อัจฉริยะสมองเพชร 1914-1917

 ตอนที่ 1914 แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว

จางเซวียนค่อยๆฟื้นคืนสติด้วยอาการหัวหมุนติ้ว สิ่งแรกที่เขาเห็นคือเพดานสีขาว หลังจากสำรวจโดยรอบอย่างรวดเร็ว ก็พบว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องที่ค่อนข้างกว้างใหญ่


พละกำลังของเรา…


จางเซวียนค่อยๆลุกขึ้นนั่ง เจ็บปวดแสนสาหัสในทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว เขาเพ่งมองร่างกายของตัวเองและพบว่ามันถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลอย่างแน่นหนา จางเซวียนพยายามขับเคลื่อนพลังปราณ แต่ก็รู้ทันทีว่าพลังปราณที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายของเขานั้นต่ำมาก


ทำไมพลังปราณของเราถึงหนักอึ้งแบบนี้?


จางเซวียนตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน และพบว่าพลังปราณของเขาหนักอึ้งขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แค่จะขับเคลื่อนมันก็สร้างความตึงเครียดอย่างหนักแล้ว


จางเซวียนรู้สึกได้ทันทีว่าพลังปราณของเขาไม่ได้อยู่ในระดับต่ำ แต่พลังปราณปริมาณมหาศาลที่เขาเคยสะสมไว้ก่อนหน้านี้ได้แปรสภาพกลายเป็นพลังปราณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท


จริงอยู่ว่าพลังปราณที่เข้มข้นกว่าจะทำให้เขามีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าเดิม แต่ปัญหาก็คือแม้แต่จะขับเคลื่อนมันเขาก็ยังทำไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงการใช้มันเยียวยาอาการบาดเจ็บ


จางเซวียนรีบทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้


เราเข้าสู่ทางเดินที่นำไปสู่มิติเบื้องบน แต่แล้วก็ถูกสายฟ้าขวางทาง เราพยายามหาทางหนีให้พ้นมัน แต่ก็มาปะทะกับสายฟ้าอีกสายหนึ่ง และสุดท้ายก็สลบไป…


เมื่อเห็นสภาพย่ำแย่ของร่างกายและได้ความทรงจำก่อนอุบัติเหตุครั้งนั้นกลับคืนมา จางเซวียนหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ


หรือว่า…เราอยู่ในมิติเบื้องบนแล้ว?


ในเมื่อเขาสลบไปที่ทางเดินนั้น ก็คิดว่าน่าจะตื่นมาและคลำทางอยู่ตรงนั้นอย่างไร้จุดหมาย แต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว ก็มานอนอยู่ในห้องพร้อมกับมีผ้าพันแผลพันทั่วร่าง หรือว่าเขาผ่านอาณาเขตของสายฟ้ามาได้ด้วยวิธีการบางอย่าง และเข้าสู่มิติเบื้องบนได้สำเร็จ?


ความคิดนั้นทำให้จางเซวียนรีบเหลียวมองไปรอบๆ เขาพยายามปลดปล่อยการรับรู้จิตวิญญาณออกไป แต่แล้วก็ต้องอ้าปากค้าง


ที่ผ่านมา การรับรู้จิตวิญญาณของเขาแผ่ออกไปได้มากกว่าหลายล้านลี้ แต่ตอนนี้ มันถูกกักขังไว้ในร่างกาย ไม่สามารถแผ่ออกมาได้ไม่ว่าเขาจะผลักดันมันจะแค่ไหน


แรงกดดันของมิติที่นี่ช่างน่าทึ่งเหลือเกิน!


ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าเขาอยู่ในมิติเบื้องบน ซึ่งไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเปิดใช้การรับรู้จิตวิญญาณได้ แม้กระทั่งประสิทธิภาพในการต่อสู้ก็ถูกสกัดกั้นไว้ อันที่จริง ขนาดการเคลื่อนไหวแบบธรรมดาๆก็ยังถูกยับยั้งไว้อย่างรุนแรงจากแรงกดดันอันหนักหน่วงของมิติ


โครกกกกก!


ในตอนนั้น เสียงครางดังสนั่นก้องออกมาจากท้องของจางเซวียน เขากำลังหิว


นับตั้งแต่ได้เป็นนักรบเหนือมนุษย์ จางเซวียนสามารถรักษาสภาพร่างกายไว้ได้เพียงแค่ใช้การซึมซับพลังจิตวิญญาณและการฝึกฝนวรยุทธ ส่วนจะได้กินอาหารหรือไม่นั้นไม่สำคัญ นี่เป็นครั้งแรก ในช่วงระยะเวลาอันยาวนานที่เขารู้สึกหิวมาก ราวกับร่างกายว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหลับตา รู้สึกได้ว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบเต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท ในแง่ของความเข้มข้น มันเข้มข้นกว่าที่เขาเคยสัมผัสบริเวณแท่นบูชาที่อาณาจักรคุนฉื่ออย่างน้อยก็ 10 เท่า


จางเซวียนพยายามซึมซับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทนั้นเพื่อขัดเกลาพลังปราณและเยียวยาอาการบาดเจ็บ แต่ครู่ต่อมา ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำและกระอักเลือดกองใหญ่ออกมา


จางเซวียนไออย่างหนักติดกันชุดใหญ่ เขาต้องตบหน้าอกหลายครั้งกว่าที่อาการแน่นหน้าอกจะค่อยบรรเทาลง


ตอนที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาสามารถใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายต้านทานแรงตีกลับจากการซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทได้ แต่เมื่อตอนนี้ทั้งร่างกายและทางเดินพลังปราณกำลังบอบช้ำ ลำพังแค่การซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทก็ทำให้เขารู้สึกเหมือน ทั้งร่างจะพังแล้ว ส่วนการจะผสานมันเข้ากับร่างกายนั้นไม่ต้องพูดถึง


ดูเหมือนเราควรจะลองอีกครั้งหลังจากที่อาการบาดเจ็บดีขึ้นสักหน่อย…จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขารู้ดีว่าหากไม่อดทนก็จะไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย จึงตัดสินใจปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามยถากรรม


แต่ถึงอย่างนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าจางเซวียนไม่สามารถขับเคลื่อนพลังปราณได้เลย อีกทั้งความบอบช้ำรุนแรงที่ร่างกายของเขาต้องเผชิญ ก็หมายความว่าเขาแทบไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาสามัญ เขาต้องระมัดระวังตัวจนกว่าจะฟื้นคืนพละกำลังดังเดิม


“อันดับแรก เราต้องหาอะไรกินก่อน” จางเซวียนพึมพำขณะคลื่นความหิวอีกระลอกถาโถมเข้าใส่


เขากระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ลูบท้องก่อนจะพยายามคืบคลานออกจากห้อง


จางเซวียนผลักประตูออก เขาได้ยินเสียงลมวู่หวิวกรีดก้องอยู่ในอากาศ เมื่อหันไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งถือดาบเหล็กไว้ในมือและกำลังสำแดงศิลปะเพลงดาบ แม้กระบวนท่าของเขาจะไม่ได้หรูหราอลังการนัก แต่ก็มีความงดงามน่ามอง


สิ่งหนึ่งที่เตะตาจางเซวียนทันทีก็คือขาซ้ายของชายหนุ่มคนนั้นซึ่งแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ บอกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บหรือเป็นสภาพร่างกายที่เป็นมาแต่กำเนิด แต่มันเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวของเขามาก


พื้นฐานของเขาไม่เลว แต่ศิลปะเพลงดาบยังอ่อนด้อยอยู่มาก…จางเซวียนขมวดคิ้ว


หากนำตัวปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวสักคนหนึ่งจากทวีปแห่งปรมาจารย์มา ศิลปะเพลงดาบของปรมาจารย์ผู้นั้นก็ยังลึกซึ้งกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาเสียอีก แต่ด้วยการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มที่เป็นไปอย่างยากลำบาก เรื่องนี้ก็ถือว่าพอรับได้


จางเซวียนถอนหายใจเบาๆ ดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มในทันที เขาหยุดการฝึกฝนศิลปะเพลงดาบและหันหน้ามา เมื่อเห็นจางเซวียน สีหน้าของเขาก็บ่งบอกความดีใจขณะพูดว่า “คุณฟื้นแล้ว!”


จางเซวียนพินิจพิจารณาอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน ชายหนุ่มดูเหมือนจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย รูปร่างไม่สูงนัก เตี้ยกว่าจางเซวียนประมาณศีรษะหนึ่ง หากใช้มาตรวัดจากโลกเก่าของเขา ชายหนุ่มน่าจะสูงราว 1.6 เมตร มีปานแดงโดดเด่นที่กินเนื้อที่กว่าครึ่งแก้มอยู่บนแก้มซ้ายของเขา ปิดบังใบหน้าส่วนหนึ่งไว้


ในแง่ของหน้าตา ชายหนุ่มไม่อาจเทียบได้กับคำว่า ‘หล่อเหลา’ อันที่จริง เขาออกจะดูน่าเกลียดน่ากลัวสักหน่อยเสียด้วยซ้ำ


“ขอบคุณมากที่ช่วยชีวิตผม” จางเซวียนประสานมือ


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ผมบังเอิญเห็นคุณเข้า ก็เลยนำตัวคุณกลับมา บาดแผลของคุณน่ะสาหัสนะ ผมนึกว่าคุณจะตายเสียแล้ว แต่ดูเหมือนคุณจะฟื้นตัวได้เอง…” ชายหนุ่มเกาหัวอย่างงุนงงขณะพูดออกมา


คำพูดของเขาออกจะกระอักกระอ่วนเล็กน้อย บ่งบอกว่าเขาไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกมากนัก


“นายน้อยที่ 3…”


ในตอนนั้น ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในลานบ้าน เมื่อเห็นจางเซวียน เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะโค้งคำนับเพื่อทักทาย “คุณ ดูเหมือนในที่สุดคุณก็ฟื้นแล้ว!”


จางเซวียนหันกลับไปพยักหน้ารับ


เขาประเมินผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน และเห็นทันทีว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายเปรอะเปื้อน เลอะรอยน้ำมันเป็นดวงๆ ที่มุมปากมีบาดแผลเล็กน้อย มีรอยเลือดปรากฏ แก้มทั้งสองข้างก็ฟกช้ำ เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งถูกใครบางคนซ้อมมา


ชายหนุ่มพิการที่ได้รับการเรียกขานว่านายน้อยที่ 3 หันหน้าไปมอง ทันทีที่เห็นสภาพของผู้อาวุโส ก็หน้าถอดสีด้วยความประหลาดใจ เขารีบเข้าไปถามอย่างเป็นห่วง “ผู้อาวุโสอี้ เกิดอะไรขึ้น?”


“ไม่มีอะไรหรอก นายน้อยที่ 3” ผู้อาวุโสอี้ตอบแบบไม่เต็มปาก


ชายหนุ่มยังคงจับจ้องผู้อาวุโสอย่างถี่ถ้วน เห็นได้ชัดว่าไม่คล้อยตามคำพูดของอีกฝ่าย สุดท้ายผู้อาวุโสอี้ก็ยอมแพ้การจับจ้องของชายหนุ่มและพูดว่า “นายหญิงน้อยที่ 2 ของท่านเจ้าเมืองมาที่นี่”


“เฉว่ชิงอยู่ที่นี่หรือ?”


ข่าวที่ได้รับทำให้นัยน์ตาของชายหนุ่มพิการเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น


“ใช่…” เห็นทีท่าของชายหนุ่ม ผู้อาวุโสอี้หน้าแดงก่ำกว่าเดิม ดูเหมือนมีบางอย่างที่อยากพูด แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร


ชายหนุ่มพิการรู้สึกได้ทันทีถึงทีท่าผิดปกติของผู้อาวุโส เขาหุบยิ้มขณะตั้งคำถาม “การมาของเธอมีอะไรเกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บของคุณหรือเปล่า?”


“ในอีก 3 วันนับจากนี้ สำนักดาบเมฆเหินจะมาที่เมืองของเราเพื่อรับศิษย์สายตรงใช่ไหม?” ผู้อาวุโสอี้มีสีหน้าสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ด้วยเส้นสายของท่านเจ้าเมือง นายหญิงน้อยที่ 2 เฉว่ชิงได้รับโควต้าหนึ่งที่ล่วงหน้าแล้ว…”


“เธอได้รับโควต้าหนึ่งที่ล่วงหน้าหรือ?” ชายหนุ่มพิการหน้าตาสดชื่นด้วยความยินดี “นั่นไม่ใช่ข่าวดีหรือไง?”


แต่ทันทีที่พูดจบ ชายหนุ่มก็ก้มลงมองขาข้างซ้ายที่พิการของตัวเอง เขาหน้าสลดไป “ผมคิดว่าผมคงไม่มีโอกาสหรอก…”


“เมื่อได้โควต้า ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอจะต้องจากที่นี่ไปพร้อมกับพวกสำนักดาบเมฆเหินในอีก 3 วันนับจากนี้ เธอมาที่นี่เพื่ออำลาผมใช่ไหม?” ชายหนุ่มพิการส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่


“เธอ…เธอ…” ผู้อาวุโสลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนในที่สุดจะโพล่งความจริงออกมา “เธอมาที่นี่เพื่อขอยกเลิกการแต่งงานกับคุณ!”


“เธอตั้งใจจะยกเลิกการแต่งงาน?”


ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด ร่างของเขาโงนเงนและเกือบทรุดลงกับพื้น “เธอจะยกเลิกการแต่งงานกับผมเพียงเพราะกำลังจะได้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินอย่างนั้นหรือ?”


ไม่ว่าจะเป็นใคร การถูกคู่หมั้นปฏิเสธถือเป็นการหยามหน้ากันอย่างรุนแรง


ได้ยินบทสนทนาของชายหนุ่มกับผู้อาวุโส จางเซวียนเลิกคิ้ว


หญิงสาวผู้ฉลาดปราดเปรื่องคนหนึ่งเหยียดหยามคู่หมั้นของเธอด้วยการขอยกเลิกการแต่งงาน ชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บและเจ็บช้ำไม่รู้จะทำอย่างไร…


ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะพบเจอเรื่องแบบนี้ทันทีที่มาถึงมิติเบื้องบน


ชีวิตช่างน่าตื่นเต้นอะไรอย่างนี้!


ตอนที่ 1915 ตั้นเฉี่ยวเทียน

“ช่างมันเถอะ!” หลังจากคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มพิการส่ายหน้าอย่างเศร้าสร้อย “ผมไม่คู่ควรกับเธออยู่แล้ว ไม่ช้าไม่นานงานแต่งงานของเราก็คงล่ม…”


เพราะท่านปู่ของพวกเขาสนิทสนมกัน ทั้งสองจึงมีสัญญาใจต่อกันว่าจะหมั้นหมายหลานชายและหลานสาวของอีกฝ่ายเข้าด้วยกัน แต่เมื่อท่านปู่ของเขาเสียชีวิต ตระกูลของเขาก็เริ่มเสื่อมถอย จากนั้นชายหนุ่มก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งทำลายอวัยวะภายในของเขา ทำให้ไม่อาจฝึกฝนวรยุทธได้อีก ในเวลาเดียวกัน ขาข้างซ้ายก็พิการ ไม่ว่าจะเสาะหานายแพทย์มามากมายแค่ไหนก็ไม่มีใครรักษาได้


เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์สิ้นหวัง เขาจึงลงเอยด้วยการกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย


ยิ่งไปกว่านั้น รูปร่างหน้าตาของเขาก็ยังทำให้เขาขาดความมั่นใจ ด้วยความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ เขาจึงรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ


ความแตกต่างระหว่างทั้งสองมีแต่จะทำให้งานแต่งงานต้องล่มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องและหยิบกล่องหยกใบหนึ่งมา เขายื่นกล่องหยกใบนั้นให้ผู้อาวุโส


“นี่คือสัญญาการแต่งงานที่ผูกมัดความสัมพันธ์ของเราไว้ มอบมันให้เธอนะ และบอกเธอว่านับจากวันนี้ไปเราจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ผมหวังว่าเธอจะได้พบใครสักคนที่เหมาะสมกับเธอเร็วๆนี้” ชายหนุ่มพูด


“นายน้อยที่ 3…” ผู้อาวุโสอี้หน้าแดงก่ำ เขาเข้าใจความสำคัญของเรื่องนี้ดีและอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ยั้งปากไว้และพยักหน้า “ตามนั้น!”


เขาจะทำตัวขี้ขลาดแบบนี้หรือ? จางเซวียนกระพริบตาปริบๆ


เขาเคยคิดว่าชายหนุ่มคงจะอารมณ์เสียจนเกิดแรงผลักดันบางอย่างที่กระตุ้นให้ทำบางสิ่งที่น่าทึ่งออกมา แต่กลับตรงกันข้าม ชายหนุ่มกลับมอบสัญญาผูกมัดการแต่งงานกลับคืนง่ายๆแบบนั้น ไม่ต่างอะไรกับการยื่นหน้าออกไปให้คนอื่นเหยียบย่ำเล่น!


แม้จะเป็นคนนอก แต่จางเซวียนก็อดรนทนดูไม่ไหว


แต่เนื่องจากเขาเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวเสมอและเพิ่งมาถึงมิติเบื้องบนได้ไม่นาน จึงตัดสินใจไม่พูดอะไรบุ่มบ่าม


หลังจากได้รับสัญญาผูกมัดการแต่งงาน ผู้อาวุโสอี้ก็หันหลังกลับแล้วจากไป


ในลานบ้านอันเงียบงัน นายน้อยที่ 3 ชักดาบออกมาอย่างปุบปับ แล้วฟาดมันลงไปอย่างแรงบนหินก้อนหนึ่ง เกิดรอยบากลึกบนนั้น ดูเหมือนเขาสะเทือนใจไม่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแต่พยายาม ปกปิดความรู้สึกไว้เพื่อไม่ให้ผู้อาวุโสอี้เป็นห่วง


จากพละกำลังที่อีกฝ่ายสำแดงออกมา จางเซวียนดูออกว่าชายหนุ่มเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 6


ถ้าเป็นทวีปแห่งปรมาจารย์ คงน่าทึ่งมากที่นักรบผู้หนึ่งจะสำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 6 ได้ตั้งแต่อายุ 16-17 ปี แต่เท่าที่ฟังจากบทสนทนาเมื่อครู่ ดูเหมือนความสำเร็จนี้จะถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานโดยเฉลี่ยของมิติเบื้องบน


เมื่อได้ระบายความขุ่นเคือง ชายหนุ่มพิการดูจะสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อย ในตอนนั้นเองที่เขานึกได้ว่าบุคคลที่เขาช่วยชีวิตไว้ยังคงยืนอยู่ใกล้ๆ จึงหน้าแดงก่ำขึ้นมาด้วยความอับอาย


“ต้องขออภัยด้วย ผมแสดงให้คุณเห็นในสิ่งที่ไม่ควรจะแสดงออกมา อ้อ…ผมยังไม่ได้ถามชื่อของคุณเลย”


“ผมชื่อเหยา…อุ๊บ! ผมหมายถึง…ผมชื่อจางเซวียน” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า


“พี่จางนี่เอง!” ชายหนุ่มพิการพูด “ผมชื่อตั้นเฉี่ยวเทียน นายน้อยที่ 3 ของตระกูลตั้นแห่งเมืองไป๋เย่”


“น้องตั้น” จางเซวียนตอบรับพร้อมกับพยักหน้า “เมื่อครู่นี้ผมได้ยินคุณพูดถึงสำนักดาบเมฆเหิน ผมถามเพียงเพราะอยากรู้หรอกนะ แต่มันคือสำนักจริงๆใช่ไหม?”


คำถามที่บ่งบอกถึงความไม่รู้อะไรเลยนั้นดูจะทำให้ตั้นเฉี่ยวเทียนประหลาดใจ เขาถามกลับ “พี่จาง คุณไม่รู้เรื่องของสำนักดาบเมฆเหินจริงๆหรือ?”


เห็นสีหน้าสับสนของจางเซวียน ตั้นเฉี่ยวเทียนตาโตก่อนจะตั้งข้อสังเกต “ผมเกือบลืม! พี่จาง คุณไม่ได้เป็นนักรบนี่ ไม่แปลกหรอกที่คุณจะไม่รู้จักสำนักดาบเมฆเหิน โลกที่เราอาศัยอยู่นี่น่ะเป็นที่รู้จักกันในชื่อทวีปที่ถูกลืม”


“ตามตำนาน ว่ากันว่าโลกที่พวกเราอยู่เคยเป็นส่วนหนึ่งของโลกของเทพเจ้า แต่มันถูกแยกออกมาและไม่ได้รับความสนใจ มี 6 สำนักใหญ่อยู่ในทวีปที่ถูกลืม ซึ่งสำนักดาบเมฆเหินเป็นหนึ่งในนั้น การได้เข้าสู่ ทั้ง 6 สำนักใหญ่ถือเป็นเกียรติสูงสุด ผู้คนมากมายปรารถนาจะได้เข้าร่วมกับสำนักดาบเมฆเหิน ต่อให้ได้เป็นเพียงศิษย์สายตรงระดับล่าง ตระกูลของศิษย์สายตรงผู้นั้นก็จะมีสถานภาพสูงขึ้น”


เมื่อตอนที่เขาช่วยชีวิตพี่จางไว้ เขาไม่รู้สึกถึงพลังปราณในร่างของอีกฝ่ายเลย จึงสันนิษฐานว่าชายผู้นี้คงเป็นคนธรรมดาสามัญ ไม่ใช่นักรบ


6 สำนักใหญ่คือองค์กรที่ไม่มีนักรบคนไหนในทวีปที่ถูกลืมจะมองข้าม แต่สำหรับคนธรรมดาสามัญ สำนักเหล่านั้นดูจะไกลเกินเอื้อม ในเมื่อจางเซวียนไม่ได้เป็นนักรบ ก็ไม่น่าแปลกที่เขาจะไม่เคยได้ยินเรื่องของสำนักดาบเมฆเหิน


“6 สํานักใหญ่…ที่นี่ไม่มีสภาปรมาจารย์หรือ?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย


“สภาปรมาจารย์? มันคืออะไร?” ตั้นเฉี่ยวเทียนส่ายหน้า


“เอ่อ มันเป็นแค่เรื่องตลกวงในเท่านั้นแหละ…” เท่าที่ฟังจากน้ำเสียงของตั้นเฉี่ยวเทียน ดูเหมือนในทวีปที่ถูกลืมนี้จะไม่มีสภาปรมาจารย์จริงๆ จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้น, 6 สำนักใหญ่ก็คือผู้นำของทวีปที่ถูกลืมใช่ไหม?”


“ใช่ นอกจาก 6 สำนักใหญ่ ก็ยังมีกลุ่มอำนาจไร้เทียมทานอีกกลุ่มหนึ่งที่ชื่อว่าหอนิรันดร์ หอนิรันดร์ปรากฏขึ้นอย่างปุบปับในทวีปที่ถูกลืมตั้งแต่หลายพันปีก่อน ผู้ก่อตั้งองค์กรคือผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังคนหนึ่ง พวกเขาทำการจัดสรรปันส่วนตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล, ทรัพยากรที่นักรบทุกคนในทวีปแห่งนี้ต้องการเพื่อนำไปแลกเปลี่ยนเป็นทรัพยากรล้ำค่าเพื่อการฝึกฝนวรยุทธ และจะได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง!”


“หอนิรันดร์?”


“ใช่แล้ว ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลมีขายทั่วไปตามเมืองใหญ่ๆในทวีปที่ถูกลืม เมื่อได้สัมผัสกับตราสัญลักษณ์ สติสัมปชัญญะของผู้นั้นจะถูกนำเข้าสู่หอนิรันดร์ สำหรับที่นั่น…ขอแค่มีเงินจ่าย ก็จะได้ร่ำเรียนเทคนิควรยุทธ ได้ซื้อหาสมุนไพร ได้ยกระดับวรยุทธของตัวเอง หรือแม้แต่จ้างนักฆ่าก็ยังได้ มันมีทุกสิ่งที่คุณต้องการ แม้แต่ทั้ง 6 สำนักใหญ่ก็ยังใช้มัน”


“ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจะนำพาสติสัมปชัญญะของผู้นั้นเข้าสู่หอนิรันดร์?” จางเซวียนอยากรู้เรื่องของล้ำค่าแปลกประหลาดชิ้นนี้ “น้องตั้น ไม่ทราบว่าคุณมีของล้ำค่าชิ้นนั้นอยู่กับตัวไหม?”


“วรยุทธของผมอ่อนด้อย สติปัญญาก็มีไม่มาก แม้แต่คู่หมั้นของผมยังเลือกตีจากและล้มเลิกการแต่งงานเลย แล้วผมจะมีคุณสมบัติเพียงพอได้ครอบครองของแบบนั้นได้อย่างไร?” ตั้นเฉี่ยวเทียนพูดพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่


“ขออภัยด้วย ดูเหมือนผมจะพูดอะไรไม่คิด” จางเซวียนประสานมือ


จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องแล้วตั้งคำถามอีก 2-3 ข้อ เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับทวีปที่ถูกลืมแห่งนี้


ถึงตั้นเฉี่ยวเทียนออกจะลำบากใจเล็กน้อยในการอธิบายความรู้สึกของตัวเอง และไม่มีความมั่นใจ แต่จางเซวียนก็ดูออกว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีน้ำใจอย่างมาก เพราะเมื่อเห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็นำตัวเขากลับมาและช่วยรักษา เท่าที่เห็น ก็รู้สึกว่าตั้นเฉี่ยวเทียนคือคนที่ไว้ใจได้


จางเซวียนได้รู้จากตั้นเฉี่ยวเทียนว่าผ่านไป 3 วันแล้ว นับตั้งแต่อีกฝ่ายพบตัวเขาและนำเขากลับมา


พละกำลังคือสิ่งที่ผู้คนในทวีปที่ถูกลืมให้ค่าอย่างสูง ตระกูลตั้นของตั้นเฉี่ยวเทียนมียุคสมัยอันรุ่งเรืองเมื่อ 20 ปีก่อน มันมีสถานภาพเทียบเท่ากับสำนักเจ้าเมืองทีเดียว หรือจะพูดให้ชัดเจนกว่านั้น แม้แต่สำนักเจ้าเมืองก็ยังต้องปฏิบัติต่อตระกูลตั้นอย่างระมัดระวัง แต่โชคร้ายที่อุบัติเหตุเมื่อ 10 ปีก่อนคร่าชีวิตเหล่าผู้เชี่ยวชาญของตระกูลตั้นไปเกือบหมด พี่ชายสองคนของเขาก็เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย


แม้แต่สภาพร่างกายพื้นฐานของตั้นเฉี่ยวเทียนก็ได้รับบาดเจ็บ ส่งผลให้เขามีสภาพอย่างที่เป็นอยู่


เมื่อตระกูลเริ่มเสื่อมถอย ผู้ที่เคยเป็นพันธมิตรก็ตีจาก บรรดาศัตรูถือโอกาสนี้เล่นงานพวกเขา ส่งผลให้ตระกูลตั้นเสื่อมสลายอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนนี้ นอกจากตัวเขากับคนรับใช้เก่าแก่, ตั้นอี้ (ผู้อาวุโสอี้) ก็ไม่เหลือใครอีกเลย


สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในบ้านพักซึ่งครั้งหนึ่งเคยกินอาณาบริเวณกว่าพันหมู่คือลานบ้านชั้นในกับลานบ้านชั้นนอก ตระกูลตั้นกลายเป็นแค่เงาของความยิ่งใหญ่ที่เคยมี


ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญาการแต่งงานระหว่างตัวเขากับสำนักท่านเจ้าเมือง เขาก็คงไม่เหลืออะไรมากขนาดนี้


แต่เมื่อนายหญิงน้อยที่ 2 ปฏิเสธการแต่งงาน ปราการด่านสุดท้ายที่ยับยั้งเหล่าศัตรูของตระกูลตั้นเอาไว้ไม่ให้เล่นงานเขาก็ถือว่าหายไป ด้วยสิ่งนี้ ทุกอย่างถือว่าจบเห่อย่างสิ้นเชิง


“ผมเข้าใจ…” จางเซวียนส่ายหน้า


พละกำลังคือรากฐานของความเจริญรุ่งเรือง หากปราศจากพละกำลังที่แข็งแกร่งพอจะปกป้องตัวเอง ไม่ว่าจะมีอำนาจหรือความรุ่งเรืองมากแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องเสื่อมถอย


“พี่จาง ผมคิดว่าคุณคงพอเข้าใจสถานการณ์ของผมอย่างคร่าวๆแล้ว ผมหวังว่าในอีก 3 วันนี้ผมจะได้รับโอกาส…เมื่อสำนักดาบเมฆเหินรับศิษย์สายตรงรุ่นใหม่ ผมอยากให้ตระกูลตั้นกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง แต่ดูเหมือนตอนนี้ทุกอย่างจะสิ้นหวัง อีกอย่าง เมื่อเฉว่ชิงปฏิเสธการแต่งงานแล้ว ผมก็เกรงว่าที่นี่จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป” ตั้นเฉี่ยวเทียนพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


อย่างคำพูดที่ว่ากัน ‘เด็กจากครอบครัวยากจนมักโตเกินวัย’ ความยากลำบากมากมายที่ตั้นเฉี่ยวเทียนได้เผชิญมาพร้อมกับผู้อาวุโสอี้ตลอดระยะเวลาหลายปีทำให้เขารู้ซึ้งถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้ นับเป็นปาฏิหาริย์แล้วที่เขายังรักษาจิตวิญญาณที่ดีงามเอาไว้ได้หลังจากที่เผชิญทุกอย่างมา


“พี่จาง ในเมื่อคุณพร้อมเดินทางแล้ว ผมคิดว่าคุณควรจะไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ ผมไม่อยากให้คุณต้องเดือดร้อนเพราะปัญหาของผม…”


ขณะที่พูด ตั้นเฉี่ยวเทียนนำเหรียญทองที่หลอมขึ้นเป็นพิเศษ 2 เหรียญออกจากกระเป๋าเสื้อของเขาและใส่ลงไปในมือของจางเซวียน “นี่คือเหรียญนิรันดร์กาล อัตราแลกเปลี่ยนซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในหอนิรันดร์ ถึงจะไม่มากมายอะไร แต่ก็คงพอซื้อหาอาหารได้ 2-3 มื้อ…”


“คุณมีน้ำใจเหลือเกิน”


เห็นตั้นเฉี่ยวเทียนยังห่วงเขาทั้งที่ตัวเองก็เผชิญความยากลำบากมากมาย จางเซวียนยิ้มอย่างเห็นอกเห็นใจ เขาเพ่งมองตั้นเฉี่ยวเทียนครู่หนึ่ง “น้องตั้น ช่วยสำแดงศิลปะเพลงดาบของคุณให้ผมดูสักครั้งได้ไหม?”


ตอนที่ 1916 หยามหน้า

“คุณอยากให้ผมสำแดงศิลปะเพลงดาบหรือ?” ตั้นเฉี่ยวเทียนงุนงงเล็กน้อยกับคำขออย่างปุบปับของจางเซวียน


“บอกตามตรงนะน้องตั้น เมื่อครู่นี้ผมพิจารณาศิลปะเพลงดาบของคุณแล้ว รู้สึกว่าความสามารถในการเรียกพละกำลังและความแข็งแกร่งในการโจมตีของคุณนั้นออกจะอ่อนด้อยไปสักหน่อย ผมจึงสงสัยว่าจะขอตรวจสอบมันได้หรือไม่ ผมอาจหาวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้…ถ้าคุณพัฒนาศิลปะเพลงดาบของคุณได้ในอีก 3 วันนับจากนี้ ก็มีโอกาสที่สำนักดาบเมฆเหินจะรับคุณเป็นศิษย์สายตรงของพวกเขา!” จางเซวียนพูดยิ้มๆ


ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของจางเซวียน เขามองเห็นข้อบกพร่องในศิลปะเพลงดาบของตั้นเฉี่ยวเทียน และมีวิธีแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้นด้วย เหตุผลที่เขาต้องการให้ตั้นเฉี่ยวเทียนสำแดงศิลปะเพลงดาบอีกครั้งก็เพื่อทดสอบว่าเขาจะสามารถใช้หอสมุดเทียบฟ้าในมิติแห่งนี้ได้หรือไม่


“พี่จาง คุณรู้เรื่องศิลปะเพลงดาบด้วยหรือ?” ตั้นเฉี่ยวเทียนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ผมพอรู้อยู่บ้าง!” จางเซวียนพยักหน้า


“เยี่ยมเลย! ที่จริงผมหมดหวังในการจะได้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องปลอบใจผมหรอก” ตั้นเฉี่ยวเทียนมองขาซ้ายของเขาที่พิการ “แต่ถ้าคุณมีความรู้เรื่องศิลปะเพลงดาบล่ะก็ พี่จาง, ผมยิ่งกว่าเต็มใจที่จะแลกเปลี่ยนภูมิปัญญากับคุณ ตั้งแต่ผมหมดความสามารถในการฝึกฝนวรยุทธ ผมก็พยายามหาหนทางทีละเล็กทีละน้อย ความก้าวหน้าของผมจึงมีจำกัด…”


ความไม่มั่นใจในตัวเองของตั้นเฉี่ยวเทียนเกิดจากการหมดสมรรถภาพในการฝึกฝนวรยุทธอย่างกะทันหัน สุดท้าย แม้เขาจะอุทิศเวลาให้กับการศึกษาศิลปะเพลงดาบ แต่ก็ไม่กล้าสำแดงมันต่อหน้าใคร ส่วนการจะหาคู่ดวลมาทดสอบทักษะของตัวเองนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง


บางที อาจเป็นเพราะเขามองจางเซวียนเป็นคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง จึงไม่รู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า และไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะแลกเปลี่ยนภูมิปัญญากับอีกฝ่าย


ฟึ่บ!


ด้วยการสะบัดข้อมือ ดาบของตั้นเฉี่ยวเทียนตวัดผ่านอากาศและจ้วงแทงไปข้างหน้า


วิ้งงงง!


ในเวลาเดียวกัน หนังสือเล่มหนึ่งก็ปรากฏในหอสมุดเทียบฟ้า


หลังจากพลิกดูและอ่านรายละเอียด จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


โชคดีที่ดูเหมือนว่าหอสมุดเทียบฟ้าจะยังคงใช้การได้ในมิติเบื้องบน ก่อนหน้านี้ ตอนที่หลัวลั่วชิงผนวกเอามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงรวมเข้ากับหอสมุดเทียบฟ้า หอสมุดเทียบฟ้าก็เกิดการยกระดับครั้งใหญ่ เป็นไปได้ว่าเป็นเพราะการยกระดับครั้งนั้นที่ทำให้หอสมุดเทียบฟ้าสามารถมองทะลุสวรรค์ของมิติเบื้องบนได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ


“น่าสมเพชอะไรอย่างนี้ ตั้นเฉี่ยวเทียน, คุณยังฝึกฝนศิลปะเพลงดาบของคุณอยู่หรือ? คิดหรือไงว่าสำนักดาบเมฆเหินจะรับคนอย่างคุณเป็นศิษย์สายตรง?”


ขณะที่จางเซวียนยังคงครุ่นคิดหนัก เสียงคำรามเย็นชาก็ดังขึ้นด้านนอก จากนั้น สองร่างก็ก้าวยาวๆเข้ามา


คนแรกเป็นสาวน้อยที่ดูจะมีอายุราว 15-16 ปี รุ่นราวคราวเดียวกับตั้นเฉี่ยวเทียน เธอสวมชุดสีเหลืองอ่อน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและถือดี เธอเชิดหน้าอย่างไม่ยี่หระ บ่งบอกถึงสถานภาพสูงส่งและความมั่นอกมั่นใจในตัวเองที่มีต่อหน้าคนอื่นๆ เธอคือคนที่พูดประโยคเมื่อครู่นี้ออกมา


ที่ตามหลังเธอคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งมีอายุราว 40 ปี เขาสวมเสื้อเชิ้ตติดกระดุมแบบธรรมดา และมีดาบเล่มหนึ่งเหน็บไว้ที่เอว ขณะที่เขาเดินมา ก็รู้สึกได้ถึงกระแสดาบฉีอันคมกริบและทรงพลังที่แผ่ออกจากร่าง


“นายน้อยที่ 3…” ผู้อาวุโสอี้ตามหลังทั้งคู่มาติดๆ สีหน้าบ่งบอกความขัดเคืองใจและรู้สึกผิด เขาก้มศีรษะลงพูดเบาๆ “ขออภัยด้วย ผมยับยั้งพวกเขาไม่ได้…”


ตั้นเฉี่ยวเทียนรีบหยุดการสำแดงศิลปะเพลงดาบก่อนจะหันมามองสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้า ในตอนนั้น เขาตื่นเต้นจนพูดจาตะกุกตะกัก “ฉะ-เฉว่ชิง?”


“พอที!” สาวน้อยมองตั้นเฉี่ยวเทียนด้วยแววตาดูหมิ่นเหยียดหยาม เธอโบกมืออย่างหมดความอดทนและพูดต่อ “คุณก็รู้ว่าฉันมาที่นี่ทำไม แต่แทนที่จะออกไปต้อนรับฉันด้วยตัวเอง กลับส่งเจ้าคนใช้ต่ำต้อยมามอบสัญญาผูกมัดการแต่งงานให้ คุณคิดหรือว่ามันจะจบง่ายๆแบบนั้น?”


“คุณต้องการยกเลิกการแต่งงานของเรา ผมก็ให้ผู้อาวุโสอี้มอบสัญญาผูกมัดการแต่งงานให้คุณแล้วไง คุณยังต้องการอะไรจากผมอีก?” ตั้นเฉี่ยวเทียนหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ


“ที่ฉันต้องการจากคุณน่ะไม่มากมายอะไรหรอก ก็แค่อยากให้คุณประกาศให้ทั้งเมืองรู้ว่าคุณคือคนที่ตัดสินใจยกเลิกการแต่งงานของเราเพราะคุณรู้สึกว่าคุณไม่คู่ควรกับฉัน ท่านพ่อของฉันคงจะใช้เวลาใคร่ครวญระยะหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเคารพความคิดเห็นของคุณและระงับการแต่งงานของเราไว้ ไอ้การที่คุณมอบกระดาษแผ่นนั้นให้ฉันน่ะ คิดหรือว่าจะให้ฉันเที่ยวบอกใครๆว่าตัวฉัน, เฉว่ชิง ไม่ยอมแต่งงานกับคุณ ฉันจะปล่อยให้ชื่อเสียงของสำนักเจ้าเมืองผู้ทรงเกียรติต้องด่างพร้อยได้อย่างไร?” เฉว่ชิงคำราม


ถ้าใครต่อใครรู้ว่าเธอฉีกสัญญาผูกมัดการแต่งงานกับตั้นเฉี่ยวเทียนเพียงเพราะเธอได้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน ก็คงจะทำให้เกิดเสียงซุบซิบนินทาอย่างหนัก และนั่นจะเป็นอุปสรรคในการสร้างชื่อเสียงของเธอ แต่ถ้าเธอจัดการให้ตั้นเฉี่ยวเทียนเป็นฝ่ายยกเลิกงานแต่งงานแทน ก็จะไม่ต้องแบกรับการเสื่อมเสียชื่อเสียงแม้แต่น้อย


จางเซวียนเห็นทุกอย่างกับตา เขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย


ยัยคนนี้ช่างร้ายกาจ…


การที่เฉว่ชิงจะล้มเลิกการแต่งงานก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะทำแม้กระทั่งจัดฉากให้ตั้นเฉี่ยวเทียนป่าวประกาศให้คนทั้งเมืองรู้ ตัวเองเป็นคนยกเลิกการแต่งงานแท้ๆ แต่ก็ยังอยากป้ายสีให้ตั้นเฉี่ยวเทียนกลายเป็นผู้ร้าย


แม่คนนี้ช่างต่ำต้อยด้อยค่าอะไรอย่างนี้!


ตั้นเฉี่ยวเทียนกำหมัดแน่น ใบหน้าของเขาซีดเผือดขณะจับจ้องเฉว่ชิงอย่างเย็นชา


แม้ไม่พูดอะไรอีก เขาก็รู้แล้วว่าเฉว่ชิงคิดอย่างไร ความผิดหวังอย่างล้ำลึกแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง


นี่มันหยามหน้ากันอย่างรุนแรง!


ดูเหมือนอีกฝ่ายเตรียมตัวมาอย่างดีที่จะหยามหน้าเขา ทั้งยังขอให้เขาแบกรับทุกอย่างแทน


ปัญหาก็คือ…เขาไม่อาจทำอะไรได้เลยในสถานการณ์นี้ เขาอับจนหนทางอย่างสิ้นเชิง!


“ตั้นเฉี่ยวเทียน, นายหญิงน้อยที่ 2 กับผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อรองกับคุณ เรามาเพื่อมอบหมายคำสั่งนั้นให้คุณ” ชายวัยกลางคนที่มากับเฉว่ชิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ภายใน 3 วันนับจากนี้ คุณจะต้องป่าวประกาศเรื่องราวทั้งหมดให้ทั้งเมืองได้รับรู้ ไม่อย่างนั้นก็…เตรียมตัวจ่ายค่าชดใช้ได้เลย!”


“คุณเป็นใคร?” ตั้นเฉี่ยวเทียนตั้งคำถามขณะจ้องหน้าชายวัยกลางคนอย่างเย็นชา


“ผมคืออาจารย์สอนศิลปะเพลงดาบของนายหญิงน้อยที่ 2, เฉว่เฉิน!” ชายวัยกลางคนตอบอย่างภาคภูมิใจ


“เฉว่เฉิน? ผมรู้จักคุณนี่!” ดูเหมือนจะเคยได้ยินชื่อนั้นมาก่อน ตั้นเฉี่ยวเทียนตาโตด้วยความประหลาดใจก่อนจะส่ายหน้าอย่างสมเพชตัวเอง “ช่างเป็นเกียรติเหลือเกินที่ผมมีโอกาสต้อนรับ หัวหน้าใหญ่ของสำนักเจ้าเมืองที่มาเยี่ยมเยียนถึงที่ ไม่ทราบว่าค่าชดใช้ที่ผมต้องจ่ายนั้นคืออะไร ถ้าผมไม่ทำตามคำสั่งของคุณ?”


ในฐานะหัวหน้าใหญ่ของสำนักเจ้าเมือง ความแข็งแกร่งของเฉว่เฉินนั้นไม่อาจประมาทได้ อันที่จริงเขาเป็นนักรบที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 3!


“อ๋อ เรื่องนั้นง่ายนิดเดียว!” เฉว่เฉินโบกมืออย่างไม่แยแส ไม่รู้สึกรู้สากับการยั่วยุของตั้นเฉี่ยวเทียน “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลตั้นทำร้ายผู้คนไปไม่น้อย ถูกไหม? คุณควรจะรู้ตัวนะว่าถ้าไม่ใช่เพราะการหมั้นหมายระหว่างคุณกับเฉว่ชิง คุณคงตายไปหลายครั้งหลายหนแล้ว”


คำพูดนั้นทิ่มแทง แต่ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้ดีว่ามันคือเรื่องจริง


ด้วยวรยุทธที่อ่อนด้อยของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญาผูกมัดการแต่งงาน บรรดาศัตรูของตระกูลตั้นคงไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตยืนยาวขนาดนี้!


“ก็นั่นแหละ ถ้าคนพวกนั้นตั้งใจเล่นงานคุณ คุณคิดว่าลำพังคุณกับตาเฒ่านั่นจะยับยั้งพวกเขาได้หรือ?” เฉว่เฉินยักไหล่


เมื่อรู้สึกได้ถึงเจตนาแอบแฝงที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของเฉว่เฉิน ตั้นเฉี่ยวเทียนตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ “คุณจะปิดปากพวกเราหรือไง? ไม่กลัวหรือว่าความตายอย่างปุบปับของผมอาจกระทบชื่อเสียงของสำนักเจ้าเมือง?”


“การตายของคุณจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของสำนักเจ้าเมืองได้อย่างไร?” เฉว่เฉินตอบเสียงเรียบ “เรื่องเป็นอย่างนี้นะ ท่านเจ้าเมืองจะโกรธกริ้วอย่างหนักเมื่อรับรู้การตายของคุณ เขาจะส่งคนออกตามล่าตัวการเพื่อล้างแค้นให้ ส่วนนายหญิงน้อยที่ 2 ของเรา, เธอจะคร่ำครวญโศกเศร้าอยู่นาน และลงท้ายก็ตัดสินใจจะออกจากดินแดนแห่งความอาดูรนี้ไป และมุ่งหน้าสู่สำนักดาบเมฆเหิน!”


คำพูดเหล่านั้นทำให้หัวใจของตั้นเฉี่ยวเทียนเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่รู้ตัวว่าสถานการณ์ของเขาน่าสิ้นหวังแค่ไหน


ถ้าพวกนั้นเล่นละครตามนี้จริงๆ ไม่เพียงชื่อเสียงของสำนักเจ้าเมืองจะไม่ด่างพร้อย ยังจะได้รับการยกย่องด้วย ในเวลาเดียวกัน เฉว่ชิงก็จะเป็นที่ชื่นชมยิ่งขึ้นกว่าเดิมในความรักเดียวใจเดียวของเธอที่มีต่อคู่หมั้น ใครต่อใครจะพูดกันว่าแม้เฉว่ชิงจะกลายเป็นศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินแล้ว เธอก็ยังคงรักษาสัญญาที่จะแต่งงานกับเขา แต่น่าเสียดาย ในเมื่อโชคชะตากำหนดมาอย่างนั้น ก็แปลว่าพวกเขาไม่ได้เกิดมาคู่กัน


“คุณ…ก็ได้ ผมยอมรับ!”


ตั้นเฉี่ยวเทียนกำมือแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อ ข้อนิ้วของเขาซีดขาว แต่ถึงจะไม่พอใจแค่ไหน ก็รู้ดีว่าตัวเขาในเวลานี้ไม่มีปัญญาทำอะไรได้


กฎเกณฑ์ของผืนป่า, ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะอยู่รอด คนอ่อนแออย่างเขามีแต่จะตกเป็นเหยื่อ


“ต้องอย่างนั้นสิ!” เฉว่ชิงพยักหน้าอย่างพอใจ เธอยกมือขึ้น แล้วเฉว่เฉินก็นำเอกสารแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้ตั้นเฉี่ยวเทียน “นี่คือเอกสารการยกเลิกการหมั้นและงานแต่งงาน ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือสลักชื่อลงไป ส่วนที่เหลือพวกเราจะจัดการเอง วางใจเถอะ เราจะประกาศเรื่องนี้ให้รู้กันทั่วทั้งเมืองภายในวันนี้แหละ!”


ตั้นเฉี่ยวเทียนยื่นมือออกไปรับเอกสารนั้นอย่างลังเลก่อนจะอ่านอย่างถี่ถ้วน


มันคือประกาศอย่างเป็นทางการที่ดูเหมือนจะเขียนโดยตัวเขาเอง บ่งบอกถึงเจตนาที่จะยกเลิกงานหมั้นและการแต่งงาน อีกทั้งระบุเหตุผลเอาไว้


เหตุผลนั้นเรียบง่ายและไม่มีอะไรซับซ้อน ตัวเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่เพียงแต่จะไม่สามารถฝึกฝนวรยุทธ ยังไม่อาจเติมเต็มบทบาทหน้าที่ของชายคนหนึ่งให้สมบูรณ์ได้ด้วย ทำให้เขากลายเป็นคนพิการซ้ำซ้อน เพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงอนาคตของคู่หมั้น เขาจึงตัดสินใจจะยกเลิกงานหมั้นและการแต่งงาน และขอวิงวอนให้เธอยกโทษให้เขาสำหรับเรื่องนี้ด้วย ส่วนทางสำนักเจ้าเมืองที่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตกับตระกูลตั้นก็ปฏิเสธคำขอของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องการยกเลิกงานหมั้นและการแต่งงานโดยใช้วิธีการแบบนี้ หวังว่าท่านเจ้าเมืองจะเข้าใจการกระทำในครั้งนี้ของเขา


เฉว่ชิงจงใจกล่าวอ้างแม้กระทั่งว่าเขาหมดสมรรถภาพของความเป็นชาย!


การหยามหน้าอย่างรุนแรงที่ตั้นเฉี่ยวเทียนต้องเผชิญทำให้เขาเลือดขึ้นหน้าและโมโหจนแทบระเบิดออกมา


ตอนที่ 1917 ความสับสนของตั้นเฉี่ยวเทียน

เมื่อไหร่ที่เรื่องนี้กระฉ่อนไปทั่ว เกียรติยศศักดิ์ศรีของเขาย่อมป่นปี้ไม่มีเหลือ เขาจะไม่มีวันเชิดหน้า มองใครต่อใครได้อีก จะกลายเป็นที่ซุบซิบนินทาของคนทั้งเมือง และความอับอายครั้งนี้จะทำลาย ชื่อเสียงเกียรติยศที่ตระกูลตั้นสั่งสมมาตลอดระยะเวลาหลายร้อยปี


ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายทางสังคม


“ลงนามในเอกสารซะ” เฉว่ชิงพูดด้วยน้ำเสียงกดดันและเย็นชา


“นายน้อยที่ 3, อย่าลงนามในเอกสารนะ! คุณลงนามเมื่อไหร่ ชื่อเสียงของตระกูลตั้นป่นปี้ไม่มีเหลือแน่!” ผู้อาวุโสอี้ได้อ่านรายละเอียดของเอกสารจากด้านหลังตั้นเฉี่ยวเทียน เขารีบทรุดตัวลงคุกเข่าและร้องร่ำเพื่อทักท้วง


แม้แต่ความตายยังไม่น่าสะพรึงเท่ากับการเห็นตระกูลที่เขาอุทิศตัวรับใช้ต้องถูกหยามเกียรติแบบนี้


“ผม…” ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่รู้จะทำอย่างไร


เขารู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากลงนามในเอกสาร แต่ถ้าไม่ลงนาม ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ยังยกเลิกการแต่งงานอยู่ดี และผลที่ออกมาย่อมเลวร้ายกว่านี้


เขาจนมุมแล้ว ไม่มีอะไรที่ทำได้อีก


ในตอนนั้น แม้แต่การฆ่าตัวตายก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกหนึ่งของเขา ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่เคยปรารถนาจะจบชีวิตและปล่อยให้ทุกอย่างจบลงแบบนี้ แต่ขณะที่กำลังสิ้นหวัง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น


“ถ้าคุณไม่อยากลงนามในเอกสารนั่น ก็ไม่ต้องลง”


ทุกคนรีบหันขวับไปมอง เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีผ้าพันแผลพันไว้ทั้งตัวราวกับมัมมี่กำลังยืนพิงประตู เขาจ้องมองมาพร้อมกับยิ้มให้


ชายหนุ่มคนนี้ดูจะไม่มีวรยุทธใดๆ แต่ดวงตาของเขาปราศจากความหวาดหวั่นอย่างสิ้นเชิงแม้จะยืนอยู่ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญระดับเฉว่เฉิน ราวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขาเป็นเพียงละครบทหนึ่ง


“คุณเป็นใคร? ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณล่ะก็ ปิดปากเงียบไว้จะดีกว่า ไม่เคยได้ยินสุภาษิตที่ว่าปากพาจนหรือ?” เฉว่เฉินจ้องหน้าจางเซวียนอย่างข่มขู่


ถ้าเป็นไปได้ พวกเขาก็อยากแก้ปัญหาเรื่องนี้กับตั้นเฉี่ยวเทียนโดยไม่ทำอะไรรุนแรง เพราะเสี่ยงต่อการที่โลกจะรับรู้ ดังนั้น เฉว่เฉินจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยั้งมือไว้ไม่ให้เปิดการโจมตี


จางเซวียนพูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน “ผมเป็นแค่คนไร้ค่าคนหนึ่งที่น้องตั้นช่วยชีวิตไว้ ผมไม่ได้อยากก้าวก่ายกิจธุระของคุณ แต่เกรงว่าน้องตั้นจะต้องเสียใจในการตัดสินใจของตัวเองหากลงนามในเอกสารฉบับนั้น ผมจึงอดแนะนำเขาไม่ได้”


“พี่จาง…” นัยน์ตาของตั้นเฉี่ยวเทียนเป็นประกายด้วยความสำนึกในบุญคุณ


แม้จางเซวียนจะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเฉว่ชิงกับเฉว่เฉิน อีกทั้งอำนาจล้นฟ้าที่พวกเขามี แต่ก็น่าจะพอมองออกจากบทสนทนาว่าทั้งคู่ไม่ใช่บุคคลที่ควรจะต่อกรด้วย แต่ทั้งๆที่ต้องเสี่ยง อีกฝ่ายก็ยังเลือกที่จะโพล่งออกมา สิ่งนี้ทำให้เขาประทับใจไม่น้อย


“เสียใจ? ฮ่าฮ่าฮ่า! เขามีอะไรให้ต้องเสียใจ เจ้าหนุ่มนี่ยังคิดว่าระหว่างตัวเขากับนายหญิงน้อยที่ 2 นั้นยังพอมีหวังหรือ?” เฉว่เฉินคำราม “เลิกฝันกลางวันเสียเถอะ! ทำไมไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเสียก่อน? คางคกอย่างคุณกล้าใฝ่ฝันอยากเคียงคู่หงส์หรือไง? เจียมกะลาหัวด้วย!”


“ผมดีใจที่อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่เราทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน พวกเขาไม่ควรคู่กันจริงๆ” จางเซวียนพยักหน้าอย่างสุขุมเพื่อตอบโต้การดูถูกของอีกฝ่าย “เห็นได้ชัดเลยว่านายหญิงน้อยที่ 2 คนนี้ของคุณไม่คู่ควรกับน้องตั้น ไม่มีอะไรที่จะเป็นการดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างร้ายแรงเท่ากับการที่เขาต้องแต่งงานกับคนอย่างเธออีกแล้ว!”


“คุณว่าอะไรนะ?”


เฉว่เฉินกำลังพยักหน้าอย่างพออกพอใจกับคำพูดท่อนแรกของจางเซวียน แต่เมื่อจางเซวียนพูดจบ นัยน์ตาของเขาก็เปล่งประกายของเจตนาสังหารออกมา


“คุณไม่เชื่อผมหรือ?” จางเซวียนมองเฉว่เฉินด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความทึ่ง ราวกับไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจสิ่งที่เห็นกันชัดๆขนาดนี้ “ผมว่าคุณคงต้องดูด้วยตาตัวเองกระมังถึงจะรู้ความจริง ใช่ไหม? เอาล่ะ กลับมาในอีก 3 วันข้างหน้านะ แล้วเราจะได้เห็นกัน!”


“พูดกันมาตั้งมากมาย ลงท้ายคุณก็แค่พยายามถ่วงเวลา เสียเวลาสิ้นดี!” เฉว่เฉินคำราม “ตราบใดที่ตั้นเฉี่ยวเทียนยังไม่ลงนามในเอกสารนี้ ผมรับประกันได้เลยว่าสิ่งที่เขาจะต้องสูญเสียน่ะไม่ใช่เพียงแค่เกียรติยศศักดิ์ศรี แต่เป็นชีวิตของเขาด้วย!”


จางเซวียนยักไหล่อย่างไม่รู้สึกรู้สา “ถ้าจะต้องถึงขนาดนั้น ก็ตามนั้นเถอะ…คนอย่างน้องตั้นคงไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้หรอก!”


“ฮะ?” ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในคำที่จางเซวียนเพิ่งพูดออกไป


ดูเหมือนพี่จางจะเป็นคนที่มีความคิดแน่วแน่…แต่ไอ้การที่คุณพูดว่า ‘ถ้าจะต้องถึงขนาดนั้น ก็ตามนั้นเถอะ’? นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ ชีวิตของผมกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย!


เฉว่เฉินเบือนหน้าไปจากจางเซวียน เขาจ้องหน้าตั้นเฉี่ยวเทียนด้วยสายตาเย็นเยียบที่แทบจะทำให้นรกกลายเป็นน้ำแข็ง “นั่นคือการตัดสินใจของคุณใช่ไหม?”


ตั้นเฉี่ยวเทียนตัวสั่นเล็กน้อยภายใต้การจับจ้องของเฉว่เฉิน แต่ก็กัดฟันตอบ “คำพูดของพี่จางบ่งบอกเจตนาของผมแล้ว”


เขาไม่รู้ว่าทำไมพี่จางถึงคาดหวังในตัวเขาสูงนัก แต่ก็เห็นชัดว่าไม่มีหนทางให้ถอย


หากต้องเลือกระหว่างศักดิ์ศรีของตระกูลตั้นกับชีวิตของเขา เขาก็พร้อมเลือกศักดิ์ศรีของตระกูลตั้น ตระกูลตั้นไม่ได้เป็นของเขาคนเดียว มันถูกสร้างขึ้นด้วยความเหนื่อยยากของบรรพบุรุษมากมาย รวมถึงท่านปู่ ท่านพ่อ และบรรดาพี่ชายของเขาที่เสียชีวิตไปแล้วด้วย เขาไม่อาจทำลายความเหน็ดเหนื่อยพากเพียรของคนเหล่านั้นเพียงเพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตอยู่!


อีกอย่าง ทันทีที่ประกาศยกเลิกงานแต่งงานถูกเผยแพร่ออกไป ตัวเขาก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว ด้วยสิ่งนี้ การตัดสินใจที่เขาควรเลือกก็ไม่อาจชัดเจนไปกว่านี้ได้อีก


“ดูเหมือนจะมีแบ็คดีนะ ใช่ไหม? รอดูก็แล้วกันว่าการตัดสินใจของคุณจะนำพาชีวิตคุณไปอย่างไร ตามนั้นก็แล้วกัน!” ได้ยินการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของตั้นเฉี่ยวเทียน เฉว่เฉินสะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธเกรี้ยว เขาหันไปพูดกับสาวน้อยที่อยู่ข้างๆ “นายหญิงน้อยที่ 2, ไปกันเถอะ!”


ส่วนเฉว่ชิงก็มองตั้นเฉี่ยวเทียนอย่างดูถูกขณะคำราม “ฉันหวังว่าเมื่อถึงเวลา คุณคงไม่มาร้องขอชีวิตกับฉันนะ!”


จากนั้นเธอก็หันหลังกลับแล้วจากไป ตลอดการสนทนาทั้งหมดนี้ เธอไม่ได้เหลือบมองจางเซวียนแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับการมองคนธรรมดาสามัญจะทำให้ดวงตาของเธอระคายเคือง


ทันทีที่ทั้งคู่ออกมาพ้นลานบ้าน…


“ท่านอาจารย์…” เฉว่ชิงมองเฉว่เฉินอย่างร้อนใจ


เฉว่เฉินรีบสำรวจโดยรอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ก่อนจะให้ความมั่นใจกับสาวน้อย “อย่าห่วงเลย เราไม่ต้องการเวลาถึง 3 วันเพื่อแก้ปัญหานี้หรอก ตระกูลตั้นน่ะไม่เหลืออะไรแล้ว รอดูก็แล้วกันว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดพ้นคืนนี้หรือเปล่า!”


คำพูดนี้ทำให้เฉว่ชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ตอนแรกฉันก็ประทับใจในตัวเขา แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะกลับกลายเป็นคนหยิ่งผยองน่ารังเกียจ? ปล่อยให้เขาตายไปเถอะ คนอย่างเขาไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้!”


ทั้งสองขึ้นเกี้ยว ไม่ช้าก็หายลับไป


…..


หลังจากเฉว่ชิงกับเฉว่เฉินออกจากบ้านพักไปได้ไม่นาน เกิดความเงียบงันครู่ใหญ่ก่อนที่ผู้อาวุโสอี้จะโพล่งออกมาอย่างร้อนใจ


“นายน้อยที่ 3, แบบนี้ไม่ได้การนะ เราจะนั่งรอนอนรอความตายไม่ได้…ออกจากเมืองกันเถอะ!”


เขารู้ดีว่าท่านเจ้าเมืองไม่ได้ใจกว้างและมีเมตตาอย่างที่ดูเหมือนจะเป็น อันที่จริง เขาสงสัยด้วยซ้ำว่าการสังหารหมู่และเหตุร้ายที่นำมาซึ่งการล่มสลายของตระกูลตั้นน่าจะมีท่านเจ้าเมืองเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง


ในเมื่อพวกนั้นทำถึงขนาดนี้ ก็คงไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะส่งทีมลอบสังหารมาจัดการตั้นเฉี่ยวเทียน โดยเฉพาะหลังจากการตัดสินใจปฏิเสธของเขาเมื่อครู่ก่อน


อีกอย่าง ด้วยวิธีการของท่านเจ้าเมือง แน่นอนว่าพวกเขาคงกลบเกลื่อนร่องรอยของผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้จนไม่มีเหลือ


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาทำได้ก็คือหนีไปให้ไกลจนสุดกำลัง


“หนี? คุณคิดว่าเรายังมีโอกาสหนีหรือ?” ตั้นเฉี่ยวเทียนส่ายหน้าอย่างขมขื่น


การที่นายหญิงน้อยที่ 2 มายกเลิกการแต่งงานด้วยตัวเองบ่งบอกถึงการตัดสินใจแน่วแน่ของอีกฝ่ายที่จะจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ดังนั้น จึงไม่มีทางที่ท่านเจ้าเมืองจะปล่อยให้พวกเขาหนีรอดไปได้


เพราะถ้าคนพวกนั้นไม่สามารถยกเลิกการแต่งงาน นายหญิงน้อยที่ 2 มิต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตของเธออย่างโดดเดี่ยวและรอคอยให้เขากลับมาหรือ?


“พี่จาง…” ตั้นเฉี่ยวเทียนหันไปมองจางเซวียน หวังจะขอคำแนะนำจากอีกฝ่ายว่าเขาควรทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้


ในเมื่อพี่จางพูดจาเป็นมั่นเหมาะคำโต ‘กลับมาในอีก 3 วันข้างหน้านะ แล้วเราจะได้เห็นกัน’ บางทีเขาอาจมีความคิดในใจแล้วก็ได้


“ผมอยากให้คุณยืนยันความตั้งใจของคุณเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อครู่นี้คุณเต็มใจจะลงนามในสัญญานั่นหรือเปล่า?”


“แน่นอนว่าไม่!” ตั้นเฉี่ยวเทียนส่ายหน้า “ถ้าผมลงนามในกระดาษบ้าบอนั่น จะมีหน้าไปมองบรรพบุรุษของผมได้อย่างไรหลังจากที่ผมตายไปแล้ว?”


ถ้าเขาทำลายศักดิ์ศรีของตระกูลตั้นแบบนั้น ต่อให้ความตายก็ไม่เพียงพอจะชดใช้ความผิดบาปของเขา


“คุณกลัวความเจ็บปวดไหม?” จางเซวียนถาม


“ตอนนี้น่ะ ต่อให้ความตายผมก็ไม่กลัว แล้วเจ็บปวดแค่นิดหน่อยจะสำคัญอะไร?” ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่รู้ว่าจางเซวียนคิดอะไรอยู่ แต่ก็ตอบคำถามตามตรง


“คุณอยากล้างแค้นที่ถูกหยามหน้าในวันนี้ไหม?”


“แน่นอน! ไม่ใช่เฉพาะวันนี้นะ ถ้าทำได้ ผมอยากล้างแค้นสำหรับการดูถูกทั้งหมดที่ผมได้รับมานับตั้งแต่ท่านพ่อท่านแม่ของผมเสียชีวิตไป แต่…” ตั้นเฉี่ยวเทียนมองขาของเขาด้วยสีหน้าสลด


เขาจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยได้อย่างไรเมื่อโดนดูถูกเหยียดหยามขนาดนั้น?


แต่ด้วยขาของเขาที่อยู่ในสภาพนี้ อีกทั้งไม่สามารถฝึกฝนวรยุทธได้ ความตั้งใจของเขาก็คงเป็นได้แค่ความตั้งใจที่อยู่ในสมอง ไม่มีวันกลายเป็นความจริง


ถ้าเขายังคงเป็นเด็กวัยรุ่นที่ปราดเปรื่องและเก่งกาจ คงไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างยอมจำนนแบบนี้…


“ดี! ในเมื่อคุณตัดสินใจแล้ว สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องทำตอนนี้ก็คือยอมรับผมเป็นอาจารย์ของคุณ!” จางเซวียนพูด


“ยอมรับคุณเป็นอาจารย์ของผม?”


หัวสมองของพี่จางถูกกระทบกระเทือนตอนเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า?


เราจะเรียนรู้อะไรจากมนุษย์ธรรมดาสามัญคนหนึ่งได้?


หรือว่าคำสัญญาของคุณที่พูดว่า ‘กลับมาในอีก 3 วัน’…หมายถึงสิ่งนี้?


ตั้นเฉี่ยวเทียนอ้าปากค้างขณะรู้สึกทันทีว่าเขาถูกหลอก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)