้ายอยู่
ผู้เฒ่าเดินตามหร่วนฉงมาหยุดอยู่ใต้ชายคาบ้านหลังหนึ่ง ตรงนั้นมีเก้าอี้ไม้ไผ่ขนาดเล็กสีเขียวปลั่งวางอยู่หลายตัว พอคนทั้งสามนั่งลงแล้ว ผู้เฒ่าก็แค่นเสียงเย็น “นังเด็กที่นิ้วหายไปนิ้วหนึ่งผู้นั้นโง่เง่าเต่าตุ่นยิ่งนัก นางเป็นคนบนวิถีทางเดียวกับเจ้าจริงหรือ?”
“คนสุดท้ายนั่นยิ่งน่าขำ ปีศาจหมูป่าตัวหนึ่งกลับจำแลงร่างกลายเป็นคุณชายเยาว์วัยผู้หล่อเหลา ฮ่าๆ หร่วนฉงเอ๋ยหร่วนฉง เจ้าทำให้ข้าผู้อาวุโสอยากจะหัวร่อให้ฟันหัก เจ้าไม่รู้สึกขายหน้า แต่ข้ากลับอับอายแทนเจ้า!”
ในที่สุดหร่วนฉงก็เปิดปากพูด “พูดจบหรือยัง? พูดจบก็เชิญเจ้าดื่มเหล้า”
หร่วนฉงบอกให้เด็กหนุ่มตระกูลเซี่ยลุกขึ้นไปหยิบเหล้ามา
“จะเลี้ยงเหล้าข้า? แบบนี้ก็ดีสิ ไม่ใช่ข้าอยากดื่มเองเสียหน่อย ข้าก็แค่เข้าเมืองตาหลิ่วแล้วหลิ่วตาตาม เป็นแขกที่ตามใจเจ้าบ้าน นี่คือวิธีการรับรองแขกของอริยะเช่นเจ้า เหล้านี้ข้าต้องดื่ม ดื่มให้เต็มคราบ!”
ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่หันมามองหร่วนฉง “แต่ดื่มเหล้าก็ส่วนดื่มเหล้า รับลูกศิษย์ก็ส่วนรับลูกศิษย์ ในเมื่อเจ้าออกจากภูเขาลูกเล็กอย่างศาลลมหิมะมาเปิดภูเขาตั้งสำนักเป็นของตัวเอง และตอนนี้ก็มีภูเขาของตัวเองแล้ว ก็ควรถึงเวลาที่จะปรึกษาเรื่องรับลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาได้แล้ว หากไม่ไหวจริงๆ ข้าผู้อาวุโสจะหาลูกศิษย์ให้เจ้าสามคน เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด! ต่อให้เลือกเอาแค่จากกลุ่มลูกหลานสกุลเฉินแห่งอุตรกุรุทวีปของข้าที่เดียว ข้าก็รับรองได้ว่ายังไงก็ดีกว่าลูกศิษย์ในนามของเจ้าสามคนตอนนี้”
หร่วนฉงไม่มีความหวั่นไหว “ข้ารับลูกศิษย์ ไม่ได้ดูที่พรสวรรค์ ไม่ได้ดูที่ฐานกระดูก ดูแค่นิสัยใจคอเท่านั้น”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างมีโทสะ “ดีแต่พูดจาผลักภาระไร้แก่นสาร เจ้าหร่วนฉงก็คือก้อนหินเหม็นในห้องส้วม”
หร่วนฉงเอ่ยกลั้วยิ้มอย่างที่ไม่ค่อยจะเป็นบ่อยนัก “แล้วเจ้าเฉินเจินหรงจะมาเป็นเพื่อนกับข้าทำไม?”
ก่อนหน้านี้หร่วนฉงสามารถอาศัยสถานะของสำนักการทหารรับช่วงต่อดูแลถ้ำสวรรค์หลีจูมาจากฉีจิ้งชุนแห่งลัทธิขงจื๊อได้นั้น แน่นอนว่าเกี่ยวข้องกับขอบเขตที่สูงมากของหร่วนฉง แต่ในความเป็นจริงแล้วสกุลเฉินผู้มากความรู้กลับออกแรงอยู่เบื้องหลังไปไม่น้อย
หร่วนฉงไม่ปฏิเสธเรื่องนี้
“ข้าผู้อาวุโสเต็มใจ เจ้ามายุ่งอะไรด้วย?!”
ผู้เฒ่าหันตัวกลับอย่างอารมณ์เสีย โหวกเหวกเสียงดัง “เหล้าล่ะ ไหนบอกว่าจะเอาเหล้ามารับรองแขก ทำไมยังไม่มาอีก เจ้าเด็กนั่นเป็นอะไร หรือว่าโกรธข้าจริงจัง…”
หร่วนฉงมองสหายเฒ่าที่โวยวายไร้สาระไม่หยุดแล้วถามยิ้มๆ “ทำไม มาถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วได้เห็นสภาพการณ์ของลูกหลานสกุลเฉินสองสายในเมืองเล็ก เลยอารมณ์ไม่ดี? ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้าหรอกนะ เจ้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสกุลเฉินผู้มากความรู้สักหน่อย แล้วเจ้าจะโมโหไปทำไม?”
“ไม่พูดเรื่องนี้ พูดแล้วเดือด”
ผู้เฒ่าถอนหายใจ ปรายตามองหร่วนฉง “เจ้าล่ะ เพื่อซิ่วซิ่วแล้ว เดิมทีคิดจะหลบซ่อนตัวหาความสงบ แต่ตอนนี้กลับดีนัก กลายเป็นว่ามาอยู่ในสถานที่ที่มีแต่เรื่องวุ่นวาย เจ้ายังสบายดีไหม?”
หร่วนฉงส่ายหน้า “ไม่เป็นไร แม้จะเลือกผิด แต่ก็มีข้อดี”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “กระดูกแข็งน่ะได้ แต่อย่าปากแข็งจะดีกว่า”
หร่วนฉงเอ่ยเสียงเบา “หากมีปัญหา ข้าไม่เกรงใจเจ้าหรอก”
หางตาของผู้เฒ่าเหลือบไปเห็นเด็กสาวชุดเขียวที่เดินมาแต่ไกล รวมไปถึงเด็กหนุ่มแซ่เซี่ยที่เดินถือเหล้ามาข้างกายนาง
ผู้เฒ่ารีบคลี่ยิ้ม โบกมือให้เด็กสาว “ซิ่วซิ่ว มาๆๆ เอ๊ะ? ทำไมหันหลังกลับเสียแล้วเล่า อย่าเพิ่งไปสิ ซิ่วซิ่ว เจ้ามีผู้ชายในดวงใจหรือยัง? หากยังไม่มี ข้าจะช่วยเจ้าหาเอง อย่าเลือกผู้ชายที่อยู่ในพื้นที่แคบเท่าก้นอย่างแจกันสมบัติทวีปนี่เลย สถานที่ของคนเถื่อนที่แม้แต่นกยังไม่มาขี้จะมีผู้ชายดีๆ ได้อย่างไร เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะกับซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลีถือว่าไม่เลว แต่อายุมากไปสักหน่อย เพราะฉะนั้นถึงได้บอกไงว่าต้องหาจากที่ทักษินาตยทวีปของเรา…เอ๊ะ ซิ่วซิ่วเดินลิ่วไปไกลเลยหรือ”
ผู้เฒ่าไหล่ลู่คอตก ยังดีที่ยังมีเหล้าสองกาที่เด็กหนุ่มคิ้วยาวเอามาส่งให้ กาหนึ่งวางไว้ข้างเท้า อีกกาหนึ่งถูกเปิดฝา เขาแหงนหน้าดื่มอักๆ เหมือนวัวกินน้ำ
หร่วนฉงรับกาเหล้ามา แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะดื่ม “สกุลเฉินผู้มากความรู้ของพวกเจ้า หาไปหามาก็ไม่ใช่ว่าหาได้แค่เฉาจวิ้นหรอกหรือ? หากข้าจำไม่ผิด เขาอายุร้อยปีแล้วกระมัง?”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างฉุนเฉียว “เฉาจวิ้นเป็นยังไง ข้าว่าเขาดีจะตาย หากไม่เป็นเพราะในอดีตเคยถูกคนเล่นงานก็ไม่ด้อยไปกว่าเว่ยจิ้นเลย เซียนกระบี่ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จช้าในประวัติศาสตร์ไม่ได้มีแค่คนสองคน จะโทษก็ต้องโทษเฉาซีบรรพบุรุษเขานั่นแหละที่ไม่มีความสามารถมากพอ หากเปลี่ยนมาเป็นลูกหลานสกุลเฉินของพวกเรา มีพรสวรรค์ขนาดนี้ ดูสิใครจะกล้ามาลอบกัด?”
หร่วนฉงไม่พูดอะไร ความประทับใจที่เขามีต่อเฉาจวิ้นนั้นย่ำแย่อย่างมาก
ผู้เฒ่าพูดทอดถอนใจ “ข้าแปลกใจจริง เป็นคนสกุลเดียวกัน แต่ทำไมคนของเมืองเล็กถึงได้มีสภาพน่าสมเพชได้ขนาดนี้ โชคดีหนีหายไปไหนหมด? ภายในพันสองพันปีนี้มีสกุลเฉินคนไหนได้ดิบได้ดีในแจกันสมบัติทวีปหรือในทวีปอื่นบ้างหรือไม่?”
หร่วนฉงครุ่นคิด “ดูเหมือนว่าจะไม่มี”
ผู้เฒ่าพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แบบนี้สิถึงจะถูก แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน…”
หร่วนฉงทำท่าเหมือนเผชิญหน้าศัตรูตัวร้าย กล่าวด้วยคำพูดที่แทบจะใกล้เคียงกับการประณาม “เจ้าเฉินเจินหรงเปลี่ยนมาเป็นคนเห็นแก่ได้แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?!”
ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ที่แท้นิ้วทั้งห้าของเขาก็สั่นสะท้านอยู่ตลอดเวลา “วาดมังกรที่แท้จริงไม่ได้แล้ว ได้แต่วาดงูสี่ขาตัวอ่อนพังพาบเท่านั้น ยังจะชื่อเจินหรง (เจินแปลว่าจริง) อีกหรือ ข้าว่าวันหน้าควรเปลี่ยนเป็นเจี่ยหรง (เจี่ยแปลว่าปลอม) ถึงจะถูก”
เขาดื่มเหล้าหนึ่งคำแล้วกล่าวอย่างจนใจ “เรื่องนี้ หากเป็นเมื่อก่อน คำพูดข้ายังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว”
หร่วนฉงเดือดดาล “เป็นถึงสกุลเฉินผู้มากความรู้…”
ผู้เฒ่าตัดบทหร่วนฉง “ตระกูลใดบ้างที่ไม่ใช่ดินและทรายไหลไปพร้อมกระแสน้ำ (เปรียบเปรยถึงเรื่องราวและคนดีเลวที่ปะปนกันจนแยกไม่ออก) ในระบบของลัทธิขงจื๊อยังมีอริยะ วิญญูชน นักปราชญ์ นี่ไม่เรียกว่าการแบ่งสูงต่ำหรอกหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องนี้ไม่ได้โสมมอย่างที่เจ้าคิด”
หร่วนฉงเงียบงันไปด้วยอารมณ์หนักอึ้งประหนึ่งมีภูเขาลูกใหญ่กดทับอยู่บนหัวใจ
คนเราย่อมมีเวลาที่กำลังหมดสิ้น อริยะก็เช่นกัน
—–
บทที่ 194.1 กำจัดปีศาจและปราบมาร
โดย
ProjectZyphon
แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมญาติ แต่ปีใหม่ทั้งทีเอาแต่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วที่เงียบสงัดก็ไม่ใช่เรื่อง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพาเด็กน้อยสองคนออกจากภูเขาใหญ่ กลับเข้าไปในเมืองเล็กที่จอแจไปด้วยผู้คน ตอนนี้เมืองเล็กคึกคักไม่แพ้เขตการปกครองใดๆ ในแคว้นหวงถิงแล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีบ่อโซ่เหล็กที่แขวนโซ่เหล็ก ไม่มีถนนเก่าแก่ที่อยู่ใกล้กับต้นไหวโบราณ ไม่มีโรงเรียนของอาจารย์ฉี ต่อให้คนจะคลาคล่ำแค่ไหน กลิ่นอายของปีใหม่จะเต็มเปี่ยมเท่าไหร่ เฉินผิงอันก็ยังคงรู้สึกหม่นหมองอยู่ดี
ขยับเข้าใกล้ตรอกเล็ก เด็กชายชุดเขียวก็บ่นขึ้นมาว่า “นายท่าน หากไปที่ตรอกเล็กครั้งนี้แล้วยังเจอกับพวกคนดุร้ายที่สามารถต่อยข้าให้ตายด้วยหมัดเดียวอีก ข้าก็บอกไว้ก่อนเลยนะว่า วันหน้าข้าจะไม่ลงจากเขากลับมาบ้านบรรพบุรุษอีกแล้ว! ถึงเวลานั้นท่านห้ามมาโทษว่าข้าไม่มีน้ำใจด้วย”
ผลกลับกลายเป็นว่าเพิ่งจะเดินมาถึงปากตรอกหนีผิง เฉินผิงอันก็ได้เห็นเงาร่างของคนที่คุ้นเคย เรือนกายอรชรอ้อนแอ้นดุจกิ่งหลิวอ่อนที่พลิ้วไปตามสายลมฤดูใบไม้ผลิ มือทั้งคู่ของนางกำลังหิ้วถังน้ำหนึ่งถัง น่าจะเพิ่งกลับมาจากบ่อน้ำตรอกซิ่งฮวา ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจึงกระแทกถังน้ำวางลง ค้อมเอวหอบฮักๆ ถังน้ำกระแทกบนพื้นอย่างแรง สะเก็ดน้ำจึงกระเด็นออกมาไม่น้อย เพียงแต่เด็กสาวไม่สนใจคราบสกปรกที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
สาวใช้ของซ่งจี๋ซิน จื้อกุย หรือควรจะเรียกว่าหวังจู
เรื่องที่ว่านางจะเลือกเป็นสาวใช้ของเขาหรือเพื่อนบ้านอย่างซ่งจี๋ซิน เฉินผิงอันไม่เคยตำหนิเด็กสาว เพราะในตำราบอกไว้ว่า นกที่ดีมักเลือกกิ่งไม้พำนักนอน
ค่ำคืนที่มีพายุหิมะ เด็กสาวนอนหายใจรวยรินอยู่ท่ามกลางกองหิมะ ใช้แรงกำลังเฮือกสุดท้ายยื่นมือมาเคาะประตูเบาๆ
ช่วยหรือไม่ช่วย เป็นเรื่องของเฉินผิงอันเอง ส่วนคนอื่นจะคิดตอบแทนบุญคุณหรือไม่ก็เป็นเรื่องของคนอื่น
เพียงแต่ว่าได้มาพบกันอีกครั้งเร็วกว่าที่คิดไว้มาก อารมณ์ของเฉินผิงอันจึงค่อนข้างสับสน
จื้อกุยเองก็มองเห็นเฉินผิงอัน นางใช้หลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก มองมาทางเขา ยังคงสวมรองเท้าแตะเหมือนเดิม เพียงแต่บนมวยผมปักปิ่นไว้อันหนึ่ง ดูเหมือนตัวจะสูงขึ้นอีกเล็กน้อย ไม่ได้ไปไหนมาไหนเพียงลำพังอีกแล้ว เพราะข้างกายมีขวดน้ำมันน้อยเพิ่มมาอีกสองขวด (ขวดน้ำมันเป็นคำเรียกเด็กเล็กที่ติดผู้ใหญ่)
เด็กสาวไม่ได้พูดอะไร
เฉินผิงอันคิดจะทักทาย แต่กลับพบว่าเด็กชายชุดเขียวรั้งแขนของเขาไว้อย่างแรง ไม่ยอมให้เขาเดินหน้าต่อ ไม่ใช่แต่เขาเท่านั้น เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่หลบอยู่ด้านหลังตนก็กำชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเอาไว้แน่น เด็กน้อยสองคนฟันกระทบกันดังกึกๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
เหมือนกับชาวบ้านขี้ขลาดที่กลัวผีมากที่สุดดันมาเห็นผีกลางวันแสกๆ เข้าจริงๆ
เด็กชายชุดเขียวเจ็บใจตัวเอง นึกอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ ใครใช้ให้เจ้าปากอีกา! (ปากอีกาหมายถึงคนที่พูดไม่เป็นมงคล ปากไม่ดี)
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสะอื้นเสียงเบาอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน “นายท่าน ข้ากลัว กลัวยิ่งกว่ากลัวตายเสียอีก”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “พวกเจ้าไปเดินเล่นที่อื่นก่อนแล้วกัน หรือจะไปช่วยดูร้านของพวกเราที่ตรอกฉีหลงก็ได้ แล้วหลังจากนี้ข้าค่อยไปหาพวกเจ้า”
เด็กน้อยทั้งสองเหมือนได้รับอภัยโทษ วิ่งตะบึงเผ่นหนีไปทันที
เฉินผิงอันเดินเข้าไปทางตรอกหนีผิงเพียงลำพัง แล้วเด็กหนุ่มก็ช่วยเด็กสาวถือถังน้ำ คนทั้งสองเดินเข้าไปในตรอกด้วยกันไม่ต่างจากภาพเหตุการณ์ของเมื่อหลายปีก่อน
จื้อกุยถาม “เด็กสองคนนั้น เป็นเด็กรับใช้ที่เจ้ารับมาใหม่รึ?”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “เจ้าว่าข้าดูเหมือนคนเป็นนายท่านหรือไง? พวกเขาก็เรียกเล่นๆ ไปอย่างนั้นเอง”
จื้อกุยร้องอ้อรับหนึ่งที
ตอนที่เดินผ่านบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉา ประตูหน้าบ้านของพวกเขาเปิดอ้า ผู้เฒ่าอย่างเฉาซีนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่หน้าประตู ส่วนเด็กอย่างเฉาจวิ้นนั่งยองอยู่บนกำแพง แล้วก็แทะเมล็ดแตงเหมือนกัน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพร้อมใจกันมาชมเรื่องสนุก
เฉาซีหัวเราะเฮอๆ “กูไหน่ไนน้อย (กูไหน่ไนคำที่บุคคลในครอบครัวของแม่เรียกลูกสาวที่ออกเรือนไปแล้ว) ท่านผู้นี้คือคนรักของเจ้าหรือ? เล่นมาออดอ้อนหนุงหนิงกันแต่เช้าแบบนี้ บุรุษอย่างข้ากับเฉาจวิ้นอิจฉายิ่งนัก”
เฉาจวิ้นที่ชอบหรี่ตามองคนยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ตรงเอวห้อยกระบี่สั้นยาวคู่นั้น พยักหน้ารับ “อิจฉาๆ”
จื้อกุยแค่นเสียงเย็น “คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง! มิน่าเล่าขนาดบ้านบรรพบุรุษยังถล่มลงมา”
เซียนกระบี่พสุธาผู้ยิ่งใหญ่แห่งทักษินาตยทวีป เจ้าของหอสยบสมุทรครึ่งหนึ่งอย่างเฉาซีกลับไม่หงุดหงิดแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามยังยิ้มกว้างกว่าเก่า “กูไหน่ไนน้อยสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ทำไมบ้านเก่าตระกูลเฉาของพวกเราถึงไม่มีคนจิ๋วควันธูปเลยสักคนเดียว ตามหลักแล้วข้ามีชีวิตอย่างรุ่งโรจน์อยู่ในทักษินาตยทวีป ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็ควรจะมีหน้ามีตาตามไปด้วย แต่ทำไมถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้?”
จื้อกุยหยุดเดิน หันมามองเฉาซีพลางคลี่ยิ้มไร้เดียงสา “ก็เพราะหายนะจากสวรรค์ไม่อาจหลบเลี่ยง กรรมที่ตัวเองก่อย่อมไม่มีที่ให้หลบซ่อนน่ะสิ หรือจะบอกว่ามีคนกินคนจิ๋วควันธูปของตระกูลพวกเจ้าไป อีกอย่างเมืองเล็กก็ห้ามใช้เวทคาถาทุกชนิด คิดจะอาศัยร่มเงาบรรพบุรุษในตระกูลเลี้ยงคนจิ๋วควันธูปสักคนนั้นยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ไม่แน่ว่าตระกูลเฉาของพวกเจ้าอาจจะไม่เคยมีคนจิ๋วควันธูปเลยก็ได้ ว่าไหม?”
เฉาซีหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “มีเหตุผลๆ กู่ไหน่ไนน้อยเดินช้าๆ ตรอกเก่าทรุดโทรม ระวังจะสะดุดล้ม”
จื้อกุยหันหลังให้ตะพาบเฒ่าผู้นั้น สีหน้ามืดทะมึน
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เฉาจวิ้นถามยิ้มๆ “ตาเฒ่าเฉา นี่มันเรื่องอะไรกัน? ด้วยผลสำเร็จของเจ้าในนาตยทวีป จำนวนของคนจิ๋วควันธูปคงกองกันเป็นกองทัพ สามารถยกพวกตีกันอยู่บนคานบ้านหรือไม่ก็บนกรอบป้ายหน้าบ้านได้เลยไม่ใช่หรือ?”
เฉาซีกล่าวอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ “เรื่องที่คนจิ๋วควันธูปเกิดยากในถ้ำสวรรค์หลีจู นางไม่ได้โกหก แต่ด้วยผลสำเร็จของข้ากับเซี่ยสือ อย่างน้อยก็ควรจะมีเหลือสักคนสองคน ยกตัวอย่างเช่นตระกูลเซี่ยในตรอกเถาเย่ที่อาศัยคนจิ๋วควันธูปคู่หนึ่งประคับประคองความรุ่งโรจน์ของตระกูลมาหลายร้อยปี ถึงพอจะรักษาควันธูปของลูกหลานเอาไว้ได้อย่างถูไถ หาไม่ก็คงเป็นเหมือนบ้านผุพังของพวกเราหลังนี้ และคนในตระกูลคงตายสิ้นไปนานแล้ว”
เฉาจวิ้นจุ๊ปากพูด “ถูกเด็กสาวนั่นทรมาทรกรรมจนเกลี้ยงเลยรึ? แล้วเจ้ายังจะพูดจาเป็นมิตรกับนางแบบนี้? เจ้าคงไม่ได้อยากนอนกับนางหรอกกระมัง?”
จิ้งจอกสีแดงเพลิงตัวหนึ่งกระโดดจากหลังคาลงมาบนหัวของเฉาจวิ้น พูดกลั้วหัวเราะ “นอนกับนาง? ตาเฒ่าเฉาหรือจะมีความกล้านี้ ตอนนี้เด็กสาวคนนั้นเป็นดั่งบุคคลที่คนนับหมื่นจับจ้องมองมา ต่อให้ตาเฒ่าเฉาขอบเขตสูงกว่านี้อีกหนึ่งขอบเขต เขาก็ไม่กล้าคิดชั่วกับนาง อย่างมากก็แค่ดีแต่ปาก ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง”
เฉาซีหันหน้ามาพูดยิ้มๆ “ไสหัวไปให้ไกล กลิ่นสาบจิ้งจอกเหม็นนัก รบกวนการสูดกลิ่นอายบ้านเกิดของข้า”
จิ้งจอกที่ยืนอยู่บนหัวเฉาจวิ้นยื่นกรงเล็บข้างหนึ่งชี้ไปที่ใต้ฝ่าเท้าตัวเอง แถมยังไม่ลืมกระทืบเท้าแรงๆ “มาๆๆ แน่จริงก็เรียกกระบี่แห่งชะตาชีวิตบนข้อมือเล่มนั้นออกมาฟันข้าเลย เฉาซีหากเจ้าไม่ฟันข้าก็เท่ากับเป็นหลานข้า เจ้าฟันให้เต็มแรงเลยนะ หากข้าหลบ ข้าก็คือหลานสาวของเจ้า!”
เฉาจวิ้นโคลงศีรษะ แต่ก็ไม่สามารถสลัดจิ้งจอกตัวนั้นให้หลุดไปได้ จึงกล่าวอย่างระอาใจ “พวกเจ้าสองคนจะทะเลาะกันก็ทะเลาะไปเถอะ แต่อย่าดึงข้าให้เดือดร้อนไปด้วย พูดกันอย่างยุติธรรมเลยนะ ตาเฒ่าเฉาก็แค่รับเมียน้อยคนที่สามสิบแปดเท่านั้น หากเจ้าเก็บกลั้นความแค้นนี้ไม่ไหวจริงๆ ก็ถลกหนังนางออกมาทำเสื้อผ้าชุดใหม่เสียเลย เรื่องแบบนี้ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยทำสักหน่อย เชี่ยวชาญดีจะตาย ทำไมต้องเอาข้ามาระบายอารมณ์ด้วย”
จิ้งจอกสีแดงเพลิงหลุดหัวเราะพรืด “ตะพาบเฒ่าชอบผู้หญิงสะโพกใหญ่กลมแน่น ผ่านมากี่ปีก็ไม่เคยมีพัฒนาการ ช่างทำให้คนสะอิดสะเอียนจริงๆ”
เฉาซีนั่งกลับลงไปบนธรณีประตูใหญ่ หยิบเมล็ดแตงมาแทะอีกครั้ง “ทองพันชั่งก็มิอาจซื้อความชอบของข้าได้ อ้อ ใช่แล้ว นังผู้หญิงแพศยา ปีใหม่แล้วเชิญเจ้ากินเมล็ดแตง”
แล้วเสียงปังก็ดังสนั่น
—–
บทที่ 194.2 กำจัดปีศาจและปราบมาร
โดย
ProjectZyphon
ร่างจิ้งจอกสีแดงเพลิงที่อยู่บนศีรษะเฉาจวิ้นระเบิดเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นก็กลับคืนสภาพเดิมอยู่บนหลังคา เพียงแต่ว่าชั่วเสี้ยววินาทีร่างของมันก็ระเบิดอีกครั้ง เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา จากหลังคาบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉาไปจนถึงบ้านข้างๆ แล้วก็ลากยาวไปเรื่อยจนกระทั่งออกจากตรอกหนีผิง จิ้งจอกแดงเพลิงถึงพ้นจากหายนะ ประกายสดใสในดวงตาของมันหม่นมัว เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันนั่งขัดสมาธิอยู่บนชายคาบ้านหลังหนึ่งแล้วเริ่มเข้าฌานทำสมิ
เฉาซีไม่มีเมล็ดแตงให้แทะแล้ว จึงปัดมือลุกขึ้นยืน เดินกลับเข้าไปในลานบ้านพร้อมสั่งความเฉาจวิ้น “ช่วงนี้เจ้าก็เลิกร้อนรุ่มวุ่นวายใจได้แล้ว ตอนนี้ราชวงศ์ต้าหลีคือสถานที่ที่ต้องช่วงชิง ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด”
เฉาจวิ้นเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “เข้าใจแล้ว”
“เข้า ใจ แล้ว?”
เฉาซีเน้นย้ำทีละคำ สุดท้ายหัวเราะหยัน “สามคำนี้ เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดออกมาจากปากด้วยซ้ำ” (เข้าใจแล้วในที่นี้คือ 知道了หากแยกทีละคำจะแปลว่า รู้/เข้าใจ ในมรรคา แล้ว)
เฉาจวิ้นเอ่ยอย่างไม่แยแสโลก “รู้แล้วน่า”
เฉาซีก้าวยาวๆ เข้าไปในบ้านพลางสบถอย่างเคียดแค้น “สวะขอบเขตเก้า!”
เฉาจวิ้นสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้านของบ้านติดกัน ยื่นถังน้ำคืนให้กับเด็กสาว ถามชวนคุย “ซ่งจี๋ซินไม่ได้กลับมาด้วยหรือ?”
นางตอบไม่ตรงคำถาม “แม่ไก่กับลูกเจี๊ยบฝูงนั้นของข้าอยู่ที่ไหน?”
เฉินผิงอันทำหน้าเหรอหลา “ข้าไม่รู้หรอก”
เด็กสาวมองประเมินเด็กหนุ่มอย่างละเอียดแล้วพลันยิ้มกว้างสดใส ไม่ซักไซ้ถามเรื่องเดิมอีก แต่นางยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว ทำมือวาดท่าประกอบ “ตอนนี้ซ่งมู่สูงกว่าเจ้าตั้งเท่านี้แล้ว”
เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งทีแล้วหมุนตัวเดินกลับบ้านตัวเอง
เขาเพิ่งจะไขกุญแจเดินเข้าไปในบ้าน ก็เห็นทันทีว่าตัวอักษร ‘ฝู’ กลับหัวที่แปะไว้เหนือประตูบ้านตัวเองหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาพลันโมโหเดือดดาล เดินดิ่งเข้าไปที่กำแพงบ้านซึ่งกั้นกลางระหว่างสองบ้านทันที “จื้อกุย ตัวอักษรฝูในบ้านข้าหายไปไหน?!”
จากนั้นเขาที่เดือดจัดก็กลับหัวเราะ ที่แท้ตัวอักษรฝูตัวนั้นไปแปะอยู่บนประตูบ้านของบ้านข้างๆ
โจรคนนี้ช่างใจกล้าเทียมฟ้าซะจริง
เด็กสาววางถังน้ำไว้ในห้องครัวแล้วเดินนวยนาดออกมา พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าไม่รู้หรอก”
คำตอบเหมือนกันกับเฉินผิงอันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเดือดดาล “คืนมาให้ข้า!”
จื้อกุยเบิกตาโต “แล้วทีเจ้าไปขยับหุ่นไม้ที่ข้าตั้งใจวางไว้ในห้องครัว ข้ายังไม่ว่าอะไรเจ้าเลยนะ”
เฉินผิงอันพลันพูดไม่ออก เพราะเขาทำอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ
จู่ๆ จื้อกุยก็ถามว่า “ฉีจิ้ง…ที่โรงเรียนของอาจารย์ฉี เจ้าไปแปะกลอนปีใหม่หรือยัง?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้ารับ “ไปแปะแล้ว ทั้งกลอนปีใหม่และตัวอักษรฝู”
เฉินผิงอันไม่อยากจะทะเลาะกับนางจึงเดินเข้าไปในห้องแล้วหยิบตัวอักษรฝูที่เหลือออกมา หาบันไดมาวางพาดแล้วติดตัวอักษรฝูกลับหัวตัวใหม่อีกครั้ง
เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงกำแพงบ้านเอ่ยเตือน “เบี้ยวแล้ว”
เฉินผิงอันไม่สนใจ ใช้ปลายนิ้วแตะแป้งเปียกเข้ากับกระดาษสีแดงสดปลั่งเบาๆ
เด็กสาวกล่าวอย่างร้อนใจ “จริงๆ นะ ข้าจะหลอกเจ้าไปไย ทำไมเจ้าเฉินผิงอันถึงไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่นบ้างนะ หากติดตัวอักษรฝูเบี้ยวจะไม่เป็นมงคล”
เฉินผิงอันเดินลงบันได เงยหน้าขึ้นมองด้วยตัวเอง ไม่เบี้ยวจริงๆ
เด็กสาวยังคงพูดจ้อไม่หยุด “เบี้ยวจริงๆ ถ้าไม่เชื่อเจ้าให้พวกผู้ฝึกตนอย่างเฉาซีมาดูสิ แล้วจะรู้ว่าข้าไม่ได้หลอกเจ้า เจ้ามีสายตาของมนุษย์ธรรมดา ต่อให้จะสายตาดีแค่ไหนก็สู้พวกเราไม่ได้”
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในบ้าน ปิดประตูตามหลังดังปัง
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เด็กหนุ่มก็เขย่งปลายเท้ามาเปิดประตู ย่องข้ามธรณีประตูออกมาอย่างเงียบเชียบ เบิกตากว้างจ้องเขม็งไปยังตัวอักษรฝูตัวนั้น
ไม่ได้เบี้ยวสักหน่อย
จื้อกุยแง้มประตูเปิดด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ยื่นหน้าออกมาพูดอย่างเคร่งเครียด “เบี้ยวจริงๆ”
เฉินผิงอันรู้สึกอัดอั้นตันใจเล็กน้อย เขาไปยกม้านั่งมานั่งอาบแดดตรงหน้าประตู ผ่านไปครู่หนึ่งก็เริ่มฝึกขึ้นรูปเครื่องปั้น
จื้อกุยยืนอยู่ตรงกำแพงในลานบ้านตัวเอง มองเด็กหนุ่มที่ไม่ได้เป็นช่างเผาเครื่องปั้นอีกแล้ว มองอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกเบื่อหน่ายจึงกลับไปนอนในห้องตัวเอง
นางนอนลงบนเตียง กลืนน้ำลายหนึ่งอึก ในบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉาเคยมีคนจิ๋วควันธูปก่อกำเนิดมาคนหนึ่ง ระดับสูงมาก ร่างเป็นสีทองอร่าม ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะเป็นสีทองทั้งร่างแล้ว แต่น่าเสียดายที่ยังไม่พอจะยัดซอกฟันของนาง
……
เฉินผิงอันที่อยู่บ้านข้างๆ ฝึกการขึ้นรูปดินเหนียวอย่างคุ้นเคย จิตใจนิ่งสงบดุจผืนน้ำ
ตอนที่หยุดพัก เฉินผิงอันเริ่มวางแผนอนาคตให้กับตัวเอง ภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาเฟิงอวิ๋นและภูเขาเซียนฉ่าวล้วนอยู่ใกล้กับภูเขาของตระกูลหร่วน เดิมทีตามข้อตกลงเดิมคือจะให้หร่วนฉงเช่าพื้นที่ภูเขาทั้งแถบนั้นโดยไม่คิดค่าตอบแทน เท่ากับช่วยให้หร่วนฉงได้ยึดครองพื้นที่ที่กว้างใหญ่ที่สุดทางฝั่งทิศตะวันตก ส่วนหร่วนฉงก็จำเป็นต้องช่วยเฉินผิงอันดูแลภูเขาทั้งห้าลูก หลีกเลี่ยงไม่ให้เฉินผิงอันมีเงิน แต่ไม่มีชีวิตให้ใช้เงิน สำหรับเรื่องนี้ เฉินผิงอันรู้สึกซาบซึ้งใจในบุญคุณของหร่วนฉงอย่างยิ่ง
ไม่พูดถึงภูเขาเจินจู สถานที่ใหญ่เพียงเท่านั้น เป็นดั่งประโยคที่ว่าสตรีที่ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีข้าวก็ทำกับข้าวไม่ได้ (เปรียบเปรยว่าเมื่อขาดแคลนเงื่อนไขที่จำเป็น ต่อให้เป็นคนเก่งแค่ไหนก็ยากที่จะทำได้สำเร็จ) อย่าว่าแต่สร้างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเลย ต่อให้แค่ขึ้นไปสร้างกระท่อมสักหลังบนนั้น เกรงว่าคงมีแต่เฉินผิงอันเท่านั้นที่เต็มใจจะใช้เหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญไปอย่างสิ้นเปลือง
แต่กิจการบนภูเขาลั่วพั่วจำเป็นต้องทุ่มเทแรงใจอย่างแท้จริง
ความแตกต่างของเรือนไม้ไผ่ เฉินผิงอันรู้ดีอยู่แก่ใจ อีกทั้งภูเขาลั่วพั่วยังมีศาลเทพภูเขาช่วยสยบโชคชะตาน้ำและภูเขา เป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีงูดำตัวหนึ่งที่ใกล้จะได้ลงน้ำกลายเป็นเจียวทำหน้าที่เฝ้าบ้าน ตอนนี้ยังมีเด็กน้อยที่เป็นเผ่าพันธ์ของเจียวหลงเพิ่มมาอีกสองคน ดังนั้นเขาถึงได้คิดจะใช้หินดีงูธรรมดาแลกเอาเงินมาจากเด็กชายชุดเขียว อาจไม่ถึงขั้นทำให้ภูเขาลั่วพั่วกลายเป็นอ่างสมบัติ แต่ดีชั่วก็ขอให้มีความหวังว่าอนาคตจะมีรายได้เข้ามาให้ใช้จับจ่ายในครอบครัว
เฉินผิงอันรักเงินก็เพราะรู้มาตั้งแต่เล็กว่าเงินหายาก แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเฉินผิงอันมีเงินแล้วจะกำถุงเงินเอาไว้แน่น
กระบี่ ต้องฝึก แต่หากยังไม่แน่ใจว่าควรจะฝึกกระบี่อย่างไรนั้น ร้อนใจไปก็ไร้ประโยชน์
ส่วนตำราหมัดเขย่าขุนเขาแน่นอนว่าต้องมุมานะฝึกฝนอย่างยากลำบากต่อไป เพราะอย่างไรซะก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะฝึกได้หนึ่งล้านครั้งอย่างที่เคยพูดไว้
เรื่องเขียนยันต์ เนื่องด้วยเดิมทีก็ถือเป็นวิธีการฝึกวรยุทธ์อีกรูปแบบหนึ่งอยู่แล้ว อย่างแรกเน้นในด้านการฝึกฝนร่างกาย อย่างหลังโน้มเอียงไปทางการชำระล้างช่องโพรงลมปราณในร่าง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ขัดแย้งกัน กลับยังส่งเสริมเกื้อหนุนกันอย่างดี เฉินผิงอันก็แค่ดึงเวลาส่วนหนึ่งจากการฝึกเดินนิ่งยืนนิ่งมาใช้เขียนยันต์ แต่จะเขียนยันต์จำเป็นต้องใช้กระดาษยันต์ กระดาษยันต์ก็คือเงินทองที่ต้องจ่ายออกไป นี่จึงทำให้เฉินผิงอันกลุ้มใจอย่างอดไม่ได้
สรุปแล้วก็คือยังหาเงินได้น้อยเกินไป
นอกจากเรื่องพวกนี้ สิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันเสียดายที่สุดในตอนนี้ก็คือไม่สามารถควบคุมวัตถุฟางชุ่นที่วิญญาณกระบี่มอบให้ได้ แม้จะบอกว่าเอาทรัพย์สินส่วนใหญ่ไปไว้ที่ร้านตีเหล็ก เขาเองก็วางใจ แต่ยังไงก็ไม่สะดวกอยู่ดี วัตถุจื่อชื่อและวัตถุฟางชุ่น (วัตถุขนาดเล็กที่มีพื้นที่เก็บของมาก แต่จื่อชื่อจะมีขนาดบรรจุใหญ่กว่าฟางชุ่น) ของชุยตงซานกับเด็กชายชุดเขียวทำให้เฉินผิงอันได้เห็นถึงประโยชน์อันล้ำค่าของสมบัติชนิดนี้ มิน่าเล่าเทพเซียนบนภูเขาถึงได้มีกันทุกคน
เฉินผิงอันมองไปทางทิศใต้ ไม่รู้ว่าช่างหร่วนหลอมกระบี่ไปถึงไหนแล้ว
หร่วนฉงเคยรับปากแม่นางหนิงว่าจะสร้างอาวุธเทพชิ้นหนึ่งให้กับนาง
หากวันใดเขาหลอมสำเร็จ นางก็จะมีกระบี่ประจำกายที่เหมาะมือเล่มหนึ่ง ส่วนตัวเขาก็มีกระบี่ไม้ไหวเล่มหนึ่ง
เฉินผิงอันรู้สึกว่าตั้งชื่อให้พวกมันว่า ‘กำจัดปีศาจ’ กับ ‘ปราบมาร’ คงไม่เลวเลยทีเดียว
บวกกับตัวอ่อนกระบี่ชิ้นนั้น แม้ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งจะบอกว่ามันชื่อ ‘เสี่ยวเฟิงตู’ แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าหากเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ชูอี’ (อันดับหนึ่ง/แรกสุด/ วันแรกของทุกเดือน) หรือ ‘รุ่งเช้า’ จะเหมาะสมยิ่งกว่า เพราะเช้าตรู่ของวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งเป็นครั้งแรกที่มันปรากฎตัวบนโลกใบนี้ด้วยลักษณะของกระบี่
ขณะที่ในหัวของเฉินผิงอันมีความนี้ผุดขึ้นมา ตัวอ่อนกระบี่ที่เดิมทีอยู่ในมหาสมุทรลมปราณเงียบๆ มานานก็เริ่มออกฤทธิ์ก่อคลื่นสร้างมรสุมทันที
และเพียงแค่ชั่วพริบตาทั่วหน้าของเฉินผิงอันก็แดงก่ำ เริ่มเผชิญกับเคราะห์กรรมอีกครั้ง
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ทันเดินเข้าไปในห้อง จึงได้แต่ใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูรับมือกับการตอบโต้ที่มาเยือนอย่างฉับพลันของตัวอ่อนกระบี่
เจ็บปวดทรมานจนพูดไม่ออก
……
ทางฝั่งของจุดพักม้าที่อยู่ใกล้กับเมืองเล็กมากที่สุด ช่วงที่ผ่านมานี้ราชครูชุยฉานแห่งราชวงศ์ต้าหลีพักอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ทั้งไม่ได้เปิดเผยตัวอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็ไม่ได้อำพรางร่องรอยการเดินทาง
วันนี้ราชครูเดินออกจากจุดพักม้า เดินทางไกลไปเพียงลำพัง ไม่ให้มือกระบี่สวี่รั่วติดตาม
ทุกครั้งที่ชุยฉานก้าวออกมาหนึ่งก้าวก็เป็นระยะทางสามสี่ลี้ สุดท้ายเขามายืนอยู่กลางทางที่เล็กเหมือนไส้แกะเส้นหนึ่ง ขวางทางผู้เฒ่าเสื้อผ้ามอซอขาดวิ่นผู้หนึ่งเอาไว้
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าสภาพกระเซอะกระเซิงมองราชครูต้าหลีที่สวมชุดลัทธิขงจื๊ออย่างเหม่อลอย เส้นสายตาขุ่นมัว เขายังคงไม่คืนสติ ได้แต่อาศัยไหวพริบที่หลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยถามคำถามประหลาดออกมา “ไม่ใช่หลานชายของข้า หลานชายข้าล่ะ?”
สีหน้าชุยฉานซับซ้อน ขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ผู้เฒ่าที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเศษหญ้าดินโคลนถามต่อ “หลานชายข้าล่ะ ข้าไม่อยากพบเจ้า ข้าอยากพบหลานชายของข้า”
ชุยฉานยืนสองมือไพล่หลัง สิบนิ้วที่สอดประสานกันสั่นน้อยๆ
ผู้เฒ่าไม่สวมรองเท้า สติไม่สมประดีพลันแผดเสียงอย่างเดือดดาล “หลานชายข้าอยู่ไหน?! เจ้าเอาเขาไปซ่อนไว้ที่ไหน! รีบคืนฉานเอ๋อร์มาให้ข้า!”
กล่าวมาถึงตรงนี้พลังอำนาจของผู้เฒ่าก็ดิ่งฮวบลงเหว พึมพำเสียงแผ่ว “ข้าจะเปลี่ยนชื่อให้หลานชาย เปลี่ยนเป็นชื่อที่ดียิ่งกว่าเดิม…”
สีหน้าชุยฉานทั้งเศร้าทั้งขมขื่น เอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “เสมือนอยู่กันคนละโลก ไม่ใช่แค่เสมือน แต่เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นความจริง”
ผู้เฒ่าที่อาภรณ์ขาดรุ่งริงยื่นมือข้างหนึ่งมาผลักไหล่ชุยฉาน ส่วนตัวเองเดินดิ่งไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง “เจ้าถอยไป อย่ามาทำให้ข้าเสียเวลาตามหาฉานเอ๋อร์ ข้าจะต้องไปหาอาจารย์ของเขา ถามเขาว่าชื่อใหม่ที่ข้าตั้งให้ดีหรือไม่ดี”
ชุยฉานยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ห้ามปราม
เขาทอดสายตามองไปยังทิศไกล มีหลวงจีนวัยกลางคนใบหน้าเด็ดเดี่ยวผู้หนึ่งเดินมาช้าๆ
หลวงจีนบำเพ็ญทุกรกิริยาโดยใช้สองเท้าวัดขนาดฟ้าดินก็เพื่อผู้บำเพ็ญตบะชาวพุทธ
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น