อัจฉริยะสมองเพชร 1918-1924

 ตอนที่ 1918 หนอนกู้

ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่ใช่คนเดียวที่อึ้งกับข้อเสนอของจางเซวียน แม้แต่ผู้อาวุโสอี้ก็ชะงัก เขาอ้าปากค้าง “นายท่านจาง นี่เรื่องใหญ่นะ ขอโทษเถอะ แต่ผมคงต้องขอร้องคุณว่าอย่าสร้างปัญหา!”


ชีวิตของพวกเขาอยู่บนเส้นด้าย แต่อีกฝ่ายยังมีอารมณ์จะพูดตลก ถ้าเขารู้ว่าหมอนี่จะไว้ใจไม่ได้ขนาดนี้ จะไม่มีวันปล่อยให้นายน้อยที่ 3 ช่วยชีวิตและนำตัวหมอนี่กลับมา!


เห็นสีหน้าของทั้งคู่ จางเซวียนดูออกว่าทั้งคู่แคลงใจในความสามารถของเขา จึงเอาสองมือไพล่หลังขณะวางมาดอย่างผู้เชี่ยวชาญตัวจริง แต่การวางมาดของเขาก็ต้องสะดุดเพราะอาการบาดเจ็บที่ได้รับ ทำให้หน้าตาบิดเบี้ยวอย่างน่าสมเพช


จางเซวียนสูดปากเล็กน้อยขณะพยายามระงับความเจ็บปวดและวางมาดผู้เชี่ยวชาญต่อไป “ทางเดินพลังปราณของคุณได้รับบาดเจ็บตั้งแต่คุณอายุยังน้อย ทำให้ร่างกายไม่อาจขับเคลื่อนพลังปราณได้ ในเวลาเดียวกัน จุดตันเถียนของคุณก็บอบช้ำด้วย จึงสะสมพลังงานไว้ไม่ได้เลย ส่งผลให้คุณหมดความสามารถในการฝึกฝนวรยุทธอย่างสิ้นเชิง การวิเคราะห์ของผมถูกต้องไหม?”


ตั้นเฉี่ยวเทียนพยักหน้ารับ


เขาอายุเพียง 6 ขวบตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นกับตระกูลตั้น ทำลายทั้งจุดตันเถียนและทางเดินพลังปราณของเขา เขาไม่อาจเยียวยามันได้นับแต่บัดนั้น ด้วยเหตุนี้ แม้จะใช้เวลาฝึกฝนศิลปะเพลงดาบทุกวัน แต่ก็ไม่สามารถถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ศิลปะเพลงดาบของเขาได้ พูดอีกอย่างก็คือกระบวนท่าของเขาเป็นเพียงรูปแบบภายนอกเท่านั้น ปราศจากแก่นสารที่แท้จริง


ตั้นเฉี่ยวเทียนได้ปรึกษานายแพทย์มากมายเกี่ยวกับอาการของเขา แต่ไม่มีใครรักษาได้ ลงท้ายเขาก็ถอดใจ


“แล้วคุณรู้ไหมว่าสาเหตุที่ทำให้จุดตันเถียนและทางเดินพลังปราณของคุณได้รับความบอบช้ำคืออะไร?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“พลังปราณรุนแรงบางชนิดซึมซาบเข้าสู่ร่างของผม ส่งผลทำลายล้างและสร้างความบอบช้ำไปทั่ว ผมยังมีชีวิตอยู่ก็บุญแล้ว” ตั้นเฉี่ยวเทียนตอบ


นั่นคือคำวินิจฉัยของนายแพทย์ส่วนใหญ่ที่เขาได้พบ


“พลังปราณ?” จางเซวียนส่ายหน้า “ถ้ามันคือผลจากพลังปราณของนักรบคนอื่นที่ตกค้างอยู่ในร่างของคุณ ในเมื่อคุณหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธทุกวันเพื่อหวังจะฟื้นฟูสภาพร่างกายของตัวเอง คุณคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือที่อาการจะไม่ดีขึ้นเลยสักนิดทั้งที่เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว?”


คำถามนั้นทำให้ตั้นเฉี่ยวเทียนอึ้ง


นั่นคือสิ่งที่เขาสงสัยเช่นกัน


กว่า 10 ปีแล้วที่เขาหาทางปรึกษานายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงมากมาย และทดลองวิธีการรักษาหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นยาน้ำ ยาเม็ด การฝังเข็ม การอาบสมุนไพร…แต่ก็ไม่มีวิธีไหนได้ผล ร่างกายของเขาพรุนราวกับกระสอบ ไม่ว่าจะซึมซับพลังจิตวิญญาณชนิดไหนเข้าไปมันก็เสื่อมสลายไปหมด ทำให้เขาไม่อาจยกระดับวรยุทธได้เลย


บรรดานายแพทย์ชื่อดังเหล่านั้นบอกเขาว่ามันคือผลพวงจากพลังปราณฤทธิ์แรงที่ตกค้างอยู่ในร่างกายของเขา ส่งผลให้ความพยายามทั้งหมดทั้งมวลไม่เป็นผล นายแพทย์เหล่านั้นให้คำมั่นว่าวิธีการรักษาของพวกเขาจะช่วยได้ แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ


เมื่อเวลาล่วงไป บรรดานายแพทย์ก็ละทิ้งการรักษาเขาไปทีละคนสองคน สุดท้ายก็ล้มเลิก


ตั้นเฉี่ยวเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถามกับจางเซวียน “ถ้ามันไม่ใช่ผลของพลังปราณรุนแรงที่ตกค้างอยู่ในร่างกายของผม จะมีอะไรที่ทำลายทางเดินพลังปราณและจุดตันเถียนของผมได้ แต่ไม่ทำให้ผมเสียชีวิต?”


ที่น่าประหลาดอย่างยิ่งเกี่ยวกับอาการของเขาก็คือเรื่องนี้ นอกเหนือจากการที่เขาไม่อาจฝึกฝนวรยุทธได้ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตด้านอื่น เฉว่ชิงกล่าวหาว่าเขาหมดความสามารถในการทำหน้าที่สามี แต่นั่นไม่เป็นความจริง เขารู้ดีกว่าใครว่าตัวเองลืมตาตื่นด้วยอาการตื่นตัวทุกเช้า


“มันคือหนอนกู้” จางเซวียนอธิบาย “มีคนฝังหนอนกู้เข้าไปในตัวคุณ ส่งผลให้การรักษาทุกรูปแบบไม่เป็นผล!”


“หนอนกู้?” ตั้นเฉี่ยวเทียนผงะ “คุณกำลังบอกว่า…มีหนอนอาศัยอยู่ในตัวผมหรือ?”


“ไม่ใช่แค่อาศัยอยู่ มันดูดกลืนพลังงานทั้งหมดที่คุณฝึกฝนมาตลอดระยะเวลาหลายปี ตอนนี้มันจึงมีพลังและแข็งแกร่งมาก!” จางเซวียนเสริม


ด้วยหอสมุดเทียบฟ้า เขาเห็นต้นตอของปัญหาที่เกิดกับตั้นเฉี่ยวเทียนได้ในทันที


เหตุผลที่จุดตันเถียนกับทางเดินพลังปราณของอีกฝ่ายไม่อาจฟื้นคืนสภาพได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแม้จะใช้ความพยายามมากมาย ก็เพราะมีใครบางคนฝังหนอนกู้เข้าไปในตัวเขา หนอนกู้กลืนกินพลังงานจากการฝึกฝนวรยุทธของตั้นเฉี่ยวเทียนอย่างไม่หยุดหย่อน และนั่นคือต้นเหตุที่ทำให้ ระดับวรยุทธของเขาเสื่อมถอยลงเรื่อยๆตลอด 10 ปีที่ผ่านมา


“มีหนอนที่มีชีวิตอยู่ในตัวผม…”


ตั้นเฉี่ยวเทียนหันไปขมวดคิ้วใส่ผู้อาวุโสอี้ อีกฝ่ายคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า


สิ่งที่พวกเขาได้ฟังเหลือเชื่อเกินกว่าจะรับไหว


ถ้ามีหนอนกู้อยู่ในร่างของตั้นเฉี่ยวเทียนจริงๆตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ทำไมนายแพทย์มากมายที่พวกเขาปรึกษาจึงมองไม่เห็น? แล้วชายหนุ่มคนนี้รู้ได้อย่างไร?


“ผมรู้ว่าพวกคุณแคลงใจ ซึ่งผมก็เข้าใจนะ แต่ผมมีวิธีแก้ปัญหา” จางเซวียนดูออกว่าทั้งคู่ไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ “คุณมีเข็มเงินหรืออะไรทำนองนั้นไหม?”


ผู้อาวุโสอี้พยักหน้า เขาเดินเข้าไปในห้อง ไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับกล่องที่บรรจุเข็มเงินจำนวนหนึ่ง “นี่ไง”


อย่างคำพูดที่ว่ากันว่า ‘ผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรัง สุดท้ายก็มักกลายเป็นหมอเสียเอง’ ทั้งคู่พยายามเสาะหาวิธีการรักษาทุกรูปแบบตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ในที่พักของพวกเขาจึงมีอุปกรณ์การแพทย์พื้นฐานเกือบทุกชนิด


“เอาล่ะ ดูให้ดีนะ ผมจะนำมันออกมาเดี๋ยวนี้แหละ!”


จางเซวียนหัวเราะหึๆ จากนั้นก็ถือเข็มเงินไว้แล้วสะบัด


ฟึ่บ!


เข็มเงินทุกเล่มร่วงลงพื้น ห่างจากตัวเขาออกไป 3 เมตร


“ตอนนี้ผมไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง คุณช่วยขยับเข้ามาใกล้ผมอีกหน่อยเถอะ” จางเซวียนพูดอย่างกระอักกระอ่วน


เขาเคยชินกับการสะบัดเข็มเงินจากระยะไกลจนลืมไปว่าตอนนี้ยังใช้พลังปราณของตัวเองไม่ได้


“ได้สิ…”


ถึงตั้นเฉี่ยวเทียนจะยังไม่ค่อยเชื่อใจจางเซวียน แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ขยับเข้าหาอีกฝ่าย


ในเมื่อเหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็สมควรตามน้ำไป เขาไม่มีอะไรจะเสีย


จางเซวียนหยิบเข็มเงิน 2-3 เล่มขึ้นมาอีกครั้ง เขาสูดหายใจลึกขณะเปิดใช้งานหอสมุดเทียบฟ้า จากนั้นก็ปักเข็มเข้าสู่ตำแหน่งที่ระบุไว้ในหนังสือของตั้นเฉี่ยวเทียน


ฟึ่บ!


เกิดความผิดพลาดอันคาดไม่ถึงขึ้นอีกครั้ง ทำให้จางเซวียนหน้าแดงก่ำ


ในสภาวะที่เขาอ่อนแอแบบนี้ เขาทำไม่ได้แม้กระทั่งปักเข็มเข้าสู่ผิวหนังของตั้นเฉี่ยวเทียน


ถึงตั้นเฉี่ยวเทียนจะฝึกฝนวรยุทธไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 6 แถมสภาวะร่างกายของเขาก็ได้รับการบ่มเพาะจากพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทมานานหลายปี ทำให้มีกายเนื้อที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็ก


ถึงจางเซวียนจะพอเคลื่อนไหวไปมาได้ แต่ก็ยังอ่อนเพลียจากความบอบช้ำที่ได้รับ เขาทำไม่ได้แม้กระทั่งรวบรวมพละกำลังเพื่อปักเข็มลงไปบนผิวของตั้นเฉี่ยวเทียน


“ช่วยผมหน่อย!” จางเซวียนร้องเรียกผู้อาวุโสอี้


ผู้อาวุโสอี้เดินเข้ามา เขาเคาะนิ้ว แล้วกระแสพลังปราณก็ไหลผ่านเข็มเงิน ทำให้มันพุ่งเข้าใส่ตั้นเฉี่ยวเทียนอีกครั้ง


ฉึก!


ปลายเข็มปักเข้าไปในร่างของตั้นเฉี่ยวเทียน


ฟึ่บ!


จางเซวียนกำลังจะควบคุมเข็มเงิน ก็พอดีกับที่มันกระเด็นหวือออกมาด้วยความเร็วสูง และปักลงไปในผนัง


ตั้นเฉี่ยวเทียนกับผู้อาวุโสตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ โดยเฉพาะตั้นเฉี่ยวเทียน


ในฐานะผู้ถูกฝังเข็ม เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้สำแดงพละกำลังใดๆออกไปเลย แต่เข็มเงินพวกนั้นกระเด็นออกมาด้วยความเร็วสูง หรือว่าจะมีบางอย่างที่มีชีวิตอยู่ในร่างของเขาจริงๆ?


“คุณคงรู้สึกได้แล้วนะ หนอนกู้ในตัวคุณน่ะขับมันออกมา” จางเซวียนอธิบาย


หากจะพูดกันตามตรง ตอนนี้จางเซวียนยังไม่มีวิธีสังหารหนอนกู้ แต่การทำให้ตั้นเฉี่ยวเทียนรับรู้ว่ามีหนอนกู้อยู่ ก็พอจะเรียกความไว้วางใจของชายหนุ่มกลับมาได้ ซึ่งหากมีเวลามากพอ จางเซวียนก็มั่นใจว่าจะแก้ปัญหานี้ได้สำเร็จทันทีที่ได้พละกำลังของเขากลับคืนมา


“มีหนอนกู้อยู่ในตัวผมจริงๆ?” ตั้นเฉี่ยวเทียนพูดไม่ออก


เมื่อครู่ก่อน เขายังมั่นใจว่าไม่มีทางที่ของพิสดารแบบนั้นจะอยู่ในตัวเขา แต่สิ่งที่เพิ่งเห็นทำให้ความมั่นใจเหือดหาย


เพราะเรื่องจริงคือเขาไม่ได้สำแดงพละกำลังใดๆออกมาสักนิด หรือต่อให้สำแดง เขาก็ไม่เก่งกาจพอจะส่งเข็มเงินให้กระเด็นไปปักผนังได้


“ถึงการฝังเข็มก่อนหน้านี้จะไม่ได้ทำอันตรายหนอนกู้ แต่ก็บ่งบอกว่าเรารู้ตำแหน่งของมันแล้ว จึงเป็นไปได้ว่าหนอนกู้น่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น ขณะที่มันกำลังย้ายที่ คุณจะสามารถขับเคลื่อนพลังปราณของคุณได้ ขาซ้ายที่ใช้การไม่ได้ของคุณจะฟื้นคืนสภาพขึ้นมาชั่วระยะหนึ่ง” จางเซวียนพูด


“แต่การฟื้นตัวครั้งนี้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ทันทีที่หนอนกู้ได้ตำแหน่งใหม่ ทุกอย่างจะกลับสู่สภาพเดิม วิธีเดียวที่คุณจะแก้ปัญหานี้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็คือต้องฆ่ามัน!”


“อย่างนั้นหรือ?” ตั้นเฉี่ยวเทียนอึ้งไปเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น


ครู่หนึ่งผ่านไป เขาตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ


เป็นอย่างที่จางเซวียนพูดไว้ เขารู้สึกได้ว่าพลังปราณไหลเวียนไปทั่วร่างอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น ความรู้สึกยังกลับคืนมาสู่ขาข้างซ้ายที่ไร้ความรู้สึกมานานด้วย!


เขาลองออกเดินสองสามก้าว ซึ่งการเคลื่อนไหวของเขาก็เหมือนคนทั่วไป ไม่มีความผิดแผกแตกต่างแม้แต่น้อย!


แต่ความรู้สึกที่อยู่ในขาข้างซ้ายของเขาก็คงอยู่เพียงสิบอึดใจเท่านั้น ก่อนจะกลับไปแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ดังเดิม


เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองวินิจฉัยไม่ผิด จางเซวียนหัวเราะหึๆ “ตอนนี้คุณคงไว้ใจผมแล้วนะ ใช่ไหม?”


“ศิษย์สายตรงตั้นเฉี่ยวเทียนคารวะท่านอาจารย์!”


เมื่อรู้แล้วว่านี่คือโอกาสล้ำค่าที่เขาจะได้หลุดพ้นจากสภาวะนี้ ตั้นเฉี่ยวเทียนรีบทรุดตัวลงคุกเข่าและโค้งคำนับ


นายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงหลายต่อหลายคนได้ตรวจสอบอาการของเขา แต่ไม่มีการรักษาใดได้ผล แต่สำหรับจางเซวียน เพียงแค่มองไกลๆ ชายหนุ่มก็ระบุต้นตอของปัญหาและแสดงให้เขาเห็นชัดๆได้ เพียงเท่านี้ก็บ่งบอกแล้วว่าอีกฝ่ายมีความสามารถ ไม่ว่าภายนอกเขาจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม


“ลุกขึ้นเถอะ!”


หลังจากตั้นเฉี่ยวเทียนยอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์อย่างเป็นทางการแล้ว จางเซวียนก็พยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น


อันที่จริงเขาตั้งใจจะอยู่ห่างจากเรื่องราวต่างๆของมิติเบื้องบนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตั้งใจจะมุ่งตามหาหลัวลั่วชิงเท่านั้น แต่ในเมื่อตั้นเฉี่ยวเทียนช่วยชีวิตเขาไว้ เขาจึงอยากตอบแทนบุญคุณ


เมื่อยอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์แล้ว ตั้นเฉี่ยวเทียนมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างคาดหวังและตั้งคำถาม “ท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าผมจะกำจัดหนอนกู้ในตัวผมได้อย่างไร?”


แค่คิดว่ามีหนอนคืบคลานอยู่ในตัวเขาและกัดแทะร่างกายของเขาอยู่ ก็เกินพอจะทำให้ขนลุกขนชันแล้ว ที่ผ่านมาเขาไม่รู้สึกเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ตอนนี้คงไม่มีทางข่มตาหลับได้หากหนอนกู้ยังมีชีวิตอยู่


“ผมนำหนอนกู้ออกจากตัวคุณได้ แต่ตอนนี้ผมอ่อนแอเกินไป คงต้องเยียวยาอาการบาดเจ็บก่อน” จางเซวียนตอบ


ถ้าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บสาหัสของเขา แค่การระเบิดพลังปราณเทียบฟ้าสักครั้งก็เพียงพอจะเล่นงานหนอนกู้ที่คืบคลานอยู่ในร่างของตั้นเฉี่ยวเทียนได้แล้ว แต่ในสภาพนี้ แม้จะสำแดงพลังปราณก็ยังทำไม่ได้ ดังนั้น ถึงจะรู้ว่าหนอนกู้อยู่ตรงไหน ก็เล่นงานมันไม่สำเร็จ


ที่สำคัญกว่านั้น หนอนกู้เก่งกาจถึงขนาดขับเข็มเงินของเขาออกมาด้วยพละกำลังหนักหน่วงราวกับจะเย้ยหยันความอ่อนแอของเขา สิ่งนี้ทดสอบความอดทนอดกลั้นของจางเซวียนอย่างมาก


“เยียวยาอาการบาดเจ็บ?” ตั้นเฉี่ยวเทียนทวนคำก่อนจะตาโตเมื่อนึกได้ “ผมเกือบลืม ผมมียาเม็ดฟื้นฟูสภาพร่างกายชั้นดีอยู่นิดหน่อย ตั้งใจจะให้คุณกินเพื่อให้อาการบาดเจ็บทุเลา แต่สามวันที่ผ่านมาคุณอยู่ในภาวะโคม่า ผมจึงไม่กล้าใช้มันอย่างบุ่มบ่าม ในเมื่อตอนนี้คุณฟื้นแล้ว ผมจะนำยา นั้นมาให้คุณนะ ทันทีที่พลังงานในยาซึมซาบเข้าสู่ร่าง ไม่ช้าคุณก็จะได้พละกำลังกลับคืนดังเดิม!”


ยาเม็ดฟื้นฟูร่างกายขั้นสูงส่วนใหญ่มีอานุภาพน่าทึ่ง แต่ผู้ที่กินเข้าไปต้องใช้พลังปราณในการซึมซับฤทธิ์ยาด้วย หากผลีผลามใช้กับคนไข้ที่ไม่ได้สติ ก็มีโอกาสที่ฤทธิ์รุนแรงของยาจะทำอันตรายผู้นั้น


ด้วยเหตุนี้ ทุกอย่างจึงถูกรั้งรอไว้


ตอนที่ 1919 ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือ?

ครู่ต่อมา ผู้อาวุโสอี้ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับขวดหยกใบหนึ่ง เขาเปิดจุกขวดหยก แล้วกลิ่นหอมของสมุนไพรก็อบอวลไปทั่ว


มันคือยาเม็ดฟื้นฟูสภาพร่างกายเกรด 8


จางเซวียนรับยามาเม็ดหนึ่งและกลืนลงไปโดยไม่รีรอ แต่ครู่ต่อมาก็ถอนหายใจเฮือก “ผมเกรงว่ายาเม็ดที่คุณมอบให้คงมีประโยชน์กับผมไม่มาก…”


ถึงสภาพของจางเซวียนตอนนี้จะดูเหมือนไร้พลังอย่างสิ้นเชิง แต่เขาก็ยังคงเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ ยาเม็ดฟื้นฟูสภาพร่างกายเกรด 8 อาจเป็นทรัพยากรล้ำค่าในการเยียวยาบาดแผลทุกประเภทสำหรับนักรบระดับเซียนขั้น 6 แต่ไม่ทำให้ร่างกายของจางเซวียนสะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย


“มีประโยชน์กับคุณไม่มาก?” ตั้นเฉี่ยวเทียนรีบสั่งการให้ผู้อาวุโสอี้นำยาเม็ดฟื้นฟูสภาพร่างกาย ชนิดดีที่สุดที่พวกเขามีออกมา แต่ก็ไม่มีขนานไหนที่ดูจะใช้ได้ผล


“ในเมืองนี้มีตลาดใหญ่ๆที่ผมจะซื้อหายาเม็ดฟื้นฟูสภาพร่างกายหรือยาสมุนไพรได้บ้างไหม?” จางเซวียนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“มีตลาดอยู่แห่งหนึ่ง แต่สมุนไพรและยาเม็ดที่วางขายที่นั่นไม่ได้อยู่ในระดับสูงนัก ยาเม็ดที่เรามี ถือว่าดีที่สุดในท้องตลาดแล้ว…” ตั้นเฉี่ยวเทียนเกาหัว


ในเมื่อแม้แต่ยาพวกนี้ยังไม่มีประโยชน์กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ต่อให้ซื้อหามาอีกก็คงช่วยอะไรไม่ได้


“มีวิธีไหนที่พอจะทำให้ได้ยาเม็ดขั้นสูงกว่านี้มาไหม?” จางเซวียนถามอีก


ตราบใดที่อาการบาดเจ็บของเขายังไม่ทุเลา ก็ไม่มีทางรักษาตั้นเฉี่ยวเทียน ในเวลานี้ ตั้นเฉี่ยวเทียนกับผู้อาวุโสอี้อยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงมาก อย่าว่าแต่มีชีวิตรอดในอีก 3 วันข้างหน้าเลย ยังน่าสงสัยว่าพวกเขาจะผ่านพ้นคืนนี้ไปได้หรือเปล่า!


ตั้นเฉี่ยวเทียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง “นักรบส่วนใหญ่ซื้อหายาเม็ดขั้นสูงกว่านี้โดยใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล ถ้าการซื้อขายเป็นผลสำเร็จ ของเหล่านั้นจะถูกส่งมาโดยเร็ว”


“ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล?” ได้ยินชื่อที่คุ้นหู จางเซวียนพยักหน้า “แล้วผมจะได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมาด้วยวิธีไหน?”


นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่เขาได้ยินเรื่องของล้ำค่าชิ้นนี้นับตั้งแต่มาถึงมิติเบื้องบน


ดูเหมือนเหล่าชนชั้นนำของมิติเบื้องบนจะเกี่ยวข้องกับของล้ำค่าชิ้นนี้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นการได้มาซึ่งเทคนิควรยุทธหรือยาเม็ดขั้นสูง ก็ล้วนแต่ต้องใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล เท่าที่เห็น หากไม่มีตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล พวกเขาก็แทบไปไหนหรือทำอะไรไม่ได้เลย


สิ่งที่จางเซวียนต้องการก็คือยาเม็ดที่เกรดสูงพอจะยื้ออาการบาดเจ็บของเขาไว้ได้สักระยะหนึ่ง ให้เขามีโอกาสได้ซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทจากสภาพแวดล้อมและแปรสภาพมันให้กลายเป็นพลังปราณเทียบฟ้า ซึ่งหากทำได้ ทุกปัญหาก็จะคลี่คลาย เขาจะกำจัดหนอนกู้ออกจากร่างของตั้นเฉี่ยวเทียนและถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบให้อีกฝ่ายได้ เป็นการช่วยชีวิตชายหนุ่มจากวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่


“เมืองที่เราอาศัยอยู่นี้เล็กเกินไป ไม่มีหอนิรันดร์อยู่ที่นี่ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีพ่อค้าคนไหนขายตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล” ตั้นเฉี่ยวเทียนขมวดคิ้ว


“ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือ?” จางเซวียนถาม


“ในเมืองของเรา การจะได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมานั้นมีวิธีเดียว” ตั้นเฉี่ยวเทียนพูด “แต่มันยากมาก จะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลยก็ไม่ผิด!”


“เมื่อครั้งที่ตลาดหงเหยียนก่อตั้งขึ้นใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาจับจ่าย เจ้าของตลาดจึงเขียนคำถามยากๆที่แตกต่างกันไป 10 ข้อ แล้วตั้งรางวัลให้แต่ละคำถาม หากใครตอบได้ก็จะได้รับรางวัลตามนั้น สิ่งนี้ดึงดูดผู้คนมากมายให้แวะเวียนมาที่ตลาดหงเหยียน และคำถามก็ถูกตอบไปแล้ว 9 ข้อ”


“รางวัลของคำถามข้อสุดท้ายคือตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล ผู้คนมากมายอยากได้จนแทบขาดใจ แต่ด้วยความยากของคำถาม ก็ยังไม่มีใครตอบได้จนถึงทุกวันนี้”


“พาผมไปที่นั่นที!” จางเซวียนพูด


ต่อให้มีพ่อค้าที่ขายตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล เขาก็ไม่มีเงินซื้อ แน่นอนว่าด้วยสติปัญญาที่มี เขาคงหาเงินได้ไม่ยาก แต่นั่นอาจก่อให้เกิดปัญหาไม่น้อย ดังนั้นจึงดีที่สุดถ้าจะได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจากการตอบคำถาม


ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่น จึงพยักหน้ารับ


เพราะอาการบาดเจ็บของจางเซวียนยังสาหัสและสร้างความบอบช้ำใหญ่หลวงให้กับร่างกายของเขา ทั้งคู่จึงเดินทางไปตลาดหงเหยียนโดยใช้เกี้ยว


ราว 2 ชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็มาถึงตลาดขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ตั้นเฉี่ยวเทียนลงจากเกี้ยวก่อนจะพยุงจางเซวียนอย่างระมัดระวัง ทั้งคู่มุ่งหน้าไปยังกำแพงที่มีคำถามทั้ง 10 ข้อจารึกไว้


เพราะเป็นสถานที่ที่ดึงดูดใจเหล่านักท่องเที่ยว จึงมีผู้คนมากมายอยู่ในบริเวณนั้น


ความเป็นไปได้ที่จะได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลฟรีๆเป็นความเย้ายวนใจครั้งใหญ่ จึงพอเข้าใจได้ที่มีผู้คนมากมายอยากลอง


“เฮ้อ…ผิดอีกแล้ว…”


“2 เดือนที่ผ่านมานี่ คุณมาที่นี่สิบครั้งแล้วนะ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ทำไมถึงยอมขายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า?”


“ก็แล้วอย่างไรล่ะ? ผมไม่ได้ทำให้คุณขายหน้าสักหน่อย อีกอย่าง คุณมาที่นี่บ่อยกว่าผมเสียอีก!”


“ถ้าการตอบคำถามข้อนี้มันง่ายแบบนั้น มันคงไม่เป็นปริศนาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้หรอก…”


…..


ผู้คนเริ่มบางตาหลังจากตอบคำถามผิดคนแล้วคนเล่า


ระบบการตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบนั้นคล้ายคลึงกับกำแพงคาใจที่จางเซวียนเคยเจอมาก่อน ทุกคำตอบจะถูกประเมินทันทีว่าถูกต้องหรือไม่ ทำให้ดึงดูดผู้คนจำนวนมากในแต่ละวัน เพราะทุกคนมีความหวังว่าจะดวงดีและตอบถูก


ระหว่างทาง จางเซวียนได้รู้จากการพูดคุยกับตั้นเฉี่ยวเทียนว่าตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมีค่ามากขนาดไหน แต่ละอันล้ำค่าถึงขนาดที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับนักปราชญ์โบราณก็ยังใช้เงินซื้อหามาได้ยาก


เท่าที่ฟังจากคำบอกเล่าของตั้นเฉี่ยวเทียน ดูเหมือนต่อให้ตัวเขาเองเทแหวนเก็บสมบัติและขายข้าวของทุกอย่าง ก็ยังซื้อหามาสักอันหนึ่งไม่ได้


ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็ได้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมิติเบื้องบนมากขึ้น


ผู้ที่อาศัยอยู่ในมิติเบื้องบนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท สภาวะร่างกายของพวกเขาจึงแข็งแกร่งมาก เหนือชั้นกว่าแม้แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจที่อาศัยอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์


ผู้คนส่วนใหญ่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 1 ตั้งแต่เกิด และจะเพิ่มสูงขึ้นจนเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 เมื่อเป็นผู้ใหญ่


สำหรับคนอย่างตั้นเฉี่ยวเทียนที่เป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 6 ทั้งที่ใกล้จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถือเป็นคนอ่อนแอที่ไม่มีอนาคต


ยกตัวอย่างเฉว่ชิง, คู่หมั้นของเขา แม้จะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ก็เป็นถึงนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 โลกจารึก ทำให้เธอเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของเมือง


เมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่, ชวนเจียง ไม่ใช่เมืองใหญ่โตนัก อยู่ในระดับที่นักรบขั้นนักปราชญ์โบราณถือเป็นผู้ทรงพลังที่สุด สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งก็คือเมืองนี้อยู่ใต้อาณัติของสำนักดาบเมฆเหิน จึงอธิบายได้ว่าทำไมพวกเขาถึงมาเปิดรับศิษย์สายตรงที่นี่


เจ้าเมืองชวนเจียง, เฉว่เหยา ซึ่งเป็นท่านพ่อของเฉว่ชิง ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ของเมืองนี้ วรยุทธของเขาอยู่ในระดับเดียวกับจางเซวียน คือผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้น


เพราะฉะนั้น ทันทีที่จางเซวียนเรียกพละกำลังกลับคืนมาได้ ก็จะไม่มีใครในเมืองนี้สามารถทำอันตรายเขาได้อีก ด้วยเหตุนี้ การเรียกคืนการเรียกพละกำลังกลับคืนมาจึงถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง


จางเซวียนสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปและเงยหน้าขึ้นพิจารณากำแพงที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก


“ขอดูหน่อยเถอะว่าปัญหาแบบไหนที่ทำให้ผู้คนมากมายจนปัญญา ถึงขนาดที่ผ่านไปหลายปีแล้วก็ยังไม่มีใครตอบได้…ถ้ายาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางถูกหลอมจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ พลังหยางในยานั้นจะรุนแรงเสียจนนักรบที่กินมันเข้าไปไม่อาจควบคุมมันได้…”


ไม่ช้าจางเซวียนก็อ่านคำถามนั้นจบ


คำถามนั้นไม่ได้ซับซ้อนเท่าไหร่ ใจความสำคัญของมันอยู่ที่ยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางและอานุภาพที่เกิดจากกระบวนการหลอม


ยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางคือหนึ่งในทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่จำเป็นต่อบรรดานักรบที่ฝึกฝนเทคนิควรยุทธซึ่งมีองค์ประกอบของพลังหยาง มันจะเติมเต็มพลังชีวิตและผลักดันให้พวกเขายกระดับวรยุทธได้


สูตรของยาเม็ดชนิดนี้เป็นผลงานของนักปรุงยาผู้ปราดเปรื่องคนหนึ่ง ใช้การประสานคุณสมบัติทางยาของสมุนไพรมากมายที่ส่งผลให้เกิดอานุภาพรุนแรงภายในยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยาง แต่ยาเม็ดก็มีข้อบกพร่องข้อใหญ่


หลังจากกินยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางเข้าไป ด้วยการก่อตัวครั้งใหญ่ของพลังหยาง นักรบที่กินมันเข้าไปจะต้องหาทางระบาย ‘ความรุ่มร้อน’ ของพวกเขา ซึ่งเมื่อระบายความรุ่มร้อนออกไปแล้ว จะส่งผลให้เกิดภาวะพร่องพลังหยางซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรมาก


นี่คือปัญหาที่นักปรุงยามากมายพยายามหาวิธีแก้ไข แต่ยังคงเป็นปริศนาอยู่ การปรับปรุงสูตรยาเม็ดที่มีอานุภาพรุนแรงไม่ใช่งานง่าย เพราะเหตุนี้ จึงไม่มีใครทำสำเร็จแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานหลายปี


“ยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยาง?”


หลังจากอ่านคำถาม จางเซวียนส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความงุนงง


ทวีปแห่งปรมาจารย์มียาเม็ดทุกชนิด และตัวเขาก็มีความรู้ความเข้าใจในยาเม็ดมากมายนับชนิดไม่ถ้วนจากหนังสือที่ได้อ่าน แต่ก็ไม่เคยได้ยินชื่อยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางมาก่อน


โชคดีที่ดูเหมือนผู้คนทั่วไปจะไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องยาเม็ดชนิดนี้มากนัก ผู้ตั้งคำถามจึงระบุรายละเอียดของสูตรยาและกรรมวิธีการหลอมมันเอาไว้ด้วย


จางเซวียนนำรายละเอียดเหล่านั้นเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าและประมวลหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา


“เข้าใจล่ะ เข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้า


สมุนไพรที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์กับมิติเบื้องบนนั้นแตกต่างกันมาก สูตรยาและกรรมวิธีการหลอมยาจึงมีความหลากหลาย โชคดีที่หอสมุดเทียบฟ้ายังคงทำงานได้อย่างไร้ที่ติ แค่มองแวบเดียว ข้อบกพร่องและความผิดพลาดทั้งหมดในการผสมยาและกระบวนการหลอมยาก็ปรากฏชัดเจน


ตั้นเฉี่ยวเทียนเห็นรอยยิ้มของจางเซวียน เขาอดถามไม่ได้ “ท่านอาจารย์ คุณรู้วิธีแก้ปัญหาแล้วหรือ?”


เขาเองก็ขบคิดปัญหานี้มาแล้วระยะหนึ่ง แต่ไม่ได้ผล หรือว่าท่านอาจารย์ของเขาจะรู้คำตอบด้วยการมองเพียงแวบเดียว?


“ผมคิดออกแล้ว” จางเซวียนยืนยัน


ตั้นเฉี่ยวเทียนตาโตด้วยความตกใจ เขาละล่ำละลัก “ถ้าอย่างนั้น…วิธีแก้ไขปัญหานี้คืออะไร?”


“ถ้าเรามองด้านเดียว วิธีแก้ก็ไม่ได้ยุ่งยากนัก ในสูตรการหลอมยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางมีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ชื่อหญ้าไฟนรก ปัญหาจะคลี่คลายได้ด้วยการนำสมุนไพรที่ชื่อหญ้าวิญญาณมารดามาใช้แทนหญ้าไฟนรก!” จางเซวียนกระซิบกระซาบ


“หญ้าวิญญาณมารดา…มันเป็นสมุนไพรที่มีองค์ประกอบของพลังหยินไม่ใช่หรือ? เราจะหลอมยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางได้อย่างไรถ้าใช้ของแบบนั้น?” ตั้นเฉี่ยวเทียนประหลาดใจกับคำตอบ


สภาพร่างกายที่พิการทำให้เขาได้เรียนรู้เรื่องยาเม็ดและสมุนไพรไม่น้อย หญ้าไฟนรกไม่ใช่สมุนไพร ที่มีอานุภาพรุนแรงที่สุดในสูตรยา แต่มีบทบาทสำคัญในการก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างของยาเม็ดชนิดนี้ เขาไม่คิดว่ายาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางจะก่อตัวขึ้นได้หากนำหญ้าวิญญาณมารดาไปใช้แทน ในทางตรงกันข้าม หญ้าวิญญาณมารดาจะสลายฤทธิ์ของพลังหยาง ทำให้พลังงานทั้งหมดในตัวยาเหือดแห้งไป


“หยินกับหยางเติมเต็มกันและกัน แม้หญ้าวิญญาณมารดาจะเป็นสมุนไพรที่มีองค์ประกอบของพลังหยิน แต่ก็ใช้เป็นตัวกลางในการบ่มเพาะและสมานคุณสมบัติทางยาของส่วนประกอบหลัก, คือใบเพลิงแดงก่ำได้ สิ่งนี้จะช่วยแก้ปัญหาโดยไม่ทำให้พลังงานในยาเสื่อมไป” จางเซวียนอธิบาย


การเติมเต็มซึ่งกันและกันของพลังหยินกับพลังหยางเป็นความรู้ที่รู้กันทั่วไปในทวีปแห่งปรมาจารย์ และเป็นแนวคิดที่มักใช้ในการกำหนดสูตรยา ไม่น่าเชื่อว่าไม่มีใครสักคนในเมืองชวนเจียงที่รู้เรื่องนี้ เท่าที่เห็น ดูเหมือนแม้แต่คนเก่งๆในมิติเบื้องบนก็ยังเทียบกับผู้คนในทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่ได้ในแง่ของการพัฒนาความรู้เรื่องวิชาชีพ


ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แนวคิดของปรมาจารย์ขงถูกถ่ายทอดต่อๆกันมาหลายหมื่นปี ซึ่งส่งเสริมการแบ่งปันความรู้และการพัฒนาภูมิปัญญาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เห็นได้ชัดว่ามิติเบื้องบนอ่อนด้อยกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์มากในเรื่องนี้


ตั้นเฉี่ยวเทียนถึงกับงงงัน


เขากำลังจะซักถามต่อ ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงซุบซิบพูดคุยอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็เห็นผู้คนที่อยู่รอบๆกำแพงเปิดทางให้คนกลุ่มหนึ่ง


“พวกเขาเป็นใครน่ะ ดูจะสูงส่งเหลือเกิน!” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่อยู่ในหมู่ฝูงชนถามขึ้นอย่างหงุดหงิด


“ชู่ววว! อย่าพูดพล่อยๆน่ะ นั่นคือเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากสำนักดาบเมฆเหินที่มาเปิดรับศิษย์สายตรงที่นี่ คุณเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงกลางไหม? ว่ากันว่าเขามีความรู้ลึกซึ้งเรื่องการหลอมยา…”


“พวกเขาคือเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากสำนักดาบเมฆเหิน?” ชายวัยกลางคนหน้าซีดอย่างพรั่นพรึง


เขารีบหลบไปเพื่อเปิดทางให้ทั้งกลุ่มเข้ามา


สำนักดาบเมฆเหินมีเกียรติสูงส่งในเมืองชวนเจียง ไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจของพวกเขา


ตอนที่ 1920 คุณอยากเอาคืนไหม?

ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็พิจารณาทั้งกลุ่มอย่างถี่ถ้วน


ผู้ที่ยืนอยู่แถวหน้าคือชายหนุ่มที่มีสีหน้าเย็นชา น่าจะอายุราว 20 กลางๆ เขาสวมเสื้อคลุมสีเทา มีดาบเหน็บเอว นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายเยือกเย็นและมีเหตุมีผล บ่งบอกถึงความเป็นคนชนิดที่จะไม่มีวันปล่อยให้ความรู้สึกเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจใดๆของตัวเอง


แม้จะอายุยังน้อย แต่ระดับวรยุทธของชายหนุ่มก็ถือว่าน่าประทับใจ เขาเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติ


ในทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่มีผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ แต่ดูเหมือนที่นี่จะหาพบได้ไม่ยาก…มิติเบื้องบนช่างเป็นสถานที่ที่น่าสะพรึงเสียจริง!


“เธอ…”


ขณะที่จางเซวียนกำลังประเมินชายหนุ่ม ก็เห็นตั้นเฉี่ยวเทียนตัวแข็งขึ้นมาเมื่อเห็นคนกลุ่มนั้น จางเซวียนมองไป เห็นอีกฝ่ายกำหมัดแน่น เมื่อมองตามสายตาของตั้นเฉี่ยวเทียน ก็เห็นเฉว่ชิง, สาวน้อยที่เพิ่งปฏิเสธการแต่งงานกับตั้นเฉี่ยวเทียนเดินตามหลังชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีเทาคนนั้น


เฉว่ชิงสวมชุดรัดรูปสีม่วงที่ขับเน้นเรือนร่างงดงามของเธอ เผยให้เห็นลำคอระหงขาวผ่อง เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แผ่รังสีของความสง่างามและภาคภูมิใจออกมา


การที่เธอได้รับอนุญาตให้ติดตามเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสำนักดาบเมฆเหินก็มากเกินพอที่จะบ่งบอกแล้วว่าเธอได้การยอมรับให้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักนี้ และสำหรับเมืองเล็กๆอย่างชวนเจียง…เรียกได้ว่าเป็นวีรกรรมน่าทึ่ง


“ปัญหาแค่นี้ทำให้พวกคุณงงงันกันแสนนานหรือ?” ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีเทาตั้งข้อสังเกตขณะอ่านคำถามที่อยู่บนกำแพงอย่างรวดเร็ว เขาร้องเรียกชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ด้านหลัง “เขียนคำตอบให้ผมด้วย เปลี่ยนจากการใช้หญ้าไฟนรกไปเป็นหญ้าวิญญาณมารดา”


“ขอรับ!”


ชายหนุ่มรีบเดินไปที่กำแพงแล้วเขียนคำตอบลงไป


นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมองเห็นต้นตอของปัญหาได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว แถมยังได้คำตอบเดียวกันกับท่านอาจารย์ของเขา ตั้นเฉี่ยวเทียนตาค้าง เขารีบหันไปพูดกับจางเซวียน “แต่เรารู้คำตอบเป็นคนแรกนะ!”


เขากำลังสงสัยว่าคำตอบของท่านอาจารย์ถูกต้องหรือไม่ ก็พอดีกับที่กลุ่มคนจากสำนักดาบเมฆเหินเข้ามาและให้คำตอบแบบเดียวกัน นั่นหมายความว่าคำตอบของท่านอาจารย์ไม่ผิดพลาด


แต่แล้วก็กลับเป็นพวกสำนักดาบเมฆเหินที่เป็นคนตอบปัญหา นั่นหมายความว่าตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจะตกเป็นของพวกเขา


ขณะที่ตั้นเฉี่ยวเทียนกำลังจะรีบเข้าไป ก็รู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งยึดข้อมือของเขาไว้แน่น เป็นท่านอาจารย์ของเขาเอง


“อย่าวุ่นวายน่ะ สายไปแล้ว…”


ตั้นเฉี่ยวเทียนหันไปมอง และเห็นว่าชายหนุ่มจากสำนักดาบเมฆเหินเขียนคำตอบลงไปบนกำแพงเรียบร้อยแล้วก่อนจะทาบฝ่ามือลงไปบนนั้นเบาๆ


วิ้ง!


แสงสีแดงเจิดจ้าสว่างวาบจากผิวหน้าของกำแพงนั้น


“เป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือ?”


“สมกับที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากสำนักดาบเมฆเหิน เขาแก้ปัญหาได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียว!”


ผมได้ยินมานานแล้วว่าเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสำนักดาบเมฆเหินคือสุดยอดของโลกใบนี้ ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ชื่อเสียงโด่งดังของพวกเขาไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย…”


“จำนวนศิษย์สายตรงที่สำนักดาบเมฆเหินรับในแต่ละครั้งก็มีจำกัดมาก ผมยังสงสัยว่าคราวนี้จะมีผู้ผ่านเกณฑ์สักกี่คน ถึงจะเป็นแค่ศิษย์สายตรงระดับล่าง แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ของโอกาสที่จะได้ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ…”


“ผมพนันว่าคงมีแค่ 3 คนเท่านั้นแหละ ปกติก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้วนี่!”


…..


ฝูงชนส่งเสียงดังเซ็งแซ่


ขนาดคำถามที่ทำให้ผู้คนในเมืองชวนเจียงงงงันมากว่า 10 ปีก็ถูกกลุ่มคนจากสำนักดาบเมฆเหินแก้ไขอย่างง่ายดาย พวกเขาไม่ธรรมดาจริงๆ


“นายน้อย ผมขอแสดงความยินดีที่คุณแก้ปัญหาข้อสุดท้ายของตลาดหงเหยียนได้ นี่คือของรางวัลที่ทางเราเตรียมไว้ให้!”


ไม่ช้า ชายวัยกลางคนร่างท้วมคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มประจบประแจง เขาใช้สองมือประคองหีบไม้ที่เปิดอ้า ที่อยู่ใจกลางหีบนั้นคือตราสัญลักษณ์ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ


ตราสัญลักษณ์มีตัวอักษรจารึกไว้แน่นขนัด ผู้พบเห็นจะรู้สึกได้ถึงกระแสของพลังจิตวิญญาณที่แผ่ออกมา


“นั่นคือตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลหรือ?”


“ผมได้ยินมาว่าอันหนึ่งก็มีราคา 100,000 เหรียญนิรันดร์แล้ว?”


“ว้าว ทั้งชีวิตของผมก็คงไม่มีปัญญาได้มันมาหรอก…”


…..


พวกเขาอาจเป็นนักรบที่เติบโตขึ้นในมิติเบื้องบน แต่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลคือสิ่งที่มีแต่ชนชั้นนำของมิติเบื้องบนเท่านั้นที่จะมีโอกาสครอบครอง ซึ่งก็มีอยู่เพียงหยิบมือในเมืองชวนเจียง ผู้คนส่วนใหญ่จึงไม่เคยเห็นมันมาก่อน


ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีเทาใช้สองนิ้วคีบตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไว้และถ่ายทอดพลังปราณของเขาเข้าไป ซึ่งหลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นของแท้ ก็พยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะยื่นให้เฉว่ชิง


“ผมให้คุณ”


เฉว่ชิงตาโตด้วยความดีใจขณะรับตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไว้ เธอหายใจถี่กระชั้นอย่างตื่นเต้น


ไม่ใช่แค่มูลค่าของมันที่ทำให้เธอตื่นเต้นดีใจ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือความหมายที่อยู่เบื้องหลังของกำนัลชิ้นนี้


การที่เธอได้เป็นศิษย์สายตรงระดับล่างของสำนักดาบเมฆเหินก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว แถมยังได้รับของกำนัลจากมือของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า…ด้วยสิ่งนี้ เธอจะเป็นที่อิจฉาตาร้อนของคนทั้งเมือง!


เฉว่ชิงกำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไว้แน่น เธอโค้งคำนับขณะพูดว่า “ขอบคุณ, ศิษย์พี่!”


หลังจากกล่าวคำขอบคุณแล้ว เธอก็เห็นว่าตั้นเฉี่ยวเทียนอยู่ในหมู่ฝูงชน นัยน์ตาของเธอเปล่งประกายคมปลาบออกมาแวบหนึ่ง เธอรีบเดินตรงมาหาตั้นเฉี่ยวเทียน จากนั้นก็พูดเบาๆพร้อมกับยิ้มเยาะ “คุณก็อยู่ที่นี่หรือ? พยายามจะคว้าตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเพื่อพลิกผันสถานการณ์ของตัวเองหรือไง? น่าเสียดายนะที่มันเป็นของฉันแล้ว! คุณควรจะเจียมตัวเสียบ้าง คิดว่าคนอย่างตัวเองคู่ควรจะได้ครอบครองตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลหรือ? ปัญญานิ่ม!”


ก่อนหน้านี้ เธอยังหวั่นเกรงว่าการปฏิเสธการแต่งงานจะกระทบชื่อเสียงของเธอ แต่เมื่อมีศิษย์พี่จากสำนักดาบเมฆเหินคอยดูแลเธอแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวอีก


ตั้นเฉี่ยวเทียนจะทำอะไรได้? เธอกับเขาอยู่กันคนละโลก มีอะไรต้องกลัว?


แน่นอนว่าในพื้นที่นี้เต็มไปด้วยคนของสำนักเจ้าเมือง จึงไม่มีใครกล้าแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่แม้แต่บรรดานักรบพเนจรที่แวะมาแสวงโชค เพราะพวกเขายังรักตัวกลัวตายอยู่


อีกอย่าง เธอก็ไม่ได้พูดดังนัก จึงยากที่จะฟังออกว่าเธอกำลังพูดอะไร


“คุณ…” ตั้นเฉี่ยวเทียนตัวแข็งเมื่อถูกหยามหน้าอีกครั้ง


“เขาเป็นใครน่ะ?” ชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีเทาตั้งคำถาม


“ก็แค่สหายคนหนึ่งที่ฉันเคยพบ…” เฉว่ชิงพ่นลมใส่ตั้นเฉี่ยวเทียนก่อนจะหันกลับมามองหน้าชายหนุ่มในเสื้อคลุมสีเทา เปลี่ยนรอยยิ้มเยาะเย้ยของเธอกลายเป็นยิ้มหวานในชั่วพริบตา


“ไปกันเถอะ!” ชายหนุ่มด้วยเสื้อคลุมสีเทาพูดก่อนจะเดินจากไป


เฉว่ชิงรีบตามไปติดๆ


ตั้นเฉี่ยวเทียนตัวสั่นก่อนจะก้มหน้าและมองจางเซวียนด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย “ท่านอาจารย์ ผมขอโทษ…”


ท่านอาจารย์ของเขาบอกคำตอบที่ถูกต้องแล้ว แต่เขามัวสงสัย ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอาจารย์ต้องเสียเวลาอธิบาย ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลก็คงตกเป็นของพวกเขาแล้ว


“ได้รับของกำนัลล้ำค่าขนาดนั้นจากศิษย์พี่…ดูเหมือนคู่หมั้นของคุณคงไม่ได้ตำแหน่งศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินมาด้วยวิธีการธรรมดาสามัญหรอกนะ” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตก่อนจะหันไปมองตั้นเฉี่ยวเทียนและยิ้มออกมา


“คุณอยากเอาคืนไหม?”


“เอาคืน?” ตั้นเฉี่ยวเทียนผงะ


เฉว่ชิงมีเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสำนักดาบเมฆเหินอยู่ข้างกาย พวกเขาจะเอาคืนได้อย่างไร?


“ดูให้ดีนะ!”


จางเซวียนไม่อธิบาย เขาเดินออกไปแล้วตะโกน “สหายจากสำนักดาบเมฆเหินที่อยู่ตรงนั้นน่ะ ผมขอให้คุณหยุดสักครู่ได้ไหม?”


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทายังคงเดินต่อราวกับไม่ได้ยินเสียงของจางเซวียน


จางเซวียนเหยียดริมฝีปากขณะพูดต่อ “สหาย คำตอบที่คุณเขียนลงไปน่ะไม่ถูกต้อง ผมไม่คิดว่ามันยุติธรรมที่คุณนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไปแบบนั้น!”


เสียงของจางเซวียนดังลั่น กลบทุกสรรพเสียงที่อยู่โดยรอบ ทุกคนหันขวับมามองเขาอย่างงงงัน


อีกฝ่ายเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญของสำนักดาบเมฆเหิน หมอนี่กล้าประกาศปาวๆว่าเขาทำพลาด…


คุณอยากตายเต็มทีหรือไง?


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาหยุดกึกและหันขวับมามองจางเซวียนพร้อมกับย่นหน้าผาก


เฉว่ชิงคำรามด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ตั้นเฉี่ยวเทียน ถ้าไม่อยากตาย บอกลูกน้องของคุณให้หุบปากซะ!”


เธอจำได้ว่าเจ้ามัมมี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายที่เข้ามาวุ่นวายเมื่อตอนอยู่ที่ตระกูลตั้น แค่เธอไม่ใช้กำลังทำอะไรรุนแรงก็ถือว่าปรานีมากแล้ว ใครจะคิดว่าหมอนี่จะยังกล้าพูดจาเหลวไหลอีก?


“ขะ-เขาไม่ใช่ลูกน้องของผม เขาเป็นอะ-อาจารย์ของผมเอง!”


เมื่อเกิดความร้อนรน ตั้นเฉี่ยวเทียนติดอ่างขึ้นมาอีกครั้ง


“อาจารย์? ถึงอย่างไร ครั้งหนึ่งตระกูลตั้นก็เคยเป็นผู้ไร้เทียมทาน คุณตกต่ำถึงขนาดรับคนอ่อนแออย่างนี้มาเป็นอาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่?” เฉว่ชิงตั้งข้อสังเกตและเย้ยหยัน


“ผมไม่คิดว่ามันเป็นกงการอะไรของคุณว่าตั้นเฉี่ยวเทียนจะรับใครเป็นอาจารย์ เว้นเสียแต่ว่า…คุณยังใฝ่ฝันอยากเป็นคู่หมั้นของเขาอยู่” จางเซวียนตอบหน้านิ่ง


“คุณ…” เฉว่ชิงตัวแข็งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


เห็นทีท่าของเฉว่ชิง นัยน์ตาของชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาเป็นประกายเย็นวาบ เขาจ้องมัมมี่ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา “คุณพูดว่าคำตอบของผมไม่ถูกต้องหรือ?”


“ใช่” จางเซวียนตอบ “เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมไม่ได้กุเรื่อง ผมกล้าเดิมพันกับคุณ ผู้แพ้จะต้องยอมทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย!”


“คุณกล้ามากนะที่พูดกับผมแบบนี้” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาตั้งข้อสังเกตขณะมองจางเซวียนด้วยสีหน้าเรียบเฉย “บอกผมมาสิ อะไรคือสิ่งที่ชี้ชัดว่าผมทำพลาด”


“ไม่จำเป็นหรอก การแก้ปัญหาทำได้ง่ายกว่านั้นมากโดยที่เราสองคนไม่ต้องพูดอะไร ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือหานักปรุงยามาหลอมยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางตามแบบของคำตอบที่คุณเขียนไว้ แล้วให้ใครสักคนกินเข้าไป เมื่อเห็นแล้วคุณจะเข้าใจทันที” จางเซวียนพูด


“คุณอยากทดสอบผลลัพธ์ในทางปฏิบัติของวิธีแก้ปัญหาที่ผมตอบไป?” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาขมวดคิ้ว


ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในสมองของเขาคือปฏิเสธข้อเสนอของจางเซวียน เพราะรู้สึกว่ามันยุ่งยากเกินไป แต่เมื่อกวาดสายตามองฝูงชน ก็เห็นสีหน้าข้องใจของคนเหล่านั้น


ด้วยเหตุนี้ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาก็ยกมือแล้วพูดว่า “พานักปรุงยามา!”


ชายหนุ่มที่ติดตามเขารีบผละไป ไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับชายวัยกลางคนร่างท้วมที่เป็นผู้นำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมามอบให้เมื่อครู่ก่อนและนักปรุงยาอีก 2 คน


ชายวัยกลางคนร่างท้วมดีดนิ้ว แล้วกองทัพผู้ช่วยของเขาก็รีบเข้ามาจัดเตรียมโต๊ะตัวหนึ่งที่เต็มไปด้วยสมุนไพรพร้อมกับหม้อหลอมยาอีก 2 ใบ


ตอนที่ 1921 หูฝาดหรือเปล่า?

“ผมอยากให้พวกคุณหลอมยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางตามสูตรที่เขียนไว้ตรงนั้น” ชายวัยกลางคนร่างท้วมสั่งการนักปรุงยาทั้งสองคน


ทั้งคู่พยักหน้า จากนั้นก็ตั้งต้นหลอมยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางอย่างรวดเร็ว พวกเขาทำตามรายละเอียดที่ระบุไว้บนกำแพงอย่างครบถ้วน เติมสมุนไพรลงไปชนิดแล้วชนิดเล่าตามระยะเวลาที่กำหนด ส่วนเมื่อถึงเวลาที่ต้องโยนหญ้าไฟนรกลงไป ก็ใส่หญ้าวิญญาณมารดาลงไปแทน


ทันทีที่หญ้าวิญญาณมารดาถูกโยนลงไปในหม้อ หม้อหลอมยาทั้ง 2 ใบก็สั่นสะท้านไม่หยุด นักปรุงยาคนหนึ่งไม่อาจควบคุมพลังงานที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในหม้อได้ สุดท้าย หม้อทั้งใบก็ระเบิดเสียงดังกึกก้อง


โชคดีที่มีการจัดเตรียมมาตรการป้องกันไว้แล้ว จึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น


แต่การระเบิดก็ทำให้ฝูงชนพากันตกใจ พวกเขารีบถอยห่างขณะเฝ้ามองกระบวนการหลอมยาต่อไปอย่างกังวล


นักปรุงยาที่เหลืออีกคนหนึ่งดูจะมีทักษะกว่ามาก เขาควบคุมปฏิกิริยาของสมุนไพรได้ดี หนึ่งชั่วโมงต่อมา ยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางที่หลอมเสร็จใหม่ๆชุดหนึ่งก็ถูกนำออกจากหม้อ ผิวหน้าของมัน เจิดจ้าและเป็นประกายงดงาม


ดูเหมือนพวกเขาจะไม่โชคร้ายเสียทีเดียว เพราะไม่เพียงแต่ยาเม็ดจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ยังเข้าถึงขั้นสมบูรณ์แบบด้วย


“ดี! หลังจากเห็นยาเม็ด ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาพยักหน้า


เขากวาดตามองฝูงชนอย่างรวดเร็วก่อนจะเรียกชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามา “เทคนิควรยุทธที่คุณฝึกฝนน่ะดูเหมือนจะมีองค์ประกอบของพลังหยาง ผมอยากให้คุณช่วยทดสอบคุณสมบัติทางยาของยาเม็ดนี้หน่อย!”


บางที อาจเป็นเพราะความเชื่อมั่นที่มีต่อสำนักดาบเมฆเหิน ชายหนุ่มจึงกลืนยาเม็ดนั้นลงไปโดยไม่ลังเล ยาเม็ดละลายในปากของเขาอย่างรวดเร็ว พลังหยางปริมาณมหาศาลไหลพล่านไปทั่วทางเดินพลังปราณ ใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในชั่วพริบตา


เขารีบทรุดตัวลงนั่งเพื่อขับเคลื่อนพลังปราณ ตั้งใจจะควบคุมกระแสการไหลเวียนพลังหยางให้ซึมซับเข้าสู่ร่างกายอย่างราบรื่น แต่ยิ่งพยายามควบคุมพลังหยางมากเท่าไหร่ ก็ต้องเผชิญกับแรงตีกลับมากขึ้นเรื่อยๆ


สุดท้าย ควันสีขาวก็ลอยโขมงออกจากกระหม่อมของเขา


ไม่ช้า นัยน์ตาของชายหนุ่มก็แดงก่ำ ความร้อนรุ่มเริ่มเข้าครอบงำ


“อ๊ากกกก ผมทนไม่ไหวแล้ว!”


เมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป ชายหนุ่มรี่เข้าใส่หนึ่งในบรรดาป้าๆที่กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์และพยายามฉีกกระชากเสื้อผ้าของเธอ


แคว่กกก!


เสื้อผ้าที่ถูกฉีกกระจัดกระจายไปทั่วพื้น ชายหนุ่มตรงเข้าหาหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเพื่อพยายามทำเรื่องที่ไม่อาจบรรยายได้ แต่แล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างกะทันหันที่ท้ายทอยก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้น


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาจากสำนักดาบเมฆเหินก้าวเข้ามาในช่วงคับขันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายได้ทันท่วงที


การที่ชายหนุ่มเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาหลังจากกินยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางเข้าไปบ่งบอกชัดว่าสูตรยาของเขาไม่ดีพอจะแก้ไขปัญหา ไม่เพียงเท่านั้น ผลข้างเคียงยังทำให้ทุกอย่างเลวร้ายกว่าเดิม ชายหนุ่มที่กินยาเข้าไปไม่อาจควบคุมความต้องการของตัวเองได้เลย


“สูตรยาของผมมีปัญหาบางอย่างจริงๆ…” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาสีหน้าไม่สู้ดี เขาหันไปมองจางเซวียนและตั้งคำถาม “ว่าแต่คุณรู้ได้ไง? แล้วรู้คำตอบที่ถูกต้องหรือเปล่า?”


พูดกันตามตรง เขาได้ยินเรื่องปัญหาข้อนี้ตั้งแต่ก่อนเดินทางมาเมืองชวนเจียง และได้ค้นคว้ามาระยะหนึ่งแล้วก่อนจะได้คำตอบที่ถูกต้อง ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น


เหตุผลที่เขาเข้ามาแก้ไขปัญหาที่เมืองชวนเจียงก็เพื่อกระพือชื่อเสียงของสำนักดาบเมฆเหินให้ลือกระฉ่อนขึ้นกว่าเดิม


เพียงแต่…ใครจะไปรู้ว่าแทนที่จะได้ส่งเสริมชื่อเสียงของสำนักดาบเมฆเหิน เขากลับทำให้ชื่อเสียงของสำนักด่างพร้อยเสียเอง?


แม้จะหงุดหงิด แต่ก็รู้ดีว่าการทำตัวเสียกิริยาย่อมไม่ฉลาด มีแต่จะทำให้ตัวเองขายหน้ากว่าเดิมหากแสดงความไร้มารยาทออกมา


“ผมมีคำตอบ” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


เขากระซิบบางอย่างใส่หูตั้นเฉี่ยวเทียน อีกฝ่ายมองเขาด้วยสีหน้าประหลาด แต่หลังจากแน่ใจแล้วว่าจางเซวียนไม่ได้พูดเล่น ก็เดินไปที่กำแพงแล้วใช้พู่กันเขียนคำตอบลงไป


เหมือนกับก่อนหน้านี้ กำแพงเรืองแสงสีแดงเจิดจ้าออกมา


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาขมวดคิ้วขณะโพล่งออกมาอย่างหงุดหงิด “คนตรวจคำตอบก็อยู่ตรงนี้แล้ว แค่พูดออกมาดังๆก็น่าจะพอไหม?”


มัวอ้อมค้อมอยู่ให้มันได้อะไรขึ้นมาในเมื่อผู้จัดการตลาดหงเหยียนก็อยู่ด้วย? แค่ชายหนุ่มอ่านคำตอบออกมาดังๆ ก็จะได้รู้กันว่าถูกต้องหรือไม่


ตั้นเฉี่ยวเทียนมองท่านอาจารย์ของเขา เมื่อได้การพยักหน้าเป็นการตอบรับ เขาก็อ่านคำตอบทั้งหมดที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “เปลี่ยนไปใช้หญ้าวิญญาณมารดาแทนหญ้าไฟนรก!”


“ฮะ?”


“ผมหูฝาดหรือเปล่า?”


“มันก็คำตอบเดียวกันกับที่ชายหนุ่มจากสำนักดาบเมฆเหินเขียนไว้ไม่ใช่หรือ?”


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาหรี่ตาขณะแผ่รังสีโหดเหี้ยมออกมา “คุณตั้งใจเยาะเย้ยผมใช่ไหม?”


หมอนั่นพูดเต็มปากเต็มคำว่าเขาทำพลาด แต่ลงท้ายก็ใช้คำตอบเดียวกัน คิดบ้าอะไรอยู่?


ตั้นเฉี่ยวเทียนทำตัวไม่ถูก ไม่รู้เลยว่าท่านอาจารย์กำลังคิดอะไร


คุณไม่รู้หรือว่าการปั่นหัวผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ถือเป็นข้อห้ามอย่างเคร่งครัด ถึงตายทีเดียวนะ!


“คุณคิดมากไปแล้วล่ะ” จางเซวียนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก่อนจะชำเลืองมองตั้นเฉี่ยวเทียนอย่างมีเลศนัย “มัวทำอะไรอยู่ล่ะ? ยังมีข้อความสุดท้ายไม่ใช่หรือ อ่านสิ!”


“เอ่อ ได้…” ตั้นเฉี่ยวเทียนพยักหน้าขณะรีบพูดต่อ “หลังจากวิธีแก้ไขที่กล่าวมา ก็ยังมีวงเล็บที่ระบุว่า ‘ไม่ใช่ดินแดนนี้’”


“ไม่ใช่ดินแดนนี้? เดี๋ยวก่อน นั่นหมายความว่าอย่างไร?”


ทุกคนงุนงงกับข้อความตบท้าย แม้แต่ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


คำว่า ‘ไม่ใช่ดินแดนนี้’ หมายถึงอะไร? มีความแตกต่างระหว่างหญ้าวิญญาณมารดาที่ขึ้นอยู่ใน เมืองนี้กับที่ไม่ได้มาจากเมืองนี้ด้วยหรือ?


“ยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางใช้เพิ่มพลังหยางให้กับนักรบ เพื่อรักษาระดับอานุภาพของยา การเปลี่ยนไปใช้หญ้าวิญญาณมารดาแทนหญ้าไฟนรกคือวิธีแก้ไขที่ถูกต้อง แต่วิธีแก้ไขที่คุณเสนอมานั้นจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อการหลอมยาเกิดขึ้นในดินแดนอื่น” จางเซวียนพูดขณะเดินช้าๆไปที่หม้อหลอมยา และแตะเศษซากจากการระเบิดของหม้อเมื่อครู่ก่อน


“วิธีแก้ปัญหาของคุณใช้กับที่นี่ไม่ได้ เมืองชวนเจียงมีแม่น้ำชวนไหลผ่านด้านหลัง ซึ่งชื่อเมืองก็ได้มาจากชื่อของแม่น้ำ แม่น้ำชวนมีต้นกำเนิดจากทะเล กระแสน้ำที่ไหลผ่านจึงไม่ใช่น้ำจืด แต่เป็นน้ำกร่อย!”


ฝูงชนพยักหน้ารับ


แม้เมืองชวนเจียงจะไม่ได้อยู่ใกล้ทะเล แต่ก็ติดกับแม่น้ำชวน น่าเสียดายที่กระแสน้ำของแม่น้ำชวนเป็นน้ำกร่อย ทำให้ใช้ดื่มกินหรือนำมาซื้อขายแลกเปลี่ยนไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ เมืองชวนเจียงจึงไม่อาจพัฒนาขึ้นเป็นเมืองใหญ่ได้แม้จะอยู่ในทำเลที่เหมาะสม ในบรรดาอาณานิคมของสำนักดาบเมฆเหิน ที่นี่ถือเป็นเมืองชั้น 3 เท่านั้น เศรษฐกิจก็จัดว่าไม่ดีนัก


“ดังนั้น พื้นที่การเกษตรของเมืองนี้จึงถูกรบกวนด้วยน้ำกร่อย พืชพันธุ์ที่เติบโตขึ้นมีองค์ประกอบของเกลือ ถึงตอนนี้ ผมอยากเชิญให้พวกคุณพิจารณาเศษซากของการระเบิด เห็นอะไรแปลกๆบ้างไหม?” จางเซวียนตั้งคำถามขณะยื่นมือออกไปให้คนอื่นๆเข้ามาดู


ฝูงชนต่างขยับเข้าใกล้ ที่ปลายนิ้วดำปี๋ของจางเซวียนมีผงสีขาวติดอยู่ แม้จะมีปริมาณน้อย แต่ผู้ที่เป็นนักรบระดับเซียนก็ดูออกทันทีว่ามันคืออะไร


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาเดินเข้าไปที่เศษซากของการระเบิดก่อนจะแตะมันเบาๆ ผงสีขาวติดปลายนิ้วของเขาขึ้นมา เขาใช้ลิ้นเลีย และพบว่ามีรสเค็มเล็กน้อย


“มันคือเกลือนี่!” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาพยักหน้า


จากนั้นจางเซวียนก็เริ่มอธิบาย “หญ้าวิญญาณมารดาเติบโตในบึงที่มืดครึ้มและเปียกชื้น ใบของมันควรจะมีความเป็นกรดเล็กน้อย แต่กลับถูกเจือจางด้วยองค์ประกอบของเกลือที่อยู่ในสมุนไพรชนิดอื่นๆ ซึ่งนั่นเป็นการทำลายพลังหยินที่อยู่ในตัวมัน ดังนั้น หญ้าวิญญาณมารดาจึงไม่อาจทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการควบคุมพลังงานของสมุนไพรชนิดอื่นๆได้ ส่งผลให้พลังหยางมีความรุนแรงเกินพิกัดแม้จะไม่ได้ใช้หญ้าไฟนรก นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าหนุ่มคนนั้นควบคุมตัวเองไม่ได้หลังจากกินยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางเข้าไป เขาถูกครอบงำด้วยความรุ่มร้อนจนเกินทน!”


“เอ่อ…”


“มีปัจจัยแบบนี้จริงๆหรือ?”


เสียงออกความเห็นอย่างเคร่งเครียดดังอื้ออึงไปทั่ว


การหลอมยาเป็นกระบวนการละเอียดอ่อนถึงขนาดที่แม้แต่การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของสภาพแวดล้อมก็ทำให้เกิดความแตกต่างใหญ่หลวงขนาดนี้เชียวหรือ?


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาชะงักไปเล็กน้อย หรือนี่คือเหตุผลที่ทำให้สูตรยาของเขาผิดพลาด?


เขารีบตรวจสอบสมุนไพรที่เหลืออยู่ซึ่งยังไม่ได้ถูกนำไปใช้เพื่อการหลอมยา ด้วยการเคาะนิ้ว เขาเผาสมุนไพรชนิดหนึ่ง และหลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ก็เห็นเกลือจำนวนหนึ่งปะปนอยู่ในเถ้าถ่านของมัน


“การหลอมยาเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อนมาก ความแตกต่างของสมุนไพรเพียงชนิดเดียวหรือกระบวนการเพียงขั้นตอนเดียวอาจนำมาซึ่งความล้มเหลวได้โดยง่าย สมุนไพรมากมายนับไม่ถ้วนอาจเสียหายเพียงเพราะปัจจัยเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย โดยทั่วไป นักปรุงยาจะต้องมีความรู้เรื่องสภาพภูมิศาสตร์และภูมิอากาศในท้องถิ่น สภาวะของหม้อ สภาวะจิต และเทคนิคต่างๆที่ใช้ในกระบวนการหลอมยา ทั้งหมดทั้งมวลนี้จะต้องถูกนำมาพิจารณาก่อนจะดำเนินกระบวนการหลอมยาได้ แต่ผิดพลาดก็คือผิดพลาด…ผมรู้ดีว่าคนจากสำนักดาบเมฆเหินคงไม่ปฏิเสธเรื่องนั้นหรอก ใช่ไหม?” จางเซวียนถามพร้อมกับยิ้มอย่างสุภาพ


“ความผิดพลาดของผมส่งผลให้การหลอมยาล้มเหลว ผมยอมรับเรื่องนั้น!” รู้ดีว่ามีแต่จะทำให้ชื่อเสียงด่างพร้อยกว่าเดิมหากโต้แย้ง ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาคำราม “ถ้าอย่างนั้น ผมจะมอบตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลให้คุณ!”


เขาฉวยตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจากมือของเฉว่ชิงมาโยนให้จางเซวียนโดยไม่รีรอ


“ฉัน…” เฉว่ชิงอ้าปากค้าง ใบหน้าร้อนผ่าว


เมื่อครู่นี้เองที่เธอเพิ่งได้รับของล้ำค่า แต่ในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง ก็ถูกชายอีกคนคว้าไปครองเสียแล้ว


“ผมขอน้อมรับของขวัญชิ้นนี้!” จางเซวียนพูดขณะหย่อนตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลลงไปในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็เลิกคิ้วเมื่อพลันนึกบางอย่างได้ “อ้อ เกือบลืม เมื่อครู่นี้ผมบอกไว้แล้วว่าผมขอเดิมพันกับคุณว่าผู้แพ้จะต้องฟังคำสั่งของผู้ชนะ คุณไม่ได้ตอบรับเดิมพัน แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ผมควรถือว่าการเดิมพันยังมีผลอยู่ใช่ไหม?”


เห็นจางเซวียนพยายามต้อนเขาให้จนมุม ชายเสื้อคลุมสีเทาหรี่ตาอย่างข่มขู่


ไม่นึกเลยว่าเจ้าคนบ้านนอกคอกนาจะต้อนเขาให้จนมุมได้แบบนี้!


ส่วนจางเซวียนก็ดูเหมือนจะไม่รู้ไม่ชี้กับความโมโหของชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทา เขาชี้นิ้วไปที่เฉว่ชิงอย่างไม่แยแสและพูดว่า “คำสั่งของผมน่ะไม่มีอะไรมาก ผมแค่อยากให้คุณตบเธอสามครั้ง ช่วยตบแทนผมที!”


“อะไรนะ?” เฉว่ชิงหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


ตอนที่ 1922 เสียงนี้…

ถ้าเธอถูกตบจริงๆ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?


เฉว่ชิงตัวสั่น เธอรีบหันไปวิงวอนชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทา “ศิษย์พี่ อย่าฟังคำพูดเหลวไหลของหมอนั่น! เขาก็แค่เพ้อเจ้อ จนกว่าเราจะหลอมยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยางตามวิธีการของเขา ก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าสิ่งที่เขาพูดมาเป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่…”


แต่ยังไม่ทันจะขาดคำ ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาก็หันมาประจันหน้ากับเธอ จากนั้นก็ตบเธอ 3 ครั้งติดๆ


ซ้าย เพียะ! ขวา เพียะ! ซ้าย เพียะ!


การตบแต่ละครั้งส่งเสียงดังลั่น ผิวบอบบางและเรียบเนียนของสาวน้อยบวมเห่อขึ้นมาทันที


“คุณพอใจหรือยัง?” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาจ้องหน้าจางเซวียนพร้อมกับเอาสองมือไพล่หลัง


เขามีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องการหลอมยา และตรวจสอบทุกรายละเอียดจนแน่ใจแล้ว ต่อให้ยังไม่ได้ทำการหลอมยาเม็ดบ่มเพาะพลังหยาง ก็รู้ดีว่าคำตอบของชายหนุ่มนั้นถูกต้อง


ในเมื่อคำตอบชัดเจน การถ่วงเวลาด้วยวิธีใดๆก็ตามไม่เพียงแต่จะทำให้ชื่อเสียงของเขาด่างพร้อย แต่ยังรวมถึงสำนักดาบเมฆเหินด้วย


“เอ่อ…ผมก็แค่พูดลอยๆนะตอนที่บอกให้คุณตบเธอ เธอเป็นแค่สาวน้อยคนหนึ่ง มีข้อตกลงแต่งงานกับผม แต่บุกมาถึงที่พักของผมเพื่อบังคับให้ผมยกเลิกข้อตกลงการแต่งงาน…แต่นั่นแหละ เรื่องมันแล้วไปแล้ว ถือว่าเราเจ๊ากัน เชิญคุณตามสบาย!” จางเซวียนโค้งคำนับเล็กน้อยราวกับจะส่งชายเสื้อคลุมสีเทากลับ


ชายเสื้อคลุมสีเทาสงสัยตาเชือดเฉือนใส่จางเซวียนก่อนจะหันหลังกลับและจากไป คนอื่นๆรีบตามไปติดๆ ส่วนชายหนุ่มที่สลบเหมือดคนนั้น มีใครคนหนึ่งในฝูงชนแบกเขาออกไป


สำนักดาบเมฆเหินวางแผนจะใช้โอกาสนี้สำแดงความเก่งกาจและเรียกคะแนนนิยมจากผู้คนในเมืองชวนเจียง แต่เรื่องนี้ย้อนกลับมาเล่นงานพวกเขาเสียเอง


ทุกคนต่างโมโหเดือด


เมื่อออกมาพ้นอาณาเขตตลาด ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาหรี่ตามองเฉว่ชิงที่หน้าบวมเป่ง “หมอนั่นเป็นใคร?”


เฉว่ชิงตัวสั่นเพราะน้ำเสียงเย็นเยียบของชายหนุ่ม เธอละล่ำละลักอธิบาย “ศิษย์พี่ ฉันไม่รู้จักเขาจริงๆ…”


“ผมหมายถึงเจ้าหนุ่มที่พิการคนนั้น!” ชายเสื้อคลุมสีเทาขัดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด


“ขะ-เขา…” เฉว่ชิงหน้าซีดเผือด “เขา…มีข้อตกลงการแต่งงานกับฉัน เป็นการตัดสินใจของเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลของเรา แต่เราสองคนไม่มีอะไรต่อกันจริงๆ เราพบกันไม่ถึง 2-3 ครั้งด้วยซ้ำ…”


“คุณควรรู้ตัวนะว่าทำไมคุณถึงได้การยอมรับให้เป็นศิษย์สายตรงระดับล่างของสำนักดาบเมฆเหิน!” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เพื่อให้เหล่าศิษย์สายตรงฝ่ายในได้ทุ่มเทเวลากับการฝึกฝนวรยุทธ พวกเขาจึงต้องการคนรับใช้ที่คอยทำตามคำสั่ง เรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับรูปร่างหน้าตาของคุณหรือการที่คุณยังคงเป็นสาวบริสุทธิ์ ผมไม่ได้รับคุณเข้ามา รวมกลุ่มกับพวกเราในฐานะคนรับใช้เพราะเหตุผลนั้น!”


“ฉันเข้าใจ…” เฉว่ชิงก้มหน้าด้วยอาการยอมจำนน


“อย่างนั้นก็ดี!” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาโบกมืออย่างหงุดหงิด เขาเดินตรงไปยังเกี้ยวที่อยู่ไม่ห่างออกไปนักและก้าวเข้าไป ก่อนเกี้ยวจะออกตัว น้ำเสียงเย็นชาของเขาก็ลอดออกมา “ผมหวังว่าคุณจะสะสางเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนที่มันจะรั่วไหลเข้าหูของสำนักดาบ อีกอย่าง ผมอยากรู้ตัวตนและภูมิหลังของเจ้าหนุ่มมัมมี่นั่นภายในคืนนี้ด้วย ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นจะมาถึงในอีก 3 วันข้างหน้า ผมไม่ต้องการให้เกิดเรื่องยุ่งยาก เข้าใจใช่ไหม?”


“เข้าใจ…” เฉว่ชิงคำนับด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง


เกี้ยวเคลื่อนตัวออกไป


ในตอนนั้นเองที่เฉว่ชิงเพิ่งรู้สึกว่าแผ่นหลังของเธอชุ่มเหงื่อ เธอหันกลับไปมองตลาดหงเหยียนด้วยแววตาอาฆาต


“บอกท่านอาจารย์ของฉันว่าเราจะดำเนินการคืนนี้!” เธอคำราม


“ขอรับ นายหญิงน้อยที่ 2!” ชายหนุ่มที่ติดตามเธอตอบรับคำสั่ง


…..


“ขอบคุณมาก ท่านอาจารย์!”


เมื่อเห็นเฉว่ชิงที่หยามหน้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่าถูกเล่นงานต่อหน้าสาธารณชน ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าท่านอาจารย์ทำเพื่อเขา ซึ่งเขาก็สำนึกบุญคุณอย่างมาก


“ในเมื่อคุณเป็นลูกศิษย์ของผม ผมก็จะไม่ยอมให้คุณถูกเข้าใจผิด” จางเซวียนตอบยิ้มๆ “เอาล่ะผมอยากให้คุณหาห้องเงียบๆให้ผมสักห้องหนึ่ง ผมต้องการทดสอบตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล”


“ขอรับ ท่านอาจารย์” ตั้นเฉี่ยวเทียนพยักหน้า


ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงห้องเงียบสงบห้องหนึ่ง


หลังจากเข้าไปในห้อง จางเซวียนสำรวจภายในอย่างถี่ถ้วนและพบว่าพื้นที่นี้มีค่ายกลรักษาความปลอดภัยอยู่หลายชั้น จึงแน่ใจได้ในความเป็นส่วนตัว เขาพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลออกมา


“ท่านอาจารย์ ผมรู้มาว่าการจะเปิดใช้งานตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมีกระบวนการเฉพาะของมัน ซึ่งการจะเปิดใช้งานมันได้อย่างสมบูรณ์จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก…”


แต่ยังไม่ทันที่ตั้นเฉี่ยวเทียยจะพูดจบ ก็เห็นท่านอาจารย์ของเขาแตะลงบนตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล 2-3 จุด มีเสียงหึ่งดังก้องไปทั่วทั้งห้อง ตราสัญลักษณ์เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา


มันถูกเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แล้ว!


จากนั้นจางเซวียนก็หยดเลือดหยดหนึ่งลงไปบนตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล แสงเจิดจ้าแปรสภาพ เป็นวัตถุปริศนาอย่างหนึ่งที่ซึมซาบเข้าสู่หว่างคิ้วของเขา


ภาพนั้นทำให้ตั้นเฉี่ยวเทียนจังงัง


เท่าที่เขารู้ การเปิดใช้งานตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเป็นกระบวนการละเอียดอ่อน บ่อยครั้งที่นักรบคนหนึ่งจะต้องใช้เหรียญนิรันดร์มูลค่ามหาศาลเพื่อว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญสักคนให้มาทำการเปิดใช้งานในระดับสมบูรณ์ ใครจะไปคิดว่าท่านอาจารย์ของเขาจะเปิดใช้งานและทำให้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย อย่างกับเคยทำมาแล้วหลายครั้ง?


จางเซวียนไม่ใส่ใจอาการตกตะลึงของตั้นเฉี่ยวเทียน เขาพิจารณาลำแสงที่ซึมซาบเข้าสู่หว่างคิ้วของตัวเองอย่างถี่ถ้วน ซึ่งหลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอันตราย ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก


ฟึ่บ!


ครู่ต่อมา สติสัมปชัญญะของจางเซวียนก็ลอยออกจากร่าง เข้าสู่มิติพิเศษแห่งหนึ่ง


“เฮ้ย…”


จางเซวียนก้มลงมอง เห็นกายเนื้อของเขากลายเป็นอะไรสักอย่างที่ผสมผสานกันระหว่างความเป็นจริงกับภาพลวงตา


“ขอต้อนรับสู่หอนิรันดร์!”


ขณะที่จางเซวียนกำลังพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ


“เสียงนี้…” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ


น้ำเสียงนี้ฟังคุ้นหูมาก ไม่น่ามีอะไรผิดพลาด…


“ปรมาจารย์ขง!”


มันคือเสียงปรมาจารย์ขง!


เขารู้ว่าปรมาจารย์ขงมาที่มิติเบื้องบน แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเกี่ยวข้องกับอำนาจที่ทรงพลังที่สุดของมิติเบื้องบน, หอนิรันดร์!


หรือว่า…ปรมาจารย์ขงคือผู้ก่อตั้งหอนิรันดร์?


“ตั้นเฉี่ยวเทียนบอกไว้ว่าหอนิรันดร์ก่อตั้งขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนโดยผู้เชี่ยวชาญผู้ไร้เทียมทานคนหนึ่ง แต่เท่าที่ดูจากระยะเวลา ปรมาจารย์ขงน่าจะออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไปตั้งแต่หลายหมื่นปีที่แล้ว…” จางเซวียนใช้สมองปะติดปะต่อข้อมูล


ถึงตอนนี้ ความเป็นไปได้ข้อหนึ่งก็ปรากฏในหัวสมองของเขา ทำให้ต้องเลิกคิ้ว “หรือว่า…กระแสกาลเวลาในมิติเบื้องบนแตกต่างจากทวีปแห่งปรมาจารย์?”


ตั้งแต่เขาฟื้น ก็เกิดปัญหามากมายหลายเรื่อง จึงไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบมิติเบื้องบนอย่างถี่ถ้วน แต่ตอนนี้ เมื่อลองคิดดู ก็เป็นไปได้ว่ากระแสของกาลเวลาในมิติเบื้องบนกับทวีปแห่งปรมาจารย์น่าจะแตกต่างกันจริงๆ


ขณะที่จางเซวียนกำลังทำความเข้าใจ เสียงเมื่อครู่ก็พูดต่อ “ผมก่อตั้งหอนิรันดร์ขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้บรรดานักรบได้มีปฏิสัมพันธ์และทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันอย่างปลอดภัย เมื่ออยู่ที่นี่ คุณสามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์หน้าตาและรังสีของตัวเองได้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของคุณในโลกแห่งความเป็นจริง ขอแค่คุณเต็มใจจ่าย ก็สามารถร่ำเรียนเทคนิควรยุทธได้ตามใจปรารถนา!”


“ภายในหอนิรันดร์ นักรบทุกคนมีระดับวรยุทธเท่ากัน ไม่มีความเหลื่อมล้ำด้านพละกำลังหรือสถานภาพ ทุกคนสื่อสารกันได้อย่างเท่าเทียม”


“นั่นคือทั้งหมดที่ผมอยากบอก ขอให้มีความสุขกับหอนิรันดร์นะ!”


เสียงนั้นเงียบไปอย่างปุบปับ


สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้จางเซวียนยิ่งมั่นใจว่าปรมาจารย์ขงคือผู้อยู่เบื้องหลังหอนิรันดร์ ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือวิสัยทัศน์ของเขาที่อยากสร้างโลกที่มนุษย์ทุกคนมีโอกาสร่ำเรียนและฝึกฝนวรยุทธได้อย่างเท่าเทียม


จางเซวียนรู้ดีว่าสามารถแกะรอยของปรมาจารย์ขงในมิติเบื้องบนได้ แต่ด้วยความแตกต่างของเวลา เขาเคยคิดว่าคงต้องผ่านไปสักระยะกว่าจะได้รู้เรื่องราวของอีกฝ่าย แต่แล้ว ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเพียงอันเดียวก็ทำให้ได้ข้อมูลมาไม่น้อย


จางเซวียนพยายามระงับความตื่นเต้น เขาครุ่นคิดถึงคำพูดของปรมาจารย์ขงก่อนจะเกิดความคิดประหลาด


“ใช้ตัวตนสมมุติได้ และมีปฏิสัมพันธ์กับใครๆได้อย่างเท่าเทียม…ไม่ต่างอะไรกับห้องแชทออนไลน์เลย?”


เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญต่อการใช้ชีวิตในโลกเก่าของจางเซวียน มันนำพาความสะดวกสบายมาให้ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารหรือการจับจ่ายซื้อของ ก็สามารถทำได้จากทุกที่ ผู้คนสามารถใช้ตัวตนใหม่ที่สมมุติขึ้นมาและสนุกสนานกับชีวิตที่แยกออกจากโลกแห่งความจริง บ่อยครั้งที่คนในอินเทอร์เน็ตซึ่งคุณเรียกว่าแฟนก็อาจเป็นแค่ตาลุงแก่ๆคนหนึ่ง


ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมีประสิทธิภาพน่าทึ่งและดูเหมือนจะทำงานด้วยหลักการเดียวกัน


เมื่อเข้าสู่หอนิรันดร์ ทุกคนสามารถปกปิดตัวตนที่แท้จริงและมีพละกำลังเท่าเทียมกัน นั่นหมายความว่าไม่มีทางระบุได้เลยว่าผู้คนที่พวกเขากำลังคุยด้วยเป็นหญิงหรือชาย เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือนักรบธรรมดาสามัญ


“แบบนี้ก็ดี เหล่านักรบสามารถระบายความเครียดที่ต้องเผชิญในชีวิตจริงอันเนื่องมาจากความมีชื่อเสียงของตัวเอง ได้ซื้อหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ แถมการแสวงหาคำชี้แนะเรื่องวรยุทธจากคนอื่นๆ ก็ทำได้ง่ายกว่า…นี่คงเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ปรมาจารย์ขงสร้างระบบนี้ขึ้นมา”


ปรมาจารย์ขงสนับสนุนการศึกษาเล่าเรียนโดยปราศจากการแบ่งแยก เขาวาดหวังจะสร้างโลกที่มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน แต่ด้วยทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่มีจำกัด อีกทั้งชาติกำเนิด สติปัญญา และโอกาสก็ล้วนแต่เป็นปัจจัยกำหนดความสำเร็จในอนาคตของแต่ละคน วิสัยทัศน์ที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของเขาจึงไม่อาจทำได้จริง


ระหว่างที่ปรมาจารย์ขงอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาได้ก่อตั้งสภาปรมาจารย์ขึ้น แต่ระบบที่เขาวางไว้ในสภาปรมาจารย์ก็ถูกแทรกแซงจากความทะเยอทะยานของผู้ที่ปรารถนาจะไต่เต้าและยกสถานภาพของตัวเอง จากนั้นไม่นาน เขาก็สร้างอาณาจักรคุนฉื่อ แต่ดูเหมือนจะทำให้ยิ่งรู้ซึ้งว่าไม่มีทางที่โลกแห่งความเป็นจริงจะมีความเท่าเทียมและเสมอภาคกัน ดังนั้น หอนิรันดร์และตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจึงเกิดขึ้นตามมา


สำหรับที่นี่ ทุกคนจะต้องทิ้งตัวตนเก่าและทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมัน ด้วยตัวตนใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักและพละกำลังที่ทัดเทียมกัน ทุกคนจึงสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันได้


เพียงแค่ใช้ความคิด รูปลักษณ์ของจางเซวียนก็เปลี่ยนไป เขาดูเป็นคนธรรมดามากกว่าที่เคย จากนั้นจางเซวียนก็ลองกำหมัดและปล่อยพลังหมัดออกมา


เรี่ยวแรงของเขาเทียบเท่ากับนักรบระดับเซียนขั้น 1 เท่านั้น


พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้นักรบคนหนึ่งจะทรงพลังแค่ไหน เมื่ออยู่ที่นี่ก็ไม่อาจสำแดงพละกำลังได้มากกว่านักรบระดับเซียนขั้น 1


จางเซวียนใช้เวลาทดสอบร่างใหม่ของเขาระยะหนึ่ง แต่โชคดีที่ดูเหมือนพื้นฐานของร่างใหม่กับกายเนื้อตัวจริงของเขาจะไม่ต่างกัน เขาตั้งต้นออกเดิน ไม่ช้าพระราชวังขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า


หอนิรันดร์, เมืองแสงดาว!


เมืองแสงดาวเป็นเมืองขั้น 2 และดูเหมือนเมืองชวนเจียงจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของที่นี่ จางเซวียนหวนนึกถึงคำบอกเล่าของตั้นเฉี่ยวเทียน เขาส่ายหัว “เป็นโครงข่ายอาณาจักรเลยทีเดียว…”


หากใช้กรรมวิธีตามแบบโลกใบเก่าของเขา ก็ถือว่ามีช่องทางการติดต่อเฉพาะในเมืองที่มีสาขาของหอนิรันดร์ตั้งอยู่เท่านั้น และเพราะไม่มีสาขาในเมืองชวนเจียง ใครก็ตามที่พยายามจะเข้าถึงหอนิรันดร์จากที่นั่นจึงต้องหาช่องทางการติดต่อเพื่อเข้าสู่เมืองแสงดาวให้ได้


จางเซวียนผลักประตูและเดินเข้าไปในพระราชวัง ฝูงชนกลุ่มใหญ่ปรากฏต่อหน้าต่อตาทันที


ก็เหมือนการเล่นเกมสังคมออนไลน์ในชีวิตเก่าของเขา ถึงทุกคนจะมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไป แต่ก็มีความแข็งแกร่งเท่ากัน แต่ละคนอาจมาจากคนละท้องถิ่น แต่ในเวลานั้น พวกเขาจับกลุ่มกันเพื่อแลกเปลี่ยนภูมิปัญญาเกี่ยวกับวรยุทธ หรือแม้แต่เจรจาต่อรองเรื่องธุรกิจสำคัญ


ตอนที่ 1923 สังเวียนประลอง

ด้วยการแบ่งปันความรู้ผ่านระบบที่กำหนดไว้ ข้อมูลข่าวสารจึงแพร่กระจายได้รวดเร็ว บางที นี่อาจเป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนมิติเบื้องบนให้กลายเป็นบางสิ่งที่คล้ายกับยุคดิจิตอลในโลกใบเก่าของเขา


หลังจากเฝ้าสังเกตด้วยความอยากรู้อยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็นึกได้ว่าเรื่องด่วนที่สุดตอนนี้คือต้องเยียวยาอาการบาดเจ็บเสียก่อน เขาจึงมุ่งหน้าไปยังเคาน์เตอร์รับรองของหอนิรันดร์และเรียกหาเจ้าหน้าที่


“คุณมียาเม็ดฟื้นฟูสภาพร่างกายไหม? ผมอยากซื้อสักหน่อย”


“ไม่ทราบว่าคุณอยากได้ยาเม็ดขั้นไหน?”


เจ้าหน้าที่เป็นชายหนุ่มในเครื่องแบบ หน้าตาหล่อเหลามาก แน่นอนว่าไม่น่าใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริง สิ่งนี้ก็เหมือนกับการที่ผู้คนมากมายชอบใช้รูปคนเด่นคนดังมาเป็นรูปโปรไฟล์ออนไลน์ของตัวเอง


“ผมอยากได้ยาที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ” จางเซวียนตอบ


ระหว่างทางที่มา เขาได้ศึกษาระดับขั้นของวรยุทธที่ใช้กันในมิติเบื้องบน ดูเหมือนวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณจะมี 4 ขั้น ซึ่งชื่อของขั้นเหล่านั้นก็เหมือนกันกับทวีปแห่งปรมาจารย์ ส่วนที่เหนือไปกว่าระดับนักปราชญ์โบราณ แม้แต่ตั้นเฉี่ยวเทียนก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร จึงไม่อาจไขข้อข้องใจของจางเซวียนได้


“เรามียาเม็ดไม้ขาวและยาเม็ดตะวันสีน้ำเงิน” ชายหนุ่มพูดขณะยื่นขวดหยก 2 ใบให้จางเซวียน


จางเซวียนรับขวดหยกทั้ง 2 ใบมาเปิดจุกออกแล้วตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน อดทึ่งไม่ได้กับความละเอียดลออของโลกที่ปรมาจารย์ขงสร้างขึ้น เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังอยู่ในโลกเสมือนจริง แต่พลังจิตวิญญาณและคุณสมบัติทางยาที่อยู่ในยาเม็ดทั้ง 2 ชนิดกลับดูเหมือนจริงและจับต้องได้จนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่ามันอาจมีอยู่จริงๆ


แต่เราไม่เคยได้ยินชื่อยาเม็ด 2 ชนิดนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าชนิดไหนจะเป็นประโยชน์กับเรามากกว่า…


ลงท้าย มิติเบื้องบนกับทวีปแห่งปรมาจารย์ก็เป็นโลกสองใบที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงทั้งสองแห่งจะมีนักปรุงยา แต่เทคนิคและทักษะของพวกเขาก็แตกต่างกันมาก จางเซวียนจึงประเมินคุณสมบัติการเยียวยาของยาเม็ดทั้ง 2 ชนิดนี้ไม่ได้ เขากำลังจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ ก็พอดีกับที่เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา


จางเซวียนใช้นิ้วแตะเบาๆบนยาเม็ดไม้ขาวและพึมพำ “ข้อบกพร่อง!”


ในเมื่อเขาใช้จิตวิญญาณเปิดใช้งานหอสมุดเทียบฟ้าได้ แล้วจะใช้มันที่นี่ได้หรือเปล่า?


วิ้ง!


หัวสมองของจางเซวียนกระตุก หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏในหอสมุดเทียบฟ้า


ใช้ได้นี่! จางเซวียนตาโตด้วยความดีใจ


แม้ยาเม็ดเหล่านี้จะไม่ใช่ยาจริงๆ แต่ดูเหมือนหอสมุดเทียบฟ้าจะรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่ในหอนิรันดร์เพื่อวิเคราะห์จุดเด่นและจุดด้อยของยาเม็ดได้ ก่อนจะประมวลออกมาเป็นหนังสือ


“ยาเม็ดไม้ขาว มีหญ้าไม้ขาวเป็นส่วนผสมหลัก ให้ผลดีเยี่ยมในการเยียวยาจิตวิญญาณที่บอบช้ำของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ…”


“ยาเม็ดตะวันสีน้ำเงิน มีเลือดของอสูรระดับเซียนเป็นส่วนผสมหลัก ให้ผลดีเยี่ยมในการเยียวยาอาการบาดเจ็บทางร่างกายและฟื้นฟูพลังปราณ…”


ความบอบช้ำของเราอยู่ที่กายเนื้อและพลังปราณ เพราะฉะนั้นเราควรเลือกยาเม็ดตะวันสีน้ำเงิน!


หลังจากตัดสินใจแล้ว จางเซวียนก็แจ้งความจำนงกับเจ้าหน้าที่


“สนนราคาของยาเม็ดตะวันสีน้ำเงินอยู่ที่เม็ดละ 20,000 เหรียญนิรันดร์ ไม่ทราบว่าคุณจะชำระค่ายาด้วยวิธีไหน? มีบัตรนิรันดร์หรือเปล่า?” เจ้าหน้าที่ตั้งคำถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


“20,000 เหรียญนิรันดร์?” จางเซวียนเลิกคิ้ว


เขาไม่มีเหรียญนิรันดร์อยู่กับตัวสักเหรียญ ดังนั้น 20,000 นิรันดร์จึงไกลเกินเอื้อม อีกอย่าง ไอ้บัตรนิรันดร์บ้าบอนี่คืออะไร?


จางเซวียนเพิ่งฟื้นได้ราว 4 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ก็พอรู้อานุภาพการจับจ่ายของเหรียญนิรันดร์ หากตั้นเฉี่ยวเทียนขายบ้านพักที่เขาอาศัยอยู่ ก็จะได้ราคาราว 5,000 เหรียญนิรันดร์เป็นอย่างมาก นั่นหมายความว่าบ้านทั้งหลังของตั้นเฉี่ยวเทียนมีมูลค่าเพียง 1 ใน 4 ของยาเม็ดตะวันสีน้ำเงินเท่านั้น…


ได้เวลาหาเงินอีกแล้วสิ จางเซวียนกุมขมับอย่างปวดใจ


เขาเคยขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์มาแล้ว มีอำนาจการจับจ่ายมากกว่าใครๆ เคยคิดว่าในที่สุดก็หลุดพ้นจากความยากจนเสียที ไม่มีวันต้องกังวลเรื่องเงินอีก แต่ในชั่วพริบตาก็ถูกลดชั้นกลับไปเป็นไอ้หนุ่มไส้แห้งเหมือนอย่างเคย น่าสมเพชเสียจริง!


จางเซวียนพลันนึกถึงช่วงเวลาที่เขาเคยปลอมตัวเป็นปรมาจารย์หยางและเที่ยวมอบคำชี้แนะให้ใครต่อใครเพื่อหาเงินมารักษาจ้าวหย่า หรือว่าเขาจะต้องทำแบบเดียวกันในมิติเบื้องบนแห่งนี้?


แม้การปลอมแปลงตัวตนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ด้วยนิสัยนอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัวของเขา ไม่มีอะไรในโลกที่เขาเบื่อหน่ายมากไปกว่าการโชว์ออฟ!


จางเซวียนถอนหายใจอย่างหมดปัญญา เขาเงยหน้ามองเจ้าหน้าที่ก่อนจะตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่าสำหรับที่นี่ ต้องใช้วิธีไหนถึงจะหาเงินได้เร็วๆ?”


“หาเงิน?” คำนั้นทำให้เจ้าหน้าที่รู้ทันทีว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าไม่มีปัญญาจ่ายค่ายาเม็ดตะวันสีน้ำเงิน แม้เขาจะไม่แสดงความรู้สึกออกนอกหน้า แต่แววตาอบอุ่นนั้นก็ดูจะเย็นชาไปเล็กน้อย


เขานึกว่าอีกฝ่ายเป็นหมูตัวใหญ่ ถามหายาเม็ดราคา 20,000 เหรียญนิรันดร์ทันทีที่เดินเข้ามา แต่กลับกลายเป็นว่าหมอนี่จนกรอบ!


“วิธีหาเงินที่ง่ายที่สุดคือการเข้าร่วมการดวลที่สังเวียนประลองของเมือง” เจ้าหน้าที่ตอบด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ขอแค่คุณไม่ออกจากสังเวียนประลอง จำนวนเงินที่คุณหาได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในแต่ละรอบที่ผ่านไป รอบแรก, คุณจะได้เงินจำนวน 100 เหรียญนิรันดร์ และจะเพิ่มเป็น 200 เหรียญนิรันดร์ในรอบสอง, 400 เหรียญนิรันดร์ในรอบสาม, และเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เบ็ดเสร็จแล้ว หากคุณไม่แพ้ ก็จะได้เหรียญนิรันดร์มาอย่างรวดเร็ว!”


“ถ้าคุณเอาชนะการดวลได้ถึง 8 รอบติดต่อกัน ก็จะได้เงินมากพอจ่ายค่ายาเม็ดตะวันสีน้ำเงิน”


“เข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้า


ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจผิด จริงอยู่ว่าระดับวรยุทธที่ถูกจำกัดไว้แค่นักรบระดับเซียนขั้น 1 เป็นสิ่งที่ลดทอนความเหลื่อมล้ำเรื่องพละกำลังของเหล่านักรบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะทรงพลังทัดเทียมกัน ซึ่งปัจจัยที่กำหนดความแตกต่างก็คือการตีความวรยุทธ สไตล์การต่อสู้ ปฏิกิริยาตอบสนอง…แต่ละอย่างส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แตกต่างกันไป แม้ทุกคนจะมีปริมาณของพลังปราณเท่ากันก็ตาม มันเป็นมากกว่าการทดสอบทักษะและเทคนิคการต่อสู้


อีกอย่าง เพียงเพราะทุกคนถูกจำกัดวรยุทธไว้ในระดับเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่านักรบระดับเซียนจะเอาชนะนักรบระดับนักปราชญ์โบราณได้ ประสบการณ์การต่อสู้และการควบคุมปัจจัยต่างๆที่แม่นยำกว่าจะทำให้พวกเขาต่างกันอย่างสิ้นเชิง


หอนิรันดร์ไม่อาจลบความเหลื่อมล้ำระหว่างนักรบแต่ละคนได้ หรือบางทีมันก็ไม่ได้จงใจจะทำอย่างนั้น การลดทอนความแตกต่างเรื่องพละกำลังจะทำให้พวกเขาต้องหันมาใส่ใจเรื่องเทคนิคและทักษะมากขึ้น เป็นแรงผลักดันให้เหล่านักรบต้องหมั่นเพียรฝึกฝน


“ไม่ทราบว่าสังเวียนประลองอยู่ที่ไหน? ผมอยากเข้าร่วมการดวล” จางเซวียนถาม


“คุณลงทะเบียนที่นี่ได้เลย แต่ผมขอบอกคุณไว้ก่อนว่าคู่ต่อสู้ของคุณจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในแต่ละรอบที่คุณผ่านเข้าไป เพราะยิ่งคุณผ่านจำนวนรอบไปได้มากเท่าไหร่ คู่ต่อสู้ของคุณก็ผ่านมาแบบเดียวกัน” เจ้าหน้าที่พูด


“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า


โดยหลักการ สิ่งนี้ก็เหมือนกับการเล่นเกมจัดอันดับในโลกใบเก่าของเขา คู่ต่อสู้ที่ต้องเจอจะมีความแข็งแกร่งพอๆกัน เพื่อให้เกิดการดวลที่สมน้ำสมเนื้อ


แต่สำหรับที่นี่ ไม่ว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะเป็นใครก็ไม่ใช่ปัญหา เขาจะเล่นงานให้หมด!


เพราะถึงอย่างไรเขาก็เปิดใช้งานหอสมุดเทียบฟ้าได้ จึงไม่มีใครสามารถถือไพ่เหนือกว่า


“ถ้าอย่างนั้นก็ดี คุณต้องชำระค่าลงทะเบียนจำนวน 500 เหรียญนิรันดร์” เจ้าหน้าที่พูดต่อ


“500?” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ทำไมถึงแพงนัก?”


“หอนิรันดร์ไม่ได้จัดหาเฉพาะสถานที่สำหรับการประลอง เรายังบันทึกภาพและถ่ายทอดสดการประลองให้นักรบคนอื่นๆดูด้วย ทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องมีค่าธรรมเนียม” เจ้าหน้าที่อธิบาย


“แต่ผมไม่มี 500 เหรียญนิรันดร์หรอก ใช้ทรัพย์สมบัติที่ผมมีจ่ายแทนได้ไหม? หรือไม่อย่างนั้น คุณจะให้ผมยืมเงินก่อนได้หรือเปล่า? ผมจะคืนให้ 2 เท่าทันทีที่ผมชนะการประลอง” จางเซวียนเกาหัว อย่างกระอักกระอ่วนใจ


เงินทองคือศัตรูตัวฉกาจของวีรบุรุษ!


ในฐานะบุคคลที่ได้รับการยกย่องราวกับเทพเจ้าของทวีปแห่งปรมาจารย์ ช่างน่าอับอายเหลือเกินที่เขาไม่มีปัญญาจ่ายแม้แต่ 500 เหรียญนิรันดร์ ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป คงเป็นความอับอายขายหน้าครั้งใหญ่!


“ถ้าคุณไม่มีเงินจ่ายค่าลงทะเบียนล่ะก็ ผมขอแนะนำคุณว่าอย่าเข้ามายุ่งดีกว่า” เจ้าหน้าที่หมดความอดทนและตะคอกอย่างหงุดหงิด


คนที่ไม่มีปัญญาแม้แต่จะจ่าย 500 เหรียญนิรันดร์ แต่มาหาซื้อยาที่มีมูลค่าถึง 20,000 เหรียญ ดูเหมือนหมอนี่จะคิดว่าคงหาเงินจากการประลองได้ง่ายๆ เจ้าหนุ่มปัญญาอ่อนคนนี้มาจากไหน?


ซ้ำร้าย เขาจะไว้ใจได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายจะคืนเงินให้ในเมื่อไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ! ไม่มีทาง!


“เอ่อ…” เห็นความหงุดหงิดของเจ้าหน้าที่ จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของผมคงมีมูลค่ามากกว่า 500 เหรียญนิรันดร์นะ อย่างน้อยผมก็คงใช้มันเป็นค่าลงทะเบียนได้ ถูกไหม?”


ในเมื่อตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเป็นของหอนิรันดร์ ระบบก็น่าจะยอมรับ


“ผมคิดว่าคงใช้ได้ แต่ขอแนะนำคุณเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าคุณไม่มาชำระหนี้ภายในสามวันล่ะก็ ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของคุณจะถูกปิดกั้นทันที ทำให้คุณไม่อาจใช้งานมันได้อีก!” เจ้าหน้าที่ตอบ


ในเมื่อหอนิรันดร์อนุญาตให้เหล่านักรบเข้าสู่ที่นี่ได้โดยผ่านตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล ก็เป็นธรรมดาที่จะสามารถตัดช่องทางการติดต่อได้เช่นกัน


“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า


เมื่อเห็นว่าจางเซวียนเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามบอก ชายหนุ่มดำเนินกระบวนการตามคำขออย่างหงุดหงิด ครู่ต่อมาก็ยื่นบัตรใบหนึ่งให้


“นี่คือบัตรนิรันดร์ของคุณ ที่อยู่ในนั้นคือเงิน 500 เหรียญนิรันดร์ที่คุณยืมไป ทันทีที่คุณลงชื่อเข้าสู่การดวล เงินในนี้จะถูกดึงออกจากบัตรโดยอัตโนมัติ แต่รางวัลที่คุณจะได้เมื่อชนะการประลองก็จะถูกเก็บไว้ในบัตรนี้โดยอัตโนมัติเช่นกัน เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องกังวล!”


เมื่อเห็นว่าทุกกระบวนการเป็นไปโดยอัตโนมัติ จางเซวียนรู้สึกโล่งใจที่จะไม่ต้องเผชิญกับปัญหา หลายอย่าง เขารีบเก็บบัตรไว้ก่อนจะมุ่งหน้าสู่สังเวียนประลอง


ตอนที่ 1924 ชื่อของผมคือเจ้าโลก

ไม่มีสิ่งไหนจะทำให้นักรบคนหนึ่งพัฒนาตัวเองได้รวดเร็วเท่ากับการเข้าร่วมการต่อสู้จริงๆ เรื่องนี้เหมือนกันในทุกที่


แต่การเข้าร่วมการต่อสู้ก็มาพร้อมความเสี่ยง เพราะมีโอกาสที่นักรบจะได้รับบาดเจ็บหรือแม้แต่เสียชีวิต แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับหอนิรันดร์ ก็เพราะเหตุผลนี้ สังเวียนประลองจึงเป็นสถานที่โด่งดังที่เหล่านักรบพากันเดินทางมา


ขณะที่จางเซวียนใกล้ถึงที่หมาย ก็เห็นผู้คนกลุ่มใหญ่ออกันอยู่หน้าจอภาพที่มีลักษณะเหมือนคริสตัล ทุกคนดูตื่นเต้น


ในจอนั้นมีนักรบสองคนกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด ระดับวรยุทธของพวกเขาอาจเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 1 แต่การต่อสู้ก็ยังน่าตื่นเต้นแม้กับนักรบผู้ช่ำชอง กระบวนท่าของทั้งคู่เฉียบคมและผ่านการคิดคำนวณมาอย่างดี การเคลื่อนไหวที่แม่นยำของพวกเขาจัดว่าน่าทึ่ง แทบไม่มีกระบวนท่าไหนที่เสียเปล่า อีกทั้งเทคนิคการต่อสู้ที่พวกเขาสำแดงออกมาก็ส่งผลกระทบอันคาดไม่ถึงต่อทิศทางของการต่อสู้อยู่บ่อยครั้ง


“ราชาสลาตันเอาชนะได้ 5 รอบติดต่อกันแล้ว น่าทึ่งจริงๆ!”


“น่าทึ่งน่ะยังน้อยไป ความเข้าใจในเทคนิคการต่อสู้ของเขาจัดว่าน่าสะพรึงมาก ทุกกระบวนท่าที่แสดงออกมาแม่นยำถึงขีดสุด ไม่เปิดช่องให้คู่ต่อสู้เล่นงานเขาได้เลย!”


“ถ้าผมทำได้ขนาดนี้ก็พอใจแล้ว!”


“แค่ดูการต่อสู้ของเขาก็เพลินไม่น้อย ไม่เพียงเท่านั้นนะ ผมยังได้เรียนรู้เทคนิคบางอย่างจากเขา และนำไปใช้พัฒนาสไตล์การต่อสู้ของผมได้ด้วย”


…..


ผู้ชมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเซ็งแซ่


ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเป็นที่เสาะแสวงหาของเหล่านักรบในมิติเบื้องบนก็เพราะเหตุผลเหล่านี้ มันไม่ได้เป็นแค่ตลาดออนไลน์ แต่ยังเป็นสังเวียนใต้ดินที่สมบูรณ์แบบด้วย ไม่เพียงแต่บรรดานักสู้จะไม่ต้องกังวลเรื่องการได้รับบาดเจ็บ แม้แต่ผู้ชมก็ได้เรียนรู้ไม่น้อยจากการเฝ้าดูการต่อสู้นั้น


เพื่อความปลอดภัย จางเซวียนไม่รีบร้อนเข้าไปลงทะเบียนเข้าร่วมการดวล แต่เลือกจะชมการดวลของนักรบคนอื่นๆก่อนเพื่อประเมินมาตรฐานพละกำลังโดยเฉลี่ยของบรรดานักรบที่นี่


ด้วยข้อจำกัดของวรยุทธระดับเซียนขั้น 1 เทคนิคการต่อสู้ที่เหล่านักรบสำแดงออกมาได้จึงมีจำกัด ดังนั้น สิ่งที่เป็นตัวตัดสินแพ้ชนะก็คือระยะเวลาและความแม่นยำของการสำแดงเทคนิคต่างๆ บ่อยครั้งที่นักรบที่ตัดสินใจได้เฉียบขาดและสำแดงกระบวนท่าได้แม่นยำกว่าจะเป็นผู้ชนะ


เมื่อพอเข้าใจการดวลแล้ว จางเซวียนก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนและยื่นบัตรนิรันดร์ของเขา


“คุณจะใช้ชื่ออะไร? ใช้ฉายาได้นะ” สาวน้อยอายุราว 20 ปีที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ตั้งคำถาม


“ฉายา?” จางเซวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง


การประลองมักอนุญาตให้นักรบใช้ฉายาได้ เพื่อจะได้เรียกขานง่ายขึ้น


ในเมื่อสามารถปกปิดตัวตนได้ เราก็ไม่ควรใช้ชื่อจริง จางเซวียนคิด


การทำแบบนั้นก็เหมือนกับคนงี่เง่าในโลกใบเก่าของเขาที่ใช้ชื่อจริงของตัวเองบนอินเทอร์เน็ต


ขอคิดก่อน หยางชวน, ซุนฉาง, เซวียนจาง, หลัวเทียนหยา… ตัวตนที่จางเซวียนเคยใช้ในอดีตแวบเข้ามาในหัว ครู่ต่อมาเขาก็พูดออกไป “เรียกผมว่า…เจ้าโลก!”


“เจ้าโลก?” สาวน้อยพยักหน้าขณะจดชื่อลงในสมุดที่อยู่ตรงหน้าเธอ


ไม่ช้าจางเซวียนก็ได้คู่ดวล


“รอบต่อไป, เจ้าโลกปะทะนักซุ่มเงา!”


ท่ามกลางเสียงเชียร์กึกก้อง จางเซวียนเดินเข้าสู่สังเวียนประลอง


สังเวียนประลองเป็นรูปกลม มีปราการใสกั้นไว้โดยรอบ ผู้ชมสามารถชมการดวลได้ชัดเจนจากจอภาพที่อยู่รอบสังเวียน


คู่ต่อสู้ของจางเซวียนเป็นชายวัยกลางคนร่างผอม แม้จะเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 1 เหมือนกัน แต่อีกฝ่ายก็แผ่รังสีที่กดดันคู่ต่อสู้ออกมา


“ผมเคยได้ยินชื่อนักซุ่มเงามาก่อน ถึงนี่จะเป็นการดวลครั้งแรกของเขา แต่เขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจมาก”


“ก็จริง เมื่อครู่นี้ผมคุยกับเขา เราแลกหมัดกัน 2-3 ครั้ง ปฏิกิริยาตอบสนองและความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขาจัดว่าเหนือชั้น อย่างน้อยๆผมก็กะว่าวรยุทธของเขาน่าจะเทียบเท่ากับนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นกลาง!”


“เขาทรงพลังขนาดนั้นเลยหรือ? ที่หอนิรันดร์นี่มีผู้เชี่ยวชาญเยอะจริงๆ!”


“ดูเหมือนการดวลนัดนี้จะมีบางอย่างน่าสนใจ เพียงแต่ผมยังสงสัยว่าเจ้าโลกจะสู้ได้สมน้ำสมเนื้อหรือเปล่า!”


“อี๋ ฉายาของเขาดูกิ๊กก๊อกจัง ไม่น่าจะเก่งกาจนักหรอก!”


“ใช่ เจ้าโลกอะไรกัน? แค่ฟังชื่อก็ไม่ไหวแล้ว!”


เป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินตัวตนของคนๆหนึ่งผ่านตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยการพูดคุยสัพเพเหระและการแลกหมัด ก็พอจะกะประมาณพละกำลังที่แท้จริงและระดับของนักรบผู้นั้นได้คร่าวๆ หากอีกฝ่ายไม่จงใจปกปิดไว้


ผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับนักซุ่มเงาล้วนแต่รู้ดีว่าเขาเป็นนักรบที่ทรงพลังไม่เบา จึงไม่มีใครให้ความสำคัญกับคู่ต่อสู้ของนักซุ่มเงามากนัก


“เริ่มเถอะ!” นักซุ่มเงาจ้องชายหนุ่มที่ประจันหน้ากับเขาและเย้ยหยัน “ผมจะออมมือให้!”


เขาตั้งใจจะใช้โอกาสนี้สร้างชื่อเสียงของตัวเองให้กระฉ่อนในหอนิรันดร์


ก็เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้วยการได้ชัยชนะติดต่อกันหลายครั้ง เขาจะทำแบบเดียวกัน และทำให้ฉายานักซุ่มเงาโด่งดังเลื่องลือไปทั่วทั้งหอนิรันดร์ให้ได้


ส่วนจางเซวียนก็กวักมือ “งั้นก็เริ่มเลย!”


นักซุ่มเงากระทืบเท้าเบาๆก่อนจะพุ่งเข้าใส่จางเซวียนด้วยท่วงท่าที่ดูประหลาด ทำให้ร่างของเขาดูคล้ายกับภาพลวงตา


เห็นกระบวนท่าของอีกฝ่าย จางเซวียนพยักหน้า


แม้วิชาชีพต่างๆในมิติเบื้องบนจะไม่ได้รับการพัฒนาเหมือนในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ความเข้าใจในเทคนิคและทักษะการต่อสู้ของคนที่นี่เหนือชั้นกว่าอย่างชัดเจน


นักรบทุกคนที่นี่สามารถรับมือกับเหล่าปรมาจารย์คนไหนก็ได้ในสภาปรมาจารย์!


เราจะเอาชนะแบบปรู๊ดปร๊าดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงหาคู่ต่อสู้คนต่อไปได้ยาก จางเซวียนคิด


ถึงกระบวนท่าของนักซุ่มเงาจะดูล้ำลึก แต่จางเซวียนก็เห็นข้อบกพร่องอย่างน้อย 8 ข้อโดยไม่ต้องใช้หอสมุดเทียบฟ้า การเอาชนะอีกฝ่ายย่อมง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก


แต่นี่คือการดวลที่เปิดเผยต่อสาธารณชน หากเขาเอาชนะได้ในกระบวนท่าเดียว ก็คงหาคู่ต่อสู้คนต่อไปได้ลำบาก และถ้าไม่มีคู่ต่อสู้ จะได้เงินมาจากไหน?


ถ้าวันนี้เขาหาเงินได้ไม่มากพอ ศิษย์สายตรงคนที่ 10 ที่เขาเพิ่งรับไว้คงต้องตายภายในคืนนี้!


เมื่อคิดสะระตะแล้ว จางเซวียนรี่เข้าใส่เพื่อแลกหมัดกับคู่ดวลของเขา


พลั่ก! พลั่ก! ตุ้บ!


ในชั่วพริบตา เขาก็ปะทะกับนักซุ่มเงา


“อ้อ? ดูเหมือนเจ้าโลกก็ไม่เหยาะแหยะเท่าไหร่นะ!”


“กระบวนท่าเมื่อครู่นี้ของนักซุ่มเงาคือฝีเท้ากระชากมิติใช่ไหม? นักรบระดับเซียนขั้น 1 สำแดงเทคนิคการต่อสู้ที่ทรงพลังขนาดนี้ได้ด้วยหรือ?”


“นั่น…ฝ่ามือพเนจรหรือเปล่า? มีพลังมากขนาดนี้เลย?”


“การใช้สองกระบวนท่านี้ถือว่าฉลาดมาก แต่เจ้าโลกก็หลบได้สบาย…หมอนั่นแค่ดวงดี หรือว่ามีดีจริงๆ?”


…..


เมื่อการดวลเริ่ม ทุกคนพากันคิดว่าคงเป็นการเล่นงานฝ่ายเดียว แต่เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นไปตามคาด ต่างคนค่อยๆตาโตขึ้นทีละน้อยด้วยความทึ่ง


ก็เหมือนอย่างที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ นักซุ่มเงาเป็นนักรบที่ทรงพลังจริงๆ ทุกกระบวนท่าของเขา ปลดปล่อยเรี่ยวแรงมหาศาลออกมา แต่แม้กระบวนท่าของเจ้าโลกจะธรรมดากว่าและออกจะสับสนเล็กน้อย แต่เขาก็หลบทุกการโจมตีของนักซุ่มเงาได้ แถมยังหาโอกาสตอบโต้ได้ด้วย!


เรื่องนี้น่าสงสัยมาก


ถ้าเจ้าโลกแค่ดวงดี ก็คงไม่สามารถหลบการโจมตีของนักซุ่มเงาได้โดยเฉียดไปแค่ 1 มิลลิเมตรในทุกครั้ง แต่ถ้าเจ้าโลกจงใจทำแบบนั้น เขาจะต้องทรงพลังขนาดไหนถึงสร้างวีรกรรมเสี่ยงตายได้ ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน?


“ดูนั่น เจ้าโลกกำลังจะตอบโต้แล้ว!” ใครคนหนึ่งตะโกน


ในการแลกหมัด 10 ครั้งแรกหรือประมาณนั้น นักซุ่มเงาเป็นฝ่ายรุก ซึ่งเจ้าโลกก็ได้แต่ปัดป้อง แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป


นักซุ่มเงาพบว่าการโจมตีของเขาไม่อาจเข้าถึงตัวคู่ต่อสู้ เขาเริ่มหมดความอดทนทีละน้อย แล้วเจ้าโลกก็ใช้โอกาสนี้ควบคุมทิศทางการต่อสู้


ในตอนนั้น จางเซวียนหลบหลีกไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยพลังจากมือขวาออกไปอย่างปุบปับ ส่วนนักซุ่มเงาก็ดูจะคาดการณ์การโจมตีครั้งนี้ไว้แล้วและตอบโต้ทัน เขาปล่อยพลังจากมือซ้ายออกไป รับมือกับการโจมตีของอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล


เมื่อพลังจากสองฝ่ามือปะทะกัน เจ้าโลกถอนมือขวากลับอย่างกะทันหันและปล่อยพลังจากมือซ้ายออกไปแทน ยังไม่ทันที่ใครจะรู้ตัว เจ้าโลกก็เล่นงานแผงอกของนักซุ่มเงาได้อย่างจัง


ใครจะคิดว่าพลังจากฝ่ามือขวาก่อนหน้านี้เป็นแค่กลลวง?


“สลับไปมาระหว่างการสับขาหลอกกับการโจมตีของจริงได้อย่างลื่นไหล…แม้แต่เจ้าเมืองแสงดาวก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้ จริงไหม?”


“คุณสบประมาทเจ้าเมืองแสงดาวมากไปแล้วล่ะ ผมเคยชมการดวลของเขาหลายครั้งเมื่อ 2-3 ปีก่อน ซึ่งเขาก็ใช้กระบวนท่านี้ สิ่งที่ดูเหมือนการสับขาหลอกจะกลายเป็นการโจมตีของจริงทันทีหากคู่ต่อสู้ไม่ทันระวัง กระบวนท่าแบบนี้ต้องอาศัยความสามารถในการควบคุมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางสำแดงและถอนพละกำลังได้อย่างลื่นไหล นักรบมากมายนับไม่ถ้วนปรารถนาจะร่ำเรียนเทคนิคนี้ แต่น้อยคนเหลือเกินที่จะเข้าใจจนถึงขั้นนำมาใช้ในการต่อสู้จริงๆได้ ผมฝึกฝนเทคนิคนี้มากว่า 3 ปีแล้ว ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะใช้มันได้อย่างปลอดภัย แต่เจ้าโลกกลับควบคุมมันได้อย่างง่ายดาย”


“น่าสะพรึงเหลือเกิน! ผมถอนคำพูดก็แล้วกัน เจ้าโลกคือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง!”


“หรือว่าเขาคือเจ้าเมืองแสงดาวปลอมตัวมา?”


“จะเป็นแบบนั้นได้ไง? ผมรู้ฉายาที่ท่านเจ้าเมืองใช้ในการดวล ซึ่งไม่ใช่ชื่อนี้ คนที่ชนะการดวลมานับครั้งไม่ถ้วนอย่างท่านเจ้าเมือง ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปลอมตัวเป็นนักรบระดับล่างที่ยังไม่เคยชนะแม้แต่นัดเดียวหรอก จริงไหม?”


…..


ความสามารถในการสลับไปมาระหว่างการสับขาหลอกกับการโจมตีของจริงอาจดูไม่ยากเย็นอะไร แต่ทั่วทั้งเมืองแสงดาว มีนักรบเพียงไม่ถึงหยิบมือที่ทำได้ จึงเป็นธรรมดาที่บรรดาผู้ชมจะพากันตกตะลึงเมื่อเห็นนักรบที่ไม่มีใครรู้จักสำแดงความเก่งกาจระดับนี้ออกมา


พลั่ก!


นักซุ่มเงาเซถอยหลังไปหลายก้าว เลือดซึมออกจากมุมปาก


แม้จะไม่มีนักรบคนไหนต้องเสียชีวิตจริงๆในหอนิรันดร์ แต่ก็ยังต้องเผชิญกับการบาดเจ็บหรือการกระอักเลือดหลังจากได้รับความบอบช้ำ มันคือการยืนยันความสมจริง


“ผมแพ้แล้ว…” รู้ดีว่ามีแต่จะย่อยยับกว่านี้หากปล่อยให้การดวลดำเนินต่อไป นักซุ่มเงาประกาศยอมรับความพ่ายแพ้


เขาตั้งใจจะใช้โอกาสนี้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง แต่ใครจะไปรู้ว่าจะแพ้ตั้งแต่นัดแรก?


จากนั้น เสียงของสาวน้อยก็ดังขึ้นจากด้านนอก “คุณจะดวลรอบต่อไปหรือออกจากสังเวียน?”


เมื่อผ่านรอบแรกไปได้ นักรบจะต้องตัดสินใจว่าจะสู้ต่อหรือล้มเลิก


“ผมจะเข้าสู่รอบสอง” จางเซวียนตอบอย่างไม่ลังเล


ถึงเขาจะใช้พละกำลังไปพอประมาณในการต่อสู้ที่ผ่านมา แต่ก็ยังเหลือเรี่ยวแรงอีกมาก อีกอย่าง เขายังได้เงินไม่มากพอจะซื้อยาเม็ดตะวันสีน้ำเงินเลย จะให้ถอยได้อย่างไร?


ไม่ช้าจางเซวียนก็ได้คู่ต่อสู้คนใหม่ คราวนี้คู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่มือสมัครเล่น แต่เป็นนักสู้ผู้ช่ำชองที่ผ่านการดวลมาแล้วหลายครั้ง


คู่ต่อสู้ของเขาดูจะรู้ว่าจางเซวียนไม่ใช่ไก่อ่อน ทันทีที่เริ่มดวล อีกฝ่ายก็พุ่งเข้าใส่และปล่อยการโจมตีออกมาเป็นชุดอย่างไม่ลดละ ตั้งใจจะข่มจางเซวียนให้ได้ตั้งแต่แรก


สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนไม่มีทางเลือกนอกจากหลบหลีกไปเรื่อยๆ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องยื้อระยะเวลาการดวลออกไปบ้าง เพื่อไม่ให้คู่ต่อสู้คนต่อไปต้องขยาด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)