ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 191-214

 ตอนที่ 191 น้ำเสียงไพเราะอันเป็นเอกลักษณ์


เช้าวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นช้ากว่าปกติ เมื่ออู่เยวี่ยเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ของอี้จง ถึงได้เห็นแสงสว่างของพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้น แสงสว่างเจิดจ้าทอประกายกระทบพื้นดินและทอประกายแสงสว่างให้กับประชาชน ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออู่เยวี่ย


สายลมที่พัดผ่าน ได้ทำให้เด็กนักเรียนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งเริ่มทยอยปิดจมูกกัน พวกเขาทอดสายตามองอู่เยวี่ยที่ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวอะไร พวกเขาหลีกเลี่ยงตีตัวออกห่าง


                สยงมู่มู่เองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมแห่งความปีติยินดีนั้น เขาจึงบีบจมูกอย่างเปิดเผยจนเกินเหตุและถามขึ้นอย่างแปลกใจ “ดูเหมือนกลิ่นเต่าของพี่สาวเธอจะกำเริบขึ้นเป็นพักๆ นะ ผ่านไปไม่กี่วันก็มีกลิ่นอีกแล้ว”


อู่เหมยส่งเสียงหึๆ ออกมาอย่างพึงพอใจ ซึ่งเป็นตัวเธอเองที่เป็นลานส่งคลื่นวิทยุ หากเมื่อไรอยากให้กลิ่นของอู่เยวี่ยกำเริบเธอก็ทำได้ในทุกเมื่อ แต่เรื่องนี้จะบอกกับสยงมู่มู่ไม่ได้ ให้เขาคิดว่าเป็นกลิ่นเต่าของอู่เยวี่ยนั่นแหละดีแล้ว


อู่เยวี่ยเริ่มสังเกตเห็นสายตาและการกระทำอันแสนคุ้นเคย ในใจเริ่มคิดหนัก หรือว่า…


“พี่หมิงต๋า บนตัวฉันมีกลิ่นอะไรไหมคะ?” อู่เยวี่ยถามออกไปอย่างร้อนรน


เหยียนหมิงต๋าใช้มือเกาท้ายทอยอย่างไร้เดียงสา เขายิ้มและพูด “หอมฉุยเลย กลิ่นตัวของอู่เยวี่ยต้องหอมมากแน่ๆ”


คนที่เดินผ่านไปมาชำเลืองมองยิ่งทำให้อู่เยวี่ยมีปฏิกริยามากขึ้น ใจเธอจึงเริ่มจมดิ่งลงไป ไม่ต้องถามเธอก็รู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต้องเป็นเพราะผมของเธอมีกลิ่นแปลกประหลาดอีกแน่ๆ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?


ตื่นนอนตอนเช้าก็ไม่มีกลิ่นอะไรเลยนี่นา!


แต่ทำไมพอออกจากบ้านมาถึงได้มีกลิ่น?


อู่เยวี่ยแทบอยากจะร้องไห้ออกมา ในเวลาแบบนี้เธออยากจะหมุนตัวหนีกลับบ้านเป็นอย่างมาก แล้วไม่ต้องกลับมาโรงเรียนอีก แต่เธอก็ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะสองวันนี้คือการสอบรายเดือนของเดือนนี้ เธอจะขาดสอบได้อย่างไรล่ะ?


เธอจะสอบให้ได้ที่หนึ่งของโรงเรียน!


ภายใต้ความวิตกกังวล อู่เยวี่ยได้วิ่งผ่านไปยังห้องสื่อสาร ที่ตรงนั้นมีก๊อกน้ำอยู่ เธอจึงเลือกที่จะใช้น้ำสระผมเพื่อให้กลิ่นเหม็นพวกนั้นหายไป ลุงยามที่ประจำอยู่ตรงป้อมยามกับเหยียนหมิงต๋าต่างพากันตกใจต่อการกระทำของอู่เยวี่ยที่สระผมด้วยน้ำเย็น


“เยวี่ยเยวี่ยเธอบ้าไปแล้วเหรอ ระวังจะไม่สบายนะ!” เหยียนหมิงต๋าพยายามจะหยุดการกระทำของเธอ


“พี่ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ฉันจะสระผม”


อู่เยวี่ยไม่สนใจเขาเลย เอาแต่มองหาไปทั่วทุกทิศทางก็ไม่เจอแชมพู เธอจึงต้องเทผงซักฟอกไว้เต็มกำมือและใช้มือขยี้ผสมให้ผงละลายเข้ากับน้ำ สารละลายของผงซักฟอกละลายและเข้าตาเธอราวกับน้ำปูนขาว นั่นทำให้ดวงตาของเธอแดงก่ำ


อู่เหมยแอบชื่นชมต่อการกระทำแสนป่าเถื่อนของอู่เยวี่ย เธอรู้สึกสุขกายสบายใจไปทั่วทั้งร่างจึงได้หันกลับไปพูดกับสยงมู่มู่ “ไปกันเถอะ!”


เธอเหยียบจักรยานและปั่นออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งฮัมเพลงไปด้วย “บนเส้นทางแสนคุ้นเคยที่ติดกับรั้วโรงเรียน ช่วงเวลาเช้าตรู่มานั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้ แสงของดวงอาทิตย์แรกขึ้นส่องกระทบเข้ากับใบหน้า และได้ส่องกระทบไปยังคนคนนั้นที่เธอเกลียดชัง โว้วๆๆ…”


สยงมู่มู่ฟังเพลงที่เธอร้องซึ่งร้องได้อย่างหมูหมากาไก่มาก แต่นั่นได้ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก แต่จะว่าไปเสียงของอู่เหมยก็ไม่เลวนะ ทั้งหวานนุ่มและไพเราะ คล้ายๆ กับน้ำเสียงของเติ้งลี่จวิน ทำให้เขาใจเต้นแบบไม่ทันตั้งตัว


“เธอร้องเพลง ‘หวานปานน้ำผึ้ง’ ได้ไหม?”


“ร้องได้สิ เพลงของเติ้งลี่จวินฉันร้องได้หมด นายฟังนะฉันจะร้องให้นายฟังเอง!”


อู่เหมยรู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เธอทดสอบเสียงของตัวเองและเริ่มร้องขึ้น เมื่อชาติก่อนเธออยู่บ้านหากไม่ทำกับข้าวหรืออาหารการกิน ก็มักจะเขียนๆ วาดๆ หรือไม่ก็จะร้องเพลง เธอทำกิจกรรมต่างๆ ได้ถือว่าหลากหลายไม่แพ้กัน อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการสร้างความสุขให้ตัวเองอย่างไรล่ะ!


สยงมู่มู่ได้ฟังอู่เหมยฮัมเพลงขึ้นไม่กี่ท่อน ก็รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของอู่เหมยหวานและไพเราะมาก เพียงแต่อู่เหมยไม่เคยเรียนเทคนิคเฉพาะด้านของการร้องหรือออกเสียง การเปลี่ยนลมหายใจมีบางจังหวะที่ยังจัดการได้ไม่ดีนัก ฟังแล้วให้ความรู้สึกแข็งกระด้างไปนิด แต่ที่ทำให้ใจของสยงมู่มู่เต้นไม่เป็นจังหวะคือเสียงของอู่เหมย เสียงหวานจนทำให้เขารู้สึกขนลุกชัน


น้ำเสียงไพเราะอันเป็นเอกลักษณ์แบบนี้ หากว่าได้ฝึกซ้อมดีๆ หน่อย แค่ร้องเพลงที่เป็นที่นิยมจนร้องติดปากก็ดังได้!


ขณะนี้มีคนเอาเพลงของเติ้งลี่จวินมาร้องใหม่เยอะมาก แต่พวกเขายังร้องได้ไม่เข้าถึงอารมณ์เท่าอู่เหมยเลย!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 192 นางฟ้าตกสวรรค์


อู่เยวี่ยเอาแต่สระผมอยู่ภายใต้ก๊อกน้ำ ผงซักฟอกถุงเล็กที่มีอยู่เกินครึ่งถุงของลุงยามที่ยืนอยู่หน้าป้อมยามถูกอู่เยวี่ยใช้ไปเกือบหมด เสื้อผ้าของเธอเปียกชื้นไปหมดทำให้เธอหนาวจนตัวสั่น


“เยวี่ยเยวี่ยรีบเอานี่ไปเช็ดเร็ว พวกเราต้องรีบหน่อย ไม่อย่างนั้นจะสายแล้ว”


เหยียนหมิงต๋าหาผ้าเช็ดตัวผืนแห้งของคุณลุงมาแล้วให้อู่เยวี่ยรีบเช็ดผมให้แห้ง เขาไม่เข้าใจถึงการกระทำที่แปลกประหลาดของอู่เยวี่ย เธอเช็ดผมไปด้วยความสับสนและคิดไม่ตก อู่เยวี่ยที่ผมเปียกชื้นได้แต่วิ่งตามเหยียนหมิงต๋าเข้าไปในโรงเรียนอย่างเร่งรีบ


หลังจากที่อู่เหมยร้องเพลงหวานปานน้ำผึ้งจบ ก็ได้ร้องเพลงวันใดคุณจะกลับมา เพลงเรื่องราวในเมืองเล็ก รวมทั้งเพลงขอให้มีชีวิตยืนยาวและเพลงอื่นๆ อีกมาก เธอร้องมาตลอดระยะทางจนมาถึงโรงเรียน ยิ่งสยงมู่มู่ได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกจริงจังมากขึ้น


“เหมยเหมย เสียงของเธอมันพิเศษมาก กระทั่งการผ่อนลมหายใจก็ยาว เธอมีพรสวรรค์ในด้านการร้องเพลงมาก บางทีเธอลองพยายามทางด้านนี้ดูก็น่าจะทำได้ดีนะ” สยงมู่มู่มีท่าทีจริงจังมาก


อู่เหมยรู้สึกไม่คุ้นชินกับสีหน้าจริงจังของสยงมู่มู่ เธอโบกมือไปมาให้เขาและปฏิเสธโดยทันที “ไม่ล่ะ ฉันชอบวาดรูป การร้องเพลงเป็นเรื่องสนุก และอีกอย่างคนที่ร้องได้ดีกว่าฉันก็มีอยู่เยอะมาก”


สถานที่อย่างวงการบันเทิงนั้นวุ่นวายเกินไป ต้องคนที่มีความคิดทัศนคติอย่างอู่เยวี่ยถึงจะเหมาะที่จะไปรวมอยู่ในสังคมแบบนั้น เธอเองควรจะหลีกเลี่ยง เพราะขนาดถูกคนกลั่นแกล้งจนตายก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองตายอย่างไร


ในหัวเริ่มปรากฏหน้าหนังสือพิมพ์ในชาติก่อนที่ตีพิมพ์ข่าวการตายของสยงมู่มู่ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดเกลี้ยกล่อม “อีกหน่อยนายก็อย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวงการนั้นเลย คนอีคิวต่ำอย่างนายเข้าไปแล้วคงจะมีผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร การเรียนของนายก็ดี สามารถเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้เลยนะ ถึงแม้รายได้จะไม่มากเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ปลอดภัย รับรองว่านายจะมีชีวิตอยู่ได้จนถึงร้อยปี”


พอพูดจบเธอก็ได้โบกมือให้กับสยงมู่มู่ สะบัดผมหางม้าแล้วมุ่งหน้าเดินไปยังตึกเรียนของเด็กประถม ทิ้งให้สยงมู่มู่มีสีหน้าสับสนและมึนงง


ยัยบ้านี่พูดอะไรอยู่กันแน่?


อะไรคือวงการนั้น?


กระทั่งบอกว่าเขาจะมีผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร?


เหอะ! เขาเป็นคนฉลาดขนาดนี้ ไม่ว่าไปที่ไหนก็เหมือนกับเพชรเม็ดงาม ทำไมจะต้องไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ให้เหนื่อยด้วยล่ะ?


เขามีเป้าหมายที่แน่ชัดอยู่แล้วตั้งแต่แรก เขาอยากเป็นนักดนตรีต้นแบบที่มีชื่อเสียงของหวาเซี้ย ประเทศใหญ่ๆ แบบนี้แต่ไม่มีแม้แต่นักร้องต้นแบบเลย โดยทั่วไปมีแต่นักร้องที่นำเพลงยอดนิยมของต่างประเทศเข้ามาร้องใหม่ เป็นที่อับอายขายขี้หน้าชะมัดเลย!


“ตอนเย็นเลิกเรียนแล้วอย่าลืมไปจ่ายค่าเรียนที่ห้องเรียนเยาวชนล่ะ!” สยงมู่มู่พูดขึ้นเตือนเสียงดัง


“รู้แล้ว นายก็ตั้งใจสอบเถอะ ถ้าจะให้ดีที่สุดก็สอบให้ได้ที่หนึ่งล่ะ!” อู่เหมยไม่ได้หันกลับไปมอง


สยงมู่มู่ช่างน่าโมโหจริงๆ หากว่าเขาเต็มใจที่จะสอบให้ได้ที่หนึ่ง เธอจำเป็นจะต้องลงทุนลงแรงทำอะไรแบบนี้ด้วยหรือ?


อู่เยวี่ยที่วิ่งมาถึงห้องเรียนด้วยสภาพเหงื่อไหลโชกไปทั่วใบหน้า นักเรียนคนอื่นๆ ได้มาถึงกันหมดแล้วเหลือเพียงแค่เธอกับเหยียนหมิงต๋า แต่ครูก็ไม่ได้ตำหนิอะไรเธอ เพียงแค่มองเธอด้วยความไม่พอใจแค่แวบเดียวเท่านั้น


“คาบแรกเราจะสอบภาษาและวรรณคดี นักเรียนคนไหนที่จะเข้าห้องน้ำให้รีบไปตอนนี้”


นักเรียนทุกคนต่างทยอยกันไปเข้าห้องน้ำ กลิ่นเหม็นที่อยู่บนหัวของอู่เยวี่ยถูกตัวเธอเองสระทิ้งไปครึ่งค่อนแล้ว ซึ่งรวมกับฉี่ที่ฉิวฉิวราดใส่แค่ครึ่งหนึ่งจึงทำให้กลิ่นไม่ได้รุนแรงเท่ากับตอนแรก หากไม่ตั้งใจดมกลิ่นก็จะไม่รู้ถึงกลิ่นเหม็นๆ นี้


แต่สระผมในน้ำเย็นเป็นเวลานาน พร้อมทั้งเหงื่อท่วมตัวจากการวิ่งเมื่อครู่ พออู่เยวี่ยหยุดอยู่นิ่งๆ กลับรู้สึกหนาวเป็นอย่างมาก อาการปวดหัวจึงเริ่มกำเริบขึ้นมา และไหนจะช่วงท้องทำไมถึงได้รู้สึกปวดขนาดนี้


แย่แล้ว คงจะไม่ได้เป็นหวัดเพราะความเย็นหรอกใช่ไหม?


อู่เยวี่ยรีบวิ่งไปยังห้องน้ำ หลังจากที่เธอออกไปได้สักพักหนึ่ง นักเรียนหญิงที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกโล่งใจและเริ่มคุยกัน “กลิ่นบนตัวของอู่เยวี่ยเหม็นมาก พวกเราช่างโชคร้ายเสียจริงที่นั่งรวมกับเธอ แล้วเราจะสอบกันได้ยังไงล่ะ?”


“นั่นสิ แต่ก่อนทำไมไม่เคยรู้เลยว่าอู่เยวี่ยมีกลิ่นเต่า ถ้ารู้ตั้งแต่แรก ต่อให้ทำร้ายฉันจนตายฉันก็ไม่ยอมมานั่งข้างๆ เธอหรอก”


เสียงคุยกันของนักเรียนหญิงไม่กี่คนนั้นไม่ได้เบาเลย คนที่อยู่ใกล้ๆ ก็ได้ยินชัดหมดและมีสีหน้าท่าทางที่แปลกประหลาด โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนชาย


เหมือนกับว่าที่ผ่านมาเธอเป็นดั่งบัวหิมะผู้สูงส่งที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่มีผู้ใดกล้ารุกราน แต่เพียงเวลานี้ราวกับเธอได้ตกลงมาจากภูเขาหิมะหรือพื้นที่ราบสูง และกลายเป็นดอกโบตั๋นเหม็นๆ ที่เอาแต่ส่งกลิ่นเหม็น


สถานการณ์ราวกับตอนนี้มีบางสิ่งกำลังจะแตกหักดัง ‘แก็กๆ’ ขึ้นมา


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 193 อู่เยวี่ยผู้ทุกทรมานแสนสาหัส


สยงมู่มู่มองดูกระดาษข้อสอบวิชาภาษาและวัฒนธรรมในมือที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำหมึก ในใจเขาเกิดความสับสนขึ้นมา ตอนเช้าที่อู่เหมยพูด ‘สอบให้ได้ที่หนึ่ง’ ยังวนเวียนอยู่ข้างหูเขาตลอด


หรือเขาจะตั้งเป็นข้อยกเว้นแล้วสอบให้ได้ที่หนึ่งดีนะ?


แต่ต่อไปจะวุ่นวายหรือเปล่า?


ทำข้อสอบติดต่อกันไปได้หลายข้อ จากตอนแรกที่สยงมู่มู่ควรจะวอกแวกบ้างโดยเป้าหมายของเขาคือการเขียนผิดบ้างในไม่กี่ข้อ แต่แล้วเขากลับไม่ได้ทำแบบนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะเขียนคำตอบที่ถูกต้องลงไป


ในเมื่อเริ่มแล้ว สยงมู่มู่ก็ไม่คิดว่าเขาจะถอยได้ เขาเขียนได้ลื่นไหลราวกับปุยเมฆและสายน้ำที่ไหลผ่าน เมื่อเทียบกับเหมยซูหานแล้ว เขาต่างหากที่เป็นคนโชคดีตัวจริงอยู่ที่ไหนสวรรค์ก็คุ้มครอง สำหรับเขาแล้วการเรียนยังผ่อนคลายยิ่งกว่าการดื่มน้ำ ในสายตาของเขาคำถามปัญญาอ่อนพวกนี้ยังง่ายเสียยิ่งกว่าเลขหนึ่งบวกหนึ่ง ทุกวิชาเขาสามารถสอบให้ได้คะแนนเต็ม


ตอนนี้เขาคิดว่าที่หนึ่งคงไม่มีประโยชน์สำหรับอู่เยวี่ยเสียแล้ว!


ต่อไปหากพ่อกับแม่ถามขึ้น เขาคงต้องบอกว่าสมองอาจเป็นตะคริว แต่ถึงยังไงพ่อกับแม่ก็ไม่ค่อยจะยุ่งเรื่องการเรียนของเขาสักเท่าไร


ทางฝั่งสยงมู่มู่ทำได้สำเร็จอย่างง่ายดาย แต่ฝั่งอู่เยวี่ยกลับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส นักเรียนหญิงไม่กี่คนที่นั่งข้างๆ เอาแต่ปิดจมูกและมีท่าทีรังเกียจเธอ ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดใจ อาการปวดหัวเริ่มรุนแรง หนักอึ้งขึ้นมากหลายเท่า อีกทั้งยังมีอาการปวดช่วงท้องที่มาเป็นจังหวะ ตลอดเวลานี้เธอไม่สามารถทำได้อย่างเต็มกำลัง


เธอรู้สึกว่าคุ้นเคยกับคำถามบนกระดาษข้อสอบมาก มันเป็นคำถามที่เธอเคยทบทวนมาก่อนทั้งหมด แต่ทำไมสมองของเธอเหมือนถูกอุดไว้ราวกับท่อระบายน้ำ จะนึกคำตอบอย่างไรก็นึกไม่ออก


อู่เยวี่ยร้อนรนจนเหงื่อไหลไคลย้อยแต่ร่างกายของเธอกลับหนาวสั่นมาก เพียงนึกว่าการสอบเป็นภาระที่แสนหนักอึ้งของเธอ ทำไมเวลาถึงได้ผ่านไปได้ช้าขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีเสียงกริ่งเวลาพักดัง?


อีกคนที่กำลังหวังให้เสียงกริ่งเวลาพักดังก็คืออู่เหมย เธอคาดหวังให้ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียน แบบนั้นเธอก็จะได้ไปที่ห้องเรียนเยาวชนเพื่อจ่ายเงินค่าเรียน และพรุ่งนี้ก็สามารถเข้าเรียนได้อย่างเป็นทางการแล้ว


และยังมีฝั่งอู่เยวี่ยที่เธอก็อยากจะรู้คะแนนสอบครั้งนี้ หากว่าเธอสอบไม่ผ่านสักครั้งมันคงจะดีมาก แต่ถ้าจะให้ดีให้เป็นเหมือนกับเธอเมื่อก่อนที่คะแนนสอบมีแค่หลักหน่วยหลักสิบ ถึงเวลานั้นจะรอดูว่าเหอปี้อวิ๋นจะยังไปคุยโม้กับเพื่อนร่วมงานและเพื่อนบ้านได้อีกไหม?


แน่นอนว่านั่นเป็นพียงฝันอันงดงามที่อู่เหมยวาดขึ้น พื้นฐานความสามารถของอู่เยวี่ยดีขนาดนั้น อย่างมากเธอแค่พลาดที่จะสอบได้ที่หนึ่งไป แต่ไม่มีทางที่จะสอบได้หลักหน่วยหลักสิบแน่นอน


หลังจากเลิกเรียนครูอู๋ซึ่งเป็นครูประจำวิชาภาษาและวรรณคดีได้แจ้งให้นักเรียนกลับไปแล้วตั้งใจทบทวนเนื้อหา พรุ่งนี้จะทำการทดสอบบทเรียน อู่เหมยทั้งคาดหวังและแอบกังวลไปด้วย อันที่จริงภาษาและวรรณคดีเป็นวิชาที่เธอมั่นใจมากกว่าคณิตศาสตร์เพียงเล็กน้อย


พักหลังๆ เธอท่องบทเรียนอยู่เป็นประจำ ทุกบทเรียนเธอท่องได้จนคล่องและฉะฉาน กระทั่งท่องจากหลังไปหน้าได้อย่างคล่องแคล่ว คนอื่นมีสติปัญญามาตั้งแต่เกิด ส่วนเธอก็ใช้วิธีโง่ๆ และเธอก็ไม่เชื่อด้วยว่าตัวเองจะสอบไม่ผ่านหกสิบคะแนน


“เหมยเหมย ช่วงนี้เธอทบทวนบทเรียนเป็นยังไงบ้าง?” พอเลิกคาบเรียน เจินหวานหว่านก็เข้ามาทักอู่เหมย


“ก็งั้นๆ แหละ” อู่เหมยได้แต่ก้มหน้าก้มตาดูบทเรียน และไม่อยากจะหันไปเสวนากับเพื่อนร่วมโต๊ะของเธอด้วย อีกหน่อยถ้ามีโอกาสจะต้องคุยกับครูประจำชั้นให้เปลี่ยนที่นั่งเจินหวานหว่านออกไป


“เหมยเหมย วันนี้เป็นวันสอบของพี่ ม.2 นี่นา พี่ของเธอต้องสอบได้ที่หนึ่งอีกแน่เลย เธอโชคดีจริงๆ ที่มีพี่สาวเรียนเก่งแบบนี้” เจินหวานหว่านพูดขึ้นอย่างสื่อความหมาย แววตาส่อเชิงหยอกล้อ


คนอื่นไม่มีใครรู้ แต่เธอเองที่รู้ว่าอู่เยวี่ยไม่ชอบน้องสาวอย่างอู่เหมยแค่ไหน โดยเฉพาะที่ดูจากลักษณะของอู่เหมยแล้ว คงจะอิจฉาพี่สาวของเธอเอามาก?


เธอตั้งใจที่จะพูดจาถากถางอู่เหมยแบบนั้น ก็เพราะไม่กี่วันมานี้ยัยโง่นี่ไม่เอาของอร่อยๆ มาให้เธอ ไหนจะยังทำเป็นไม่สนใจเธออีก


อู่เหมยเงยหน้าขึ้นมองไปยังเจินหวานหว่าน หน้ารูปทรงแอปเปิ้ลที่แลดูน่ารัก แต่ภายใต้หน้ากากของความน่ารักนั้นกลับเป็นแค่หัวใจดวงหนึ่งที่มืดดำและเต็มไปด้วยความริษยา


“พ่อของฉันเป็นถึงครูของมหาวิทยาลัยต้นแบบของเมืองแน่ะ เจินหวานหว่านพ่อของเธอทำอาชีพอะไรเหรอ?” อู่เหมยแสดงสีหน้าน่ารักไร้เดียงสา


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 194 ใส่ร้ายคนอื่น


พ่อของเจินหวานหว่านไม่ได้มีการมีงานทำอย่างเป็นทางการ อีกทั้งเรียกได้ว่าเขาเป็นนักพนันตัวยง ทั้งบ้านต้องพึ่งพาแม่เพียงคนเดียวที่ทำหน้าที่ขายอาหารว่างมื้อเช้าให้กับชาวบ้านในละแวกซอยนั้น ครอบครัวของเธอมีกันอยู่ทั้งหมดหกคน ซึ่งต้องแออัดอยู่ด้วยกันในห้องเล็กๆ ที่มีพื้นที่ไม่ถึงสิบห้าตารางเมตร ยิ่งพอจัดวางเตียงและโต๊ะไว้ก็แทบจะไม่มีพื้นที่ให้หมุนตัวได้


เมื่อชาติก่อนเธอเคยไปที่บ้านของเจินหวานหว่านครั้งหนึ่ง ทั้งเล็กทั้งมืดและรกรุงรัง ไม่ต่างอะไรกับกรงของนกพิราบเลย อีกทั้งเจินหวานหว่านยังมีพี่ชายที่โตกว่าเธออีกสามคน ไม่รู้เลยว่าหากพวกเขาบรรลุนิติภาวะแล้วจะอาศัยอยู่ด้วยกันยังไง


แค่แวบเดียวสีหน้าของเจินหวานหว่านก็ได้เปลี่ยนไป แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยพูดถึงเรื่องของสภาพหรือฐานะในครอบครัวของตัวเองให้ใครฟังมาก่อน ทั้งยังไม่เคยพาเพื่อนไปเล่นที่บ้านเลย และเพื่อนในห้องก็ไม่มีใครรู้ถึงเบื้องหลังจริงๆ ของครอบครัวเธอ


“พ่อของฉันก็เป็นแค่กรรมกรธรรมดา ทุกวันนี้ท่านงานยุ่งจะตายไป จะเอาเวลาที่ไหนมาสนใจการบ้านของฉันล่ะ” เจินหวานหว่านยิ้มอย่างฝืนใจ


“ชนชั้นกรรมาชีพถือว่าเป็นอาชีพที่ยิ่งใหญ่ เจินหวานหว่านพ่อของเธอเก่งมาก” อู่เหมยชื่นชมอย่างมีเจตนา ยิ่งมองก็ยิ่งรู้ได้ว่าเจินหวานหว่านฝืนใจที่ยิ้มให้แค่ไหน พอเห็นดังนั้นเธอก็ยิ่งสบายใจ


เมื่อพูดคำโกหกออกมาแล้วก็จะต้องคิดคำโกหกต่อไปอีกนับไม่ถ้วนจนสำเร็จ แล้วมาดูกันว่าคนอย่างเจินหวานหว่านจะทำได้สำเร็จแค่ไหน


อู่เหมยขุดหลุมพรางให้กับเจินหวานหว่าน เด็กผู้หญิงที่เอาแต่คิดว่าตัวเองฉลาดก็มักจะยินยอมที่จะกระโดดลงไปในนั้น คนที่เสแสร้งแกล้งทำ จิตใจสกปรก ก็สมควรแล้วที่จะถูกเธอคิดร้ายตอบ


ไม่ง่ายเลยกว่าที่เสียงกริ่งเลิกเรียนจะดังขึ้น อู่เหมยสะพายกระเป๋าไว้และรีบวิ่งออกไป อู่เชาที่อยู่ด้านหลังก็ได้วิ่งตามเธอไปติดๆ ครั้งนี้เขาจะไปยอมปล่อยให้ยัยเด็กบ้านี่วิ่งหนีไปได้อีก


“อู่เชานายจะไปไหน?”


เพื่อนข้างห้องอย่างจี้เหวินฮุ่ยก็ตามหลังเขามาด้วย เธออยู่ชั้นประถมปีที่ห้าห้องสอง โดยปกติเธอก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับอู่เชา แต่ช่วงนี้เธอเห็นว่าอู่เชาอยู่ใกล้กับอู่เหมยบ่อยๆ จึงทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ อยากจะดึงอู่เยวี่ยมาเป็นพวกเดียวกันเพื่อกันไม่ให้เขาไปทำตัวสนิทกับอู่เหมย


คนโง่อย่างอู่เหมยมีสิทธิ์อะไรถึงได้เกิดมาสวยกว่าเธอ?


จะต้องทำให้เธอถูกทอดทิ้งเหลือเพียงตัวคนเดียวเธอถึงจะพอใจได้!


อู่เชาไม่อยากสนใจอะไรกับจี้เหวินฮุ่ย ลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้อารมณ์ยิ่งฉุนเฉียวอยู่ด้วย รูปร่างหน้าตาราวกับคนใช้ แต่ก็มักจะทำให้ตัวเองเป็นเหมือนกับเป็นเจ้าหญิง วันๆ ดีแต่ทำตัวโอหังอวดดี โง่เหมือนกับป้าของเขาไม่มีผิด


“ฉันจะไปไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ? เลิกยุ่งเรื่องของชาวบ้านเขาได้แล้ว!”


อู่เชาด่าออกไปหนึ่งประโยคและก็ไม่คิดจะชายตามองเธอเลย จี้เหวินฮุ่ยโกรธจัดจนหน้าดำหน้าแดง เธอจึงได้แค้นเคืองอู่เชาไปพร้อมกับอู่เหมย พรุ่งนี้จะเป็นการตรวจสอบผลวิชาภาษาและวรรณคดีแล้ว เธอจะคอยดูว่ายัยโง่อู่เหมยจะสอบได้สักกี่คะแนนกัน ถึงเวลานั้นเธอจะเอาคะแนนที่อู่เหมยได้ไปฟ้องคุณตากับคุณยาย


อู่เหมยไม่ได้อยากให้เจ้าเด็กอ้วนคนนี้รู้สักนิดเรื่องที่เธอมาเรียนวาดรูป แต่ไอ้อ้วนนี่ก็ตามมาติดๆ


ทำยังไงก็สะบัดเขาออกไปไม่ได้!


“นายเลิกทำตัวน่ารำคาญสักทีได้ไหม? ไม่ต้องตามฉันมาแล้ว” อู่เหมยกล่าวเตือนเสียงดัง


“ถนนเส้นนี้เธอไม่ได้เป็นคนสร้างนี่ เธอเดินได้แล้วทำไมฉันถึงจะเดินไม่ได้ล่ะ!” อู่เชาทำหน้าทะเล้นแล้วพูดขึ้น และลอกเลียนแบบการกระทำผู้อื่นอย่างคนไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง


อู่เหมยรู้สึกอยากจะใช้ฝ่ามือพิฆาตพัดให้เขากลับบ้านไปซะ แต่เธอไม่ใช่องค์หญิงพัดเหล็กแล้วก็ไม่ได้มีพัดใบตองด้วย สยงมู่มู่เดินเข้ามาและบอกกับอู่เหมย “ไปกันเถอะ!”


เมื่ออู่เชาเห็นสยงมู่มู่ก็รู้สึกประหม่า ภายในใจมีความรู้สึกหลากหลายเกิดขึ้นเต็มไปหมด ไม่เพียงแค่ลูกพี่ลูกน้องคนเล็กของเขาจะออกไปเล่นกับเด็กที่ดูจะไม่เป็นทั้งผู้ชายและผู้หญิงแล้ว ก็ยังไม่พาเขาไปด้วยอีก!


“เหมยเหมย เธอจะไปไหนกับเขาเหรอ?”


“เหมยเหมย เธอกับเขาคงจะไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหม?”


“เหมยเหมย ฟังพี่นะ เธอยังอายุน้อย เธอจะเลือกเดินทางผิดแบบนี้ไม่ได้นะ แต่ต่อให้เธอต้องการหาคนรักก็ไม่ควรจะหาคนที่ดูเป็นผู้ชายก็ไม่ใช่ผู้หญิงก็ไม่เชิงแบบนี้ ยังไงเธอจะต้องหาผู้ชายที่แข็งแรงแบบนี้พี่สิ เธอว่าไหม?”


สมแล้วที่ในอนาคตอู่เชาจะกลายเป็นนักเขียนเยาวชนดีเด่น ความคิดและจินตนาการหลากหลาย เพราะในเวลาอันน้อยนิดก็สามารถคิดเรื่องพรรค์นั้นออกมาได้ ยิ่งช่วงนี้ในโรงเรียนมีการเขียนจดหมายรักเผยแพร่อย่างรุนแรง ยัยเด็กบ้านี่คงจะไม่ได้ใจแตกไปแล้วใช่ไหม?


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 195 ข่มขู่โดยไม่มีหลักฐาน


อู่เหมยโมโหเป็นอย่างมากจึงได้ใช้มือฟาดเขาไป นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะหาว่าเธอกับสยงมู่มู่เป็นคู่รักกัน ไอ้อ้วนบ้านี่สมองต้องเลอะเลือนแน่ๆ


“ถ้านายยังไม่หยุดพูดจาเหลวไหล ฉันจะเอาเรื่องที่นายฉี่ราดใส่ที่นอนตอนสิบขวบไปบอกเพื่อนทั้งห้อง!” อู่เหมยเปล่งเสียงต่ำและพูดเตือนเขา ทำให้อู่เชารีบเงียบปากลงในทันที แม้แต่ครึ่งประโยคก็ไม่กล้าเอ่ยขัด


อู่เหมยใช้สายตาพิจารณาดูเขาครั้งหนึ่ง และพูดจาถากถางอย่างเหลืออด “อย่างนายเหรอที่แข็งแรง? เห็นได้ชัดขนาดนี้ว่าบวมน้ำ ดูตัวนายเองด้วยว่าอ้วนอย่างกับอะไรดี”


อู่เชาเขาถือว่าเป็นคนที่เก่ง อีกทั้งยังตั้งชื่อฉายาของตัวเองขึ้นมาว่าอู่ต้าหลาง เป็นเพราะเขาไม่ได้มีส่วนสูงที่สูงมาก ซึ่งแน่นอนว่าเขาแข็งแรงกว่าอู่ต้าหลางและยังอ้วนตุ้ยนุ้ยอีกด้วย เป็นเพราะความดื้อรั้นของอู่เชาถึงได้เรียกว่าอู่ต้าหลาง กลับกันที่มันเป็นเหมือนเสียงปืนที่ถูกยิงออกไปและเขาเองก็มีชีวิตที่ดีเลยล่ะ


อู่เชาอึดอัดใจอย่างทำอะไรไม่ได้ ยัยเด็กบ้านี่กล้าดูถูกคนเป็นพี่อย่างเขาได้ยังไง จิตวิญญาณทั้งหมดคงถูกสยงมู่มู่ดึงดูดไปหมดแล้ว ไม่ได้การล่ะ เขาจะต้องจับตามองไว้ให้ดี เพราะยัยบ้านี่หัวสมองก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จะปล่อยให้เธอถูกคนอื่นหลอกไม่ได้


ไอ้อ้วนบ้านี่จะทำยังไงก็สลัดไม่ได้ อู่เหมยจึงทำได้แค่ให้เขาเดินตามมา และพูดเตือนเขาด้วยใบหน้านิ่งขรึม “ถ้าหากว่านายเอาเรื่องของฉันไปพูดล่ะก็ เรื่องที่นายฉี่ราดที่นอนตอนสิบขวบ และแอบดูพี่สาวฉันอาบน้ำตอนสิบเอ็ดขวบ ฉันจะพูดให้เพื่อนในห้องทุกคนฟัง”


อู่เชาตะโกนกลับไป “ฉันไปแอบดูพี่สาวเธออาบน้ำเมื่อไหร่กัน? อู่เหมยเธออย่ามาใส่ร้ายคนอื่นแบบนี้!”


“แต่ไม่ว่ายังไงถ้านายหลุดปากพูดเรื่องของฉัน เมื่อนั้นแหละที่นายไปแอบดูพี่สาวฉันอาบน้ำ” อู่เหมยพูดข่มขู่ออกไปโดยไม่มีหลักฐาน อู่เชาทำได้แค่กำมือแน่นอย่างอัดอั้นใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้


ยัยลูกพี่ลูกน้องคนเล็กในตอนนี้ไม่น่ารักเลย แต่ก่อนเธอจิตใจดีและยังหลอกง่ายอีกด้วย ตอนนี้ช่างใจดำอำมหิต!


เขากัดฟันกลามแน่นจนแทบจะหลุดออกมา แต่อู่เชาก็ยังคงตามติดอู่เหมยไม่เลิก สีหน้าท่าทางเหมือนกับเมียที่กำลังโกรธโมโหสามี อู่เหมยเองก็ปล่อยตามใจเขา เพราะอู่เชายึดติดเรื่องที่ตัวเองฉี่ราดที่นอนตอนสิบขวบ และมองเหมือนว่ามันสำคัญยิ่งกว่าการเสียพรหมจารี นั่นจึงทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรอีก


“เหมยเหมยเธอมาเรียนวาดรูปที่ห้องเรียนเยาวชน แล้วทำไมต้องปิดบังอารองด้วย?” อู่เชารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทำให้เขาแอบหวั่นใจไปตั้งมากมาย นึกว่าอู่เหมยจะไปทำเรื่องคอขาดบาดตายอะไรเสียอีก!


“พ่อไม่อนุญาตให้ฉันเรียน ถ้าพ่อฉันรู้เรื่องนี้ก็คงมีแต่นายที่เอาความลับไปบอก”


อู่เหมยจ่ายค่าเรียนไปแล้วทำให้รู้สึกดีขึ้น พรุ่งนี้เธอก็สามารถเข้าเรียนวาดรูปได้อย่างเป็นทางการแล้ว อีกทั้งยังมีคะแนนสอบภาษาและวรรณคดี คะแนนสอบรายเดือนของอู่เยวี่ยอีก ทุกๆ วันจะมีสิ่งที่เธอทำให้เธอต้องคาดหวัง สัมผัสเลยได้ว่าความรู้สึกกำลังถูกเติมเต็มจริงๆ!


สยงมู่มู่จะต้องไปเข้าคาบเรียนกีตาร์เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง อู่เหมยจึงต้องลากตัวอู่เชาออกไปหาอะไรกิน “เดี๋ยวฉันเลี้ยงขนมเปี๊ยะไส้รากบัวนายเอง”


“ให้ฉันเลี้ยงเธอดีกว่า เงินส่วนนั้นของเธอเอาไปซื้อกระดาษกับหมึกเถอะ” อู่เชาพูดขึ้นอย่างโมโห


อู่เหมยไม่ได้เหมือนอู่เยวี่ย เธอจะมีเงินติดตัวอยู่สักเท่าไรกัน เกรงว่าจ่ายค่าเรียนไปแล้วจะเหลือไม่มากและเธอเองคงจะลำบากถ้าเอาใช้ซื้อกิน ในใจของอู่เหมยร้อนรุ่ม เธอจึงควักเงินออกมาจากกระเป๋าหนึ่งหยวนและยื่นไปตรงหน้าอู่เชา


“ไม่ต้องใช้เงินนายหรอก ฉันมีเงิน”


อู่เชายื่นมือบวมๆ ของเขาออกไปสัมผัสกับธนบัตรที่เหมือนจริงใบนั้น แต่นี่มันของจริง ไม่ได้วาดออกมานี่นา อู่เหมยมีเงินเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?


“นายไม่ต้องสนใจหรอกว่าฉันได้เงินมาจากไหน แต่ฉันไม่ได้ขโมยมาแล้วก็ไม่ได้แย่งใครมา แล้วสรุปนายจะกินไหม? ถ้าไม่กินฉันจะไปกินคนเดียว” อู่เหมยพูดขึ้นด้วยความรำคาญ


“กิน ฉันจะกินขนมเปี๊ยะสามชิ้น” อู่เชาไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด


“ไอ้หมู!”


อู่เหมยด่าเขาด้วยความรังเกียจ แต่ก็ยอมซื้อขนมเปี๊ยะให้เขาไปสามชิ้น และให้ตัวเองอีกสองชิ้น และยังคงเป็นคุณป้าอ้วนคนนี้ที่ขาย ช่วงนี้อู่เหมยแวะมาซื้อขนมเปี๊ยะรากบัวที่ร้านของเธอบ่อยๆ ทำให้รู้จักและสนิทกับเธอพอสมควร


ทั้งสองพี่น้องหามุมร้านที่มีลมพัดผ่านเพื่อนั่งกินขนม ไส้รากบัวแสนกรอบในขนมเปี๊ยะอันหอมหวานทำให้คนเราอารมณ์ดีขึ้นมาได้ในพริบตา อู่เชากินไปด้วยพร้อมกับพูดชม “อร่อยมาก นึกไม่ถึงว่าในตรอกซอยเล็กๆ แบบนี้จะมีร้านขนมเปี๊ยะไส้รากบัวที่อร่อยแบบนี้อยู่ ต่อไปฉันจะมาที่นี่บ่อยๆ…เอ๊ะ ผู้หญิงคนนั้นคือครูที่สอนวาดรูปของเธอไม่ใช่เหรอ?”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 196 ที่แท้ก็คือเธอ


อู่เหมยมองตามมือของเขาไป ที่แท้ก็เป็นครูเฮ่อที่กำลังเดินมาทางนี้ กระโปรงตัวยาวสีน้ำเงินอ่อนๆ ด้านบนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและคลุมทับด้วยเสื้อไหมพรมสีเหลืองอ่อน รองเท้าที่ใส่อยู่เป็นรองเท้าหนังสีขาวน้ำนม มีผมดำสลวยยาวถึงช่วงเอวถูกม้วนเป็นมวยผมและปักด้วยปิ่นหยกสีเขียวอ่อน เมื่อมองดูรวมๆ แล้วช่างเหมือนกับนางกำนัลในวังสมัยโบราณที่เดินออกมาจากภาพวาดสายน้ำและภูเขา


“ครูเฮ่อ…”


อู่เหมยที่กำลังจะอ้าปากพูดก็เงียบลงทันที แต่เธอกลับต้องตกใจจนตาค้าง อู่เชาเองก็มีลักษณะไม่ต่างจากเธอทำให้พูดจาอย่างสับสน “นี่มัน…นี่มันเกิดอะไรขึ้น? แล้วอาเขยมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ไม่…ไม่ใช่สิ อาเขยรู้จักกับครูเฮ่อได้ยังไง?”


ที่แท้ข้างๆ ครูเฮ่อก็คือจี้เจี้ยนโป สามีของอู่เจิ้งหง ในเวลานี้เขากับครูเฮ่อพูดคุยและหัวเราะกัน ในมือยังหิ้วถุงสีชมพูใบหนึ่งซึ่งบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นของใช้ของผู้หญิง อีกทั้งเมื่อมองปฏิกริยาที่ดูสนิทสนมของจี้เจียนโปตอนพูดคุยกับครูเฮ่อ และมีรอยยิ้มอันสดใสปรากฏอยู่บนใบหน้าของครูเฮ่อ นั่นจึงทำให้ได้เห็นละอองสีชมพูที่พุ่งออกมาจากตัว


อู่เชากำลังสับสนอยู่ว่าทำไมจี้เจี้ยนโปถึงมาอยู่กับครูเฮ่อได้ แต่ทางอู่เหมยนั้นกลับรู้ถึงสาเหตุชัดเจน ไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาครูเฮ่อ เมื่อชาติก่อนเธอเคยเจอกับครูแล้วนั่นเอง เคยเจอเธอที่ตลาดหนานสุ่ย คนข้างๆ ของครูเฮ่อในตอนนั้นก็คือจี้เจี้ยนโป ทั้งสองยังจูงมือกันเดินและดูสนิทสนมเสียยิ่งกว่าตอนนี้อีก


“อาเขย…”


อู่เชาที่กำลังจะเดินเข้าไปทางจี้เจี้ยนโปพร้อมกับเรียกเขาไปด้วย อู่เหมยกลับยื่นมือออกไปดึงเขาไว้และตวาดออกไป “นายจะทำอะไร?”


“ก็เข้าไปทักทายอาเขยไง!” อู่เชามองไปยังอู่เหมยด้วยความแปลกใจ เมื่อเจอกับผู้หลักผู้ใหญ่ก็ต้องทักทายเป็นมารยาทสิ


อู่เหมยมองเขาอย่างระอา โง่จริงๆ เลย แต่ก็ปกติแหละที่อู่เชาจะนึกไม่ถึง เพราะเด็กผู้ชายมักจะมีความคิดความอ่านที่อ่อนกว่าเด็กผู้หญิง และอีกอย่างอู่เชาก็เพิ่งจะอายุสิบสองปี ชาติก่อนที่เธออายุเท่าเขาเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน และยังเคยเสียท่าให้อู่เยวี่ยไปแล้วครั้งหนึ่งด้วย


“ไม่ต้องไป แค่ทำเป็นมองไม่เห็นก็พอ” อู่เหมยพูด


แต่อู่เชารู้สึกไม่พอใจ ก็เห็นอยู่ว่าเจอเขาแล้วจะให้ทำเป็นไม่เห็นเนี่ยนะ อู่เหมยคิดจะทำอะไรอีก?


“ถ้าหากว่านายไม่อยากให้อาหญิงต้องอาละวาดจนบ้านแตก นายต้องเชื่อฟังฉัน เรื่องนี้ห้ามไปพูดกับใครเด็ดขาด กับป้าสะใภ้ก็ห้ามพูด” อู่เหมยกล่าวเตือน


สีหน้าของอู่เชาเปลี่ยนไปเล็กน้อย หากคิดดีๆ เขาก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น เพียงแค่เมื่อครู่ไม่ทันได้คิดให้มากพอ แต่ดีที่มีอู่เหมยเตือนสติเขาไว้ทำให้เขาได้สังเกตลักษณะและท่าทีของจี้เจียนโปและครูเฮ่อ ถึงได้เข้าใจในบางอย่างแต่กลับมีสีหน้าโกรธแค้น


“ทำไมอาเขยถึงได้ทำแบบนี้? ฉันจะไปบอกอาหญิง” อู่เชาพูดออกมาอย่างโมโห


อู่เหมยก็ไม่ได้ห้ามอะไรเขา แต่พูดขึ้นเสียงเย็น “นายไปบอกสิ หลังจากนั้นอาหญิงและคุณอาก็จะทะเลาะกัน แล้วก็จะทำให้บ้านแตก คุณปู่คุณย่าก็จะโกรธจนเสียสติ คุณลุงคุณป้า และยังมีพ่อแม่ของฉันที่จะต้องไม่สบายใจ นายไปบอกตอนนี้เลยนะ ระวังจะกลายเป็นหมาล่ะ”


เธอไม่ได้กังวลว่าอู่เจิ้งหงจะอาละวาดอะไร และก็ไม่ได้กลัวว่าคุณปู่คุณย่าจะเสียสติอะไร เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องอยากช่วยจี้เจี้ยนโปด้วย ไม่สิ ต้องบอกว่าช่วยครูเฮ่อ เธอปลื้มครูเฮ่ออยู่ เพราะเธอมองว่าครูเฮ่อไม่ได้เป็นผู้หญิงใจง่ายที่ไหลไปเหมือนสายน้ำ และก็ไม่ใช่เมียน้อยที่หวังว่าจะได้รับผลประโยชน์อะไร


และอีกอย่างจี้เจี้ยโปก็เป็นแค่ครูมหาวิทยาลัยจนๆ คนหนึ่ง จะมีอะไรให้โลภได้ล่ะ


แน่นอนว่าไม่ควรสนใจว่าทั้งคู่จะรักกันจริงหรือแค่เจอกันแล้วเกิดรักสนุกต่อกัน แต่การที่เข้ามาเป็นส่วนเกินในชีวิตแต่งงานของคนอื่นมันก็ไม่ถูกต้อง เหมือนกับอู่เยวี่ยในชาติก่อน


อู่เหมยรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจและในดวงตาส่อประกายออกมาทุกอย่าง เธอหวังว่าครูเฮ่อจะไม่ใช่ผู้หญิงแบบเดียวกับอู่เยวี่ยเป็น และไม่ทำให้เธอผิดหวังที่ช่วยเอาไว้


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 197 ช่วยเธอปกปิดความลับ


อู่เชาที่ถูกอู่เหมยหลอกให้ตกใจ กลับไม่กล้าที่จะไปฟ้องอะไรอีก เพียงแค่นึกถึงอารมณ์ของอู่เจิ้งหงตอนอาละวาด อู่เชาก็เกิดอาการตัวสั่นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


ไม่รู้ว่านิสัยของอู่เจิ้งหงได้มาจากใคร ราวกับระเบิดเวลาที่ถูกทำให้ขยับ ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักช่วงที่ระเบิดขึ้นมาได้เอง อีกทั้งเสมือนกับปลาตอร์ปิโดที่อยู่ในน้ำลึก ไม่เพียงแค่ที่บ้านของตัวเธอเอง แต่ยังรวมถึงพ่อแม่พี่น้องทางฝั่งแม่ของเธอเองก็หลีกเลี่ยงนิสัยแบบนี้ไม่ได้ ทุกครั้งที่อู่เจิ้งหงกับจี้เจียนโปทะเลาะกัน รุนแรงเหมือนจะต้องตายกันข้างหนึ่ง เธอมักจะทำลายข้าวของเครื่องใช้แล้วก็จะหนีกลับไปที่บ้านแม่ตัวเองเพื่อร้องไห้ฟูมฟาย


พ่อตาแม่ยายต่างสงสารลูกสาวของตน แต่ก็กังวลว่าลูกเขยดีๆ อย่างจี้เจี้ยนโปจะหนีไปเสียก่อน จึงได้ให้สองพี่น้องอย่างอู่เจิ้งเต้ากับอู่เจิ้งซือไปเกลี้ยมกล่อมจี้เจี้ยนโป และได้ไหว้วานให้ลูกสะไภ้ทั้งสองอย่างตี๋ชิวเยวี่ยและเหอปี้อวิ๋นไปอบรมสั่งสอนอู่เจิ้งหงเกี่ยวกับหน้าที่หลักของภรรยา


สรุปแล้ว อู่เจิ้งหงก็คือพระโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิต และเป็นดั่งพระโพธิสัตว์ที่มีสภาพจิตแปรปรวนง่าย พอได้ออกอาการอย่างน้อยต้องใช้เวลาเป็นครึ่งเดือนกว่าจะสงบลงได้ ทั้งครอบครัวก็ต้องคอยดูแลไม่ให้มีเรื่องส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจเธอจนอ่อนแอ


อู่เหมยเหล่ตามองอู่เชาก็รู้ได้ทันทีว่านายนี่กลัวอู่เจิ้งหง ในเวลานี้ทางฝั่งจี้เจี้ยนโปใกล้จะเข้ามาถึงที่นี่แล้ว อู่เหมยคิดแล้วคิดอีกเธอจึงเดินนำหน้าพวกเขาไปก่อน ทำให้อู่เชาตกใจเป็นอย่างมากและวิ่งก้าวเล็กๆ ตามเธอไป


“เธอบอกว่าไม่ให้ฉันเข้าไปทัก แต่เธอก็เข้าไปเอง อู่เหมยเธอหมายความว่าไง!”


อู่เหมยยิ้มหวานพราวเสน่ห์และกระดิกนิ้วเรียกเขา อู่เชารู้สึกอึดอัดใจขึ้นว่า ยัยบ้านี่กล้าดียังไงมากระดิกนิ้วเรียกเขา!


เขาเดินตามอยู่ด้านหลังด้วยความอับอายและโมโหเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็อยากจะรู้ว่ายัยบ้านี่คิดจะทำอะไรกันแน่!


“คุณอา ครูเฮ่อ จะไปทำธุระกันเหรอคะ?” อู่เหมยเดินไปหยุดตรงหน้าของทางจี้เจี้ยนโป พร้อมทั้งเรียกออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ อู่เชาเองก็ตามเข้าไปทักทายด้วย


เดิมทีจี้เจี้ยนโปและเฮ่อเหวินจิ้งกำลังตกลงกันถึงสถานที่และช่วงเวลาที่จะนัดเดทในครั้งต่อไป นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญมาเจออสูรน้อยทั้งสองแบบนี้ เขาตกใจจนหน้าซีดเซียวและได้เงียบลงในทันที


เมื่อเขารู้สึกตัวจึงได้มองออกไปรอบด้าน อู่เหมยรู้ดีว่าเขากำลังมองหาใครอยู่ เธอจึงลอบยิ้มและพูดขึ้นอย่างมีเจตนา “พี่เหวินฮุ่ยกลับบ้านไปแล้วค่ะ หนูกับอู่เชาเลยมาซื้อขนมเปี๊ยะกินแถวๆ นี้”


จี้เจี้ยนโปรู้สึกโล่งใจและใบหน้าก็ดูเป็นปกติขึ้น ลูกสาวของเขาไม่อยู่ก็ดีแล้ว เขาตั้งใจเว้นระยะห่างจากครูเฮ่อเล็กน้อย พร้อมกับยิ้มและพูดขึ้น “นี่คือเพื่อนร่วมงานของอา เราเจอกันโดยบังเอิญน่ะ เธอแซ่เฮ่อ พวกเธอเรียกว่าครูเฮ่อก็แล้วกัน”


อู่เหมยยิ้มตาหยีและพูดออกไป “สวัสดีค่ะครูเฮ่อ”


ครูเฮ่อยิ้มออกมาอย่างฝืนใจ เธอนึกไม่ถึงเลยว่าเด็กนักเรียนที่กำลังรับเข้ามาใหม่จะเป็นหลานสาวของจี้เจี้ยนโป อู่เหมยจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับอาหญิงของเธอไหมนะ หากแม่เสือนั่นรู้เข้าคงต้องมาวุ่นวายกับหน้าที่การงานของเธอเป็นแน่


ครูเฮ่อเริ่มรู้สึกกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ และมองไปทางจี้เจี้ยนโปอย่างตื่นตระหนก แต่จี้เจี้ยนโปกลับไม่ได้มีท่าทีลนลานใดๆ ครั้งก่อนอู่เหมยก็ช่วยเขาปกปิดไปแล้ว มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง ซึ่งครั้งนี้เธอเองก็คงจะต้องช่วยอีกแน่นอน เหลือแต่อู่เชาที่ดูจะวุ่นวายเอาการ


อู่เหมยยิ้มขึ้นอีกครั้งและพูด “คุณอาคะ หนูมาเรียนวาดรูปกับครูเฮ่อ เพียงแต่พ่อกับแม่ไม่เห็นด้วย หนูจึงต้องแอบพวกท่านมาเรียน คุณอาต้องช่วยหนูเก็บเรื่องนี้เป็นความลับนะคะ!”


จี้เจี้ยนโปไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดกับลักษณะนิสัยของสองสามีภรรยาแบบอู่เจิ้งซือ คงแปลกถ้าพวกเขาจะเห็นด้วยได้ แต่ที่เขาแปลกใจก็คือทำไมอู่เหมยจะต้องบอกเรื่องนี้กับเขา แต่เมื่อมองรอยยิ้มของอู่เหมยที่แฝงด้วยความหมายบางอย่าง เขาก็เข้าใจได้ในทันที สมกับเป็นเจ้าเด็กดื้อจอมฉลาดจริงๆ


“เรียนวาดรูปเป็นเรื่องที่ดี อู่เหมยไม่ต้องกังวลนะ อาจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร”


“ขอบคุณคุณอามากนะคะ คุณอากับครูเฮ่อไปทำธุระกันต่อเถอะ หนูกับอู่เชาจะกลับบ้านแล้ว” อู่เหมยโบกมือลาพวกเขา ออกแรงลากตัวอู่เชาที่ยังคงมึนงงกับสถานการณ์ตามกลับมาด้วย และยังแอบขยิบตาส่งไปให้ทางจี้เจี้ยนโป


“กลับบ้านดีๆ ล่ะ!”


จี้เจี้ยนโปเองก็ส่งยิ้มให้และโบกมือลา พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลานสาวของเขาที่แท้พอโตขึ้นก็เปลี่ยนแปลงไปมากทั้งหน้าตาและอุปนิสัย


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 198 แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ


เฮ่อเหวินจิ้งถามออกไปด้วยความกลัว “เจี้ยนโป พวกเขากลับบ้านไปจะพูดเรื่องนี้ไหม? ภรรยาของคุณจะต้องมาตามรังควานฉันแน่ๆ ฉันกลัวค่ะ!”


จี้เจี้ยนโปใช้มือตบเบาๆที่ไหล่ของเธอ และพูดปลอมอย่างอ่อนโยน “เหวินจิ้งไม่ต้องกังวลนะ เหมยเหมยพวกเขาจะไม่บอกใครแน่นอน เธอดูสิว่าอู่เหมยได้บอกความลับของตัวเองออกมาแล้วด้วย แล้วจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับที่บ้านได้ยังไงล่ะ”


เฮ่อเหวินจิ้งเห็นถึงท่าทีมั่นใจของจี้เจี้ยนโปก็รู้สึกสบายใจขึ้น แต่แค่แวบเดียวหัวคิ้วก็ผูกเข้าหากันแน่นและพูด “แต่ยังมีเด็กผู้ชายคนนั้นอีกนะ เขากลับไปจะบอกเรื่องนี้กับใครไหม?”


“ไม่พูดหรอก อู่เหมยจัดการเสี่ยวเชาได้ อีกอย่างเสี่ยวเชาเองก็ไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเรา เธอสบายใจได้เลย” แม้ว่าจี้เจี้ยนโปจะทำการปลอบเฮ่อเหวินจิ้ง แต่นั่นก็เป็นการปลอบตัวเขาเองด้วย


เขากับเฮ่อเหวินจิ้งแค่มาเดินช๊อปปิ้งเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ดูเกินเลย อู่เชาคงจะไม่ได้คิดไปไกล สร้างสมกำลังใจให้ตัวเองได้สักพักเขาก็ไม่ได้รู้สึกกังวลต่ออะไรแล้ว


อย่างมากก็แค่หย่ากับอู่เจิ้งหง แน่นอนว่านั่นคือแผนการต่อไปของเขา เพียงแต่ในตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะที่จะหย่าได้ เขาไม่อยากเป็นดั่งเรือล่มเมื่อจอด มิเช่นนั้นหลายปีมานี้ที่เขาทนมามันจะมีความหมายอะไร!


“เหวินจิ้ง เธออดทนอีกหน่อยนะ รอให้ฉันได้เป็นรองศาสตราจารย์ ฉันจะหย่ากับอู่เจิ้งหง ต่อไปนี้เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันอย่างถูกต้องและเปิดเผย” จี้เจี้ยนโปพูดขึ้น


เฮ่อเหวินจิ้งยิ้มออกมาอย่างเจ็บปวด รักคนที่ไม่ควรจะรัก เธอรู้ว่าตัวเองผิดแต่ก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ ราวกับเธอเป็นดั่งแมลงเม่าที่บินเข้าไปสู่กองไฟ โถมตัวเข้าไปหาไฟที่ร้อนลุ่มอย่างไม่กลัวตาย จนต้องมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน


“เจี้ยนโป ฉันรู้จักคุณมาสองปีแล้ว คำพูดนี้คุณก็พูดมาตลอดสองปี”


จี้เจี้ยนโปไม่สามารถปกปิดสีหน้าตัวเองได้ จึงยิ้มออกไปอย่างละอายใจ อยากจะพูดแก้ตัวออกไปบ้างแต่ยังไม่ทันได้อ้าปากพูด เฮ่อเหวินจิ้งก็ถอนหายใจและพูดอย่างอ่อนโยน “ฉันจะกลับบ้านแล้ว คุณกลับไปก่อนเถอะ”


“แล้วสัปดาห์หน้าเราสองคน……” จี้เจี้ยนโปถามขึ้น


เฮ่อเหวินจิ้งพูดอย่างเย็นชา “สัปดาห์หน้าค่อยว่ากันค่ะ”


จี้เจี้ยนโปมองตามคนรักที่เดินไปฝั่งตรงข้าม ยิ่งเดินยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆจนลับตา เขาทุบขมับตัวเองเบาๆพรางนึกว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เดทดีๆทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้


พอนึกได้ว่าจะต้องกลับบ้านไปเจอกับคนไม่มีความน่าสนใจอย่างอู่เจิ้งหง ในใจของเขาก็ดับมืดลงในทันที หากกล่าวว่าเฮ่อเหวินจิ้งคืออาหารชั้นเลิศของหวาเซี้ย อู่เจิ้งหงก็คงเป็นอาหารอินเดียที่เละเทะอย่างอาซาน แค่เห็นก็ทำให้ไม่เกิดความอยากอาหาร


อาซานเป็นเมนูหนึ่งที่ต่อให้ปรุงรสอย่างไรหน้าตาที่ออกมาก็จะธรรมดาๆ ซึ่งอู่เจิ้งหงต่อให้มีเสื้อผ้าที่ดีขนาดไหน เมื่อสวมใส่บนตัวของเธอแล้วก็ดูจะให้ความรู้สึกเหมือนใส่เสื้อตัวใหญ่ที่บุด้วยปุยฝ้าย หรือเรียกได้ว่าใส่ชุดที่ไม่ได้ซักมานานเป็นสิบกว่าปี


เฮ้อ!


จี้เจี้ยนโปถอนหายใจและหันกลับไปทางบ้านตัวเองด้วยความอดสู ต่อให้เขาจะไม่ชอบอู่เจิ้งหง แต่ยังไงก็ต้องกลับบ้าน และอีกอย่างตำแหน่งรองศาสตร์ตราจารย์ของเขายังต้องได้พึ่งใบบุญของพ่อตาและพี่ชายคนโตของภรรยาด้วย!


อู่เหมยลากอู่เชาออกมาหลบซ่อนอยู่ในตรอกซอยเล็กๆ จี้เจี้ยนโปกับเฮ่อเหวินจิ้งแยกทางกันเดินไปแล้ว สีหน้าท่าทางเศร้าสลดและหม่นหมองของเขาอยูในสายตาของเธอทั้งหมด


“เหมยเหมย คุณอากับผู้หญิงคนนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ” อู่เชาพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ


อู่เหมยมองเขาอย่างเอือมระอา ไร้สาระ เรื่องจริงที่เกิดขึ้นนี้หากไม่ใช่คนตาบอดทุกคนก็คงเข้าใจได้


“นี่ เมื่อกี้เธอบอกว่าไม่ให้ฉันเข้าไปทักไม่ใช่เหรอ? แล้วทำมเธอถึงวิ่งเข้าไปล่ะ?” อู่เชาเริ่มที่จะคิดบัญชีเธอคืน


อู่เหมยจึงมองเขาด้วยความระอาอีกครั้ง และพูดด้วยอารมณ์โมโห “ฉันเข้าไปทักครูเฮ่อไม่ได้หรือไง?”


ตอนแรกอู่เชาก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่เขากลับต้องส่ายหน้า และจ้องมองอู่เหมมยอย่างไม่พอใจ ยัยเด็กบ้านี่เริ่มจะทำให้เขาสับสนอีกแล้ว ครูกับคุณอาอยู่ด้วยกัน ถ้าเข้าไปทักครูก็เท่ากับว่าเข้าไปทักคุณอาเหมือนกัน!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 199 มันเกี่ยวอะไรกับฉัน


อู่เหมยไม่อยากจะอธิบายอะไร เธอเองก็มีขอบเขตของตัวเอง ความสัมพันธ์ของครูเฮ่อกับจี้เจี้ยนโปเป็นแบบนี้ และเธอก็ต้องไปเรียนวาดรูปกับครูเฮ่อที่นั่น ต้องมีสักวันที่ความจริงถูกเปิดเผย แต่ก็ไม่ใช่ในตอนนี้


และเธอเองก็อยากจะหาคนในบ้านตระกูลอู่มาช่วยสนับสนุน ลำพังพละกำลังและความสามารถของเธอมีไม่เพียงพอ ตี๋ชิวเยวี่ยเป็นคนฉลาดเพียบพร้อม แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยแข็งกร้าวและเป็นคนคิดรอบครอบเสมอ เหลือเพียงแค่จี้เจี้ยนโปแล้วล่ะ


เพียงแค่เธอกับจี้เจี้ยนโปมีความลับที่เหมือนกัน แบบนั้นพวกเขาก็คงต้องลงเรือลำเดียวกันแล้วล่ะ!


“ยังไงนายกลับไปแล้วอย่าปากพล่อยก็พอ” เธอเหลือบมองหน้าดำๆ อ้วนๆ ของอู่เชาที่กำลังทำหน้าไม่พอใจอยู่และพูดขึ้น “แต่ถ้านายจะพูดออกไปก็คงไม่เป็นไร คุณอาแค่ไปเดินชอปปิงกับเพื่อนร่วมงานก็เท่านั้น ไม่มีอะไรที่ร้ายแรง”


อู่เชาตะโกนออกไปอย่างสุดจะทน “ถ้าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงแล้วทำไมเธอถึงไม่อยากให้ฉันพูด?”


เฮ้อ! คิดเสียว่าเขาโง่ก็แล้วกัน!


อู่เหมยยักไหล่ส่งให้เขาและพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้างั้นนายกลับไปก็พูดเรื่องนี้สิ เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่รู้อะไรด้วย ถึงเวลานั้นคุณอาคงจะไม่ปล่อยนายไว้แน่ และยังมีจี้เหวินฮุ่ย…”


เธอยังพูดได้ไม่ทันจบอู่เชาก็ตกใจจนตัวสั่น พลางคิดได้ในทันทีว่าอู่เจิ้งหงเป็นโรคประสาท จี้เหวินฮุ่ยเองก็ไม่ค่อยปกติ ทั้งสองแม่ลูกมีพฤติกรรมที่น่าเอือมระอา


“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงปากมาก คุณอากับเพื่อนไปเดินชอปปิงกันมันเกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันกลับบ้านล่ะ”


อู่เชาหน้าดำคร่ำเครียดและหันตัวกลับไปยังทางกลับบ้าน ยัยบ้าอู่เหมยนี่นับวันยิ่งมีเล่ห์เหลี่ยมมากขึ้น เธอจะต้องรู้ถึงสถานการณ์ภายในแน่ๆ มิเช่นนั้นก่อนหน้านี้ยัยบ้านี่จะทำตัวใจเย็นได้แบบนี้เหรอ?


ความฉลาดในหัวเริ่มปรากฏ อู่เชานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านของปู่กับย่าในวันครูได้กะทันหัน อู่เยวี่ยพูดว่าคุณอาไปเดินที่ตลาดหนานสุ่ยกับคนอื่น ในตอนนั้นสีหน้าท่าทางของคุณอาดูแปลกไป ดูยังไงก็เหมือนขาดความมั่นใจในตัวเอง เพียงแต่อู่เหมยบอกว่าไม่เห็นทุกคนเลยไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องต่อ แต่ตอนนี้มาคิดดูดีๆ แล้วแสดงว่าวันนั้นอู่เหมยพูดโกหกออกไป


วันนั้นคุณอาไปเดินที่ตลาดหนานสุ่ยกับคนอื่นจริงๆ หากไม่เกินไปจากที่คิดไว้ก็คงเป็นครูเฮ่อ มิน่าล่ะที่เมื่อครู่ยัยบ้านั่นเจอกับพวกคุณอาถึงได้มีท่าทีแปลกๆ พออู่เชาใจเย็นลงในหัวของเขาก็โล่งราวกับเลือดลมไหลเวียนได้ดี ในเวลาอันน้อยนิดก็สามารถนึกถึงกุญแจสำคัญที่มีอยู่ขึ้นมาได้ อารมณ์ความรู้สึกก็เพิ่มทวีคูณขึ้นมา


ยัยบ้านั่น อุตส่าห์ชมว่าเขาปฏิบัติต่อเธออย่างจริงใจจนเขาต้องยกเนื้อกระป๋องให้เธอ นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะปิดบังเขาทุกเรื่อง กล้าทำแบบนี้ได้อย่างไร!


อู่เหมยได้เดินแยกไปทางห้องเรียนเยาวชน ฝั่งสยงมู่มู่เองก็คงใกล้จะเลิกเรียนแล้ว อู่เชาที่อยู่ด้านหลังของเธอตะโกนด่าด้วยความโกรธ “อู่เหมยหยุดอยู่ตรงนั้นนะ!”


เจ้าเด็กอ้วนโมโหจนหน้าดำหน้าแดง เขาลงน้ำหนักเดินและสาวเท้ายาวๆ ตามมา อู่เหมยเองก็ยักคิ้วหลิ่วตามองอย่างแปลกใจ เลือดลมช่องไหนไหลเวียนผิดปกติอีกล่ะ?


“เธอเคยเจอคุณอาอยู่กับครูเฮ่อมาก่อนใช่ไหม? ครั้งนั้นที่ตลาดหนานสุ่ย อู่เยวี่ยเองก็เห็นเช่นเดียวกัน” สีหน้าของอู่เชาบ่งบอกได้ว่า ‘ฉันรู้ทุกอย่าง’ อย่างพึงพอใจ


อู่เหมยเหลือบมองเขาแค่แวบเดียว ฉลาดจริงๆ เลย แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็คิดออกแล้ว เหอะ! เกลียดที่สุดพวกคนฉลาด!


“ตลาดหนานสุ่ยอะไร? นายสมองกระทบกระเทือนหรือไง? ฉันจะไปห้องเรียนเยาวชนแล้ว” อู่เหมยยังคงยืนหยัดที่จะไม่ยอมรับและรีบสาวเท้าเดินให้เร็วขึ้นเพื่อให้ไปถึงห้องเรียนเยาวชน อู่เชาเองก็วิ่งตามอยู่ด้านหลังอย่างเหนื่อยหอบ


“อู่เหมยเธอทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง ทั้งที่วันนั้นเธอเห็นแต่ทำไมไม่พูดออกไป? คุณอาทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ผิดต่ออาหญิงมากด้วย” อู่เชาไม่พอใจมากต่อความไม่เป็นธรรม


อู่เหมยหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น คนที่เห็นคืออู่เยวี่ย นายไปเทศน์ให้เธอฟังนู่น”


“อู่เยวี่ยสายตาไม่ดี มองเห็นไม่ชัด”


“เหลวไหล ตาทั้งสองข้างของเธอมีระยะแค่สองจุดห้า จะสายตาไม่ดีได้ยังไง?”


อู่เหมยที่นึกถึงอู่เยวี่ยขึ้นมาได้ก็เกิดความโมโหขึ้น ในเวลาเดียวกันก็มองอู่เชาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรและพูดออกไปอย่างเย็นชา “ต่อให้ฉันเห็นจริงๆ แล้วจะทำไม? นั่นมันเรื่องของที่บ้านคุณอา ทำไมฉันจะต้องออกแรงทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อตัวเองด้วย? ถ้าหากว่าฉันพูดออกไป อาหญิงเขาจะขอบคุณฉันหรือว่าจี้เหวินฮุ่ยจะขอบคุณฉันเหรอ?”


เธอมองอู่เชาด้วยความเยือกเย็น อู่เหมยเดินข้ามถนนและค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับตาไม่มีแม้แต่เงา


อู่เชายืนอยู่กับที่อย่างคนโง่ เมื่อครู่ในดวงตาของอู่เหมยเต็มไปด้วยความเยือกเย็นเหน็บหนาว ความหนาวกัดไปจนถึงขั้วของหัวใจเขา แม้จะมีแสงแดดคอยส่องแสงแต่เขากลับรู้สึกหนาวจนตัวสั่น


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 200 ข่าวดี


อยู่เชายังคงยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิมได้สักพักจนความรู้สึกหนาวเหน็บในใจค่อยๆ จางหายไป เขาถึงได้ค่อยๆ เดินกลับไป เมื่อครู่อู่เหมยเป็นอะไรไป? พอพูดถึงอู่เยวี่ยทำไมเธอถึงได้มีท่าทีแบบนั้น? รวมทั้งอาหญิงกับจี้เหวินฮุ่ยด้วย ราวกับว่าเธอมีเรื่องขุ่นเคืองแค้นใจอย่างฝังลึก


อู่เหมยเธอเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เปลี่ยนไปจนเขาไม่สามารถจะอ่านใจเธอได้เลย อู่เชาถอนหายใจและไม่ยอมจมปลักอยู่กับความเงียบ แต่สุดท้ายก็ได้ระเบิดออกจากห้วงแห่งความเงียบงัน


เพียงแค่ไม่รู้ว่าคนประเภทไหนที่จะถูกดึงเข้าไปพัวพันด้วย แต่ถึงยังไงก็ไม่ใช่เขา ช่วงนี้ความสัมพันธ์ของเขาและอู่เหมยถือว่าไปได้ดี อีกทั้งเขายังยกเนื้อกระป๋องให้กับอู่เหมยไปแล้วด้วย!


ช่วงอารมณ์อ่อนไหวของวัยรุ่นมักจะมาไวและหายไปได้ไวเช่นกัน อู่เชาเองที่ใจลอยก็กลับมาอยู่ในลักษณะเดิมอีกครั้ง เขาหยิบเอาขนมเปี๊ยะไส้รากบัวที่ยังกินไม่หมดที่ได้ซ่อนไว้ในกระเป๋าออกมา และลงมือกินต่ออย่างเอร็ดอร่อย


ส่วนเรื่องฉาวของจี้เจี้ยนโปนั้น อู่เชาได้ลืมและทิ้งมันไปแล้ว ผู้หญิงอย่างอู่เยวี่ยและอู่เหมยยังไม่พูด แล้วผู้ชายอกสามสอกแบบเขาจะทำตัวเป็นบ่างช่างยุได้อย่างไร?


อู่เหมยรอให้สยงมู่มู่เลิกเรียนแล้วกลับบ้านพร้อมกัน เธอปั่นจักรยานได้ไวกว่าปกติมากโดยไม่รู้ตัว เธออยากรู้ถึงสถาณการณ์ของอู่เยวี่ยจนอดใจรอไม่ไหว ทั้งกลิ่นเต่าเหม็นๆ และไหนจะอาการท้องเสียอีก เป็นทั้งสองอย่างพร้อมกัน ต่อให้อู่เยวี่ยจะเป็นเทพเซียนลงมาจุติก็เกรงว่าจะสอบให้ได้คะแนนดีๆ ยาก!


สยงมู่มู่ที่เห็นท่าทีของเธอก็รู้ได้ทันทีว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่ นึกถึงสภาพจนตรอกของอู่เยวี่ยในช่วงกลางวัน เขาจึงรู้สึกสั่นไปทั้งตัว ที่แท้จิตใจของพวกผู้หญิงไม่ใช่แค่คับแคบ แต่ยังโหดเหี้ยมอีกด้วย


“นี่ ต่อไปอย่าทำเรื่องต่ำช้าพวกนี้อีก หากเราจะเอาชนะก็ต้องชนะด้วยความบริสุทธิ์ ทำให้อู่เยวี่ยยอมรับในเหตุผลและความสามารถ” สยงมู่มู่เตือนจนปากเปียกปากแฉะ เขาไม่ได้เต็มใจจะให้อู่เหมยทำเรื่องเลวๆ แบบนี้


อู่เหมยหัวเราะเยาะ “ฉันแค่ต้องการให้อู่เยวี่ยแพ้ก็พอ เธอจะยอมรับในเหตุผลและความสามารถหรือไม่ฉันไม่สนใจ”


เธอยอมรับว่าตัวเธอใช้วิธีการที่ไม่ถูก แต่แล้วจะทำไม?


เมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้นที่อู่เยวี่ยได้ทำกับเธอไว้ ต่อให้เธอทำเรื่องเลวๆ สักร้อยเท่าก็ไม่เกินไปหรอก!


ความเจ็บปวดของเธอ ความเจ็บปวดของลูก เธอจะค่อยๆ เรียกคืนจากอู่เยวี่ยทีละนิด เป็นร้อยเท่าพันเท่าหมื่นเท่า!


สยงมู่มู่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของอู่เหมย มองเธออย่างแปลกใจและถามขึ้น “แม้ว่าคนอย่างอู่เยวี่ยจะไม่อะไรมาก แต่ถึงยังไงก็คือพี่สาวของเธอ ถือว่าทำแค่พอควรก็ต้องหยุดได้แล้ว อย่าให้มันเลยเถิดไปกว่านี้เลย เธอจะได้ไม่รู้สึกเสียใจในภายหลัง”


“อะไรนะ เสียใจในภายหลัง? ต่อให้อู่เยวี่ยตายอยู่ตรงหน้าฉัน แค่หนังตาฉันก็จะไม่กะพริบเลยล่ะ!” อู่เหมยยิ้มอย่างเย็นชาเท่านั้น ในขณะเดียวกันเธอเพิ่งรู้สึกตัวได้ว่าได้พลั้งปากพูดออกไป จึงได้พูดแก้คำ “ฉันแค่ล้อนายเล่นเอง ฉันก็แค่ไม่ชอบที่ทุกวันนี้อู่เยวี่ยเอาแต่ทำตัวหยิ่งยโสเรื่องคะแนนสอบต่อหหน้าฉันเท่านั้นเอง ก็แค่อยากเห็นเธอโชคร้ายบ้าง ส่วนเรื่องอื่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน”


อู่เหมยรู้สึกว่าตัวเองทำพลาดเพราะเมื่อครู่เธอรู้สึกตื่นเต้นเกินไป จนเกือบทำให้ดูมีพิรุธแล้ว สยงมู่มู่ไม่เคยรู้เรื่องบุญคุณหรือความแค้นใดๆ ระหว่างเธอกับอู่เยวี่ยมาก่อน เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เข้าใจถึงความแค้นที่เธอมีต่ออู่เยวี่ย ต่อไปเธอจะต้องระวังตัวให้มากกว่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สยงมู่มู่รู้เรื่องความลับของเธอ


ก่อนหน้านี้สยงมู่มู่ได้ถูกอู่เหมยทำให้ตกใจ แต่ก็ถูกเธอปลอบใจได้ในเวลาเดียวกันจึงไม่ได้คิดมากอะไร กระทั่งคิดว่าตัวเขาเองคิดมากไป อู่เหมยก็แค่ไม่พอใจกับคะแนนของอู่เยวี่ยเท่านั้นเอง จะมีความคิดโหดเหี้ยมแบบนั้นได้ยังไง?


อู่เหมยแยกกับสยงมู่มู่และเดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมกับความคาดหวังบางอย่าง อาจารย์แม่จางกำลังทำกับข้าวอยู่ พอมองเห็นเธอก็ยิ้มให้อย่างอบอุ่นและพูดเตือน “เกิดเรื่องขึ้นกับพี่สาวของเธอเล็กน้อย ครูเหอเองก็อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก”


“ขอบคุณค่ะครูแม่จาง!”


อู่เหมยยิ้มให้พร้อมกับพูดขอบคุณ ใบหน้าไม่ได้ปรากฏสิ่งใด แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น ดูเหมือนสถานการณ์ของอู่เยวี่ยจะเยี่ยมมากเลย!


ฮ่าๆ ช่างเป็นข่าวดีจริงๆ เย็นนี้ต้องกินข้าวเยอะๆ หน่อยแล้ว


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 201 สะใจ


อู่เยวี่ยไม่ได้อยู่ที่ห้องรับแขก เธออยู่ในห้องน้ำเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะทนสอบเสร็จ อู่เยวี่ยไม่รู้เลยว่าเธอกลับมาได้อย่างไร กลับมาถึงเธอก็เข้าห้องน้ำเลย พอได้นั่งก็ไม่ได้ลุกขึ้นอีกเลย


“เยวี่ยเยวี่ย เป็นอะไรไปลูก? ลูกอย่าทำให้แม่ตกใจสิ!” เหอปี้อวิ๋นยืนตกใจอยู่หน้าประตูห้องน้ำด้วยสีหน้ากังวล


“แม่…”


อู่เยวี่ยไม่มีแม้แต่แรงจะพูด ท้องเจ็บเหมือนโดนมีดแทง หัวก็ปวดและรู้สึกวิงเวียนอย่างรุนแรง น่าจะเป็นเพราะตอนเช้าสระผมด้วยน้ำเย็นแน่นอน แต่อู่เยวี่ยไม่ได้กังวลกับเรื่องพวกนี้ ท้องเสียกับปวดหัวยังมีโอกาสที่จะดีขึ้น แต่กลิ่นเหม็นแปลกๆ บนหัวเธอนี่สิกลับทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าฟ้ากำลังถล่มลงมา


เห็นได้ชัดว่ากลิ่นหายไปแล้ว แต่ทำไมถึงมีกลิ่นขึ้นอีกครั้งได้?


ตอนกลางวันเพื่อนๆ ที่อยู่รอบๆ ต่างเยาะเย้ยเสียดสี อีกทั้งสายตาของพวกเขาก็มองมาอย่างแปลกๆ ราวกับเป็นมีดแหลมคมที่เสียบกลางใจของเธออย่างเหี้ยมโหด เจ็บจนชาไปหมด


ส่วนผลการสอบเดือนนี้ อู่เยวี่ยไม่กล้าจะนึกถึงเลย ตอนที่ทำถึงตอนท้ายแม้แต่หัวข้อเธอก็อ่านไม่เข้าใจอีกต่อไป ในการทำข้อสอบก็ทำไปตามความรู้สึกทั้งหมด เธอไม่รู้เลยว่าตัวเธอเองเขียนอะไรไปบ้าง เรื่องคะแนนนั้นแค่คิดก็รู้ผลแล้ว


แต่อู่เยวี่ยก็ไม่ได้หมดกำลังใจ วันนี้เธอเพิ่งสอบวิชาวรรณกรรม คณิตศาตร์ ภาษาอังกฤษ และชีววิทยาเพียงสี่วิชา พรุ่งนี้เธอยังมีสอบวิชาฟิสิกส์ วิชาเคมี ประวัติศาตร์ ภูมิศาตร์ และรัฐศาสตร์อีกห้าวิชา ขอแค่พรุ่งนี้เธอพยายามทำอย่างเต็มที่ เธอก็ยังจะรักษาอันดับหนึ่งไว้ได้ ถึงอย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่สอบเธอจะมีคะแนนห่างจากที่สองประมาณสิบกว่ายี่สิบกว่าคะแนนเอง!


ตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือต้องรีบดูแลร่างกายให้กลับมาแข็งแรง พยายามทำให้สภาพจิตใจพร้อมกับการสอบวันพรุ่งนี้


อู่เยวี่ยทำใจให้สงบนิ่ง ทำจิตใจให้เข้มแข็ง ใส่กางเกงด้วยความอ่อนแรง ออกมาอย่างทุลักทุเล ใบหน้าที่ขาวซีดทำให้เหอปี้อวิ๋นตกใจเป็นอย่างมากและถามไม่หยุด


“แม่ หนูท้องเสียมาทั้งวัน หัวก็ปวดมาก อีกอย่างผมก็มีกลิ่นอีกแล้ว เพื่อนๆ หัวเราะเยาะหนูทั้งวันเลย ฮือ…”


อู่เยวี่ยฟุบตัวลงบนโต๊ะร้องไห้ด้วยความเสียใจ เธอเสียใจจริงๆ ไม่ได้แสดงละครเลยสักนิด เหอปี้อวิ๋นเองก็พลอยหัวใจสลายดึงอู่เยวี่ยมาตบหลังเบาๆ


“เยวี่ยเยวี่ยที่น่าสงสาร ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้? เมื่อเช้าก็ยังดีๆ อยู่เลย!” เหอปี้อวิ๋นคิดอยู่นานแต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้


อู่เจิ้งซือขมวดคิ้ว กลุ้มใจเป็นอย่างมาก ในช่วงนี้ลูกสาวคนโตของเขาสถานการณ์ไม่ค่อยปกติ เมื่อไม่นานมานี้กลิ่นเหม็นเพิ่งจะหายไป พอถึงเวลาสอบกลิ่นก็กลับมาเหม็นอีกแล้ว อีกทั้งยังเป็นหวัดแล้วก็ท้องเสีย พอถึงเวลาสำคัญก็ทำเสียเรื่องตลอด


“พี่ก็ท้องเสียเหมือนกันเหรอ? วันนี้หนูก็รู้สึกปวดท้องเหมือนกัน เข้าออกห้องน้ำหลายรอบเลย“ อู่เหมยเดินจับท้องเข้ามาในห้อง แสดงท่าทางเหมือนไม่สบาย


เหอปี้อวิ๋นพูดด้วยความโกรธ “แกเข้ามาวุ่นวายอะไร? ยังไม่รีบไปทำกับข้าวอีก!“


อู่เหมยไม่ได้สนใจท่าทีของเหอปี้อวิ๋นเลยสักนิด ถึงอย่างไรแล้วตอนนี้เธอก็ไม่ได้สนใจกับความรักของพ่อแม่อีกแล้ว โดยเฉพาะตอนนี้เมื่อเห็นอู่เยวี่ยมีท่าทางเศร้าใจ เธอก็รู้สึกสะใจเป็นอย่างมาก


“โอยย… หนูปวดท้องอีกแล้ว พ่อคะ หนูคิดว่าจะต้องเป็นเพราะอาหารเช้าที่แม่ทำเมื่อเช้าทำพิษแน่ๆ ไม่อย่างนั้นหนูกับพี่จะท้องเสียทั้งคู่ได้ยังไง?”


อู่เหมยพูดไปก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปด้วย อู่เจิ้งซือมีท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ มองเหอปี้อวิ๋นด้วยท่างทางสงสัย ใบหน้าของเหอปี้อวิ๋นค่อยๆ เปลี่ยนสีและพูดออกมาอย่างโมโหว่า “คุณอู่อย่าฟังคำพูดไร้สาระของเหมยเหมยมัน ถ้าอาหารมีปัญหาจริง ทำไมฉันกับคุณถึงไม่เป็นอะไรเลย?”


อู่เจิ้งซือคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ อาหารเช้าที่กินกันก็กินเหมือนกันทั้งบ้าน ถ้าเกิดจะเป็นอะไรทุกคนก็ต้องเป็นด้วยกันหมดสิ อู่เหมยยืนในห้องน้ำได้ครู่นึงจึงกดชักโครก หัวเราะอย่างพอใจพลางเปิดประตูพร้อมกับพูดเติมเชื้อไฟเข้าไปอีกว่า “อาจจะเป็นเพราะว่าหนูกับพี่สาวภูมิต้านทานไม่ค่อยดีก็เป็นได้ แต่เมื่อเช้าหนูกินซาลาเปาไส้เนื้อก็รู้สึกว่ารสชาติแปลกๆ พ่อคะ พ่อไม่รู้สึกเหรอ?”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 202 เป็นความผิดของเนื้อทั้งหมด


อู่เจิ้งซือเดิมก็ไม่ได้รู้สึกว่าซาลาเปาเมื่อเช้านั้นมีปัญหา แต่พออู่เหมยพูดขึ้นมา บวกกับลูกสาวทั้งสองยังไม่สบายอีก โรคขี้ระแวงของอู่เจิ้งซือก็เริ่มกลับมทำงานอีกครั้ง ท้ายสุดก็รู้สึกว่าซาลาเปามีรสชาติที่ไม่ปกติจริงๆ และยิ่งมองไปที่เหอปี้อวิ๋นที่ทำหน้าไม่เป็นธรรมชาติ ความสงสัยของก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก สีหน้าเริ่มไม่พอใจ


อู่เหมยแอบคิดลำพองใจในใจ เหอปี้อวิ๋นเป็นคนขี้งกและชอบเอาเปรียบผู้อื่น เพราะว่าเธอทำงานอยู่แถวชานเมือง แถวนั้นมักจะมีชาวนาที่แอบฆ่าหมูแล้วเอามาขาย ราคาจะถูกกว่าจากราคาตลาดนิดหน่อย เหอปี้อวิ๋นซื้อทีก็สองสามชั่ง ช่วงหน้าหนาวมันก็ดีหน่อยสามารถเก็บเนื้อได้สองสามวัน แต่ถ้าหน้าร้อนนี่ไม่ได้เลย เพราะที่บ้านไม่มีตู้เย็น เหอปี้อวิ๋นได้แค่เอาเนื้อทาเกลือแล้วก็ทำเนื้อเค็ม


ก่อนหน้านี้สองสามวัน เหอปี้อวิ๋นซื้อเนื้อที่ดีหน่อยกลับมาบ้าน ช่วงนี้ที่บ้านกินเนื้อเค็มทุกวัน มื้อเช้าทำซาลาเปายังทำไส้เนื้อเค็มเลย จริงๆ แล้วกลิ่นของเนื้อเค็มมันก็มีหน่อยๆ แต่มันก็ไม่ได้เน่าแน่นอน


ที่อู่เหมยตั้งใจจะพูดแบบนี้จริงๆ แล้วเธอไม่ชอบกินเนื้อเค็ม นานๆ กินทีก็ยังพอไหว แต่กินบ่อยเกินไปก็รับไม่ไหว คนปัจจุบันไม่สนใจเรื่องการดูแลสุขภาพ มักกินผักดองและเนื้อเค็มบ่อยๆ อู่เหมยเองก็รู้ว่าอาหารที่ทำมาจากของดองนั้นไม่ดีต่อร่างกาย เพราะว่ามันมีสารไนไตรท์ที่จะทำให้เป็นโรคมะเร็งได้ง่าย


ดังนั้นเมื่อกี้เธอจึงยกเอาเรื่องที่ท้องเสียไปโทษที่ซาเปาไส้เนื้อ เพื่อที่หนึ่งคือทำให้เหอปี้อวิ๋นมีปัญหา และสองคือทำเพื่อความผาสุกของตัวเอง โดยหวังว่าทุกๆ วันต่อจากนี้จะได้กินเนื้อที่สดใหม่


“แม่ เนื้อที่แม่เอามาทำซาลาเปามันวางมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว ครั้งที่แล้วหนูเห็นมีหนอนขึ้นแล้วนะ แน่นอนว่าเนื้อมันไม่สดแล้ว หนูกับพี่สาวก็เลยท้องเสีย” อู่เหมยยิ่งพูดเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก


อู่เจิ้งซือขมวดคิ้ว คลื่นไส้อาเจียน ปกติเขาเป็นคนที่รักความสะอาด พอได้ยินว่าเนื้อมีหนอนขึ้นก็เลยทำให้เขาอ้วกข้าวมื้อดึกออกมา ใบหน้าก็ไม่พอใจอย่างมาก


เหอปี้อวิ๋นจ้องอู่เหมยเขม็ง อธิบายออกมาว่า “คุณคะ อย่าไปฟังนังเด็กนี่พูดลอยๆ เนื้อเค็มจะมีหนอนโผล่มาได้ยังไง? เป็นไปไม่ได้”


 อู่เหมยพูดเกินจริงไปอีกว่า “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ แม่ เนื้อชิ้นนั้นแม่ก็ไม่ได้ใส่เกลือเยอะ อากาศก็ร้อน ไม่มีหนอนสิแปลก พ่อคะ ถ้าพ่อไม่เชื่อ พ่อก็ไปดูเนื้อชิ้นนั้นเอาเอง ดูว่าหนูโกหกพ่อหรือเปล่า!”


อู่เจิ้งซือทำหน้านิ่งๆ แล้วก็ลุกขึ้น มุ่งหน้าไปยังห้องเก็บของ เหอปี้อวิ๋นไม่กลัวเลยแม้แต่นิดเดียว บ้านของเธอก็เก็บเนื้อแบบนี้ตั้งแต่รุ่นคุณยาย ยังไม่เคยได้ยินว่าเนื้อเค็มมีหนอนขึ้นด้วย นังเด็กเวรอู่เหมยคงอยากให้เรื่องมันยุ่งมากใช่ไหม!


ถ้าเห็นว่าเนื้อไม่มีหนอนขึ้นนะ เธอจะต้องสั่งสอนนังเด็กเวรนี่ให้ได้ ต่อให้เป็นอู่เจิ้งซือก็มาห้ามเธอไม่ได้อีกแล้ว กล้ามาหลอกฉันได้ นังลูกเนรคุณ!


เวลานี้อู่เยวี่ยลืมร้องไห้ไปเลย เป็นครั้งแรกที่คำพูดของอู่เหมยทำให้เธอไม่รู้สึกแสลงหูเท่าไร ถ้าเนื้อมันเน่าแล้วจริงๆ เช่นนั้นการที่เธอท้องเสียก็เป็นความผิดของเหอปี้อวิ๋น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าท้องเสีย วันนี้เธอคงไม่ทำข้อสอบออกมาแย่ขนาดนั้น!


อู่เยวี่ยที่พอหาช่องทางการระบายความเครียดได้ ก็ตามหลังของอู๋เจิ้งซือไป ของที่กองอยู่ในห้องเก็บของก็ไม่เยอะมาก บนหลังคาก็ผูกเชือกไว้ แขวนเนื้อเค็มและปลาเค็มจำนวนมาก ยังมีเป็ดหมักซอสและกุนเชียงจำพวกอาหารที่ทำมาจากการดองที่เหอปี้อวิ๋นทำตอนว่างทั้งหมด


เหอปี้อวิ๋นเดินไปถึงหน้าประตู พูดอย่างมั่นใจว่า “ฉันหมักเนื้อมาสิบยี่สิบปีแล้ว ไม่เคยเห็นเนื้อเค็มมีหนอนขึ้น คุณคะ คุณ…”


เสียงของเธอหยุดชะงักราวกับถูกคนบีบที่คอก็ไม่ปาน ตกตะลึงมองเนื้อหนึ่งชิ้นที่แขวนห้อยอยู่ตรงหน้าของเธอ เนื้อน่าจะประมาณสามสี่ชั่งได้ มันหมูยังขาวสดและส่วนเนื้อหมูก็ถือว่าหนาอยู่ นับว่าเป็นเนื้อน่องชั้นดี เพียงแต่ว่า…


บนเนื้อสีแดงเข้มปรากฎให้เห็นว่ามีสิ่งมีชีวิตสีขาวที่กำลังดิ้นขยุกขยิกช้าๆ แม้ว่าอู่เหมยจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ว่าก็ยังไม่สบายใจ เลยหลับตาไว้ไม่กล้ามองลงไป


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอู่เจิ้งซือ ใบหน้าของเขาเหมือนท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยพายุฝนที่มีเมฆดำมืดครึ้มและแผ่รังสีเยือกเย็นจนน่ากลัว


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 203 โยนความผิดให้เหอปี้อวิ๋น


เหอปี้อวิ๋นอ้าปากค้างด้วยความตกใจ พูดติดๆ ขัดๆ “จะเป็นไปได้ยังไง เป็นไปไม่ได้ คุณคะ คุณฟังฉันก่อน นี่มันไม่ปกติ”


อู่เจิ้งซือไหนเลยจะฟังคำอธิบายของเหอปี้อวิ๋น สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ขณะนี้สิ่งที่เขาเห็นกับตาก็คือบนเนื้อนั้นเต็มไปด้วยหนอน ต่อให้เหอปี้อวิ๋นจะอมพระมาพูด เขาก็ไม่เชื่ออีกต่อไป


ปฏิกิริยาของอู่เยวี่ยนั้นรุนแรงยิ่งกว่า เธอเพียงชำเลืองตามองเพียงแค่ครั้งเดียวก็ปิดปากวิ่งเข้าห้องน้ำไปอ้วกทันที อู่เหมยก็รู้สึกพะอืดพะอมอย่างมาก แต่เธอก็ต้องอดทนไว้ แผนยังไม่สำเร็จเลย!


“ทำไมถึงโตไว้ขนาดนี้? เมื่อคืนหนูเห็นหนอนเพียงแค่สองสามตัวเท่านั้นเอง ตอนนี้ทำไมถึงมีเยอะขนาดนี้ล่ะ?” อู่เหมยทำหน้าไม่อยากเชื่อ แสดงละครครึ่งหนึ่งอีกครึ่งคือรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ


เธอนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าแค่น้ำแก้วเล็กๆ จะได้ผลขนาดนี้ แค่หนึ่งวันหนึ่งคืนก็มีหนอนออกมามากขนาดนี้ ความสามารถในการสืบพันธ์ของมันยอดเยี่ยมจริงๆ


ไม่ผิด หนอนพวกนี้เป็นแผนของอู่เหมย เนื้อไม่มีทางที่จะเต็มไปด้วยหนอนพวกนี้ มันไม่สมเหตุสมผล แต่ถ้าเนื้อชุ่มไปด้วยน้ำนั้นก็ไม่แน่ ตอนที่อู่เหมยตัดสินใจวางยาที่จะทำให้อู่เยวี่ยท้องเสียนั้น เธอก็คิดหาทางเอาตัวรอดไว้เรียบร้อยแล้ว ความผิดครั้งนี้เหอปี้อวิ๋นจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ


เมื่อก่อนเธอโดนเหอปี้อวิ๋นทุบตีตั้งหลายครั้ง แค่โยนความผิดให้เธอสักครั้งสองครั้งจะเป็นอะไรไปล่ะ


เมื่อคืนก่อนนอน อู่เหมยแอบเทน้ำลงไปบนเนื้อแก้วนึง ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง แต่เมืองจินอยู่ทางทิศใต้ ตอนกลางวันอุณหภูมิจะค่อนข้างสูง อย่างต่ำก็ 18-19 องศา ห้องเก็บของก็ติดกับฝั่งที่มีแดดส่อง ตากแดดตั้งแต่เช้ายันเย็น ไม่มีหนอนสิถึงจะแปลก


อู่เหมยเหลือบมองหนอนบนเนื้อที่นับยังไงก็นับไม่หมด พลันขนลุกไปทั้งร่างจนอดทนไม่ได้อีกต่อไป จึงรีบหันหลังวิ่งออกไป ช่างน่าขยะแขยงจริงๆ


อู่เจิ้งซือพูดด้วยความโมโห “ยังไม่จัดการกับเนื้อเน่าชิ้นนี้อีก!”


เหอปี้อวิ๋นตอบรับอย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอใช้ปลายเท้าค่อยๆ เขี่ยไปบนก้อนเนื้อชิ้นนั้น หนอนก็ยิ่งดิ้นแรงขึ้น หนอนเป็นพันเป็นหมื่นตัวดิ้นไปทั่ว ใครจะไปทนไหว แม้กระทั่งเหอปี้อวิ๋นเองยังทนไม่ได้เลย ข้าวที่กินไปเมื่อคืนก็แทบอ้วกออกมาหมด แต่อย่างไรเธอก็ต้องจัดการกับเนื้อก้อนนี้ มิเช่นนั้นแล้วอู่เจิ้งซือก็จะยิ่งมีอารมณ์โมโหเข้าไปใหญ่


แม้จะขยะแขยงเพียงใดก็ต้องอดทนกลั้นใจนำหนอนบนเนื้อเน่านั้นทิ้งลงโถชักโครก เหอปี้อวิ๋นใบหน้าขาวซีด รู้สึกคลื่นไส้จะอ้วกแต่ก็อ้วกไม่ออก อาการเหมือนกับคนท้องก็ไม่ปาน


“เหมยเหมย เอาเนื้อไปทิ้งที่ถังขยะไป!” เหอปี้อวิ๋นใช้อู่เหมยให้ไปทิ้ง


อู่เหมยเอามือปิดปากส่ายหัวอย่างแรง “แม่ก็ให้พี่สาวเอาไปทิ้งสิ หนูจะไปทำกับข้าว”


พูดเสร็จก็วิ่งไปที่ระเบียงทางเดิน พระเจ้า! ตีให้ตายยังไงเธอก็ไม่อยากจับเนื้อน่าขยะแขยงนั่น เธอยอมทำกับข้าวดีกว่า เหอปี้อวิ๋นหน้าตึง ยังไม่ทันจะด่า อู่เจิ้งซือก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เธอเอาไปทิ้งเอง!”


เหอปี้อวิ๋นตัวสั่น ทำได้เพียงแค่เอานิ้วเกี่ยวเชือกเพื่อเอาเนื้อไปทิ้ง ตอนออกจากห้องก็จ้องเขม็งไปที่อู่เหมย ยัยเด็กสมควรตายคนนี้นับวันยิ่งใช้การไม่ได้ จะต้องคิดหาวิธีมาจัดการเธอสักหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นสักวันจะต้องโดนถอนหงอกอย่างแน่นอน!


อู่เหมยหันไปทางหลังเหอปี้อวิ๋นทำหน้าหลอก ฮัมเพลงเบาๆ เริ่มซาวข้าวเพื่อที่จะทำกับข้าว บนเตามีซุปไก่ที่เหอปี้อวิ๋นเตรียมเอาไว้ น่าจะเตรียมไว้ให้อู่เยวี่ยบำรุงร่างกาย เพียงแต่ว่าตอนนี้อู่เยวี่ยจะกินลงหรือไม่ลงก็ไม่รู้นะ!


มีซุปไก่แล้วก็ทำเพียงผัดกะหล่ำปลีที่ถนัด อ้อ…ยังมีผัดถั่วแขกอีกจาน แถมยังมีนึ่งปลาเค็มอีก เป็นอาหารที่ตัวเองชอบกินทั้งหมด วันนี้เป็นวันดี เหมาะที่จะเฉลิมฉลองที่สุด


เหอปี้อวิ๋นเดินกลับมาด้วยใบหน้าซีดขาว หันไปเจออู่เหมยที่เพิ่งหันผักเสร็จ ไม่มากไม่น้อย สามจานพอดี จึงอดไม่ได้ที่จะโมโหและตำหนิออกมา “มีซุปไก่แล้ว ทำไมยังจะทำกับข้าวออกมาเยอะขนาดนี้?”


เพิ่งทิ้งเนื้อไปประมาณครึ่งกิโล เหอปี้อวิ๋นใจเกือบสลาย แล้วยิ่งมาเห็นวิธีการทำอาหารของอู่เหมยนังลูกจอมล้างผลาญก็ยิ่งโมโห


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่204 คนที่วางแผนก็คือพวกคุณ


อู่เหมยเงยหน้าขึ้นไปมองเหอปี้อวิ๋น แต่ก่อนเธอกลัวแม่ของเธอคนนี้มากที่สุด แต่ตอนนี้เธอเกลียดแม่ของเธอมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ ทั้งชีวิตก็ไม่เคยทำดีกับเธอแม้สักครั้ง อย่าหวังเลยว่าต่อไปนี้เธอจะกตัญญูต่อเหอปี้อวิ๋น


มากสุดก็ถือว่าชดใช้หนี้บุญคุณความแค้นกันไป ต่างคนต่างใช้ชีวิตกันไป เพียงแต่ตอนนี้ก็ต้องให้เหอปี้อวิ๋นกลุ้มใจไปก่อน ก็ใครให้เธอคอยสนับสนุนอู่เยวี่ยอยู่เบื้องหลังกันล่ะ


“พี่สาวเพิ่งสอบเสร็จด้วยความลำบาก พ่อก็เหนื่อยจากการทำงาน หนูก็เลยอยากทำอาหารเยอะหน่อย พ่อกับพี่สาวจะได้กินเพื่อบำรุงร่างกาย” อู่เหมยตั้งใจพูดเสียงดัง เพื่อให้อู่เจิ้งซือที่อยู่ในห้องได้ยินอย่างชัดเจน


“ตุ๋นซุปไก่แล้วตั้งหนึ่งหมอ จะบำรุงร่างกายไม่พอได้ยังไง! เธอไปเลยเดี๋ยวฉันจะผัดเอง” เหอปี้อวิ๋นผลักอู่เหมย เตรียมทำกับข้าวเอง ยัยเด็กสมควรตายคนนี้ใส่น้ำมันเหมือนใส่น้ำ เธอยอมเหนื่อยหน่อยดีกว่า


อู่เหมยยืนโงนเงน พอยืนอยู่กับที่ได้ก็ส่งเสียงดัง “แม่ แม่ล้างมือหรือยัง? เนื้อนั่นสกปรกมากนะ หนอนเยอะขนาดนั้น!”


อู่เจิ้งซือพอได้ยินคำว่าหนอน ตรงหน้าก็เหมือนมีภาพหนอนสีขาวขยับขยุกขยิกปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง หน้าอกรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก ถ้าหากไม่ได้คำนึงว่าจะส่งผลกระทบถึงภาพลักษณ์ของความเป็นพ่อที่เข้มงวดจริงจัง เขาคงวิ่งไปอ้วกที่ห้องน้ำแล้ว


แต่อู่เยวี่ยไม่ได้มีความเด็ดขาดเท่าอู่เจิ้งซือ เธอรีบวิ่งไปอ้วกที่ห้องน้ำอีกรอบ อู่เจิ้งซือรู้สึกโมโหมากจนเกินบรรยาย เดินมาที่หน้าประตูพร้อมพูดว่า “ให้เหมยเหมยทำกับข้าว ผมมีเรื่องที่จะคุยกับคุณ”


เหอปี้อวิ๋นจำต้องยกเตาให้อู่เหมย แต่ก็ยังสั่งกำชับอีกว่า “ใส่น้ำมันน้อยหน่อย น้ำมันกินเข้าไปเยอะๆ มันไม่ดีต่อร่างกาย”


อู่เหมยรับคำส่งๆ ไป จะใส่น้ำมันเท่าไหร่ขึ้นอยู่ที่เธอ ตอนนี้ไม่ใช่ชาติที่แล้วเสียหน่อย ที่ต้องรักษาสุขภาพ น้ำมันเกลือน้ำตาลต้องใส่น้อยๆ ตอนนี้ท้องของทุกคนต่างก็ขาดแคลนน้ำมัน ใครจะไปยอมใส่น้อยกันล่ะ!


เหอปี้อวิ๋นเดินเข้ามาในห้อง เห็นอู่เจิ้งซือหน้าดำคร่ำเครียดก็หวาดกลัว ฝืนยิ้มพูดออกมาว่า “คุณมีอะไรอยากพูดกับฉันเหรอ? เรื่องเนื้อนั่นเป็นอุบัติเหตุจริงๆ ครั้งก่อนๆ ฉันหมักเนื้อก็ไม่เคยเสียมาก่อน ครั้งนี้ไม่รู้เป็นอะไร แปลกจริงๆ”


ซื้อเนื้อมา 5 ขีด เพิ่งกินไปไม่ถึงสองขีด กลายเป็นหมาได้กินไป แค่คิดเหอปี้อวิ๋นก็ปวดใจแทบแย่ เดือนนี้ทั้งเดือนคงเสียดายไม่กล้าซื้อเนื้อมากินแล้ว!


ด้านอู่เหมยผัดกับข้าวไปก็โผล่หัวให้พ้นขอบประตูพลางพูดเสียงดังว่า “แม่ บ้านเราก็ไม่ใช่ชนบท ที่เดือนสองเดือนถึงจะไปตลาด ใกล้ๆ บ้านเราก็มีตลาด ซื้อผักสะดวกจะตาย แม่ทำไมถึงชอบทำแต่เนื้อเค็ม กินเนื้อที่สดใหม่ทุกวันไม่ดีตรงไหน?”


เหอปี้อวิ๋นด่าด้วยความโมโหว่า “ทำกับข้าวไป ฉันกับพ่อเธอกำลังคุยกันอยู่ เธอเกี่ยวอะไรด้วย?”


อู่เหมยลูบจมูกอย่างไม่พอใจเลยสักนิดแต่ก็ไม่พูดอะไรอีก การที่เธอทำให้เหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยซวยขนาดนี้ ยอมถูกด่าไม่กี่ประโยคก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้เสียเปรียบ อู่เหมยฮัมเพลงเบาๆ ผัดถั่วแขกในแบบสบายๆ เธอเพิ่งใส่ผักดองแห้งลงไป หลังจากที่ผัดกับน้ำมัน กลิ่นก็กระจายไปทั่วทางเดิน


อู่เจิ้งซือไม่ค่อยสบอารมณ์ คิ้วของเขาขมวดจนแทบจะรวมกันอยู่แล้ว พูดอย่างเย็นชาว่า “เหมยเหมยพูดได้มีเหตุผล เหอปี้อวิ๋นคุณอย่าเอาความเคยชินนิสัยบ้านนอกของคุณมาใช้ที่บ้านนี้ คราวหน้าอย่าให้ผมเห็นคุณทำเนื้อเค็มอีก ถ้าหากทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องอยู่บ้านนี้ ผมให้เงินเดือนคุณทุกเดือน ไม่ไช่เพื่อให้ลูกๆ กินเนื้อเน่าหรอกนะ


“คุณทำไมพูดอย่างนี้? ฉันเพิ่งจะทำเนื้อเสียแต่ครั้งเดียว คุณก็ทำเหมือนมันเป็นเรื่องใหญ่มาก”


เหอปี้อวิ๋นรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง เธอกับอู่เจิ้งซือเป็นสามีภรรยากันมาสิบปี แม้ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาไม่ถึงขนาดว่ารักกันดูดดื่ม แต่ก็นับได้ว่ายังให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่วันนี้เพียงแค่เนื้อเน่าที่มีหนอนเพียงแค่ชิ้นเดียว ก็ตำหนิต่อว่าเธอต่อหน้าลูกแล้ว ไม่ไว้หน้าเธอเลยสักนิด


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 205 ตักเตือนเหอปี้อวิ๋น


อู่เจิ้งซือพูดอย่างเย็นชาว่า “แค่ทำเนื้อเสียเพียงแค่ครั้งเดียว? ระยะนี้คุณยังทำเรื่องผิดพลาดยังไม่เยอะพออีกเหรอ? คุณรู้ไหมที่โรงเรียนตอนนี้วิพากษ์วิจารณ์อะไรผมบ้าง เป็นเพราะคุณไม่พยายามดูแลบ้าน คนอื่นถึงได้หัวเราะเยาะผม”


เมื่อนึกถึงระยะนี้ที่เพื่อนร่วมงานของเขาพูดวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางแล้ว อู่เจิ้งซือก็ยิ่งโมโหหนัก ที่ผ่านมาครึ่งชีวิตของเขาเหมือนดั่งท้องฟ้าที่ปลอดเมฆเห็นพระจันทร์ แทบจะไม่มีใครวิจารณ์ แต่ว่าตั้งแต่วันไหว้ครูวันนั้นมา ชีวิตของเขาก็เริ่มแปดเปื้อน


ทั้งหมดเป็นเพราะเหอปี้อวิ๋นทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอลำเอียงเกินไป อู่เหมยก็คงไม่โวยวายออกมาเพราะทนไม่ไหว เพื่อนร่วมงานที่โรงเรียนก็คงจะไม่รับรู้เรื่องวุ่นวายในบ้านของเขา


อู่เจิ้งซือมองเหอปี้อวิ๋นอย่างสิ้นหวัง แล้วพูดกับเธออย่างเย็นชาว่า “เหอปี้อวิ๋น ผมจะพูดอีกรอบ เงินเดือนของคุณ คุณจะใช้จ่ายยังไงผมไม่สน แต่เงินเดือนของผมคุณจะต้องจัดการบริหารใช้จ่ายแค่ในบ้านนี้เท่านั้น ถ้าหากว่ายังมีครั้งหน้าอีก คุณก็ไม่ต้องมายุ่งกับเงินเดือนของผม”


น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ไม่ช้าไม่เร็ว ไม่สูงไม่ต่ำ แต่พอเหอปี้อวิ๋นได้ฟังกลับรู้สึกหนักเหมือนมีไม้กลองมาทุบหัวใจเธอ ทั้งเจ็บทั้งปวด อีกทั้งยังน่าหวาดกลัว


“ฉันรู้แล้ว คราวหน้าจะซื้อเนื้อสดใหม่ทุกวัน คุณก็อย่าโมโหอีกเลย หลังจากนี้ไปฉันจะจัดการกับนิสัยชอบทำเนื้อเค็มนะ!” ถึงแม้เหอปี้อวิ๋นจะไม่ยินยอม แต่ก็ต้องยอมแพ้ลดท่าทีลงและพูดจาดีๆ


ใครให้บ้านแม่เธอใหญ่สู้บ้านตระกูลอู่ไม่ได้กันล่ะ!


“หวังว่าที่พูดมาจะทำได้นะ!” อู่เจิ้งซือทำหน้าขรึมกล่าวเตือน


ต่อหน้าอู่เยวี่ยและอู่เหมย สามีของเธอตำหนิอย่างไม่ไว้หน้าเลย เหอปี้อวิ๋นอึดอัดใจจนแม้แต่หน้าก็ยังเงยไม่ขึ้น แต่ก็ยังต้องปั้นหน้ายิ้มพูดดีๆ กับอู่เจิ้งซือ ขณะที่ในใจก็โกรธเกลียดอู่เหมยเข้ากระดูกดำ ถ้าไม่ใช่เพราะนังเด็กสมควรตายนี่ยุแยง ไหนเลยอู่เจิ้งซือจะรู้ว่าเนื้อนั้นมีหนอน?


“แม่ เป็นเพราะว่าแม่ วันนี้หนูเข้าห้องน้ำตั้งสิบกว่ารอบแล้ว ทำให้หนูทำข้อสอบไม่ได้เลย ฮือ!”


เหอปี้อวิ๋นตกตะลึง ตีหัวตัวเองอย่างเสียใจ ถ้าสมมติว่าเป็นเพราะเนื้อเน่าชิ้นนั้นทำให้อู่เยวี่ยทำข้อสอบไม่ได้ดีจนเสียตำแหน่งอันดับหนึ่งไป เธอคงต้องรู้สึกเสียใจในภายหลังแน่ๆ


ในตอนนี้เองเหอปี้อวิ๋นถึงได้ตระหนักถึงผลกระทบร้ายแรงของเนื้อเน่าชิ้นนี้แล้ว หากว่าย้อนเวลากลับมาได้ ต่อให้เนื้อในตลาดจะมีราคาหนึ่งหยวนต่อหนึ่งขีด เธอก็จะซื้อเนื้อสดใหม่!


“เยวี่ยเยวี่ยอย่าทุกข์ใจไปเลย สอบครั้งนี้ทำได้ไม่ดี พวกเราก็ยังมีครั้งหน้าอีก แม่ไม่ดีเอง วันหลังแม่จะไม่ทำเนื้อเค็มอีกแล้ว!” เหอปี้อวิ๋นพูดปลอบใจ


“หนูสอบได้ที่หนึ่งมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้สอบได้ที่สอง ถ้าหากว่าครั้งนี้สอบไม่ได้ที่หนึ่ง หนูจะยังมีหน้าไปโรงเรียนได้ยังไง!” อู่เยวี่ยพูดไปร้องไห้ไป เนื้อที่เสียเป็นข้อแก้ตัวที่ดีที่จะให้เธอระบายอารมณ์ ที่เธอสอบได้ไม่ดีนั้นเป็นเพราะความผิดของเนื้อ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเธอเรียนได้ไม่ดี


อู่เหมยฟังบทสนทนาของสองคนนั้นอย่างละเอียด ส่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ครั้งหน้ายังคิดจะสอบได้ที่หนึ่ง?


ชั่วชีวิตนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ!


ขอเพียงแต่อู่เยวี่ยเข้าร่วมการสอบ เธอก็จะคิดแผนมาจัดการทำลายซะ ให้นังหญิงสารเลวคนนี้ไม่มีวันได้สงบใจ สอบได้อย่างสงบสิถึงจะแปลก อันดับหนึ่งที่รุ่งโรจน์คงอยู่ได้แค่ในความทรงจำของอู่เยวี่ยตลอดไปแล้วล่ะ!


ฟังลูกสาวคนโตร้องไห้เสียงดัง อู่เจิ้งซือก็รู้สึกหงุดหงิด ความรู้สึกไม่พอใจที่มีต่อเหอปี้อวิ๋นก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก ถ้าหากว่าสอบครั้งนี้อู่เยวี่ยไม่ได้อันดับหนึ่ง ยังไม่รู้เลยว่าเพื่อนร่วมงานที่โรงเรียนจะพูดจาไม่น่าฟังได้ขนาดไหน!


“เยวี่ยเยวี่ยไม่ต้องร้องไห้แล้ว ร้องไปก็แก้ไขปัญหาไม่ได้ กินข้าวเสร็จก็รีบไปพักผ่อน สงบจิตสงบใจให้ดีเพื่อเผชิญหน้ากับการสอบในวันพรุ่งนี้ ยังไม่ถึงตอนสุดท้ายก็อย่าเพิ่งยอมแพ้! อู่เจิ้งซือพูดอย่างหนักแน่น


อู่เยวี่ยเช็ดน้ำตา ตอบรับดัวยเสียงเบาๆ


อู่เหมยส่งเสียงเฮอะในใจ คืนนี้จะแต่งตัวเป็นผีดิบไปหลอกให้ตกใจ ดูสิว่าเธอจะทำจิตใจให้ดีขึ้นได้ยังไง?


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 206 โดนจับได้ว่าแกล้งเป็นผี


ตอนกลางคืนทุกคนต่างก็ไม่มีอารมณ์จะกินข้าว โดยเฉพาะซุปไก่นั่น เพียงแค่เห็นเนื้อทุกคนต่างก็นึกถึงหนอนที่ขยับไปมาพวกนั้น ใครจะไปกินลง?


นอกจากอู่เหมย ถึงแม้ว่าตอนนั้นเห็นจะรู้สึกขยะแขยง แต่พอไม่เห็นก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ดื่มซุปไก่เสียงดัง อีกทั้งยังแทะน่องไก่ไปหนึ่งน่อง ปากเล็กๆ นั่นกินจนมันแผลบไปหมด


“พี่สาวกินเนื้อไก่สิ รสชาติสดใหม่เลยนะ อร่อยกว่าซาลาเปาเนื้ออีก” อู่เหมยหนีบอกไก่ขึ้นมา กัดไปคำใหญ่ เนื้อไก่สีเหลืองทองถูกเธอเคี้ยวจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


อู่เยวี่ยเดิมทีก็อยากกินเนื้อนิดหน่อย แต่พอได้ยินคำว่าซาลาเปาเนื้อ แถมยังเห็นเนื้อที่อยู่ในปากของอู่เหมย หน้าอกก็คลื่นไส้ขึ้นมากะทันหัน ไหนเลยจะยังกินลง


“ฉันไม่กินแล้ว” อู่เยวี่ยกัดฟันพูดเสียงรอดไรฟันออกมา


อู่เหมยมองเธออย่างลำพองใจ ร้องอืมและนำเนื้อที่เหลือทั้งหมดใส่เข้าปาก ตอนที่กินอาหารแก้มทั้งสองข้างป่องเหมือนมีลูกกลมๆ ที่จริงแล้วอู่เจิ้งซือก็ไม่ได้อยากอาหารอะไรมากมาย แต่พอเมื่อเห็นท่าทางการกินของอู่เหมย ก็รู้สึกอยากกินขึ้นมาทันที เลยตักน้ำซุปซดไปหนึ่งชาม


กลางดึก ทุกคนต่างหลับหมดแล้ว อู่เยวี่ยก็หลับลึกมาก อู่เหมยหน้านิ่วคิ้วขมวด ดูเหมือนมีเรื่องอยู่ในใจเต็มอก อู่เหมยลุกขึ้นเดินไปข้างเตียงของอู่เยวี่ย มองเธออย่างเย็นชา


การแก้แค้นของเธอเพิ่งจะเริ่มต้น อู่เยวี่ยเธอเตรียมตัวไว้ให้ดีเถอะ!


อู่เยวี่ยหลับได้ไม่ค่อยสบายนัก เธอกำลังฝันร้าย ในฝันเธอกลายเป็นนักเรียนปลายแถว เหมือนอู่เหมยแต่ก่อนที่เป็นนักเรียนปลายแถว คุณครูก็รังเกียจเธอ พ่อแม่ก็ดุด่าต่อว่าเธอ เพื่อนๆ ก็เยาะเย้ยเธอ แต่คะแนนของอู่เหมยกลับก้าวหน้าไปไกลมาก ทั้งยังมีความสามารถด้านร้องเต้นอีกด้วย ทุกครั้งที่โรงเรียนมีกิจกรรมก็จะเรียกให้อู่เหมยไปแสดง อู่เหมยกลายเป็นดาวเด่นของโรงเรียนไปแล้ว


แถมเธอยังเป็นคนที่ใครเห็นใครก็เกลียด!


“ไม่ได้ อู่เหมยจะต้องถูกฉันเหยียบอยู่ใต้เท้าของฉันตลอดไป เธอจะไม่มีวันชนะฉัน ไม่มีทาง”


ใบหน้าของอู่เยวี่ยบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด ละเมอพูดออกมา ในตอนแรกก็ยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เมื่อถึงตอนท้ายก็ยิ่งชัดเจน อู่เหมยพอได้ฟังอย่างชัดเจนความโมโหก็พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง


นังสารเลว ขนาดฝันก็ยังคิดจะเหยียบย่ำเธอ!


อู่เหมยทำหน้าเย็นชา นัยน์ตายิ่งเย็นเยียบ สองมือเหยียดเข้าหาอู่เยวี่ย ขนาดนอนยังไม่สงบจิตสงบใจ สมควรให้เธอหลอกให้ตาย!


มือยังไม่ทันแตะโดนต้นคอ อู่เยวี่ยก็ลืมตาขึ้นมามอง มองเห็นเงาอู่เหมยในที่มืดๆ เหมือนผีซาดาโกะ จะขาดก็แค่บ่อน้ำ


“อา!”


ยังไม่ทันตั้งตัว อู่เยวี่ยตกใจร้องออกมา โดดลงจากเตียงจะไปหาอู่เจิ้งซือกับเหอปี้อวิ๋น อู่เหมยทำหน้าแข็งทื่อ ปากขมุบขมิบเล็กน้อย กระโดดไปกระโดดมาแค่นั้น


เพิ่งจะเปิดประตู อู่เยวี่ยก็ควบคุมอารมณ์ให้สงบลงมาได้ ตะโกนร้องออกมา “อู่เหมยดึกดื่นขนาดนี้แต่งตัวเป็นผีทำไม? เธออธิบายมาให้ชัดเจนเลยนะ!”


อู่เหมยไม่สนใจเธอเลยสักนิด กระโดดเร็วยิ่งขึ้น เมื่อกี้อู่เยวี่ยร้องเสียงดังขนาดนั้น พวกอู่เจิ้งซือจะต้องมาที่นี่อย่างรวดเร็วแน่ๆ รีบกลับไปที่เตียงดีกว่า


“อู่เหมยเลิกแกล้งแสดงได้แล้ว ฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจตรงไหน? เธอทำไมต้องทำให้ฉันตกใจครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้เธอจะต้องอธิบายให้ฉันฟังซะดีๆ!”


อู่เยวี่ยกระหืดกระหอบร้องเรียก คิดที่จะวิ่งไปจับอู่เหมย อู่เหมยทำตัวลีบและพยายามกระโดดก้าวใหญ่อย่างสุดชีวิต เพียงไม่กี่ก้าวเธอก็กระโดดกลับขึ้นเตียง ห่มผ้าและนอนหลับ


การแสดงยังคงต้องทำอย่างเต็มที่ ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถให้อู่เยวี่ยเอาผิดได้!


สะเทือนใจมาอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้อู่เยวี่ยที่ปกติจะใจเย็นนั้นควบคุมสติไม่อยู่ อู่เหมยกำเริบเสิบสานจนเธอโมโหเป็นอย่างมาก พุ่งเข้าจับและบีบคออู่เหมย พูดด้วยน้ำเสียงเจือความเกลียดแค้นว่า “ไม่ใช่ว่าเธออยากบีบคอฉันเหรอ เอาอย่างนี้ไหม ให้ฉันบีบคอให้เธอตายก่อนก็แล้วกัน!”


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 207 แผนซ้อนแผน


อู่เยวี่ยมีกำลังเยอะมาก ออกแรงบีบคออู่เหมยอย่างไม่คิดชีวิต ถลึงตาจ้องมองเธออย่างโหดเหี้ยม หน้าตาดุร้าย สูญเสียความอ่อนโยนและกิริยาอ่อนหวานในอดีตไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อโดนโจมตีอย่างต่อเนื่องทำให้การควบคุมและสติปัญญาของอู่เยวี่ยนั้นหายไปในพริบตา เวลานี้เธอคิดเพียงแค่ว่าจะบีบคออู่เหมยให้ตาย หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง อะไรก็ไม่อยากจะไปคิดทั้งนั้นแหละ


ตอนที่อู่เยวี่ยโผเข้ามาในช่วงเวลานั้น อู่เหมยอยากจะหลบก็หลบได้ แต่เธอไปคิดไปคิดมา ท้ายที่สุดก็ไม่ได้หลบ แล้วแกล้งทำเป็นต่อสู้ดิ้นรน ให้อู่เยวี่ยดำเนินแผนการให้สำเร็จ


แต่เธอกลับคาดไม่ถึงว่าอู่เยวี่ยจะใช้แรงมากมายขนาดนี้ ลำคอของเธอเหมือนกับว่าโดนเชือกรัดไว้จนหายใจไม่ออก อากาศอยู่ใกล้แค่นี้ แต่เธอกลับไม่อาจหายใจเข้าไปได้


อู่เยวี่ยจะฆ่าเธอจริงๆ!


อู่เหมยคับแค้นใจเป็นอย่างมาก นังสารเลวนี่สมควรตาย ชาติที่แล้วเธอตายในเงื้อมมือของนังนี่ ถ้าชาตินี้ยังต้องมาโดนนังนี่บีบคอตายอีกล่ะก็ เธอก็ไม่สมควรเป็นคนอีกต่อไป สมควรที่จะไปเป็นเมียเต่าแทนแล้ว


ระยะนี้เธอกินดีดื่มดี ไม่เพียงแต่มีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น พละกำลังก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย อู่เหมยใช้พละกำลังที่มีดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการของอู่เยวี่ย แต่อู่เยวี่ยเหมือนกินยาเพิ่มพลังเข้าไปก็ไม่ปาน เธอดิ้นไปสักพักก็ยังไม่หลุด เรี่ยวแรงเริ่มหมด หัวของเธอก็เริ่มเบลอแล้ว


“เธอยังคิดจะฆ่าฉัน? ฉันจะฆ่านังคนโง่หน้าไม่อายอย่างเธอก่อน!”


ดวงตาของอู่เยวี่ยแดงฉานราวกับอาบไปด้วยเลือด มองอู่เหมยอย่างเย็นชา มือไม่ผ่อนแรงลง เมื่อได้เห็นหน้าสวยๆ ของอู่เหมยบิดเบี้ยวจนผิดรูปร่าง ในใจของอู่เยวี่ยกลับรู้สึกเต็มไปด้วยความสุข


อีกเพียงแค่นิดเดียว อีกแค่นิดเดียว คนโง่เง่าน่ารังเกียจอย่างนังนี่ก็จะหายไปตลอดกาลและจะไม่ปรากฏต่อหน้าเธออีกเลย!


ใกล้แล้ว!


อู่เหมยเริ่มรู้สึกถึงความตาย ภายในใจเริ่มกลัว ออกแรงดึงมือของอู่เยวี่ยออก ร้องเสียงดัง “พ่อ ช่วยด้วย!”


เสียงกรีดร้องที่แสบหูในคืนที่เงียบสงัดยังคงชัดในโสตประสาท อู่เยวี่ยโดนเสียงกรีดร้องของเธอกระชากสติกลับมา ร่างกายของเธอสั่น พละกำลังของเธอก็หายไป ตื่นตระหนกมองดูอู่เหมยที่ไอไม่หยุด


เธอกำลังทำอะไร?


เธอจะฆ่าคนได้อย่างไร?


ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป คนอื่นจะมองเธออย่างไรบ้าง?


จะเป็นไปได้ไหมที่คนเขาจะพูดกันว่าเธอเป็นฆาตกร?


“เหมยเหมย ฉัน…ฉัน…ฉันแค่ฝัน ฉันจะต้องฝันอยู่แน่ๆ!” ในตอนแรกอู่เยวี่ยยังคงพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็สงบลงมาได้อย่างรวดเร็ว แล้วคิดคำพูดโกหกที่จะมีผลดีต่อเธอที่สุดออกมาได้


เธอไม่รู้อะไรทั้งนั้น เธอแค่ฝันร้าย มันต้องเป็นแบบนั้น เธอคืออู่เยวี่ยคนที่จิตใจมีเมตตา อ่อนโยน และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จะทำเรื่องที่น่ารังเกียจอย่างฆ่าน้องสาวตัวเองได้อย่างไร?


จะเกิดขึ้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด!


อู่เหมยมองท่าทางของอู่เยวี่ยก็รับรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไร จึงหัวเราะเยาะในใจ คิดไว้สวยงามขนาดไหน ก็ต้องดูว่าเธอจะยินยอมไม่ยินยอมแล้วล่ะ!


อู่เยวี่ยเก็บมือกลับไป ตั้งใจที่จะกลับไปที่เตียงนอนต่อ อู่เหมยมีหรือจะยินยอมให้เธอกลับไปอย่างง่ายๆ จึงคว้ามือของอู่เยวี่ยวางลงบนคอของตัวเองอีกครั้ง ดึงกันไปมาแล้วกรีดร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วย พี่สาวจะฆ่าหนู พ่อรีบมาช่วยหนูเร็ว!”


กลางดึกเวลานี้คือเวลาที่ดีที่สุดที่จะนอนหลับ ทุกต่างก็นอนหลับลึก อู่เหมยส่งเสียงกรีดร้องน่ากลัวขนาดนี้ ทำเอาผู้คนส่วนหนึ่งตื่นตกใจขึ้นมา  รีบใส่เสื้อผ้าแล้วออกมาข้างนอก


นับว่าในยุคนี้เพื่อนร่วมงานหรือเป็นเพื่อนบ้านต่างกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าบ้านใครมีเรื่องอะไรทุกคนต่างก็จะมาดูแลช่วยเหลือ ไม่เหมือนสมัยใหม่นี้ที่อยู่ด้วยกันมากี่ปีแล้ว บางทีห้องตรงข้ามนามสกุลอะไรยังไม่รู้เลยมั้ง!


อู่เจิ้งซือเองก็ถูกเสียงดังปลุกขึ้นมาแล้วเหมือนกัน รีบร้อนวิ่งไปทางห้องนอนของลูกสาว แค่ผลักประตูนิดเดียวก็เปิดออกแล้ว ประจวบเหมาะเห็นสองพี่น้องกำลังต่อสู้ดิ้นรนอยู่ มองขึ้นมาก็คืออู่เยวี่ยกำลังบีบคออู่เหมยอยู่ แถมอู่เหมยก็กำลังต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 208 พี่สาวบ้าไปแล้ว


“เยวี่ยเยวี่ยหนูกำลังทำอะไร รีบปล่อยมือ!”


อู่เจิ้งซือรีบร้อนพุ่งขึ้นไปดึงอู่เยวี่ยออกมา อู่เหมยมีสีหน้าหวาดกลัวโผเข้าหาอ้อมกอดของอู่เจิ้งซือ พูดเสียงสั่นว่า “พ่อคะ พี่สาว…พี่จะฆ่าหนู พี่…จะฆ่าหนู หนูกลัวมากเลย!”


“เธอพูดไร้สาระอะไร? พี่สาวเธอจะคิดฆ่าน้องสาวได้ยังไง? ทั้งวันเอาแต่หาเรื่องพี่สาวเธอ เธอ…”


เหอปี้อวิ๋นที่รีบมาก็พูดไปด่าไปพลางเดินเข้ามาด้วยใบหน้าอึมครึม แต่พอเธอเห็นรอยเขียวช้ำที่คอของอู่เหมย คำพูดของเธอก็หยุดลงกะทันหัน มองลูกสาวคนเล็กอย่างตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก


บนรอบคอขาวๆ มีร่องรอยเขียวช้ำจากการบีบแถมยังมีรอยนิ้วมือ เห็นได้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่าโดนคนบีบ อู่เหมยไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่แหงนคอให้อู่เจิ้งซือดู ดูว่าพวกเขาจะล้างบริสุทธิ์ให้อู่เยวี่ยยังไง!


“ลูกคนนี้ฝันยังไงทำไมถึงบีบคอตัวเองได้ จริงๆ เลย!”


เหอปี้อวิ๋นหลังจากที่ตื่นตระหนกตกใจเสร็จแล้ว ปฏิกิริยาโต้ตอบแรกนั้นก็คือทำให้ลูกสาวสุดที่รักหลุดพ้นจากความผิด ยังไงชื่อเสียงของอู่เยวี่ยก็จะเสื่อมเสียไม่ได้เด็ดขาด


อู่เหมยหัวเราะในใจ รู้อยู่แล้วว่าเหอปี้อวิ๋นจะพูดแบบนี้ แต่ไม่เป็นไร หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ เหอปี้อวิ๋นอย่าคิดที่จะปั้นน้ำเป็นตัว เธอหันหัวไปมองอู่เจิ้งซือ ชี้ที่รอยแผลถามว่า “พ่อคะ แม่บอกว่ารอยนี้คือหนูบีบตัวเอง? พ่อว่ามันเป็นไปได้หรือคะ?”


อู่เจิ้งซือจ้องเขม็งไปที่เหอปี้อวิ๋น ช่างเป็นเมียที่โง่นัก จะหาข้ออ้างก็ไม่หาที่มันดีหน่อย เขามองอู่เยวี่ยด้วยสายตาสิ้นหวัง อู่เยวี่ยเองดูเหมือนจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปแล้ว ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาจนถึงตอนนี้ ก็ไม่พูดเลยสักคำเหมือนคนทึ่ม ไม่มีเคล้าของความฉลาดปราดเปรื่องเหมือนแต่ก่อน


“เยวี่ยเยวี่ยเป็นอะไรลูก ฝันร้ายหรือเปล่า?” อู่เจิ้งซือตั้งใจพูดเสียงช้าๆ ดังๆ เขาคิดเหมือนกันกับเหอปี้อวิ๋น ยังไงก็จะทำให้ชื่อเสียงของลูกสาวคนโตเสื่อมเสียไม่ได้เด็ดขาด


จะให้คนอื่นรู้ได้ยังไงว่าอยู่ดีๆ กลางดึกลูกสาวคนโตก็คิดจะฆ่าน้องสาว หลังจากนี้ เขา อู่เจิ้งซือจะมีหน้าไปโรงเรียนอีกได้อย่างไร?


ยังไม่รู้ว่าจะมีกี่คนหัวเราะเยาะเขา!


ในใจของอู่เหมยมีความผิดหวังล้นออกมา แต่ว่าก็แค่เพียงเล็กน้อย เธอรู้แต่แรกแล้วว่าปฏิกิริยาของอู่เจิ้งซือต้องเป็นแบบนี้ คนที่เห็นหน้าตาสำคัญยิ่งกว่าชีวิต แน่นอนว่าต้องไม่ให้เรื่องอับอายในบ้านแพร่งพรายออกไปหรอก


แต่ครั้งนี้เธอจะไม่ให้อู่เจิ้งซือสมหวังหรอก เธอต่อสู้จนได้รับความทรมานทางร่างกายขนาดนี้ จริงอย่างที่เขาพูดกันว่า ฝันร้ายเดี๋ยวก็ผ่านไป!


ชาติก่อนไม่ใช่พวกเขาหรอกหรือที่บอกว่าเธอเป็นบ้า?


ถ้าอย่างนั้นชาตินี้ก็ให้อู่เยวี่ยลูกสาวอันเป็นแก้วตาดวงใจเป็นโรคประสาทไปแล้วกัน!


ในใจของอู่เยวี่ยคิดไปคิดมาพันล้านตลบ พอได้ฟังอู่เจิ้งซือถามก็แอบดีใจ พยักหน้าอย่างขลาดๆ น้ำตาคลอเบ้า พูดอย่างทุกข์ใจว่า “ในฝันน่ากลัวมากเลย เหมยเหมยเธอหยิบมีดจะมาแทงหนู แล้วพวกเราก็สู้กัน เหมยเหมยขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่งั้นก็ตีพี่เพื่อระบายอารมณ์ออกมาก็ได้นะ”


เหอปี้อวิ๋นกล่าวอย่างปวดใจว่า “เป็นพี่น้องกันมีปัญหาอะไรให้ขอโทษกันซะ เยวี่ยเยวี่ยช่วงนี้เรียนคงเหนื่อยมาก หน้าตอบหมดแล้ว นี่บีบไปแค่แป๊ปเดียวเอง เอาน้ำมันมวยทาๆ สักพักแล้วก็รีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปโรงเรียนอีกนะ!”


อู่เหมยมองอู่เยวี่ยที่น่าสงสารอย่างเย็นชา บนคอยังคงรู้สึกเจ็บเหมือนได้เตือนสติตัวเองอยู่ตลอดว่าดอกไม้สีขาวเล็กๆ ตรงหน้าของเธอเป็นงูพิษที่ซ่อนความโหดเหี้ยมและเหลี่ยมจัดไว้ และเรื่องวันนี้เธอจะไม่มีวันลืมมันง่ายๆ


“หนูไม่อยากนอน พี่เป็นบ้าไปแล้ว พี่จะฆ่าหนู หนูไม่อยากนอนห้องเดียวกับพี่ หนูกลัว!”


อู่เหมยส่งเสียงแหลมร้องออกมา ทันใดนั้นก็วิ่งออกไปข้างนอก เพราะพวกคุณคิดจะปิดบังเรื่องเสื่อมเสียนี่เพื่ออู่เยวี่ยไม่ใช่หรอกหรือ?


งั้นเธอก็จะตะโกนให้คนทั้งตึกได้ยินกันทั้งหมด!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 209 ปกปิดอย่างสุดความสามารถ


ในตอนแรกแผนของอู่เหมยคือทำให้อู่เยวี่ยตกใจตอนกลางคืนจนนอนหลับได้ไม่สบายเพื่อจะส่งผลให้อู่เยวี่ยทำข้อสอบได้ไม่เต็มที่ แต่ผลที่ตามมานั้นเกินความคาดหมายของอู่เหมยไปมาก เธอไม่คิดเลยว่าอู่เยวี่ยจะมีปฏิกิริยาตอบโต้แรงขนาดนี้ ถึงคิดจะบีบคอเธอให้ตาย!


ถ้าหากเธอไม่ทำอะไรเลย จะช่างน่าเสียใจกับการการกระทำที่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ของอู่เยวี่ยจริงๆ!


แค่อึดใจเดียวอู่เหมยก็วิ่งไปถึงห้องรับแขกแล้ว แสร้งทำท่าทางตกใจกลัว ส่งเสียงร้องตะโกน “พี่สาวเป็นบ้า พี่จะฆ่าหนู หนูไม่อยากนอนห้องเดียวกับพี่แล้ว!”


หัวใจของอู่เยวี่ยดิ่งต่ำลงทันที ถ้าหากให้นังโง่นี่ตะโกนออกไป วันหลังเธอจะมีหน้าไปพบคนอื่นได้อย่างไร?


“แม่ หนูไม่ได้บ้า หนูแค่ฝันร้าย หนูไม่ได้ตั้งใจ!”


อู่เยวี่ยร้องไห้โฮออกมา ตอนนี้เธอเพียงแค่หวังว่าเหอปี้อวิ๋นจะตอบสนองเธอเร็วหน่อย แล้วรีบไปห้ามอู่เหมย ไม่ให้เธอตะโกนต่ออีก


เวลานี้เองที่เหอปี้อวิ๋นถึงจะมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมา ความโกรธปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า จึงรีบหันออกไปข้างนอก แต่ปฏิกิริยาของอู่เจิ้งซือนั้นเร็วกว่าเธอ เดินออกจากห้องไปก่อนแล้วหนึ่งก้าว ในห้องรับแขกอู่เหมยกำลังตะโกนด้วยความหวาดกลัว เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว


ช่วงระยะเวลานี้ที่บ้านไม่ค่อยมีเรื่องสงบสุขเท่าไร ตอนนี้แค่นอนอย่างสงบยังทำไม่ได้เลย เมื่อไรวันเวลาแบบนี้ถึงจะจบสักที?


“เธอส่งเสียงดังไร้สาระอะไร รีบหุบปากซะ!” เหอปี้อวิ๋นด่าพร้อมกับจะปิดปากอู่เหมย


อู่เหมยกลัวมากทำได้แค่หันไปที่ประตูแล้วตะโกนว่า “แม่อย่าตีหนู หนูกลัว!”


“เหมยเหมยอย่าออกไป ข้างนอกหนาว”


อู่เจิ้งซือเห็นอู่เหมยกำลังตั้งใจจะออกไปข้างนอก เห็นว่าท่าไม่ดี ก็ไม่กล้าทำให้ลูกสาวคนเล็กตกใจ แต่พูดเสียงนุ่มนวลให้เธอหยุดแทน คิดอยากจะปลอบโยนอู่เหมยให้เธอสงบลงมา แต่เขากลับไม่รู้อะไรซะแล้วว่าอู่เหมยไม่ได้ตกใจกลัวอะไร ตรงกันข้ามกลับรู้สึกตื่นเต้น เพราะเธอกำลังจะทำเรื่องที่น่าตื่นเต้น


อู่เหมยเปิดประตูได้อย่างง่ายดายและมีลมเย็นพัดเข้ามาวูบหนึ่ง เธอแอบสะดุ้งเพราะความหนาวสะท้าน ยังไม่ทันที่เธอจะเปิดประตูออก ก็ถูกคนที่อยู่ด้านนอกดันจนเปิด เสียงดังจอแจขึ้นมา


“อาจารย์อู่ ที่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” คนที่ถามคืออาจารย์แม่จางที่อยู่ข้างบ้าน เธอใส่เสื้อคลุมอย่างรีบร้อนถลันเข้ามา ข้างๆ ยังมีคนในครอบครัวคนอื่นๆ อีก ทุกคนต่างก็มองบ้านอู่ด้วยความเป็นห่วง


อู่เหมยแอบดีใจในใจ เรื่องราวไปไกลกว่าที่เธอคิดอย่างราบรื่นมากนัก คนยิ่งเยอะยิ่งดี!


“อาจารย์แม่จาง หนูกลัว พี่สาวจะฆ่าหนู!”


แค่พริบตาเดียวอู่เหมยก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของอาจารย์แม่จาง กอดเธอแน่น ร่างกายสั่นเล็กน้อย โดยตั้งใจเงยคอให้สูงขึ้นเล็กน้อย ระเบียงทางเดินข้างบนมีไฟส่อง คนที่ใส่ใจสักเล็กน้อยก็จะมองเห็นว่าบนคอของเธอมีรอยช้ำ คนเหล่านี้ไม่ใช่เหอปี้อวิ๋นที่จะบอกว่าเธอเป็นคนบีบคอตัวเอง


อู่เยวี่ยที่อยู่ในห้องได้ยินอู่เหมยพูดอย่างชัดเจนทุกคำ พลันโมโหจนกัดฟันแทบแตก เวลานี้เธอรู้สึกเสียใจ ก่อนหน้านั้นเป็นเพราะเธอหุนหันพลันแล่นเกินไปจนหลงกลแผนชั่วของอู่เหมย ทำให้ตอนนี้โดนกระทำขนาดยอมให้อู่เหมยเหยียบหัวทำร้ายชื่อเสียงของเธอ


แถมเธอยังไม่สามารถออกไปพูดแก้ต่างให้ตัวเองได้ ตอนนี้ทำได้แค่หวังว่าพ่อแม่จะช่วยแก้ต่างแทนเธอ สำหรับอู่เหมยเธอค่อยจัดการภายหลัง!


ปฏิกิริยาตอบสนองของเหอปี้อวิ๋นถือว่ายังเร็ว เธอยิ้มแย้มพูดขึ้นมาทันทีว่า “ขออภัยทุกคนจริงๆ ที่ดึกดื่นขนาดนี้กลับส่งเสียงดังปลุกทุกคนซะแล้ว เป็นเพราะระยะนี้จิตใจของเยวี่ยเยวี่ยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ทำให้ฝันร้าย อู่เหมยโดนเธอทำให้ตกใจ ทั้งยังเริ่มพูดจาไร้สาระ ไม่มีอะไรจริงๆ พวกคุณรีบกลับไปนอนต่อเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานกันนะ!”


อู่เจิ้งซือค่อนข้างพอใจกับการแสดงออกของภรรยาอยู่ พูดคล้ายๆ เธอว่า “ขออภัย ขออภัยจริงๆ ลูกตั้งใจเรียนหนักสือมากไปหน่อย ทำให้จิตใจค่อนข้างอ่อนแอ แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของผู้ใหญ่อย่างเราเหมือนกัน ปกติแล้วพวกเราค่อนข้างกดดันลูกๆ ต่อไปพวกเราจะปรับปรุงนะ”…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 210 หนูบีบคอตัวเอง


อู่เยวี่ยที่อยู่ในห้องถอนหายใจ เธอยังไม่ค่อยพอใจเท่าไร ทำไมต้องบอกว่าเธอจิตใจอ่อนแอ พูดแบบนี้คนอื่นจะต้องคิดว่าที่เธอได้ที่หนึ่งนั้นเพราะเธอทำเกินกำลังตัวเอง!


ทุกคนพอได้ยินว่าเด็กแค่ฝันร้าย ต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เสียงกรีดร้องก่อนหน้านั้นถ้าไม่รู้ก็คิดว่ามีคนจะฆ่ากันตายจริงๆ!


“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พวกคุณก็อย่ากดดันลูกๆ จนเกินไป ถึงบอกว่าเยวี่ยเยวี่ยคะแนนยังไม่ดี แต่ทุกปีก็ได้ที่หนึ่งตลอด ถ้าฉันได้ลูกสาวดีขนาดนี้นะ ขนาดแค่นึกฝันยังอยากจะหัวเราะเลย!” มีคนพูดออกมา


“อย่าพูดถึงที่หนึ่งเลย บ้านฉันนะแค่สอบให้ได้ที่ยี่สิบขึ้นไป ฉันก็พอใจมากแล้ว!”


อู่เหมยรู้สึกหมดหวัง เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนต่ำต้อยนัก คำพูดของเด็กอย่างเธอย่อมไม่มีน้ำหนัก ต้องทนลำบากทุกข์ทรมาน สู้อู่เจิ้งซือกับเหอปี้อวิ๋นไม่ได้เลยแม้แต่ประโยคเดียว ไม่ได้การ เธอต้องทำอะไรอีกสักหน่อย พูดอะไรก็ได้ที่จะทำให้อู่เยวี่ยเสียเปรียบ


“อืม…”


อู่เหมยส่งเสียงครวญครางเบาๆ ร่างกายของเธอสั่นมากขึ้น อาจารย์จางสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอเลยก้มหัวลงเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเธอก็เห็นรอยช้ำที่คอของอู่เหมยและตกใจเป็นอย่างมาก


“เหมยเหมย คอเธอเป็นอะไร?” อาจารย์แม่จางถามขึ้นมาอย่างเป็นห่วง คนอื่นๆ ต่างก็หันมามองอู่เหมย ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกับรอยช้ำของเธอ นี่มันมีการฆาตกรรมจริงๆ หรือนี่?!


เหอปี้อวิ๋นสีหน้าเปลี่ยน มองเตือนไปที่อู่เหมย อู่เหมยตัวสั่นแล้วสั่นอีก กลัวจนก้มหัวลงพูดด้วยเสียงเบาว่า “เป็น…เป็นหนูเองที่บีบคอตัวเอง ไม่เกี่ยวกับพี่สาว”


ทุกคนต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ ตัวเองจะสามารถบีบคอของตัวเองให้เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?


ลูกสาวคนเล็กของบ้านอู่ก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น จะทำเรื่องที่โง่ขนาดนี้ได้หรือ?


นอกจากนี้ถ้าพูดตามหลักทฤษฎีและเหตุผลของแรงส่งและแรงสะท้อนกลับ ตัวเองไม่สามารถบีบให้เป็นแบบนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นคนอื่นบีบ เมื่อปะติดปะต่อกับคำพูดของอู่เหมย ปัญญาชนเหล่านี้ที่ไม่ได้มีไอคิวอยู่ในระดับต่ำจึงสรุปได้อย่างรวดเร็วว่า …ฆาตกรก็คืออู่เยวี่ย


คนๆ นั้นที่เรียกได้ว่าเป็นนักเรียนที่น่ายกย่องชื่นชม เป็นพี่สาวที่ดีอู่เยวี่ย


สีหน้าของทุกคนประหลาดใจหนักเข้าไปอีก แค่ฝันร้ายยังจะสามารถฆ่าคนได้ นี่มันไม่ใช่แค่จิตใจอ่อนแอธรรมดาแล้ว!


อู่เจิ้งซือฝืนยิ้มแล้วอธิบายว่า “เหมยเหมยคงตกใจมาก ตัวเองพูดอะไรออกมาก็คงไม่รู้ตัว พวกคุณรีบกลับไปนอนเถอะ ขอโทษทุกๆ คนด้วยนะ!”


“ไม่เป็นไร เราต่างก็พักอยู่ตึกเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจหรอก เหมยเหมยก็รีบกลับไปพักผ่อนนะ เด็กคนนี้ช่างน่าสงสารจริงๆ!”


ทุกคนต่างมองไปที่อู่เหมยที่กำลังขดตัวอยู่ในอ้อมกอดอาจารย์แม่จางที่อยู่ในห้องด้วยความเห็นใจ กลางดึกโดนบีบคอ มิน่าล่ะถึงกลัวอย่างขาดสติแบบนั้น ทุกคนก็ได้แค่เห็นใจแต่ก็ไม่มีใครที่จะกล้าออกตัวให้กับอู่เหมย อย่างมากก็ได้แค่ช่วยพูดไม่กี่คำเท่านั้น


ไม่มีใครเต็มใจที่จะล่วงเกินอู่เจิ้งซือเพื่อเด็กคนนี้หรอก ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น!


หลังจากนั้นไม่นานคนอื่นๆ ต่างก็แยกย้าย มีเพียงแค่ครอบครัวของอาจารย์แม่จางเท่านั้นที่ยังอยู่ อาจารย์แม่จางตบหลังของอู่เหมยเบาๆ รู้สึกปวดใจไปกับเธอ และรู้สึกไม่พอใจกับภรรยาของอู่เจิ้งซือเป็นอย่างมาก เธอพูดขึ้นมาว่า “ฉันจะทายาให้เหมยเหมยหน่อย แผลนี้ไม่ใช่เล็กๆ เลย”


เหอปี้อวิ๋นรีบร้อนพูดขึ้นมา “ฉันแค่คิดอยากจะทายาให้เหมยเหมย แต่เด็กคนนี้วิ่งเร็วเกินไป ฉันยังตามจับไม่ทัน”


อาจารย์แม่จางมองเหอปี้อวิ๋นอย่างเย็นชา ไม่เชื่อคำพูดของเธอเลยสักนิด ถ้าเธอไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เด็กจะโผเข้าอ้อมกอดของเธอได้ยังไง?


ขนาดลูกหมาลูกแมวเวลามันตกใจ ปฏิกิริยาแรกของมันก็คือไปหาแม่เพื่อให้แม่ปลอบใจ แต่อู่เหมยกลับโผเข้าหาเธอที่เป็นคนนอก เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้หมดหวังกับแม่ของเธอขนาดไหน


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 211 ดึงอู่เยวี่ยลงหลุม


อู่เหมยรู้ว่าเธอตอนนี้สมควรจะพอได้แล้ว ไม่งั้นจะเป็นการทำให้อู่เจิ้งซือโมโหแล้ววันหลังจะไม่เป็นผลดีกับเธอ เธอจึงเงยหน้าไปทางอาจารย์แม่จางและขอบคุณเธออย่างซาบซึ้งในน้ำใจว่า “ขอบคุณค่ะอาจารย์แม่จาง หนูไม่เจ็บตรงคอเท่าไหร่แล้ว”


อาจารย์แม่จางเข้าใจถึงความกังวลของเธอ เพราะได้เห็นแววตาของเหอปี้อวิ๋นที่มองนั้นคล้ายกับจะกลืนลูกสาวคนเล็ก เธอยังไม่เคยเห็นแม่แบบนี้มาก่อน เทียบกับแม่เลี้ยงยังเทียบไม่ได้เลย!


“เหมยเหมยให้แม่ทายาให้เธอหน่อยนะ ดูสิ รอยช้ำม่วงหมดแล้ว จะไม่เจ็บได้ไง!”


อาจารย์แม่จางมองอู่เหมยอย่างเห็นใจ น่าเสียดายที่เด็กน้อยคนนี้ไม่ใช่ลูกสาวของเธอ เธอก็ออกหน้าแทนมากไม่ได้ ถึงอย่างไรสามีของเธอก็อยู่ในโรงเรียนแต่ไม่ได้เป็นที่ยอมรับเท่ากับอู่เจิ้งซือ คงไม่ดีถ้าจะล่วงเกินอู่เจิ้งซือ ทุกคนในบ้านต่างก็ต้องพึ่งพาเงินเดือนของสามีเพื่อกินข้าวอยู่!


เธอถอนหายใจ ตบอู่เหมยเบาๆ แล้วกลับบ้านของตัวเองอย่างจนปัญญา


อู่เหมยแอบเงยหน้ามองอู่เจิ้งซือที่หน้าดำครึ้มเหมือนเมฆฝนจนแทบจะมีน้ำหยดออกมาได้ เหอปี้อวิ๋นจ้องเขม็งไปที่เธอ พูดเสียงต่ำว่า “ยังไม่กลับเข้าบ้านอีก!”


“พ่อคะ หนูไม่ได้พูดเลยว่านี่เป็นเพราะพี่สาวบีบ” อู่เหมยพูดเสียงเบา ตากลมโตจ้องมองไปที่อู่เจิ้งซือ อู่เจิ้งซือเดิมทีนั้นโมโหมาก แต่ได้สบกับดวงตาที่คุ้นเคยแถมยังเห็นไฝสีแดงเม็ดนั้น ก็ใจอ่อนลงมา


ยังไงก็เธอก็เป็นลูกของเขา!


“ทายาแล้วก็กลับไปนอน!” อู่เจิ้งซือผ่อนคลายน้ำเสียงลง ไม่ได้ตำหนิอะไรอู่เหมย ทำให้เธอแปลกใจมาก


อู่เยวี่ยที่อยู่ในห้องโมโหจะตายแล้ว นังสารเลวคนนี้ก่อเรื่องจนเรื่องใหญ่ขนาดนี้ พูดกับไม่พูดต่างกันตรงไหน?


ตอนนี้กลัวอย่างเดียวว่าเพื่อนบ้านจะรู้เรื่องที่เธอสติไม่ดีถึงกับจะฆ่าน้องสาวตัวเอง พรุ่งนี้เธอจะออกจากบ้านไปเรียนอย่างไร?


นับวันพ่อยิ่งจะทำดีกับอู่เหมยมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ในใจของพ่อ เธอจะยังมีตัวตนอยู่ไหม?


เหอปี้อวิ๋นไม่พอใจกับท่าทีของอู่เจิ้งซือเป็นอย่างมาก ยัยเด็กสมควรตายนี่ทำลายชื่อเสียงของเยวี่ยเยวี่ยหมดแล้ว จะให้อภัยง่ายๆ ขนาดนี้ได้อย่างไร ต้องตีให้ตาย!


“คุณคะ แล้วเยวี่ยเยวี่ยจะทำอย่างไรดี โดนยัยเด็กนี่ทำร้ายไปหมดแล้ว”


อู่เจิ้งซือขมวดคิ้ว หัวเริ่มปวดอีกครั้ง ลูกสาวคนโตมีปัญหาจริงๆ แต่ก่อนยังแค่ฝันร้ายว่าอู่เหมยจะฆ่าเธอ แต่พอถึงตอนนี้เริ่มพัฒนาไปจนจะฆ่าคนแล้ว ให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้


อู่เหมยรีบพูดขึ้นมาว่า “พ่อคะ ระยะนี้พี่สาวดูแปลกไปมาก ดึกดื่นก็มักจะส่งเสียง บอกว่าจะฆ่าหนู แต่หนูคิดไม่ถึงว่าคืนนี้พี่จะฆ่าหนูจริงๆ พ่อคะ หนูกลัว หนูไม่อยากนอนห้องเดียวกับพี่”


อู่เยวี่ยโมโหกัดฟันจนฟันแทบแตก วิ่งออกมาชี้อู่เหมยและสบถว่า “อู่เหมยเธอพูดจาเหลวไหล ฉันไม่เคยพูดแบบนั้นเลยสักนิด เป็นเธอที่อยากจะบีบคอฆ่าฉัน เป็นเธอ!”


อู่เหมยรีบวิ่งไปหลบหลังอู่เจิ้งซือ กอดแขนอู่เจิ้งซือแน่น พูดอย่างหวาดกลัวว่า “พี่ตอนนี้แม้แต่ความจริงความฝันพี่ก็แยกไม่ออกแล้ว เห็นได้ชัดว่าพี่อยากจะบีบคอหนูให้ตาย มองที่คอหนูสิยังมีรอยช้ำอยู่เลย พี่ดูคอพี่มีรอยช้ำไหมล่ะ? พ่อคะ พี่สาวเขาเป็นโรคประสาทแล้วใช่รึเปล่าคะ?”


เธอต้องใช้พลังอย่างมากในการระงับความลำพองใจนี้ได้ เมื่อเห็นอู่เยวี่ยในวัยสิบสี่ปีกับอู่เยวี่ยในวัยยี่สิบปีให้หลังนั้นเทียบกันไม่ติด เล่ห์เหลี่ยมยังต่ำกว่าร่องน้ำอันตื้นเขินนัก เธอไม่ต้องลงแรงเยอะก็สามารถทำให้นังสารเลวนี่โมโหได้แล้ว


การได้เห็นอู่เยวี่ยก้าวเดินทีละก้าวลงหลุมที่เธอขุดไว้ ทำให้ใจของอู่เหมยก็เต็มไปด้วยความปีติ ชาติก่อนอู่เยวี่ยทำอะไรกับเธอไว้ ชาตินี้เธอจะคืนให้เป็นร้อยเท่า


และเธอก็อยากจะผ่านไปอย่างสวยงาม ชีวิตของเธอจะดีกว่าใคร จะทำให้อู่เยวี่ยได้แต่มองอย่างอิจฉา!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 212 หมากัดกันเอง


ตอนนี้หน้าตาท่าทางของอู่เยวี่ยไม่ค่อยน่าดูเท่าไร ผมเผ้ากระจัดกระจาย ใบหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาเบิกกว้างอย่างน่าเกลียด อู่เจิ้งซือที่มองอยู่ก็รู้สึกไม่พอใจยิ่งขึ้น พูดเสียงต่ำว่า “เยวี่ยเยวี่ย ระยะนี้หนูดูแปลกไปมาก เรียนกดดันเกินไปเหรอลูก?”


“ไม่ค่ะ หนูไม่ได้กดดันอะไร พ่อคะอย่าไปฟังเหมยเหมยพูดจาไร้สาระ หนูว่า หนูเรียนได้แบบสบายๆ ผ่อนคลายจะตายไป!” อู่เยวี่ยรีบร้อนอธิบาย


อู่เหมยพูดอีกว่า “พี่คะ เดือนนี้ตอนสอบพี่ก็ทำได้ไม่ดีจะต้องเป็นเพราะเรียนหนักเกินไปแน่ๆ หนูได้ยินสยงมู่มู่บอกไว้ว่าถ้าคนเราเครียดจนเกินไปจะท้องเสียได้ พี่คิดดูดีๆ นะ พี่กับหนูกินซาลาเปาเหมือนกัน แต่หนูท้องเสียแค่สองครั้ง แต่พี่กลับท้องเสียสิบกว่ารอบ พี่จะต้องเครียดมากเกินไปแน่ๆ”


“เหลวไหล สยงมู่มู่มันจะไปรู้อะไร มันก็แค่พูดเหลวไหล!” อู่เยวี่ยด่าออกมา


อู่เจิ้งซือตำหนิ “เยวี่ยเยวี่ย ระวังคำพูดหน่อย!”


พูดเสร็จก็หันไปพูดกับเหอปี้อวิ๋นว่า “เสาร์อาทิตย์นี้เธอพาเยวี่ยเยวี่ยไปตรวจที่โรงพยาบาล ให้คุณหมอเขาแนะนำหน่อย”


“คุณพ่อ หนูไม่ได้เป็นบ้านะคะ อู่เหมยพูดมั่วๆ เธอกำลังพูดจาเหลวไหล เธอมันคนไร้สาระ!” อู่เยวี่ยตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ นึกไม่ถึงว่าอู่เจิ้งซือจะเห็นด้วยกับคำพูดของอู่เหมยด้วย?


เหอปี้อวิ๋นไม่เห็นด้วย “คุณคะ ทำไมคุณถึงไปเห็นดีเห็นงามกับเหมยเหมยด้วยล่ะ? เยวี่ยเยวี่ยเธอสบายดีจะตาย ไปหาทำไมหมอ? หากคนอื่นรู้ จะพูดถึงเยวี่ยเยวี่ยยังไง?”


อู่เจิ้งซือชี้ไปที่คอของอู่เหมย ทำหน้าเย็นชาพูดว่า “นี่คือสบายดีมาก? เหอปี้อวิ๋น ทำไมเธอถึงหลอกตัวเองแล้วก็หลอกคนอื่น? อีกอย่างนะ มีอะไรที่คนในโรงเรียนยังไม่รู้อีก? แค่นี้ก็ทำให้ผมขายขี้หน้าจะแย่อยู่แล้ว!”


พอได้ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อารมณ์ของอู่เจิ้งซือก็คงที่ขึ้น ความจริงแล้วจิตใจของเขาตอนนี้คือผิดหวังมาก เขาคาดหวังกับอู่เยวี่ยไว้มาก ตั้งใจให้ลูกสาวคนโตเป็นหน้าเป็นตานำเกียรติยศมาให้ ถ้าเป็นแบบนั้นวันหลังเขาคงจะได้พูดกับคนอื่นได้ว่า เขา อู่เจิ้งซือไม่เพียงแต่สอนเด็กบ้านอื่นให้ได้ดี แต่ก็สามารถสอนลูกสาวบ้านตัวเองได้ดีมากเหมือนกัน!


แต่ช่วงระยะสั้นๆ มานี้อู่เยวี่ยทำให้เขาผิดหวังเป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กผู้หญิง พอถึงมัธยมต้นความสามารถก็สู้เด็กผู้ชายไม่ได้!


อู่เจิ้งซือถอนหายใจอีกครั้งด้วยความเสียดาย ถ้าหากว่าเขาสามารถมีลูกที่ยอดเยี่ยมเหมือนเหมยซูหานแบบนั้น คงจะดีมาก!


“ตกลงเอาตามนี้แหละ เยวี่ยเยวี่ยก็รีบไปพักผ่อน ไม่ต้องใส่ใจเรื่องสอบมาก ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ไปนอนกันได้แล้ว!” อู่เจิ้งซือไม่อยากเสียเวลานอนพักผ่อนอีก ตอนดึกหากไม่นอนพักผ่อนให้ดี ตอนเช้าไปทำงานคงมีผลกระทบอย่างแน่นอน เขารีบไปนอนจะดีที่สุด


“เหมยเหมยถ้ากลัวก็นอนบนโซฟาที่ห้องรับแขกแล้วกัน!” อู่เจิ้งซือพูดอีกครั้งก่อนจะกลับห้อง


เหอปี้อวิ๋นสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก เธอหันไปพูดกับอู่เจิ้งซือ “คุณคะ ฉันนอนเป็นเพื่อนเยวี่ยเยวี่ยแล้วกัน”


“อืม!”


อู่เจิ้งซือส่งเสียงตอบโดยไม่ได้หันกลับมามองด้วยซ้ำ ในใจเหอปี้อวิ๋นค่อนข้างไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่าเธอก็ไม่มีเวลาคิดอย่างอื่น ตอนนี้ในใจของเธอและในสายตาของเธอมีแต่อู่เยวี่ย หัวใจเหมือนโดนบีบรัดไปหมด


อู่เหมยคร้านที่จะสนใจผู้หญิงสองคนนี้ เธอกลับห้องไปหยิบหมอนกับผ้าห่ม วางแผ่ลงบนโซฟาก็เริ่มหลับ ส่วนเรื่องยา เหอปี้อวิ๋นเลือกที่จะลืม เธอก็ไม่คิดอยากจะทา ถึงอย่างไรก็เป็นแต่แผลภายนอก ผ่านไปไม่กี่วันก็หายแล้ว อีกทั้งจะให้คนอื่นมองได้อย่างชัดเจนมากขึ้นอีกหน่อยด้วย


อู่เยวี่ยจ้องมองอู่เหมยอย่างเคียดแค้น โมโหจนตัวสั่น เกลียดแต่ไม่สามารถบีบคอเธออีกรอบได้ เหอปี้อวิ๋นหันไปส่งสายตาเตือนเธอพลางพูดเสียงปลอบโยน “เยวี่ยเยวี่ยรีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องสอบอีก!”


 “สอบๆ แม่ก็คิดแต่เรื่องสอบ เป็นเพราะเนื้อเน่าชิ้นนั้นของแม่นั่นแหละ สอบครั้งนี้ที่หนูทำได้ไม่ดี ทั้งหมดเป็นเพราะแม่ทำร้ายหนู!”


อู่เยวี่ยพอได้ยินคำว่าสอบในใจก็โมโห หันไประเบิดอารมณ์ใส่เหอปี้อวิ๋น น้ำตาไหลกลับเข้าห้องไป ทิ้งเหอปี้อวิ๋นให้ยืนตะลึงอยู่ตรงที่เดิม


อู่เหมยที่ขดตัวอยู่บนเตียงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ พวกเธอสองคนไม่ใช่แม่ลูกที่กตัญญูกันหรอกหรือ?


สุดท้ายก็กลายเป็นหมาที่มันกัดกันเองจนได้!


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 213 ความรักใคร่เอ็นดูของอาจารย์


วันที่สองอู่เหมยก็ไม่ได้ให้ฉิวฉิวบำรุงอู่เยวี่ย ผ่านค่ำคืนที่วุ่นวายวายมา อู่เยวี่ยยังมีใจจะสอบคงจะแปลก!


เหอปี้อวิ๋นไม่มีอารมณ์จะทำอาหารเช้า มีเพียงแค่ข้าวต้มกับซาลาเปาไส้ผัก แต่อู่เหมยเจริญอาหารเป็นอย่างมาก กินหนึ่งคำก็มองไปที่อู่เยวี่ยที่ดูอ่อนแรงทีหนึ่ง แม้แต่หัวก็ดูเหมือนจะหนักจนเงยขึ้นมาไม่ไหว พอเห็นแบบนี้แล้วก็มีอารมณ์กินข้าวขึ้นเป็นกอง


“พ่อคะ หนูไปเรียนแล้วนะคะ สวัสดีค่ะ!”


อู่เหมยกินอิ่มมาก สะพายกระเป๋าเรียนแล้วก็ออกไป อารมณ์ดีเหมือนกับลูกนกก็ไม่ปาน อู่เจิ้งซือยิ้มเล็กน้อย กับลูกสาวคนเล็กความรู้สึกก็เปลี่ยนไปเป็นพอใจอย่างมาก จิตใจของเขาเปลี่ยนไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ตัว


อาจารย์แม่จางที่อยู่หน้าประตูก็ยิ้มอย่างชื่นใจ เด็กน้อยก็แบบนี้ใจกว้าง หลับได้หนึ่งตื่นก็ลืมเรื่องไปหมด


สยงมู่มู่อยู่ชั้นล่างรอเธออยู่ พอเห็นเธอก็ยักคิ้วให้อย่างภาคภูมิใจ รอผลสอบเดือนนี้ออกมาก่อนเถอะจะเอาผลสอบมาทิ่มให้ตาบอดเลย!


“คอเธอไปโดนอะไรมา? โดนใครบีบมา?”


ถึงแม้ว่าอู่เหมยจะติดกระดุมคอเสื้อแน่นแต่สยงมู่มู่ก็ยังเห็นว่ามีแผล มือเหยียดมาทางคอของเธอ อู่เหมยรีบเอามือปิดคอส่ายหัวพูดว่า “ไม่มีอะไร ยังไม่รีบขี่รถไปอีก จะสายแล้วนะ!”


สยงมู่มู่ยึดมือออกได้แค่ครึ่งทางก็หยุด หน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง คนตรงหน้ายังไงก็เป็นผู้หญิง เขาทำแบบนี้ดูเหมือนไม่มีมารยาทมากเลย มองอู่เหมยที่ท่าทางดูเหมือนไม่ได้เป็นอะไร เขาก็ไม่ได้มุ่งมั่นที่จะถามต่อ จึงขี่รถจากไป


“เยวี่ยเยวี่ยทำไมยังไม่ออกมาอีก? ท้องของเธอดีขึ้นหรือยัง?” เหยียนหมิงต๋าร้องถามอย่างร้อนรน


“นายร้อนรนขนาดนี้ ทำไมไม่เอาอู่เยวี่ยผูกรัดกับเอวไปเลยล่ะ? ทำแบบนั้นตอนนอนจะได้สบายใจไง!” สยงมู่มู่อารมณ์ไม่ดีฉุนใส่ เหยียนหมิงต๋าหน้าซีดๆ อยู่ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ทั้งมีความสุขทั้งโมโห นานๆ ทีถึงจะได้เห็นเหยียนหมิงต๋าไม่เถียงกับสยงมู่มู่


สายตาของเหยียนหมิงซุ่นเฉียบแหลม แค่แป๊บเดียวก็สังเกตเห็นถึงคอของอู่เหมย จึงเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อให้เห็นชัดมากขึ้น บนคอขาวๆ นั้นมีแผลช้ำม่วงที่ทำให้คนเห็นแล้วก็รู้สึกพรั่นพรึงอยู่ในใจ


“คอเป็นอะไรน่ะ? ใครทำเหรอ?”


เสียงเบาๆ ดังขึ้นเหนือหัวเธอ ดูเหมือนเธอจะสามารถรู้สึกถึงความร้อนของลมหายใจ ร้อนมากจนทำให้เธออดหน้าแดงไม่ได้ จึงพูดเสียงเบาว่า “ไม่มีอะไรเลย แค่ฉันไม่ระวังตัวนิดหน่อยน่ะ พี่หมิงซุ่นฉันไปเรียนก่อนนะ”


เหยียนหมิงซุ่นมองเด็กสาวที่เดินไกลออกไป รอยแผลรุนแรงนั้นปรากฏขึ้นมาในสายตาเขาแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าโดนคนบีบ หรือว่าเป็นเหอปี้อวิ๋นตีเธออีกแล้ว?


ทำไมคนเป็นแม่ถึงได้ลงมือกับลูกสาวแท้ๆ ได้โหดร้ายถึงเพียงนี้ เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้ว ความเคารพนับถือที่มีให้เหอปี้อวิ๋นเหมือนเมื่อก่อนนั้นหายไปหมด แม้แต่กับอู่เจิ้งซือก็ไม่พอใจ


วันนี้มีสอบวิชาภาษาหนึ่งหน่วย อู่เหมยรอคอยการทดสอบนี้มานานมากแล้ว เธอเองก็อยากรู้ว่าระดับของเธอตอนเป็นอย่างไร พัฒนาขึ้นจริงๆ ไหม?


กระดาษข้อสอบยังคงมีกลิ่นเหม็นของหมึกโชยออกมา ตอนนี้กระดาษข้อสอบต่างก็เป็นอาจารย์พิมพ์กันเอง ก่อนอื่นคือใช้ปากกาแกะบนกระดาษไขทำแม่พิมพ์ออกมา แล้วใช้เครื่องพิมพ์ พิมพ์ออกมาอย่างง่ายๆ แผ่นต่อแผ่น กลิ่นหมึกจะแรงมาก แถมตัวหนังสือก็ไม่ค่อยชัด ตอนอากาศร้อนก็จะเปื้อนมือเป็นรอยดำปื้นอีกด้วย


อาจารย์อู๋เขียนหัวข้อหัวข้อที่ไม่ค่อยชัดเจนลงบนกระดานดำและเดินตรวจไปรอบๆ ห้องเรียน ถือโอกาสมองพวกนักเรียนทำข้อสอบ แน่นอนว่าส่วนใหญ่เน้นไปที่นักเรียนเรียนดี เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้เธอจะยืนอยู่ข้างอู่เหมยนานหลายนาที


อู่เหมยรับรู้ได้ถึงรังสีแรงกล้าของอาจารย์ข้างๆ ทำให้แม้แต่ปากกาก็ถือได้ไม่มั่นคง แถมยังเขียนผิดไปหลายตัว กระดาษข้อสอบถูกเธอลบจนเป็นรู อู่เหมยอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก เอาแต่มองรูนั้นและหวังว่าอาจารย์อู๋จะออกไปเร็วๆ ไม่ต้องมา ‘รักใคร่เอ็นดู’ เธอแล้ว


“เวลายังมี ไม่ต้องรีบ!” อาจารย์อู๋พูดเสียงเบา แถมยังใช้นิ้วอันอวบอ้วนของเธอเคาะเบาๆ ลงบนข้อสอบ หลังจากนั้นก็เอามือไพล่หลังเดินจากไป


…………………………………………………………………………………………..


ตอนที่ 214 อู่เยวี่ยป่วยทางจิต


พออาจารย์อู๋เดินออกไปแล้ว อู่เหมยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอสงบจิตใจลงและค่อยๆ ทำข้อสอบ ระยะนี้เธอมักจะท่องจำจดโน้ตทุกวัน ท่องซ้ำไปซ้ำมา พูดได้ว่าท่องจำจนขึ้นใจ ผลลัพธ์นั้นก็เห็นได้ชัดว่าเธอตอบคำถามพื้นฐานส่วนใหญ่ได้เหมือนปลาได้น้ำ ทำแบบสบายๆ


เรียงความเธอยิ่งไม่กลัว สิบนาทีก็เขียนเสร็จแล้วเกิน 800 คำ รู้สึกพอใจกับตัวเองเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกว่าคะแนนการสอบภาษาครั้งนี้คงไม่แย่อย่างแน่นอน จะต้องผ่านแน่


ข้อสอบเพิ่งจะโดนเก็บไป เจินหวานหว่านก็เดินมาทักอีกว่า “เหมยเหมย เธอทำเสร็จทั้งหมดหรือเปล่า? ฉันลืมทำสองข้อ แถมฉันน่าจะเขียนเรียงความออกนอกเรื่องอีกด้วย คะแนนสอบไม่ถึง 80 แน่ๆ เลย”


อู่เหมยพูดขึ้นมา “ทำก็ทำเสร็จแล้ว ก็ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนั้นแหละ!”


เจินหวานหว่านคนนี้น่ารำคาญไม่น้อย ต้องคิดหาทางเปลี่ยนที่นั่งถึงจะดี นั่งกับคนแบบนี้ทุกวัน แค่มองยังรังเกียจ


อาหารกลางวันอู่เหมยก็ไปกินที่ร้านอาหารเล็กๆ ข้างๆ โรงเรียน ตอนเช้าเหอปี้อวิ๋นไม่ได้เตรียมอาหารกลางวันไว้ให้ และเธอเองก็ไม่ได้ขอเงิน อย่างไรแล้วตอนนี้สิ่งที่เธอไม่รู้สึกว่าขาดแคลนเลยก็คือเงิน ดังนั้นกับเงินเล็กๆ น้อยๆ เธอจึงไม่สนใจอีกต่อไป


อู่เชาก็ไปร้านอาหารกับเธอด้วย ตอนกลางวันเขามักจะไปกินที่ร้านอาหาร ฝีมือทำอาหารของตี๋ชิวเยวี่ยแย่กว่าเหอปี้อวิ๋นอีก ไม่มีใครอยากกินกับข้าวที่เธอทำ อีกอย่างเธอก็ขี้เกียจทำด้วย ให้อู่เจิ้งต้าวกับลูกสองคนไปกินข้าวที่โรงอาหาร ถ้าไม่ได้ก็ให้ไปหาคุณยายแล้วกินข้าวที่บ้านนั้น


“เหมยเหมยคอเธอเป็นอะไร? โดนผีอำมาเหรอ?” อู่เชาถามอย่างตื่นเต้น


อู่เหมยกลอกตามองบน แบ่งเกี๊ยวในชามให้เขา “อืม โดนผีบีบมา ผีอู่เยวี่ยตัวนั้นบีบ”


เธอไม่สามารถปิดบังอู่เชาที่อยู่ตรงหน้าเพื่ออู่เยวี่ยได้ อีกทั้งเธอยังคิดจะยืมปากอู่เชากระจายข่าว เป็นตัวแทนอู่เยวี่ยประกาศโฆษณาออกไป!


“อะไรนะ? อู่เยวี่ยบีบ? เธอไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?” อู่เชาให้ความสนใจอย่างมาก ดีดตัวสูงสามฟุต เสียงที่เปล่งออกมานึกว่าโดนคนบีบคอซะอีกเหมือนอย่างกับไก่ขัน


อู่เหมยกินเกี๊ยวชิ้นหนึ่งพลางบอกใบ้ให้อู่เขาเขยิบเข้ามาใกล้ๆ อู่เขาพอได้เห็นก็รู้สึกว่านี่คือเรื่องใหญ่ รีบร้อนเขยิบหัวเข้ามาอย่างดี๊ด๊าด้วยใจที่รักการนินทาซุบซิบ


“ฉันจะบอกอะไรให้ อู่เยวี่ยเธอป่วยทางจิต วันหลังนายก็ระวังหน่อย เมื่อวานเธอบีบคอฉันเกือบตาย นายดู!” อู่เหมยปลดคอเสื้อเผยให้เห็นแผลที่น่ากลัว ทำให้อู่เขาตกตะลึงอ้าปากค้างเลยทีเดียว


“นี่…นี่… นี่โดนอู่เยวี่ยบีบจริงดิ? อู่เยวี่ยเธอไม่ได้โดนผีสิงใช่ไหม?”


“สิงบ้านนายสิ อู่เยวี่ยเธอป่วยทางจิต!”


“อู่เยวี่ยทำไมบีบคอเธอล่ะ?” อู่เชาถามด้วยความแปลกใจ


“ใครจะไปรู้ล่ะ? แต่ว่าเมื่อวานตอนเธอบีบคอฉันนะ เธอพูดว่าเธอสวยกว่าฉัน เธอต้องทำให้ฉันตายเธอถึงจะสบายใจ แต่น่าเสียดายแม่ฉันไม่เชื่อ เอาแต่พูดว่าฉันบีบคอตัวเอง”


อู่เหมยส่ายหัว ก้มหัวลงกินเกี๊ยวของตัวเองต่อ แต่กลับมีสุขเหมือนมีดอกไม้บานในท้อง มีนายอ้วนอู่เชาคอยประกาศเรื่องอู่เยวี่ย ชื่อเสียงเรื่องที่อู่เยวี่ยเป็นบ้าจะต้องกระจัดกระจายปลิวไปตามลมแน่


อุณหภูมิในร้านอาหารก็ไม่ได้ต่ำ เกี๊ยวก็ยังร้อน แต่ใจของอู่เชากลับรู้สึกเย็นยะเยือก หลังเย็นวาบ มองไปที่คอของอู่เหมยอย่างตกตะลึง


ได้ยินมาว่าคนบ้าฆ่าคนไม่ผิดกฏหมาย วันหลังเขาควรจะอยู่ให้ไกลจากอู่เยวี่ยดีหรือไม่?


อู่เหมยใส่ไฟลงไปอีก พูดอย่างจริงจังว่า “อู่เชานายก็ต้องระวังหน่อยนะ อู่เยวี่ยน่ะเธอขี้อิจฉาสุดๆ ถ้าเรียงความของนายเขียนดีกว่าของเธอ บางทีวันไหนเธออาจจะ…”


ประโยคหลังเธอไม่ได้พูดออกมา แต่ว่าเอาตะเกียบมาทำท่าปาดที่คอแทน อู่เชาตัวสั่นแล้วสั่นอีก วันนี้ทำไมหนาวจัง?


หิมะตกแล้วใช่หรือเปล่า เห็นทีเขาต้องกลับไปใส่เสื้อหนาวซะแล้ว!


…………………………………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)