ยอดหญิงสกุลเสิ่น 192.1-193.1
ตอนที่ 192-1 เปิดฉากศึกบีบคั้นครั้งใหญ่
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านลืมตาสิ ท่านอย่าทำให้ลูกกลัว! ท่านลืมตามองข้าสิ” เหอหลินหลินนั่งอยู่บนพื้นกอดมารดาร่ำไห้ปานใจจะขาด
เสิ่นหย่าที่นอนราบอยู่บนพื้นปิดตาทั้งคู่สนิท ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว บนลำคอมีรอยรัดที่น่าตกอกตกใจอยู่หนึ่งรอย
แม่นมชราและเสี่ยวจวี๋เองก็ล้อมวงร่ำไห้ “คุณหนู เหตุใดท่านถึงโง่เพียงนั้น ท่านตัดใจทิ้งคุณหนูน้อยไว้คนเดียวได้อย่างไร คุณหนู ไม่คุ้มกันเลย ท่านโง่เกินไปแล้ว!”
เหอหลินหลินได้ยินดังนั้นน้ำตาก็ไหลหนักกว่าเดิม เขย่าร่างมารดานางไม่หยุด ตะโกนเรียกมารดาด้วยเสียงสะอึกสะอื้น
เช้าวันนี้หลังทานข้าวเช้าเสร็จนางก็ทำงานเย็บปักอยู่ในห้อง ทำไปทำมาก็รู้สึกว่าจิตใจไม่สงบสุข กระทั่งนิ้วมือยังถูกเข็มแทงไปหลายครา นางวางงานปักลงแล้วไปหามารดานางที่ห้องใหญ่ด้วยจิตใจกระวนกระวาย คาดไม่ถึงว่าจะเห็นมารดนางแขวนคออยู่บนคานห้อง นางตกใจจนอกสั่นขวัญหายในชั่วขณะ โผเข้าไปกอดขาทั้งคู่ของมารดานางแล้วร้องตะโกนเสียงดัง แม่นมชรากับเสี่ยวจวี๋ได้ยินเสียงเรียกตะโกนก็วิ่งเข้ามา ตกใจจนขวัญแทบกระเจิง คนทั้งสามร่วมแรงกันกว่าจะนำเสิ่นหย่าลงมาได้
เหอหลินหลินคิดไม่ถึงเลยว่ามารดานางจะหมดหนทางจนคิดสั้น นางรู้ว่ามารดานางทิ้งนางไม่ลง ตอนนี้ในเมื่อมารดานางเลือกเส้นทางนี้แล้ว เช่นนั้นก็แปลว่าจะต้องทำเพื่อนางแน่นอน
เมื่อคิดภาพว่าหลังจากนี้นางก็จะเป็นลูกที่ไม่มีแม่แล้ว ซ้ำยังไม่มีใครใช้สายตารักใคร่ทะนุถนอมมองนางอีกแล้ว เหอหลินหลินก็รู้สึกเจ็บปวดใจแทบตาย หายใจไม่ออก นางร้องจนเสียงแหบเสียงแห้ง หายใจไม่เป็นจังหวะ น้ำตาที่ร้อนผ่าวหยดลงบนใบหน้าแม่นาง
“คุณหนูน้อยอย่างเพิ่งเสียใจไป คุณหนูยังมีลมหายใจเจ้าค่ะ” จู่ๆ แม่นมชราที่วางนิ้วลงบนปลายจมูกของเสิ่นหย่าก็ตะโกนกล่าว
เสี่ยวจวี๋เองก็ตะโกนด้วยความดีใจ “ดูสิ ดูสิ คุณหนูขยับแล้ว ขยับแล้ว”
เหอหลินหลินหยุดร้องไห้ทันที ก้มหน้ามองมารดาในอ้อมอก เห็นเพียงคิ้วของมารดานางขมวดมุ่นดั่งคาด ศีรษะเองก็ขยับเล็กน้อย นางดีใจอย่างยิ่ง ร้องตะโกนไม่หยุด “ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านอย่าทิ้งข้าไปเด็ดขาดนะเจ้าคะ!” ตะโกนไปตะโกนมาก็อดเจ็บปวดหัวใจไม่ได้ น้ำตาบดบังทัศนวิสัย
ดวงชะตาเสิ่นหย่ายังไม่ถึงฆาต หลายวันมานี้นางคิดมาโดยตลอดว่าทำอย่างไรจึงจะขัดขวางไม่ให้สามีผลักหลินเจี่ยเอ๋อร์เข้ากองไฟได้ คิดไปคิดมาก็มีเพียงวิธีเดียว นั่นก็คือนางตาย
นางตายแล้ว หลินเจี่ยเอ๋อร์ที่เป็นลูกสาวแท้ๆ ก็ต้องไว้ทุกข์สามปี ช่วงเวลาไว้ทุกข์ย่อมไม่อาจแต่งงานได้ นางช่วยอะไรลูกสาวไม่ได้แล้ว หากการตายของนางสามารถแลกโอกาสชีวิตให้ลูกสาวได้ นางก็ยินดี
วันนี้นางหาข้ออ้างไล่แม่นมชราและเสี่ยวจวี๋ออกไปอย่างยากลำบาก หยิบผ้าขาวที่แอบเตรียมไว้แล้วมาแขวนไว้บนคานห้อง แขวนคอขึ้นไปอย่างไม่ลังเล ก่อนที่จะหมดสตินางยังเสียใจที่ไม่สามารถจัดพิธีปักปิ่น[1]ให้ลูกสาวได้ ไม่อาจมองลูกสาวออกเรือนด้วยตาตัวเองได้
แต่นางก็ไม่คิดว่าลูกสาวจะเข้ามาหาเร็วถึงเพียงนั้น เพราะช่วงเวลาที่แขวนคอยังไม่นาน ถูกลูกสาวร้องไห้ตะโกนเขย่าตัวเช่นนี้ เสิ่นหย่าก็ฟื้นอีกครั้ง
“หลินเจี่ยเอ๋อร์…อย่าร้อง!” เสิ่นหย่าที่ฟื้นขึ้นพยายามพูดคำไม่กี่คำนี้ออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง มือที่ลูบแก้มของลูกสาวสั่นระริก เช็ดน้ำตาออกไป “หลินเจี่ยเอ๋อร์…เจ้า…เจ้าให้แม่…ตายเสียเถอะ! เช่นนี้…พ่อเจ้า…ก็จะไม่…บังคับเจ้า…ให้แต่งงานอีก”
เหอหลินหลินร้องไห้ด้วยความเสียใจยิ่งขึ้น คว้ามือของแม่นางมาแนบไว้ข้างแก้มตน “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าไม่ให้ท่านตาย ข้ายอมฟังคำพูดท่านพ่อแต่งงานกับคนผู้นั้นยังดีกว่าท่านต้องตาย”
ท่านตายแล้ว ก็จะไม่มีใครรักข้าแล้ว! วินาทีนี้ ความไม่พอใจจำนวนหนึ่งที่เหอหลินหลินมีต่อแม่นางพลันหายวับไปกับตา แม้ว่าแม่นางจะอ่อนแอไร้ประโยชน์ลุกยืนไม่ขึ้น พลอยให้นางลำบากไปด้วยตั้งแต่เกิด แต่มารดาที่อ่อนแอไร้ประโยชน์ผู้นี้กลับยอมตายเพื่อนาง!
นางไม่โกรธ ไม่โกรธ ไม่โกรธอีกต่อไป ขอเพียงแค่มารดามีชีวิตต่อไปได้ แม้ว่าจะต้องใช้ชีวิตที่ลำบากกว่านี้นางก็ยินดี
เห็นสองแม่ลูกร้องไห้อย่างระงับอารมณ์ไม่ได้ แม่นมชราก็ดึงแขนเสื้อเช็ดน้ำตา กล่าวตำหนิ “เหตุใดคุณหนูถึงโง่เพียงนี้ ท่านรู้ว่าหากบิดามารดาเสียชีวิตบุตรต้องไว้ทุกข์สามปี เหตุใดถึงลืมว่ายังมีเรื่องสมรสช่วงต้นของการไว้ทุกข์เล่า หากท่านไม่อยู่แล้ว ท่านเขยโกรธขึ้นมาจะต้องให้คุณหนูน้อยแต่งงานภายในร้อยวันเป็นแน่”
เสิ่นหย่าตะลึงงันในชั่วขณะ จริงสิ ด้วยนิสัยของสามี บวกกันการเป่าหูของเถียนอี๋เหนียง จะต้องไม่ให้ลูกสาวรอถึงสามปีแน่นอน นางคิดไม่ถึงได้อย่างไร
“เช่นนั้น…จะทำอย่างไร..หลินเจี่ยเอ๋อร์…ของข้า…จะทำอย่างไร บุตรสาว…ผู้มีชีวิตขื่นขมของข้า!” เสิ่นหย่าทั้งร้อนใจทั้งหมดหวัง น้ำตาไหลพรากลงมา
แม่นมชรากับเสี่ยวจวี๋ก็ยิ่งหมดหนทาง ทำได้เพียงร้องไห้ตาม
ตอนที่อวิ๋นหรงเข้ามาในเรือนก็มองเห็นฉากๆ นี้พอดี ยังคิดว่าคุณหนูของตนเป็นอะไรไป ตื่นตระหนกวิ่งเข้ามาอย่างลืมตัว “คุณหนู คุณหนู ท่านอย่าได้เป็นอะไรไปนะเจ้าคะ คนของจวนโหวมาแล้ว หลานชายของท่านมาหนุนหลังท่านแล้ว” นางวิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง โทษตัวเองในใจไม่หยุด ผิดที่นางเดินช้าเกินไป หากว่าคุณหนูเป็นอะไรไป เช่นนั้นนางก็คงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วเช่นกัน
เสิ่นหย่าและคนอื่นๆ ได้ยินอวิ๋นหรงตะโกนเช่นนี้ ชั่วขณะก็หยุดร้องไห้ โดยเฉพาะเสิ่นหย่าที่ดิ้นพล่านลุกขึ้นยืน มองอวิ๋นหรงอย่าเหลือเชื่อ “จริงหรือ มีคนมาจากจวนโหวแล้วจริงๆ หรือ”
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ!” อวิ๋นหรงพยักหน้าไม่หยุด เช็ดน้ำตาบนหน้าลวกๆ เบะปากแต่กลับเผยให้เห็นรอยยิ้มกว้าง “เป็นคุณชายสี่บ้านนายท่านสาม หลานชายของท่าน เป็นคุณชายสี่ที่สร้างชื่อเสียงอำนาจในสนามรบซีเจียง คุณหนู พวกเราไม่ต้องกลัวอีกแล้ว!” นางเองก็ทราบว่าคุณชายสี่ผู้นี้คือคุณหนูสี่ คุณหนูสี่ที่ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นจู่ผู้นั้น ตอนที่มานางยังกังวลเล็กน้อย แต่ผ่านการเดินทางครั้งนี้จิตใจนางก็วางลงทั้งหมด คุณหนูสี่ผู้นี้เก่งกาจจริงๆ มิน่าเล่านายท่านผู้เฒ่าโหวถึงให้นางมาอวิ๋นโจวเที่ยวนี้
หยาดน้ำตาของเสิ่นหย่าก็ยิ่งเปี่ยมความสุข คว้ามือของลูกสาวตะโกนอย่างดีใจ “หลินเจี่ยเอ๋อร์…เจ้าได้ยิน…หรือไม่…ญาติผู้พี่…ของเจ้า…มาแล้ว!”
เหอหลินหลินสะอื้น “อื้อ อื้อ ท่านแม่ ข้าได้ยินแล้ว ญาติผู้พี่มาแล้ว พวกเราไม่ต้องกลัวแล้ว พวกเรารอดแล้ว” บนใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มกว้าง
ส่วนแม่นมชราและเสี่ยวจวี๋เองก็เช็ดน้ำตาไปพลาง สวดมนต์อมิตาพุทธไปพลาง
ไม่รอให้เสิ่นหย่าสองแม่ลูกรอนาน เร็วอย่างยิ่งเงาร่างของเสิ่นเวยก็ปรากฎอยู่หน้าประตูเรือน
ท่ามกลางความพร่าเลือนเสิ่นหย่ามองเห็นเพียงคุณชายวัยหนุ่มที่มีเรือนร่างสูงตระหง่านดั่งหนุ่มรูปงามกำลังยิ้มน้อยๆ เดินเข้ามาหานางช้าๆ นี่คือหลานของนางงั้นหรือ หน้าตาดีจริงๆ! ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเห็นหลานผู้นี้หัวใจซึ่งไร้ที่พึ่งของนางก็สงบลงทันที ดวงตาคู่นั้นของหลานชายเหมือนพ่อเขาอย่างยิ่ง กระบอกตานางร้อนผ่าวอย่างไม่รู้ตัว โชคดีที่ไม่มีน้ำตาร่วงลงมาอีก
เหอหลินหลินเองก็มองเสิ่นเวยอย่างไม่ละสายตา นี่คือญาติผู้พี่ของนาง คุณชายสูงส่งของจวนโหว ที่แท้แล้วก็มีหน้าตาเช่นนี้ เป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ โดดเด่นสง่างามนัก
“ท่านอา หลานสี่มาเยี่ยมท่านแล้ว!” เมื่อเสิ่นเวยเข้ามาก็ทำความเคารพอย่างนบนอบ อีกทั้งยังยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตรให้เหอหลินหลินอีกด้วย “นี่ก็คือญาติผู้น้องหลินสินะ!”
ความเป็นมิตรที่ออกมาจากใจจริงนั้นทำให้เหอหลินหลินแสบจมูกอย่างอดไม้ได้ ดีจริงๆ! ญาติผู้พี่ของนางไม่ทะนงตนและดูถูกพวกนางแม่ลูกแม้แต่นิดเดียว นางเองก็ทำความเคารพเสิ่นเวยอย่างมีมารยาทอย่างยิ่ง เรียกหนึ่งครา “ญาติผู้พี่”
เสิ่นเวยมองดู ชั่วขณะก็รู้สึกว่าญาติผู้น้องคนนี้ยังนับว่าน่าเชื่อถือได้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็จริงใจสามส่วน หันหน้ากลับมากำลังจะพูดกับท่านอา แต่พลันมองเห็นรอยรัดบนลำคอของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปทันที แววตาเย็บเยียบลง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น คนแซ่เหอผู้นั้นทำอะไรอีก” ตอนนี้เหอจังหมิงจากปากของเสิ่นเวยกลายเป็นคนแซ่เหอไปเสียแล้ว “ลงมือกับภรรยาของตนเอง หน้าไม่อายจริงๆ ข้าจะไปหาเขา!” นางไม่แม้แต่จะคิดก็เอาบัญชีนี้ไปชำระที่เหอจังหมิงแล้ว อย่างไรเสียชายชาติชั่วผู้นี้ก็มีประวัติไม่ดี ตามการสืบข่าวของทหารลับ เขาลงมือกับภรรยาก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง
เหอหลินหลินร้อนใจใหญ่ ไม่สนการถือตัวระหว่างชายหญิงใดๆ ก้าวขึ้นไปดึงแขนเสื้อของเสิ่นเวยไว้ “ญาติผู้พี่ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น” นางส่ายหน้าอย่างรีบร้อน บนใบหน้ายังมีความอึดอัดหลายส่วน
เสิ่นเวยอดสงสัยไม่ได้ ละสายตามองอาของนาง เห็นนางอึดอัดไปทั้งใบหน้าเช่นกัน แม่นมมั่วที่อยู่ข้างๆ เสิ่นเวยมองเห็นปัญหาแล้ว กระซิบข้างหูเสิ่นเวยหลายประโยค
เสิ่นเวยเผยสีหน้าเข้าใจ สายตาที่มองท่านอาของนางก็ซับซ้อนเล็กน้อย ความรักของแม่ยิ่งใหญ่จริงๆ คนอ่อนแอเช่นท่านอายอมตายเพื่อลูกสาวได้ นี่ทำให้นางนึกถึงฮูหยินหร่วนมารดาเจ้าของร่างเดิมอย่างอดไม่ได้ ฟังว่านางตายไปพร้อมความโศกเศร้า แต่จะมีอะไรสำคัญไปกว่าลูกอีก นางไม่เคยคิดหรือว่านางไม่อยู่แล้วจะทิ้งลูกชายลูกสาวอายุน้อยคู่นี้ให้มีชีวิตอยู่อย่างไร
เหอจังหมิงเองก็วิ่งตามมาแล้ว “หลานน้อย หลานสี่ หลานน้อย เจ้าอยากเคารพอาเจ้า อาเขยพาเจ้ามาก็ได้แล้ว เจ้าจะรีบร้อนเพียงนี้ไปไย” อย่างไรเสียก็เป็นเช่นนี้แล้ว เหอจังหมิงกลับยอมเสี่ยง แสดงท่าทีของอาเขยที่ดีกล่าวติเตียนเสิ่นเวย
เสิ่นเวยหัวเราะเยาะ “หลานสี่ร้อนใจที่ไหนกัน ท่านอาเขยร้อนใจเองหรือเปล่า” บนใบหน้านางมีร้อยยิ้มอันแสนอบอุ่น แต่เมื่อมองดูให้ดี รอยยิ้มนั้นกลับไม่จริงใจอย่างสิ้นเชิง “มาๆๆ ท่านอาเขย เชิญนั่ง วันนี้พวกเรามาหารือกันดีๆ เถอะ” นางตั้งใจมาหาเรื่อง ย่อมต้องสะสางบัญชีก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“ดูหลานน้อยพูดเขา พวกเราเป็นญาติกันแท้ๆ มีอะไรให้ต้องหารือหรือ อากับญาติผู้น้องเจ้าก็พบแล้ว ตอนนี้ไปคุยกับอาเขยที่ห้องหนังสือเถอะ จัดกับข้าวไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเราสองคนไปดื่มสุรากันหน่อยดีกว่า” เหอจังหมิงทำราวกับว่าไม่รู้เจตนาในคำพูดของเสิ่นเวย
ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่ขยับ แต่หันมองเย่ว์กุ้ยปราดหนึ่ง เย่ว์กุ้ยก้าวขึ้นมาพยุงแขนของเหอจังหมิงอย่างกระตือรือร้นทันที “นายท่านเขย ให้บ่าวช่วยพยุงท่านนั่งเถอะเจ้าค่ะ” ไม่สนว่าเหอจังหมิงจะยอมหรือไม่ มือก็ออกแรงกดเขาลงไปบนเก้าอี้แล้ว
เสิ่นเวยยกมุมปาก ส่งแววตาชื่นชมให้เย่ว์กุ้ย พยุงท่านอาของนางให้นั่งลงอีกฝั่งด้วยตัวเอง
ในใจเหอจังหมิงก็ยิ่งไม่ยินยอม แต่กลับทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้ม “หลานน้อยมีเรื่องอะไรก็รีบพูดเถอะ พูดเสร็จแล้วพวกเราสองคนไปดื่มสุรากัน”
เสิ่นเวยยังคงยิ้ม ถอนหายใจในใจ หนังหน้าท่าอาเขยไม่แท้ผู้นี้หนาจริงๆ! ยางอายยังมีอยู่หรือไม่ ในเมื่อเจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เช่นนั้นข้าก็จะเปิดโลงศพให้เจ้าเห็นข้างในเอง!
“ก่อนหน้านี้หลานสี่จัดการเถียนอี๋เหนียง ท่านอาเขยยังตำหนิที่ข้าไม่ไว้หน้าท่าน ท่านอาเขย ข้าไว้หน้าท่าน แต่ท่านไว้หน้าจวนจงอู่โหวของพวกข้าบ้างหรือไม่” เสิ่นเวยถามด้วยความตั้งใจมากเป็นพิเศษ “คุณหนูสูงส่งของจวนโหวที่ใหญ่โตโอ่อ่า อาศัยอยู่ในเรือนโทรมๆ เช่นนี้หรือ ไม่ใช่บอกว่าท่านอาข้าพักรักษาตัวหรอกหรือ อยู่ในสถานที่แย่ๆ แบบนี้จะรักษาโรคอะไรได้ อี๋เหนียงคนหนึ่ง คนต้อยต่ำที่ซื้อมาได้ด้วยเงินไม่กี่ตำลึง กินดีอยู่ดียิ่งกว่าภรรยาเอก นี่คือสิ่งที่ท่านอาเขยเรียกว่าไว้หน้าจวนจงอู่โหวของพวกข้าหรือ” เสิ่นเวยถามอย่างต่อเนื่อง
สีหน้าเหอจังหมิงเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวม่วง เสียใจอย่างยิ่งที่เหตุใดตนถึงดึงดันจะตามมา ตามมาเพื่ออะไร หาเรื่องใส่ตัวหรือ
“ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น…” เหอจังหมิงร้อนใจจนเหงื่อท่วมศีรษะ แต่กลับพูดเถียงไม่ออกสักคำเดียว ความจริงอยู่ตรงหน้า ไม่ยอมให้เขาเล่นลิ้น
“อะไรไม่ใช่ ท่านอาเขยโปรดอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอก โยนศักดิ์ศรีจวนโหวของพวกข้าทิ้งเหยียบย่ำติดพื้นแล้วใช่หรือไม่” เสิ่นเวยกล่าวช้าๆ ชายตามองเหอจังหมิงที่นั่งไม่ติดปราดหนึ่ง กล่าวต่อ “ฟังว่าท่านอาเขยยังคิดจะแต่งญาติผู้น้องให้ตาเฒ่าที่ใกล้จะลงโลงเป็นภรรยาคนที่สองอีกด้วย จุ๊ๆ ไม่ใช่ว่าหลานว่าท่าน ท่านไม่สนใจท่านอาก็พอแล้ว แต่ญาติผู้น้องเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่าน เหตุใดท่านถึงใจดำได้ลงคอเช่นนี้” เสิ่นเวยไม่อยากไว้หน้าเขาแม้แต่นิดเดียว สำหรับชายชาติชั่วเช่นนี้ ต้องถอดเสื้อผ้าที่ปกคลุมตัวเขาออกให้หมด ให้เขาเปลือยกายล่อนจ้อนจึงจะดี
ทว่าเหอจังหมิงกลับไม่คิดเช่นนี้ “หลานน้อยพูดผิดแล้ว หลินเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของข้า ข้าจะไม่วางแผนเพื่อนางได้อย่างไร หลินเจี่ยเอ๋อร์แต่งเข้าไปแล้วก็จะได้เป็นฮูหยินขั้นสี่ นี่เป็นเกียรติมากเพียงใด ผู้ชายที่โตหน่อยมีอะไรไม่ดี โตหน่อยจึงจะรู้จักรักผู้อื่น”
“พูดเช่นนี้แสดงว่าท่านอาเขยหวังดีต่อญาติผู้น้องสินะ” เสิ่นเวยแค่เสียงในใจหนึ่งครา เห็นชายชาติชั่วแซ่เหอพยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ นางก็แทบจะโมโหแล้ว “เหตุใดหลานสี่ถึงได้ยินว่าท่านอาเขยทำเพื่อปูทางให้ลูกชายคนโตบุตรอนุภรรยาผู้นั้นเล่า เฮ้อ ท่านอาเขยคิดถึงอนาคตแทนบุตรชายก็เป็นเรื่องสมควร เพียงแต่ญาติผู้น้องเพิ่งจะอายุสิบสาม แต่งเข้าไปแล้วจะดีหรือ หลานสี่คิดว่าเถียนอี๋เหนียงผู้นั้นกลับเป็นตัวเลือกที่ดี ด้วยอุบายของนางจะต้องมัดใจใต้เท้าเฉวียนผู้นั้นได้แน่ อีกทั้งลูกชายคนโตผู้นั้นของท่านไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของนางหรอกหรือ เพื่ออนาคตของลูกชายนางจะต้องพยายามแน่นอน ดีกว่าญาติผู้น้องที่ไม่ยินยอมพร้อมใจ ถึงตอนนั้นทำเสียเรื่องท่านอาเขยขึ้นมาก็คงจะไม่งาม” เสิ่นเวยเสนอความคิดเห็นจากใจจริง
คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ก้มหน้ากลั้นหัวเราะ คุณหนูสี่ร้ายกาจจริงๆ เหอหลินหลินเองก็รู้สึกโล่งใจ สายตาที่มองเสิ่นเวยเลื่อมใสยิ่งนัก
[1] พิธีปักปิ่น เป็นพิธีของเด็กสาวที่มีอายุครบสิบห้าปี เด็กสาวจะรวบมวยผมไว้กลางศีรษะ ผู้ใหญ่ฝ่ายเด็กสาวจะเชิญแขกผู้หญิงมาช่วยปักปิ่นให้เด็กสาว แสดงให้เห็นว่าเด็กสาวผู้นั้นได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่และพร้อมจะออกเรือนแล้ว
ตอนที่ 192-2 เปิดฉากศึกบีบคั้นครั้งใหญ่
สีหน้าของเหอจังหมิงไม่ค่อยดีแล้ว แม้จะบอกว่าเป็นการซื้อขายภรรยา แต่ก็ไม่เคยมีหลักการนำมารดาแท้ๆ ของบุตรชายคนโตไปให้คนอื่น ปากหลานสี่ผู้นี้ร้ายจริงๆ นี่ไม่เท่ากับว่าตบหน้าเขาอยู่หรือ เขากำลังจะเอ่ยปากก่นด่า ก็ได้ยินเสียงดังเข้ามาจากหน้าประตู “เด็กเหิมเกริมไร้มารยาทที่ไหนกัน”
“ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไร” เหอจังหมิงมองเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ของเขาประคองแม่เขาเดินเข้ามา ก็ตกใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
มารดาแซ่เหอปรายตามองลูกชายอย่างไม่พอใจปราดหนึ่งก่อน “คนมากลั่นแกล้งถึงบ้าน แม่จะไม่มาได้อย่างไร” เถียนอี๋เหนียงวิ่งมาร้องทุกข์ต่อหน้านาง บอกว่าจวนจงอู่โหวส่งคนมาแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตบหน้านางไปหลายที
มารดาแซ่เหอเห็นใบหน้านางปูดบวมจริงๆ รอยฝ่ามือก็ยังชัดเจนแจ่มแจ้ง จากนั้นก็คิดได้ว่าตระกูลใหญ่โตมักจะใช้อำนาจบาตรใหญ่จึงเชื่อทันที ในใจนางไม่พอใจแล้ว แม้เถียนอี๋เหนียงจะเป็นอนุภรรยา แต่อย่างไรเสียก็มีหลานชายคนโตให้นาง เห็นแก่หลานชายคนโต นางจึงไม่อาจปล่อยให้เถียนอี๋เหนียงถูกคนตบเช่นนี้ได้ ฟังว่าเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง นางกลับอยากเห็นว่าจวนจงอู่โหวจะน่าเกรงขามมากเพียงใดเชียว
“คนผู้นี้คือคุณชายจวนโหวหรือ หน้าตาก็ดีใช้ได้ แต่เหตุใดจิตใจถึงโหดเ**้ยมเพียงนั้น” แม้ว่ามารดาแซ่เหอจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงหน้าบวมๆ ใบนั้นของเถียนอี๋เหนียง นางก็รู้สึกว่าเสิ่นเวยหน้าตาน่าเกลียดขึ้นมาทันที
เสิ่นเวยเองก็ไม่โกรธ เพียงแค่กระตุกมุมปาก “คนผู้นี้ก็คือแม่เฒ่าของท่านอาใช่หรือไม่ ดูใจดียิ่งนัก แต่เหตุใดถึงเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาเล่า” เสิ่นเวยตอบกลับเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน “อนุภรรยาผู้หนึ่งไหนเลยจะควรค่าให้คุณชายโต้เถียงด้วย เพียงแค่เห็นนางไม่รู้จักกฎระเบียบเกินไป จึงชี้แนะสักหน่อยก็เท่านั้นเอง”
มารดาแซ่เหอแทบจะโกรธจนหน้าบิดเบี้ยวแล้ว “ใครบอกว่าเถียนอี๋เหนียงไม่รู้จักกฎระเบียบ เถียนอี๋เหนียงปฏิบัติตามกฎระเบียบดี” กินดีอยู่ดีก็เพราะเคารพนางก่อน อีกทั้งยังส่งเครื่องประดับไปให้บ่อยๆ รู้จักอ่านสถานการณ์ที่สุด
“อ้อ ข้าก็ว่า ที่แท้แล้วกฎระเบียบจวนตระกูลเหอของพวกท่านก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ทิ้งขว้างฮูหยินภรรยาเอก ยกย่องอี๋เหนียงให้ทำหน้าที่ของภรรยาแทน เป็นกฎที่ดีจริงๆ! เอ๋ เหตุใดกำไลหยกชิ้นนั้นบนข้อมือแม่เฒ่าถึงได้คุ้นตาเพียงนี้เล่า อ้อจริงสิ นี่ไม่ใช่สินเดิมของท่านอาข้าหรือ ยังมีปิ่นทองบนศีรษะของพี่สะใหญ่ผู้นี้อีก ดูเหมือนว่าจะเป็นของท่านอาข้าเหมือนกันนี่นา แม่ยายกับพี่สะใภ้แบ่งสินเดิมของลูกสะใภ้ พี่น้อง ฮ่าๆๆ เป็นกฎที่ดีจริงๆ! ท่านอาเขย เรื่องนี้ใต้เท้าผู้ตรวจการรู้หรือไม่” เสิ่นเวยไม่กลัวหรอก เจ้าพูดมา ข้าก็ตอกกลับได้ หึ! ดูสิว่าใครจะกลัว
สีหน้าของเหอจังหมิงปรากฏความหวาดผวาหลายส่วนดั่งคาด เขาเองก็เข้าใจว่าในจวนมีกฎหลายข้อที่ไม่ถูกต้อง แต่เขาก็เพียงแค่ปิดบังไม่ให้ผู้ตรวจการรู้ก็เท่านั้นเอง
ทว่ามารดาแซ่เหอกลับไม่กลัว นางเป็นเพียงหญิงชราในชนบทคนหนึ่ง ไหนเลยจะรู้ว่าผู้ตรวจการทำอะไรได้บ้าง เห็นนางกวาดสายตามองลูกสะใภ้รองอย่างเหยียดหยามปราดหนึ่ง กล่าวอย่างรังเกียจ “ในเมื่อเสิ่นซื่อแต่งเข้ามาในตระกูลเหอของพวกข้า นางก็คือคนในตระกูลพวกข้าแล้ว นับประสาอะไรกับสินเดิมเล่า เคารพแม่ยายให้เครื่องประดับไม่กี่ชิ้นจะเป็นอะไรไป” นางกลับมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง “นางแต่งเข้าตระกูลเหอมาสิบกว่าปีแล้ว คลอดแค่เด็กผู้หญิงหนึ่งคน แม้แต่ลูกผู้ชายยังให้พวกข้าไม่ได้ ตระกูลพวกข้าไม่ขับนางออกก็เมตตาพอแล้ว” นางไม่พอใจเต็มที
“ขับหรือ ท่านอาข้าผิดกฎเจ็ดขับ[1]ข้อไหนหรือ” เสิ่นเวยเลิกคิ้ว แววตาเย็นเยียบ
“ไม่มีบุตร!” มารดาแซ่เหอเอ่ยปากกล่าวทันที
เสิ่นเวยยิ้มแล้ว “บุตรอนุภรรยาหลายคนนั้นในจวนไม่ใช่ลูกชายของท่านอาหรือไร”
“นั่นไม่ใช่ลูกที่นางคลอด” มารดาแซ่เหอแสยะปากโต้เถียง นางจ้องมองหลานสาวที่อยู่ข้างๆ เสิ่นหย่า สีหน้าก็ยิ่งรังเกียจไปทั้งใบหน้า
“พวกเขาล้วนเป็นลูกของอี๋เหนียงทั้งหลายงั้นหรือ ท่านอาเขยก็คิดเช่นนี้หรือ” เสิ่นเวยมองเหอจังหมิง
อย่างไรเสียเหอจังหมิงก็รับราชการมาหลายปี มีความรู้กว่ามารดามาก ปัจจุบันบุตรภรรยาหลวงและบุตรอนุภรรยายังคงเข้มงวดอย่างยิ่ง บุตรที่อนุภรรยาคลอดเป็นนาย แต่อนุภรรยากลับยังคงเป็นบ่าว อย่างมากก็เป็นเพียงกึ่งนาย ย่อมไม่มีสิทธิเลี้ยงดูลูกที่ตนให้กำเนิด ยิ่งไม่อาจให้ลูกของตนเรียกว่าแม่ได้ แม่ของพวกเขามีเพียงฮูหยินภรรยาเอกเท่านั้น
ทำลายกฎระเบียบลูกภรรยาหลวงลูกอนุภรรยา หากถูกผู้ตรวจการจับหลักฐานและนำขึ้นกราบทูลจักรพรรดิ ก็รอถอดถอนตำแหน่งค้นบ้านยึดทรัพย์ได้เลย
เห็นท่าทางอยากพูดแต่พูดไม่ออกเช่นนั้นของเหอจังหมิง เสิ่นเวยจะไม่รู้ความคิดในใจเขาได้อย่างไร ก่นด่าด้วยความเคียดแค้นหนึ่งครา แล้วกล่าวทันที “แม่เฒ่า วันนี้พวกเรามาพูดกันอย่างตรงไปตรงมาดีกว่า! จวนสูงศักดิ์ละทิ้งท่านอากับญาติผู้น้องแบบนี้ เช่นนั้นก็หย่าเถอะ ข้าจะพาท่านอากลับเมืองหลวง แม่เฒ่าท่านเห็นบุตรสาวตระกูลใดดีงาม ก็รีบหมั้นหมายให้ใต้เท้าเหอเสีย ใต้เท้าเหออายุก็ยังไม่มาก ยังคล่องแคล่วปราดเปรียวไม่แน่ว่าอาจจะยังมีบุตรภรรยาหลวงได้อีกหลายคน”
มารดาแซ่เหอผู้นี้เป็นคนที่ไม่มีความรู้เถียงคำไม่ตกฟาก รบเร้ากับนางต่อไปเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เสิ่นเวยขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับนางแล้ว รอท่านอาหย่าแล้วค่อยมาจัดการคนชั่วตระกูลนี้
“หย่าก็หย่า!” เหอจังหมิงกำลังจะบอกว่าข้าไม่เห็นด้วย ก็ถูกแม่ของเขาแย่งพูดแล้ว
มารดาแซ่เหอสนใจข้อเสนอของเสิ่นเวย แม้ว่าลูกชายคนเล็กจะมีหลานชายหลายคน แต่ก็เป็นบุตรอนุภรรยาทั้งหมด นางคิดว่าไม่เป็นไร ไม่สนว่าใครจะให้กำเนิด ต่างก็เป็นลูกชายของลูกชายนาง เป็นหลานชายของนางเหมือนกัน
แต่เมื่อได้ยินว่าในแวดวงขุนนางมีการลำดับความสำคัญ อย่างไรเสียบุตรอนุภรรยาก็ไม่สูงส่งเท่าบุตรภรรยาหลวง เพื่อลูกชายแล้วนางก็ยินดีจะให้ลูกชายมีบุตรภรรยาหลวง ในเมื่อเสิ่นซื่อให้กำเนิดลูกชายไม่ได้ เช่นนั้นก็เลิกยึดครองตำแหน่งภรรยาเอก ถอยให้ผู้อื่นเสีย! ข้อเสนอของเสิ่นเวยก็ตรงใจนางมิใช่หรือ
“ในเมื่อแม่เฒ่าเห็นด้วย เช่นนั้นก็ดีจริงๆ อ้อ นี่คือใบสินเดิมของท่านอาข้าในตอนแรก พวกท่านลองดู รีบรวบรวมสินเดิมของท่านอามา ข้าจะนำกลับไปพร้อมกัน” เสิ่นเวยกล่าวอย่างมีความสุขที่สุด
“อะไรนะ ยังต้องเอาสินเดิมกลับไปด้วยหรือ” นี่คือเสียงที่สูงและดังของมารดาแซ่เหอ “ฝันไปเถอะ!” ของที่เข้ากระเป๋านางแล้วจะยังให้นางคายออกมาได้อย่างไร ไม่มีทางเสียหรอก ยิ่งไปกว่านั้นใจวนล้วนอาศัยสินเดิมของเสิ่นซื่อประคับประคองไว้ สินเดิมยึดไปแล้ว พวกเขาไม่ต้องกินแกลบกันเลยหรือไร ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด
เสิ่นเวยไม่แม้แต่จะสนใจนาง มองเหอจังหมิง “ใต้เท้าเหอคงจะไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่ หย่ากันแล้ว ยังยึดสินเดิมฝ่ายหญิงไว้ไม่ปล่อย หากเรื่องนี้ดังออกไปใต้เท้าเหอจะยังมีหน้าไปพบเพื่อนร่วมงานอีกหรือ”
สีหน้าร้อยแปดพันเก้าบนใบหน้าของเหอจังหมิงแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว สูดหายใจเข้าลึกแล้วกล่าว “หลานน้อยไยจะต้องพูดจาข่มขู่ด้วยเล่า ว่ากันว่าเป็นสามีภรรยากันวันเดียวความสัมพันธ์กลับแน่นแฟ้นไปเนิ่นนาน ข้ากับอาเจ้าอยู่กันมาเกือบยี่สิบปีแล้ว สามีภรรยาแก่เฒ่ามาพูดให้หย่าเป็นการทำร้ายความรู้สึกมากเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นพวกข้ายังมีหลินเจี่ยเอ๋อร์ อาเขยรู้ว่าเมื่อก่อนปฏิบัติตัวไม่ดีต่ออาเจ้า แต่ตอนนี้อาเขยสำนึกผิดแล้ว หลังจากนี้จะชดเชยให้พวกนางแม่ลูกเป็นอย่างดี” เป็นถึงคนที่ทำงานอยู่ในแวดวงขุนนาง ย่อมสามารถปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์
มารดาแซ่เหอได้ยินคำพูดของลูกชาย ชั่วขณะก็ตอบสนองกลับมา ตะโกนกล่าวเสียงดัง “ใช่ ไม่หย่าแล้ว ก็แค่ให้นางเป็นภรรยาเอกเช่นนี้ต่อไป” เจตนาในคำพูดก็คือสินเดิมไม่อาจคืนให้เป็นอันขาด
เสิ่นเวยหงุดหงิดแล้ว กล่าวอย่างรำคาญใจ “ขออภัยใต้เท้าเหอ จวนโหวไม่เชื่อคำสาบานของท่านแล้ว อีกทั้งการหย่าก็เป็นเจตนาของท่านปู่ข้า ท่านกับท่านอาจะต้องหย่ากัน”
จากนั้นจึงหันหน้าถามท่านอานาง “ท่านอาคิดว่าอย่างไร” เห็นอานางสีหน้าลังเล เสิ่นเวยจึงรีบกล่าว “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงชีวิตหลังจากนี้ ท่านปู่อยู่ปกป้องท่านทุกวัน ท่านปู่ไม่อยู่ก็ยังมีข้าหลานสี่ หากข้าเป็นอะไรไป ในจวนข้ายังมีน้องชายแม่เดียวกัน” เจตนาในคำพูดก็คือท่านไม่ต้องเป็นห่วงชีวิตหลังหย่าร้างอย่างสิ้นเชิง
เสิ่นหย่ายังคงสองจิตสองใจ ทว่าเหอหลินหลินกลับตัดสินใจแล้ว “ขอบคุณญาติผู้พี่ยิ่งนัก ทำตามที่ญาติผู้พี่ว่าเถิด พวกข้าแม่ลูกไม่ขัดขืน” แม่นางอยู่ในจวนตระกูลเหอต่อไปจะต้องไม่มีจุดจบที่ดีแน่นอน ไม่สู้หย่าแล้วตามญาติผู้พี่กลับเมืองหลวง ต่อให้จวนโหวไม่สนใจพวกนาง พวกนางแม่ลูกก็สามารถใช้ชีวิตทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ต่อไปได้
“เช่นนั้นก็ได้ ว่าตามนี้แล้วกัน” เสิ่นเวยพยักหน้า “เย่ว์กุ้ย เหอฮวา เจ้าสองคนนำคนอยู่ปรนนิบัติข้างกายท่านอากับญาติผู้น้องชั่วคราว พ่อบ้านรองเจ้านำเด็กรับใช้อยู่ที่นี่จัดแจงงานตามคำสั่งของโหวกูไหน่ไนกับคุณหนูญาติผู้น้อง และถือโอกาสเฝ้าประตูดูเรือนส่งข่าวต่างๆ จวนตระกูลเหอแห่งนี้ข้าอยู่ไม่ลงแล้ว โชคดีที่ตระกูลพวกเรามีคฤหาสน์หลังหนึ่งอยู่ในเมืองอวิ๋นเหอพอดี ข้าจะพาคนไปจัดแจงที่พักก่อน” สั่งเสร็จแล้วเสิ่นเวยก็กำลังจะพาคนเดินออกไปข้างนอก
“หยุด ห้ามไป!” มารดาแซ่เหอร้อนใจแล้ว “ขวางพวกเขาไว้เดี๋ยวนี้” โชคดีที่นางนำคนรับใช้มาเป็นพยานจำนวนมาก ดูสิ ตอนนี้ไม่ใช่ว่ามีประโยชน์แล้วหรือ บนใบหน้ามารดาแซ่เหอพอใจยิ่งนัก
เห็นคนรับใช้สิบกว่าคนล้อมกรูเข้าไป เสิ่นเวยก็อยากจะกลอกตามองฟ้าจริงๆ สายตามองไปยังมารดาแซ่เหออย่างน่าสะพรึงกลัว “แม่เฒ่าหมายความว่าอย่างไร ขวางไม่ให้ไปงั้นหรือ เหอะๆ ท่านเองก็ไปสืบข่าวบ้างก็ดี ข้าคุณชายสี่แซ่เสิ่นเป็นบุคคลที่เข่นฆ่าไล่ฟันอยู่ในกองทัพใหญ่ซีเหลียงนับหมื่นนาย เพียงแค่ทหารซีเหลียงที่ตายในมือข้าไม่หนึ่งพันศพก็แปดร้อยศพแล้ว บ่าวรับใช้ไม่กี่คนแค่นี้ยังคิดจะขวางข้า น่าขันจริงๆ”
เสิ่นเวยมองมารดาแซ่เหอถอยหลังอย่างหวาดกลัวด้วยความพอใจ จากนั้นจึงมองเหอจังหมิง กล่าวอย่างแฝงความนัย “แม่เฒ่าไม่รู้ชื่อเสียงของคุณชายสี่แซ่เสิ่น แต่ใต้เท้าเหอน่าจะต้องได้ยินมาบ้างใช่หรือไม่ ใครก็ได้ แสดงฝีมือให้ใต้เท้าเหอดูหน่อย!”
“คุณชาย คุณชาย ข้าเอง!” เถาฮวาก้าวออกมาทันที ยื่นมืออย่างรวดเร็วก็หิ้วบ่าวรับใช้จวนตระกูลเหอที่อยู่ใกล้นางที่สุดขึ้นมาแล้ว ชูขึ้นเหนือศีรษะราวกับลูกไก่แล้วหมุนหลายๆ รอบ มือเหวี่ยงออก คนก็ลอยไปแล้ว ตกลงไกลอย่างยิ่ง ฝุ่นดินฟุ้งกระจาย
“ไอ๊หยา พี่เย่ว์กุ้ยท่านอย่างมาแย่งข้าสิ!” เถาฮวาเห็นเย่ว์กุ้ยเดินเข้ามาเช่นกัน ชั่วขณะก็ร้อนใจแล้ว มือหนึ่งคว้าคนหนึ่งขึ้นมาโยนออกไปข้างนอก ได้ยินเพียงเสียงตุบดังอย่างต่อเนื่อง บ่าวรับใช้จวนตระกูลเหอสิบกว่าคนถูกเถาฮวาโยนออกไปหกเจ็ดคนแล้ว ที่เหลืออยู่ก็วิ่งหนีออกไปไกล แต่ละคนสีหน้าซีดเผือด
“คุณชาย คุณชาย เถาฮวาเก่งหรือไม่” เถาฮวาเท้าเอวอย่างห้าวหาญ หันหน้าขอคำชมอย่างน่าเอ็นดู
เสิ่นเวยกลั้นหัวเราะ ชูนิ้วโป้งขึ้นมา “เก่ง เถาฮวาของข้าเก่งที่สุดแล้ว”
เมื่อครู่นางสั่งให้เย่ว์กุ้ยตบหน้าเถียนอี๋เหนียงเถาฮวาก็ไม่พอใจแล้ว นางกล่าว “คุณหนู ท่านควรจะให้ข้าไป ข้ารับรองว่าจะตบหญิงตัวเหม็นผู้นั้นไปถึงกำแพงทิศใต้เลย”
เสิ่นเวยพูดจาดีปลอบนางไปพลาง กล่าวในใจไปพลาง ด้วยแรงของเจ้า คงจะไม่ใช่แค่ตบคนไปถึงกำแพงทิศใต้ เกรงว่าจะตบเข้าไปในกำแพงทิศใต้จะขุดก็ขุดไม่ออกกระมัง
“พูดดีๆ ไม่ฟังต้องให้ใช้กำลังบังคับ เฮ้อ เกรงใจมามากพอแล้ว ไยจะต้องทำลายมิตรภาพให้ได้ ใช่หรือไม่ ใต้เท้าเหอ” เสิ่นเวยเชิดคางเบาๆ ท่าทางทะนงตนอย่างถึงที่สุด นำคนเดินวางท่าออกไปภายใต้สภาพปากอ้าตาค้างของเหอจังหมิง
[1] เจ็ดขับ คือการที่ฝ่ายสามีสามารถขับภรรยาออกจากบ้านหากมีพฤติกรรมตรงกับข้อใดข้อหนึ่งในเจ็ดขับ ซึ่งได้แก่ ไม่ปรนนิบัติพ่อแม่สามี ไม่มีบุตร คบชู้ อิจฉาริษยา มีโรคร้ายแรง พูดมาก และลักขโมย
ตอนที่ 193-1 สงครามมติมหาชน
ให้ตายเถอะ เทพสังหารนี่มาจากไหนกัน! มารดาแซ่เหอตบอกแทบจะเป็นลมล้มพับไปกับพื้น ยังดีที่ถูกสะใภ้ใหญ่พยุงไว้จึงไม่ได้ขายหน้า
สะใภ้ใหญ่ของมารดาแซ่เหอมีแซ่เดิมว่าจาง แต่งเข้าตระกูลเหอได้ยี่สิบปีแล้ว มีบุตรชายสามคนบุตรสาวสองคน บุตรชายสามคนและบุตรสาวคนโตมีครอบครัวหมดแล้ว มีเพียงลูกสาวคนเล็กซึ่งอายุเท่าเหอหลินหลินที่ยังอยู่ข้างกาย เพราะว่านางมีบุตรชายสามคนให้แก่ตระกูลเหอ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลเหอ หรือว่ามารดาแซ่เหอต่างก็ปฏิบัติต่อนางดีอย่างยิ่ง
เมื่อครู่จางซื่อเองก็ตกใจไม่น้อย แม้จะบอกว่าคนในชนบทเพียงพูดไม่เข้าหูก็ลงไม้ลงมือมีเยอะถมไป แต่อย่างมากก็แค่ตบตีเตะต่อย ไหนเลยจะเหมือนคุณชายสี่จวนโหวผู้นั้นเมื่อครู่ ดาบในมือส่องแสงเย็นวาบ ราวกับว่าวินาทีถัดมาจะแทงลงบนร่างนาง ยังมีสาวใช้ตัวเล็กๆ ผอมๆ ผู้นั้น มือข้างเดียวก็สามารถโยนชายฉกรรจ์ออกไปได้ โหดเ**้ยมเกินไปแล้ว
ไม่คิดว่าเบื้องหลังน้องสะใภ้ที่แต่ไหนแต่ไรอ่อนแอจะยังมีที่พึ่งที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ นางนึกถึงเครื่องประดับและเงินทองที่เอามาจากมือน้องสะใภ้หลายปีมานี้ จากนั้นจึงนึกถึงร้านค้าที่ครอบครัวดูแลอยู่ จิตใจก็ตื่นตระหนก กังวลว่าคุณชายสี่จวนโหวจะมาคิดบัญชีกับนาง หลังจากนั้นก็นึกได้ว่าคุณชายสี่ผู้นั้นบอกว่าจะเอาสินเดิมของน้องสะใภ้กลับไปทั้งหมด เช่นนั้นครอบครัวนางใช่จะต้องเปลี่ยนกลับไปเป็นสภาพยากจนอย่างเช่นที่แล้วมาหรือไม่ นี่เป็นการเฉือนเนื้อนางอย่างแท้จริง
ทำอย่างไร ทำอย่างไรดี จริงสิ ไม่หย่าก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ขอเพียงแค่น้องสามีกับน้องสะใภ้หย่ากันไม่สำเร็จ สินเดิมของน้องสะใภ้ย่อมสามารถรักษาไว้ในจวนตระกูเหอต่อไปได้ อยู่ในจวนตระกูลเหอต่างอะไรจากอยู่ในมือนาง พ่อสามีแม่สามีรักลูกชายทั้งสามของบ้านนางมากกว่า มักจะมีเบี้ยเลี้ยงอยู่เสมอ มิเช่นนั้นเหตุใดนางจะต้องวิ่งมาโน้มน้าวยายแก่ที่ไม่มีความรู้เช่นนี้ด้วยเล่า
คิดถึงตรงนี้นางก็ก้มกระซิบข้างหูแม่สามีหลายประโยค สีหน้าบนใบหน้ามารดาแซ่เหอก็ลังเลเล็กน้อย จะให้แม่สามีเช่นนางลดตัวลงมานอบน้อมกับลูกสะใภ้ที่ไม่มีแม้แต่ลูกชาย นางจะยอมได้อย่างไร
จางซื่อร้อนใจแล้ว กล่าวเสียงต่ำ “ท่านแม่ คิดถึงสินเดิมของน้องสะใภ้ แล้วคิดถึงหลานชายบ้านใหญ่สามคนนั้นของท่านสิ”
คราวนี้มารดาแซ่เหอยอมแล้ว หลานชายบ้านใหญ่สามคนของนาง หลานชายคนโตฉลาด เรียนหนังสือมาสิบกว่าปี เป็นบัณฑิตแล้ว สอบอีกครั้งก็เป็นซิ่วไฉแล้ว เรียนหนังสือผลาญเงินที่สุด ตอนแรกครอบครัวพวกนางกินน้อยใช้น้อยกว่าจะส่งเสียลูกชายคนเล็กออกไปได้ หากไม่มีเงิน อนาคตของหลานชายคนโตก็จะล่าช้าออกไป
หลานชายคนรองก็มีไหวพริบตั้งแต่เล็ก แม้ว่าจะไม่ใช่บุคคลที่เรียนหนังสือ แต่กลับมีฝีมือในการหาเงิน อายุสิบสองสิบสามปีก็ช่วยพ่อเขาดูแลร้านค้า ครั้งแรกก็ได้เงินไปซื้อขนมหร่วนเกา[1]บนถนนใหญ่ฝั่งตะวันตกให้ตัวเองได้แล้ว
หลานคนที่สามก็กตัญญู ห้าหกขวบก็ตื่นแต่เช้ามาเคารพนาง ตกเย็นเลิกเรียนก็ไปพูดคุยเป็นเพื่อนที่เรือนของตน เด็กดีเช่นนี้กลับสุขภาพไม่ดี ทุกเดือนต้องป่วยสักสองครั้ง ดื่มยาน้ำขมๆ นั่นบ่อยยิ่งกว่ากินข้าวเสียอีก ลำบากยิ่งนัก
สำหรับหลานชายหลายคนของบ้านลูกชายคนเล็ก หนึ่งคือพวกเขาอายุยังน้อย มารดาแซ่เหออายุมากแล้ว เลี้ยงเด็กไม่ไหวแล้ว ลูกชายคนเล็กเองก็ไม่ต้องการให้นางเลี้ยงลูก ดังนั้นจึงไม่ได้มีความผูกพันระหว่างย่าหลานมากนัก สองคือ ลูกชายคนเล็กเป็นขุนนาง อนาคตในภายหน้าของหลานชายหลายคนนี้ก็ไม่ห่างไปไหนไกล มารดาแซ่เหอก็ไม่ได้ทุกข์ใจเพียงนั้นแล้ว ดังนั้นผู้ที่มารดาแซ่เหอเป็นห่วงมากที่สุดในตอนนี้ยังคงเป็นหลานชายทั้งสามของลูกชายคนโต
มารดาแซ่เหอเป็นแม่เฒ่าในชนบทธรรมดาๆ สายตาสั้นก็มี เห็นแก่ตัวก็มี แต่กับลูกหลานแล้วยังคงรักใคร่อย่างยิ่ง เพื่อลูกหลานแล้วจะให้นางทิ้งชีวิตของตัวเองก็ยอม นับประสาอะไรกับการก้มหัวให้ลูกสะใภ้
“ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นทำไม ยังไม่รีบไปเตรียมอาหารมาปรนนิบัติผู้ชายของตัวเองอีก เป็นภรรยาของผู้อื่น ไหนเลยจะแอบอู้เช่นเจ้าได้ ละทิ้งบุรุษสงบจิตใจตนเองมาสิบกว่าปีแล้ว ตอนนี้หลินเจี่ยเอ๋อร์ก็โตแล้ว เจ้าไม่อาจดื้อรั้นต่อไปได้แล้ว อย่าได้เป็นเช่นนี้อีกเลย อีกประเดี๋ยวก็จัดระเบียบเรือนใหญ่นี้เสียหน่อย คืนนี้ผู้ชายของเจ้าจะย้ายเข้ามา!” มารดาแซ่เหอวางมาดแม่สามี ท่าทางชี้แนะจากใจจริง
เสิ่นหย่าแทบจะปากอ้าตาค้างอยู่แล้ว คำพูดกลับดำเป็นขาวนี้มารดาแซ่เหอพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำจริงๆ หากเป็นคนที่แยกแยะความจริงไม่ได้ ยังคิดจริงๆ ว่าเสิ่นหย่าวางมาดคุณหนูสูงศักดิ์จวนโหวดูถูกครอบครัวสามี
เย่ว์กุ้ยเหอฮวาและคนรับใช้จวนโหวที่อยู่ในเรือนก็ประหลาดใจกับความหน้าหนาของมารดาแซ่เหอ หากไม่ใช่ว่าได้เห็นนางบันดาลโทสะก่อนหน้านี้กับตา ยังคิดจริงๆ ว่านางเป็นแม่สามีที่ใจดีมีเหตุมีผลผู้หนึ่ง
ทว่าเสิ่นหย่ากลับไม่ขยับ จางซื่อเห็นท่าทีก็รีบก้าวขึ้นไปโน้มน้าว “น้องสะใภ้ สองสามีภรรยาทะเลาะกันชั่วครู่หัวถึงหมอนก็คืนดีแล้ว ไหนเลยจะต้องหย่าเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย น้องสามีก็สำนึกผิดแล้ว เจ้าจงใจกว้างให้อภัยเขาครั้งนี้สักครั้งเถอะ! ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ก็เห็นแก่หน้าพระพุทธรูปหน่อย พวกเจ้ายังมีหลินเจี่ยเอ๋อร์อยู่มิใช่หรือ หากหย่าแล้ว เจ้าจะให้หลินเจี่ยเอ๋อร์ทำอย่างไร ภายหลังจะเอ่ยเรื่องบ้านสามีอีกได้อย่างไร”
ความลังเลวาบผ่านหน้าของเสิ่นหย่า ชั่วขณะจางซื่อก็รู้สึกมีช่องทาง กำลังจะโน้มน้าวต่อ เหอฮวาก็มาขวางอยู่ข้างหน้านางเงียบๆ “สะใภ้ใหญ่ท่านนี้ ท่านพูดเช่นนี้ข้าไม่ยินดีแล้ว กูไหน่ไนของพวกเราเป็นคุณหนูสูงศักดิ์จวนจงอู่โหว ลูกสาวของนางย่อมเป็นคุณหนูญาติผู้น้องของจวนโหว ด้วยสถานะครอบครัวของจวนจงอู่โหว ย่อมไม่ต้องกังวลเรื่องคู่สมรสที่ดีแน่นอน เหตุใดจึงเอ่ยถึงบ้านสามีไม่ได้เล่า”
หลายปีมานี้ที่กุมสินเดิมและเงินทองของเสิ่นหย่าไว้ จางซื่อย่อมไม่ใช่สตรีชนบทที่หวาดกลัวไม่มีความรู้เช่นนั้นอีก เพราะว่ามีลูกชายเคียงข้างกายจึงมีความมั่นใจพอ นางกลับเคยใช้ชีวิตอันสุขสบายเรียกบ่าวเรียกคนใช้มาก่อน จู่ๆ ตอนนี้กลับถูกสาวใช้คนหนึ่งตอกกลับไปบนหน้า ในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อย แต่แม้ว่าจะไม่พอใจนางก็ไม่กล้าแสดงออกมา เด็กผู้หญิงตัวผอมบางผู้นั้นเมื่อครู่ยังร้ายกาจเพียงนั้น ใครจะรู้ว่าคนผู้นี้ตรงหน้าจะมีความสามารถอะไรอีก
จางซื่อหน้าเหยเก บ่นพึมพำ “ข้าหวังดีต่างหาก! สุภาษิตว่าไว้พังศาลเจ้าสิบหลังยังดีกว่าพังชีวิตคู่ น้องสะใภ้ก็อายุเท่านี้แล้ว ซ้ำยังไม่มีบุตรชาย หย่าแล้วจะมีบั้นปลายที่ดีอะไรได้ ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกร้อยปีก็อาจจะไม่มีแม้แต่คนจะให้พักพิง”
เหอหลินหลินโมโหแล้ว “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่โปรดระวังคำพูดด้วย!”
“ระวังคำพูดอะไรกัน ผู้ใหญ่พูดอยู่เด็กเช่นเจ้าพูดแทรกได้ด้วยหรือ เหล่าเอ้อร์ เจ้าเองก็สนใจลูกสาวคนนี้ของเจ้าบ้าง ตระกูลเหอของพวกเราไม่มีลูกสาวที่ไร้มารยาทเช่นนี้” มารดาแซ่เหอไม่พอใจขึ้นมาในชั่วขณะ ขู่ลูกชายให้สั่งสอนหลานสาว “ยิ่งไปกว่านั้นป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าก็พูดความจริง ละแวกแปดหมู่บ้านสิบลี้เจ้าก็ลองไปถามดู สตรีหย่าร้างที่ไหนมีบั้นปลายที่ดีบ้าง”
นางมองลูกสะใภ้ที่สีหน้าเรียบเฉยด้วยแววตาดูถูกปราดหนึ่ง กล่าว “คำพูดไม่ดีเจ้าก็วางไว้ตรงนี้ก่อน หากเจ้ายังยืนกรานจะหย่าจริงๆ จวนโหวของพวกเจ้ามีอำนาจมาก ตระกูลเหอของพวกเราทำอะไรไม่ได้ แต่หลินเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาวตระกูลเหอ กลับต้องอยู่ที่ตระกูลเหอ เจ้าพาไปด้วยไม่ได้ เรื่องนี้ต่อให้จะไปถึงตำหนักจินหลวนให้ฝ่าบาทตัดสินข้าก็ไม่กลัว”
นางมองลูกสะใภ้หน้าเปลี่ยนสีด้วยความพอใจอย่างยิ่ง นางเชิดหน้าสูงในใจก็ยิ่งพอใจ “ควรจะทำอย่างไรเจ้าก็คิดให้ดีๆ แล้วกัน เหล่าเอ้อร์ พวกเราไปกัน” จางซื่อรีบก้าวขึ้นไปพยุงแขนของแม่สามี
เหอจังหมิงมองเสิ่นหย่าด้วยสีหน้าสับสน ถอนหายใจหนึ่งคราแล้วกล่าว “หย่าเอ๋อร์ ไยจะต้องทำถึงเพียงนี้ เจ้าสงบจิตใจค่อยๆ คิดดูเถอะ” เห็นเสิ่นหย่าไม่สนใจเขา จึงทำได้เพียงจากไปพร้อมความผิดหวัง
“กูไหน่ไน ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาอาหารแล้ว พวกเรามีกฎอย่างไร รอครัวในจวนส่งมา หรือว่าเตรียมกันเอง” เหอฮวาหันหน้าถาม
พ่อบ้านรองก็ก้าวเข้ามาประสานมือทำความเคารพ “กูไหน่ไน บ่าวคารวะท่าน ท่านยังจำบ่าวได้หรือไม่ บ่าวคิดว่า พวกเราเตรียมกับข้าวเองดีกว่าขอรับ” ทะเลาะกับจวนตระกูลเหอจนเป็นเช่นนี้แล้ว กินอาหารที่จวนตระกูลเหอส่งมาอีก เขาไหนเลยจะวางใจได้ ในมือมีเงิน ยังจะต้องกลุ้มใจว่าจะไม่มีข้าวให้กินอีกหรือ
เสิ่นหย่าหรี่ตามองพ่อบ้านรองผู้นี้อย่างละเอียด ครู่ใหญ่จึงกล่าว “ที่แท้แล้วก็เป็นเจ้า อันหราน พ่อเจ้าสบายดีหรือไม่”
พ่อบ้านรองที่ชื่ออันหรานผู้นี้ เสิ่นหย่ายังคงจำได้เล็กน้อย พ่อเขาเป็นผู้มีความสามารถข้างกายบิดาของนาง อีกทั้งยังเคยรับดาบแทนบิดาของนางอีกด้วย ตอนที่นางยังไม่ออกเรือนอันหรานผู้นี้ยังเป็นเด็กรับใช้ที่วิ่งซุกซนอยู่เลย ชั่วพริบตาเขาก็กลายเป็นพ่อบ้านรองของจวนตระกูลโหวแล้ว เสื้อผ้าบนร่างยังมีราศีอย่างยิ่ง แล้วตัวเองเล่า
ตกต่ำจนเทียบไม่ได้แม้แต่บ่าวคนหนึ่ง! บนใบหน้าของเสิ่นหย่าเผยสีหน้างงงวย ในใจมักจะรู้สึกอึดอัด ยังคงเป็นเหอหลินหลินที่ดึงแขนเสื้อพยายามจะเรียกสติเขากลับมา รีบกล่าว “เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ”
“พ่อบ่าวสุขภาพยังแข็งแรงอยู่ขอรับ ขอบคุณกูไหน่ไนที่เป็นห่วง” พ่อบ้านรองกล่าวด้วยความเคารพ คิดครู่หนึ่งแล้วจึงเสริมหนึ่งประโยค “กูไหน่ไนโปรดวางใจ มีคุณชายสี่ของพวกเราอยู่ ท่านไม่ต้องกังวลสิ่งใดทั้งนั้น” จากนั้นจึงพาเด็กรับใช้ไปเตรียมการ
[1] ขนมหร่วนเกา ขนมโบราณเนื้อนุ่ม ทำจากแป้งปรุงกลิ่นด้วยใบสาระแหน่ โรยหน้าด้วยงาและน้ำตาลทรายเล็กน้อย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น