อัจฉริยะสมองเพชร 1910-1913

 ตอนที่ 1910 ความพิเศษของจ้าวหย่า

นับตั้งแต่วินาทีที่สำเร็จวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณ จางเซวียนรู้ตัวว่าเขาคือผู้อยู่เหนือสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ กลายเป็นครูบาอาจารย์ของโลกอย่างแท้จริง


ทุกคำพูดและการกระทำของเขาสามารถบงการเจตจำนงของสวรรค์และแม้แต่แก้ไขมันให้ถูกต้องได้ นี่คือความสามารถเดียวกันกับที่เหล่าทายาทของปรมาจารย์ขงมี…คือวาจาสิทธิ์


เขาเคยคิดว่าตัวเองหลุดพ้นจากเส้นทางของปรมาจารย์ขงไปแล้วและคงไม่ได้รับอิทธิพลจากปรมาจารย์ขงอีก แต่ใครจะไปรู้ว่าลงท้ายเขาก็ยังเดินตามรอยเท้าของอีกฝ่าย ราวกับว่าทุกย่างก้าวได้นำพาเขาเข้าใกล้การเป็นปรมาจารย์ขงคนต่อไปมากกว่าเดิม


ในอดีต ปรมาจารย์ขงคงสำเร็จวรยุทธขั้นนี้เช่นกัน จึงถ่ายทอดความสามารถในการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของโลกด้วยถ้อยคำให้เหล่าทายาทของเขาได้


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะสลัดเรื่องเหล่านั้นออกจากหัวสมอง


ไม่สำคัญแล้วว่าเขาจะเดินตามรอยปรมาจารย์ขงหรือไม่…ตราบใดที่เขาทุ่มเททุกอย่างให้กับสิ่งที่ตัวเองทำ จะมัวมาครุ่นคิดเรื่องเหล่านั้นอยู่ทำไม?


จางเซวียนกำหมัดแน่นขณะสำรวจตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาอย่างถี่ถ้วน


แม้จะสำเร็จแค่วรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด แต่ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ในตอนนี้ เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถเล่นงานเทพเจ้าที่ปรากฏตัวในอาณาจักรคุนฉื่อก่อนหน้านี้ได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียว


ดูเหมือนการที่จางเซวียนกดข่มวรยุทธไว้หลายต่อหลายครั้งจะไม่สูญเปล่า พละกำลังเหล่านั้นปรากฏทันทีที่เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ มันมากมายมหาศาลเกินกว่าจะจินตนาการได้


ฟึ่บ!


ภาพวาดที่จางเซวียนกำไว้แน่นในมือของเขาแหลกสลายเป็นผุยผงในทันที


เพื่อเติมพลังให้กับการฝ่าด่านวรยุทธก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแต่จางเซวียนจะใช้นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่อยู่ในภาพวาดจนหมด เขายังกลืนกินหยดเลือดนักปราชญ์โบราณทุกหยดที่ได้มาจากเทพเจ้าทั้ง 2 องค์ที่สังหารไปด้วย ตอนนี้จางเซวียนรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปจนกรอบเหมือนเดิม


ความมั่งคั่งช่างเป็นภาพลวงตาเสียนี่กระไร!


“ลาก่อน!”


จางเซวียนเคาะนิ้ว เขาถ่ายทอดเทคนิควรยุทธฉบับเรียบง่ายเข้าสู่หัวสมองของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะหันหลังกลับแล้วหายวับไป


“ลาก่อน…จางเซวียน!” เสิ่นปี้หรูนัยน์ตาแดงก่ำขณะตัวสั่นไม่หยุดเธอรู้ดีว่าการจากกันครั้งนี้คือการแยกทางที่ทั้งคู่จะไม่มีวันกลับมาพบกันอีก


ในเวลาเดียวกัน หลังจากแน่ใจในตัวตนของชายหนุ่มที่อยู่กลางอากาศแล้ว ฝูงชนในเมืองนั้นก็พากันทรุดตัวลงคุกเข่า


“คารวะปรมาจารย์จาง!”


สมกับที่เป็นครูบาอาจารย์ของโลก ทุกการกระทำของเขาล้วนแต่เป็นตำนาน!


…..


จางเซวียนบินตรงไปยังพื้นที่เงียบสงบแห่งหนึ่งที่นักรบธรรมดาสามัญไม่อาจมองเห็นเขาได้ เขาหยุดอยู่กับที่ เหลียวมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง จากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า “ออกมาเถอะ!”


“ท่านอาจารย์!”


จ้าวหย่า หวังหยิ่ง หลิวหยาง เจิ้งหยาง หยวนเทา ลู่ชง เว่ยหรูเหยียน จางจิ่วเซี่ยว ขงซือเหยา…ศิษย์สายตรงทั้ง 9 คนของเขาโผล่ออกจากเงามืดอย่างรวดเร็วและโค้งคำนับให้


2 ปีที่ผ่านมา จางเซวียนรับศิษย์สายตรงไว้ทั้งหมด 9 คน ซึ่งลงท้ายแต่ละคนก็ก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์กลายเป็นบุคคลที่ยืนอยู่ชั้นบนสุดของพีระมิด


“เข้ามารุมผมพร้อมๆกันเลย ผมอยากเห็นว่าพวกคุณเติบโตขึ้นแค่ไหน” จางเซวียนพูดขณะเอาสองมือไพล่หลังไว้


ศิษย์สายตรงทั้ง 9 คนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง


ฟึ่บ!


ทั้ง 9 คน เข้ารุมล้อมจางเซวียนจากทุกทิศทาง


ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา พวกเขาต่างพัฒนาวรยุทธขึ้นอีกมาก แม้แต่ผู้ที่เคยมีวรยุทธอ่อนด้อยที่สุดในอดีต, หยวนเทา ก็สำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 2 บรมครูนักปราชญ์ขั้นกลางหลังจากที่ผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณมา 2 ครั้ง ส่วนคนอื่นๆอย่างจ้าวหย่า ขงซือเหยา เจิ้งหยาง และหลิวหยางก็ล้วนสำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด


หากพวกเขาผนึกพละกำลังกัน ก็สามารถสกัดกั้นได้แม้แต่เวลาและมิติ ถ้าเทพเจ้าที่เคยปรากฏตัวก่อนหน้านี้ต้องเผชิญกับการผนึกกำลังกันโจมตี ก็คงแทบต้านทานไม่ไหว


แต่เมื่อเป้าหมายคือจางเซวียน การโจมตีที่มีอานุภาพทำลายล้างของทั้ง 9 คนก็ถูกสกัดกั้นไว้ได้อย่างง่ายดายด้วยชั้นพลังปราณที่โอบล้อมร่างของเขาอยู่


อันที่จริง ขอแค่จางเซวียนปรารถนา ก็สามารถเคลื่อนไหวได้ว่องไวจนไม่มีใครตามการเคลื่อนไหวของเขาทัน


ถึงตอนนี้ สายเลือดตระกูลจางไร้ประโยชน์ต่อเขาอย่างสิ้นเชิงแล้วการเร่งเวลากลายเป็นความสามารถที่เขาเปิดใช้งานได้เพียงแค่ใช้ความคิดแวบเดียว


ทั้งสองฝ่ายปะทะกันครู่หนึ่ง ไม่ช้าจางเซวียนก็รับรู้ว่าตัวเขากับศิษย์สายตรงแต่ละคนทรงพลังแค่ไหน เมื่อรู้สึกว่าสู้กันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จางเซวียนยกนิ้วชี้ขึ้นและเคาะไปข้างหน้าเบาๆ “พอ!”


พลั่ก!


ทั้ง 9 คนถูกสอยกระเด็นไปพร้อมๆกัน ต่างคนต่างหน้าซีด


คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่าพวกเขาคือทีมนักรบที่ทรงพลังที่สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์ในเวลานี้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าขนาดรวมพลังกันแล้วก็ยังต้านทานการโจมตีเพียงครั้งเดียวจากนิ้วมือของท่านอาจารย์ไม่ได้…


“จ้าวหย่ากับเจิ้งหยาง พวกคุณขยันหมั่นเพียรฝึกฝนไม่น้อย ผมดูออกว่าคุณพัฒนาตัวเองได้มากตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ส่วนพวกคุณที่เหลือก็เหมือนกัน ทำได้ดีมาก ว่าแต่…ขงซือเหยา คุณต้องฝึกฝนหนักกว่านี้อีกหน่อยนะ ถึงตอนนี้คุณจะไม่ได้มีวรยุทธอ่อนด้อยที่สุดแต่ระดับการพัฒนาของคุณยังออกจะล้าหลังอยู่สักหน่อย” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต


ความก้าวหน้าของลูกศิษย์แต่ละคนทำให้เขารู้ว่าคนเหล่านั้นฝึกฝนอย่างหนักแค่ไหน แต่ในทางกลับกัน ผู้ที่มีอัตราความก้าวหน้าเชื่องช้าที่สุดกลับกลายเป็นศิษย์สายตรงคนล่าสุดที่เขาเพิ่งรับไว้, ขงซือเหยา


ก่อนจางเซวียนจากมา เขายังไม่ได้มอบคำชี้แนะใดๆให้เธอทำให้การยกระดับวรยุทธของอีกฝ่ายจากขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดขั้นกลางมาเป็นขั้นสูงต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี ในฐานะศิษย์สายตรงคนหนึ่งของจางเซวียน ความก้าวหน้าระดับนี้ถือว่าใช้ไม่ได้


“ฉัน…” ขงซือเหยาพูดไม่ออก


เธอจำต้องยอมรับความจริงอย่างเจ็บปวดว่าเธอคือผู้ที่ก้าวหน้าได้ช้าที่สุดตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ เธอเคยคิดว่าด้วยสายเลือดตระกูลขงที่เธอมี ต่อให้ตอนนี้เธอยังเทียบชั้นกับจ้าวหย่าเจิ้งหยาง และคนอื่นๆไม่ได้ แต่ไม่ช้าไม่นานก็คงตามพวกเขาทันแต่สุดท้าย ทุกคนก็กลับทิ้งห่างจากเธอไป


เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกได้ว่าพรสวรรค์อันน่าทึ่งที่สายเลือดตระกูลขงมอบให้เธอมีแต่จะทำให้เธอล้าหลัง ช่างโง่เง่าเหลือเกินที่คิดว่าลำพังสติปัญญาของเธอจะสูงส่งพอให้ตามทันบรรดาศิษย์พี่ที่ล้วนแต่เพียรพยายามอย่างหนักได้


ถ้าเธอไม่ไขว่คว้าทุกสิ่งอย่างเต็มกำลัง ก็มีแต่จะถูกทิ้งให้รั้งท้าย


ยังไม่ต้องพูดถึงท่านอาจารย์ของเธอที่เป็นถึงครูบาอาจารย์ของโลก! ไม่มีทางที่ศิษย์สายตรงของครูบาอาจารย์ของโลกจะถูกจำกัดไว้ด้วยข้อจำกัดเรื่องสติปัญญา!


“เอาล่ะ นี่คือสิ่งที่ผมได้ทำความเข้าใจตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ผมจะถ่ายทอดทุกอย่างให้พวกคุณเดี๋ยวนี้ ส่วนพวกคุณจะทำความเข้าใจได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วล่ะ!” จางเซวียนเคาะนิ้วและถ่ายทอดภูมิปัญญาที่เขาได้รับมาระหว่างการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณเข้าสู่สมองของศิษย์สายตรงทั้ง 9 คน


ด้วยระดับวรยุทธของพวกเขา ไม่จำเป็นที่จะต้องจ้ำจี้จ้ำไชกันทีละขั้นราวกับนักรบมือสมัครเล่นอีกต่อไป ทั้งหมดที่จางเซวียนต้องทำก็คือมอบทรัพยากรให้ และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้าถึงการรู้แจ้งด้วยตัวเอง


วรยุทธนั้นเป็นของใครของมัน ในฐานะอาจารย์ บทบาทของเขาคือพาทุกคนผ่านประตูและชี้เส้นทางที่เหมาะสมให้ ส่วนแต่ละคนจะไปได้ไกลแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา


ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้ก่อนหน้านี้จางเซวียนพยายามผลักดันให้ศิษย์ทุกคนแสวงหาเส้นทางของตัวเอง ไม่อย่างนั้น ทุกคนก็จะไม่มีวันได้รับประสบการณ์ล้ำค่าที่จะทำให้พวกเขาเติบโตและมีวุฒิภาวะมากกว่าเดิม


ศิษย์สายตรงทั้ง 9 คนรับการถ่ายทอดความรู้ของจางเซวียนไว้อย่างรวดเร็ว นัยน์ตาของพวกเขาเปล่งประกายของความตื่นเต้น


ด้วยภูมิปัญญานี้ ทุกคนจะสามารถใช้มันยกระดับวรยุทธและขัดเกลารากฐานของวรยุทธได้ต่อไป


จางเซวียนรู้ว่าคงต้องใช้เวลาสักระยะในการที่ศิษย์สายตรงของเขาจะซึมซับสิ่งที่เพิ่งได้รับ แต่เขาไม่มีเวลาจะเสียมากขนาดนั้น จึงพูดขึ้น “ผมตั้งใจจะมุ่งหน้าไปยังค่ายกลของอาณาจักรคุนฉื่อ พวกคุณควรมากับผมนะ”


ทั้ง 9 คนพยักหน้ารับ


จากนั้น พวกเขาก็มุ่งหน้าสู่อาณาจักรคุนฉื่อ ภายในไม่ถึง 10 นาทีก็มาถึงแท่นบูชาที่อยู่ใต้ค่ายกลซึ่งนำไปสู่มิติเบื้องบน


หลังจากที่จางเซวียนซ่อมแซมค่ายกลแล้ว รอยแยกทั้งหมดที่เคยปรากฏก่อนหน้านี้ก็สมานตัวเข้าหากันอย่างสนิท ทำให้ที่นี่ดูแทบไม่ต่างจากที่อื่นๆ พลังงานหน้าตาเหมือนปรอทที่เคยซึมซาบเข้ามาก็สลายตัวไปจนอยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย


เท่าที่เห็น ดูเหมือนค่ายกลจะทำหน้าที่ของมันได้ดี ด้วยการอารักขาของค่ายกล จางเซวียนแน่ใจว่าจะไม่มีเทพเจ้าองค์ไหนผ่านค่ายกลเข้ามาได้ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก


“อีกฝั่งหนึ่งของค่ายกลคือมิติเบื้องบน มันเต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณหนักอึ้ง ที่นั่นอันตรายมาก แต่ผมเชื่อว่ามันคือกุญแจที่จะนำไปสู่การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ พวกคุณอยากลองซึมซับมันดูไหม?”


จางเซวียนเคาะนิ้วๆ แล้วหลุมดำขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นในค่ายกลพลังงานหนักอึ้งพวยพุ่งลงมา ทำให้แท่นบูชาเกิดรอยร้าวเพราะน้ำหนักของมัน


ในเมื่อเขาสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณแล้ว ก็ได้เวลาที่จะจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไปเพื่อเข้าสู่มิติเบื้องบนเสียที


ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่มีวันได้พบหลัวลั่วชิง และโชคชะตาของทั้งคู่ก็จะถูกแยกจากกันตลอดกาล


แต่ในการจะเข้าสู่มิติเบื้องบน สิ่งแรกที่จางเซวียนต้องทำก็คือปรับตัวให้คุ้นชินกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทก่อนเหตุผลที่เขาพาเหล่าศิษย์สายตรงมาที่นี่ก็เพราะอยากให้คนเหล่านั้นได้รู้จักพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท เพื่อจะได้ระมัดระวังเอาไว้


ซรืดดดดด!


ได้ยินคำพูดของจางเซวียน ทั้ง 9 คนต่างซึมซับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทเข้าไปคนละหน่อย ครู่ต่อมา พวกเขาก็รู้สึกเหมือนทางเดินพลังปราณกำลังจะถูกทำลายเพราะน้ำหนักมหาศาลนั้น ทุกคนรีบขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ทางเดินพลังปราณของตัวเอง


พลังจิตวิญญาณนี้น่าสะพรึงเหลือเกิน ขนาดพวกเขาสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณแล้ว มันก็ยังเหนือชั้นเกินกว่าจะรับมือไหว


“ท่านอาจารย์ ฉันคิดว่า…ฉันซึมซับพลังจิตวิญญาณนี้ได้!”


ขณะที่จางเซวียนกำลังถอนหายใจเฮือกอย่างผิดหวัง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เขารีบหันกลับไปและเห็นจ้าวหย่ากำลังมองมาด้วยสีหน้าสับสน


พลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทไหลเวียนช้าๆอยู่ในร่างกายของจ้าวหย่า แต่ร่างกายของเธอไม่แสดงอาการต่อต้านมันแม้แต่น้อย


ตอนที่ 1911 จ้าวหย่าฝ่าด่านวรยุทธ

“ฝึกฝนวรยุทธต่อไป อย่าหยุด!” จางเซวียนเร่งขณะเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อจับตาดูสาวน้อยอย่างใกล้ชิด


ขณะที่พลังงานหน้าตาเหมือนปรอทไหลเวียนไปทั่วร่างของจ้าวหย่า มันก็ขัดเกลาพลังปราณของเธอไปด้วย ทำให้ระดับวรยุทธของจ้าวหย่าเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก ภายในเวลาเพียง 10 นาที เธอก็ยกระดับวรยุทธได้เท่ากับการฝึกฝนวรยุทธทั้งวัน!


“นี่มัน…มันคือทางเดินพลังปราณที่ได้รับการปรับเปลี่ยน!” จางเซวียนพลันนึกได้


ก่อนหน้านี้ ทางเดินพลังปราณของจ้าวหย่าถูกทำลายจนเสียหายอย่างสิ้นเชิงขณะพยายามช่วยชีวิตเขา จางเซวียนจึงใช้เถาวัลย์ของน้ำเต้าตงฉู่สู่สร้างทางเดินพลังปราณชุดใหม่ให้จ้าวหย่า


พลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทควรจะมีอานุภาพมากพอในการทำลายทางเดินพลังปราณของนักรบคนไหนก็ตามได้อย่างง่ายดาย แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง จ้าวหย่าไม่ต้องเผชิญกับปัญหานั้น


น่าสงสัยเหลือเกินว่าแท้ที่จริงแล้วเถาวัลย์นั้นคืออะไร มันสามารถซึมซับพลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้งนี้ไว้ได้โดยไม่สร้างความตึงเครียดให้กับร่างกายของจ้าวหย่า ไม่ก่อให้เกิดความบอบช้ำใดๆอย่างที่มักเกิดกับนักรบทั่วไป


ครู่ต่อมา จ้าวหย่าก็ระงับการฝึกฝนวรยุทธไว้ก่อนจะหันกลับมามองท่านอาจารย์อย่างตื่นเต้น “ท่านอาจารย์ ฉันคิดว่าฉันน่าจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้สบายหากยังซึมซับพลังจิตวิญญาณหนักอึ้งนี้ต่อไป!”


เธอสำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกแล้วจากการหมั่นเพียรฝึกฝนอย่างหนักตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา แต่ในชั่วพริบตา ก็พบว่าตัวเองไม่อาจไปได้ไกลกว่านั้น ราวกับได้มาถึงความเป็นสุดยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว ไม่มีเส้นทางที่เหนือไปกว่าจะให้เธอก้าวเดินอีกต่อไป


มันคือด่านคอขวดของโลก!


แต่เมื่อเธอซึมซับพลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้ง ก็รู้สึกได้ถึงภูมิปัญญาสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้แทบไม่อยากเชื่อ


“ผมเห็นแล้ว” จางเซวียนพยักหน้า


เขาไม่ได้พูดอะไรมากนักเรื่องสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับจ้าวหย่า แต่ใคร่ครวญแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น


พลังจิตวิญญาณของทวีปแห่งปรมาจารย์แตกต่างจากพลังจิตวิญญาณของมิติเบื้องบนมาก ทั้งในแง่ของความเข้มข้นและคุณภาพ ด่านคอขวดที่เคยสกัดกั้นเหล่านักรบไว้จากการสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติเหมือนกับประตูเหล็กกล้าสองบานที่กระแสน้ำทั่วไปไม่อาจผลักดันให้มันเปิดออกได้ ต้องใช้คลื่นที่รุนแรงและมีพละกำลังทำลายล้างเข้ากระแทกประตูเหล็กนั้นเพื่อพังมันให้แยกออกจากกัน


“เป็นอย่างที่เราคิดไว้เลย กุญแจของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่การเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติก็คือการซึมซับพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอท!” จางเซวียนพยักหน้า มั่นอกมั่นใจในข้อสันนิษฐานของเขายิ่งขึ้นกว่าเดิม


นี่คงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พละกำลังของเหล่านักรบในทวีปแห่งปรมาจารย์เหลื่อมล้ำกับเหล่าเทพเจ้าที่ลงมาจากมิติเบื้องบนอย่างมาก เทพเจ้าเหล่านั้นได้รับการบ่มเพาะจากพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติจึงไม่ใช่ภารกิจที่ยากเย็นอะไรสำหรับพวกเขา


ด้วยเหตุผลนี้ ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์จึงทุ่มเทความพยายามของพวกเขาในการพัฒนาข้าวสาลีแตกยอดเพื่อปรับปรุงสภาวะร่างกายพื้นฐานของเหล่าพลเมือง เมื่อใดก็ตามที่สภาวะร่างกายของพวกเขาเข้าถึงระดับที่เหมาะสมต่อการซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะก้าวขึ้นสู่ความสูงส่งระดับนั้น


“ซึมซับพลังจิตวิญญาณต่อไป พยายามฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นผู้ทำลายล้างมิติให้ได้!” จางเซวียนสั่งการ


จ้าวหย่าพยักหน้า เธอรีบขับเคลื่อนพลังปราณจนเต็มพิกัดขณะกลืนกินพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทอย่างตะกละตะกราม


ส่วนอีกด้านหนึ่ง ศิษย์สายตรงที่เหลืออีก 8 คนก็พยายามซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นอีกครั้ง แต่พวกเขาไม่อาจทำได้เหมือนอย่างศิษย์พี่ จึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกขณะจ้องมองศิษย์พี่ด้วยความอิจฉา


รู้ดีว่าวรยุทธไม่ใช่สิ่งที่จะรีบร้อนกันได้ จางเซวียนจึงไม่ได้เร่งรัดจ้าวหย่า เขาใช้ทั้งดวงตาหยั่งรู้และหอสมุดเทียบฟ้าเพื่อให้แน่ใจว่าจะดูแลสภาวะร่างกายของจ้าวหย่าได้อย่างถี่ถ้วน เพราะเกรงว่าอาจเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นกับเธอ


แต่โชคดี เพราะด้วยความพากเพียรและอดทนของจ้าวหย่า รากฐานวรยุทธของเธอจึงแน่นหนามั่นคงมาก ระดับวรยุทธเพิ่มสูงขึ้นโดยปราศจากปัญหาใดๆ ภายในเวลาเพียงครึ่งวัน จ้าวหย่าก็เข้าถึงด่านคอขวดที่สกัดกั้นเธอไว้จากการเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ


“ทำลาย!”


ทันทีที่สาวน้อยสะสมแรงผลักดันไว้ได้มากพอ เธอก็เลิกคิ้วขณะเปล่งเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราดออกมา ในชั่วพริบตา พลังปราณของเธอก็พลุ่งพล่านไปทั่วทั้งทางเดินพลังปราณและทำลายด่านคอขวดที่สกัดกั้นเธอไว้ ทำให้วรยุทธพุ่งขึ้นสู่ขั้นผู้ทำลายล้างมิติซึ่งเป็นที่ปรารถนาของผู้คนมากมาย


การทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้าพุ่งลงมาอยู่เหนือจ้าวหย่าทันทีราวกับสวรรค์พยายามจะฉีกกระชากร่างของเธอออกจากกัน แต่ด้วยพละกำลังที่จ้าวหย่ามีประกอบกับคำชี้แนะของจางเซวียน เธอจึงผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย แต่ถึงอย่างนั้น การทดสอบวรยุทธก็ยังทิ้ง บาดแผลและความบอบช้ำจำนวนหนึ่งไว้ให้ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะถึงจะหาย


“ในครั้งนั้น คุณก็สำเร็จวรยุทธขั้นนี้ใช่ไหม?” จางเซวียนตั้งคำถาม


ไอ้โหดเคยสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติมาแล้ว ทำให้มีชื่อเสียงระบือลือลั่นในเผ่าพันธุ์ปีศาจในฐานะผู้แทนอมตะ ก็เพราะพละกำลังระดับนี้ที่ทำให้เขาเล่นงานปรมาจารย์ขงให้จนมุมได้หลายต่อหลายครั้ง


“ใช่!” ไอ้โหดพยักหน้า “ด้วยการซึมซับพลังงานหนักอึ้งที่มาจากมิติเบื้องบน ผมสามารถผลักดันวรยุทธไปได้จนถึงขั้นผู้ทำลายล้างมิติ แต่ผมผ่านไปได้เพียงแค่ขั้นต้นเท่านั้น ส่วนที่นอกเหนือไปจากนั้นเรียกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ จากการศึกษาค้นคว้าของผมนักรบคนหนึ่งจะต้องเข้าสู่มิติเบื้องบนและสัมผัสพลังงานโดยธรรมชาติที่อยู่ในโลกใบนั้นเพื่อปรับเปลี่ยนสภาวะร่างกายพื้นฐานก่อนจะทำการยกระดับวรยุทธให้ได้สูงขึ้นกว่าเดิม ไม่อย่างนั้นก็ต้องติดแหง็กอยู่ที่วรยุทธขั้นนั้นจนวันตาย”


“คุณยกระดับวรยุทธไม่ได้ไกลกว่านั้นแล้วหรือ?” จางเซวียนชะงัก


เขารีบหันไปตั้งคำถามกับจ้าวหย่า


จ้าวหย่าหลับตาเพื่อสำรวจสภาวะร่างกายของเธอก่อนจะส่ายหน้าและตอบว่า “ท่านอาจารย์ ดูเหมือนการสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้นจะเป็นขีดจำกัดสูงสุดของฉันแล้ว ถ้าอยากฝึกฝนวรยุทธให้ไปได้ไกลกว่านี้ สวรรค์ก็จะต่อต้าน ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนร่างกายของฉันจะถึงขีดจำกัดของมันแล้วด้วย ฉันไม่อาจรับพลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้งนั้นไว้ได้อีก!”


แนวคิดนี้ก็เหมือนกับการที่บึงแห่งหนึ่งสามารถรับน้ำไว้ได้ในปริมาณที่ขึ้นอยู่กับขนาดของมัน ถ้าใครสักคนพยายามเติมน้ำลงไปในบึงที่เต็มแล้ว น้ำส่วนเกินก็มีแต่จะไหลซึมออกไปโดยรอบ


ถ้าอยากให้บึงนั้นรับน้ำไว้ได้มากกว่าเดิม มีวิธีเดียวก็คือต้องขยายขนาดของบึง เมื่อบึงมีขนาดใหญ่ขึ้น ปริมาณน้ำที่มันสามารถรับไว้ได้ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย


มิติที่คนผู้นั้นอาศัยอยู่ส่งผลต่อสภาวะร่างกายของเขาเช่นกันจางเซวียนคิด


เขาเคยคิดว่าขอแค่เขามีพลังจิตวิญญาณที่หน้าตาเหมือนปรอทสะสมไว้มากพอ ก็น่าจะสามารถซึมซับมันอย่างต่อเนื่องและยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนความคิดของเขาจะอ่อนด้อยเกินไป


ถ้ามันง่ายอย่างนั้น ปรมาจารย์ขงก็คงไม่จำเป็นต้องออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์


จางเซวียนกำหมัดแน่นและครุ่นคิด ขอลองสักตั้งเถอะว่าเราซึมซับมันได้ไหม!


ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาพยายามซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท เขายังไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณและความแข็งแกร่งของร่างกายก็ยังคงอ่อนด้อยอยู่ แต่หลังจากการฝ่าด่านวรยุทธ เขามีพละกำลังที่เหนือชั้นกว่าแม้แต่จ้าวหย่าเป็นไปได้ไหมว่าร่างกายของเขาจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทนี้และซึมซับมันได้?


อีกอย่าง จางเซวียนก็ได้ปรับเปลี่ยนเครือข่ายทางเดินพลังปราณของเขาแล้ว มันซับซ้อนกว่าของจ้าวหย่าเสียด้วยซ้ำ!


เมื่อคิดได้ จางเซวียนรีบทรุดตัวลงนั่งกับพื้นและหลับตา


ตอนที่ 1912 ความสำคัญของทางเดินพลังปราณ

ซรืดดดดด!


พลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทพวยพุ่งเข้าสู่ทางเดินพลังปราณของจางเซวียน ผ่านจุดชีพจรของเขา


ครืดดดดด!


แต่ราวกับมีใครสักคนหยอดตะกั่วลงไป ทางเดินพลังปราณของเขาเริ่มเกิดรอยร้าวขณะที่จางเซวียนรู้สึกได้ถึงน้ำหนักมหาศาลที่ถ่วงเขาจากภายใน เขารีบขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าเพื่อประสานรอยร้าวและฟื้นฟูทางเดินพลังปราณให้สามารถรับมือกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้น แต่ถึงอย่างนั้น ใบหน้าของจางเซวียนก็ยังแดงก่ำ ครู่ต่อมา เขาก็กระอักเลือดออกจากปาก


“แบบนี้ไม่ได้ผล…” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา


เขาเคยคิดว่าเขาน่าจะซึมซับพลังงานหน้าตาเหมือนปรอทได้เพราะระดับวรยุทธที่เพิ่งเพิ่มขึ้นมาหมาดๆ แต่ความคาดหวังกลับต้องพังทลาย


ถ้าเขาพยายามดึงดันใช้วิธีนี้ต่อไป ก็บอกได้เลยว่าทางเดินพลังปราณของเขาจะต้องแตกสลาย จุดตันเถียนถูกทำลายจนไม่มีเหลือ อย่าว่าแต่จะพยายามซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทเข้าสู่ทางเดินพลังปราณ ร่างกายของเขาคงถูกทำลายไปตั้งแต่แรกเพราะภาระอันหนักอึ้ง!


“น่าเสียดายที่เราไม่มีเถาวัลย์แล้ว” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


ถ้าเขายังมีเถาวัลย์ของน้ำเต้าตงฉู่อยู่กับตัว ก็คงจะใช้มันปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณของเขาต่อไป ให้มันค่อยๆคุ้นชินกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทไปทีละน้อย แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้แล้ว


ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิดว่าจะหาวิธีการใหม่ๆได้หรือไม่ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา


เดี๋ยวก่อน…ต้องไม่ใช่แบบนั้นสิ เผ่าพันธุ์ปีศาจ 2 ตัวนั่นซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทได้ และแม้แต่ไอ้โหดก็ทำสำเร็จ…


ครั้งหนึ่ง นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเคยทำการทดลองกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท ในบรรดากลุ่มตัวอย่าง 10 ตัวแรก มีเผ่าพันธุ์ปีศาจ 2 ตัวที่เอาชีวิตรอดจากแรงกดดันมหาศาลของพลังงานนั้นมาได้ และไอ้โหดก็ไม่มีเถาวัลย์ของน้ำเต้าตงฉู่อยู่กับตัว แต่ก็ทำสำเร็จ


ในเมื่อทางเดินพลังปราณของเขาสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจ จึงดูไม่สมเหตุสมผลที่เขาจะล้มเหลว จะต้องมีบางอย่างที่เขายังไม่ได้ทำ จึงก่อเกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกันขนาดนี้


หรือว่าจะเป็นเพราะปราณสังหาร? ถ้าปรับเปลี่ยนองค์ประกอบพลังปราณของเราให้เป็นแบบนั้น เราจะสามารถซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทได้ดีขึ้นไหม? จางเซวียนครุ่นคิด


ดูเหมือนจะไม่มีใครให้ปรึกษา เขาจึงตัดสินใจที่จะทดลองในทันที จางเซวียนปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของพลังปราณเทียบฟ้าของเขาให้กลายเป็นปราณสังหาร ในชั่วพริบตา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจผู้งามสง่า


หลังจากปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของพลังปราณแล้ว จางเซวียนก็เปิดจุดชีพจรทั้งหมดอีกครั้งและทำการซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทอย่างระมัดระวัง


ฟิ้ววววว!


คราวนี้ เมื่อพลังงานซึมซาบเข้าสู่ร่างของเขา ก็น่าประหลาดใจมากที่มันไม่สร้างความรู้สึกหนักอึ้งเหมือนแต่ก่อน กลับอบอุ่นและอ่อนโยน เหมือนได้กินซุปไก่อุ่นๆชามใหญ่


“ได้ผลนี่!” จางเซวียนกำหมัดแน่นอย่างตื่นเต้น


ในฐานะอำมาตย์เฉินหย่งคนปัจจุบัน หลิวหยางมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนพลังปราณของเขาให้กลายเป็นปราณสังหารได้อย่างอิสระเช่นกัน แต่ทางเดินพลังปราณของหลิวหยางยังไม่เคยได้รับการปรับเปลี่ยนมาก่อน เป็นไปได้ว่านั่นคือเหตุผลที่เขาไม่อาจซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนี้ได้


แต่เรื่องนี้แตกต่างออกไปสำหรับจางเซวียน เมื่อครั้งที่เขาถูกเล่นงานจนเหลือแต่โครงกระดูกระหว่างการต่อสู้กับเทพเจ้าในเมืองหลวงของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เขาได้ใช้รังสีพิเศษที่เทพเจ้ามอบให้อำมาตย์เฉินหลิงมาใช้เยียวยาตัวเอง แล้วทำการปรับเปลี่ยนเครือข่ายทางเดินพลังปราณของเขาให้กลมกลืนและสัมพันธ์กับโลกใบนี้มากขึ้น


ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมา จางเซวียนจึงสามารถซึมซับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทได้อย่างราบรื่นปราศจากปัญหา


หลังจากซึมซับพลังจิตวิญญาณไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พบกับด่านคอขวดที่สกัดกั้นเขาไว้จากวรยุทธขั้นนักรบผู้ทำลายล้างมิติ


“ทำลายล้าง!”


ในตอนนั้น จางเซวียนเพ่งสมาธิอยู่กับมหาคัมภีร์แห่งดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงที่อยู่ในหอสมุดเทียบฟ้า ที่ส่งผลให้กาลเวลาในจิตใต้สำนึกของเขาเร็วกว่าเดิมเป็น 10 เท่า พลังงานหน้าตาเหมือนปรอทพุ่งลงมาจากมิติเบื้องบน แต่ทุกหยาดหยดของมันหมุนเวียนกลายเป็นคลื่นน้ำวนขนาดใหญ่ที่พุ่งตรงเข้าสู่ร่างของจางเซวียน


จ้าวหย่า ขงซือเหยา กับคนอื่นๆพากันอัศจรรย์ใจ ทุกคนพากันถอยจากแท่นบูชาไปหลายก้าว


พวกเขารู้ดีว่าท่านอาจารย์สามารถซึมซับพลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้งนี้ได้นับตั้งแต่ที่รังสีของเขาเปลี่ยนไปจนเหมือนกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ไม่คิดว่าเขาจะฝึกฝนวรยุทธได้รวดเร็วขนาดนั้น!


ภายใต้กระแสการไหลบ่าอย่างไม่ลดละของพลังงานหน้าตาเหมือนปรอทที่มีปริมาณมหาศาล แท่นบูชาถึงกับพังทลายไปภายใต้แรงกดดันนั้น


ด้วยอานุภาพของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง จางเซวียนสามารถฝึกฝนวรยุทธได้ ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันกว่าจะผลักดันวรยุทธไปได้ถึงขีดสุด อยู่ในจุดที่ไม่อาจสะสมพลังงานได้อีกต่อไป


อีกครึ่งวันให้หลังกว่าจางเซวียนจะปลดปล่อยพลังงานออกมาจนหมด และก้าวไปเป็นเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้สำเร็จเหมือนอย่างจ้าวหย่า แต่ก็น่าประหลาดใจ ซึ่งบางทีอาจเป็นเพราะเขาได้เป็นครูบาอาจารย์ของโลกแล้ว สวรรค์จึงไม่ได้เรียกการทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้ามา ซึ่งโดยปกติจะต้องเกิดขึ้นหลังจากการฝ่าด่านวรยุทธ


หลังจากสำเร็จวรยุทธขั้นนี้ จางเซวียนรู้ทันทีว่าเขากำลังเผชิญปัญหาเดียวกันกับไอ้โหดและจ้าวหย่า เพราะไม่ว่าเขาจะพยายามซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นมากแค่ไหน ก็ไม่อาจยกระดับวรยุทธขึ้นได้อีก ราวกับจุดตันเถียนและทางเดินพลังปราณของเขาอยู่ในจุดที่เต็มเปี่ยมแล้ว ทำให้ไม่อาจซึมซับพลังงานเพิ่ม


“น่าเสียดาย!” จางเซวียนส่ายหน้าขณะหยุดการฝึกฝนวรยุทธและลุกขึ้นยืน


การยกระดับวรยุทธครั้งนี้ทำให้เขามีความเข้าใจล้ำลึกยิ่งขึ้นว่าแท้ที่จริงแล้วพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นคืออะไร


พูดกันง่ายๆ มันคือพลังจิตวิญญาณที่มีความเข้มข้นระดับสูง ส่งผลให้มีน้ำหนักมาก ส่วนทางเดินพลังปราณของมนุษย์ธรรมดาสามัญก็อ่อนแอเกินไป จึงไม่มีทางรับมันไหว


แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจมีสภาวะร่างกายที่เหนือชั้นกว่า และเครือข่ายทางเดินพลังปราณของพวกมันก็ซับซ้อนกว่านักรบทั่วไปที่เป็นมนุษย์ ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่พวกมันจะสามารถปรับตัวให้คุ้นชินกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท และใช้สิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนวรยุทธได้


ส่วนทำไมปราณสังหารถึงเข้ากันได้ดีกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท? จางเซวียนยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่เขารู้ว่าพลังงาน 2 อย่างนี้มีองค์ประกอบบางอย่างที่เหมือนกัน บางทีปราณสังหารอาจช่วยส่งเสริมการซึมซับและการไหลเวียนของพลังจิตวิญญาณ และองค์ประกอบที่เหมือนกันก็หมายความว่ามีโอกาสน้อยลงที่ร่างกายของผู้นั้นจะปฏิเสธพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท


เห็นทั้งจ้าวหย่าและท่านอาจารย์ของพวกเขาก้าวไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้สำเร็จทีละคน ทั้งเจิ้งหยาง ขงซือเหยา และคนอื่นๆแทบระงับความตื่นเต้นไม่ไหว “ท่านอาจารย์ จะเป็นไปได้ไหมที่พวกเราจะฝึกฝนวรยุทธโดยใช้พลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้งนั้น?”


ถ้าทั้งคู่ซึมซับพลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้งได้ แล้วในอนาคตอันใกล้ พวกเขาจะทำได้เหมือนกันหรือเปล่า?


จางเซวียนส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม “สำหรับตอนนี้ พวกคุณที่เหลือยังทำไม่ได้หรอก”


การปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณของนักรบคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ต่อให้มีวิถีทางตามแบบของจางเซวียน เขาก็ไม่กล้ามองมันเป็นเรื่องเล็ก


เหตุผลที่จ้าวหย่าประสบความสำเร็จก็เพราะทางเดินพลังปราณของเธอถูกแทนที่ด้วยความพิเศษของเถาวัลย์จากน้ำเต้าตงฉู่ แต่ถึงอย่างนั้น โชคชะตาก็มีส่วนสำคัญ เพราะความยุ่งยากหลายอย่างอาจเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เช่นเธออาจจะต้องเจ็บปวดแสนสาหัสหากร่างกายของเธอปฏิเสธเถาวัลย์ของน้ำเต้าตงฉู่


ส่วนจางเซวียน เขาปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณของตัวเองได้สำเร็จก็เพราะในตอนนั้นมีสภาพเหลือเพียงโครงกระดูก และได้รับพลังเยียวยาจากเทพเจ้า ทำให้ฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้น การเพียรพยายามเยียวยาร่างกายก็มีแต่จะสร้างแรงตีกลับอันเจ็บปวด นับประสาอะไรกับการจะใช้โอกาสนี้ปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณ


หากปราศจากความโชคดี ก็ยากที่บรรดาศิษย์สายตรงที่เหลือของเขาจะทำได้


ได้ยินคำนั้น ทุกคนได้แต่ก้มหน้าอย่างผิดหวัง


“เป็นไปไม่ได้จริงๆสำหรับคนธรรมดาสามัญที่จะซึมซับพลังงานนี้ ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์พยายามมาแล้วหลายครั้ง แต่แม้อัจฉริยะที่ปราดเปรื่องที่สุดของเราก็ยังทำไม่ได้” ขงซือเหยาพูดขึ้นมาพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


ไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่รู้เรื่องพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนี้ดีไปกว่าร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์


เป็นเวลาหลายชั่วคนมาแล้วที่พวกเขาอารักขาฉนวนนี้ไว้ และในระหว่างนั้น พวกเขาก็ได้ทำความคุ้นเคยกับธรรมชาติของพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท


ที่ผ่านมา ในเมื่ออัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องมากมายต่างทำไม่สำเร็จ พวกเขาก็ไม่น่าจะก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ได้ในเร็วๆนี้เช่นกัน


“ตอนนี้พวกคุณอาจยังทำไม่สำเร็จ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายของคุณก็จะค่อยๆคุ้นเคยกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทไปเอง” จางเซวียนพูด


“เท่าที่มีบันทึกไว้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ประชากรในยุคนั้นไม่อาจรับมือกับพลังจิตวิญญาณนี้ได้ถึง 3 วินาทีด้วยซ้ำ ทางเดินพลังปราณของพวกเขาจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง แต่สำหรับประชากรในยุคนี้ รวมถึงผู้ที่ยังไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธด้วย ต่างรับมือกับพลังงานนี้ได้อย่างน้อยก็ 10 นาที ตราบใดที่ไม่ได้ซึมซับมันเข้าสู่ร่างกาย” ขงซือเหยาพยักหน้า


“ฮะ?” คำนั้นทำให้จางเซวียนขมวดคิ้ว “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นได้? ขอผมดูหน่อย?”


ตามที่ควรจะเป็น สถานการณ์ของมนุษย์ธรรมดาสามัญไม่ควรจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนั้น ต่อให้ข้าวสาลีแตกยอดได้ปรับเปลี่ยนสภาวะร่างกายพื้นฐานของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่นักรบขั้น 8 ก็น่าจะยังคงไร้ความสามารถในการรับมือกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทพอๆกันกับนักรบขั้น 1 แต่ที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก หรือว่าข้าวสาลีแตกยอดได้ก่อให้เกิดผลบางอย่าง?


จางเซวียนใช้การรับรู้จิตวิญญาณของเขากวาดไปทั่วสำนักแห่งขงจื๊ออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จับจ้องอยู่ที่พลเมืองบางกลุ่ม


“ข้าวสาลีแตกยอดไม่ได้เพียงยกระดับสภาวะร่างกายของพวกเขาเท่านั้น ดูเหมือนทางเดินพลังปราณของคนเหล่านั้นจะได้รับการพัฒนาไปมากเมื่อเปรียบเทียบกับเหล่านักรบในทวีปแห่งปรมาจารย์” จางเซวียนถึงกับตะลึง


เขารู้ว่าข้าวสาลีแตกยอดช่วยเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้กับประชากรที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรคุนฉื่อ ทำให้พวกเขามีวรยุทธระดับจงซรือตั้งแต่เกิด แต่ไม่เคยคิดจะตรวจสอบทางเดินพลังปราณของคนเหล่านั้นมาก่อน


จากการพัฒนาตลอดระยะเวลาหลายปี เครือข่ายทางเดินพลังปราณของประชากรในท้องถิ่นเริ่มจะแสดงอาการบางอย่างที่เหมือนกับทางเดินพลังปราณของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เรื่องนี้อธิบายได้ถึงระยะเวลาที่ยาวนานขึ้นของพวกเขาในการต้านทานพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท


“บางที นี่อาจเป็นเส้นทางที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกขีดไว้ให้เดินไปสู่ความก้าวหน้า…” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


ตอนแรก เขาตั้งใจจะหาหนทางที่แตกต่างออกไปสำหรับเจิ้งหยางและคนอื่นๆ เพื่อให้คนเหล่านั้นได้คุ้นชินกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท แต่ความรู้ที่ได้มาใหม่เปลี่ยนใจของเขาไปอย่างสิ้นเชิง


ดูเหมือนวิธีเดียวที่จะคุ้นชินกับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทได้ก็คือการปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณ ถ้าเจิ้งหยางกับคนที่เหลือซึมซับมันด้วยวิธีปกติ ต่อให้ชั่วชีวิตของพวกเขาก็ไม่มีทางทำสำเร็จ


แต่…


ในการปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณของคนเหล่านั้น อันดับแรก จะต้องทำลายทางเครือข่ายทางเดินพลังปราณเดิมเสียก่อน แต่นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่พวกเขาต้องใช้เพื่อการเยียวยาร่างกายนั้นมีปริมาณมากเสียจนจางเซวียนไม่อาจหามาได้


ยิ่งไปกว่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นหากไม่สามารถคืนรูปทางเดินพลังปราณได้หลังจากทำลายมันไปแล้ว?


จางเซวียนครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะตั้งคำถาม “ขงซือเหยา นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆอยู่ไหน?”


ตอนที่ 1913 ขึ้นสู่มิติเบื้องบน

การต่อสู้กับเทพเจ้าทำให้นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆมีสภาพเหลือเพียงโครงกระดูก ในเมื่อทุกคนใกล้หมดอายุขัยเต็มที ก็คงเสียทรัพยากรไปเปล่าหากจะพยายามเยียวยาพวกเขา แต่ก่อนที่จางเซวียนจะออกเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง เขาเห็นขงซือเหยาเก็บร่างของคนเหล่านั้นแช่แข็งไว้เพื่อรักษาสภาพร่างกาย ครึ่งปีผ่านไปแล้วนับจากวันนั้น แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาน่าจะยังคงมีชีวิตอยู่


ขงซือเหยาพยักหน้า “ตอนนี้ทุกคนอยู่ระหว่างการจำศีล”


“พาผมไปหาพวกเขาที ผมมีวิธีช่วยชีวิตพวกเขาแล้ว!” จางเซวียนสั่งการขณะรวบรวมพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทไว้ได้กำมือหนึ่ง


คำพูดนั้นทำให้ขงซือเหยาตาโตด้วยความตื่นเต้น เพราะรู้ดีว่านักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับพรรคพวกอยู่ในสภาพไหน ทั้งหมดที่เธอทำได้จึงเป็นแค่การถ่วงเวลา เธอเคยคิดว่าบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ที่ได้อุทิศชีวิตเพื่อปกป้องร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์คงต้องถึงจุดจบเข้าสักวัน แต่คำพูดของจางเซวียนได้จุดประกายแห่งความหวังให้ฉายวาบขึ้นในดวงตาของเธอ


ขงซือเหยารีบนำทางไป ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงห้องที่ปิดสนิท ในห้องนั้น ร่างของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับนักปราชญ์โบราณอีกหลายคนถูกวางเรียงไว้ข้างกันรอบแท่นบูชารูปกลม ภายใต้แท่นนั้นคือของล้ำค่ามากมายที่ใช้ยื้อพลังชีวิตของเหล่านักปราชญ์โบราณเอาไว้ให้มีชีวิตยืนยาวออกไปนานที่สุดเท่าที่จะทำได้


วิธีการนี้ไม่อาจช่วยยืดอายุขัยของพวกเขา แต่อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยยืดความตายให้ห่างไกลออกไป มันเป็นวิธีการเดียวกับที่พวกเขาเคยใช้ตั้งแต่หมื่นปีก่อน


จางเซวียนเดินตรงเข้าหาโครงกระดูกของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง เขาดีดนิ้วเพื่อปลดปล่อยฉนวนที่โอบล้อมร่างของอีกฝ่ายไว้ โครงกระดูกนั้นค่อยๆฟื้นคืนสติสัมปชัญญะขึ้นมา


“ปรมาจารย์จาง!” โครงกระดูกรีบลุกขึ้นและโค้งคำนับอย่างงาม


“ผมพบวิธีช่วยชีวิตพวกคุณแล้ว แต่เพราะยังไม่เคยทดสอบมันมาก่อน จึงรับประกันไม่ได้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ถ้ามันได้ผลล่ะก็ อายุขัยของพวกคุณจะยืนยาวขึ้นอีก แถมระดับวรยุทธก็จะเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก แต่ถ้าล้มเหลว พวกคุณจะเสียชีวิตทันที คุณสนใจเดิมพันครั้งนี้ไหม?” รู้ดีว่าอีกฝ่ายมีเวลาจำกัด จางเซวียนตรงเข้าประเด็นทันที


“ผมอยากลอง!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบอย่างเด็ดเดี่ยว


ในเมื่อเขาจวนจะตายอยู่แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่คว้าฟางแห่งความหวังเส้นสุดท้ายไว้ ต่อให้ความหวังนั้นจะแสนริบหรี่ก็ตาม


“ดี ผมมีกรรมวิธีการไหลเวียนพลังปราณที่อยากให้คุณฝึกฝนตอนนี้ อีกอย่าง ขณะที่คุณกำลังฟื้นฟูสภาพกายเนื้อเดิมกลับมา ผมก็อยากให้คุณสร้างทางเดินพลังปราณของคุณขึ้นใหม่ตามแบบแผนที่ผมมีอยู่!”


จางเซวียนดีดนิ้วและถ่ายทอดกรรมวิธีของเคล็ดวิชาเทียบฟ้าแบบย้อนกลับบวกกับแผนผังของเครือข่ายทางเดินพลังปราณที่เขาสร้างขึ้นเมื่อครู่ก่อนเข้าสู่สมองของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงใช้เวลา 10 นาทีก็ทำความเข้าใจทางเดินพลังปราณและวงจรพลังปราณนั้นได้ทั้งหมด เขาไม่แน่ใจนักว่าจางเซวียนคิดอะไร แต่มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ทำร้ายเขาแน่ จึงสูดหายใจลึกก่อนจะขับเคลื่อนพลังปราณตามกรรมวิธีการไหลเวียนพลังปราณที่จางเซวียนมอบให้


เป๊าะ!


ด้วยการดีดนิ้ว จางเซวียนปล่อยพลังงานหน้าตาเหมือนปรอทที่เขารวบรวมไว้เมื่อครู่ก่อนออกมา มันแผ่ซ่านออกไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว


การปรากฏของพลังงานทำให้นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตัวแข็งขึ้นมาทันทีด้วยความกังวล แต่เขาก็กัดฟันกรอดและตั้งใจมุ่งมั่นที่จะฝ่ามันไปให้ได้


เขาตั้งต้นซึมซับพลังงานหน้าตาเหมือนปรอทที่อยู่โดยรอบโดยใช้กรรมวิธีการไหลเวียนพลังปราณที่จางเซวียนมอบให้ และคาดว่าไม่ช้าจะต้องพบกับแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สีหน้างุนงงสงสัยก็ปรากฏขึ้นแทน


เมื่อเขาซึมซับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทโดยใช้กรรมวิธีการไหลเวียนของพลังปราณตามแบบที่จางเซวียนมอบให้ ก็รู้สึกได้เลยว่าพลังจิตวิญญาณนั้นเข้าบ่มเพาะร่างกายของเขาแทนที่จะทำลาย ด้วยความยินดีปรีดา นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงซึมซับพลังงานต่อไปอย่างตื่นเต้น ภายใน 4 ชั่วโมง กายเนื้อของเขาก็ถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างเสร็จสมบูรณ์


ด้วยการเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายทางเดินพลังปราณ ร่างกายของเขาแผ่ปราณสังหารอันทรงพลังออกมา ทำให้ดูเผินๆเหมือนเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่ง


เมื่อเห็นแผนการขั้นแรกได้ผล จางเซวียนนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความดีใจ เขารีบสั่งการขั้นตอนต่อไป “ดีแล้ว ตอนนี้พยายามผลักดันการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติให้ได้!”


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพยักหน้าขณะซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทต่อไป


ด้วยการสั่งสมวรยุทธของเขาตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา ซึ่งเหนือชั้นกว่าจ้าวหย่ามาก เขาจึงใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผลจากการฝ่าด่านวรยุทธครั้งนี้ทำให้อายุขัยของเขายืนยาวขึ้น


ด้วยสิ่งนี้ เขาจะไม่ต้องเสี่ยงกับชีวิตที่ร่อแร่ใกล้ตายอีกต่อไป


“ขอบคุณมาก ปรมาจารย์จาง!”


ไม่มีคำพูดใดจะบรรยายความรู้สึกของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงได้ขณะที่รับรู้ถึงกระแสพลังงานเชี่ยวกรากที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง เขารีบทรุดตัวลงคุกเข่าเพื่อแสดงความสำนึกบุญคุณต่อจางเซวียน


เขาพร้อมเผชิญหน้ากับความตายแล้วหลังจากการใช้พละกำลังเกินพิกัดเพื่อพยายามซ่อมแซมค่ายกล แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะนำชีวิตของเขากลับคืนมาได้ด้วยวิธีการอันแสนแปลกประหลาด? ไม่เพียงเท่านั้น ตัวเขายังทำได้แม้แต่ฝ่าด่านวรยุทธและเข้าถึงระดับที่ไม่เคยนึกฝันว่าจะมีวันได้เข้าถึง


“พลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นน่าทึ่งจริงๆ ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับวรยุทธ ยังฟื้นฟูสภาพร่างกายได้รวดเร็วกว่านิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณเสียอีก…” เมื่อเห็นว่าการคาดเดาของเขาตรงประเด็น จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


ภายใต้สถานการณ์ปกติ ด้วยพลังชีวิตของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงที่เหลือน้อยเต็มที เขาคงไม่อาจฟื้นฟูกายเนื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ อยู่เข้มข้น แต่ทุกอย่างจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงหากเขาซึมซับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทเข้าไปแทน


พลังจิตวิญญาณเข้มข้นชนิดนี้มีพละกำลังอย่างน่าทึ่งอยู่ในตัวมัน ขอแค่ผู้นั้นซึมซับมันได้ ก็จะสามารถเยียวยาบาดแผลและอาการบอบช้ำใดๆก็ตามได้อย่างรวดเร็ว


หลังจากแน่ใจแล้วว่ากรรมวิธีนี้ได้ผล จางเซวียนปลุกบรรดานักปราชญ์โบราณที่เหลืออยู่ให้ฟื้นขึ้นมาโดยไม่ลังเล เขาเตือนคนเหล่านั้นถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ก่อนจะถ่ายทอดกรรมวิธีการไหลเวียนของพลังปราณและแผนผังของเครือข่ายทางเดินพลังปราณแบบใหม่อย่างที่ถ่ายทอดให้นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงให้คนเหล่านั้น ทุกคนตัดสินใจทันทีที่จะดำเนินการตามแผนของจางเซวียน โดยเฉพาะเมื่อเห็นแล้วว่ามันใช้ได้ผลกับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง


ในที่สุด นักปราชญ์โบราณที่เหลือเกือบทุกคนก็ก้าวข้ามขั้นตอนสุดท้ายและสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ แต่ก็มีอุบัติเหตุอยู่บ้าง เกิดความผิดพลาดในวรยุทธของนักปราชญ์โบราณ 2 คน ซึ่งลงเอยด้วยการที่โครงกระดูกของพวกเขาแตกสลายไปเพราะพลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้ง ทำให้ทั้งสองเสียชีวิตในทันที


แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็แสดงให้เห็นว่านี่คือวิธีการที่ได้ผล จางเซวียนจึงเรียกบรรดาศิษย์สายตรงของเขาเข้ามาและถามว่า “พวกคุณพร้อมจะเสี่ยงอันตรายเพื่อสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติไหม?”


ทั้ง 8 คนพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง


จางเซวียนโบกมืออย่างไม่ลังเล แล้วศิษย์สายตรงทั้ง 8 คนของเขาก็กระอักเลือดออกมาพร้อมกัน การโจมตีเพียงครั้งเดียวนั้นทำลายทางเดินพลังปราณทั้งหมดในร่างกายของพวกเขา


“ฝึกฝนวรยุทธตามนี้ จำให้ขึ้นใจด้วยว่าผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียวก็ไม่ได้ อย่าหาว่าผมไม่เตือนคุณก็แล้วกันหากลงท้ายคุณต้องตาย!” จางเซวียนพูดขณะถ่ายทอดกรรมวิธีแบบเดิมรวมทั้งแผนผังของทางเดินพลังปราณเข้าสู่สมองของศิษย์สายตรงทั้ง 8 คน


เจิ้งหยางกับคนอื่นๆได้เห็นการเกิดใหม่ของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงด้วยตาตัวเอง ทุกคนจึงรู้ดีว่าควรทำอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เพราะพวกเขาได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายมาก่อน จึงคุ้นเคยกับมันดี ถึงจะไม่เคยฝึกฝนแบบย้อนกลับ แต่การจะทำความคุ้นเคยกับมันก็ไม่ได้ยากเกินไป


ในที่สุด ขงซือเหยาก็เป็นคนแรกที่เยียวยาตัวเองได้สมบูรณ์และสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ


ตามมาด้วยเจิ้งหยาง เว่ยหรูเหยียน ลู่ชง และหวังหยิ่ง…


5 วันต่อมา แม้แต่จางจิ่วเซี่ยวซึ่งอ่อนด้อยที่สุดในหมู่พวกเขาก็สำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติเช่นกัน


ด้วยสิ่งนี้ ศิษย์สายตรงทั้ง 9 ของจางเซวียนก็กลายเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติ!


“ท่านอาจารย์!”


เมื่อเห็นว่าตัวเองทำสำเร็จ ทั้ง 9 คนร้องออกมาด้วยความยินดีปรีดา


ท่านอาจารย์ของพวกเขาสร้างวีรกรรมในแบบที่ปรมาจารย์ขงในยุคนั้นก็ยังทำไม่สำเร็จ!


เห็นภารกิจสุดท้ายของเขาลุล่วง จางเซวียนเรียกทุกคนเข้ามารวมตัวกันและเปิดเผยความตั้งใจของเขา “ผมตั้งใจจะเปิดฉนวนออกและขึ้นสู่มิติเบื้องบน ในเวลานี้เรายังไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไร และมีความเป็นไปได้ว่าจะมีอันตรายรออยู่มากมาย ดังนั้นผมจึงอยากให้พวกคุณทุกคนรออยู่ที่นี่ไปก่อน และช่วยอารักขาทวีปแห่งปรมาจารย์แทนผม รอฟังข่าวคราวของผมก็แล้วกัน ตกลงไหม?”


ตลอด 5 วันที่เหล่าศิษย์สายตรงของเขาใช้เวลาไปกับการฝึกฝนวรยุทธเพื่อก้าวไปสู่การเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ เขาครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างไรต่อไป และพบว่าความตั้งใจของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง


จางเซวียนอยากขึ้นสู่มิติเบื้องบนเพื่อตามหาหลัวลั่วชิง ตอนแรกเขาคิดว่าอาจพาบรรดาลูกศิษย์ไปด้วยได้ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ โดยเฉพาะเมื่อมีอันตรายหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง


“ท่านอาจารย์ พวกเราอยากไปกับคุณด้วย!” จ้าวหย่าประกาศ


“ไม่ว่าจะมีอันตรายชนิดไหนรออยู่เบื้องหน้า เราก็พร้อมจะตามไปทุกที่ที่ท่านอาจารย์ไป ไม่มีอะไร ขวางกั้นพวกเราได้!” เจิ้งหยางพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง


ถึงคนอื่นจะไม่พูดอะไร แต่สีหน้าเด็ดเดี่ยวของพวกเขาก็บ่งบอกความรู้สึกได้เป็นอย่างดี


เป็นเพราะท่านอาจารย์ของพวกเขาที่ทำให้ทุกคนประสบความสำเร็จขนาดนี้ ถ้าท่านอาจารย์ต้องประสบอันตราย พวกเขาคงไม่มีวันอยู่เป็นสุขได้


“ผมประทับใจในความหวังดีของพวกคุณ แต่พวกเราจะผละทวีปแห่งปรมาจารย์ไปดื้อๆตอนนี้ไม่ได้ ด้วยการกระจายอำนาจอย่างไม่สมดุลของทวีปแห่งปรมาจารย์ คงไม่ต้องบอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตหากหากจู่ๆพวกคุณก็หายตัวไปกันหมด วางใจเถอะ เมื่อผมมั่นใจในสถานการณ์ของมิติเบื้องบนแล้ว จะพยายามแจ้งให้พวกคุณทราบผ่านทางหลิวหยาง” จางเซวียนอธิบายยิ้มๆ


มิติเบื้องบนดูจะเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญชั้นยอด ต่อให้เขาสู้กับคนเหล่านั้นไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มั่นใจว่าจะหนีเอาตัวรอดได้หากอยู่ตามลำพัง แต่ถ้าต้องพาบรรดาลูกศิษย์ไปด้วย ก็ไม่มั่นใจว่าจะรับประกันความปลอดภัยของคนเหล่านั้นได้


อีกอย่าง บรรดาลูกศิษย์ของเขาต่างก็มีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเองในทวีปแห่งปรมาจารย์ ไม่มีใครจากไปอย่างกะทันหันได้


ดูหลิวหยางเป็นตัวอย่าง เขาคือผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ซึ่งสถานการณ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เพิ่งมั่นคงได้ไม่นาน หากเขาหายตัวไปในช่วงเวลานี้ แน่นอนว่าคนอื่นๆจะต้องฉวยโอกาสเข้ายึดอำนาจ ปฏิวัติระเบียบและกฎเกณฑ์ของเขา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง


“ถ้าอย่างนั้น…ท่านอาจารย์ คุณดูแลตัวเองให้ดีด้วย!”


รู้ดีว่าท่านอาจารย์ของพวกเขาตัดสินใจแล้ว และจะไม่มีใครเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจนั้นได้ ทั้ง 9 คนก้มหน้าลงอย่างผิดหวัง


“เจิ้งหยาง ผมได้บ่มเพาะหอกสวรรค์กระดูกมังกรด้วยพลังจิตวิญญาณอันหนักอึ้งนี้ และมันฝ่าด่านวรยุทธจนมีวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติแล้ว ผมจะมอบมันให้คุณ ผมไม่รู้ว่าเทพเจ้าอื่นๆจะพยายามลงมายังทวีปแห่งปรมาจารย์อีกหรือไม่เมื่อผมจากไป จึงขอมอบหมายให้คุณปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์จากภัยคุกคามด้วย” จางเซวียนพูดขณะยื่นหอกสวรรค์กระดูกมังกรให้เจิ้งหยาง


เพราะมีปราการแห่งมิติ เขาจึงไม่อาจนำข้าวของใดๆรวมทั้งแหวนเก็บสมบัติติดตัวขึ้นไปยังมิติเบื้องบนได้ อีกอย่าง ด้วยระดับวรยุทธของเขาในตอนนี้ หอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ไม่ได้มีประโยชน์มากนัก


“หวังหยิ่ง คุณเชี่ยวชาญด้านการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณ แต่การร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา ผมขอมอบหม้อต้นกำเนิดทองคำให้คุณ มันจะช่วยอารักขาความปลอดภัยให้คุณได้เป็นอย่างดี” จางเซวียนพูดขณะนำหม้อต้นกำเนิดทองคำออกมาจากรังนางพญามด


ตลอด 5 วันที่ผ่านมา แม้เจ้าหม้อที่มีหน้าตาเหมือนก้อนอิฐนี้จะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่การเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติไม่สำเร็จทั้งที่ได้รับการบ่มเพาะจากพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอท แต่ก็ถือว่าเข้าใกล้วรยุทธขั้นนั้นเต็มทีแล้ว ในเมื่อเขาพามันไปด้วยไม่ได้ ฝากไว้กับลูกศิษย์ของเขาก็ย่อมดีที่สุด


จางเซวียนนำทรัพย์สมบัติชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมาแจกจ่ายให้กับบรรดาลูกศิษย์ของเขาอย่างทัดเทียมกันก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่


ด้วยระดับวรยุทธของลูกศิษย์ของเขาประกอบกับทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่แต่ละคนมี ต่อให้เทพเจ้าทั้งกลุ่มลงมาจากสวรรค์ในตอนนี้ ก็คงไม่มีทางที่จะเล่นงานคนเหล่านี้ได้ง่ายๆ


ส่วนไอ้โหด จางเซวียนขังอีกฝ่ายไว้ในหนังสือเทียบฟ้าซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของหอสมุดเทียบฟ้า ในเมื่อไอ้โหดเป็นบุคคลที่มีสถานภาพทัดเทียมกันกับปรมาจารย์ขงในครั้งนั้น ก็คงเป็นหายนะทีเดียวหากเขาปล่อยอีกฝ่ายไว้ให้อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แม้ทั้งคู่จะผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย แต่เขาก็ยังไม่อาจไว้ใจไอ้โหดได้เต็มร้อย จึงรู้สึกว่าควรเก็บไว้กับตัวจะดีกว่า


สำหรับน้ำเต้าตงฉู่ มันซ่อนอยู่ในจุดตันเถียนของเขา การจะนำมันผ่านปราการแห่งมิติไปด้วยจึงไม่น่ามีปัญหาอะไร


ส่วนตัวโคลน เขาพบว่าแม้อีกฝ่ายจะไม่อาจเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าได้ แต่ก็สามารถเข้าถึงมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ในเมื่อมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในพื้นที่ที่แยกจากกันกับหอสมุดเทียบฟ้า และตัวโคลนก็ใช้จิตวิญญาณดวงเดียวกันกับเขา จึงไม่น่ามีปัญหาอะไรที่ตัวโคลนจะเข้าสู่พื้นที่นั้นได้เช่นกัน ดังนั้นจางเซวียนจึงสามารถพาตัวโคลนไปกับเขาได้


เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว จางเซวียนมองค่ายกลที่อยู่เหนือศีรษะ เขาโบกมือและเปิดรอยแยกรอยหนึ่ง จากนั้นก็กระโจนพรวดเข้าใส่รอยแยกที่เพิ่งเปิดออก


ก่อนหน้านี้ พลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทที่ไหลบ่าลงมาถือเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณของเขา แต่เมื่อสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติแล้ว จางเซวียนก็ไม่เดือดร้อนกับมันอีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักเดินทางที่พบโอเอซิสกลางทะเลทรายเข้าโดยบังเอิญ มันช่วยเพิ่มพลังได้มาก


ที่บริเวณเหนือค่ายกล จางเซวียนเห็นความว่างเปล่าสีดำสนิทจำนวนมากมาย ช่องว่างที่แตกสลายระหว่างทั้งสองมิติก่อตัวขึ้นเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติที่เข้าเล่นงานเขาจากทุกทิศทาง


“โชคดีที่เราสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติแล้ว ไม่อย่างนั้น คลื่นความสั่นสะเทือนของมิตินี้จะต้องฉีกเราเป็นชิ้นๆแน่…” จางเซวียนคิดอย่างเคร่งเครียดขณะคลำทางผ่านคลื่นความสั่นสะเทือนแห่งมิติไปอย่างยากลำบาก


คลื่นความสั่นสะเทือนแห่งมิตินี้ทรงพลังกว่าที่เขาเคยพบเจอในอดีต อย่าว่าแต่นักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด ต่อให้นักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโดยทั่วไปก็น่าจะพ่ายแพ้ให้กับคลื่นความสั่นสะเทือนของมิตินี้และลงเอยด้วยการถูกฉีกร่างเป็นชิ้นๆหากเลินเล่อเพียงแวบเดียว


ถ้าไม่ใช่เพราะพละกำลังอันเหนือชั้นของเขาที่สั่งสมมา ต่อให้จางเซวียนก็คงผ่านไปได้ด้วยความยากลำบาก


แต่ถึงอย่างนั้น คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติก็ยังสร้างรอยแผลมากมายไว้บนร่างของเขา ทำให้ เลือดไหลออกมาไม่หยุด


เส้นทางนี้ไม่มีถนน และตลอดเส้นทางก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากมิติที่พังทลาย ด้วยการใช้หอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนจึงสามารถประเมินหาเส้นทางที่ปลอดภัยได้ ไม่อย่างนั้นคงหลงทางอยู่ในมิติที่แตกสลายแห่งนี้


จางเซวียนเดินทางด้วยสภาพนั้นอยู่เกือบครึ่งเดือน หากจะประเมินระยะทางที่เขาเดินมา ก็รู้สึกว่าน่าจะถึงเป้าหมายในไม่ช้า


แต่ตอนนั้นเอง สายฟ้าฟาดขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้า สกัดกั้นเส้นทางของเขาไว้


ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิดว่าจะผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้อย่างไร สายฟ้าฟาดอีกสายหนึ่งก็ฟาดเข้าใส่จางเซวียนอย่างจังก่อนที่เขาจะทันรู้ตัว ทำให้จางเซวียนสลบไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)