กระบี่จงมา 191.2-192.1
บทที่ 191.2 ทำการค้าก็คือการฝึกตนอย่างหนึ่ง
โดย
ProjectZyphon
ที่แท้เด็กสาวก็คือสาวใช้ของซ่งจี๋ซินองค์ชายต้าหลี จื้อกุย ชื่อจริงหวังจู ตัวตนที่แท้จริงแปลกประหลาด เพราะเป็นไข่มุกที่เกิดจากการรวมตัวของจิตวิญญาณมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายบนโลก
จื้อกุยคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่มี”
ชุยฉานหลุดหัวเราะพรืด ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ยังคงดื่มเหล้าของตัวเองต่อไป
ผ่านไปไม่นานนักก็มีคนสามคนเดินเข้ามาในจุดพักม้า เศรษฐีเฉาซี เซี่ยสือบุรุษผู้เงียบขรึม จอมยุทธ์สำนักโม่สวี่รั่ว
บุคคลยิ่งใหญ่สองคนที่เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู พอเห็นเด็กสาวและแน่ใจในปราณขุมที่แผ่ออกมาจากร่างของนาง เฉาซีตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็กุมท้องหัวเราะเสียงดังลั่น ยื่นนิ้วชี้ไปที่เด็กสาว “แม่งเอ้ยอับอายขายขี้หน้าไปถึงบ้านยายแล้ว เจ้าคนที่ปีนั้นทำให้ข้าผู้อาวุโสตกใจเกือบตาย ที่แท้ก็คือแม่นางน้อยบอบบางผู้นี้เองหรือ”
เซี่ยสือยกสองมือขึ้นกุม โค้งตัวให้กับเด็กสาว “เซี่ยสือแห่งตรอกเถาเย่ขอบคุณแม่นางที่ช่วยชีวิตไว้ถึงสองครั้ง!”
จื้อกุยสีหน้าเย็นชา เพียงแค่พยักหน้าให้เซี่ยสือเล็กน้อย ส่วนเฉาซีนั้น นางไม่แม้แต่จะปรายตามอง
สวี่รั่วยกสองแขนกอดอก เอนตัวพิงประตู หลับตาทำสมาธิ
หากเรื่องในวันนี้คุยกันรู้เรื่องก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว แต่หากคุยกันไม่เป็นผล แบบนั้นแหละที่เกี่ยวข้องกับเขามากๆ
เสียงหัวเราะของเฉาซียังดังไม่หยุด เขานั่งแปะลงตรงข้ามกับเด็กสาว หัวเราะหึหึ ทำสีหน้ากวนโอ๊ยเหมือนคนเห็นสมบัติล้ำค่า “ตอนนั้นข้ายืนอยู่บนปากบ่อโซ่เหล็กแล้วฉี่ลงไปข้างล่าง ผลกลับกลายเป็นว่าเพิ่งฉี่ได้แค่ครึ่งเดียว ไม่เพียงแต่เสียงโซ่เหล็กดังขึ้นครืดคราด น้ำทั้งบ่อยังเอ่อมาถึงฝ่าเท้า ทำเอาข้าตกใจจนไม่กล้าฉี่ให้เสร็จ กางเกงก็ไม่ทันถกขึ้นให้ดี สภาพตอนนั้นเรียกได้ว่ากลัวจนเยี่ยวหดตดหายอย่างแท้จริง ชีวิตข้าเฉาซีทำเรื่องฉาวโฉ่มามากมาย แต่เรื่องนี้สามารถจัดอยู่ในสามอันดับแรกได้แน่นอน!”
ในที่สุดจื้อกุยก็ไม่ตีหน้าเคร่งอีกต่อไป คราวนี้นางหันมาถลึงมองด้วยสายตาขุ่นเคือง “หากไม่เป็นเพราะเจ้าหนีไปเร็ว ข้าก็จะให้เจ้าดื่มน้ำบ่อจนท้องแตกตาย!”
เฉาซียื่นนิ้วข้างหนึ่งมาลูบหนวด กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ข้าจำไว้ว่าหนึ่งเดือนเต็มหลังจากนั้น ข้าต้องยืนอยู่ห่างบ่อโซ่เหล็กไปไกลถึงสองจั้ง พยายามโยนหินเข้าไปในบ่อ กระแทกโดนเจ้าบ้างหรือเปล่า? คงต้องโดนบ้างสักครั้งแหละมั้ง?”
จื้อกุยถลึงตาหัวเราะ “เกิดมาก็มีนิสัยชั่วช้า ข้าล่ะเสียใจนักที่ไม่ได้ปล่อยให้เจ้าจมน้ำตายอยู่ในลำธาร!”
เฉาซีไม่โกรธกลับยังขำ “ตอนเด็กเกเรอยู่บ้างจริงๆ ฮ่าๆ นิสัยเด็กนี่นา แต่ข้าก็ชอบผายลมในน้ำตอนที่ลงเล่นน้ำกับคนวัยเดียวกันเท่านั้น ช่วยไม่ได้ ข้าชอบมองฟองอากาศผุดมาจากด้านหลังแล้วลอยขึ้นบนผิวน้ำมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว แต่ข้าก็ถือว่ามีคุณธรรมมากแล้วนะ ตอนที่ฉี่ใส่บ่อน้ำคราวนั้น ข้าตกใจจนขวัญกระเจิงจริงๆ ทำเอาผู้อาวุโสในตระกูลต้องเชิญคนมาเรียกวิญญาณ น่าอายยิ่งนัก พวกเขาตีฆ้องตีกลองตั้งแต่ตรอกหนีผิงไปถึงบ่อโซ่เหล็ก เรียกชื่อข้าเฉาซีหนึ่งครั้ง ข้าก็ต้องขานรับหนึ่งครั้ง เจ้าไม่รู้อะไร หลังจบเรื่องข้าถูกเพื่อนๆ ในโรงเรียนล้อตั้งหลายปี…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉาซีก็หัวเราะหึหึ เขารินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วยแล้วถอนหายใจพูด “เพื่อนพวกนั้น ตอนนี้กระดูกที่อยู่ใต้ดินคงเน่าสลายไปหมดแล้วกระมัง แต่ข้ากลับยังจำชื่อของคนเหล่านั้นได้”
จื้อกุยหัวเราะเสียงเย็น “ใครกันที่แอบเทเลือดหมาดำเกินครึ่งถังลงมาในบ่อโซ่เหล็กกลางดึกกลางดื่น?”
เฉาซีหัวเราะแห้งๆ “ก็ข้าได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าว่าเลือดหมาดำขับไล่ความชั่วร้ายได้นี่นา”
จื้อกุยเห็นหน้าเจ้าหมอนี่แล้วก็ให้หงุดหงิด ตอนเด็กเฉาซีนิสัยเป็นอย่างนี้ แก่แล้วก็ยิ่งหนักข้อเข้าไปใหญ่
เซี่ยสือนั่งฟังเงียบๆ มาโดยตลอด
จื้อกุยลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนถามว่า “พวกเจ้าใครกันแน่ที่เป็นเจินจวิน? ใครที่เป็นเซียนกระบี่?”
เฉาซียกถ้วยขาวขึ้น ชี้ไปยังเซี่ยสือที่นั่งตรงข้ามกับราชครูต้าหลี “เขาคือเจินจวินแห่งอุตรกุรุทวีป อีกไม่นานก็จะกลายเป็นเทียนจวินของลัทธิเต๋าแล้ว ห้าขุนเขาใหญ่ของหลายราชสำนักล้วนมีสำนักสายของเขาอยู่ ในบรรดาสายลัทธิเต๋าทั่วทั้งอุตรกุรุทวีป สายของเขาถือว่าใหญ่เป็นพิเศษ เจินเหรินเจ้าประมุขหรือเจินจวินแห่งแคว้นจากสำนักนอกรีตสำนักอื่นล้วนไม่คู่ควรที่จะถือรองเท้าให้เจินจวินเซี่ยด้วยซ้ำ เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยสือคนบ้านเดียวกันกับพวกเราผู้นี้ พวกเขาทุกคนก็เป็นได้แค่หลาน ไม่มีข้อยกเว้น”
เซี่ยสือสีหน้าดำคล้ำ “หุบปาก”
เฉาซีเอ่ยขออภัย “ก็ได้ๆๆ ไม่พูดก็ไม่พูด ใครใช้ให้เจ้าเป็นเทียนจวินลัทธิเต๋า ส่วนข้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนป่าเถื่อนคนหนึ่ง ไปหาเรื่องเจ้าไม่ได้เล่า”
ในราชวงศ์ การรับตำแหน่งเจินจวิน (เป็นคำที่ใช้เรียกขานเทพเซียนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เคารพของลัทธิเต๋า ฐานะของเจินจวินจะสูงส่งอย่างมาก) แห่งหนึ่งแคว้นของลัทธิเต๋า นอกจากจำเป็นต้องได้รับการเสนอชื่อจากกษัตริย์แล้ว ยิ่งต้องได้รับการยอมรับจากเจ้าลัทธิเต๋าที่ปกครองลัทธิของหนึ่งทวีปด้วย ยกตัวอย่างเช่นฉีเจินเจ้าสำนักโองการเทพของบุรพแจกันสมบัติทวีป ก็คือเจ้าลัทธิเต๋า หลังจากนั้นก็จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากเทียนจวิน (สำหรับลัทธิเต๋าคือคำเรียกขานเทพผู้มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลงานด้านหนึ่ง ตำแหน่งไม่สูงมากนัก ยกตัวอย่างเช่นพญายมของศาสนาพุทธที่ลัทธิเต๋าก็จัดให้เป็นเทียนจวินเช่นกัน) จำนวนเกินครึ่งในหนึ่งทวีป สุดท้ายยังต้องได้หนังสือคำสั่งแต่งตั้งจากบางสำนักในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางถึงจะได้รับตำแหน่งอย่างถูกต้องเหมาะสม
และเจ้าลัทธิเต๋าของอุตรกุรุทวีปก็คือเซี่ยสือ สำนักของเขาก็คือธูปประธานที่ตั้งอยู่ใจกลาง บวกกับที่อุตรกุรุทวีปคือสถานที่อันรุ่งโรจน์ของผู้ฝึกกระบี่ ควันธูปของลัทธิพุทธกดทับอยู่เหนือลัทธิเต๋าได้อย่างสิ้นเชิง แม้แต่เทียนจวินสักคนก็ไม่มี ต่อให้มีอยู่ครึ่งคน คนคนนั้นก็คือตัวเซี่ยสือเอง
แน่นอนว่าแจกันสมบัติทวีปเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ในฐานะทวีปที่มีพื้นที่เล็กที่สุดในบรรดาเก้าทวีปใหญ่ ต่อให้พลังอำนาจของลัทธิเต๋าจะเหนือกว่าลัทธิพุทธ ทว่าเทียนจวินของแจกันสมบัติทวีปกลับมีแค่คนเดียว อีกทั้งยังเป็นเทียนจวินใหม่ที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตสิบสอง เขาก็คือฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพแคว้นหนันเจี้ยน ซึ่งไม่ต่างจากเซี่ยสือที่มีสิทธิ์ขาดในการเลือกว่าจะให้ใครขึ้นมาเป็นเจินจวิน
แต่หากเป็นทวีปใหญ่แห่งอื่น ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่ต้องพูดให้มากความ ยกตัวอย่างเป็นทักษินาตยทวีปที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล เทียนจวินลัทธิเต๋าก็มีมากเท่านิ้วของสองมือแล้ว
“พูดให้เข้าใจง่ายๆ”
เซี่ยสือพูดเข้าประเด็น “เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่ถูกทุบแตกชิ้นนั้น พวกเราสามารถไม่เอาความผิดในอดีต แต่ข้าต้องการขอคนสามคนจากต้าหลีพวกเจ้า”
ชุยฉานวางถ้วยเหล้าในมือลง พูดพร้อมยิ้มบางๆ “เดี๋ยวก่อน อะไรคือไม่เอาความผิดในอดีต? เรื่องที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันแตก แม้ว่าผู้ตรวจการงานเตาเผาของต้าหลีเราจะเป็นฝ่ายทำผิดก่อน แต่ว่า อันดับแรก การทดสอบพรสวรรค์ของเฉินผิงอันในตอนนั้น ทำให้คนที่ซื้อเครื่องกระเบื้องมั่นใจแต่แรกแล้วว่าเฉินผิงอันไม่มีความพิเศษใดๆ ถือเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในระดับกลางค่อนไปทางล่าง เรื่องนี้แน่ใจได้อย่างไม่ต้องสงสัย ข้อสอง เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตถูกคนทุบแตก เรื่องไหนที่ต้าหลีของเราควรรับผิดชอบก็รับผิดชอบ เรื่องไหนควรชดใช้ก็ชดใช้ไปแล้ว คนซื้อเครื่องปั้นก็พยักหน้ายอมรับแล้ว แถมยังรับค่าตอบแทนไปอย่างชื่นมื่น เซี่ยสือ คำว่าไม่เอาความผิดในอดีตของเจ้าไม่มีน้ำหนักมากพอหรอกนะ”
เซี่ยสือเอ่ยน้ำเสียงเฉยชา “คนซื้อเครื่องปั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะมาก่อกวนหรือสร้างความรำคาญ แต่กองกำลังเบื้องหลังคนซื้อเครื่องปั้นต่างหากที่มีคุณสมบัติจะทำตัวไร้เหตุผลกับต้าหลีพวกเจ้า”
ชุยฉานหัวเราะเสียงดัง พยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล เขาหยิบถ้วยเหล้าขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จิบคำเล็กๆ แล้วจุ๊ปากพูด “บนโลกนี้มีเรื่องมากมายที่ไม่ได้ดังใจนี่นะ”
เฉาซีแยกเขี้ยว
สายตาของจื้อกุยเปล่งประกายวิบวับคล้ายได้ยินเรื่องที่ตัวเองรู้สึกสนใจ
ชุยฉานถาม “แล้วถ้าต้าหลีไม่ตอบรับล่ะ?”
เซี่ยสือไม่รู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในอันตรายแม้แต่น้อย ยังคงพูดต่อไปว่า “การกรีฑาทัพลงใต้ของต้าหลีเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว หากพวกเจ้าไม่รับปากก็คงต้องเป็นกังวลว่าไฟจะไหม้หลังบ้าน”
ห่วงหน้าพะวงหลัง? พื้นที่ทางเหนือของต้าหลีขยับขยายไปถึงชาดหายของมหาสมุทรใหญ่ทางทิศเหนือแล้ว
เฉาซีทำสีหน้ามีเลศนัยมองคนทั้งสาม บุคคลยิ่งใหญ่บางคนของอุตรกุรุทวีปคิดว่าตัวเองต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ หาไม่แล้วคงไม่บีบบังคับผู้อื่นถึงขั้นนี้
เห็นได้ชัดว่าความหมายในคำพูดของเซี่ยสือก็คือ ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปจะฉวยโอกาสตอนที่ต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ข้ามมหาสมุทรลงใต้มาก่อกวนพื้นที่ทางเหนือของต้าหลี
เรื่องที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันถูกทุบแตก อันที่จริงสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ได้รับการตอกปิดฝาโลงไปแล้ว ยามนี้ยกมาพูดถึงจึงเป็นแค่ข้ออ้างเส็งเคร็งของคนบางส่วนเท่านั้น
เพราะเมื่อพวกบุคคลยิ่งใหญ่เริ่มขึ้นเวทีวางแผนต่อสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า เรื่องเล็กก็จะไม่เล็กอีกต่อไป
ชุยฉานถอนหายใจเบาๆ เวลาที่คนบนภูเขาไม่มีเหตุผลก็มักจะเป็นเช่นนี้ ไม่ต่างอะไรจากเด็กเล่นขายของ พอโมโหขึ้นมาก็ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีโจมตีสังหารฝ่ายตรงข้าม น่ากลัวอย่างมาก อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ข่มขู่ให้กลัวอย่างเดียวด้วย
ไม่ใช่ว่าชุยฉานรู้สึกแปลกใหม่ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ชุยฉานเคยผ่านประสบการณ์ทำนองนี้มากับตัวเองเยอะมาก ดังนั้นจึงเฉยชามากเป็นพิเศษ
เขาจึงทำเพียงแค่ยอมถอยก่อนหนึ่งก้าว เปลี่ยนมาตั้งคำถามว่า “เจ้าต้องการพาสามคนไหนไป?”
เซี่ยสือจิบเหล้าเป็นคำแรกหลังจากนั่งลง “เฮ้อเสี่ยวเหลียง หม่าขู่เสวียน หลี่ซีเซิ่ง เน้นการเรียงตามลำดับนี้ พวกเจ้าต้าหลีสามารถมอบให้ได้กี่คน ก็จะได้ค่าตอบแทนในจำนวนที่แตกต่างกันออกไป”
ชุยฉานหัวเราะฮ่าๆ “ค่าตอบแทน? คงจะเป็นความพิโรธโกรธามากกว่าล่ะมั้ง?”
เซี่ยสือไม่ต่อคำ
หลี่ซีเซิ่งคือคนของหลงเฉวียนต้าหลี เป็นคนที่ถือว่าพูดคุยได้ง่ายที่สุด
หม่าขู่เสวียนเป็นลูกศิษย์ของเขาเจินอู่แล้ว ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งปี ชื่อเสียงของเขาก็ขจรไกล นิสัยดุร้ายชื่นชอบการเข่นฆ่า พรสวรรค์สูงล้ำ ฝึกตนวันเดียวก็ก้าวหน้าเป็นพันลี้
เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ยิ่งเป็นลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจของสำนักโองการเทพ พรสวรรค์น่าครั่นคร้าม โชควาสนาก็ยิ่งน่าตะลึง นอกจากหลี่ซีเซิ่งลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังแล้ว อีกสองคนที่เหลือล้วนเป็นความหวังของสำนัก หนึ่งคือคนจากปฐมสำนักการทหาร อีกหนึ่งคนก็มาจากพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋า ต่อให้ต้าหลีจะได้ยึดครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งของทวีปแล้ว ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะยินดีแตกหักกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้ต้าหลียังทำลายต้าสุยไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
หากสำนักโองการเทพและเขาเจินอู่ไม่พอใจ ต้าหลีก็ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นศัตรูจากผู้ฝึกตนสำนักการทหารครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงนักพรตอีกเกินครึ่งทวีป
การค้าครั้งนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ขาดทุนอยู่ดี
ชุยฉานรู้สึกว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคุยกันอีกแล้ว
คาดว่าเมื่อกลับไปถึงเมืองหลวงต้าหลี เรื่องการหากระบี่บินมาชดเชยที่หอป๋ายอวี้จิงคงต้องประเมินการณ์ถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อน
แต่จู่ๆ เซี่ยสือกลับเอ่ยว่า “ขอแค่พวกเจ้ารับปากเรื่องนี้ ข้าก็จะพาคนไปยังภูเขาปี้สู่ที่อยู่ใกล้กับสำนักศึกษากวานหู ช่วยพวกเจ้าสยบขวัญสำนักศึกษารวมถึงกองกำลังทางทิศใต้ทั้งหมด วางใจได้ พวกเราจะไม่มีทางทำอย่างขอไปทีเด็ดขาด ก็เหมือนกับข้อที่ว่าหากพวกเจ้าไม่รับปาก เรื่องที่นักพรตอุตรกุรุทวีปของเราจะบุกลงใต้โจมตีพื้นที่ทางเหนือของต้าหลีพวกเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน แต่ถ้าต้าหลีของพวกเจ้ายอมรับปาก เราจะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องขาดทุนแม้แต่น้อย นี่คือคำสัญญาจากสุดยอดนักพรตหลายท่านของอุตรกุรุทวีป ซึ่งรวมถึงตัวข้าเซี่ยสือด้วย”
เฉาซีตะลึงงัน
น่าสนใจแหะ
หากเซี่ยสือยินดีพาคนไปเฝ้าภูเขาปี้สู่จริงๆ โดยที่ไม่ได้แค่แสร้งขู่ให้กลัว ถ้าเช่นนั้นนี่จะเท่ากับว่าตัดขาดครึ่งชีวิตของต้าสุยทั้งที่พวกเขายังไม่ทันเปิดฉากรบกับต้าหลีเลยด้วยซ้ำ
หรืออาจถึงขั้นพูดได้ว่า มีความเป็นไปได้เกินครึ่งแล้วที่แผ่นดินครึ่งหนึ่งของบุรพแจกันสมบัติทวีปจะตกสู่อุ้งมือของสกุลซ่งต้าหลี
ชุยฉานกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ที่แท้ก็เป็นการเดิมพันที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ อยู่เหนือจากการคาดการณ์ของข้าไปสักหน่อย ข้าคงต้องพูดคุยกับฝ่าบาทของเราก่อนถึงจะได้”
เซี่ยสือพยักหน้ารับ “ก็สมเหตุสมผลดี ข้ารอได้ อย่างมากสุดครึ่งเดือน ฮ่องเต้ต้าหลีของพวกเจ้าต้องให้คำตอบแก่ข้า”
ชุยฉานพลันชี้ไปที่จื้อกุย “บุญคุณช่วยชีวิตสองครั้งของนาง เจ้าเซี่ยสือจะไม่พูดอะไรสักหน่อยหรือ?”
เซี่ยสือหัวเราะเสียงดังกังวาน “แน่นอน หากพวกเจ้าไม่รับปากเรื่องนี้ ข้าเซี่ยสือจะไม่เข้าร่วมการก่อกวนต้าหลี แต่หากรับปากเรื่องนี้ ข้าก็จะรับคนที่เกิดในต้าหลีสองถึงสามคนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ให้การอบรมปลูกฝังอย่างตั้งใจ ไม่ทำอะไรที่เลอะเลือนเด็ดขาด พวกเจ้าน่าจะรู้ดีว่าอีกไม่นานข้าเซี่ยสือก็จะเลื่อนขั้นเป็นเทียนจวิน ด้วยอายุของข้า เมื่อเทียบกับเทียนจวินลัทธิเต๋าทั้งหมดในเก้าทวีป ก็ยังถือว่าเป็นหนุ่มฉกรรจ์ หากจะให้พูดประโยคที่หลงตัวเองสักหน่อยก็คือ มหามรรคามารออยู่ตรงหน้าข้าอย่างแท้จริง อีกอย่างในกาลเวลานับพันปีที่ข้าเซี่ยสือเปิดสำนัก จะมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดแค่สามคนเท่านั้น!”
ชุยฉานชี้ไปที่จื้อกุย “นางถือว่าเป็นหนึ่งในนั้น?”
เซี่ยสือส่ายหน้า “นางไม่นับ แต่ขอแค่นางยินดี นางก็จะได้เป็นลูกศิษย์ที่ไม่อยู่ในจำนวนสองสามคนนั้น”
ชุยฉานต้องใช้ความคิดจึงเงียบเสียงไป
จื้อกุยใจลอยเล็กน้อย
นางเริ่มร้อนใจ อยากจะกลับไปดูที่บ้านในตรอกหนีผิงสักครั้ง ต่อให้ลูกเจี๊ยบขนฟูฝูงนั้นจะหิวตายไปแล้ว แต่นางก็ต้องได้เห็นศพพวกมันถึงจะตัดใจได้
หากพวกมันยังมีชีวิตอยู่ ถ้าอย่างนั้นเมื่อได้เห็นครั้งนี้ก็จะต้องบีบพวกมันให้ตายคามือนาง ในฐานะสัตว์ตัวน้อยที่นางเป็นผู้เลี้ยงดู จะปล่อยให้ไปตายอยู่ในปากแมวป่า ในปากหมาเร่ร่อน มันสมควรแล้วหรือไร?
—–
บทที่ 192.1 ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย
โดย
ProjectZyphon
คนทั้งสองเดินขึ้นมาบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ ทอดสายตามองไปยังทิศไกล
เด็กหนุ่มชุยชื่อและเด็กน้อยอีกสองคนที่อยู่ด้านล่างหอเรือนหันมามองหน้ากัน
หลีซีเซิ่งเอ่ยถาม “รู้ความหมายของถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า เขารู้แค่ว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นมีเงิน มีเงินมาก แผ่นหินสีเขียวปูพื้น สิงโตหิน แม้แต่เทพทวารบาลสีสันสดใสหน้าประตูก็ยังเหมือนจะมีความศักดิ์สิทธิ์มากกว่าที่อื่น
หลี่ซีเซิ่งหยิบยันต์ไม้ท้อแผ่นที่อยู่ในมือขึ้นมา “ถนนฝูลวี่ออกเสียงคล้ายกับคำว่ายันต์ คำว่าฝูเป็นตัวแทนของคำว่ายันต์ ส่วนตรอกเถาเย่ก็มาจากคำว่าท้อของยันต์ไม้ท้อ เมื่อเอามาเรียงกันจึงเป็นยันต์ไม้ท้อ”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งในบัดดล
“นี่คือโชควาสนาที่ใหญ่มากอย่างหนึ่งของเมืองเล็ก เมื่อเทียบกับวัตถุห้าธาตุซึ่งรวมปลาหลีสีทองที่เป็นหนึ่งในนั้นแล้ว ยันต์ไม้ท้อชิ้นนี้มีแต่จะเหนือกว่าของอย่างอื่น”
หลี่ซีเซิ่งพูดจ้อไม่หยุด “เมื่อปลายปี ข้าฝันประหลาด จำได้เลือนๆ ว่าฝันเห็นคนและเรื่องราวมากมาย แต่พอตื่นขึ้นมากลับลืมไปอีก เหมือนว่าจะเล่นหมากล้อมกับใครสักคน แล้วก็จำเรื่องความลับของยันต์ไม้ท้อได้ เรื่องราวสลับซับซ้อนนอกจากนี้ล้วนไม่อาจเล่าได้อย่างละเอียด”
หลี่ซีเซิ่งชี้ไปที่หอไม้ไผ่ “เดิมทีข้าก็คิดอยากจะเอายันต์ไม้ท้อนี้มาแขวนไว้บนประตูเรือนไม้ไผ่เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ถอยหนี สกัดกั้นมนต์ดำนับหมื่น พูดอย่างนี้อาจจะฟังดูเกินจริงไปสักหน่อย แต่มันสามารถทำให้เรือนไม้ไผ่ที่เดิมทีก็มหัศจรรย์น่าทึ่งแห่งนี้ยิ่งแข็งแกร่งไม่อาจทำลาย อีกทั้งเมื่อแขวนยันต์ไม้ท้อไว้นานวันเข้า ยังสามารถกระตุ้นให้แก่นแห่งพืชหญ้าที่แปลกพิสดารก่อกำเนิดได้อีกมากมาย…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่ซีเซิ่งก็เอ่ยเย้ายิ้มๆ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่ต้องการจริงๆ หรือ? ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้วนะ”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ในเมื่อมันดีขนาดนี้ พี่ใหญ่หลี่ก็เก็บไว้เองเถอะ จะต้องออกเดินทางไกลไม่ใช่หรือ? ข้าเพิ่งไปด้านนอกมารอบหนึ่ง มีสิ่งมหัศจรรย์พันลึกนับร้อยนับพัน อันตรายรายล้อมรอบด้าน จำเป็นต้องมีอาวุธอาคมอยู่ข้างกายสักชิ้น”
หลี่ซีเซิ่งถามคำถามด้วยรอยยิ้มตาหยี “เจ้าคิดว่าข้าขาดอาวุธอาคมงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง เพราะเขานึกถึงภาพการประลองอาคมระหว่างหลี่ซีเซิ่งกับเฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่ในตรอกหนีผิงขึ้นมา แต่แล้วทันใดนั้นประโยคหนึ่งในหนังสือก็ผุดวาบขึ้นมาในหัวเขา “ยิ่งมีมากก็ยิ่งดี!”
หลี่ซีเซิ่งจนใจอย่างยิ่ง ได้แต่เก็บยันต์ไม้ท้อไปแขวนไว้ตรงเอวเหมือนเดิม กล่าวเหมือนเสียดายว่า “เดิมทีถ้าแขวนไว้บนประตูเรือนไม้ไผ่จะเหมาะมากเลย”
หลี่ซีเซิ่งถึงขั้นหันหน้าไปมองทางประตูด้านหลัง “แขวนไว้ตรงนี้เหมาะมากจริงๆ นะ”
อันที่จริงท่าทางเขาเหมือนเด็กน้อยอย่างมาก
เฉินผิงอันอยากหัวเราะ แต่ก็เกรงใจจึงได้แต่ข่มกลั้นเอาไว้
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะหลี่ซีเซิ่งคือพี่ชายของหลี่เป่าผิง เขาจึงเต็มใจจะใกล้ชิด แต่เมื่อได้พูดคุยกันหลายครั้งเข้า เฉินผิงอันก็ยิ่งชื่นชอบบัณฑิตคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะหลี่ซีเซิ่งมีคุณธรรมอยู่เต็มหัวใจ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นผู้ฝึกลมปราณที่เพิ่งจะก้าวสู่โลกกว้างก็สามารถประมือกับเฉาจวิ้นได้โดยตรง แต่เป็นเพราะสิ่งละอันพันละน้อยที่บุรุษผู้นี้ปฏิบัติต่อโลกทำให้คนรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ร่วมด้วย
หรือยกตัวอย่างเช่นมือกระบี่อย่างอาเหลียง บัณฑิตอย่างฉีจิ้งชุน
ต่อให้อาเหลียงจะไม่เคยหยิบกระบี่ขึ้นมา ฉีจิ้งชุนเองก็ไม่เคยพูดถึงหลักการยิ่งใหญ่ในตำรากับเฉินผิงอัน แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่า พวกเขาคือมือกระบี่ที่ดีที่สุด คือบัณฑิตที่มีความรู้มากที่สุด
ลึกๆ ในใจเฉินผิงอันคาดหวังว่าตัวเองจะเป็นคนแบบนั้น แต่เขาไม่เคยพูดความในใจเหล่านี้กับใคร ด้วยกลัวจะถูกคนอื่นมองว่าไม่เจียมตน
หลี่ซีเซิ่งตัดสินใจได้ในฉับพลัน “ไม่ได้ๆ มโนธรรมในใจมิอาจเป็นสุขได้เลย ข้าจะจากไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้!”
เฉินผิงอันขยับปากจะพูด
หลี่ซีเซิ่งพลันยื่นมือมากดไหล่เฉินผิงอัน กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เฉินผิงอัน ข้าขอปากมากสักคำ วันหน้าเมื่อคบค้าสมาคมกับผู้อื่น อย่าได้เอาการกระทำของตัวเองเป็นมาตรฐาน เรียกร้องให้ทุกคนเป็นเหมือนตัวเองเด็ดขาด ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เจ้าคิดว่าปฏิเสธไม่รับยันต์ไม่ท้อคือเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินแล้ว เพราะเจ้าคิดพิจารณาแทนข้าหลี่ซีเซิ่ง ดังนั้นจึงถามใจตนแล้วไม่ละอาย ถูกหรือไม่? ถูก ถูกมาก แต่ เจ้าต้องรู้ด้วยว่าข้าวร้อยชนิดเลี้ยงคนร้อยแบบ เมื่อเจ้าสบายใจแล้วก็ควรคิดเผื่ออีกหนึ่งก้าว พยายามคิดให้ได้ว่าจะทำอย่างไรให้คนข้างกายเจ้ารู้สึกสบายใจเหมือนเจ้าด้วย”
หลี่ซีเซิ่งตบไหล่เฉินผิงอัน “คิดซะว่าเป็นข้าที่ทำให้คนอื่นลำบากใจ เจ้าไม่ต้องคิดมาก หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ข้าไม่มีทางพูดอย่างนี้แน่นอน แต่ว่าเจ้าเฉินผิงอันนั้นไม่เหมือนคนอื่น ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนดีมาก และยังดีได้มากกว่านี้อีก บางครั้งเจ้าถึงขั้นทำให้คนข้างกายรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ รู้หรือไม่?”
เฉินผิงอันทำหน้าเหรอหรา
ข้าดีขนาดนั้นเชียวหรือ?
หลี่ซีเซิ่งหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เดินไปที่ราวระเบียง กวักมือเรียกชุยชื่อเด็กรับใช้ที่อยู่ด้านล่าง “เอาห่อสัมภาระขึ้นมา ข้าจะใช้ตอนนี้”
“ได้เลย อาจารย์รอสักครู่”
เด็กหนุ่มผู้มีหน้าตางามประณีตดุจเครื่องปั้นเนื้อดีรีบวิ่งขึ้นไปบนหอเรือน ปลดห่อสัมภาระที่แบกไว้ด้านหลังลงอย่างคล่องแคล่ว ด้านในห่อสัมภาระมีกล่องร้อยสมบัติที่ปัญญาชนทุกคนต้องมีติดตัวยามออกเดินทางท่องเที่ยว ในกล่องบรรจุพู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึกครบชุด ทั้งหมดล้วนเป็นของเก่าจึงไม่หรูหรามากนัก
หลี่ซีเซิ่งหยิบพู่กันด้ามหนึ่งที่เล็กมากออกมา ดูเหมือนว่าจะเอาไว้ใช้เขียนตัวอักษรบรรจงหรือตัวอักษรตวัดแบบเล็กโดยเฉพาะ ครึ่งท่อนบนของด้ามพู่กันสลักสี่ตัวอักษรว่า ‘เหล็กหมาดลมหิมะ’ ตัวพู่กันทำมาจากไม้ไผ่ แต่เนื่องด้วยสืบทอดกันมาหลายรุ่น ผ่านการตกตะกอนของกาลเวลาอันยาวนานจึงเกลี้ยงเกลาเป็นสีแดงมันวับ ที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือปลายพู่กันที่แข็งเป็นสีทองอ่อนๆ ตรงแน่วเหมือนปลายแหลมของเหล็กหมาด
รอจนหลี่ซีเซิ่งจับพู่กันแล้ว เฉินผิงอันจึงขยับเข้ามาใกล้ เขาถึงเห็นว่าท่อนล่างของด้ามพู่กันยังมีตัวอักษรเล็กๆ เท่าหัวแมลงวันอีกสี่ตัวซึ่งหากไม่สังเกตก็แทบจะมองไม่เห็น
“ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย”
หลี่ซีเซิ่งเองก็สังเกตได้ว่าเฉินผิงอันเห็นตัวอักษรสี่ตัวจึงยกด้ามพู่กันขึ้นเล็กน้อย พลางอธิบายด้วยรอยยิ้ม “อ่านหนังสือร้อยรอบย่อมเข้าใจกระจ่างแจ้ง อ่านตำรานับหมื่น ตวัดพู่กันดุจมีเทพช่วย ส่วนการฝึกวิชาหมัดของพวกเจ้าก็มีคำพูดที่คล้ายคลึงกันนี้ กล่าวว่าสมาธิไม่เกิด หมัดไม่เยี่ยม ฟังแล้วอาจเลื่อนลอย แต่กลับกล่าวได้ไม่ผิดเลยสักนิดเดียว สิ่งที่ต้องการกล่าวถึงคือคำว่ามานะ ความเคยชินคือบ่อเกิดของความชำนาญ ความชำนาญก่อให้เกิดความลี้ลับมหัศจรรย์ ทำตามลำดับพัฒนาทีละขั้นตอนก็จะรู้ได้เอง เมื่อรู้หนึ่งวิธี เชี่ยวชาญหนึ่งวิธีย่อมเข้าใจอีกหมื่นวิธีอย่างปรุโปร่ง หมื่นวิธีล้วนสำเร็จบรรลุผล”
วินาทีนั้น ในหัวของชุยชื่อพลันมีประกายแสงเปล่งวาบคล้ายจับเค้าอะไรบางอย่างได้ เขาเกาหูเกาคาง ร้อนรนจนแทบทนอยู่เฉยไม่ได้
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่อยู่กับตำรามาตั้งแต่เด็กมึนๆ งงๆ รู้สึกเหมือนดื่มเหล้าที่หมักมานานลงไปไหหนึ่งจึงเมามายไร้สติ
มีเพียงเด็กชายชุดเขียวเท่านั้นที่นั่งแคะขี้มูกอยู่บนราวระเบียง ไม่ได้สนใจใยดีอะไรเลยแม้แต่น้อย ทว่าพอเห็นอาการประหลาดของคนทั้งสองก็เริ่มอึ้งตะลึง
เฉินผิงอันกลับไม่ได้มีความรู้สึกร่วมด้วยมากนัก เพียงแค่จดจำหลักการเหล่านี้ไว้ในใจเงียบๆ
หลี่ซีเซิ่งเป่าลมใส่ปลายพู่กันเบาๆ หนึ่งที ปลายพู่กันแข็งทื่อสีทองก็เหมือนจะเปลี่ยนมาเป็นชุ่มชื้น แม้ว่าประกายคมกริบยังคงอยู่ ปลายพู่กันยังคงเหมือนปลายเหล็กหมาด แต่กลับมีชีวิตชีวามากขึ้น
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ “เอาปลามาให้คน ไม่สู้สอนให้คนรู้วิธีตกปลา ในเมื่อเจ้าไม่รับยันต์ไม่ท้อ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรต้องเอาสิ่งที่ตระหนักรู้จากการดูแลบ้านออกมาแสดงสักหน่อย แม้ข้าหลี่ซีเซิ่งจะยังไม่มีความรู้ยิ่งใหญ่อะไร แต่ก็คิดว่าตัวเองพอจะเชี่ยวชาญด้านการสลักตัวอักษรและการวาดยันต์อยู่บ้าง วันนี้ข้าจะเขียนยันต์ลงบนแผ่นไม้ไผ่ของเรือนนี้ วางใจเถอะ เมื่อเขียนไปแล้วจะไม่ทิ้งตัวอักษรใดๆ ที่ตาเปล่ามองเห็นเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ทำลายความงดงามโดยรวมของเรือนไม้ไผ่ เพียงแต่วันหน้าอาจจะมีภาพเหตุการณ์บางอย่างปรากฎขึ้นมา ถึงเวลานั้นเจ้าก็อย่าแปลกใจแล้วกัน วันนี้หลักๆ แล้วจะสอนเจ้าเรื่องการวาดยันต์ เมื่อไหร่ที่เจ้ารู้สึกว่าจับจุดที่สำคัญไว้ได้แล้ว ข้าถึงจะหยุดเขียน เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะค่อยๆ เขียน เจ้าเองก็ค่อยๆ ทำความเข้าใจ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเขินอาย “ข้าค่อนข้างโง่ พี่ใหญ่หลี่ท่านควรทำใจไว้ก่อน”
หลี่ซีเซิ่งขยับเท้าเบาๆ หันหน้าเข้าหาผนังด้านหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ มือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งถือพู่กัน พอหาที่ที่จะเขียนลงไปได้แล้วก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากคนที่จิตใจดีงามคือคนโง่ คนที่ขยันไม่ย่อท้อคือคนโง่ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าวิถีแห่งโลกของเรามีปัญหา เฉินผิงอัน ข้าหวังว่าเจ้าจะยืนหยัดรักษาความไม่ฉลาดแบบนี้ต่อไป”
เฉินผิงอันเกาหัว เขาถูกผู้เฒ่าเหยาด่ามาจนชินตั้งแต่เด็ก เคยชินกับการมองชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันของคนอื่น พอวันนี้หลี่ซีเซิ่งเอ่ยชมเขาแบบนี้ เขาจึงปรับตัวไม่ทันสักเท่าไหร่
หลี่ซีเซิ่งคิดแล้วก็หันหน้ามาพูดว่า “เรื่องการเขียนยันต์ถือเป็นสิ่งที่สายยันต์ของลัทธิเต๋าให้ความสำคัญมาโดยตลอด อันที่จริงการเขียนยันต์ของพวกเราไม่จำเป็นต้องยึดติดกับระบบของลัทธิเต๋ามากเกินไป สัจธรรมบนโลกใบนี้สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้นสิ่งเน่าเปื่อยแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ก็เหมือนกับการฝึกหมัดของเจ้า…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่ซีเซิ่งก็ยิ้มอย่างเข้าใจ “ที่งดงามอย่างมาก”
มีเด็กหนุ่มฝึกหมัด มีภูเขามองภูเขา มีน้ำก็พิศดูน้ำ
หลี่ซีเซิ่งรู้สึกว่าบนโลกใบนี้ไม่มีภาพวาดม้วนใดที่จะมีความเป็นบทกวีได้มากเท่าภาพนี้อีกแล้ว
หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะกลั้นหายใจทำสมาธิ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “วาดยันต์จำเป็นต้องมีกระดาษยันต์ กระดาษยันต์จะเป็นวัตถุใดบนโลกใบนี้ก็ได้ แต่ตอนนี้เจ้ายังจำเป็นต้องทำตามขั้นตอนโดยการวาดยันต์ลงบนกระดาษเท่านั้น เดี๋ยวเสร็จจากนี้ข้าจะส่งกระดาษยันต์คุณภาพไม่เลวปึกหนึ่ง รวมไปถึงภาพยันต์ที่ถูกหลักส่วนหนึ่งมาให้ ตอนนี้เจ้ายังไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการซื้อกระดาษยันต์ชั่วคราว แต่ถ้าใช้หมดแล้วก็คงเป็นเรื่องให้เจ้าต้องกังวล นี่ช่วยไม่ได้ หนึ่งในความยากของการฝึกตนก็คือเผาผลาญทรัพย์สินมากเกินไป ผู้ฝึกกระบี่หลอมกระบี่บิน นักเขียนยันต์ก็ต้องสิ้นเปลืองกระดาษยันต์ เป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้”
“กรอกปราณที่แท้จริงส่วนหนึ่งเข้าไปยังปลายพู่กัน จากนั้นก็เขียนให้เสร็จในรวดเดียว เหมือนบัวที่ตัดขาดก็ยังเหลือใย ตัวอักษรขาดออกจากกันได้ แต่ความศักดิ์สิทธิ์มิอาจให้ขาด จำเป็นต้องขานรับกันตลอดเวลา เหมือนเวลาตะโกนเสียงดังอยู่บนยอดเขาใหญ่สองยอดที่ต้องได้ยินเสียงสะท้อนตอบรับ”
“เฉินผิงอัน จงดูให้ดี”
หลี่ซีเซิ่งพลันเปลี่ยนพู่กัน ‘เหล็กหมาดลมหิมะ’ ไปไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง เช็ดมือข้างที่ว่างอยู่กับชายแขนเสื้อ เช็ดเสร็จแล้วถึงได้เปลี่ยนพู่กันกลับมามือเดิม พูดยิ้มๆ กับเฉินผิงอันว่า “เรื่องนี้ข้าเรียนรู้มาจากเจ้า นั่นคือ สำหรับเรื่องบางเรื่อง ต้องมอบความเคารพให้ เมื่อก่อนข้าสู้เจ้าไม่ได้ แต่ในเมื่อเห็นตัวอย่างที่ดีจึงเลือกเอามาปรับปรุงตัวเอง”
ครั้งแรกที่พบหน้ากันตรงหน้าประตูจวนใหญ่สกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ ก่อนหน้าที่เฉินผิงอันจะรับหนังสือมาจากมือของหลี่ซีเซิ่ง เขาวางไหในมือลงก่อน เช็ดมือแล้วถึงได้กล้ารับหนังสือมา
ไหนเลยที่เฉินผิงอันจะคิดว่าการกระทำโดยบังเอิญนี้จะทำให้หลี่ซีเซิ่งคิดเป็นจริงเป็นจังถึงเพียงนี้
ในที่สุดหลี่ซีเซิ่งก็เริ่มวาดยันต์ แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับเหมือนบัณฑิตที่กำลังตั้งใจเขียนตัวอักษรมากกว่า
อยู่บนหอเรือนมองพระอาทิตย์ขึ้นเหนือมหาสมุทรไพศาล
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น