หมอดูยอดอัจฉริยะ 191-202
ตอนที่ 191
หินอ่อนสีขาว
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเห็นว่าท้องฟ้ายังไม่มืด เยี่ยเทียนจึงเดินไปที่เรือนสี่ประสานของตน ด้านในมีค่ายกลตั้งไว้อยู่มากมาย หากเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอาจเกิดผลกระทบได้ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงต้องคอยจับตาดู
“ป้า ขายผักเหรอครับ?”
“พี่หกระวังเอวด้วย เล่นยกน้ำหนักไม่ต้องรีบร้อนนะ……”
“ลุงซุน เดินเล่นเหรอครับ?นกฮวยบี๊ของคุณลุงเสียงดีขึ้นเรื่อยๆ นะครับ!”
หลังจากพายุที่ตามมาหลอกหลอนครั้งนั้น เยี่ยเทียนเจ้าของบ้านผีสิง ก็มีชื่อเสียงขึ้นเล็กน้อยในพื้นที่เรือนสี่ประสานนี้ จะเดินไปที่ไหนก็ทักทายผู้คนไม่หยุด
เยี่ยเที่ยนดื่มด่ำกับวิถีชีวิตนี้อย่างมาก การทักทายเพียงประโยคเดียวจากเพื่อนบ้าน มักทำให้รู้สึกดีขึ้นพักหนึ่งเสมอ บวกกับในเรือนสี่ประสานนี้ล้วนเป็นเพื่อนบ้านเก่าแก่ที่เคยอยู่ด้วยกันมานานหลายสิบปี ดั่งวลีที่กล่าวว่า “ญาติห่างๆ ยังไม่ดีเท่าเพื่อนบ้านใกล้เคียง”
“อาเว่ย วันนี้อามีเวลาว่างแล้วหรือ?”
ก้าวแรกที่เดินเข้าสวนของบ้านตนเอง เมื่อเยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นก็เห็นเว่ยหงจวิน เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สนามหน้าบ้าน เหมือนกำลังปรึกษาเรื่องอะไรอยู่กับหวังกง
“เพิ่งโทรหาเธอทางโทรศัพท์ แต่ไม่มีสัญญาณ อาจึงมาหาเธอ” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนกลับมา เว่ยหงจวินจึงโบกมือทักทาย แล้วพูดว่า”ที่จริงแล้วก็มีธุระจะคุยกับเธอ……”
“อย่ามองอาแบบนั้น ไม่ใช่เรื่องของอา เป็นเรื่องบ้านของเธอต่างหาก…”
เว่ยหงจวินรู้ว่าเยี่ยเทียนเกลียดความวุ่นวาย หากตัวเองไม่มีเรื่องสำคัญ จะไม่ขอความช่วยเหลือจากเยี่ยเทียน พอเห็นเยี่ยเทียนขมวดคิ้ว จึงเผลอโวยทีเล่นทีจริงไปประโยคหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้นกับบ้านหรือครับ?แบบแปลนต่างๆก็มีแล้วไม่ใช่เหรอ?หวังกง เกิดเรื่องอะไรขึ้น? “
เมื่อเยี่ยเทียนได้ยินก็นิ่งไป เขารู้ว่ากระแสพลังหยินพิฆาตในลานแห่งนี้ยังไม่หมด แต่เยี่ยเทียนปรับเปลี่ยนค่ายกลรวมพลังหยางที่เรือนหลัง ทำให้กระแสพลังหยางในเรือนหลังบ้านเข้มข้นขึ้นเล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้นพลังหยางมีความหนาแน่นมากในเวลากลางวัน และคนทำงานก็มีสุขภาพแข็งแรงไม่เลว ว่ากันตามหลักแล้วตราบใดที่ตอนกลางคืนไม่มีการก่อสร้าง ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
“มันไม่เกี่ยวข้องกับผมหรอก เรื่องนี้เจ้านายพูดกับคุณ” หวังกงส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมจะไปดูที่สนามหลังบ้านสักหน่อย งานที่คุณร้องขอนั้นมีความละเอียดเหลือเกิน ผมกลัวว่าพวกเขาจะทำผิด……”
“อาเว่ย มีเรื่องอะไรก็บอกมาตามตรงเลยไม่ได้หรือครับ?” พอหวังกงเดินจากไปแล้ว เยี่ยเทียนก็จ้องมองไปที่เว่ยหงจวิน
เว่ยหงจวินทำสัญญานมือเรียกให้เยี่ยเทียนนั่ง หยิบน้ำแร่หนึ่งขวดโยนไปให้ แล้วพูดขึ้นว่า “ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร คือว่าหวังกงโทรศัพท์ถึงอา บอกว่ามีวัสดุก่อสร้างบางชนิดราคาขึ้น แล้วให้อาสอบถามความคิดเห็นของเธอ ว่าจะให้จัดหาของราคาถูกมาใช้หรือเปล่า?”
“วัสดุอะไรบ้างครับ?” เวลานี้เยี่ยเทียนกระเป๋าหนา ราคาจะขึ้นก็ขึ้นไป อย่างไรเสียเขาก็มีเงินในมืออยู่แล้ว
เว่ยหงจวินชี้ไปที่เล่มหน้าสีพวกนั้นบนโต๊ะหิน พูดว่า “หินอ่อนสีขาวราคาขึ้นแล้ว เมื่อก่อนอาไม่ต้องใช้วัสดุเหล่านี้ จึงไม่ค่อยเข้าใจตลาด วันนี้หวังกงส่งคนไปสอบถาม ให้ตายเถอะ ราคามันเพิ่มขึ้นตั้งหลายเท่าตัว……”
เดิมทีความตั้งใจของเว่ยหงจวินนั้น โครงการปรับเปลี่ยนเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียน แค่เรียกเก็บค่าแรงเล็กน้อยก็พอแล้ว พวกวัสดุเขาจะช่วยเยี่ยเทียนออก แต่เยี่ยเทียนก็ไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรก เว่ยหงจวินจึงคิดคำนวณงบประมาณตามสภาพตลาด
แต่วันนี้เมื่อหวังกงโทรศัพท์หาเขา แจ้งว่าหินอ่อนสีขาวราคาสูงขึ้นหลายเท่า งบประมาณทั้งหมดจึงเพิ่มเป็นสองเท่า เว่ยหงจวินนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าตอนนี้การเงินของเยี่ยเทียนค่อนข้างวิกฤต
“ชิบเป๋ง ราคาขึ้นสูงขนาดนี้เชียวหรือ?”
เยี่ยเทียนหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมา เปิดไปหน้าเสนอราคา พอเปิดดูแล้วก็อดพูดคำหยาบคายออกมา ไม่ได้ ราคาเริ่มแรกที่หวังกงเสนอให้เขานั้นประมาณสามพันหยวนต่อลูกบาศก์เมตร แต่ราคาที่ระบุไว้ในหนังสือนี้คือสองหมื่นแปดพันหยวนต่อลูกบาศก์เมตร ขึ้นราคาเกือบสิบเท่า
แท้จริงแล้วหินอ่อนสีขาวเป็นคริสตัลหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ เนื้อหินมีแสงสะท้อนแวววาว เผยความงามอันเคร่งขรึมไร้ที่ติ ส่วนรอบฐานรากของห้องโถงใหญ่ในพระราชวังต้องห้าม กรุงปักกิ่ง ก็ตกแต่งและสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาว
ทุกคนที่อยู่ในวงการนี้ต่างรู้ว่าหินอ่อนสีขาวเป็นเพียงหินชนิดหนึ่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับหยกเลย
แต่พวกเขาไม่รู้ว่า หินอ่อนสีขาวมีคุณสมบัติรองรับพลังชี่ดั้งเดิมของฟ้าดิน มันมีความแข็งแกร่งกว่าก้อนหินทั่วไปถึงร้อยเท่า ด้อยกว่าหยกจริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เดิมทีที่เยี่ยเทียนต้องการสร้างให้เรือนสี่ประสานเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ จำเป็นต้องใช้หินหยกจำนวนมาก เขาหรือจะมีเงินมากขนาดนั้น จึงเลือกใช้หินอ่อนสีขาวมาแทนหยก แม้ว่าประสิทธิภาพจะแย่ลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ต่างกันนัก
กล่าวได้ว่า นอกจากการปรับปรุงบ้านแล้ว หินอ่อนสีขาวเป็นสิ่งที่ถูกใช้มากที่สุดในเรือนสี่ประสาน เมื่อวัสดุดังกล่าวปรับราคาสูงมากขนาดนี้ แน่นอนว่าเยี่ยเทียนต้องเป็นกังวล
“อาเว่ย วัสดุนี่ไม่น่าขึ้นราคาสูงขนาดนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ หรือเปล่าครับ?”
พอวางหนังสือในมือลง เยี่ยเทียนก็ถามขึ้นอย่างงงงวย เว่ยจวินเองก็ทำงานก่อสร้างมาสองปีแล้ว ถึงแม้จะไม่ค่อยได้ใช้วัสดุเหล่านี้ แต่คงไม่ถึงขั้นไม่รู้ราคาในตลาดกระมัง?
เมื่อได้ฟังที่เยี่ยเทียนพูดแล้ว เว่ยหงจวินก็ตอบอย่างกระดากอายเล็กน้อย ย “เยี่ยเทียนเรื่องนี้เป็นเพราะความสะเพร่าของอาเว่ยเอง เดิมทีหินอ่อนสีขาวที่ใช้ในบริษัทของเรา ความจริงแล้วมาจากมณฑลหูหนานและมณฑลเสฉวน ราคาต่ำมาก เธอบอกว่าจะใช้อย่างดี อาจึงบอกหวังกงให้ไปสอบถามราคา จึงได้รู้ว่าราคาหินอ่อนสีขาวของปักกิ่งฟางซันนั้นสูงขนาดนี้……”
หินอ่อนสีขาวที่ผลิตในประเทศจีน มีเพียงปักกิ่งฟางซันที่สามารถเรียกว่าหินอ่อนสีขาว อย่างไรก็ตามเนื่องจากหินก้อนนี้มีสีขาวบริสุทธิ์จึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมากมาย เลยมีผู้ผลิตทำของปลอมตามมา
อย่างไรก็ตามหากว่ากันอย่างจริงจัง นอกจากหินอ่อนสีขาวที่ผลิตในปักกิ่งฟางซันแล้ว สถานที่อื่นๆ ล้วนผลิตและแยกประเภทโดยบดจากหินสีขาว ด้วยเครื่องโม่เรย์มอนด์หรือใช้แรงดันสูงอื่นๆ
หลังจากอธิบายให้เยี่ยเทียนฟังแล้ว เว่ยหงจวินก็พูดว่า “เยี่ยเทียน เรื่องนี้เป็นความสะเพร่าของอาเว่ยเอง ดังนั้นเงินส่วนนี้อาจะรับผิดชอบ แต่ว่าเยี่ยเทียน เพื่อความสวยงาม จะใช้ชิ้นงานจากมณฑลเหอหนานก็ได้ ภาพลักษณ์ ภายนอก ไม่แตกต่างจากหินอ่อนสีขาวของฟางซัน……”
“ไม่เป็นไรอาเว่ย ผมจะใช้หินอ่อนสีขาวของฟางซันครับ อาอย่าเปลี่ยนให้ผมเด็ดขาดนะ อาบอกมาเลยว่ายอดทั้งหมดที่เกินมาคือเท่าไหร่?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าไปมา เล่นตลกอะไรกัน หินอ่อนเทียมสีขาวเป็นของที่ไม่มีประสิทธิภาพต่อเขา หากเว่ยหงจวินไม่มาบอกเรื่องนี้กับเขา แล้วตัดสินใจเลือกใช้ของเทียมเอง รอให้สร้างบ้านเสร็จสิ้น คาดว่าใจของเยี่ยเทียนคงถึงขั้นคิดอยากผูกคอตาย
เว่ยหงจวินเอาตารางงบประมาณก่อนหน้าออกมา หลังจากเพิ่มตัวเลขไปสองสามตัว แล้วพูดว่า “โครงการของเธอต้องการหินอ่อนสีขาวมากกว่าสามสิบลูกบาศก์เมตร รวมกับเงินสำหรับการก่อสร้างใหม่และตกแต่งจะใช้ทั้งหมดประมาณหนึ่งล้านห้าแสนถึงหกแสน……”
“อาเว่ย…… อาคงคิดว่าผมมีเงินมากขนาดนั้นสินะ?”
เมื่อได้ฟังเว่ยหงจวินพูดแล้ว เยี่ยเทียนพลันตกตะลึง ถึงกระทั่งคิดในใจตนเอง ว่าที่ตัวเขาอาภัพอับจนไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง คงไม่ใช่เก็บเงินไม่อยู่หรอกกระมัง? ไม่อย่างนั้นทำไมบ่อยครั้งที่เงินเพิ่งตกถึงมือก็ล้วนถูกใช้จ่ายออกไปล่ะ?
เรื่องอย่างนี้ใช่ว่าไม่เคยมีตัวอย่าง สุภาษิตโบราณที่เคยกล่าวว่า ใช้เงินบรรเทาภัยพิบัติ ก็หมายถึงสิ่งนี้เอง
ในวิชาฮวงจุ้ย ก็มีคำกล่าวเช่นนี้ คือการใช้เงินที่ได้จากการทำนายดวงชะตามาทำบุญทำทาน สามารถชดเชยการกระทำอันเผยลิขิตสวรรค์ และปกป้องตนเองให้แคล้วคลาดปลอดภัย
“ทำไมหรือ? เยี่ยเทียน ถ้าเงินของเธอไม่พอให้อาเว่ยช่วยชดเชยส่วนนี้เถอะ ” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนนิ่งค้างไป เว่ยหงจวินจึงเข้าใจว่าเขาไม่มีเงินแล้ว
“อย่าเลยอาเว่ย เงินส่วนนี้ผมจัดการเอง……”
เยี่ยเทียนแค่นยิ้ม หยิบบัตรที่เพิ่งโอนเงินเข้าไปหนึ่งล้านกว่าใบนั้นออกมาจากกระเป๋า พูดว่า “ในบัตรนี้มีเงินประมาณหนึ่งล้านสามแสนกว่า อาเอาไปเถอะ อย่างไรก็ตามหินอ่อนสีขาวต้องใช้ของที่ฟางซันผลิตเท่านั้น อย่าลดหรือแอบเปลี่ยนวัสดุให้ผมเด็ดขาดนะครับ!”
เยี่ยเทียนเองก็คิดไม่ถึงว่า การซื้อบ้านหลังหนึ่งที่คำนวณค่าโอนและค่าดำเนินการต่างๆ น่าจะไม่เกินเจ็ดแสน แต่ปรับปรุงตกแต่งกลับต้องใช้เงินถึงหนึ่งล้านห้าหกแสน รอแต่งบ้านเสร็จเมื่อไหร่ สองมือตัวเองก็จะว่างเปล่าอีกครั้ง
พอได้ฟังสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด เว่ยหงจวินก็ยิ้มออกแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ อาเว่ยไม่หากำไรจากโครงการของเธอหรอก จริงสิคืนนี้ว่างใช่ไหม? เหล่าเหลยให้อานัดเธอหลายครั้งแล้ว ให้มาทานข้าวด้วยกัน……”
“ยังไม่แน่ใจว่าช่วงกลางคืนว่างหรือเปล่าครับ รอสักครู่นะครับอาเว่ย ขอรับโทรศัพท์สายนี้ก่อน……”
ขณะที่สนทนากันอยู่ โทรศัพท์ของเยี่ยเทียนก็ดังขึ้น เยี่ยเทียนมองดูเบอร์โทร เป็นคุณพ่อที่โทรเข้ามา
“พ่อ มีเรื่องอะไรครับ? ทางบ้านทุกอย่างเรียบร้อยดี… ” เยี่ยเทียนรู้ว่าช่วงนี้พ่อไปรับซื้อสิ่งของที่ชนบทเมืองเหอเป่ย ทุกสองสามวันจะโทรหาตัวเองเพื่อถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่บ้าน
“โทรศัพท์ของลูกมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? โทรหาครึ่งค่อนวันแล้วยังติอต่อไม่ได้ ลู่เชินพี่ชายเธอเกิดเรื่องแล้ว ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล101 พ่อจะรีบกลับไปปักกิ่งทันที ลูกลองไปดูเขาก่อน……”
น้ำเสียงของเยี่ยตงผิงดูกังวลเป็นอย่างมาก หลังจากที่บ่นใส่ลูกชายของเขาแล้วก็วางสายไป แต่ก็คุยกันชัดเจนเข้าใจ ว่าพี่ชายบ้านป้ารองเข้าโรงพยาบาล
“งานของพี่ชายนั้นตามหลักการไม่น่าจะมีเหตุเกิด ได้ จะว่าไปเราก็เอาของขลังป้องกันตัวให้เขาแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ได้ยินเสียง “ตื๊ดๆ” ในไมโครโฟน เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ถึงแม้ลู่เชินจะเป็นตำรวจ แต่เขาเป็นฝ่ายนิติเวช โดยปกติแล้วเขาไม่ต้องออกไปจับกุม แล้วทำไมถึงมีเหตุให้เข้าโรงพยาบาลได้?
หลังจากเห็นเยี่ยเทียนรับโทรศัพท์ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึม เว่ยหงจวินที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงถามขึ้น “เยี่ยเทียน เกิดอะไรขึ้น?”
คำถามของเว่ยหงจวินขัดจังหวะการไตร่ตรองของเยี่ยเทียน เงยหน้าแล้วพูดว่า “อาเว่ยขับรถมาใช่ไหมครับ? ช่วยส่งผมไปโรงพยาบาล101ที……”
“เกิดเรื่องกับคนในครอบครัวหรือ? ไปสิ… เราไปกันตอนนี้เลย”
เมื่อสักครู่เสียงของเยี่ยตงผิงค่อนข้างดัง ขนาดเว่ยหงจวินยังได้ยินเสียงสนทนา เดินออกไปข้างนอกพลางบ่นกับเยี่ยเทียนว่า
“โทรศัพท์มือถือของเธอมีปัญหาสินะ? ติดต่อไม่ได้อยู่บ่อยๆ ว่าไปแล้วสัญญาณของหมายเลขขึ้นต้น139 ล้วนดีหมดไม่ใช่หรือ…”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าไปมาแล้วพูดว่า “อาเว่ย ในอนาคตผมจะติดตั้งโทรศัพท์ในบ้านหลังนี้ หากมีเรื่องอะไรโทรมาที่โทรศัพท์บ้านดีกว่า โทรศัพท์มือถือสัญญาณไม่ดีเลย……”
ความจริงเยี่ยเทียนรู้เรื่องโทรศัพท์มือถือไม่มีสัญญาณดี เพราะเมื่อใดก็ตามที่เขาใช้วิชา พลังชี่ดั้งเดิมฟ้าดินรอบตัวเขาจะเปลี่ยนแปลงราวกับสัญญาณถูกรบกวน ทำให้สัญญาณโทรศัพท์มือถือถูกปิดกั้น
วันนี้ตอนที่กำลังช่วยทำนายโชคชะตาให้ถังเสวี่ยเสวี่ยอยู่นั้น เกรงว่าสนามแม่เหล็กรอบๆ คงจะเกิดปั่นป่วน เป็นเหตุให้โทรศัพท์ของพ่อและเว่ยหงจวินล้วนไม่สามารถติดต่อได้
ตอนที่ 192
คาถามือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
จอดรถไว้ที่หน้าประตูโรงพยาบาล เว่ยหงจวินเอ่ยปากถามว่า “เยี่ยเทียน ให้อาลงไปเป็นเพื่อนมั้ย?”
“ไม่เป็นไรครับลุงเว่ย ขอบคุณครับ!” เยี่ยเทียนส่ายหน้า เมื่อครู่เขาได้โทรไปที่ทำงานของลู่เชิน และถามหมายเลขห้องที่ลูกพี่ลูกน้องพักมาแล้ว
เยี่ยเทียนไม่ชอบกลิ่นฆ่าเชื้อในโรงพยาบาล และยิ่งกว่านั้นคือมีพลังหยินอยู่ที่โรงพยาบาลหนาแน่นมาก คนทั่วไปอาจไม่รู้สึกแต่เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงกระแสพลังพิฆาตที่กระจายออกมาจากร่างกายคนได้อย่างชัดเจน
เพราะฉะนั้นน้อยครั้งมากที่เยี่ยเทียนจะมาโรงพยาบาล กระทั่งตอนเขาถูกพลังชี่ตีกลับที่เหมาซานจนล้มป่วยไปช่วงนั้น ก็ไม่เข้าโรงพยาบาลเลยสักวัน ล้วนฟื้นฟูร่างกายด้วยตัวเองทั้งนั้น
หลังจากที่สอบถามไปหลายคน เยี่ยเทียนก็หาห้องพักของลู่เชินเจอ ซึ่งเป็นห้องพักเดี่ยวพิเศษ หลังเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป เยี่ยเทียนก็เห็นครอบครัวของป้ารองทุกคนอยู่ในห้อง
โต๊ะข้างเตียงผู้ป่วยถูกวางด้วยดอกไม้สดและผลไม้จนเต็ม น่าจะเป็นของคนที่มาเยี่ยม แต่ชัดเจนมากว่าของพวกนั้นยังไม่มีใครแตะต้อง
“คุณป้า คุณลุง พี่สะใภ้ พี่เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
เยี่ยเทียนพูดพลางตามองไปทางลู่เชินที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เหนือมือของเขามีขวดน้ำเกลือหยดแขวนอยู่ ดูเหมือนยังคงสลบไสลไม่รู้สึกตัว
ทว่าถึงแม้ลู่เชินจะใส่ชุดผู้ป่วย แต่ว่าส่วนหัว และทั้งเนื้อตัวของเขาไม่มีร่องรอยผ้าพันแผล นั่นทำให้เยี่ยเทียนถอนหายใจโล่งอก
“คุณลุง อุ้ม!”
ลูกชายของลู่เชินปีนี้อายุสามขวบกว่าแล้ว เด็กคนนี้ตัวสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ขณะกำลังคลานเล่นอยู่ที่เตียง พอเห็นเยี่ยเทียนเดินเข้าไปก็ตบมือขอให้เยี่ยเทียนอุ้ม
ยื่นมือไปอุ้มหลานขึ้นมา เยี่ยเทียนก็มองไปยังใบหน้าเลอะคราบน้ำตาของอวิ๋นซี “พี่สะใภ้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ปกติแล้วสุขภาพของพี่ก็แข็งแรงดีไม่ใช่หรือ?”
“พวกเราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนตอนกลางดึกเขารับโทรศัพท์สายหนึ่งบอกว่ามีเรื่องที่ทำงาน แล้วก็ออกไป เช้าวันนี้หัวหน้าแจ้งมายังที่บ้าน พวกเราถึงได้รู้ว่าเขาเข้าโรงพยาบาล หมอก็ตรวจไม่พบว่ามีปัญหาอะไร ถ้า……ถ้าเขาเป็นอะไรไปแล้วพวกเราสองแม่ลูกจะใช้ชีวิตต่อกันยังไง?”
อวิ๋นซีพูดพลางร้องไห้ขึ้นมาอีก เด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของเยี่ยเทียนดิ้นไปดิ้นมา พอวางลงพื้นก็วิ่งไปหาแม่ พูดกับแม่ด้วยเสียงออดอ้อนว่า “แม่อย่าร้อง พ่อหลับไปแล้ว เดี๋ยวก็พาผมไปเล่น……”
เด็กคนนี้ไม่พูดอย่างนี้ออกมาคงจะดีกว่า พอพูดออกมายิ่งทำให้อวิ๋นซีร้องไห้หนักกว่าเดิม สามีที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้าไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร คนที่ต้องแบกรับความกดดันมากที่สุดก็คือเธอ
เห็นสภาพพี่สะใภ้เป็นแบบนี้เยี่ยเทียนรู้ว่าถามไปก็ไม่ได้อะไร หันไปทางคุณลุงคุณป้าแล้วถามว่า “คุณลุง หัวหน้าที่ทำงานของพี่เขาไม่ได้พูดอะไรเลยหรือครับ?”
“หัวหน้าของเสี่ยวเชินก็มาที่โรงพยาบาลแล้วเหมือนกัน พูดว่าเมื่อวานมีคดีฆาตกรรม แต่สถานการณ์ตรงนั้นค่อนข้างซับซ้อน ลู่เชินจึงอยู่หาเบาะแสต่อกับเพื่อนร่วมงาน ตอนเช้าเวลาประมาณตีห้ากว่า จู่ๆ เสี่ยวเชินก็สลบไปแล้วเพื่อนร่วมงานก็ส่งมายังโรงพยาบาล……”
คนแก่กลัวที่สุดก็คือคนผมขาวต้องมาไว้ทุกข์ให้กับคนผมดำ อาการป่วยของลู่เชินทำให้ผมของผู้อาวุโสสองคนนี้ขาวขึ้นไม่น้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและความห่วงใย
เยี่ยตงจู๋รู้ว่าหลานชายของตัวเองรู้เรื่องวิชาฮวงจุ้ย จึงลองถามออกไปว่า “เยี่ยเทียน เธอดูสิว่าลู่เชินเองก็ไม่มีแผลอะไรเลย บางทีอาจจะโดนของหรือเปล่า?”
“พูดไปเรื่อย โดนของอะไรกัน ตอนนั้นไม่ได้มีแค่เสี่ยวเชินอยู่ที่เหตุการณ์คนเดียวซะหน่อย!”
เยี่ยตงจู๋ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกสามีแทรกขึ้นมา คุณลุงคุณป้าที่ยังมีชีวิตอยู่ของเยี่ยเทียนทั้งสองท่านนี้ คนที่พอมีการศึกษาอย่างคุณลุงไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีสางเท่าไหร่
“เธอนี่มัน งั้นเธอบอกได้มั้ยว่าเสี่ยวเชินเป็นอะไร?” ผู้หญิงตระกูลเยี่ยมักแสดงอำนาจเหนือกว่าจนเคยชิน เยี่ยตงจู๋ทำหน้าทำตาใส่สามีขึ้นมาทันที จนทั้งคู่เกือบจะทะเลาะกัน
“ป้ารอง คุณลุง ใจเย็นๆ กันก่อน ผมเองก็พอมีความรู้ด้านแพทย์แผนจีนอยู่บ้าง เดี๋ยวผมดูให้พี่ก่อนดีกว่า……” เยี่ยเทียนขัดขึ้นมาทันควัน เดินไปยังข้างเตียงผู้ป่วย ยกมือขวาของลู่เชินขึ้นแล้วค่อยๆหลับตาลง
“ชีพจรคงที่ การเต้นมีกำลังวังชา ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่?”
หลังจากลองจับชีพจรให้ลู่เชิน เยี่ยเทียนก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาในใจ ชีพจรของพี่ชายปกติมากจนเหมือนคนสุขภาพแข็งแรงคนหนึ่ง ไม่น่าสลบไสลไม่ได้สติแบบนี้?
คิดอยู่ในใจสักพักเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไปดูมืออีกข้างของลู่เชิน จับชีพจรต่อ แต่ว่าครั้งนี้เขาใช้พลังชี่ดั้งเดิมในตัวเหนี่ยวนำกับลมหายใจของลู่เชิน
พลังชี่ดั้งเดิมที่เยี่ยเทียนฝึกฝนมา ใกล้เคียงกับกำลังภายใน แต่ไม่สามารถใช้พลังรักษาอาการป่วยของคนได้เหมือนกำลังภายใน ทว่าพลังชี่ดั้งเดิมของเยี่ยเทียนอ่อนไหวต่อพลังชี่หยินหยาง ถึงแม้ไม่ส่งเข้าไปในร่างกายองลู่เชิน แต่ก็ยังพอสัมผัสได้ถึงพลังชี่ที่เปลี่ยนแปลงในตัวเขา
ตามหลักทฤษฏีแพทย์แผนจีน สุขภาพร่างกายของคนเราล้วนถูกควบคุมและปรับเปลี่ยนโดยพลังชี่หยินหยาง เมื่อพลังชี่หยินหยางสูญเสียความสมดุล คนก็จะเจ็บป่วย สาเหตุที่เยี่ยเทียนใช้วิธีนี้ เป็นเพราะเขาอยากรู้ว่าลู่เชินสลบไปเพราะพลังพิฆาตหรือเปล่า?
“ร่างกายของเขาไม่มีปัญหา หืม? ว่าแล้วเชียวว่าตรงจุดนี้!”
หลังจากสัมผัสเจอลำตัวของลู่เชิน เยี่ยเทียนรวบรวมพลังชี่ดั้งเดิมให้เป็นกลุ่ม จนถึงบริเวณหัวของลู่เชิน แล้วดวงตาที่ปิดอยู่ก็เบิกกว้างขึ้นมาทันใด
บริเวณหัวของลู่เชิน เยี่ยเทียนสัมผัสถึงพลังพิฆาตอันเยือกเย็น แอบซ่อนอยู่ที่ส่วนหัวของลู่เชินได้อย่างชัดเจน และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้ลู่เชินสลบไสลไม่ได้สติ
“พี่สะใภ้ ก่อนหน้านี้ผมเคยให้หยกชิ้นหนึ่งกับพี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังอยู่ไหมครับ?”
พอรู้สาเหตุที่ลู่เชินสลบแล้วเยี่ยเทียนก็รู้สึกสบายใจขึ้นหน่อย เขาสัมผัสได้ว่าพลังพิฆาตกลุ่มนั้นยังไม่ได้ซึมเข้าสู่สมองของลู่เชิน ไม่อย่างนั้นลู่เชินคงไม่แค่สลบ แม้แต่ลมหายก็คงจะหยุดไปตั้งนานแล้ว
“เธอหมายถึงหยกปี่เซียะชิ้นนั้นใช่มั้ย?”
อวิ๋นซีได้ยินก็นิ่งไปพักหนึ่ง เธอไม่เข้าใจว่าเยี่ยเทียนถามถึงหยกชิ้นนั้นทำไม จึงดึงตัวลูกชายมา เกี่ยวเส้นสีแดงขึ้นมาเส้นหนึ่งจากคอลูก พูดว่า “ลู่เชินบอกว่าหากเขาใส่ของชิ้นนี้ไปที่ทำงานแล้วมีคนเห็นเข้าจะไม่ดี เลยใส่ให้จวิ้นหาน……”
“มิน่าล่ะ……” หลังจากเห็นหยกปี่เซียะชิ้นนี้ ในใจของเยี่ยเทียนก็กระจ่างขึ้นมาทันที
ตอนแรกเยี่ยเทียนก็คิดไม่ตก ถ้าสมมุติพี่พกของสิ่งนี้ไว้กับตัว ยังไงก็ไม่มีวันถูกพลังพิฆาตเข้าตัวแน่ๆ พอได้เห็นของขลังอยู่กับหลาน เยี่ยเทียนก็พอเดาเรื่องราวความเป็นมาออก
แต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าลู่เชินไปที่ไหนมาบ้าง เรื่องนี้ต้องขบให้แตกและจำเป็นต้องถามลู่เชินจึงจะรู้ เยี่ยเทียนคลายมือออกจากลู่เชินแล้วพูดว่า “ป้ารอง พี่สะใภ้ ผมมีวิธีทำให้พี่เขาฟื้นขึ้นมาครับ แต่พวกป้าต้องออกไปก่อน……”
“จริงหรือ? เยี่ยเทียน แต่หมอยังช่วยไม่ได้เลยนะ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน อวิ๋นซีลุกขึ้นมาอย่างตื่นเต้น เยี่ยตงจู๋และสามีถึงแม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มีสีหน้าคาดหวัง
เยี่ยเทียนหัวเราะแล้วพูดว่า “พวกป้าออกไปก่อนเถอะ ใช้เวลาไม่นานเดี๋ยวก็เสร็จ……”
จะขจัดพลังพิฆาตออกจากสมองของลู่เชิน เยี่ยเทียนจำเป็นต้องใช้วิชา หากป้ารองและคนอื่นๆ อยู่ในห้องจะไม่สะดวกนัก
“งั้น……ก็ได้ เยี่ยเทียน เธอมั่นใจใช่มั้ย?” เยี่ยตงจู๋รู้สึกเป็นห่วงลูกชายที่นอนอยู่บนเตียง
“คุณป้าวางใจเถอะครับ……”
เยี่ยเทียนยิ้มพลางผลักดันให้คนพวกนั้นออกไป จากนั้นปิดประตูล็อกห้อง แล้วยังปิดผ้าม่านที่กระจกบนประตูด้วย
“เวลาว่างก็ว่างแทบตาย พอยุ่งขึ้นมาเรื่องทุกเรื่องก็มาอัดรวมกัน……”
มองลู่เชินที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ใบหน้าของเยี่ยเทียนเผยยิ้มแห้งจางๆ เมื่อหลายเดือนก่อนเขาว่างถึงขั้นไปเล่นหมากรุกกับผู้เฒ่าเต๋าที่อารามเมฆขาว ตอนนี้กลับมีเรื่องให้ทำอย่างไม่หยุดหย่อน
แต่ถึงอย่างนั้นลูกบ้านคุณลุงคุณป้าก็เท่ากับว่าเป็นญาติสนิทที่สุดของเยี่ยเทียน เวลาปกติลูกพี่ลูกน้องคนนี้ก็ดีกับเขา แม้ว่าครั้งนี้จะต้องสูญเสียพลังชี่ดั้งเดิม เยี่ยเทียนก็ไม่อาจคิดมากขนาดนั้นแล้ว
เยี่ยเทียนปรับลมหายใจครู่หนึ่ง หลังจากยืนข้างหัวเตียงของลู่เชินสี่ห้านาที ยกสองมือขึ้นถึงหน้าอก แล้วเริ่มขยับท่วงท่าราวผีเสื้อบินทะลุผ่านดอกไม้ สองนิ้วโป้งชิดกัน ร่างกายค่อยๆ โน้มตัวไปข้างหน้า ตะโกนคำว่า “หลิน” ออกมา
พลังชี่ดั้งเดิมของในห้องนี้ราวกับถูกก่อกวนตามเสียงที่ตะโกนออกมา ม่านตรงหน้าต่างขยับเขยื้อนทั้งที่ไม่มีลม อีกทั้งใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ไม่แสดงอารมณ์ออกมา สัญลักษณ์มือทั้งสองหน้าทรวงอกเริ่มเปลี่ยนท่าอีกครั้ง
“โต่ว!”
หลังจากปางมือของเยี่ยเทียนทำการสะกดไว้แล้ว ก็ออกเสียงอีกครั้ง ครั้งนี้เขาใช้สัญลักษณ์สิงโตนอก พลังชี่ดั้งเดิมที่ปั่นป่วนอยู่แล้วราวถูกฉุดดึงโดยพลังงานไร้รูปจนหยุดนิ่งในทันที
“เจ๋อ!”
เมื่ออีกเสียงถูกเปล่งออกไป บรรยากาศภายในห้องผู้ป่วยพลันแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมขึ้นมาอย่างฉับพลัน พลังพิฆาตที่ซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆ พุ่งเข้าใส่ร่างกายของเยี่ยเทียนอย่างรุนแรง ราวได้รับการร้องเรียก
หากเวลานี้มีคนอยู่ในห้อง จะเห็นว่ามีคลื่นมวลขนาดเล็กซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน ไหลซึมเข้าสู่ภายในร่างกายของเยี่ยเทียนอย่างรวดเร็ว
“แค่ก……แค่กแค่ก!”
หลังจากที่พลังพิฆาตเข้าไปในร่างกายแล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว ไอขึ้นมาอย่างรุนแรงจนทรุดลงกับพื้น ไม่สามารถปลีกตัวไปดูลู่เชินที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยได้
ผ่านไปห้าถึงหกนาที สีหน้าของเยี่ยเทียนจึงค่อยๆ ดีขึ้น แต่ก็ยังซีดเผือดจนน่ากลัว
สัญลักษณ์มือที่เยี่ยเทียนใช้เมื่อครู่ล้วนแล้วแต่มีข้อกำหนด
สัญลักษณ์สิงโตนอกเบื้องหน้ามีพลังซึ่งสามารถควบคุมร่างกายของตัวเองและร่างกายของผู้อื่น สามารถทำให้พลังวิญญาณของสรรพสิ่งทั้งปวงอยู่ในการควบคุมของตน ส่วนสัญลักษณ์สิงโตในมีพลังควบคุมใจคนนั่นเอง
จากการใช้สัญลักษณ์สิงโตทั้งสอง ทำให้เยี่ยสามารถบีบพลังพิฆาตในสมองออกโดยไม่ทำอันตรายต่อลู่เชิน แต่สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งเยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้นำของขลังเก็บพลังพิฆาตพกติดตัวมาด้วย จึงทำได้เพียงรับพลังนั้นเข้าไปเอง
“นี่……นี่ฉันอยู่ที่ไหน? เยี่ยเทียน เธอ……เธอไปนั่งทำอะไรที่พื้น?” หลังปรับลมหายใจให้เบาลง เยี่ยเทียนเตรียมจะลุกขึ้นก็ได้ยินเสียงของลู่เชิน
“พี่ครับ ที่นี่คือโรงพยาบาล เมื่อเช้าพี่สลบไปจึงมีคนพาพี่มาส่งที่นี่ ว่าแต่ เมื่อวานพี่ไปที่ไหนมา มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?”
ได้เห็นลู่เชินตื่นขึ้น ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกโล่งอก แต่ตัวเองกลับต้องรับพลังพิฆาตเข้าสู่ร่างกายไปเต็มๆ เท่ากับสมทบอาการบาดเจ็บที่มีอยู่เข้าไปอีก เรื่องจึงไม่นับว่าจบเพียงเท่านี้
ตอนที่ 193
พลังชี่ดั้งเดิมบาดเจ็บ
โดย
Ink Stone_Fantasy
โดยทั่วไปแล้วสถานที่ซึ่งเกิดพลังกระแสพิฆาต จะส่งผลร้ายต่อการทำงานของร่างกายมนุษย์เท่านั้น แต่ไม่อาจสะสมในสมองเหมือนอย่างที่ลู่เชินเป็นอยู่ สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อถูกค่ายกลที่สร้างขึ้นมาโดยมนุษย์กระตุ้นเท่านั้น
เพียงแต่เยี่ยเทียนมองว่าวิชาของคนที่ตั้งค่ายกลนี้ขึ้นมาไม่สูงส่งเท่าไหร่ พลังกระแสพิฆาตที่สะสมรวมตัวกันยังไม่พอทำลายความทรงจำของลู่เชิน ถ้าลู่เชินใส่ของขลังหยกไว้กับตัว เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
“ฉัน……ฉันมาที่โรงพยาบาลได้ยังไง? ฉัน……ตอนเช้าฉันยังอยู่แถวโรงพยาบาลเฉาหยางเลยนี่!”
ลู่เชินส่ายหัวไปมา เห็นมือขวาห้อยสายน้ำเกลืออยู่ก็รู้สึกมึนงงไปหมด เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ฟื้นตัวจากการสลบดี
“พี่เชิน พี่อยู่ตรงไหนของโรงพยาบาลเฉาหยาง? มีคดีอะไรหรือ?” เยี่ยเทียนถามต่อ ในคำพูดเต็มไปด้วยความอยากรู้ จนคนฟังอดระบายออกมาไม่ได้
“ในตรอกซอยข้างหลังโรงพยาบาล ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ ผู้ตายมีสองคน คนหนึ่งถูกกัดหลอดลมจนเสียชีวิต ส่วนอีกคนหนึ่งไม่มีรอยแผลบนตัวเลย ยังสรุปไม่ได้ว่าถูกฆ่าหรือเสียชีวิตกะทันหัน……”
“เฮ้อ เยี่ยเทียน นี่นายยังไม่บอกฉันเลย ว่าฉันมาถึงที่นี่ได้ยังไง?”
ตอนแรกสติของลู่เชินยังไม่ฟื้นตัวดี แต่หลังจากได้คุยกับเยี่ยเทียนไม่กี่คำก็เริ่มตาสว่าง จรรยาบรรณในอาชีพทำให้เขาไม่พูดต่อ
“เมื่อเช้าจู่ๆ พี่ก็สลบไป แล้วมีคนพามาส่งที่นี่……”
หลังจากเล่าเหตุการณ์ที่ลู่เชินสลบคร่าวๆ ดวงตาทั้งสองก็จดจ้องที่ลู่เชิน ถามว่า “พี่เชิน เมื่อเช้าจู่ๆ พี่ก็รู้สึกเย็นไปทั้งตัวแล้วจากนั้นพี่ก็ไม่รู้สึกตัวเลยใช่ไหม?”
“ใช่ๆ ฉันนึกออกแล้ว ฉันกำลังเปิดดูดวงตาของผู้ตาย จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นไปทั้งตัว หลังจากนั้น……” ลู่เชินลุกขึ้นนั่ง แค่นหัวเราะแล้วพูดต่อ “จากนั้นก็อยู่ที่นี่แล้ว……”
“พี่เชิน พี่บอกจุดเกิดเหตุให้ผมรู้ที!”
เรื่องที่เกิดขึ้นต่างจากสิ่งที่เยี่ยเทียนคิด ตอนแรกเขานึกว่าลู่เชินไปทำลายค่ายกลของคนอื่นจึงถูกพลังพิฆาตตีกลับ แต่ไม่นึกเลยว่าพลังนั้นจะมาจากดวงตาของคนตาย เหตุการณ์อย่างนี้เยี่ยเทียนยังไม่เคยได้ยินมาก่อน
“เยี่ยเทียน เธอถามเรื่องนี้ทำไม? ไม่ได้การ ฉันต้องกลับไปที่สถานี……”
ลู่เชินเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่องานมาก พอตื่นขึ้นมา ในสมองก็คิดแต่คดีที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาดึงสายน้ำเกลือออกแล้วลงจากเตียงผู้ป่วย
คดีนี้มีความแปลกประหลาด ถ้าดูจากจุดเกิดเหตุ น่าจะมีคนหนึ่งเกิดบ้าคลั่งขึ้นมาแล้วกัดอีกคนจนตาย แต่ว่าตัวฆาตกรเองก็ตายโดยไร้สาเหตุ
ลู่เชินเคยทำคดีฆาตกรรมมามากมาย แต่ใช้ฟันกัดคนจนตาย เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นสถานีตำรวจเรียกตัวลู่เชินออกมากลางดึก เพราะเกรงว่าผู้คนจะหวาดกลัวต่อคดีฆาตกรรมพิสดารคดีนี้ จึงอยากหาสาเหตุการตายของอีกคนให้เจอโดยเร็ว
“พี่เชิน ตอนพี่สลบไปคุณลุงคุณป้าต่างตกใจกันหมด ลองคิดดูก่อนดีกว่าว่าจะอธิบายกับพวกเขายังไง……”
เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมา อาศัยเวลาที่ลู่เชินกำลังเตรียมใส่รองเท้า เดินไปเปิดประตู อวิ๋นซีและคนอื่นที่รออยู่หน้าประตูอย่างกระวนกระวาย ก้าวเดินเข้ามาข้างในทันที
“เสี่ยวเชิน!”
“คุณ!”
“พ่อ!”
เสียงขานเรียกจากทั้งสามทำให้ลู่เชินที่เพิ่งฟื้นตกตะลึงเล็กน้อย มองเห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าเต็มไปด้วยผมขาวของพ่อกับแม่และดวงตาที่ร้องไห้จนบวมเป่งของภรรยา ดวงตาของชายอกสามศอกผู้นี้ก็เริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าเช่นกัน
เยี่ยตงจู๋เห็นลูกชายไม่เป็นอะไรก็รู้สึกดีใจและงุนงง มองไปยังเยี่ยเทียน ถามว่า
“เสี่ยวเทียน นี่มันเกิดอะไรขึ้น? อีกอย่าง ทำไมสีหน้าของเธอถึงดูแย่ขนาดนี้?”
“ป้ารอง หน้าของผมก็เป็นอย่างนี้ ไม่เห็นต่างจากเมื่อก่อนเลย?”
เยี่ยเทียนฝืนยิ้มและพูดว่า “ป้ารอง ไม่เป็นไรแล้ว พี่เชินแค่ทำงานหนักเกินไป ผมกดจุดเหรินจงไปแล้วพี่เขาก็ตื่น พักผ่อนสักสองวันเดี๋ยวก็ดีขึ้น พวกคุณป้าอย่าให้พี่เขาไปไหนล่ะ……”
หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้นแล้ว เยี่ยตงจู๋แม้ไม่อยากเชื่อเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ใช่เวลาเหมาะจะถามต่อ จึงตอบไปว่า “อืม ถ้างั้นโทรหาพ่อเธอหน่อย โทรหาอาเล็กด้วย ว่าไม่ต้องให้พวกเขามาแล้ว”
“ครับ คุณป้า อยู่เฝ้าพี่เชินนะ บ้านผมกำลังตกแต่งอยู่เลยต้องไปคุมเสียหน่อย ผมไปก่อนนะครับ……”
เมื่อครู่ใช้วิชาไป พลังชี่ดั้งเดิมย่อมได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งพลังพิฆาตในโรงพยาบาลเข้มข้นมาก ไม่เหมาะจะเป็นสถานที่ฟื้นฟูร่างกายสำหรับเยี่ยเทียน หลังจากบอกลาทุกคนเสร็จ เยี่ยเทียนก็เดินออกไปข้างนอก
“จริงสิ พี่เชิน วันหลังถ้ามีคดีอีก พี่ต้องใส่หยกปี่เซียะที่ผมให้พี่ชิ้นนั้นนะ!” เยี่ยเทียนหันกลับไปบอก ก่อนเดินออกจากห้องผู้ป่วย
ถึงแม้เยี่ยเทียนไม่ได้พูดรายละเอียด แต่ลู่เชินและคนอื่นที่อยู่ในห้องผู้ป่วยรู้สึกขนลุกขึ้นมากันหมด อวิ๋นซีอดคว้ามือลู่เชินเอาไว้ไม่ได้ “คุณ คุณไม่ทำงานนี้แล้วดีกว่าไหม? ความจริงเปลี่ยนงานก็ไม่เลวนักหรอก……”
ลู่เชินจับผมของภรรยาเบาๆ เอ่ยปากว่า “อย่าพูดเหลวไหล วันหลังผมออกไปข้างนอกจะพกหยกปี่เซียะไปด้วยแล้วกัน……”
ที่จริงตั้งแต่เยี่ยเทียนให้หยกปี่เซียะกับลู่เชิน เขาก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก บวกกับเขาได้ยินหลิวเวยอันพูดว่าหยกปี่เซียะชิ้นนั้นมีมูลค่าสูงเป็นล้าน จึงกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำแตก
อีกทั้งลู่เชินกลัวว่าเพื่อนร่วมงานจะหัวเราะเยาะหาว่าเป็นพวกงมงาย จึงไม่ได้พกติดตัวไว้ตลอดเวลา แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น ในใจของลู่เชินก็รู้สึกหวาดวิตกขึ้นมาเหมือนกัน
……………………………………
หลังเดินออกมาจากประตูใหญ่ของโรงพยาบาล พระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกดินแล้ว แสงสุดท้ายส่องลงมายังตัวของเยี่ยเทียนทำให้ร่างกายที่เย็นเยียบของเขาสัมผัสถึงไออุ่นที่ส่องมา ใบหน้าอันซีดขาวจึงเริ่มมีสีเลือดขึ้นบ้าง
“ดูเหมือนว่าผลกระทบจากการฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาในครั้งนั้นจะร้ายแรงไม่น้อยทีเดียว!”
เยี่ยเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก พลังชี่ดั้งเดิมเริ่มเคลื่อนไหวและขจัดพลังพิฆาตที่เหลืออยู่ในร่างกายออกไป แต่ถึงอย่างไรก็ยังได้รับผลกระทบจากพลังพิฆาตอยู่บ้าง ไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้ทั้งหมด
ความจริงถ้าเป็นเมื่อสองปีก่อน ด้วยกำลังภายในของเยี่ยเทียนที่มีอยู่ พลังพิฆาตแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้แน่นอน ทว่าเป็นเพราะตอนนั้นเขาช่วยท่านผู้เฒ่าฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาจนทำให้ภายในได้รับบาดเจ็บ ระดับความรุนแรงของพลังพิฆาตเพียงเท่านี้เขายังไม่อาจทนไหว
เขาหยิบมือถือออกมาโทรหาคนที่บ้านแล้วโทรหาพ่อ เยี่ยเทียนกลับไปยังเรือนสี่ประสาน แน่นอนว่าเป็นหลังที่อาเล็กและคนอื่นๆ พักอาศัย หากตรงไปบ้านที่ยังไม่ได้ขจัดพลังพิฆาตออกไป เขาต้องได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน
“เสี่ยวเทียน พี่เชินแกไม่เป็นไรใช่มั้ย? พวกเรากำลังจะไปเยี่ยม ทำไมถึงไม่ต้องไปแล้วล่ะ?”
เพิ่งเข้ามาถึง เยี่ยตงเหมยก็เดินมาหา ตอนนี้ก็ใกล้มืดแล้ว เยี่ยตงเหมยจึงมองไม่เห็นสีหน้าซีดเซียวของเยี่ยเทียน
“อาเล็ก ไม่เป็นอะไรแล้วครับ พี่เชินเขาแค่ทำงานหนักเกินไป พักผ่อนหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น… อาเล็กครับ วันนี้ผมไปข้างนอกมาทั้งวันรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ผมไปนอนก่อนนะครับ เหลือข้าวเย็นให้ผมนิดหน่อยก็พอ ไม่ต้องเรียกผมแล้วล่ะ……”
เยี่ยเทียนฝืนพูดโต้ตอบเพียงไม่กี่คำ แล้วเดินไปหลังบ้านอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงเยี่ยตงเหมยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากกลับมาถึงห้อง เยี่ยเทียนก็หยิบขวดลายครามขึ้นมาจากตู้หนังสือ เทยาที่มีรสชาติเผ็ดร้อนเล็กน้อยออกมาหนึ่งเม็ด ใส่ยาเข้าปากเคี้ยวเสร็จก็กลืนลงไปทันทีโดยไม่ดื่มน้ำตาม
พอยาเม็ดตกถึงท้อง เยี่ยเทียนพลันรับรู้ถึงไอร้อนแผ่ซ่านขึ้นมาจากช่วงท้องน้อย ร่างกายที่เดิมทีเย็นเฉียบกลับกลายเป็นอุ่นขึ้น เยี่ยเทียนถึงค่อยโล่งอกได้ ใช้มือนวดท้องน้อยเบาๆ เพื่อให้ยาออกฤทธิ์
“แค่กๆ ยังดี ยังมียาที่อาจารย์เหลือไว้ให้……”
ยานี้เป็นยาที่หลี่ซั่นหยวนผลิตเองกับมือ ผสมสมุนไพรสารพัดไว้ข้างใน ล้วนเก็บเองกับมือจากป่าลึกของเหมาซานโดยหลี่ซั่นหยวน
ดังนั้นแม้ท่านผู้เฒ่าจะทิ้งวิธีทำไว้ให้ แต่เยี่ยเทียนก็ไม่สามารถผลิตออกมาได้เลยสักเม็ด นั่นเป็นเพราะส่วนผสมของยาที่ขายตามร้านยาล้วนถูกผลิตขึ้นโดยมนุษย์ จึงไม่สามารถออกฤทธิ์ยาที่แท้จริง
รอจนฤทธิ์ยากระจายทั่วท้อง เยี่ยเทียนจึงเก็บขวดยาอย่างระมัดระวัง ยานี้ไม่เพียงเป็นยาชั้นดี แต่สำหรับเยี่ยเทียน มันยังเป็นสิ่งเอาไว้รำลึกถึงอาจารย์ด้วย
เก็บขวดลายครามเสร็จ เยี่ยเทียนไม่ได้ออกไปข้างนอกในทันที แต่กลับขึ้นไปบนเตียง พับขาแล้วเริ่มนั่งสมาธิ พอสัมผัสได้ว่าร่างกายปราศจากความเย็นแล้วเยี่ยเทียนก็ลงจากเตียง หยิบของขลังจากหยกหลายชิ้นออกมาจากตู้หนังสือ เก็บเข้ากระเป๋าเสื้อผ้าเสร็จ ก็เปิดประตูเดินตรงไปหน้าบ้าน
“เสี่ยวเทียน ตื่นแล้วหรือ อาไปอุ่นกับข้าวให้นะ……”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินมาถึงหน้าบ้าน เยี่ยตงเหมยก็รีบไปจัดการในครัว เพราะเมื่อค่ำพี่รองโทรศัพท์มาบอกว่าเยี่ยเทียนสีหน้าไม่สู้ดีนัก ให้ทำกับข้าวบำรุงหน่อย ด้วยเหตุนี้เยี่ยตงเหมยจึงไปตลาดผักสดเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
“พี่จ๋า หนูเอารูปถ่ายของพี่ให้เพื่อนดู พวกเขาบอกว่าตอนพี่ผมขาวดูเท่มาก!”
หลานหลานที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงจึงวิ่งออกมา เด็กผู้หญิงอายุประมาณนี้กำลังเป็นวัยติดไอดอล แต่สำหรับหลิวหลานหลาน ต่อให้เป็นสี่หนุ่มจตุรเทพแห่งฮ่องกง ก็ยังสู้ความหล่อของพี่ชายไม่ได้
“ใครกันจะอยากผมขาวตลอดเวลา?” เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะหนึ่งเสียง ตีหน้าขรึมพูดว่า
“ไปเรียนคำศัพท์นี้มาจากไหนเนี่ย? เท่อะไรกัน รีบไปทำการบ้าน ไม่งั้นเดี๋ยวอาเล็กมาก็โดนดุอีกหรอก!”
“หนูไม่กลัวหรอก พี่ชาย วันอาทิตย์พี่ชายกับพี่สะใภ้ต้องพาหนูไปเที่ยวนะ……” หลิวหลานหลานหัวเราะอย่างร่าเริง เห็นแม่เดินออกมาจากในครัว ก็แลบลิ้นปลิ้นตาวิ่งกลับเข้าห้องนอน
เวลาเยี่ยเทียนกินข้าว มักให้ความสำคัญกับคุณประโยชน์ของอาหารมาก แต่จะไม่ยี่หระกับรสชาติสักเท่าไหร่ เขาเอาจานเนื้อวัวกับเนื้อแกะมารวมอยู่ในจานเดียวกัน กินกับหมั่นโถวสองลูก ผ่านไปชั่วครู่ก็กินจนหมด
“เสี่ยวเทียน ดึกขนาดนี้แล้วยังจะออกไปข้างนอกอีกหรือ?” เห็นเยี่ยเทียนกินข้าวเสร็จแล้วเดินออกไป เยี่ยตงเหมยตะโกนเรียกจากทางด้านหลัง
“อาเล็ก กินเสร็จแล้วขอไปเดินเล่นข้างนอกสักครู่นะครับ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว……”เยี่ยเทียนตอบกลับไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินออกไป
เลี้ยวผ่านไม่กี่ตรอกซอย เยี่ยเทียนก็มาถึงริมถนน โบกมือเรียกแท็กซี่ได้หนึ่งคัน พูดว่า”ไปโรงพยาบาลเฉาหยางครับ”
เยี่ยเทียนเติบโตมาจนขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นสมัยใส่กางเกงเปิดเป้าหรือต่อยตีกับคนอื่น หรือตอนติดตามท่านผู้เฒ่าไปในยุทธภพ นอกจากหลุมพรางที่ตัวเองขุดตอนทำพิธีฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาแล้ว เขาไม่เคยเสียเปรียบเลยสักครั้ง
แต่ครั้งนี้ฝ่ายตรงข้ามถึงกับหาเรื่องญาติสนิทตัวเอง อีกทั้งยังทำร้ายพลังชี่ดั้งเดิมของเขาทางอ้อม ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็ยอมไม่ได้
ตอนที่ 194
สุสานหมู่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ติดตามนักพรตเต๋าท่องยุทธภพตั้งแต่ยังเด็ก แม้นั่นจะบ่มเพาะให้เยี่ยเทียนมีนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ก็มีลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งของชาวยุทธภพด้วยเช่นกัน นั่นคือหากมีแค้นย่อมต้องชำระ!
ในวิถีชีวิตหมอดูฮวงจุ้ยนับแต่สมัยโบราณ ล้วนค่อนข้างปกปิดความสัมพันธ์ คลุกคลีกับคนทั่วไปค่อนข้างน้อย ด้วยเหตุนี้จึงมักมีนิสัยสุดโต่ง
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น หลี่ซั่นหยวนอาจารย์ของเยี่ยเทียนเองก็มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นมาแต่ไหนแต่ไร คนที่ทำร้ายเขา ล้วนต้องพบจุดจบอย่างอ้างว้าง เช่นเดียวกับสำนักชวนจงเจียง ที่ถูกหลี่ซั่นหยวนในวัยเยาว์สังหารจนสิ้น
เมื่อถึงวัยชรา หลี่ซั่นหยวนได้ศึกษาตำรานักพรต อุปนิสัยจึงค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้พอเยี่ยเทียนอายุสิบปีจึงพาเขาไปท่องในยุทธภพ ด้วยไม่อยากให้เยี่ยเทียนเจริญรอยตามความผิดพลาดของเขาในช่วงวัยรุ่น จนกลายเป็นคนมีนิสัยก้าวร้าวรุนแรง
แต่ว่าสถานะของหมอดูฮวงจุ้ยในยุทธภพ แต่ไหนแต่ไรล้วนอยู่เหนือข้อพิพาทใดๆ น้อยนักจะมีคนกล้ามาก่อความวุ่นวาย ทว่าต่อให้เป็นคนในสายงานเดียวกัน หากมีบุญคุณความแค้นเกี่ยวพัน ก็จะรบรากันจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง
เยี่ยเทียนออกบวชเมื่ออายุสิบขวบ หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ยังไม่เคยพบคนในแวดวงเดียวกัน ปัจจุบันเมื่อพบเข้า กลับเป็นวิชามารทำร้ายคน และที่ทำให้เยี่ยเทียนขุ่นเคืองยิ่งไปกว่านั้น คือคนที่ได้รับบาดเจ็บกลับเป็นตัวเขาเอง!
“พี่ครับ ถึงแล้ว จอดตรงนี้เลย” ตอนรถเข้ามาถึงประตูใหญ่โรงพยาบาลเฉาหยาง เยี่ยเทียนก็ส่งเงินสิบหยวนให้แก่คนขับรถ ผลักประตูรถแล้วเดินลงมา
ตอนนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว โรงพยาบาลที่คึกคักในเวลากลางวัน ปัจจุบันได้เงียบสงบลง กระทั่งพ่อค้าแม่ค้าร้านเล็กๆ ที่ขายดอกไม้และผลไม้อยู่ตรงประตูยังหายไปไม่มีให้เห็น ให้ความรู้สึกเยือกเย็นเงียบสงัดราวกับป่าช้า
พลังหยินร้ายในโลกนี้แบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือหยินร้ายที่ก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติระหว่างฟ้าดิน พลังหยินร้ายประเภทนี้ถึงแม้มีอันตรายต่อคน แต่หากพลังร้ายนั้นไม่เข้มข้น โดยทั่วไปจะไม่อาจทำร้ายคนได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
และนอกจากพลังชั่วร้ายประเภทนี้ ยังมีชนิดที่ก่อตัวขึ้นหลังจากมนุษย์ตายลง ชาวตะวันออกเรียกว่าภูตผี แต่ชาวตะวันตกกลับเรียกว่าจิตวิญญาณ ทว่าปรากฎการณ์เช่นนี้มีอยู่จริงหรือไม่ ยังคงมีการโต้เถียงด้านวิชาการอย่างกว้างขวางพอสมควร
คนที่คิดว่าไม่มีวิญญาณไร้ซึ่งข้อพิสูจน์มายืนยัน ส่วนคนที่คิดว่ามีวิญญาณอยู่บนโลก ก็ไม่มีพยานหลักฐานเช่นเดียวกัน เพราะเหตุนั้นจึงถกเถียงกันไม่หยุดเป็นเวลาหลายสิบปี ชนิดที่ใครก็ไม่อาจเอาชนะอีกฝ่าย
แต่เยี่ยเทียนรู้ว่า หลังจากคนตายไปแล้ว ย่อมมีพลังชั่วร้ายแผ่ออกจากร่างมาอย่างแน่นอน แต่พลังร้ายที่อยู่บนตัวประเภทนี้ ปราศจากความนึกคิดใดๆ
เช่นเดียวกับที่มีคนพูดว่าเห็นคนเพิ่งตายในชนบทอยู่บ่อยครั้ง ความจริงเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากพลังร้ายของคนตายจนเกิดภาพหลอน ไม่ใช่วิญญาณจริงๆ
หากอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ พลังร้ายจากคนตายเหล่านี้จะสลายไปอย่างรวดเร็ว
แต่ถ้าพลังเหล่านี้กักเก็บอยู่ในสถานที่มืดครึ้มหนาวเย็นตลอดเวลา กลับสามารถสมานตัวได้เป็นเวลายาวนาน แล้วยังหลอมรวมซึ่งกันและกันได้ และสถานที่อันเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ง่ายที่สุด ย่อมไม่มีที่อื่นนอกจากโรงพยาบาล
อาจมีผู้อ่านหลายคนรู้สึกขนหัวลุกอยู่พักหนึ่งตอนผ่านประตูทางเข้าโรงพยาบาลเวลากลางคืน ราวกับมีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่ตัวเองจากในมุมมืดของโรงพยาบาล จนต้องเพิ่มความเร็วฝีเท้า
ความจริงแล้วนั่นเกิดจากพลังหยินร้ายภายในโรงพยาบาล แสงแดดในตอนกลางวัน จะสกัดกั้นพลังร้ายเอาไว้ แต่พอถึงตอนกลางคืน พลังหยินร้ายเหล่านั้นจะล่องลอยออกมา
เรื่องเล่าที่ว่าเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ นั้นเป็นเพียงเพราะคนจิตอ่อนได้รับพลังหยินร้ายเข้าไปจนเกิดภาพลวงตา แค่ผู้คนอยากเชื่อเรื่องผี จึงไปดูพวกภาพยนตร์ผีเพื่อกระตุ้นประสาทตัวเอง
โรงพยาบาลเฉาหยางตั้งอยู่บนถนนเฉาหยางเหนือ ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาลเขตเฉาหยาง ห่างจากซานหลี่ถุนไม่ไกลนัก แม้คนเดินถนนจะมีไม่มาก แต่รถที่วิ่งไปมากลับหนาแน่นทีเดียว
หลังจากลงรถแท็กซี่ เยี่ยเทียนก็ยืนอยู่หน้าประตูโรงพยาบาลครู่หนึ่ง ปฏิกิริยาโต้ตอบพลังหยินหยางของเขาเหนือชั้นกว่าคนธรรมดา ไม่ต้องเข้าไปในโรงพยาบาล ก็สามารถสัมผัสถึงพลังร้ายอันหนาวเหน็บได้
เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “หากอาศัยพลังร้ายภายในโรงพยาบาลจัดวางค่ายกลนับว่าพอเป็นไปได้ แต่พี่ชายบอกว่าเขาอยู่ในตรอกด้านหลังโรงพยาบาลนี่นา? ช่างเถอะ ไปดูสักหน่อยแล้วกัน”
หลังจากยืนอยู่หน้าประตูโรงพยาบาลสักพัก เยี่ยเทียนก็เดินตรงไป ลัดเลาะตามกำแพงที่ล้อมรอบโรงพยาบาล แล้วเข้าไปในซอยเล็กซอยหนึ่ง
ฝั่งตรงข้ามรั้วเป็นบ้านเรือนเก่าแก่ ตรงกลางซอยมีลักษณะแคบมาก คนเดินมากสุดได้แค่สามคน หากเป็นคนขวัญอ่อน ในช่วงตอนกลางคืนคงไม่กล้าเดินจากจุดนี้ ยิ่งหลังจากเกิดคดีฆาตกรรมเมื่อวานแล้วยิ่งไม่เห็นคนเดินถนนแม้แต่คนเดียว
ตอนเยี่ยเทียนหันกลับไปทางด้านหลังโรงพยาบาล ก็ออกจากซอยมาแล้ว ที่นี่เป็นชุมชนเล็กชุมชนหนึ่ง ข้างถนนมีไฟตามถนนส่องสว่าง ด้านหน้าของเยี่ยเทียน มีลานบาสเกตบอลที่ไม่ใหญ่นักอยู่หนึ่งลาน
“หือ? เกิดอะไรขึ้น?”
แม้ตรงนั้นจะสว่างกว่าในซอยมาก แต่ทันทีที่ออกมาจากซอย หนังศีรษะของเยี่ยเทียนกลับรู้สึกชาวูบ ขนลุกขึ้นมาทั้งตัว พลังชีวิตภายในร่างปั่นป่วน ราวกับจะพุ่งออกมาจากร่างกาย!
ภายใต้ความรู้สึกแปลกประหลาด เยี่ยเทียนรีบควบคุมพลังชีวิตของตัวเอง หลังจากรวบรวมพลังชีวิตที่กระจัดกระจายออกมากลับเข้าสู่ร่างอย่างยากลำบากแล้ว จึงได้จ้องมองไปยังข้างหน้า ทันทีที่ได้เห็น ก็อดสูดหายใจอย่างตกตะลึงไม่ได้
เยี่ยเทียนพบว่า สถานที่ถัดจากลานบาสเกตบอลที่ตนเองยืนอยู่ห่างออกไปสามเมตรมีพลังหยินตลบอบอวลไปทั่ว กระถางดอกไม้ในลานบาสเกตบอลที่อยู่ใกล้ตำแหน่งของตน ยังร่วงโรยจนแทบจะตายกันหมด
กระถางดอกไม้ทางด้านขวา มีเส้นเตือนเขตห้ามเข้าสีเหลืองเส้นหนึ่งขึงเอาไว้ เยี่ยเทียนรู้ว่าที่นี่คงจะเป็นสถานที่เกิดคดีโหดเมื่อวานนี้ ทว่าศพถูกเคลื่อนย้ายไปนานแล้ว บนพื้นยังคงมีคราบสีดำจากกองเลือด
นอกจากไฟบนถนนที่อยู่ห่างไปสิบกว่าเมตร ยังมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งกินลมชมวิว แต่จุดที่เยี่ยเทียนยืนอยู่ ไม่มีคนเลยสักคนเดียว กระทั่งเวลามีคนเดินผ่านมาบ้างสักสองสามคน ยังจงใจเดินบนขอบทาง
“ที่……ที่นี่คือพื้นที่หยินตามธรรมชาติ แล้ว ยัง……ยังเป็นที่เกิดเรื่องวันก่อนอีก”
พอสัมผัสถึงพลังหยินร้ายหนาวเหน็บอันเข้มข้น เยี่ยเทียนก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ พลังหยินที่นี่หนาแน่นจนแทบถึงแก่น ทั้งยังเข้มข้นกว่าแม้ในสุสานศพไร้ญาติที่เยี่ยเทียนเคยนอนหลายเท่า
“ไม่ใช่ นี่คือพลังร้ายหลังจากคนตาย!”
วิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็ได้คำตอบออกมา แต่ใบหน้ากลับเผยสีหน้าตกตะลึง พื้นที่โดยรอบกว่าหลายสิบเมตรนี้กลายเป็นดินแดนแห่งความตาย จะต้องมีคนตายมากเท่าไหร่ถึงรวบรวมพลังร้ายรุนแรงได้ขนาดนี้?
“สุสานหมู่?!”
สายตามองไปยังพื้นที่ด้านหน้าซึ่งถูกพลังชั่วร้ายปกคลุม เยี่ยเทียนถึงกับหนาวสะท้าน ในสมองผุดคำหนึ่งขึ้นมา หากว่าเขาเดาไม่ผิด น่ากลัวว่าใต้พื้นที่ตรงนี้ลงไปสามฉือ(ราวสามฟุต) จะเป็นที่ซ่อนโครงกระดูกคนตายจำนวนนับไม่ถ้วน
พื้นที่อย่างนี้ หากไม่นำโครงกระดูกทั้งหมดที่อยู่ใต้ดินออกมา พลังหยินคงไม่อาจสูญสลายไป คนที่ร่างกายอ่อนแอเมื่อผ่านมาตรงนี้ ไม่แน่ว่าอาจเกิดภาพหลอนจนกำเนิดเรื่องเล่าว่าเห็นผี!
ต่อให้เป็นเยี่ยเทียน ยืนอยู่ตรงนี้เป็นเวลานานยังทนไม่ค่อยได้ หลังครุ่นคิดอยู่สักพัก เยี่ยเทียนก็เดินเลาะตามไฟที่อยู่ริมถนนไกลออกไป
ทันทีที่ออกห่างจากพลังชั่วร้ายเหล่านั้น ความอบอุ่นก็กลับเข้าสู่ร่างกายของเยี่ยเทียนอีกครั้ง ระยะทางแสนใกล้แต่รู้สึกไกลราวขอบฟ้า แต่ละย่างก้าวส่งผลให้เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนน้ำแข็งปะทะเข้ากับไฟ
ผู้คนที่กำลังเล่นไพ่อยู่ใต้แสงไฟริมถนนเหล่านั้น แทบไม่ได้รับผลกระทบจากพลังร้ายในระยะไกลเลย เช่นเดียวกับในคืนฤดูร้อนรอบเมืองซื่อจิ่วเฉิง ข้างกายของแต่ละคนจะมีเบียร์และแตงโมวางไว้อยู่บนก้อนอิฐ ต่างตะโกนโห่ร้องอย่างมีชีวิตชีวา
เยี่ยเทียนพูดด้วยสำเนียงปักกิ่ง นั่งตรงขอบริมถนนเฝ้าสังเกตการณ์ไพ่ไปด้วย ส่งเสียงชื่นชมไพ่ดีออกมาเป็นระยะ จึงตีเนียนเข้ากลุ่มนี้ได้อย่างง่ายดาย
“พี่ชาย…ได้ยินว่าเมื่อวานมีคนตายที่ตรงนั้น เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” เยี่ยเทียนแสร้งทำท่าตามสบาย เอ่ยปากถามชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างตัว
ชายวัยกลางคนซึ่งกำลังเล่นไพ่พอได้ยินคำพูดของเยียเทียนแล้ว ก็เหลือบตามองไปยังพื้นที่ไกลออกไป แล้วดึงสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว พูดพลางกดน้ำเสียงต่ำว่า “ฆาตกรรมน่ะ ว่ากันว่าถูกกัดตาย แต่ฉันว่าต้องถูกผีรัดจนขาดใจตายอย่างแน่นอน ทุกปีที่นั่นจะต้องมีคนตายสักสองสามคน”
“มันเป็นที่อะไรกันครับ? เป็นผีร้ายจากโรงพยาบาลออกมารัดตัวคนใช่ไหม” เยี่ยเทียนทำท่าสงสัย
“เกี่ยวอะไรกับโรงพยาบาลล่ะ น้องชายไม่ใช่คนที่นี่ล่ะสิท่า?” ชายวัยกลางคนเอียงคอมองมายังเยี่ยเทียน
“ปู่ของผมอาศัยอยู่ที่นี่ครับ เพิ่งมาได้ไม่นาน ได้ยินว่ามีคนตายที่นั่น เลยมาดูเหตุการณ์…”
“มิน่าล่ะเธอถึงไม่รู้ กลับไปถามปู่ของเธอต้องรู้แน่นอน ก่อนหน้านี้ที่นี่เป็นโรงงานของชาวญี่ปุ่น ได้ยินมาว่าฆ่าคนตายไปไม่น้อยเลย ตอนกลางคืนจะมีผีญี่ปุ่นเร่ร่อนไปทั่ว ไม่มีใครกล้าเดินไปแถวนั้นหรอก!”
หลังจากคนด้านข้างได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคน ก็พูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “เหล่าสวี่ พูดถึงเรื่องนี้ทำไม ฉันขนลุกไปหมดแล้ว”
“ได้ ไม่พูดก็ได้ พวกเราเล่นไพ่กันต่อเถอะ ต้าหวัง!” ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็ไม่อยากพูดอะไรมากเช่นกัน หันศีรษะกลับไป ไม่สนใจเยี่ยเทียนอีก
“ดูเหมือนเราจะทายไม่ผิด ใต้ดินนี้ต้องเป็นสุสานหมู่แน่นอน!” เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นยืน เดินกลับไปทางนั้นอีกครั้ง
เดิมทีศาสนาพุทธว่าด้วยเรื่องเหตุและผล ส่วนลัทธิเต๋าว่าด้วยชะตากรรม เยี่ยเทียนไม่ใช่พระพุทธรูป ทั้งยังไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องเข้าไปยุ่ง แต่เรื่องนี้กลับเกี่ยวพันกับเขา เยี่ยเทียนจึงไม่ยุ่งไม่ได้
พอเข้าสู่พื้นที่มีสิ่งชั่วร้ายคราวนี้ เยี่ยเทียนกลับใช้วิชา พลังร้ายอันมืดมัวที่คนธรรมดามองไม่เห็นนั่น ปรากฎสู่สายตาของเขาในทันใด
และร่างของเยี่ยเทียน ก็ค่อยๆ จางหาย ราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งชั่วร้ายในพื้นที่นี้ หากมองจากที่ไกล แทบจะมองไม่เห็นเงาร่างของเยี่ยเทียน
“เฮ้ เหล่าสวี่ คนเมื่อกี้ล่ะ?” ขณะที่ร่างของเยี่ยเทียนค่อยๆ หายไปท่ามกลางพลังชั่วร้ายนั้นเอง คนหนึ่งที่มีเศษกระดาษติดปากอยู่หันไปถามชายวัยกลางคน
เหล่าสวี่ชี้ไปยังทิศทางที่เยี่ยเทียนเพิ่งจากไป ยิ้มตอบว่า“คงเดินไปทางด้านนั้นล่ะมั้ง วัยรุ่นใจกล้าอยากรู้อยากลอง สงสัยอยากไปดูสถานที่ฆาตกรรม กลัวแต่คืนนี้เขาจะกลับไปนอนฝันร้ายแหละ!”
“เอ๋ ไม่จริงน่ะ หายไปไหนแล้ว?” สิ้นเสียงของเหล่าสวี่ ก็พบว่าเยี่ยเทียนหายไปไม่เห็นตัวแล้ว อดจ้องตากับสองสามคนที่ประจันหน้ากันอยู่ไม่ได้
“ผี! ผีนี่หว่า !!!”
ตั้งแต่เยี่ยเทียนจากไปจนไม่เห็นตัว เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที และสถานที่ตรงนั้นเป็นที่โล่งกว้าง อย่างไรก็ไม่สามารถซ่อนตัวได้ ผู้ชายไม่กี่คนซึ่งกำลังเล่นไพ่อยู่นั้นรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาทันใด หลังจากมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ต่างก็วิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง
ตอนที่ 195
คนคุ้นเคย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เรื่องนี้ชักจะยุ่งยากแล้วสิ……”
พอมาถึงสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยพลังชั่วร้ายนี้ คิ้วของเยี่ยเทียนก็ขมวดมุ่นหนัก พลังชั่วร้ายที่นี่เข้มข้นมาก แค่ถูกกระตุ้นเพียงเล็กน้อย ยังอาจทำให้คนถึงที่ตาย บวกกับตอนกลางวันตำรวจได้มาสำรวจในที่เกิดเหตุแล้ว เยี่ยเทียนจึงแทบหาร่องรอยใดๆ ไม่เจอ
ค่ายกลของผู้มีวิชา โดยปกติจะยังพอเหลือพลังชีวิตฟ้าดินอยู่บ้าง เพียงแต่พลังชีวิตส่วนนั้น ถูกพลังชั่วร้ายในพื้นที่นี้โจมตีกระจายสลายไปหมด ต่อให้เยี่ยเทียนมีความสามารถมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถมองค่ายกลของคนผู้นั้นออก
“หืม? นี่คืออะไร?”
ในขณะที่เยี่ยเทียนเดินมายังตำแหน่งเส้นกั้นของตำรวจ พลันพบว่าด้านข้างกระถางต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา ราวกับมีผงสีขาวบางส่วน เยี่ยเทียนข้ามเส้นกั้นของตำรวจเดินไปยังบริเวณนั้น ก้มลงใช้มือแตะหยิบมาวิเคราะห์ต่อสายตา
เยี่ยเทียนมองแวบเดียวก็รู้ที่มาของผงแป้ง อดตกตะลึงไม่ได้ “ผงของหินหยก นี่……นี่คือเศษที่หลงเหลือจากการปรับใช้ค่ายกล!”
จนถึงตอนนี้เยี่ยเทียนสามารถมั่นใจได้แล้วว่า คดีกัดคนตายที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เป็นคดีฆาตกรรมที่มีการไตร่ตรองไว้ก่อนอย่างแน่นอน เยี่ยเทียนปัดแป้งในมือ ถอนดึงดอกไม้ใบหญ้าที่เหี่ยวเฉาเพื่อเสาะหาโดยอิงจากตำแหน่งเมื่อครู่
หลังจากค้นหาสักพัก เยี่ยเทียนพบว่า ในระยะเก้าเมตรที่พบผงแป้งกองแรก มีผงแป้งจากหินหยกทั้งหมดเก้าชิ้น พลังวิญญาณจากเศษหินหยกสลายไปจนสิ้น มองแล้วไม่ค่อยแตกต่างจากปูนขาวสักเท่าไหร่ ด้วยสาเหตุนี้จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของตำรวจ
แต่พอเยี่ยเทียนเห็นตำแหน่งของหินหยกเหล่านี้ กลับอดสบถคำหยาบคายออกมาไม่ได้ “แม่เอ๊ย ทำไมถึงเป็นไอ้หนูคนนี้อีกแล้ว?”
ไม่มีสาเหตุอื่น ค่ายกลหินหยกนี้เยี่ยเทียนเคยพบมาก่อน ซึ่งก็คือค่ายกลห้าผีทะลวงตำหนักที่พบในต้าซิ่งเมื่อคราวก่อนนั่นเอง แต่การออกแบบไม่ประณีตเท่าครั้งที่แล้ว เพียงสามารถกระตุ้นพลังชั่วร้ายเข้าสู่ร่างกายได้เท่านั้น
แต่พื้นที่พลังหยินระดับนี้ ความรุนแรงที่ชัดเจนเช่นนี้ถือว่ามากพอ เมื่อมีพลังชั่วร้ายอันเข้มข้นถึงแก่น ขอเพียงกระตุ้นมันออกไป ชั่วพริบตาก็สามารถทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนเสียสติ หากร่างกายอ่อนแอ เรื่องเสียชีวิตคาที่ยังใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เยี่ยเทียนเดินมาถึงกลางค่ายกล ค่อยๆ หลับตาลง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าหนู อย่าให้ฉันเจอนายในปักกิ่งเชียว!”
ถึงแม้ผู้ใช้ค่ายกลจะยอดเยี่ยมไร้ที่ติแค่ไหน ก็มักเหลือร่องรอยของคนเป็นไว้ส่วนหนึ่ง และบนร่างของคนเช่นนี้น่าจะไม่ได้มีเพียงชีวิตเดียว แถมยังสามารถครอบครองพลังหยินร้ายอันไม่ธรรมดา ด้วยการตรวจสอบเมื่อครู่ของเยี่ยเทียน กลับเสาะหาข้อมูลชนิดนี้ออกมาได้
แต่สุดท้ายแล้วเยี่ยเทียนก็ไม่ใช่เทพเซียน เขาไม่สามารถอาศัยข้อมูลเหล่านี้ตามหาคนที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งสิ่งที่จับต้องได้มีน้อยเกินไป ต่อให้นำไปเสี่ยงทาย ก็ไม่ได้เบาะแสอะไรเลย
ภายใต้สถานการณ์อับจนหนทาง เยี่ยเทียนได้แค่หันหลังจากไป เพียงแต่หลังเขาไปวันต่อมา สถานที่แห่งนี้ก็มีข่าวผีออกอาละวาดขึ้นมาใหม่ ว่ากันว่าเป็นผีหนุ่มผมขาว มานั่งเล่นไพ่ด้วยกันกับเหล่าชายชรา
จากนั้นไม่นาน เนื่องจากบริษัทวางระบบท่อน้ำ จำเป็นต้องผ่านจุดนี้ หลังจากขุดพื้นดินลึกลงไปสามฉือแล้ว การค้นพบอันน่าตกตะลึงก็ถูกเปิดเผย
มีสุสานหมู่ปรากฏในพื้นที่ที่รัศมีสิบเมตรแห่งนี้ อีกทั้งกระดูกในหลุมศพก็ยังไม่เน่าเปื่อยเสียทั้งหมด เมื่อคำนวณตามช่วงเวลาแล้ว น่าจะเกิดก่อนเหตุการณ์ปลดแอก
จากการตรวจสอบ ณ จุดนี้คือซากโรงงานที่สร้างขึ้นโดยชาวญี่ปุ่น เรื่องนี้จึงเข้าใจกันได้ และด้วยสาเหตุนี้จึงมีกระแสคว่ำบาตรสินค้าญี่ปุ่นในหมู่ประชาชน แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เล่ากันมาในภายหลัง
…………
ความโชคร้ายสองครั้งติดของลู่เชินเกิดจากคนคนเดียว เท่าที่เยี่ยเทียนมอง เขาต้องมีธาตุทั้งห้าสัมพันธ์กับคนนี้ ไม่แน่ว่าวันหลังอาจต้องพบกันอีก แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนเองยังไม่สามารถทำอะไรได้ แค่รับมือในเหตุการณ์เฉพาะหน้า
กลับมานอนหลับเต็มอิ่มที่เรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนตื่นขึ้นเองตอนตีห้ากว่า ฝึกค่ายกลที่ด้านหลังเรือนหนึ่งรอบ ตอนเตรียมตัวออกเดินเล่นก็เป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าแล้ว
พอเดินมาถึงเรือนด้านหน้า เยี่ยเทียนเห็นพ่อล้างหน้าแปรงฟันอยู่กลางบ้าน จึงอดถามขึ้นอย่างแปลกใจไม่ได้ “ พ่อ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
เมื่อวานตอนคุยโทรศัพท์กับเยี่ยตงผิง เขายังบอกว่ารออีกสองสามวันจึงจะกลับ ทำไมผ่านไปแค่คืนเดียว ก็กลับมาถึงบ้านแล้วล่ะ?
ปากของเยี่ยตงผิงเต็มไปด้วยฟอง พูดเสียงอู้อี้ว่า “กลับมาเมื่อคืน วันนี้มีนัดกับคนเพื่อดูของ เอ้อ พ่อว่าถ้าลูกไม่มีธุระอะไรก็ไปเป็นเพื่อนพ่อเถอะ……”
“ผมดูของโบราณไม่เป็น จะไปกับพ่อทำไมล่ะครับ? ไม่ไปหรอก ตอนสายๆ ผมมีธุระ……” เยี่ยเทียนปฏิเสธไปตรงๆ เดี๋ยวตัวเขาต้องตรงไปคุมงานทางเรือนสี่ประสาน จะเอาเวลาไหนไปดูของโบราณกัน
“เฮ้ๆ พ่อว่าลูกอย่าไปเลย……”
พอเห็นลูกชายก้าวขาจะออกไปข้างนอก เยี่ยตงผิงตามไปทั้งแปรงสีฟันคาปาก รั้งตัวเยี่ยเทียนพลางพูดว่า “มันเป็นของที่ขุดมาจากดิน ข้อแรกพ่อดูไม่ค่อยชัด ข้อสองกลัวว่าเป็นของขโมยมา ลูกไม่ไปดูหน่อยหรือว่าพ่อจะโชคร้ายหรือเปล่า?”
เดิมทีอีกสองสามวันเยี่ยตงผิงถึงจะกลับปักกิ่ง แต่หลังจากได้รับโทรศัพท์เมื่อคืน เพื่อนสนิทที่ซูโจวโทรมา บอกว่าเพื่อนสองสามคนที่ขุดหลุมฝังศพตอนนี้อยู่ที่ปักกิ่ง ในมือมีสินค้าต้องการปล่อยโดยเร็ว
เพื่อนที่ซูโจวนั้นติดธุระมาไม่ได้ จึงแนะนำคนให้กับเยี่ยตงผิง แต่พวกนั้นก็รีบร้อนจะไปจากปักกิ่ง มีเวลาแค่ช่วงสายวันนี้เท่านั้น
เยี่ยตงผิงรู้ว่าความหมายของ “คนขุดหลุมศพ” ก็คือหากินกับคนตาย คนที่ขโมยของในหลุมศพพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วมีของที่ล้ำค่าอยู่จริง อีกทั้งราคาที่รับของมาก็ต่ำ ดังนั้นเยี่ยตงผิงจึงรีบกลับมาจากเหอเป่ยภายในคืนเดียวกัน
หลังจากที่ฟังคำพูดของพ่อ เยี่ยเทียนก็พูดทีเล่นทีจริง “พ่อ เดี๋ยวนี้เอาทุกทางเลยเหรอ? กระทั่งของพวกนี้ก็กล้าเล่นด้วยเหรอ?”
เห็นลูกชายมีท่าทีแปลกๆ เยี่ยตงผิงก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แกนี่ไปเอาคำพูดเหลวไหลพวกนี้มาจากที่ไหน? ถึงพ่อไม่รับคนอื่นเขาก็รับ อยู่ในมือพ่ออย่างน้อยยังขายภายในประเทศ หากคนอื่นซื้อไป ไม่แน่อาจถูกขายต่อต่างประเทศก็ได้นะ……”
เยี่ยตงผิงพูดถูก พอวงการวัตถุโบราณเฟื่องฟูยิ่งขึ้น พวกปล้นสุสานลักขโมยวัตถุทางวัฒนธรรมก็ออกอาละวาดมากขึ้นตามมา
สินค้าหลายอย่างที่ขายในประเทศไม่ได้ราคา พอไปต่างประเทศของเหล่านี้กลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่า กำไรมหาศาลทำให้หลายคนเริ่มเสี่ยงยิ่งขึ้น กระทั่งชาวนาถือจอบเสียมบางคนยังเปลี่ยนเส้นทางไปปล้นสุสาน
เช่นเดียวกับเยี่ยตงผิงที่เปิดร้านที่ผานเจียหยวน ประมาณสองสามวันจะมีคนท่าทางลับๆ ล่อๆ มาขายของถึงหน้าร้าน แม้ในจำนวนนั้นจะเป็นสิบแปดมงกุฎ “หลอกเอาเงิน”อยู่บ้าง แต่ย่อมมีของดีที่ขุดมาจากดินแน่นอน
แม้ว่าเมื่อต้นปีจะมีการปราบปรามโจมตีโจรหลุมศพในประเทศ แต่นอกจากส่านซีที่มีผลกระทบค่อนข้างหนัก ที่อื่นต่างก็ปิดหูปิดตา การซื้อและขายสมบัติทางวัฒนธรรมโดยพละการ ในวงการจึงแทบกลายเป็นเรื่องปกติ
ช่วงเริ่มต้นเยี่ยตงผิงยังต่อต้านอยู่บ้าง แต่พอเห็นคนอื่นขายได้เป็นกอบเป็นกำ ก็อดไหลตามกระแสไปไม่ได้
หลังจากฟังพ่ออธิบายเสร็จ เยี่ยเทียนก็พยักหน้าพูดว่า “ก็ได้ งั้นผมไปดูกับพ่อ แต่พ่อ ของที่ฝังกับคนตายพวกนี้พ่ออยู่ห่างๆ ไว้ดีกว่า……”
เยี่ยเทียนไม่มีความเห็นใด ๆ ต่อการขายสมบัติทางวัฒนธรรมที่ขุดขึ้นมา หากไม่มีโจรปล้นหลุมศพ ไหนเลยบนโลกนี้จะมีวัตถุโบราณมากมายให้คนได้ชื่นชม ถ้ามองในจุดนี้ คนเหล่านี้ต่างหากที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของตลาดวัตถุโบราณ
แต่ว่าสมบัติเหล่านี้อยู่ใต้ดินเป็นเวลาหลายปี ปนเปื้อนต่อพลังชั่วร้ายได้ง่ายคลุกคลีนานไปอาจไม่ส่งผลดีต่อร่างกายเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้เยี่ยเทียนจึงเตือนสติพ่อสักสองสามประโยค
“หลอกพ่อให้มันน้อยๆ หน่อย บนตัวพ่อมียันต์คุ้มกันที่แกให้ไว้ไม่ใช่หรือไง?”
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกชาย เยี่ยตงผิงก็ยกแขนเสื้อของเขาขึ้น บนเข็มขัดรอบเอวเขา ห้อยจี้หยกป้องกันผีที่เลื่องลืออยู่ เป็นเยี่ยเทียนมอบให้เขานั่นเอง
หลังจากเหตุการณ์ที่เยี่ยเทียนแก้ลิขิตพลิกชะตาให้กับนักพรตเต๋า แม้เยี่ยตงผิงจะปากแข็ง แต่กลับระมัดระวังอย่างยิ่งในหลายๆ เรื่อง นอกจากจี้หยกป้องกันผีแล้ว ที่คอยังห้อยหินหยกเจ้าแม่กวนอิมที่แย่งมาจากเยี่ยเทียนในวันนั้น
เยี่ยเทียนพยักหน้า กล่าวว่า “ต่อไปรับของเหล่านั้นมา เอามาให้ผมดูก่อนล่ะ……”
สิ่งที่ขุดออกมาจากดินในหลุมศพ บางชิ้นก็มีพลังชั่วร้ายปนเปื้อน แต่บางชิ้นก็เป็นของขลังผสานเข้ากับธรรมชาติได้อย่างน่าอัศจรรย์ จึงทำให้เยี่ยเทียนอยากรับของตกทอดมาจากพ่อ
“ได้ งั้นพวกเรากินข้าวเช้ากันสักหน่อย เดี๋ยวพอแปดโมงคนทางนั้นจะโทรศัพท์มา!” เห็นพี่สาวคนโตซื้อข้าวเช้าเดินเข้ามาในเรือน เยี่ยตงผิงก็เช็ดหน้าเช็ดตา เข้าห้องครัวไปกับเยี่ยเทียน
…………
บนโซฟาในห้องบนชั้นสิบแปดของอาคารพาณิชย์ที่อยู่อาศัยตรงข้ามกับสถานีตำรวจเขตซีเฉิง ชายหกเจ็ดคนนอนเบียดกันไปมาบนพื้นในห้อง มีร่องรอยวัตถุคล้ายดินเหนียวกระจายไปทั่ว
“พี่วั่ง รอได้เงินก้อนนี้ค่อยไปยังไม่สายนี่นา ด้วยสินค้าพวกนี้ของเรา คิดราคาสักสองแสนก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร? ”
ชายรูปร่างสูงใหญ่ในวัยสามสิบต้นๆ ปิดตาทำสมาธิอยู่บนโซฟา ขณะพูดคุยกับชายวัยกลางคนร่างกายอ่อนแอคนหนึ่งข้างกาย จงใจกระซิบเสียงต่ำอย่างระมัดระวัง
“ไม่ได้ สองสามวันนี้สถานการณ์ค่อนข้างกระชั้น ฉันรู้สึกว่าไม่ปกติเท่าไหร่ เปียวจื่อ นายก็ไปกับฉันด้วย……”
ชายวัยกลางคนส่ายหน้า จ้องมองมาอีกคนพูดว่า “หวังซุ่น นายอยู่ที่นี่ หลังจากปล่อยของจากมือแล้ว ให้ไปรวมตัวกันที่เดิมที่อุรุมชี ที่นั่นมีธุรกิจใหญ่โต หลังจากทำเสร็จพวกเราค่อยออกไปทางชายแดน ไปเสพสุขกันสักสองสามปี!”
คนที่ชื่อหวังซุ่นนั้นอายุไม่มาก หน้าตาดาดๆ ขนาดว่าถ้าหาตัวในคนหมู่มากจะหาไม่เจอเป็นอันขาด หลังจากที่ฟังคนวัยกลางคนพูด ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์ อาจารย์มีของพิสดารอย่างนี้ ตำรวจดูอะไรไม่ออกหรอก มีอะไรต้องกลัวล่ะ?”
“นายจะเข้าใจอะไร อย่าคิดว่าเรียนค่ายกลเชี่ยวชาญแล้วจะไร้เทียมทาน ฉันที่เป็นอาจารย์นายยังห่างไกลอีกเยอะ……”
ชายวัยกลางคนได้ยินเข้าก็จ้องมองกลับ สายตาที่เยือกเย็นทำให้หวังซุ่นต้องหลับสายตาทันที บนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึมออกมา
“ไปเถอะ แยกย้ายกันขึ้นรถ!”
ชายวัยกลางคนยืนขึ้น พวกที่เดิมนอนกระจัดกระจายอยู่ ก็ทยอยยืนขึ้น เดินออกจากห้องกันอย่างเป็นระเบียบ
ตอนที่ 196
ซื้อขายโบราณวัตถุ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พ่อ แค่ซื้อของไม่กี่ชิ้นเองไม่ใช่เหรอ? ไม่เห็นต้องตื่นเต้นขนาดนี้เลย?”
หลังจากกินข้าวเสร็จ เยี่ยเทียนกับพ่อก็รอในบ้าน แต่ท่าทางอยู่ไม่สุขของเยี่ยตงผิง ทำให้เยี่ยเทียนนึกขำ
“เหลวไหล ก็พ่อถือเงินสองแสนอยู่นี่นา? ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ที่พ่อทำมาตลอดทั้งปีก็สูญเปล่าน่ะสิ”
เยี่ยตงผิงมองเห็นอนาคตตลาดขายของเก่าอย่างแม่นยำ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ดำเนินมาตรการซื้อเข้าให้มากขายออกให้น้อยมาตลอด ทุกปีต้องขายสินค้าไม่เกินสามหรือห้ารายการเพื่อให้ร้านค้าอยู่ต่อได้ แต่สินค้าดีๆ ชิ้นอื่น กลับเก็บไว้ภายในโกดัง
ขณะกำลังคิดจะสั่งสอนลูกชายอีกสักสองสามประโยค จู่ๆ โทรศัพท์ในกระเป๋าถือของเยี่ยตงผิงก็ดังขึ้น เยี่ยตงผิงจึงเลิกสนใจเยี่ยเทียนแล้วรีบหยิบมือถือขึ้นมา
“อืม ได้ ผมรู้แล้ว อีกครึ่งชั่วโมงถึงแน่นอน ได้ แล้วเจอกัน!”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ เยี่ยตงผิงก็ถอนหายใจ พูดว่า “ไปเถอะ จำไว้นะ ตอนนี้พ่อของนายแซ่หู ถึงเวลาแล้วอย่าลืมล่ะ”
“ครับ ทำอย่างกับรับของผิดกฎหมาย พ่อ โทรศัพท์เครื่องนี้ซื้อมาใหม่เหรอ”
เยี่ยเทียนเบะปาก พบว่าโทรศัพท์ที่พ่อรับสายเมื่อครู่เหมือนกับของตัวเอง เพียงแต่เป็นสีเหลือง พออยู่ในมือพวกคุณปู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเข้ากัน
นานๆ ทีเยี่ยตงผิงจะได้โอ้อวดต่อหน้าลูกชาย ชูโทรศัพท์ขึ้น พูดว่า “ระวังตัวหน่อยไม่เสียหาย ซิมนี้ก็ใช้ชั่วคราว ใช้เสร็จแล้วค่อยเอาไปทิ้ง”
“เอาเถอะ เป็นเทคนิคที่เห็นในหนังทั้งนั้นเลยนี่”
เยี่ยเทียนโจมตีพ่ออย่างไร้ปราณี เมื่อมองออกถึงเจตนาร้ายของอีกฝ่าย แล้วรีบพูดว่า “พ่อกับคนนั้นนัดกันอีกครึ่งชั่วโมงไม่ใช่เหรอ ขืนพวกเรายังไม่ออกจะไปสายแล้วนะ!”
“ไม่รู้จักสัมมาคารวะ ครั้งนี้พ่อจะยอมให้” เยี่ยตงผิงหยิบกระเป๋าใบนั้นซึ่งบรรจุไปด้วยเงินสองแสนขึ้นมา เดินออกจากเรือนสี่ประสานกับเยี่ยเทียน
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ชายสองคนยืนมองทิวทัศน์อยู่บนสะพานลอยบนถนนวงแหวนที่สาม
“พ่อ คนนั้นเชื่อถือได้แน่เหรอ? โทรศัพท์มาสั่งนู่นสั่งนี่ แล้วให้พวกเรามาสูดควันรถตรงนี้?”
เยี่ยเทียนชักอารมณ์ไม่ดีแล้ว จะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหนเชียว? ก็แค่ซื้อวัตถุโบราณที่ขุดมาจากดินเท่านั้น ต่อให้ถูกจับก็จำคุกแค่สามถึงห้าปี จำเป็นต้องทำให้โอเวอร์ขนาดนี้หรือ?
“รู้แล้วใช่ไหมว่าเงินน่ะหายาก? เงินเล็กน้อยน่ะพ่อแกหาได้ง่ายนักเหรอ?” เยี่ยตงผิงเองก็มีทีท่าวิตกกังวล หิ้วกระเป๋าเงินสองแสนเดินไปทั่ว ในใจเคร่งเครียดอย่างหนัก
“รอปีหน้าผมจะหาเงินเลี้ยงดูวัยเกษียณให้พ่อ ธุรกิจนี้ไม่ทำก็ช่างมัน โทรศัพท์พ่อดังแล้ว คนพวกนั้นคงไม่โผล่มาแล้วล่ะ เรากลับบ้านกันเถอะ……” ขณะเยี่ยเทียนกำลังพูด โทรศัพท์ของเยี่ยงตงผิงก็ดังขึ้น
“อ้าว ผมว่า เรื่องนี้เหล่าจ้าวที่ซูโจวเป็นคนแนะนำ ได้หรือไม่ได้ก็พูดมาตรงๆ ดีกว่า วกไปวนมาอ้อมโลกอย่างนี้จะแกล้งกันหรือไง?” เยี่ยตงผิงเองก็อารมณ์เสียขึ้นมา ไม่ใช่เขาสักหน่อยที่เป็นฝ่ายเข้าหาเพื่อเจรจาธุรกิจ ทำแบบนี้มันรังแกกันไม่ใช่หรือ?
“ได้ ถ้ายังไม่เจอคุณอีกล่ะก็ ไม่ต้องซื้อขายกันแล้ว!” หลังจากได้ยินอีกฝ่ายแจ้งที่อยู่ เยี่ยตงผิงก็วางสายด้วยความโกรธจนลมออกหู
……-
“โต่วเอ่อร์ตุนหน้าน้ำเงินขโมยม้าหลวง กวนอูหน้าแดงรบศึกฉางชา เตียนอุยหน้าเหลือง โจโฉหน้าขาว เตียวหุยหน้าดำร้องจุ๊……จุ๊……”
ฟังละครงิ้วเปลี่ยนหน้าปักกิ่งซึ่งดังมาจากในโทรทัศน์ หวังซุ่นที่ดื่มเบียร์พลางกินถั่วลิสง โยนเปลือกถั่วลิสงทิ้งลงในหมวกทหารใบหนึ่งที่เขาถอดออกมาจากคนตายในหลุมศพ
ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับคำเตือนให้ระวังตัวของอาจารย์ แต่หวังซุ่นยังไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง จึงหลอกล่อตาแก่สกุลหูเป็นเวลาชั่วโมงกว่าจึงยอมบอกที่อยู่กับฝ่ายตรงข้าม
ที่จริงตามเจตนาของหวังซุ่น ก็ไม่คิดจะไปที่ไหนในปักกิ่งทั้งนั้น เพราะอาจารย์บอกว่าจะซ่อนใบไม้ต้องซ่อนในป่าจึงมาเช่าห้องตรงข้ามสถานีตำรวจนี้ไม่ใช่หรือไง?
พอได้ยินเสียงออดประตูดัง หวังซุ่นก็ลุกขึ้น หลังจากลอบมองสักครู่แล้ว ก็แง้มประตูออกหน่อยหนึ่ง
“เถ้าแก่หูเหรอ?”
“ใช่ ผมเอง เถ้าแก่เจี๋ยใช่ไหม? เหล่าจ้าวจากซูโจวแนะนำผมมา!”
“ฮ่าๆ เชิญเข้ามาครับๆ ต้องขอโทษจริงๆ เถ้าแก่หูคุณก็รู้ ว่าเราทำธุรกิจวงการนี้ค่อนข้างเสี่ยง เลยจำเป็นต้องระวังตัว……”
หวังซุ่นหัวเราะออกมา เปิดประตูห้อง แต่มือซ้ายกลับพาดที่เอวด้านหลัง มีปืนพกชนิด54 บรรจุกระสุนปืนอยู่
คนกลุ่มนี้ ไม่ใช่แค่หัวขโมยธรรมดา บางครั้งอาจฆ่าคนรวยช่วยคนจน แต่แน่นอนว่าคนจนที่ว่าก็คือตัวเอง ดังนั้นเกือบทุกคนจึงล้วนมีโชคชะตาซึ่งนับว่าเป็นอาชญากรโดยแท้จริง
ก่อนหน้านั้นสองปี ตี๋หว่าง อาจารย์ของหวังซุ่นขุดหลุมศพใหญ่หลุมหนึ่งที่เหอหนาน ตอนนั้นได้รับเงินห้าแสนจากเถ้าแก่ในต้าซิ่ง และเตรียมจะส่งมอบสินค้าแล้ว
แต่ในเวลานั้นเอง มีเถ้าแก่ฮ่องกงเสนอราคาสามล้านให้กับสินค้านี้ ตี๋หว่างขายสินค้าให้กับเถ้าแก่ชาวฮ่องกงโดยไม่คิดแม้แต่น้อย และเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในภายหลัง จึงใช้วิชาคาถาฆ่าเถ้าแก่ที่อยู่ในต้าซิ่งคนนั้นทิ้ง
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน คือเกิดเหตุขัดแย้งกันในแก๊งพวกเขา สาเหตุคือเหล่าปาที่เข้ากลุ่มมาเมื่อปีก่อนเกิดคิดทรยศ แอบติดต่อกับแก๊งเจียงหลงในส่านซีอย่างลับๆ เพื่อจะฮุบสินค้าล็อตนี้ของตี๋หว่าง
แต่ตี๋หว่างสังเกตได้นานแล้ว จึงวางกับดักแล้วปล่อยให้เหล่าปากระโดดเข้ามาเอง เพียงแต่ตี๋หว่างไม่คิดว่าร่างกายของเหล่าปาจะแข็งแรงมาก หลังจากถูกโจมตีด้วยพลังหยินกลับไม่ตายทันที อีกทั้งยังเสียสติคลุ้มคลั่ง กัดเหล่าซื่อที่ติดตามมาด้วยสดๆ จนขาดใจตาย
เหตุการณ์นี้ทำให้ตี๋หว่างรู้สึกไม่ค่อยดี จึงให้ลูกศิษย์ซึ่งมักใช้วิธีการอมหิตปล่อยขายสินค้าชิ้นนี้ ส่วนตัวเขากลับพาลูกน้องบินหนีไปไกล
ด้วยตี๋หว่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย ใจบาปหยาบช้า แม้ว่าจะทำเรื่องทรยศหักหลังมาไม่น้อย แต่ก็เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีมาตลอด บวกกับความโหดเหี้ยมอำมหิตของเขา หวังซุ่นจึงให้ความเคารพเขาราวกับสิ่งศักดิ์ ไม่กล้าคิดทรยศแม้แต่น้อย
“ของทั้งหมดอยู่ที่นี่ มีทั้งหมดสิบสองชิ้น เถ้าแก่จ้าวคงบอกคุณแล้ว ส่งมาสองแสนแล้วคุณเอาไปเลย !”
แม้จะเห็นว่าด้านหลัง “เถ้าแก่หู” ยังมีเด็กหนุ่มตามมา แต่หวังซุ่นกลับไม่ได้ใส่ใจ ที่เอวก็ยังพกปืนอยู่ อย่างมากก็แค่ทำให้ปลาตายแหขาด ตอนเข้ามาสู่ในวงการ เขาก็ตระหนักในข้อนี้แล้ว
“เถ้าแก้เจี๋ย ผมดูสินค้าก่อน ได้ไหม?”
ช่องทางธุรกิจของโบราณนั้นมีมากเกินไป เยี่ยตงผิงหลายปีก่อนก็ถูกสับขาหลอกจ่ายไปแสนกว่า จนตอนนี้ถึงเพิ่งจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ แม้ทำธุรกิจครั้งนี้ลงทุนไม่มาก แต่ยังต้องระมัดระวัง
“หึๆ พูดได้ดี แต่เถ้าแก่หูก็ควรให้ผมดูของก่อนไหม?” หวังซุ่นยิ้มแสยะขึ้นมา คนหนึ่งแซ่หูคนหนึ่งแซ่เจี๋ย เห็นได้ชัดว่าต่างไม่มีใครไว้ใจใคร
“เอาให้เถ้าแก่เจี๋ยดู” เยี่ยตงผงเอียงหน้ามองลูกชาย วางท่าเป็นเถ้าแก่
“เถ้าแก่เจี๋ย เงินอยู่ในนี้หมดแล้ว!” เยี่ยเทียนรูดซิปกระเป๋าหนังออก ทันใดนั้นกองเงินหยวนก็ปรากฎต่อหน้าหวังซุ่น
“ดี เถ้าแก่หูเป็นคนตรงไปตรงมา ของพวกนี้เชิญคุณดูตามสบาย แต่มีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ผมมีธุระต้องออกไปข้างนอก!”
เมื่อเห็นธนบัตรเต็มกระเป๋า หวังซุ่นก็หรี่ตาแคบลง หากครั้งนี้ตี๋หว่างไม่สั่งให้ทำการค้าอย่างเป็นธรรม ใจเขาก็อยากจะควักปืนฆ่าสองคนนี้ทิ้งซะจริงๆ
แต่หวังซุ่นไม่รู้ว่า เวลานี้ฝ่ามือของเยี่ยเทียนจับเหรียญต้าฉีทงเป่าไว้แน่น เพียงหวังซุ่นขยับตัวเล็กน้อย เหรียญต้าฉีทงเป่านี้จะไปปรากฎสักที่ในตัวของหวังซุ่น
ตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกถึงอันตรายแผ่ออกมาจากหลังเอวของหวังซุ่น นั่นเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก มีแค่ผู้ฝึกวิชาจนแตกฉานทะลุปรุโปร่งอย่างเยี่ยเทียน จึงมีปฏิกิริยาฉับไวเช่นนี้
“สินค้าไม่เลว นี่ขุดออกมาจากหลุมสมัยราชวงศ์ฮั่นใช่ไหม” หลังจากที่นั่งยองๆ ดูตรงพื้น เยี่ยตงผิงก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
ของสิบสองชิ้นนี้รวมถึงหยกฮั่นซึ่งมีสีสันหลากหลายทั้งหมดสี่ชิ้น หมวกแม่ทัพหนึ่งชิ้น กริชทองคำหนึ่งด้าม นอกจากนี้ยังมีโคมไฟทองแดงสองดวงและกระจกทองเหลืองราชวงศ์ฮั่นซึ่งอยู่ในสภาพดี
ของล้ำค่าที่สุดในนี้ น่าจะเป็นเครื่องหยกไม่กี่ชิ้นเหล่านั้น หากเก็บไว้ในมือสักสองสามปี ลำพังหยกฮั่นไม่กี่ชิ้นก็ขายออกได้หลายแสน ดังนั้นเยี่ยตงผิงจึงพอใจในการซื้อขายสินค้าครั้งนี้มาก
หลังจากฟังเยี่ยตงผิงพูด หวังซุ่นก็ยิ้มแบบมีเลศนัยออกมา แล้วพูดว่า “หึๆ เถ้าแก่หู ของที่อยู่ตรงนี้ คุณพอใจก็พอ เอามาจากไหนไม่สำคัญหรอกใช่ไหม? ”
เยี่ยตงผิงตบหัว ยิ้มตอบว่า “ใช่ ผมพูดมากไปเอง เถ้าแก่เจี๋ย พวกเราส่งสินค้ากับเงินพร้อมกัน ดีไหม?”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เยี่ยตงผิงทำการซื้อขายโบราณวัตถุ รู้กฎระเบียบภายในดี เมื่อเห็นของแล้วจ่ายเงินหยิบไปก็พอ ถามแหล่งที่มาเป็นข้อต้องห้ามของคนอื่น
“ได้ ผมจะห่อของให้!”
เมื่อเห็นเยี่ยตงผิงตกลงรับสินค้า หวังซุ่นก็คลายการระมัดระวังมากขึ้น หยิบกระเป๋าหนังปลาขึ้นมาจากพื้น เอาเครื่องทองสำริดทั้งหมดใส่เข้าไป ส่วนหยกสองสามชิ้นนั้น กลับให้เยี่ยตงผิงพกไว้กับตัว
เยี่ยตงผิงรับถุงที่หวังซุ่นส่งมาให้ หลังจากเก็บเครื่องหยกหลากสีไม่กี่ชิ้นเสร็จแล้ว ก็พูดกับเยี่ยเทียนว่า“จ่ายเงินไป”
สำนวนที่พูดกันว่าหนูมีทางของหนู แมวก็มีทางของแมว ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะพกปืนติดตัว แต่ขอเพียงไม่ควักออกมา เยี่ยเทียนก็ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บ จึงยื่นกระเป๋าให้ทันที
แต่ว่าขณะที่เยี่ยเทียนยื่นกระเป๋าหนังไปนั้น ทันใดตาของเขากวาดไปยังโต๊ะกาแฟที่เต็มไปเบียร์และถั่ว พอเห็นเข้า ทำให้เขาถึงกับตกตะลึง
หลังจากที่เอากระเป๋าหนังให้อีกฝ่ายแล้ว เยี่ยเทียนก็ชี้ไปที่หยกสี่ห้าชิ้นที่วางไว้บนโต๊ะกาแฟ ถามขึ้นว่า “เถ้าแก่เจี๋ย หยกพวกนั้นของคุณ ก็ขายด้วยหรือเปล่า?”
หวังซุ่นมองไปยังทิศทางที่เยี่ยเทียนชี้ ส่ายหัวพูดว่า “พวกนั้นไม่ขาย เป็นหยกใหม่ทั้งนั้น พวกคุณตาไม่ถึงหรอก”
“ไม่เข้าใจก็พูดน้อยๆ หน่อย!”
เยี่ยตงผิงไม่พอใจที่ลูกชายพูดแทรก หลังจากจ้องเยี่ยเทียนตาเขม็ง ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ เถ้าแก่เจี๋ย ครั้งหน้าหากมีสินค้าอะไรดีๆ อีก ต้องมาหาผมนะครับ”
ถึงจะพูดแบบนี้ แต่เยี่ยตงผิงก็รู้ เขากับอีกฝ่ายครั้งหน้าคงไม่มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายกันแล้ว เพราะหลังจากออกจากประตู เขาก็จะทิ้งซิมมือถือทันที
“แน่นอนครับแน่นอน กลับดีๆ นะครับทั้งสองคน!”
ใบหน้าของหวังซุ่นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่วางมือข้างซ้ายไว้ที่หลังเอวอีกครั้ง เหตุการณ์คมเฉือนคมมักเกิดขึ้นหลังจากทำธุรกิจสำเร็จ เขาจึงจำเป็นต้องระวังตัว
แต่หวังซุ่นไม่เห็นว่า ตอนเยี่ยเทียนกำลังจะออกจากประตู นิ้วมือเด้งออก และอากาศธาตุไร้รูปไร้สีกลุ่มหนึ่งซึมก็แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายเขา
ตอนที่ 197
กระแสจิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ตอนเพียรหาแทบตายหาไม่เจอ พอเจอกลับได้มาเสียง่ายๆ……”
หิ้วกระเป๋าบรรจุวัตถุโบราณออกจากอาคาร เยี่ยเทียนหันกลับมามอง คิดไม่ถึงว่าคนที่หลบหลีกเขาถึงสองครั้ง กลับกลายเป็นแก๊งปล้นหลุมศพ
ตอนเห็น “เถ้าแก่เจี๋ย” ในครั้งแรก เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่ามีกลิ่นคนตายจากร่างกายเขา มีแค่คนที่วนเวียนอยู่ในหลุมศพเป็นเวลานานเท่านั้นที่ไม่สามารถชะล้างกลิ่นนี้ออก
หยกไม่กี่ชิ้นซึ่งวางอยู่บนโต๊ะกาแฟ เผยให้เห็นสถานะของคนผู้นั้นโดยสมบูรณ์ จากกระแสพลังของหยก เยี่ยเทียนสัมผัสถึงกลิ่นอายของคนในที่เกิดเหตุเมื่อวานได้อย่างชัดเจน
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ คนที่ทำหยกนี้กลับไม่ใช่ “เถ้าแก่เจี๋ย” คนนั้น ทำให้เยี่ยเทียนไม่อาจเห็นท่าทีของ “ผู้เชี่ยวชาญ” ในใจกลับรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
มองดูจากในห้องมีกระป๋องเบียร์และก้นบุหรี่กระจัดกระจายอยู่เต็มห้อง น่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งเพิ่งออกไป ในเมื่อคนที่ตามหาไม่อยู่ บวกกับครั้งนี้มาคุยการค้ากับพ่อ เยี่ยเทียนจึงไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด
แต่ตอนเยี่ยเทียนจากไปได้ทิ้งร่องรอยไว้บนร่าง “เถ้าแก่เจี๋ย” ซึ่งทำให้เยี่ยเทียนสามารถคาดเดาที่อยู่ของพวกเขาได้อย่างง่ายดายในอนาคต ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ก็ไม่อาจรอดพ้นจากขอบเขตการควบคุมของเยี่ยเทียน
ไม่เพียงเท่านี้ เยี่ยเทียนยังหยิบเส้นขนสองสามเส้นออกมาจากห้องอย่างแนบเนียน ด้วยของเหล่านี้ เยี่ยเทียนก็พออนุมานบางสิ่งได้อย่างคร่าวๆ แล้ว
“พวกแก๊งนี้ ปล่อยไว้ไม่ได้!”
เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นมองไปบนตึก ตัดสินใจอยู่ภายใน เพราะเมื่อครู่เขารู้สึกถึงจิตสังหารของ “เถ้าแก่เจี๋ย” คนนั้นได้อย่างชัดเจน หากวันนี้ไม่ได้มาเป็นเพื่อนพ่อ ไม่แน่ว่าอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ
เยี่ยตงผิงยื่นมือโบกเรียกแท็กซี่คันหนึ่งให้หยุด เห็นลูกชายยังยืนอยู่ตรงนั้น ก็อดร้องเรียกไม่ได้ “มองอะไรน่ะ? ยังไม่รีบมาอีก!”
“มาแล้วครับ……” เยี่ยเทียนตอบรับ มุดเข้าไปในรถแท็กซี่
หลังจากมาถึงเรือนสี่ประสาน เยี่ยตงผิงร้องเรียกลูกชายหนึ่งเสียง ทั้งสองมาที่โกดังวัตถุโบราณในสวนหลังบ้าน
ในการปรับแต่งโกดังนี้ เยี่ยตงผิงใช้เงินไปไม่น้อย ไม่เพียงแค่ติดตั้งอุปกรณ์ลดความชื้นภายใน แม้แต่หลอดไฟฟ้ายังเป็นหลอดแบบพิเศษที่ไม่มีรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อลดความเสียหายให้กับสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นของเขา
หลังจากเข้ามาภายในโกดัง เยี่ยตงผิงก็ถือแปรงมาด้วย เพื่อทำความสะอาดดินบนเครื่องสัมฤทธิ์ทีละชิ้นให้สะอาด แล้วพูดกับเยี่ยเทียนว่า “มาช่วยหน่อยสิ เครื่องสัมฤทธิ์พวกนี้ต้องใช้น้ำยาเคลือบทุกชิ้น จริงสิ ถ้าลูกไม่มีธุระก็มาช่วยพ่อจับหยกพวกนี้เล่นหน่อยได้ไหม?”
ไม่ว่าหยกโบราณจะคุณภาพดีขนาดไหน หลังขุดขึ้นมาจากดินแล้ว แน่นอนว่าต้องขาดความแวววาวอย่างเคย กลายเป็นสีหม่นมัว
อย่างไรก็ตามหลังผ่านมือคนจับเล่นมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง สีจะกลับกลายอ่อนนุ่มบริสุทธิ์ สะอาดแวววาว ที่สำคัญสีสันอันหลากหลายจะรวมเข้าไปในเนื้อหยก เช่นเดียวกับเมฆที่บดบังดวงอาทิตย์ นกกระสาร่ายรำท่องฟ้า ล้ำค่ามีราคาทั้งพิสดารน่าสนใจ
เนื้อหยกฮั่นเหล่านี้ไม่เลวนัก เยี่ยตงผิงไม่อยากใช้แรงงานคนขัดถูอย่างมักง่าย หากไม่ระมัดระวัง หยกจะเกิดความเสียหาย
“พ่อ เก็บหยกพวกนี้ไว้เล่นเองเถอะ ผมไม่สนใจหรอก……”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า จับถูหยกเป็นงานใช้ฝีมือ เปลืองพลังงานมาก หากเขามีเวลาขนาดนั้นมิสู้เอาหยกใหม่แกะสลักทำค่ายกลมาเล่นดีกว่า ผ่านไปสามถึงห้าปีบางทีอาจกลายเป็นของขลังขึ้นมา
“เด็กบ้า เลี้ยงเสียข้าวสุก!” เยี่ยตงผิงจ้องลูกชายอย่างไม่สบอารมณ์ แต่กลับทำอะไรเยี่ยเทียนไม่ได้ ตั้งแต่ที่เด็กคนนี้เริ่มมีความคิดของตนเอง ก็ดูเหมือนจะไม่ฟังคำอะไรของตนอีก
“พ่อ พวกเขาไปขโมยหลุมศพทหารสักที่ใช่ไหม ถ้านี่ไม่ใช่ของใช้สัมฤทธิ์ก็ต้องเป็นชุดเกราะทหาร……”
เยี่ยเทียนพูดพลางเอาดาบสั้นชุบทองที่อยู่บนพื้นหยิบขึ้นมาถือ ในมือนั้นคือดาบทองแดงที่มีฝักยื่นออกมาข้างนอก เขาอดตกตะลึงไม่ได้ ไม่ใช่เพราะความคมกริบของมัน แต่เป็นเพราะบนมีดเต็มไปด้วยสนิมเขรอะ ดูเหมือนของชำรุดทรุดโทรมก็ไม่ปาน
“หืม? ของนี้มีบางอย่างแปลกๆ?” ขณะคิดว่าจะวางลงพื้น จู่ๆ เยี่ยเทียนก็สัมผัสพลังชั่วร้ายซึ่งปกคลุมอยู่ เยี่ยเทียนวางฝักทองแดงลง แล้วพิจารณาอย่างละเอียด
จากด้านคมของมีดสามารถเห็นได้ว่า นี่คือดาบสั้นทำจากทองแดง แต่ลวดลายด้านบนแฝงด้วยประกายทองคำ คงจะเพิ่มทอง ดีบุกหรือเหล็กและวัสดุอื่นๆ เข้าไปด้วย ว่ากันโดยทางการคงจะเป็นดาบสั้นโลหะผสม
“เฮ้ยๆ ลูกกำลังทำอะไรน่ะ? หากรอยสนิมนี่หลุดไปก็หมดราคาแล้ว……”
เยี่ยตงผิงกำลังยุ่งอยู่กับตะเกียงสัมฤทธิ์ในมือของเขา จู่ๆ ข้างหูได้ยินเสียง “ตึง ตึง ” ลอยมา เงยหน้าขึ้นเห็น ลูกชายกำลังเคาะมีดสั้นด้วยค้อนเล็กๆ จึงอดร้อนรนไม่ได้
ต้องเข้าใจก่อนว่า การขายเครื่องทองสัมฤทธิ์นั้นต้อง “เก่า” ของยิ่ง “เก่า” จึงจะยิ่งมีราคา
ดาบสั้นนี้แม้ไม่สะดุดตาอะไร แต่ด้ามก็เป็นงานฝีมือจากทองคำ สามารถขายออกไปได้เป็นหมื่นเป็นพันหยวน แต่หากเยี่ยเทียนขัดเอาสนิมออกจนหมด เกรงว่ากระทั่งพันหยวนก็ยังขายไม่ได้
“พ่อ ของชิ้นนี้ผมจะเอา พ่อไม่ต้องมาสนใจหรอก”
มองไปยังส่วนที่สนิมหลุดออกของคมมีด สายตาของเยี่ยเทียนถึงกับเผยแววตกตะลึง เอื้อมมือไปหยิบฝักดาบที่อยู่บนพื้น โดยไม่รอให้พ่อพูดอะไร เยี่ยเทียนก็หายวับออกไปจากโกดัง
“เด็กบ้านี่ มาปล้นพ่อหรอกเรอะ!” เห็นลูกชายหยิบสมบัติไปอย่างนั้น เยี่ยตงผิงก็ส่ายหน้าอย่างจะยิ้มหรือร้องไห้ก็ไม่ออก จัดการของที่รับมาในคราวนี้ต่อ
“ล้ำค่า ของนี้หากอยู่ในสมัยโบราณ ต้องมีราคาถึงทองพันชั่งอย่างแน่นอน!”
หลังจากกลับมาที่ห้องตัวเอง เยี่ยเทียนมองไปที่ดาบสั้นอย่างเบิกบานใจ ตัวดาบซึ่งเดิมทีมีสนิมเขรอะราวกับท่อนเหล็ก เริ่มโผล่เค้าโครงออกมาให้เห็น
รอยสนิมก่อนหน้านั้น กลับเป็นสนิมที่ปนเปื้อนมาจากตัวฝักดาบ หลังจากถูกเยี่ยเทียนใช้ค้อนเล็กทุบ ก็หลุดออกไปเองโดยอัตโนมัติ บนผิวด้านในคมมีดและปลายแหลม ยังแกะสลักอักษรหยินกับหยางตรงข้ามกัน
เยี่ยเทียนหาผ้าหยาบมาหนึ่งผืน ออกแรงขัดถูตรงตัวดาบ เช็ดดินที่ติดอยู่บนลวดลายของตัวดาบแล้ว ดาบสั้นซึ่งมีรอยแกะสลักอย่างละเอียดตรงคมมีด ไร้ซึ่งการซ้อนทับของลวดลายก็ปรากฎขึ้นมา
“ราชวงศ์ฮั่นเก่าแก่ประมาณสองพันปีมาแล้ว ดาบเล่มนี้ไม่มีสนิมเกาะมาพันปี คิดว่าด้านในคงจะมีโครเมียม สมัยก่อนคงเป็นอาวุธที่คมมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าของที่แท้จริงคือใคร ?”
พิจารณาดาบสั้นที่อยู่ในมือ ในใจของเยี่ยเทียนยังรู้สึกตื้นตัน ต้องเข้าใจด้วยว่า โครเมียมนั้นเป็นโลหะที่ทนทานต่อการกัดกร่อน และปริมาณแร่โครเมียมในโลกนั้นมีน้อยมาก สกัดออกมาไม่ได้ง่ายนัก
อีกทั้งโครเมียมเป็นโลหะทนอุณหภูมิสูง จุดหลอมเหลวประมาณสี่พันองศา เยี่ยเทียนไม่เข้าใจว่าในสมัยโบราณที่ยังอาศัยการหลอมเหล็กด้วยเครื่องเป่าลมนั้น หลอมโลหะชนิดนี้ได้อย่างไร?
สามารถฝังดาบสั้นชนิดนี้ไปพร้อมกับคนตาย เจ้าของจะต้องเป็นผู้มีอำนาจมากในสมัยโบราณ เพียงแต่ต่อให้ตอนยังมีชีวิตเคยไร้เทียมทานแค่ไหน หลังตายไปก็เป็นเพียงฝุ่นธุลี
“นี่คืออาวุธสังหารอย่างแท้จริง ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ นี่……นี่เป็นของขลังชนิดหนึ่ง ฮ่า ฮ่าๆ ที่แท้ก็เป็นของขลังนี่เอง!”
เยี่ยเทียนจิตใจเบิกบาน เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากดาบสั้นเล่มนี้ ทีแรกยังรู้สึกประหลาดใจ แต่หลังจากตรวจตราอย่างละเอียด จากที่แปลกใจกลับกลายเป็นเบิกบานอย่างมาก
เยี่ยเทียนเป็นผู้ฝึกจิตในลัทธิเต๋ามาแต่เด็ก พลังการควบคุมถือว่าแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่ในเวลานี้ เป็นครั้งแรกที่ตัวเองควบคุมอาการตื่นเต้นไม่อยู่ จนหัวเราะลั่นออกมา
ดาบมีทองคำเป็นส่วนประกอบ ทองคำไม่สามารถทำลายได้ สิ่งของที่ถูกสร้างเป็นอาวุธร้ายแรงชนิดนี้ จึงอันตรายกว่าพลังพิฆาตภายในหินหยกมากมาย สามารถแทรกซึมเข้าสู่จิตใจผู้คน ทำให้เกิดภาพลวงตาขึ้นได้
ต้องเข้าใจด้วยว่า ไม่เพียงแต่ร่างกายที่สามารถดูดซับวิญญาณชั่วร้าย แต่อาวุธแหลมคมก็ทำได้เช่นกัน เมื่ออาวุธชิ้นหนึ่งฆ่าคนจำนวนมาก จะกลายเป็นอาวุธอันชั่วร้าย โดยพื้นผิวของมันจะรวบรวมพลังชั่วร้ายจากผู้ที่ถูกมันสังหาร
เช่นเดียวกับเหล่าแม่ทัพโบราณที่ฆ่าคนตายเหมือนผักปลา จิตสังหารบนร่างกายพวกเขา พลังพิฆาตทั้งหลายส่วนมากมาจากอาวุธ เวลาแม่ทัพทั้งสองฝ่ายรบกัน มักต่อสู้กันด้วยดาบจนพลังพิฆาตพุ่งสู่ขีดสูงสุด หากสภาพจิตใจก็อ่อนแอลงเพียงเล็กน้อย ก็จะกลายเป็นปีศาจภายในดาบ
หากสิ่งนี้เป็นเพียงของมีคมหรือมีพลังพิฆาตแฝงอยู่ เยี่ยเทียนคงไม่ดีใจขนาดนี้ ประเด็นสำคัญคือ ดาบสั้นเล่มนี้หลังจากผ่านการถนอมรักษาในฮวงจุ้ยสุสานโบราณ ก็ได้กลับกลายเป็นของขลัง
ตามทฤษฎีโดยทั่วไปว่ากันว่า เครื่องรางของขลังจะนำพาสิ่งดีงามขจัดความชั่วร้าย ก่อเกิดประโยชน์ต่อผู้พกพาอย่างใหญ่หลวง
แต่ยังมีเครื่องรางของขลังบางประเภท กลับนำมาใช้ห้ำหั่นกัน เครื่องรางของขลังเหล่านี้เต็มไปด้วยความชั่วร้าย สามารถใช้สะกดจิตฝ่ายตรงข้าม ทั้งขณะเดียวกันยังใช้พลังชั่วร้ายยับยั้งการโจมตีจากอีกฝ่ายได้ อย่างไรก็ตามเงื่อนไขสำหรับการกลายร่างเป็นเครื่องรางของขลังนั้นเข้มงวดมาก ไม่เพียงแต่ต้องดูดซับความชั่วร้ายจากเลือดของคนตายอย่างเต็มที่ แต่ยังต้องสร้างค่ายกลฮวงจุ้ย แล้ววางเอาไว้ในพื้นที่มีพลังหยินเข้มข้น จนพันปีให้หลังยังปรากฎออกมาเพียงไม่กี่ชิ้น
คนโบราณกล่าวไว้ว่ากระแสจิตของดาบ จะแจ้งเตือนภัยอันตรายให้กับเจ้าของ โดยเฉพาะเครื่องรางของขลังจะสัมผัสถึงพลังโจมตีชั่วร้ายจากภายนอก แล้วส่งสัญญาณเตือนด้วยเหตุนั้น
อาจพูดได้ว่า เครื่องรางของขลังประเภทนี้ เป็นความใฝ่ฝันของเหล่าหมอดูฮวงจุ้ยทุกคน เยี่ยเทียนได้ดาบสั้นเล่มนี้มาด้วยความบังเอิญ ในใจจึงเบิกบานและประหลาดใจจนยากจะบรรยาย
หลังจากดีใจอย่างบ้าคลั่ง เยี่ยเทียนก็นั่งไขว่ห้างบนเตียง วางดาบสั้นไว้ด้านหน้า ค่อยๆ หลับตาลง ส่งพลังชีวิตไปยังดาบสั้นนั้น ราวกับว่าถูกยั่วยุ พลังชั่วร้ายอันเยือกเย็น พุ่งพล่านออกมาจากดาบสั้นทันใด ส่งผลให้อุณหภูมิทั้งห้องราวลดลงหลายส่วน
หลังจากที่พลังชั่วร้ายปะทุขึ้น ตรงไปกัดกร่อนยังตัวของเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนกลับไม่มีท่าทีต่อต้านแม้แต่น้อย ยอมให้พลังร้ายนั้นแทรกซึมเข้าไปในตัวของตน ชั่วพริบตาพลังหนาวเย็นได้เข้าสู่ร่างกาย จนหน้าผากของเยี่ยเทียนมีเหงื่อเม็ดเล็กซึมออกมา
ทว่าในร่างกายของเยี่ยเทียน ในขณะนี้เต็มไปด้วยพลังชีวิตอันพุ่งพล่าน พลังชั่วร้ายเหล่านั้นไม่อาจทำลายกล้ามเนื้อและกระดูกของเยี่ยเทียน จึงได้แต่เพียงวนเวียนอยู่รอบนอก และพลังชีวิตในตัวของเยี่ยเทียน กลับไหลล้นออกมารวมกับพลังชั่วร้ายเหล่านี้ทีละน้อย
เยี่ยเทียนดูไม่ผ่อนคลายต่อกระบวนการเหล่านี้เท่าไหร่นัก เม็ดเหงื่อที่หน้าผากไหลซึมลงไม่หยุด สีหน้าก็เริ่มซีดเซียวขึ้นมา
หลังจากผ่านไปประมาณสิบสองนาที ทันใดนั้นดาบสั้นที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ส่งเสียงแหลมใสขึ้นทีหนึ่ง พลังชั่วร้ายที่แทรกซึมสู่ตัวของเยี่ยเทียน ไหลลงไปในดาบราวกับสายน้ำ
“ฮ่าๆ สำเร็จแล้ว!”
เยี่ยเทียนคว้าดาบสั้นตรงหน้าเขา โดยไม่สนใจจะเช็ดเหงื่อตรงหน้าผาก ทันใดนั้นสัมผัสถึงเลือดเนื้อได้เชื่อมต่อกับหัวใจ และพลังชั่วร้ายภายในดาบก็ไม่อาจทำร้ายเขาได้อีก
ตอนที่ 198
เรื่องเหนือธรรมชาติ
โดย
Ink Stone_Fantasy
บนร่างกายเดิมมีเครื่องรางของขลัง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถใช้ได้ จำเป็นต้องสื่อสารกับจิตวิญญาณของมันก่อน จึงจะควบคุมได้โดยอิสระ ไม่เช่นนั้นหากประมาท อาจเข้าตัวทำร้ายตนเองจนถึงจุดจบ
ที่ว่าสื่อสารกับจิตวิญญาณ ไม่ได้หมายความว่าเครื่องรางมีสติปัญญา แต่ด้วยกระแสพลังชีวิตของร่างกาย ไปทำปฏิกิริยากับแรงอาถรรพ์ภายในเครื่องราง ให้ทั้งสองฝ่ายไม่ต่อต้านระหว่างกัน เมื่อในตัวเธอมีฉันในตัวฉันมีเธอ ก็จะไม่หันกลับมาโจมตีผู้ใช้เป็นธรรมดา
คำพูดที่เคยกล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง “โยวทงฟู่” ของฮั่นปันกู้ว่า “เชี่ยวชาญสัมผัสวิญญาณ จิตขับเคลื่อนในทุกทาง” ก็คือความหมายนี้เอง
แต่ว่าในปัจจุบันคำสอนลัทธิเต๋าเสื่อมถอย คนที่มีพลังจิตสามารถสื่อสารกับฟ้าดินอย่างเยี่ยเทียนกลับมีน้อยมาก ถึงแม้มีบางคนพบเครื่องรางชนิดนี้ ก็จะทำเหมือนมันเป็นอาวุธร้ายแรง เทิดทูนแต่ไม่นำมาใช้
จับดาบสั้นไว้ในมือ รับรู้ถึงความรู้สึกของเลือดเนื้อที่เชื่อมต่อกันจากในตัวดาบ หูทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนคล้ายได้ยินเสียงกองทหารม้าเกราะ ราวย้อนกลับไปเมื่อหลายพันปีก่อน แล้วสิงสู่ลงในร่างของเจ้าของดาบสั้นเล่มนี้
“กาลเวลาไม่อาจทิ้งร่อยรอยไว้บนตัวเจ้า เรียกเจ้าว่าอู๋เหิน (ไร้ร่องรอย) ก็แล้วกัน…”
เยี่ยเทียนใช้มือสัมผัสดาบสั้นอย่างแผ่วเบา ราวกับจะตอบรับคำของเยี่ยเทียน ดาบสั้นส่งเสียงดัง “ชิ้ง” ขึ้นมา หลังจากนั้นพลังงานร้ายก็ถูกระงับไว้ ประกายหายไปจนหมด กลับกลายสู่สภาพปกติธรรมดา
ถ้าหากไม่ได้สังเกตลวดลายบนดาบสั้นอย่างละเอียด เกรงว่าคนอื่นๆ คงจะมองว่าเป็นงานฝีมือทั่วไป แต่เยี่ยเทียนรู้ว่า มีอาวุธสงครามนี้อยู่ในมือ ในอนาคตต่อให้พบคนถือปืนผาหน้าไม้ ตนเองก็จะมีกำลังต่อสู้รบราเช่นกัน
“เยี่ยเทียน ออกมากินข้าวได้แล้ว กลับมาถึงบ้านก็เอาแต่อยู่ในห้องทำอะไรกันน่ะ…” ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังเล่นกับดาบสั้นอยู่นั้น เสียงของป้าใหญ่ก็ดังขึ้นมา
“ครับ มาแล้ว”
เยี่ยเทียนรับคำ ยกดาบสั้นในมือขึ้นมา แค่นหัวเราะเสียงหนึ่งแล้ววางมันกลับไป พันคมดาบด้วยผ้าหยาบที่ใช้เช็ดเมื่อครู่สองสามรอบ ถือไว้ในมือแล้วเดินออกไป
“ป้ารอง มากันแล้วเหรอครับ?”
เมื่อเดินถึงลานบ้านเยี่ยเทียนพบว่า ครอบครัวของป้ารองก็มากันทั้งบ้าน หลานหลานพาเสี่ยวจวิ้นหานวิ่งเล่นอยู่ตรงลานบ้าน ครอบครัวของเขาพักอยู่บนตึกอาคาร จึงไม่ค่อยมีโอกาสเล่นแบบนี้
“พี่เชิน ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” มองเห็นใบหน้าของลู่เชินที่ถึงแม้ยังดูซีดเซียวอยู่บ้าง แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับเป็นประกาย มีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างชัดเจน
“ไม่เป็นไรแล้ว เยี่ยเทียน มานี่สิ ฉันมีเรื่องอยากถาม”
ลู่เชินดึงตัวเยี่ยเทียน ไปตรงมุมลานบ้านที่ไม่มีคน โดยไม่สนใจดาบสั้นในมือของเยี่ยเทียน วัยรุ่นคนไหนล่ะจะไม่ชอบเล่นของมีคมพวกนี้
“เยี่ยเทียน เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไม่…ไม่ใช่ว่าฉันกำลังโดนผีเข้าสิงอยู่จริงๆ หรอกนะ?” เมื่อวานหลังจากเยี่ยเทียนออกไป ลู่เชินก็ถามคนในครอบครัวเกี่ยวกับเรื่องที่เยี่ยเทียนทำอย่างละเอียด
เมื่อได้ยินหมอบอกว่าอาการของเขาไม่มีวิธีสามารถรักษาได้ แต่เยี่ยเทียนกลับใช้เวลาไม่กี่นาทีปลุกเขาขึ้นมา ขนาดลู่เชินผู้มีจิตใจแข็งแกร่ง ยังอดขนหัวลุกไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่เกิดระแวงสงสัยในความเชื่อของตัวเอง
ในฐานะผู้เชื่อมั่นทฤษฎีวัตถุนิยม ลู่เชินไม่เคยเชื่อว่าโลกนี้มีผี แต่พอเรื่องเกิดขึ้นกับตัวเอง กลับทำให้เขาไม่สามารถหาคำอธิบายได้ หากไม่ใช่คนในครอบครัวดึงเขาไว้ เมื่อวานเขาคงวิ่งออกจากโรงพยาบาลมาหาเยี่ยเทียนแล้ว
“พี่เชิน ผมก็ไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้ให้พี่เข้าใจอย่างไรดี บนโลกนี้ ผีไม่มีอยู่จริง แต่ว่ามีบางอย่างที่สามารถส่งผลกระทบต่อความคิดของคน และเราสามารถเรียกพลังงานแบบนี้ว่าสนามแม่เหล็ก แต่ก่อนที่พี่ชอบเวียนหัว ก็เพราะได้รับผลกระทบจากสนามแม่เหล็กนั่นเอง…”
หลังจากได้ยินลู่เชินพูด เยี่ยเทียนก็แค่นยิ้มออกมา เขารู้ว่าไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องผีกับอีกฝ่าย ดังนั้นจึงพยายามเต็มที่เพื่อเรียบเรียงคำพูดที่ลู่เชินจะยอมรับได้
“แต่ว่า สนามแม่เหล็กนี้เกิดจากคน หรือว่าเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติกันล่ะ?”
ด้วยประสาทอันว่องไวจากอาชีพที่ทำ ลู่เชินจึงถามต่อ เขามักรู้สึกถึงความผิดปกติของคดีเมื่อวันก่อน แต่กลับหาเบาะแสใดๆ ไม่ได้ สำหรับหมอนิติเวชคนหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเรื่องที่ทรมานมาก
เยี่ยเทียนพยักหน้า พูดว่า “พี่เชิน พี่ก็คิดซะว่าเป็นเรื่องธรรมชาติเถอะ เวลาออกไปสถานที่เกิดเหตุ ก็ใส่หยกปี่เซียะเอาไว้ สนามแม่เหล็กรอบตัวคนตายมันวุ่นวาย”
ไม่ใช่ว่าเยี่ยเทียนไม่อยากบอกเรื่องโจรปล้นหลุมศพนั้นกับเขา แต่เหตุผลหนึ่งคือมันพัวพันกับพ่อ เหตุผลที่สองแม้ผู้มีวิชาในนั้นจะต่ำต้อยในสายตาของเยี่ยเทียน แต่คนเหล่านี้ก็ไม่ใช่พวกที่ลู่เชินจะต่อกรได้
“มัน…มันเป็นไปได้หรือ?” เห็นได้ชัดว่าทฤษฎีของเยี่ยเทียนโค่นล้มความเข้าใจในโลกมาหลายสิบปีของลู่เชิน จึงยากที่จะยอมรับได้ในชั่วพริบตา
เยี่ยเทียนพูดขึ้นมาทันทีว่า “พี่เชิน เรื่องรถเมล์หมายเลข 330 เมื่อปี 95 ในเมืองปักกิ่ง พี่ไม่มีทางไม่รู้เรื่องนี้หรอกมั้ง?”
“นาย…นายกำลังจะบอกว่า เหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นเพราะเกิดสนามแม่เหล็กแปรปรวนและไปก่อกวนสติสัมปชัญญะคนขับรถหรือ?”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว สีหน้าของลู่เชินก็กลับกลายเป็นซีดขาว ถึงขั้นดูแย่กว่าเมื่อวานตอนอยู่ในโรงพยาบาล เพราะว่าเรื่องหลังจากเหตุการณ์นั้น เขาพบประสบมาด้วยตัวเอง จนถึงตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้
มันเป็นตอนกลางคืนของเดือนพฤศจิกายนปี 95 ใน รถเมล์คันหนึ่งวิ่งช้าๆ มายังสถานีสวนสาธารณะหยวนหมิง แล้วค่อยๆ จอดข้างประตูทางทิศใต้สวนสาธารณะหยวนหมิง ซึ่งเป็นรถคันสุดท้ายของคืนนั้นแล้ว
เวลานั้นมีเพียงคนขับรถกับพนักงานเก็บตั๋วรถเมล์สาวคนหนึ่ง แล้วยังมีผู้โดยสารอีกสี่คน แบ่งเป็นคู่รักหนุ่มสาวกับคุณยายอายุค่อนข้างมากท่านหนึ่ง กับเด็กหนุ่มอีกคนในนั้น
หลังจากรถเพิ่งผ่านป้ายรถเมล์ประตูวังทางทิศเหนือประมาณสองสามเมตร คนขับรถก็เริ่มส่งเสียงบ่นขึ้นมา พูดว่าดึกขนาดนี้แล้วยังมีคนมารอรถอยู่อีก อีกทั้งยังไม่ทันถึงป้ายรถเมล์ข้างหน้า คนในรถได้ยินต่างก็หันไปมอง มีเงาร่างสองคนกำลังโบกมืออยู่ข้างถนนจริงๆ
คนเก็บตั๋วค่อนข้างมีน้ำใจกว่า พูดว่า นี่เป็นรถรอบสุดท้ายของคืนนี้แล้ว อากาศก็เย็นออกขนาดนั้น ให้ขึ้นมาเถอะ คนขับรถก็จอดทันที ใครจะไปรู้ว่าพอขึ้นมาแล้วกลับกลายเป็นสามคน นั่นเพราะสองคนนี้พยุงคนหนึ่งไว้ตรงกลาง
แต่สิ่งทำให้ทุกคนต่างหวาดกลัวคือ ทั้งสองคนต่างแต่งกายเหมือนอยู่ในสมัยราชวงศ์ชิง สีหน้าซีดขาว พอขึ้นรถมาแล้วก็ไม่พูดอะไร ดูเหมือนว่าคนเก็บตั๋วเคยเจอคนเหล่านี้ บอกว่าพวกเขาอยู่แถวละแวกบ้านถ่ายรูปพวกเครื่องแต่งกายโบราณ อาจเป็นเพราะยังไม่ได้เปลี่ยนชุด พอพูดแบบนี้จึงทำให้ทุกคนสงบสติลงได้ มีแต่คุยยายคนนั้นที่หันกลับไปมอง
ผ่านไปประมาณสามสี่ป้าย คู่รักหนุ่มสาวกำลังจะลงป้ายหน้า คนขับรถกับคนเก็บตั๋วก็พูดคุยกันยิ้มแย้ม
ช่วงเวลานี้เอง อยู่ดีๆ คุณยายวัยไม้ใกล้ฝั่งก็ยืนขึ้น เกิดอาการคุ้มคลั่งตีเข้าไปที่พ่อหนุ่มข้างหน้า ปากก็ด่าไปด้วยว่าพ่อหนุ่มคนนี้ขโมยกระเป๋าตังค์ของคุณยายตอนที่พวกเขาขึ้นรถ
พ่อหนุ่มมองกลับไปทันที ยืนขึ้นแล้วด่าคุณยายกลับ “อายุก็เยอะขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงกล้าหยาบคายใส่ร้ายคนอื่นแบบนี้!” คุณยายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ใช้เพียงสองตาจ้องมองด้วยความโกรธไปที่พ่อหนุ่มคนนั้น ทั้งยังใช้มือซ้ายออกแรงดึงปกเสื้อของเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
ตอนนั้นคนขับรถกับคนเก็บตั๋วเริ่มรู้สึกรำคาญแล้ว จึงพูดว่า ข้างหน้าเป็นสถานีตำรวจท้องถิ่น อยากทะเลาะกันก็ไปทะเลาะกันที่สถานีตำรวจ แล้วจอดรถไว้ข้างทาง ไล่ทั้งสองคนลงจากรถ
หลังจากลงรถพ่อหนุ่มคนนั้นก็ดึงคุณยายไว้เพื่อที่จะไปสถานีตำรวจ แต่ถูกคุณยายสะบัดมือทิ้ง พูดว่าเมื่อกี้ฉันช่วยชีวิตเธอนะ พ่อหนุ่มยิ่งไม่เข้าใจกันไปใหญ่ ยายใส่ร้ายว่าฉันขโมยกระเป๋าตังค์ของยาย ทำไมกลับกลายเป็นช่วยชีวิตฉันไว้ล่ะ
คุณยายพูดว่า เมื่อกี้ตอนที่ลมพัดผ่านหน้าต่าง ฉันเห็นคนแต่งกายสมัยราชวงศ์ชิงสองคนนั้นไม่มีขาทั้งสองข้าง พวกเรานั่งรถคันเดียวกับผี แล้วจะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไรกัน?
พอคำพูดนี้เอ่ยออกมา ทำให้พ่อหนุ่มคนนั้นตกใจจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว ทั้งสองคนรีบไปสถานีตำรวจละแวกนั้นเพื่อแจ้งความ แต่แค่คิดก็รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร คำพูดเหลวไหลแบบนี้ เป็นธรรมดาที่ตำรวจจะไม่ยอมรับฟัง ไม่ทันไรก็ไล่เขาทั้งสองคนออกมา
แต่ว่าในวันต่อมา บริษัทของรถขนส่งสาธารณะก็ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ บอกว่าเมื่อคืนรถเมล์ 330 รอบสุดท้ายของกะดึกและคนขับรถกับคนเก็บตั๋วได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ในวันที่สาม พบเจอรถเมล์ที่หายสาบสูญไปในบริเวณอ่างเก็บน้ำมี่อวิ๋นที่ระยะทางห่างจากสถานีตำรวจเซียงซานประมาณหนึ่งร้อยกว่ากิโลเมตร อีกทั้งภายในรถเมล์ยังเจอสองศพเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งอยู่ในสภาพเน่าเปื่อย
ฝ่ายตำรวจก็ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดตลอดเส้นทางมุ่งสู่มี่อวิ๋นอย่างละเอียด แต่กลับไม่เห็นว่ารถเมล์คันนี้วิ่งผ่านมา แต่ลู่เชินทำการชันสูตรพลิกศพ แล้วได้พบกับเรื่องแปลกประหลาดคือ ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สองวัน ศพไม่น่าจะเน่าเปื่อยได้ขนาดนี้
เหตุการณ์ลึกลับซับซ้อนจนฝ่ายตำรวจไม่สามารถหาวิธีคลี่คลายได้ อย่างไรก็ตามที่สามารถทำได้คือควบคุมสื่อมวลชนไม่ให้รายงานข่าวออกไป แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแล้วกว่าสองปี แต่ว่าสำหรับลู่เชินที่เคยมีส่วนร่วมกับคดีนี้ กลับเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ
“เยี่ยเทียน นายรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” ลู่เชินถาม คดีนี้ยังไม่สามารถปิดได้ มันจึงเหมือนหนามคอยทิ่มแทงอยู่ในใจเขาตลอดเวลา
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็พยักหน้า ตอบว่า “พี่เชิน ระยะทางก็ไม่ได้ไกลจากสวนชิงหวานัก ฉันจะไม่รู้ได้อย่างไร? เรื่องนี้เป็นเพราะถนนเส้นนั้นก่อเกิดพลังชั่วร้ายหนักหน่วงขึ้นมา พวกพี่ไม่ต้องตามสืบหาหรอก…”
ตอนนั้นพอเยี่ยเทียนได้ยินเรื่องนี้ ก็รีบวิ่งไปดูสถานที่เกิดเหตุ ตรงกับที่เขาว่าพอดี พื้นที่นั้นเป็นดินแดนหยินโดยธรรมชาติ บนโลกนี้มีสนามแม่เหล็กทำให้เกิดเหตุแปรผัน คล้ายเวลามีกระแสน้ำขึ้นน้ำลง จึงเหนี่ยวนำให้มี “เรื่องเหนือธรรมชาติ” เกิดขึ้นได้โดยง่าย
ส่วนเรื่องที่ศพเน่าเปื่อย ก็ยิ่งอธิบายให้เข้าใจได้อย่างง่ายดาย เดิมทีพลังชั่วร้ายมักกัดกร่อนสิ่งมีชีวิตที่ตายไปอย่างรุนแรงอยู่แล้ว
เช่นเดียวกับดาบสั้นที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียน ถ้าหากมีการปลุกเสก กระตุ้นพลังชั่วร้ายขึ้นมา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแม้คำว่าเน่าเปื่อยสองคำนี้ยังไกลเกินกว่าจะบรรยาย
“พวกผู้ชายทั้งสองคนกำลังคุยอะไรกันอยู่น่ะ? รีบมากินข้าวได้แล้ว กับข้าวจะเย็นหมดแล้ว…” ขณะลู่เชินคิดว่าจะถามต่อ เยี่ยตงหลันก็ตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ ทั้งสองมองไป กลายเป็นเหลือแค่ตัวเองที่ยังยืนอยู่ข้างนอก
“ไปกันเถอะ ไปกินข้าวกันก่อน เดี๋ยวกลับมาให้เธอชี้แนะต่อ”” ลู่เชินพยักหน้า ไม่ได้เชื่อคำพูดของเยี่ยเทียนไปเสียทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเหมือนกับครั้งแรก
“เยี่ยเทียน นี่มันของเล่นที่ขุดออกมา เธอเอามาที่นี่ทำไมกัน?”
เยี่ยเทียนเดินเข้าไปในห้องอาหาร เยี่ยตงผิงก็ไม่พอใจเอ่ยปากตำหนิ ต่อให้เขาเป็นคนที่ชอบสะสมของโบราณ ไม่ห้ามแตะต้องของพวกนี้ แต่ว่าเอาสิ่งของจากสุสานคนตายเข้ามาในห้องอาหาร ย่อมต้องมีคนรังเกียจอย่างแน่นอน
“เอ้อ ผมลืมไปเลย พ่อ พ่อลองดูของชิ้นนี้สิ…”
หลังจากได้ยินคำพูดพ่อแล้ว เยี่ยเทียนก็กลั้นขำไว้ไม่ได้ ของขลังชนิดนี้ต้องได้รับการดูแลจากเจ้าของอยู่ตลอดเวลา เวลาจะหยิบใช้ถึงทำได้ถนัดมือ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงชินกับการถือมันไว้ในมือ
“มีอะไรน่าดูล่ะ ก็แค่มีดเล่มหนึ่งไม่ใช่เหรอ?”
เยี่ยตงผิงถลึงตามองลูกชาย โทษเขาว่าไม่ควรเอาของออกมาต่อหน้าลู่เชิน แม้ว่าเขาเป็นเพียงแค่หมอนิติเวช แต่ก็เป็นคนทำงานสายเดียวกันกับตำรวจ เยี่ยตงผิงอ้าปากด่าลูกชายพลางเอามือดึงดาบสั้นเล่มนั้นมา
“นี่… นี่คือดาบสั้นเล่มนั้นเหรอ?”
ดาบสั้นที่ถูกพันด้วยผ้าหยาบถูกแกะออก เยี่ยตงผิงถึงกับตกตะลึง เขาไม่คิดว่าของสนิมเกรอะกรังจนเหมือนเหล็กขึ้นสนิมธรรมดา กลับกลายสภาพเป็นแบบนี้ไปแล้ว?
“ถูกต้อง ของชิ้นนี้เป็นของผมแล้ว”
เห็นพ่อไม่อาจละสายตาไปได้อย่างนั้น เยี่ยเทียนก็ประกาศความเป็นเจ้าของดาบสั้น ยื่นมือออกไปแย่งกลับ แล้วพูดว่า “พ่อ เดี๋ยวพ่อช่วยผมหาหนังดีๆ สักผืนสิ ผมจะเอามาทำปลอกใส่ดาบสั้น”
ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง เยี่ยเทียนก็พูดต่อว่า” ใช่แล้ว เดี๋ยวผมจะถ่ายรูปของชิ้นนี้ไว้ แล้วพ่อก็ช่วยทำหนังสือรับรองให้ผมหน่อย ไม่งั้นเวลาพกติดตัวออกไปไหนมันไม่สะดวก…”
ในยุคนั้นหากพกเครื่องสำริดและมีดสิ่งของพวกนี้ออกนอกบ้าน จะต้องโดนปรับ แต่ทว่าหากมีใบอนุญาติก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เยี่ยเทียนรู้ว่าพ่อมีเส้นสาย แค่จ่ายเงินไม่กี่หยวนก็สามารถหาคนที่ออกใบอนุญาติให้ได้แล้ว
“เจ้าลูกบ้า ของแบบนี้ถือออกไปข้างนอกได้เหรอ? รีบเอามาให้พ่อเก็บซะ!” เยี่ยตงผิงถลึงตาใส่ ยื่นมือไปหาลูกชาย
“ไม่ให้ อย่าแม้แต่จะคิด ของชิ้นนี้เป็นของผมแล้ว!” เยี่ยเทียนไม่สนใจพ่อแม้แต่น้อย ของที่อยู่ในมือเขา ใครก็อย่าหวังจะแย่ง
เห็นพ่อลูกกำลังเถียงกัน เยี่ยงตงหลันก็ตบโต๊ะ พูดออกไปอย่างอารมณ์เสียว่า “พอได้แล้ว ตงผิง แกอายุเท่าไหร่แล้ว? ยังจะแย่งของอะไรกับลูกชายอีก เดี๋ยวไปช่วยเยี่ยเทียนหาใบอนุญาตซะล่ะ!”
“พี่สาว ถ้าหากเขาไปทำคนบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร?” เยี่ยตงผิงยังพยายามแยกแยะคำพูดออกมา
“เสี่ยวเทียนยังรู้เรื่องมากกว่าเธอ ไม่ทำร้ายใครหรอก เธอไม่ฟังคำพูดของฉันแล้วหรือไง?” คุณนายใหญ่ไม่สนใจจะคุยเหตุผลกับน้องชาย เพียงแต่จ้องมองตรงๆ
“ก็ได้ เอาไปแล้วอย่าไปก่อเรื่องแล้วกัน พี่เขย เหวยอัน พวกเรากินข้าวกันเถอะ!”
แม้เยี่ยตงผิงจะเป็นหัวหน้าของครอบครัวเยี่ย แต่พออยู่ต่อหน้าพี่สาวก็ไม่กล้าแสดงอำนาจออกมา หลังจากจ้องไปยังลูกชาย ก็กลับไปดูแลทุกคนแล้วเริ่มก็กินข้าว
หลังกินข้าวเสร็จ ลู่เชินไปที่ห้องของเยี่ยเทียน พูดคุยกันยาวนาน แต่ยังมีเรื่องบางอย่างที่เยี่ยเทียนก็ไม่อาจให้คำอธิบายที่ชัดเจนได้ ตอนจากกันลู่เชินยังคงรู้สึกมึนงงไม่เข้าใจ
“หืม? ทำไมถึงรู้สึกจิตใจไม่สงบนะ?”
หลังจากส่งพี่ชาย เดิมทีเยี่ยเทียนจะเดินกลับไปที่เรือนสี่ประสาน แต่ว่าในใจรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย คิดๆ อยู่สักพักหนึ่ง ก็หันกลับไปที่ห้องตัวเอง จุดธูปหนึ่งเล่ม หลับตาแล้วนั่งสมาธิ
“มีอะไรเกี่ยวข้องกับพ่อหรือเปล่า? ทำไมใบเซียมซีนี้ดูไม่ชัดเจนเลย?”
หลังจากที่เสี่ยงดูแล้วครั้งหนึ่ง เยี่ยเทียนก็รู้ถึงสาเหตุที่จิตใจไม่สงบ ดูเหมือนว่าการค้าขายของโบราณวันนี้ยังไม่จบแค่นั้น อนาคตเยี่ยตงผิงอาจมีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้อีก
แต่สำหรับคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเยี่ยตงผิง คำทำนายกลับคลุมเครืออย่างยิ่ง กระทั่งเยี่ยเทียนก็ยังไม่รู้ว่าวันหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
ตอนที่ 199
สืบหาเบาะแส
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก เยี่ยเทียนก็สงบจิตใจนั่งลง เขาคาดเดาทิศทางที่ “เถ้าแก่เจี๋ย” ไป ชั่วประเดี๋ยวเดียวเยี่ยเทียนก็ลืมตาขึ้น คิ้วขมวดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าภายในใจมีเรื่องไม่อาจตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
จากการอนุมานเมื่อครู่ เยี่ยเทียนพบว่า “เถ้าแก่เจี๋ย” คนนั้นได้ไปจากปักกิ่งแล้ว ตอนนี้อาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และสถานที่ที่เขาจะไป คงจะเป็นอุรุมชี
สมัยก่อนเยี่ยเทียนเคยไปกับอาจารย์มาแล้วหลายที่ เดินทางแทบจะทุกที่ทั่วประเทศ แต่ว่ามีเพียงสามแห่งเท่านั้นที่พวกเขายังไม่เคยไป ที่แรกคือเขตพื้นที่อวิ๋นกุ้ย อีกสองที่นั้นคือทิเบตและซินเจียง
เรื่องที่เยี่ยเทียนสับสนในใจอยู่ตอนนี้คือ ตัวเองต้องสะกดรอยตามจัดการกับคนพวกนี้หรือไม่ อย่างแรกดูจากคำทำนายแล้ว ในอนาคตพวกเขาจะนำปัญหามาให้พ่ออย่างมาก อยากกำจัดปัญหาเหล่านี้ ทางที่ดีที่สุดคือจัดการปัญหาตั้งแต่ต้นตอ
อย่างที่สอง ในตัวของ ”เถ้าแก่เจี๋ย” มีพลังชั่วร้ายค่อนข้างแรง มือนั้นอย่างน้อยต้องเคยฆ่าคนมาหลายชีวิต หากจัดการพวกเขา ก็เท่ากับได้ทำความดี
บวกกับคนผู้นั้นที่มีความรู้เกี่ยวกับค่ายกล สร้างปัญหาให้เยี่ยเทียนถึงสองครั้งสองครา หากเยี่ยเทียนลงมือ ก็ไม่นับว่าผิดกฏของยุทธจักร
เพียงแต่การเดินทางไปกลับครั้งนี้ คาดคะเนอย่างสั้นก็ครึ่งเดือน บางทีถ้ายาวนานอาจเป็นเดือนกว่า เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนกำลังก่อสร้าง เขากลัวว่าหากเกิดข้อผิดพลาดอะไรกับขั้นตอนนี้ จะทำให้หลังจากสร้างเสร็จค่ายกลเสร็จ กลับไม่สามารถใช้งานได้ในอนาคต
“ลูกผู้ชายกระทำการ ทำตามใจปรารถนา เมื่อเรื่องนี้ทำให้จิตใจไม่สงบ ก็ต้องจัดการให้เร็วที่สุด!”
หลังจากเดินวนไปมาอยู่กลางห้อง เยี่ยเทียนก็ตัดสินใจเด็ดขาด เวลาตัดสินใจไม่เด็ดขาดจะได้รับผลกระทบจากมัน ทำให้ปัญหานี้ติดค้างอยู่ภายในใจ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อการฟื้นฟูและก้าวข้ามทักษะขั้นต่อไปของเยี่ยเทียนในอนาคต
หลังจากที่ตัดสินใจแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกโล่งขึ้น แต่ว่าเขาก็ไม่ได้รีบเร่งติดตามไป จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เยี่ยเทียนก็มีความมั่นใจว่าสามารถหยุดพวกเขาที่ซินเจียงได้แปดถึงเก้าในสิบส่วน
……………………-
“หวังกง ตำแหน่งเหล่านี้ คุณจำเป็นต้องคุมงานด้วยตนเองนะครับ ผมบอกรูปร่างลักษณะของวัตถุและตำแหน่งที่ตั้งแล้ว อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ เด็ดขาด อีกไม่กี่วันผมต้องออกเดินทางไกล เรื่องที่นี่ต้องรบกวนคุณด้วย!”
เดินทอดน่องมาถึงเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนก็พบหวังกง ชี้ให้เขาดูสองสามตำแหน่งบนแปลนกระดาษ “ตรงนี้คือตำแหน่งของค่ายกล จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว”
“ท่านประธานเยี่ย ท่านวางใจได้เลย แม้ว่างานนี้จะค่อนข้างละเอียด แต่ผมก็ไม่ได้ทำเป็นครั้งแรก ผมจะควบคุมพวกเขาเอง…”
หวังกงรู้ว่าเยี่ยเที่ยนกับเถ้าแก่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นต่อกัน จึงตบหน้าอกรับประกันทันที นั่นทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกมั่นใจขึ้นมาหน่อย ค่ายกลนี้สำคัญกับเขามากจริงๆ
พอถึงวันที่สาม เยี่ยตงผิงโยนหนังจระเข้ให้ลูกชาย และยังมีหนังสือรับรองเก็บสะสมโบราณวัตถุที่ออกโดยองค์กรที่มีอำนาจสูงของเมืองหลวง นานทีลูกชายจะร้องขอให้เขาช่วย คนเป็นพ่อก็ต้องทำให้เรียบร้อยเป็นธรรมดา
“ของชิ้นนี้นับว่าไม่เลวเลย…”
ง่วนอยู่ในห้องทั้งวัน เยี่ยเทียนมองหนังจระเข้ผืนนี้อย่างพึงพอใจ เขายังแกะสลักค่ายกลลงไปบนหนังด้วย ซึ่งไม่เพียงช่วยชำระพลังร้ายของดาบสั้น ในเวลาเดียวกันตราบใดที่ดาบไม่ถูกดึงออกจากฝัก ก็จะไม่มีใครรู้ว่านี่คือเครื่องรางชิ้นหนึ่ง
ดาบสั้นนี้ยาวไม่เกินสองนิ้วมือ แขนเสื้อทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนมีเงื่อนเย็บอยู่สองปม หลังจากใส่ดาบสั้นเข้าไป ก็พอดีกับปลายแขนของตน ตอนพับแขนยังไม่รู้สึกว่าส่งผลต่อการเคลื่อนไหวมากนัก
“พ่อ ผมจะไปข้างนอก ประมาณสิบกว่าวันถึงจะกลับนะ…” วันต่อมาตอนกินอาหารเช้า เยี่ยเทียนคุยกับพ่อเรื่องนี้
เยี่ยตงผิงมองยังลูกชายแวบหนึ่ง ตอบกลับไปว่า “จะไปก็ไปสิ อย่าไปก่อเรื่องข้างนอกล่ะ!”
“แหะๆ พ่อ ช่วงนี้ เรื่องเงินค่อนข้างติดขัด…”
เยี่ยเทียนยิ้มแหยแล้วยื่นมือออกไปหาพ่อ ที่จริงเขามีเงิน เพียงแต่ไม่กี่วันก่อนเอาบัตรไปให้เว่ยหงจวินจนหมด เขารู้ว่าถ้าโครงการนี้สำเร็จหลังจากนั้นเว่ยหงจวินก็จะคืนส่วนที่เหลือ แต่กลับรู้สึกลำบากใจที่จะไปขอเงินเล็กน้อยนี้จากเขา
“ไอ้เจ้านี่ คิดว่าพ่อแกเป็นเศรษฐีที่ดินหรอ” เยี่ยตงผิงวางตะเกียบลงอย่างอารมณ์เสีย หันตัวเดินออกไป
“เสี่ยวเทียน คราวนี้เธอจะไปไหนเหรอ?” เยี่ยตงผิงชินกับการกระทำของลูกชายที่ชอบไปไหนตามลำพัง แต่ว่าป้าทั้งสองเป็นห่วงหลานชาย ในสายตาของพวกเขา เยี่ยเทียนเป็นเพียงแค่หนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ เท่านั้น
เยี่ยเทียนไม่กล้าบอกว่าไปวางเพลิงฆ่าคนอย่างแน่นอน หัวเราะตอบทันทีว่า “ป้า ผมจะกลับไปเที่ยวเจียงหนาน ไม่กี่วันก็กลับแล้วครับ…”
“แค่สามพันหยวนนะ เยอะกว่านี้ไปสำรองเอาเอง” ขณะกำลังพูดอยู่ เยี่ยตงผิงเดินเข้ามาจากข้างนอก โยนเงินปึกหนึ่งไว้ตรงหน้าเยี่ยเทียน
“จะออกไปข้างนอกทั้งทีต้องพกเงินไปเยอะหน่อย เยี่ยเทียน ป้ายังพอมีเงิน รออยู่นี่นะ ป้าจะไปเอามาให้” ป้าใหญ่ไม่พอใจความขี้เหนียวของเยี่ยตงผิงอย่างมาก ลุกขึ้นจะไปหยิบเงินมาให้เยี่ยเทียน
“โอ๊ย พี่ เขามีเงินมากกว่าพวกเราอีก อย่าไปเชื่อเจ้าเด็กเวรนี่ “
เยี่ยตงผิงถูกพี่สาวพูดเสียจนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลังจากดึงตัวพี่สาว ก็ควักเงินออกมาจากกระเป๋าอีกสองพันหยวน พูดว่า “รีบไปเลย พรุ่งนี้พ่อจ่ายค่าเช่าแล้วก็ต้องไปถอนเงินอีก!”
เห็นพ่อยอมจำนน เยี่ยเทียนก็รีบกลืนซาลาเปาสองลูกเข้าไปอย่างรวดเร็ว รวบเงินบนโต๊ะกลับเข้าห้องตัวเอง
ซินเจียงเดือนกันยายนอุณภูมิหนาวกว่าแถบนั้นนิดหน่อย นอกจากชุดชั้นในสำหรับเปลี่ยนซักไม่กี่ชิ้น เยี่ยเทียนก็เตรียมเสื้อคลุมไว้สองตัว นอกนั้นยังใส่หมวกอีกใบหนึ่ง หาอะไรมาคลุมผมเพื่อที่จะได้สะดุดตาผู้คนน้อยที่สุด
บอกให้อวี๋ชิงหย่ารู้แล้ว ทางเว่ยหงจวินก็ฝากฝังแล้วเช่นกัน เยี่ยเทียนคิดไปคิดมา หยิบมือถือออกจากกระเป๋าทิ้งลงบนโต๊ะ
เยี่ยเทียนไม่กลัวปัญหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากแส่หาเรื่อง สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือยังไม่แพร่หลายนัก ถือเจ้าสิ่งนี้ไว้อาจถูกคนจับตามองได้
หิ้วกระเป๋าเป้ขึ้น เยี่ยเทียนใส่ชุดออกกำลังกายออกไปจากเรือนสี่ประสาน นั่งรถแท็กซี่ตรงมาถึงสถานีรถไฟเมืองปักกิ่ง หลังลงจากรถเยี่ยเทียนก็เข้าไปที่ลานจอดรถจากช่องทางเข้าของพนักงาน
“เยี่ยเทียน หลายปีมานี้นายไม่ได้กลับเจียงซูเลยใช่ไหม? ทำไมไม่มาหาลุงหยางบ้างล่ะ?”
มาถึงป้อมยามของสถานีรถไฟ หยางข่ายจวินรออยู่ตรงนั้นพอดี เมื่อเห็นเยี่ยเทียนก็ยิ้มต้อนรับ ซึ่งทำให้คนในป้อมต่างรู้สึกตื่นตกใจ สายตาที่มองมาทางเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไป เป็นใครมาจากไหนกันถึงสนิทสนมกับอธิบดีหยางได้ขนาดนี้?
คดีที่เกิดบนขบวนรถไฟเมื่อสองปีที่แล้วนั้น ทำให้นายตำรวจหยางได้รับการชมเชยจากกระทรวงการรถไฟและกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ตอนนี้เป็นรองอธิบดีของฝ่ายรักษาความปลอดภัยกระทรวงการรถไฟพื้นที่เขตปักกิ่ง
เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มีคนก่อเหตุร้ายในปีนั้น อธิบดีหยางรู้สึกขอบคุณในใจมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อรู้ว่าเยี่ยเทียนต้องการตั๋วตู้นอนบนรถไฟหนึ่งใบจากปักกิ่งถึงอุรุมชี หยางข่ายจวินจึงมาที่สถานีด้วยตนเอง
“ลุงหยาง รบกวนลุงมาตลอด เกรงใจจังเลยครับ เรื่องคราวนี้ค่อนข้างเร่งด่วนถึงได้มาหาลุง” เยี่ยเทียนยิ้มด้วยความเขินอาย เหมือนกับนักศึกษาใหม่เมื่อสองปีก่อนคนนั้น
“พูดอะไรกัน มีเรื่องแล้วไม่มาพบลุงหยาง เป็นอย่างนั้นลุงจะโมโหมากกว่านะ…”
หยางข่ายจวินหัวเราะ หลังจากมองนาฬิกาแล้วก็พูดว่า “ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่ารถจะออก ไป ฉันไปส่งเธอที่ตู้นอนก่อนแล้วกัน”
ด้วยความสัมพันธ์ที่มีกับอธิบดีหยาง หาตู้นอนบนรถไฟจึงไม่นับเป็นปัญหา หลังจากส่งเยี่ยเทียนขึ้นตู้นอน พุดคุยกับเยี่ยเทียนอยู่พักหนึ่ง ก็วางผลไม้ไว้ให้เยี่ยเทียนกินระหว่างทางจำนวนไม่น้อย จากนั้นหยางข่ายจวินถึงลงจากรถไฟ
“ปลูกต้นเหตุในอดีต ได้ผลลัพธ์ในวันนี้ มีกินมีดื่มคราวนี้เป็นเจตนาสวรรค์ล้วนๆ!”
รถไฟจากปักกิ่งถึงอุรุมชีมีเพียงแค่ขบวนเดียว หากไม่ได้หยางข่ายจวินช่วยเหลือ คาดว่าเยี่ยเทียนคงจะต้องนั่งเป็นระยะทางอันยาวไกล แรงสั่นสะเทือนขนาดนั้นต่อให้เป็นเยี่ยเทียนก็ไม่อยากทดสอบ
“พ่อหนุ่ม เธอก็อยู่ตู้นี้เหมือนกันเหรอ?” ขณะรถไฟกำลังจะออก ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็เปิดประตูห้องออก กล่าวทักทายอย่างสุภาพอ่อนโยนกับเยี่ยเทียน
“ใช่ครับ คุณอา เข้ามาเลยครับ”” เยี่ยเทียนช่วยชายวัยกลางคนยกกระเป๋าเข้ามา “รถไฟขบวนนี้จะใช้เวลาเดินทางประมาณสามสิบชั่วโมง หากไม่มีคนคุยด้วยก็คงรู้สึกอึดอัดแย่”
“ฉันนั่งเครื่องบินไม่ได้ ทุกครั้งที่ไปอุรุมชีต้องนั่งรถไฟตลอด พ่อหนุ่มเธอจะไปทำอะไรที่นั่นหรือ?” มีคนธรรมดาไม่มากนักที่สามารถซื้อตู้นอนสำหรับสองคน ชายวัยกลางคนจึงรู้สึกเกรงใจเยี่ยเทียนเช่นกัน
“มีญาติอยู่ที่นั่นครับ ผมจะไปบ้านญาติ…’’ เยี่ยเทียนยิ้มตอบกลับไป ระหว่างการเดินทางของผู้คน สามารถสร้างมิตรภาพได้ง่ายมาก หลังจากรถไฟออกจากปักกิ่งได้ไม่นาน เยี่ยเทียนก็รู้จักประวัติของชายวัยกลางคนผู้นี้
ชายวัยกลางคนนี้มีชื่อว่าเฉินสี่ฉวน เป็นชาวปักกิ่งแท้ๆ แต่ว่าในอดีตเคยถูกส่งไปพัฒนาชนบทที่ซินเจียง จึงรู้สึกผูกพันกับที่นั่น หลังจากทำธุรกิจรุ่งเรืองอยู่ที่ปักกิ่งแล้ว ก็กลับไปลงทุนทำโรงงานทอฝ้ายที่ซินเจียง
ปริมาณผลผลิตฝ้ายของซินเจียงนั้นติดโผหนึ่งในสิบอันดับของโลก ส่งผลให้ไม่กี่ปีมานี้ธุรกิจของเฉินสี่ฉวนในซินเจียงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงมักใช้เวลาอยู่ที่นั่นถึงครึ่งปีในแทบทุกปี
“มา เสี่ยวเยี่ย ปูผ้าที่ฝั่งนั้น เรามาดื่มกันสักหน่อย!”
พอถึงเวลากลางวัน เฉินสี่ฉวนก็เปิดกระเป๋า เอากับข้าวไม่กี่อย่างออกมา แล้วยังมีเอ้อกั่วโถวขวดหนึ่ง ซึ่งถูกปากคนปักกิ่งรุ่นราวคราวเดียวกับเขา
“หืม? ลุงเฉิน ลุงกำลังค้นคว้าเกี่ยวกับฮวงจุ้ยหรือครับ?”
เยี่ยเทียนช่วยเฉินสี่ฉวนเก็บหนังสือที่ตกขึ้นมาเล่มหนึ่ง “ฮวงจุ้ยบ้านและห้องนอน”? เยี่ยเทียนเห็นอย่างนั้นก็อดขำไม่ได้
เฉินสีฉวนยิ้มตอบว่า “เวลาไม่มีอะไรทำก็คิดไปเรื่อยเปื่อย แต่ว่าเสี่ยวเยี่ย นี่ไม่ใช่ความเชื่องมงายหรอกนะ เป็นความรู้ที่ปู่ยาตายายของพวกเราถ่ายทอดมา…”
“ครับ ลุงเฉินพูดไม่ผิดเลย!”
เยี่ยเทียนยิ้มประจบประแจงสองสามคำ แต่ไม่ได้พูดถึงสถานะของตัวเอง แต่พอเป็นแบบนี้จึงทำให้ได้รับความไว้วางใจจากเฉินสี่ฉวนมากขึ้น เยี่ยเทียนแทรกขึ้นมาหนึ่งคำ ยิ่งทำให้เถ้าแก่เฉินดีอกดีใจ
มีคนพูดคุยด้วย เวลาก็ผ่านไปเร็ว หลังจากนอนสักงีบกินข้าวสักสองสามมื้อ ในที่สุดรถไฟก็ถึงที่หมายยังสถานีอุรุมชี
“เสี่ยวเยี่ย กลับไปปักกิ่งแล้ว อย่าลืมโทรมาหาลุงนะ!”
ถึงแม้ออกปากว่าจะไปส่งเยี่ยเทียนที่บ้านญาติของเขา แต่เยี่ยเทียนก็ปฏิเสธไม่ยอมรับ หลังออกมาจากสถานี เฉินสี่ฉวนก็โบกมือให้กับคนที่สามารถพูดคุยกันได้จนลืมวัย
เยี่ยเทียนเองไม่ได้เรียกรถ หลังจากออกจากสถานีรถไฟ ก็เดินไปตามเส้นทาง เขาสามารถสัมผัสได้ว่า ระยะห่างของตัวเองกับ “เถ้าแก่เจี๋ย” คนนั้น ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
หลังผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เยี่ยเทียนก็ยืนอยู่หน้าประตูโรงแรมแห่งหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนจะหัวเราะหรือร้องไห้ก็ไม่ออกคือ โรงแรมที่อยู่ข้างหน้านี้ ช่างเหมือนกับสถานีตำรวจ
ตอนที่ 200
ต่างคนต่างความคิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไอ้แก๊งนี้ดูทีวีมากเกินไปหรือไง? วันๆ คิดวนไปวนมาแต่เรื่องเงาใต้ตะเกียง…”
เยี่ยเทียนส่ายหัว ช่วงนี้โทรทัศน์ออกอากาศละครฮิตเรื่องหนึ่งชื่อว่า “ราชวงศ์หย่งเจิ้ง” ในนั้นมีตอนที่เหนียนเกิงหยาแสวงหากองทัพหลักของฝ่ายตรงข้าม ได้ที่ปรึกษาอูซือยกตำนานเงาใต้ตะเกียง(สถานที่อันตรายที่สุดย่อมปลอดภัยที่สุด)มาชี้แนะ
ปัจจุบันที่พวกโจรปล้นหลุมศพเลือกหยุดพักอยู่ตรงข้ามสถานีตำรวจซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางทีคงเพราะมีความคิดนี้อยู่ในใจ
โรงแรมสี่ดาวนี้โอ่อ่าหรูหรามาก สูงประมาณยี่สิบกว่าชั้น อยู่ในอุรุมชีนับว่าไม่เลวเลย
ถ้าหากไม่เป็นเพราะเยี่ยเทียนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า “เถ้าแก่เจี๋ย” อยู่ข้างใน เขาอาจคิดไม่ถึงเหมือนกันว่ากลุ่มโจรปล้นหลุมศพจะพักอยู่ในโรงแรมหรูหราขนาดนี้ จุดนี้ไม่สอดคล้องกับสถานะของพวกเขาที่ต้องวุ่นกับคนตายทั้งวี่วัน
หลังจากเดินรอบโรงแรมหนึ่งรอบ เยี่ยเทียนก็สะพายกระเป๋าเป้เดินไปที่ล็อบบี้ ยื่นบัตรประชาชนแล้วพูดว่า “พี่สาวครับ รบกวนพี่ช่วยหาห้องที่อยู่ชั้นล่างๆ หน่อย ผมเมาลิฟต์”
ในเมื่อเป็นความต้องการของแขก โรงแรมก็ไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ หลังจากให้เยี่ยเทียนเลือกดูสามห้อง เยี่ยเทียนจึงเลือกห้องชั้นห้าที่ด้านหน้าติดกับลานจอดรถของโรงแรม
หลังจากเข้ามาในห้อง เยี่ยเทียนก็เปิดผ้าม่านออก ตามคาด จากตรงนั้นสามารถเห็นลานจอดรถของโรงแรมได้อย่างชัดเจน ด้วยสายตาของเยี่ยเทียน สามารถมองเห็นกระทั่งทุกคนที่ลงมาจากรถ
“แปลกจริง ทำไมเหลือแค่เขาคนเดียว?”
หลังจากดึงผ้าม่านขึ้นไป เยียเทียนก็นั่งลงบนเตียง แล้วสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของ “เถ้าแก่เจี๋ย” แต่กลับอยู่ในห้องชั้นสิบแปด
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนแปลกใจก็คือ คาดไม่ถึงว่าภายในห้องกลับมี “เถ้าแก่เจี๋ย” แค่คนเดียว ซึ่งแตกต่างไปจากที่เยี่ยเทียนจินตนาการไว้ สาเหตุที่เขาสะกดรอยตามมาถึงที่นี่ ไม่ได้เพื่อหา “เถ้าแก่เจี๋ย”!
“รอดูก่อนก็แล้วกัน เราไม่เชื่อว่าหรอกเขาจะอยู่ที่โรงแรมนี้ไปตลอด!”
นั่งอยู่บนรถไฟต่อเนื่องกันสิบกว่าชั่วโมง เยี่ยเทียนรู้สึกเหนื่อยล้า จึงอาบน้ำร้อนแล้วล้มตัวนอนลงบนเตียง ถึงอย่างไรก็ตามขอเพียงแค่พลังชีวิตเหล่านั้นยังอยู่ในตัว “เถ้าแก่เจี๋ย” เยี่ยเทียนก็สามารถควบคุมฝ่ายตรงข้ามตลอดจนการเคลื่อนไหวรอบตัวเขาได้ทุกเวลา
เมื่อเยี่ยเทียนตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว หลังจากล้างหน้าเสร็จ เยี่ยเทียนก็สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตเบาบางของตนเอง ประสาทตื่นตัวขึ้นมาทันที
เพราะเยี่ยเทียนพบว่า “เถ้าแก่เจี๋ย” ไม่ได้อยู่ห้องชั้นสิบแปดอีกต่อไปแล้วแล้ว แต่กลับไปยังชั้นแปด
อีกทั้งเยี่ยเทียนสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ห้องนั้นเมื่อรวมกับ “เถ้าแก่เจี๋ย” แล้วมีทั้งหมดห้าคน หากว่าคาดเดาไม่ผิด คนของแก๊งปล้นหลุมศพต้องอยู่ในนี้ทั้งหมดแน่นอน
“เฮ้อ พลังต่ำเกินไป ไม่รู้เลยว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน…”
หนึ่งในความสามารถลับที่เยี่ยเทียนได้รับสืบทอดมา หากว่ามีทักษะเข้าขั้น เมื่อพลังชีวิตผ่านเข้าร่างของเขา จะไม่เพียงได้ยินสิ่งที่ฝั่งตรงข้ามกำลังพูดคุยเรื่องอะไรกัน แม้กระทั่งภาพสถานที่เกิดขึ้นในเวลานั้นยังปรากฎออกมาในสมอง ราวกับดวงตาเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า
แต่ว่าตอนนี้ความสามารถของเยี่ยเทียน ยังไม่ถึงระดับนั้น สามารถทำได้เพียงอาศัยการสั่นสะเทือนของพลังชีวิต สัมผัสถึงสถานการณ์รอบตัวของ “เถ้าแก่เจี๋ย” ส่วนเรื่องอื่นนั้นไม่อาจทำได้
“ลงมือที่นี่ไม่ได้แน่นอน ออกจะลำบากเล็กน้อย…” เยี่ยเทียนเกาหัวอย่างหงุดหงิด
ต้องเข้าใจก่อนว่า ทุกแห่งในโรงแรมล้วนมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ ถ้าหากคนพวกนั้นอยู่ในโรงแรมแล้วเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เยี่ยเทียนจะตกเป็นที่สงสัยอย่างแน่นอน เขาไม่อยากเอาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับพวกปล้นหลุมฝังศพ
“พวกเขาคงไม่นอนแช่อยู่ในโรงแรมตลอดเวลาหรอกมั้ง? ต่อให้เป็นช่วงพักผ่อนก็ต้องออกไปเที่ยวข้างนอก”
เยี่ยเทียนเชื่อว่า พวกเขาคงไม่มาอุรุมชีโดยไร้เหตุผล ต้องมีเป้าหมายและแผนการบางอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นหากตนเองคอยติดตามพวกเขา ย่อมสบโอกาสแน่
หลังจากครุ่นคิดอยู่ช่วงหนึ่ง เยี่ยเทียนก็คิดหาวิธีหนึ่งได้ ทันใดนั้นจึงเอากระดาษสีเหลืองหนึ่งแผ่นในกระเป๋าเป้ออกมา เดินไปล็อคประตูจากด้านใน แล้วง่วนอยู่ภายในห้อง
หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง เยี่ยเทียนเหงื่อท่วมหัวถือกระดาษสีเหลืองแผ่นนั้น สบถอย่างรุนแรงว่า “แม่เอ๊ย เขียนยันต์นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!”
ดูจากภายนอกแล้ว กระดาษสีเหลืองแผ่นนี้กับแผ่นก่อนหน้าไร้ซึ่งความแตกต่าง แต่หากเป็นคนที่เบิกเนตรแล้วจะสามารถมองเห็นว่า ในกระดาษสีเหลืองแผ่นนี้แฝงไว้ด้วยพลังชีวิตเบาบาง พอกล้อมแกล้มนับว่าเป็นยันต์วิญญาณแผ่นหนึ่ง
ยันต์แผ่นนี้ที่เยี่ยเทียนสร้างขึ้น ใช้วิธีวาดยันต์ในอากาศ ใช้พลังชีวิตจากภายในร่างกายของตัวเอง รวบรวมค่ายกลลงไปในยันต์ และถ้าหากมีคนสัมผัสค่ายกลนี้ พลังชีวิตไร้รูปไร้สีตรงกลางจะแทรกผ่านเข้าไปในร่างกายของคนนั้น
เหตุผลที่สร้างยันต์นี้ เป็นเพราะปัจจุบันเยี่ยเทียนสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของ “เถ้าแก่เจี๋ย” ได้เพียงคนเดียว ถ้าหากคนที่เหลือแยกตัวออกจากเขา เยี่ยเทียนก็หมดหนทาง ดังนั้นจึงวาดยันต์แผ่นนี้ขึ้นมา เพื่อให้ตัวเองสามารถรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของพวกเขาทุกคน
พอเขียนยันต์เสร็จ เยี่ยเทียนก็เดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วทำอะไรบางอย่างกับกระจก หลังจากผ่านไปห้านาที ตัวเขาที่ออกมาจากห้องน้ำ ดูคล้ายกับมีดวงตาเล็กลงมาก ถ้าหากไม่ใช่คนสนิทกันเป็นพิเศษ มองแวบเดียวจะจำไม่ได้แน่นอน
นี่คือทักษะหนึ่งที่เยี่ยเทียนได้เรียนรู้หลังจากท่องเที่ยวในยุทธภพกับนักพรตเต๋า นักพรตเต๋าเคยให้เยี่ยเทียนแสดงเป็นคนบุคลิกแตกต่างกันถึงห้าคน ไปถามทางกับตำรวจคนเดียวกันได้โดยไม่แสดงพิรุธใดๆ ออกมาเลย นี่จึงเท่ากับว่าสำเร็จการฝึกฝนจากอาจารย์แล้ว
แม้จะเทียบกับวิชาแปลงโฉมในตำนานไม่ได้ แต่ก็มีประโยชน์อย่างมาก ตอนนี้ต่อให้เยี่ยเทียนอยู่ต่อหน้า “เถ้าแก่เจี๋ย” เกรงว่าฝ่ายตรงข้ามยังไม่รู้ว่าเขาคือใคร
เยี่ยเทียนสวมหมวก ค่อยๆ ย่องออกจากห้อง ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นแปด เมื่อผ่านห้องที่ “เถ้าแก่เจี๋ย” อยู่ ก็แกล้งปล่อยกระดาษเหลืองในมือหล่นลงพื้น
หลังจากเยี่ยเทียนเก็บขึ้นมา พลังชีวิตของเยี่ยเทียนก็กระจุกรวมตัวกันอยู่หน้าประตู ขอเพียงมีคนเข้าไปในห้องนี้ ก็จะติดตัวไปด้วย
ลูบท้องที่ส่งเสียงร้องโครกครากมาตลอด เยี่ยเทียนลงมายังชั้นหนึ่ง อาหารของซินเจียงถือว่าขึ้นชื่อไปทั่วโลก ในเมื่อมาถึงแล้ว หากไม่ลองคงจะเสียดายน่าดู
………………………………
ในห้องรับแขกชั้นแปด ทั้งสี่คนกำลังเล่นไพ่ส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย หวังซุ่นเองก็อยู่ในนั้น แต่ว่าดวงตาของเขาเพ่งยังประตูบานนั้นที่ปิดอยู่ตลอด
หวังซุ่นมาถึงอุรุมชีช้ากว่าพวกตี๋วั่งไปสองวัน หลังจากมาถึงแล้วก็เข้าพักที่นี่ แต่วันนี้เพิ่งจะเจอพวกตี๋วั่ง ไม่รู้เรื่องการเดินทางในสองวันนี้ของพวกเขาเลย
สิ่งนี้ทำให้ภายในใจของหวังซุ่นรู้สึกต่อต้าน อดไม่ไหวถามชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาว่า “พี่สาม อาจารย์เป็นอะไร? ตั้งแต่กลับมาก็เข้าไปในห้อง พวกเรามาค้าขายอะไรที่นี่กันแน่?”
เดิมทีกลุ่มของตี๋วั่งมีอยู่ทั้งหมดแปดคน หวังซุ่นเข้ากลุ่มมาระยะเวลาสั้นที่สุด แต่ก็ติดตามเขามาสิบกว่าปีแล้ว เหล่าเอ้อตอนที่เพิ่งเข้ามาในกลุ่มใหม่ๆ ก็เคยพลาดพลั้งเสียชีวิตขณะปล้นหลุมศพครั้งหนึ่ง
ปัจจุบันในกลุ่มนี้นอกจากตี๋วั่ง ก็ต้องนับจากลำดับความอาวุโสของเจ้าโง่เหล่าซัน เขาไม่เคยลงไปยังสุสานเลย คอยติดตามเหมือนเป็นเงาให้ตี๋วั่งมาโดยตลอด จึงนับว่าเป็นคนสนิทของเขา
กับหวังซุ่นผู้เจ้าเล่ห์ไร้ยางอายที่นับถือหัวหน้าใหญ่เป็นอาจารย์คนนี้ เจ้าคนโง่ไม่ได้นึกชื่นชมอะไร จ้องมองไปที่หวังซุ่น แล้วตอบว่า “เรื่องของหัวหน้าฉันจะไปรู้ได้ไง? เสี่ยวชี นายก็ลองเข้าไปถามดูสิ”
“ได้ เงินนี้กะจะให้หัวหน้าพอดี ง้ันผมไปเคาะประตูแล้วนะ พี่สาม เดี๋ยวถ้าถูกด่าพี่ต้องช่วยปกป้องผมล่ะ!”
เวลาปกติ หากตี๋วั่งไม่เรียกพวกเขา ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปในห้องของหัวหน้า แต่ว่าคราวนี้หวังซุ่นทำการค้าขายสำเร็จได้เงินสองแสน หัวหน้าคงจะไม่ดุด่าตนเองหรอกมั้ง?
“เข้ามา!” หลังจากหวังซุ่นเคาะประตู เสียงแหบของตี๋วั่งก็ดังออกมาจากในห้อง
“ท่านอาจารย์ นี่คือเงินสองแสนจากการค้าขายของโบราณชุดนั้นที่ปักกิ่งครับ ทั้งหมดอยู่นี้แล้ว…” หวังซุ่นวางกระเป๋าหนังใบนั้นตรงหน้าของตี๋วั่งอย่างเคารพนบนอบ แต่สายตากลับจ้องมองไปยังหนังสือที่อยู่ในมือของตี๋วั่งเล่มนั้น
หนังสือเล่มนั้นออกจะชำรุดอยู่บ้าง ปกหนังสือหลุดไปหมดแล้ว แผ่นกระดาษก็เริ่มเหลือง ด้านบนดูเหมือนมีการวาดสัญลักษณ์ แต่ก็เป็นแค่หนังสือชำรุดเล่มหนึ่ง กลับทำให้หวังซุ่นไม่สามารถละสายตา
“เสี่ยวชี ครั้งนี้ทำได้ไม่เลวเลย เงินนี้ นายเอาไปห้าหมื่น!”
หวังซุ่นนึกว่าพอก้มหัวลง ก็สามารถหลบสายตาของตี๋วั่ง แต่กลับไม่ทันสังเกตุ ว่าตี๋วั่งที่อยู่ข้างหน้าเขาเผยรอยยิ้มเย็นออกมาบนใบหน้า ในอดีตเป็นเพราะเหล่าเอ้อแอบชำเลืองมองคัมภีร์เล่มนี้ จึงถูกตี๋วั่งฝังทั้งเป็นในสุสานโบราณ
“อาจารย์ ติดตามท่านแล้วผมจะเอาเงินไปทำไม?” หลังจากได้ยินคำพูดของตี๋วั่ง หวังซุ่นก็ลดหัวลงต่ำกว่าเดิม
รอยยิ้มเย็นบนใบหน้าของตี๋วั่งเข้มขึ้น แต่น้ำเสียงกลับกลายเป็นนุ่มนวลอ่อนโยน “ฉันรู้ ว่าเธออยากเรียนรู้ทักษะความสามารถของอาจารย์มาโดยตลอด เสี่ยวชี วางใจเถอะ อาจารย์แก่แล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องสืบทอดให้เธออยู่ดี…”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ เสี่ยวชีจะตั้งใจศึกษาอย่างแน่นอน!” หวังซุ่นคุกเข่าทั้งสองข้างลงพื้นอย่างแรง ดีใจจนออกนอกหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่ตี๋วั่งรับปากกับเขาว่าจะถ่ายทอดวิชาค่ายกลให้
ติดตามตี๋วั่งมาสิบกว่าปี หวังซุ่นรู้อย่างชัดเจน ว่าที่คนตรงหน้าสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ได้ชนิดถอนรากถอนโคน พื้นฐานล้วนอาศัยคัมภีร์ตรงหน้าเล่มนี้
อีกทั้งหวังซุ่นกระทำการไร้ยางอายสารพัดยกย่องตี๋วั่งเป็นอาจารย์ แท้จริงแล้วก็เพื่อหนังสือเล่มนี้เท่านั้น เขาเชื่อว่า ขอเพียงแต่ตัวเองได้ศึกษาเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ ก็จะไม่ต้องอาศัยอยู่ใต้จมูกของตี๋วั่งแยกตัวออกไปตั้งสำนักใหม่ได้
รู้สึกได้ว่าวันนี้ตี๋วั่งอารมณ์ดี หวังซุ่นทำใจกล้าถามว่า “อาจารย์ครับ ครั้งนี้เราจะทำอะไรกัน? ภายในประเทศออกจะดีขนาดนี้ พวกเราไม่จำเป็นต้องวิ่งเต้นไปถึงต่างประเทศหรอกมั้ง?”
เรื่องที่ตี๋วั่งเคยพูดตอนอยู่ปักกิ่งว่า จัดการเรื่องราวที่ซินเจียงเสร็จสิ้นก็จะออกนอกประเทศทันที ในใจหวังซุ่นกลับไม่เห็นด้วย อย่าเห็นว่าเขาอายุยังน้อย อย่างไรก็สร้างเพื่อนสนิทมิตรสหายในเมืองถึงสี่ห้าคน จึงไม่เต็มใจจะออกไปนอกประเทศเท่าไหร่
“อืม ฉันก็คิดดูแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก จัดการเรื่องนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน เสี่ยวชี พรุ่งนี้ไปขึ้นเขากับพวกเรา ตอนนี้กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ!”
“ขอบคุณครับอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนล่ะ อาจารย์ก็พักผ่อนนะครับ” เมื่อได้ยินตี๋วั่งส่งแขก หวังซุ่นก็แอบมองไปยังคัมภีร์เล่มนั้นครู่หนึ่ง แล้วเดินออกจากห้อง
เดิมทีหวังซุ่นคิดว่าหากตี๋วั่งจำเป็นต้องไปต่างประเทศ ตัวเองก็ต้องขโมยคัมภีร์เล่มนั้นมาแล้วก็หลบหนีไปให้ไกล แต่ตอนนี้ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายอย่างนั้นอีกแล้ว
ตอนที่ 201
ตี๋วั่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังซุ่นซึ่งกำลังเดินออกไปจากห้องไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มหยันบนใบหน้าของ ‘อาจารย์’ ไม่อย่างนั้นเขาคงหอบเงินห้าหมื่นหยวนนี้หนีไปจนไกลสุดหล้าแน่นอน แต่แน่นอนว่า ต่อให้เขาหนีไปตอนนี้ ก็ยังไม่รอดพ้นเงื้อมือของตี๋วั่งอยู่ดี
ตำแหน่งลูกพี่ใหญ่ของตี๋วั่งนี่ไม่ใช่แค่ตำแหน่งลอยๆ เท่านั้น อย่างน้อยในความคิดเห็นของบรรดาลูกน้อง เขาก็มีความสามารถที่จะชี้เป็นชี้ตายได้ในทุกกรณี
ตี๋วั่งเกิดในเขตภูเขาอู่หลิงซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของที่ราบสูงยูนนานกุ้ยโจว ในสมัยโบราณ พื้นที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าเขตเหมียวเจียง มีชื่อเสียงไปทั่วโลกในด้านหนอนพิษและวิชาเลี้ยงแมลงมีพิษ
ไสยศาสตร์อันลึกลับประเภทนี้แพร่หลายอยู่ตามชนบททางภาคใต้ของประเทศจีน และก่อให้เกิดความวุ่นวายอย่างร้ายแรง ไม่ว่าใครเพียงได้ยินชื่อก็ต้องหน้าถอดสีด้วยความกลัว และไม่กล้าลบหลู่ว่าศาสตร์นี้เป็นเรื่องเท็จเลย แม้แต่พวกบัณฑิตผู้อยู่ใกล้ชิดตำราก็ยังเชื่อมั่นว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่จริง
แต่เมื่อถึงยุคปัจจุบัน ความหวาดกลัวที่ผู้คนมีต่อวิชาเลี้ยงแมลงพิษหรือหนอนพิษก็ค่อยๆ ลดน้อยลงไปเช่นเดียวกับเรื่องผีสางนางไม้ และมีคนจำนวนมากที่เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าขานที่ผู้คนปั้นแต่งขึ้นมาเท่านั้น
แต่มีคนส่วนน้อยมากที่รู้ว่า วิชาเลี้ยงแมลงพิษนั้นมีอยู่จริง แม้กระทั่งทุกวันนี้ บนภูเขาลึกในเขตเหมียวเจียงก็ยังมีการสืบสานถ่ายทอดวิชาเลี้ยงแมลงพิษอย่างสมบูรณ์อยู่
เพียงแต่การถ่ายทอดแบบนี้มีเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจงอย่างยิ่ง แต่ละรุ่นจะมีผู้สืบทอดได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น และผู้สืบทอดคนนี้ก็จะต้องอยู่ปกปักรักษาหมู่บ้านของตนไปตลอดชีวิต โดยปกติคนเหล่านี้จึงถูกเรียกว่าหัวหน้าเผ่า
ในการถ่ายทอดวิชาให้รุ่นต่อไปนั้น หัวหน้าเผ่าจะเป็นคนเลือกผู้สืบทอดเอง โดยปกติจะเลือกมาสองหรือสามคน แล้วฝึกฝนพวกเขาด้วยวิธีการอันโหดร้ายสารพัดอย่าง จากนั้นผู้ที่มีชีวิตรอดเป็นคนสุดท้ายถึงจะได้รับการถ่ายทอดอย่างแท้จริง
ตอนที่ตี๋วั่งอายุสิบสองปี ก็ได้เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของหัวหน้าเผ่า แต่เขาไม่สามารถทนผ่านการทดสอบอันโหดร้ายได้ สุดท้ายจึงถูกคัดออกไป และถูกหัวหน้าเผ่าจับโยนลงไปในโพรงหมื่นอสรพิษในขณะที่เขากำลังอาการร่อแร่เต็มที
ปกติไม่ว่าใครที่ตกลงไปในโพรงหมื่นอสรพิษนี้ก็จะต้องตายแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย แต่ตี๋วั่งชะตาดี ร่างจึงไปติดกับต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ในโพรง พอได้สติเขาก็ออกแรงสุดตัวปีนกลับออกไป และรอดชีวิตมาได้ในที่สุด
แต่ถึงแม้จะไม่ได้จบชีวิตลงเพราะงู ตี๋วั่งก็รู้ดีว่า ถ้าตัวเองกลับไปที่หมู่บ้าน ก็อาจจะถูกหัวหน้าเผ่าฆ่าตายแทนอยู่ดี เพราะเขาได้รับการถ่ายทอดวิชาเลี้ยงแมลงพิษไปบ้างแล้ว และตามกฎเกณฑ์ นอกจากหัวหน้าเผ่าแล้ว คนอื่นไม่สามารถที่จะมีความรู้เหล่านี้ได้
ตี๋วั่งใช้ชีวิตอยู่ในภูเขาลึกมาตั้งแต่เด็ก จึงมีทักษะในการเอาชีวิตรอดอยู่ หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์ซึ่งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านของเขาไปได้หนึ่งเดือนเศษ เขาก็รักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองจนหาย
ตี๋วั่งกลัวจะถูกคนในหมู่บ้านมาพบตัวเข้า ภายหลังจึงเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านเผ่าเหมียวอีกแห่งหนึ่ง และใช้ชีวิตอย่างสงบราบรื่นไปสิบกว่าปี แต่ด้วยเหตุการณ์ที่แสนจะบังเอิญครั้งหนึ่ง เขาจึงได้พบกับหัวหน้าเผ่าของหมู่บ้านเดิมที่เคยอยู่
การถ่ายทอดวิชาของหัวหน้าเผ่านั้นจะต้องได้รับการยอมรับจากชาวเผ่าเหมียวทั้งหมด เมื่อเรื่องที่ตี๋วั่งยังมีชีวิตอยู่ถูกเปิดเผย ฝันร้ายของเขาก็มาถึง หัวหน้าเผ่าคนนั้นใช้กลวิธีต่างสารพัดอย่าง จนเขาเกือบจะถูกฆ่าตายไปหลายครั้ง
แต่ถึงอย่างไรตี๋วั่งก็รู้วิชาเลี้ยงแมลงพิษอยู่บ้าง หลังจากรอดพ้นความตายไปได้เก้าชีวิต ในที่สุดก็หลบหนีออกจากภูเขาสือว่านได้ แต่ชีวิตในโลกภายนอกนั้น ก็ทำให้เขาตะลึงอึ้งและทำอะไรไม่ถูกไปเลยเหมือนกัน
เพราะประเทศจีนในตอนนั้นกำลังจมอยู่ท่ามกลางการปฏิวัติครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ครั้งนั้น หม้อข้าวที่ใช้กันในบ้านต่างถูกนำออกมาหล่อหลอมขึ้นใหม่ ผู้คนทั้งหลายถูกพัดพาไปตามกระแสอันบ้าคลั่ง
แม้จะเคยทนทุกข์ทรมานมาไม่น้อย แต่ถ้าพูดกันโดยพื้นฐานแล้ว ตี๋วั่งที่หนีออกมาจากภูเขาลึกก็ยังไม่มีประสบการณ์อะไรในสังคมเลย จึงได้รับผลกระทบจากกระแสคลื่นอันคลุ้มคลั่งนี้ไปทันที
ด้วยเหตุบังเอิญต่างๆ นานา ตี๋วั่งจึงไปรู้จักกับคนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งซึ่งมีปณิธานที่จะช่วยกอบกู้มนุษยชาติ และเดินทางข้ามชายแดนที่มณฑลยูนนานไปกับคนกลุ่มนี้โดยที่ก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขา เมื่อไปถึงประเทศต่างๆ เช่นพม่าและไทย ก็ไปทำสงครามกับรัฐบาลในท้องถิ่นนั้นอีก
สงครามอันแปลกประหลาดนี้ดำเนินไปสิบกว่าปี เมื่อถึงตอนสุดท้าย ประเทศจีนก็ไม่ยอมรับตัวตนของพวกเขา ส่วนประเทศอื่นอย่างพม่าและไทยก็ตัดสินว่าพวกเขาเป็นกองกำลังต่อต้านรัฐบาล จากเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่มีกำลังคนอยู่หลายพัน เมื่อถึงตอนสุดท้ายกลับเหลืออยู่ไม่ถึงร้อยคน
และตี๋วั่งก็เป็นหนึ่งในเกือบร้อยคนนั้นนั่นเอง
ตอนนั้นหลังจากที่ตี๋วั่งผู้ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับสังคมในโลกภายนอก ได้ผ่านการเพลิงสงครามมาสิบกว่าปี รวมถึงการถูกทรยศอีกหลายครั้ง เขาก็กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์อย่างเหลือร้าย ไม่อาจกลับไปเป็นหนุ่มน้อยจากถิ่นเหมียวเจียงคนเดิมได้อีกเลย
และครั้งหนึ่งในขณะที่กำลังหลบหนีจากการล้อมปราบของรัฐบาลท้องถิ่น ตี๋วั่งก็ไปค้นพบร่างเอกสารผุๆ ฉบับหนึ่งในถ้ำบนภูเขากลางป่าที่ประเทศไทย ร่างเอกสารฉบับนี้เป็นสิ่งที่ซินแสฮวงจุ้ยจากประเทศจีนสมัยโบราณท่านหนึ่งได้ทิ้งไว้
ตอนนั้นตี๋วั่งก็ไม่ได้ใส่ใจต่อร่างเอกสารฉบับนี้เท่าไร แต่เมื่อเขาไปพบภูมิประเทศแห่งหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสถานที่หยินพิฆาตที่บรรยายไว้ในเอกสารอย่างมาก ตี๋วั่งก็จุดประกายความคิดขึ้นมา และวางค่ายกลไว้ที่นั่นหนึ่งค่ายกล
หลังจากวางค่ายกลเสร็จ ตี๋วั่งก็ล่อคนจากกองกำลังของรัฐบาลท้องถิ่นกลุ่มหนึ่งเข้าไปในนั้น ที่ทำให้เขาตกตะลึงและดีใจแทบบ้าก็คือ ค่ายกลนั้นกลับใช้งานได้จริงๆ พวกรัฐบาลสิบกว่าคนนั้นถึงขนาดเข่นฆ่ากันเอง และสุดท้ายก็ตายกันหมด
การค้นพบครั้งนี้ ทำให้ตี๋วั่งเห็นร่างเอกสารฉบับนี้เป็นดั่งสมบัติล้ำค่า ยามใดที่มีเวลาว่าง เขาก็จะศึกษาและทำความเข้าใจกับค่ายกลลี้ลับต่างๆ ในร่างเอกสารนั้น
เพียงแต่ร่างเอกสารฉบับนี้ผุพังเสียหายไปมากเหลือเกิน อีกทั้งยังไม่มีวิชายุทธที่ต้องนำมาใช้ควบคู่กัน หลังจากค้นคว้าไปหลายสิบปี ตี๋วั่งจึงสามารถใช้ค่ายกลได้เพียงเจ็ดแปดค่ายกลเท่านั้น
แต่ตี๋วั่งคนนี้ก็มีความสามารถแบบนอกรีตอยู่เหมือนกัน เมื่อผสมผสานความรู้เหล่านั้นเข้ากับวิชาเลี้ยงแมลงพิษที่ได้เรียนมาบ้างในวัยเด็ก ก็ทำให้เขาถึงขั้นสามารถคิดค้นแมลงพิษสูตรเฉพาะตัวออกมาได้ หลังจากที่แยกตัวออกจากกลุ่มกองโจรแล้ว ตี๋วั่งก็สร้างชื่อเสียงที่ประเทศไทยได้ไม่น้อยเลย
แต่ก็ต้องกล่าวว่า ตี๋วั่งคนนี้โชคชะตาไม่อำนวยเลย เมื่อถึงช่วงปลายทศวรรษที่ 70 ตัวตนของเขาก็ถูกคนเปิดโปงออกมา ‘อาจารย์ตี๋’ ผู้เคยประสบความสำเร็จรุ่งเรื่องจึงจำเป็นต้องหนีอีกครั้ง โดยกลับไปยังประเทศมาตุภูมิที่จากมานานเกือบยี่สิบปี
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 ไม่ว่าจะเป็นนักดูฮวงจุ้ยโหงวเฮ้งหรือพวกทำคุณไสยวางยาก็หาตลาดกันไม่ได้ทั้งนั้น ตอนนั้นตี๋วั่งซึ่งได้เรียนรู้เกี่ยวกับฮวงจุ้ยสุสานจากร่างเอกสารฉบับนั้นมาบ้างแล้ว จึงเกิดความคิดที่จะหากินกับสุสานโบราณของบรรพบุรุษ
ในช่วงแรกเริ่มนั้นตี๋วั่งทำงานคนเดียวไม่มีผู้ช่วย หลังจากเกิดการปะทะกับพวกโจรปล้นสุสานที่มีอิทธิพลในท้องที่ไปหลายครั้ง ตี๋วั่งก็ค่อยๆ สร้างอิทธิพลของตัวเองขึ้นมา สิบกว่าปีให้หลัง เขาก็กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งในวงการนักปล้นสุสานในประเทศ
แต่ตี๋วั่งเคยออกรบมาสิบกว่าปี จึงมีความรู้ในทางพิชัยสงครามอย่างลึกซึ้ง นอกจากสมาชิกในกลุ่มแล้ว เขาก็แทบจะไม่เคยเผยโฉมหน้าให้คนนอกเห็นเลย
และทุกครั้งก่อนที่ตี๋วั่งจะลงมือปล้นสุสาน ก็มีแต่เขาคนเดียวที่รู้เป้าหมายในการลงมือ หลังจากปล้นวัตถุที่ถูกฝังพร้อมศพออกมาได้แล้ว เขาก็จะไม่ปรากฏกายในระหว่างที่มีการแลกเปลี่ยนเลย หากพบพิรุธแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะหลบหนีไปจนไกลลิบทันที
ดังนั้นแม้ตี๋วั่งจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ตัวตนของเขาก็ถูกเก็บเป็นความลับมาตลอด และรอดพ้นจากการปราบปรามของทางตำรวจไปหลายครั้ง
หลังจากที่ได้ขับเคี่ยวกับพวกทหารและตำรวจมาหลายปี ตี๋วั่งจึงรู้จักระวังตัวมากกว่าคนทั่วไป อย่างครั้งนี้เขาก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ถึงได้เดินทางออกจากปักกิ่งอย่างกะทันหัน และตัดสินใจว่าจะออกไปกบดานที่ต่างประเทศ
ตอนนี้ตี๋วั่งไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เขามีเครือข่ายกับกลุ่มลักลอบค้าศิลปวัตถุที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปอยู่หลายกลุ่ม หลังจากออกนอกประเทศจึงสามารถใช้ชีวิตแบบมหาเศรษฐีได้
แต่ก่อนที่จะออกเดินทาง ตี๋วั่งก็ตัดสินใจว่า จะทำธุรกิจรายการหนึ่งที่รับมาตั้งแต่เมื่อครึ่งปีที่แล้วให้เสร็จสิ้นไปเสียก่อน เพราะนักสะสมชาวอังกฤษคนนั้นเสนอราคามาถึงห้าล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตัวเลขนี้ก็สามารถล่อใจตี๋วั่งได้ไม่น้อยเลย
ธุรกิจครั้งนี้สำหรับตี๋วั่งแล้วไม่ได้มีความเสี่ยงมากนัก หลักๆ คือต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เลวร้าย เพราะครั้งนี้สิ่งที่เขาจะไปปล้นไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่เป็นศพร่างหนึ่งที่ถูกปกคลุมอยู่บนภูเขาหิมะ
ในวงการนักสะสมที่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนักสะสมสิ่งของจำพวกไหนก็มีทั้งนั้น อย่างที่อังกฤษก็มีนักสะสมรายใหญ่คนหนึ่ง สนใจสะสมพวกศพโบราณเป็นที่สุด ในปราสาทของเขามีตัวอย่างศพโบราณอายุนับร้อยปีสะสมอยู่ไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยร่าง
หนึ่งปีก่อนเมื่อครั้งที่นักสะสมคนนี้เดินทางมาผจญภัยที่ประเทศจีน เขาได้ค้นพบศพนุ่งเสื้อผ้าขนสัตว์ร่างหนึ่ง ถูกแช่แข็งอยู่ในถ้ำบนภูเขาน้ำแข็ง
ศพมนุษย์ผู้ชายที่มีน้ำแข็งเคลือบคลุมอยู่นี้ เส้นผมและขนบนร่างกายยังคงดูเหมือนกับยามมีชีวิต ไม่ว่าจะมองในด้านการสะสมหรือด้านการค้นคว้าวิจัย ก็ถือว่าศพร่างนี้มีมูลค่าอย่างมากมายมหาศาลทั้งนั้น
แต่ชาวอังกฤษคนนี้ก็รู้อยู่ว่า ตัวเองมีเป้าหมายที่ใหญ่โตเกินไป และชื่อเสียงก็ไม่ค่อยดีนัก ต่อให้สามารถนำศพที่ถูกแช่แข็งมานับพันนับหมื่นปีนี้ออกมาได้ แต่ก็ไม่มีทางส่งออกจากประเทศจีนได้อยู่ดี ดังนั้นจึงพยายามหาลู่ทางจนมาพบกับตี๋วั่ง และเสนอค่าตอบแทนสูงลิ่วเพื่อว่าจ้างเขา
ในสองวันตั้งแต่มาถึงเมืองอุรุมชีนี้ ตี๋วั่งก็ไปที่ภูเขาหิมะลูกนั้นมาแล้วสองเที่ยว
แต่ทว่าในสองวันมานี้สภาพอากาศบนภูเขาหิมะเลวร้ายอย่างยิ่ง ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปถึงตำแหน่งที่ชาวอังกฤษคนนั้นระบุไว้ได้เลย ต้องเลิกล้มกลับมาตั้งแต่กลางทางทั้งสองครั้ง ดังนั้นตี๋วั่งจึงได้แต่เตรียมการไว้ล่วงหน้า รอให้สภาพอากาศดีขึ้นสักหน่อย แล้วค่อยเคลื่อนไหวต่อไป
จนถึงตอนนี้ นอกจากตี๋วั่งแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ภูเขาหิมะด้วยจุดประสงค์ใด และหลังจากพูดคุยกับหวังซุ่น ตี๋วั่งก็ตัดสินใจว่า จะปล่อยเจ้าลูกศิษย์คนนี้ทิ้งไว้บนภูเขาหิมะ ให้อยู่แทนที่ศพร่างนั้นไปตลอดกาล
เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต พวกตี๋วั่งทั้งห้าคนจึงเปิดห้องพักสี่ห้อง นอกจากตี๋วั่งและเปียวจึที่พักอยู่ห้องเดียวกัน คนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายกันพักคนละห้อง หลังจากเล่นไพ่กันไปครู่หนึ่ง ทุกคนก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง
“สี่คน? ทำไมขาดไปหนึ่งคนล่ะ?”
พอเยี่ยเทียนกินเนื้อแพะย่างจนหนำใจแล้วก็กลับไปที่โรงแรม หลังจากทำนายดูก็พบว่า ยังมีอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากปราณวิเศษของเขา และค่ายกลชุมนุมพลังก็สลายตัวไปแล้ว จึงไม่สามารถถ่ายปราณวิเศษเข้าสู่ร่างของคนผู้นั้นได้อีกแล้ว
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า ตอนที่พวกหวังซุ่นออกไป ตี๋วั่งก็ไม่ได้ออกไปจากห้องของตัวเองเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเปียวจึใส่กุญแจประตูห้องไว้จากด้านนอก ค่ายกลของเขาก็คงจะใช้ได้ผลแค่กับอีกสองคนที่เหลือเท่านั้น
แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ในกลุ่มเล็กๆ ที่มีอยู่ห้าคนนี้ คาดว่าอีกคนหนึ่งนั้นคงไม่กล้าเคลื่อนไหวเพียงลำพังแน่ ดังนั้นแค่ติดตามสี่คนที่เหลือไปก็พอแล้ว
“ห้าคนนั้นออกไปกันหมดแล้วนี่!”
เช้าวันต่อมาเวลาเจ็ดโมงกว่า เยี่ยเทียนพบว่าทั้งสี่คนนั้นเริ่มมีการเคลื่อนไหว หลังจากเปิดหน้าต่างออก เขาก็เห็นทั้งห้าคนขึ้นรถออฟโรดคันหนึ่งที่จอดอยู่ในลานจอดรถแล้วขับจากไปฝุ่นตลบ
“พี่ชาย อุรุมชีนี่มีอะไรสนุกๆ บ้างไหมเนี่ย? แล้วที่อยู่ทางใต้นั่นมันคือที่ไหนน่ะ?”
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง เยี่ยเทียนก็ไปนั่งอยู่ในร้านขายอาหารเช้าแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากโรงแรม พลางคุยเล่นกับชายวัยกลางคนชาวอุยกูร์คนหนึ่ง
“ทางนั้นก็เทือกเขาเทียนซานไงล่ะ ‘ทะเลสาบหยก’ น่ะรู้จักไหม? อยู่บนเขาลูกนั้นนั่นแหละ…”
ชายคนนั้นเป็นมิตรมาก เมื่อเห็นการแต่งกายของเยี่ยเทียนก็พูดขึ้นว่า “พ่อหนุ่ม ถ้าเธอจะไปปีนเขาละก็ ต้องใส่เสื้อหนากว่านี้หน่อยนะ”
หลังจากได้ยินชายวัยกลางคนแนะนำ เยี่ยเทียนก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด มิน่าเล่าห้าคนนั้นถึงได้หอบหิ้วสัมภาระทั้งใบเล็กใบใหญ่ไปกันคนละไม่ใช่น้อยๆ เลย
ตอนที่ 202
เทือกเขาเทียนซาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมตรงกับฤดูกาลท่องเที่ยวของเมืองอุรุมชีพอดี หลังจากออกมาจากร้านขายอาหารเช้า เยี่ยเทียนเดินไปตามทางถนนไม่ถึงห้านาทีก็เจอบริษัทท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง
“พ่อหนุ่ม คุณจะมาร่วมทัวร์ชมเทือกเขาเทียนซานสองวันหนึ่งคืนก็ได้นะ รวมอาหารและที่พักแล้ว ตอนเย็นพักที่อุทยานทะเลสาบเทียนฉือ คิดค่ารถไปกลับแล้วก็แค่ 588 หยวนเท่านั้น ถือว่าคุ้มมากนะครับ!”
เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเทียนจะไปเที่ยวที่เทือกเขาเทียนซาน คนที่มีท่าทางเหมือนผู้จัดการก็รีบหยิบอัลบั้มรูปภาพหนึ่งเล่ม มาแนะนำเยี่ยเทียนทันที
“ออกเดินทางเมื่อไหร่ครับ?”
เยี่ยเทียนไม่ค่อยสนใจเรื่องราคา แต่เวลาที่จะออกเดินทางต่างหากคือประเด็นสำคัญ ถ้าออกเดินทางช้าเกินไป เขาก็ยอมเรียกรถแท็กซี่ไปแทนดีกว่า เพราะถึงอย่างไรที่นั่นก็อยู่ไกลจากเมืองอุรุมชีเพียงเจ็ดแปดสิบกิโลเมตร
ผู้จัดการคนนั้นดูออกว่าเยี่ยเทียนต้องการออกเดินทางเร็วหน่อย จึงตอบว่า “ถ้าชำระเงินตอนนี้ ก็จะมีทัวร์กลุ่มหนึ่งออกเดินทางตอนสิบโมงเช้า ตอนเที่ยงก็ถึงแล้วครับ…”
“โอเค ผมสมัครเลย!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า นับเงินจำนวนหกร้อยหยวนแล้วส่งให้เขา หลังจากดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ผู้จัดการคนนั้นเห็นว่าเยี่ยเทียนก็ไม่ได้จะไปไหน จึงตะโกนเรียกมัคคุเทศก์ให้พาเยี่ยเทียนไปรอบนรถบัส
มัคคุเทศก์ที่รับลูกทัวร์เป็นหญิงสาวชาวอุยกูร์อายุราวยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง ตอนนี้คนอื่นก็ยังไม่มากัน เมื่อเห็นเยี่ยเทียนสะพายกระเป๋าเป้ธรรมดาๆ ใบเดียวขึ้นรถมา จึงอดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ “คุณมาเที่ยวคนเดียวเหรอคะ?”
“ใช่ครับ อยากไปดูว่าที่ทะเลสาบเทียนฉือมีสัตว์ประหลาดอะไรรึเปล่า”
เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้นมา ช่วงก่อนหน้านี้เคยมีข่าวรายงานว่า มีสัตว์ประหลาดยุคก่อนประวัติศาสตร์ปรากฏตัวขึ้นในทะเลสาบเทียนฉือ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเทือกเขาเทียนซานเพิ่มสูงขึ้นอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครได้เห็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นอีกเลย
“มีสัตว์ประหลาดที่ไหนกันล่ะ…” สาวอุยกูร์บ่นพึมพำ แล้วจึงพูดด้วยความหวังดี “อากาศของที่นี่ช่วงเช้าต้องใส่เสื้อนวมปุยฝ้าย ช่วงกลางวันใส่ผ้าโปร่งสบาย พอไปถึงทะเลสาบเทียนฉือก็จะยิ่งหนาวกว่านี้อีก คุณใส่เสื้อผ้าน้อยเกินไปนะคะ!”
“ไม่เป็นไรครับ ที่นั่นน่าจะมีเสื้อกันหนาวให้เช่าอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นผมค่อยไปเช่ามาสักตัวก็ได้ครับ”
เยี่ยเทียนเคยขึ้นเหนือล่องใต้ไปมาหลายที่แล้ว เขาจึงรู้ว่า ในเขตท่องเที่ยวบางแห่งที่มีอุณหภูมิแตกต่างกันมากมักจะมีบริการให้เช่าเสื้อกันหนาว แค่จ่ายเงินไม่กี่หยวน ก็สามารถขจัดความยุ่งยากในการหอบหิ้วสัมภาระของตัวเองได้แล้ว
“คุณนี่รู้ดีจังเลยนะคะ” มัคคุเทศก์ชาวอุยกูร์มองเยี่ยเทียนอย่างตะลึงๆ แต่ตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวคนอื่นขึ้นมาบนรถพอดี เธอจึงรีบเดินไปต้อนรับ
เมื่อถึงเวลาสิบนาฬิกา บนรถก็มีคนนั่งเต็มทุกที่นั่งแล้ว จึงขับเคลื่อนออกจากลานจอดรถตรงตามเวลา
เมื่อรถขับออกจากเขตเมือง เบื้องหน้าก็กลายเป็นพื้นที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา สองฝั่งถนนปลูกต้นฝ้ายไว้เต็มไปหมด หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถก็เริ่มขับปีนขึ้นเนินเขา
การนั่งรถบนถนนรอบภูเขาเช่นนี้ จะต้องมีความกล้าหาญในระดับหนึ่ง คนที่ขี้ขลาดจะไม่กล้ามองจากรถลงไปข้างล่างเลย เพราะสิ่งที่จะปะทะแก่สายตาก็คือหน้าผาอันสูงชัน หมู่เมฆที่พัดผ่านหน้าต่างรถ และเส้นทางบนภูเขาอันคดเคี้ยว
และเดือนกันยายนยังเป็นฤดูที่มีน้ำไหลหลากลงมาจากภูเขาอีกด้วย เมื่อมองจากรถยนต์จะเห็นลำธารเชี่ยวกรากสายหนึ่งที่เชิงเขา เมื่อสายน้ำอันใสสะอาดปะทะกับโขดหิน ก็จะเกิดฟองคลื่นสีขาวกระเซ็นขึ้นมา ราวกับว่าแม้จะอยู่ห่างเป็นร้อยเมตรก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจน
“ทุกท่านคะ ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปที่ทะเลสาบเทียนฉือบนเทือกเขาเทียนซาน ซึ่งตั้งอยู่ในส่วนกลางของเขตซินเจียง ประกอบด้วยเทือกเขาคดโค้งสามแนวเรียงตัวขนานกันจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก
“ทะเลสาบเทียนฉือตั้งอยู่บนภูเขาโป๋เก๋อต๋าในเทือกเขาเทียนซาน ในสมัยโบราณธารน้ำแข็งและกระแสน้ำโคลนได้ไหลไปอุดตันแม่น้ำ จึงก่อให้เกิดทะเลสาบน้ำขังขึ้นบนภูเขาสูง บนยอดเขานั้นปกคลุมไปด้วยหิมะ และน้ำในทะเลสาบก็มีที่มาจากหิมะบนเขาที่ละลายลงมานั่นเอง
“แน่นอนว่า ที่นี่ก็มีตำนานเล่าขานที่ฟังดูเลิศเลออยู่เรื่องหนึ่งเช่นกัน ว่ากันว่าทะเลสาบเทียนฉือใหญ่นั้นคือสถานที่สรงน้ำของพระนางซีหวังหมู่ ส่วนเทียนฉือเล็กก็คืออ่างชำระพระบาทของพระนาง…”
หลังจากรถขึ้นไปบนภูเขา มัคคุเทศก์ชาวอุยกูร์ก็เริ่มอธิบายให้ฟัง ต่างจากนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่กำลังถ่ายรูปไปทุกมุมอย่างตื่นเต้น เยี่ยเทียนที่กลับนั่งอยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ พลางสัมผัสพลังชี่แห่งฟ้าดินอันเข้มข้นของที่นี่
ตามความเข้าใจของฝ่ายเต๋า มนุษย์สามารถดูดซึมพลังชี่เข้าสู่ร่างกายได้ เพียงแต่คนธรรมดาไม่รู้จักการฝึกปราณ สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดที่มีอยู่ในธรรมชาตินี้จึงมักจะสูญเปล่าไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ในเขตพื้นที่โบราณซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่น้อย จึงมักจะมีพลังชี่อยู่อย่างหนาแน่น
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าทฤษฎีนี้มีเหตุผลหรือไม่ แต่เขาเคยเดินทางไปหลายที่ และก็พบว่าพลังชี่ในเมืองจะค่อนข้างเบาบางกว่าจริงๆ แต่ตามชนบทรวมถึงตามป่าเขานั้น พลังชี่กลับมีปริมาณและคุณภาพที่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด
อย่างบนภูเขาอันเต็มไปด้วยไปหมอกซึ่งรถกำลังขับเคลื่อนอยู่นี้ ทุกครั้งที่หายใจเข้าออกเยี่ยเทียนก็จะรู้สึกปลอดโปร่งสบายเป็นพิเศษ ถ้าไม่ใช่เพราะไม่สามารถฝึกปราณที่จุดชมวิวได้ และการดำรงชีวิตในป่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้วละก็ เยี่ยเทียนคงคิดที่จะมาพักอยู่ที่นี่นานๆ ไปเลย
เมื่อถึงตอนเที่ยง รถก็มาจอดที่จุดชมวิวของทะเลสาบเทียนฉือ เมื่อลงจากรถแล้ว เยี่ยเทียนก็ตะลึงหลงใหลกับทิวทัศน์อันงดงามที่เห็นอยู่ไกลๆ ไปพักหนึ่งอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้
ห่านตัวหนึ่งทะยานขึ้นจากคลื่นน้ำสีเขียวครามซึ่งปกคลุมไปด้วยหมอกบางๆ ต้นสนและต้นไป๋อันเขียวขจีประดับประดาอยู่ริมทะเลสาบ ยอดเขาโป๋เก๋อต๋าที่เห็นอยู่แต่ไกลถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวสะอาดงามตา
บริเวณเนินเขาที่อยู่โดยรอบทะเลสาบเทียนฉือมีต้นสนสปรูซ ต้นไวท์เบิร์ช ต้นหยางและต้นหลิวสูงทอดยอด ริมทะเลสาบฝั่งทิศตะวันตกได้ก่อสร้างศาลาพักผ่อนอันวิจิตรงดงามไว้ ผิวทะเลสาบอันสงบนิ่งและใสสะอาดสะท้อนภาพภูเขาสีครามที่มีหิมะปกคลุมยอด เป็นทัศนียภาพที่สวยงามมีเสน่ห์ราวกับสรวงสวรรค์
“นี่คือบัวหิมะซึ่งเป็นสินค้าประจำท้องถิ่นของเทือกเขาเทียนซานเรา ถ้าคุณๆ ชอบก็สามารถซื้อได้นะคะ…”
ทันทีที่ทุกคนลงจากรถ ก็มีหญิงสาวขายดอกไม้หลายคนเข้ามารุมล้อม ในตะกร้าของพวกเธอใส่ดอกไม้ที่ผิวภายนอกเป็นสีเขียวอมเหลืองไว้จำนวนหนึ่ง และก็ไม่ได้ขายแพงมาก เพียงดอกละสิบหยวน แต่แน่นอนว่า นี่คงไม่ใช่บัวหิมะป่าของจริงหรอก
“ถ้าของพวกนี้มีอายุจริงก็ถือว่ายังพอใช้ได้”
เยี่ยเทียนหยิบบัวหิมะขึ้นมาหนึ่งดอก ลองดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของมัน แล้วก็วางกลับลงไปอีก บัวหิมะมีสรรพคุณทำให้เลือดลมไหลเวียนดี ขับไล่ความเย็นขจัดความชื้น สามารถรักษาโรคชนิดเย็นได้ทุกโรค ถ้ามีบัวหิมะอายุพันปีอยู่จริง คุณสมบัติทางยาของมันก็จะเป็นผลดีต่อการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนอย่างมาก
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับนักท่องเที่ยวที่นั่งรถมาคันเดียวกันแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ไปนั่งเรือล่องทะเลสาบเทียนฉือกับพวกเขาด้วย แต่ไปขอกุญแจห้องจากมัคคุเทศก์ แล้วเข้าไปพักในบ้านไม้ที่ค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์ของชนเผ่ากลุ่มน้อย
“ทำไมคนพวกนั้นขึ้นเขาไปแล้วล่ะ?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อครู่นี้เขาก็ไม่ได้เห็นรถออฟโรดคันนั้นจอดอยู่ที่ลานจอดรถเลย พอทำนายดูแล้วถึงจะพบว่า ‘เถ้าแก่เจี่ย’ และคนอื่นๆ ต่างก็อยู่บนยอดเขายอดหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากตรงนี้ไปยี่สิบกว่ากิโลเมตรแล้ว
หลังจากคิดดูครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็สะพายเป้กลับขึ้นหลังอีกครั้ง แล้วออกไปหาเจ้าหน้าที่ของจุดชมวิวคนหนึ่ง
“คุณอยากไปปีนภูเขาหิมะหรือ?”
เจ้าหน้าที่คนนั้นมองเยี่ยเทียน แล้วส่ายหน้าไม่หยุด “คุณแต่งตัวแบบนี้น่ะไม่ไหวหรอก ยังไม่ทันได้ขึ้นภูเขาหิมะก็คงจะโดนแช่แข็งไปก่อนแล้วละ พวกคนของทีมไต่เขาก็คงไม่ยอมพาคุณไปหรอก…”
ที่ทะเลสาบเทียนฉือนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานีเชื่อมต่อและจ่ายเสบียงอาหารสำหรับนักผจญภัยไต่เขาบนภูเขาหิมะแต่ละลูกอย่างเช่นยอดเขาโป๋เก๋อต๋า ในเดือนที่มีสภาพอากาศดี ก็มักจะมีคนอยากไปผจญภัยไต่เขากันแทบทุกวัน
แต่คนที่ใส่เพียงเสื้อแจ็คเก็ตกับรองเท้าเดินเที่ยวแล้วยังอยากจะไปขึ้นเขาอย่างเยี่ยเทียนนี้ เจ้าหน้าที่คนนี้ก็เพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก ก็อย่างที่เขาพูดไปเมื่อครู่ พอไปถึงเชิงเขาแล้ว ยังไม่ทันปีนขึ้นไปก็คงจะหนาวจนตัวแข็งทนไม่ไหวแล้วละ
เยี่ยเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยปากถามว่า “แล้วที่นี่พวกคุณมีชุดปีนเขากับอุปกรณ์ขายไหมครับ?”
มหาวิทยาลัยหวาชิงมีทีมไต่เขาที่มีชื่อเสียงอยู่ทีมหนึ่ง หลังจากลูกพี่สวีเจิ้นหนานเล่นบาสเกตบอลจนเบื่อแล้ว ก็หันไปเข้าร่วมทีมไต่เขาทีมนั้นแทน เยี่ยเทียนจึงมีความรู้เกี่ยวกับการปีนเขาอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้นำไปปฏิบัติจริงสักที
“ก็มีอยู่นะครับ แล้วก็ยังมีโค้ชสอนปีนเขาด้วย ไปครับ ผมจะพาคุณไปเอง!”
เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเทียนจะซื้ออุปกรณ์ปีนเขา เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ดีใจขึ้นมาทันที เพราะอุปกรณ์ปีนเขาชุดหนึ่งก็มีราคาสูงไม่ใช่เล่น และหลังจากขายได้แล้วเขาก็จะได้ค่านายหน้าอีกด้วย
“แม่งเอ๊ย มันหน้าเลือดจริงๆ…”
หลังจากออกมาจากร้านขายอุปกรณ์ปีนเขา เยี่ยเทียนก็ชักจะรู้สึกหนาวขึ้นมาจริงๆ แล้ว เหตุผลนั้นง่ายมาก เพียงแค่ซื้อกระเป๋าปีนเขารวมกับชุดกันหนาวและเต็นท์กลางแจ้ง รวมถึงเชือกยาวห้าสิบเมตรเส้นหนึ่งกับค้อนทุบน้ำแข็ง เยี่ยเทียนก็ต้องจ่ายเงินไปถึงสี่พันหกร้อยหยวนเต็มๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะออกจากบ้าน ป้าใหญ่ยัดเงินให้เขามาสองพันหยวนละก็ เยี่ยเทียนก็คงควักเงินออกมาไม่พอถึงสี่พันหกร้อยหยวนหรอก แม้กระนั้นตอนนี้เยี่ยเทียนก็ยังมีเงินเหลืออยู่ในกระเป๋าอีกหลายร้อยหยวน
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างก็คือ หลังจากที่ซื้อของแล้ว โค้ชปีนเขาของร้านนั้นก็จะพา ‘กลุ่มคนผู้คลั่งไคล้การปีนเขา’ อย่างพวกเขานี้ไปที่ธารน้ำแข็งหมายเลขหนึ่งโดยไม่คิดค่าจ้างอีก
จากทะเลสาบเทียนฉือขึ้นไปบนยอดเขานั้น ไม่สามารถขับรถยนต์ไปต่อได้แล้ว แต่จะต้องนั่งรถของจุดชมวิวจากฝั่งตะวันตกของทะเลสาบเทียนฉืออ้อมไปยังฝั่งทิศใต้ จากนั้นก็ต้องเปลี่ยนเป็นขี่ม้าแทน
เยี่ยเทียนกวาดสายตาไปที่ลานจอดรถเล็กๆ ลานนั้น แล้วก็เจอรถออฟโรดคันที่เห็นเมื่อตอนเช้าในทันที เขาจึงรู้ว่า ตัวเองตามรอยมาถูกทางแล้ว
พวกเขาซึ่งมีอยู่ห้าหกคนขี่ม้าทวนกระแสน้ำขึ้นไป ในหุบเขานั้นอบอุ่นและกว้างขวาง ที่ก้นหุบเขาและเนินเขาด้านที่ไม่ถูกแสงอาทิตย์มีต้นสนสปรูซขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น และบนเนินเขาด้านที่หันหน้ารับแสงอาทิตย์ก็มีพุ่มไม้เตี้ยปกคลุมไปทั่ว แต่ฤดูใบไม้ร่วงใกล้จะมาถึงแล้ว พุ่มไม้เหล่านั้นจึงเริ่มแห้งเหลืองไปบ้าง
เมื่อเดินขึ้นไปตามทางหุบเขา จะสามารถมองเห็นซากหินจากธารน้ำแข็งโบราณที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ และลักษณะธรณีที่ถูกธารน้ำแข็งกัดกร่อนปรากฏไปทั่ว เมื่อยืนอยู่บนเส้นทางกู่ปานโป๋เก๋อต๋าแล้วทอดสายตามองออกไป ก็จะเห็นวิวยอดเขาโป๋เก๋อต๋าและธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ไหลลงมาบนทางลาดเนินเขาทิศเหนือในมุมกว้าง
จุดหมายปลายทางของพวกเยี่ยเทียนคือธารน้ำแข็งบนเนินเขาทิศเหนือของยอดเขาโป๋เก๋อต๋า ซึ่งก็คือธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดในเขตยอดเขาโป๋เก๋อต๋า แนวหิมะน้ำแข็งที่นั่นลาดชันมาก แต่น้ำแข็งส่วนที่ยื่นขยายออกมากลับค่อนข้างราบเรียบ มีรอยแตกร้าวตัดสลับกันไปมา แน่นขนัดเหมือนใยแมงมุม
เมื่อยืนอยู่ตรงพื้นหญ้าบนที่ลาดสูง จะมองเห็นกระแสน้ำอันคดเคี้ยวที่ลึกประมาณห้าหกเมตรและกว้างราวสามสี่เมตร เสียงน้ำไหลดังครืนครั่นดังอยู่ไม่ขาดหู แม้แต่เยี่ยเทียนเองก็ยังรู้สึกขนหัวลุก นี่ถ้าตกลงไปละก็ สงสัยแม้แต่โครงกระดูกก็คงหาไม่เจอแน่
“เอาละ ทุกคนเชิญตามอัธยาศัยเลย แต่อย่าไปไกลนะ เย็นนี้พวกเราจะตั้งแคมป์กันที่นี่…”
เห็นได้ชัดว่าโค้ชปีนเขาคนนี้ไม่ค่อยจะมีความรับผิดชอบสักเท่าไร พอพาทุกคนมาถึงตรงนี้แล้วก็ปล่อยเลย ส่วนตัวเองกลับหนีไปอาบแดดสูบบุหรี่ที่เนินเขาอีกจุดหนึ่ง
หลังจากขี่ม้ามาครึ่งค่อนวัน คนอื่นๆ ก็รู้สึกเหนื่อยกันแล้ว แต่ไม่มีใครสังเกตเลยว่า เยี่ยเทียนแบกกระเป๋าปีนเขาใบใหญ่เท่าครึ่งตัวคน ปีนขึ้นเขาตามเส้นทางสายเล็กที่อยู่ด้านข้างไปแล้ว
บนไหล่เขาที่อยู่เหนือเยี่ยเทียนขึ้นไปนั้น อีกทีมหนึ่งก็กำลังฝ่าหิมะปีนป่ายขึ้นไปบนยอดเขาเช่นกัน แม้ว่าตี๋วั่งจะมีอายุมากที่สุด แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับคล่องแคล่วปราดเปรียวที่สุด แถมยังหันกลับมากระซิบเร่งคนที่ตามมาข้างหลังอยู่เป็นระยะ
หลังจากดูแผนที่ที่ถืออยู่ในมือแล้ว ตี๋วั่งก็ตะโกนเป็นเสียงกระซิบว่า “เร็วหน่อย เย็นนี้ต้องปีนให้ถึงยอดโป๋เก๋อต๋านะ ที่นั่นมีจุดที่ตั้งแคมป์ได้อยู่ที่หนึ่ง!”
ณ ตำแหน่งที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลไปสี่พันกว่าเมตรนี้มีหิมะปกคลุมทับถมไปทั่ว ถ้าพูดเสียงดังไปกว่านี้แม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะทำให้เกิดเหตุหิมะถล่มได้
แต่ต่างจากเยี่ยเทียนที่คลำทางมาโดยไม่รู้จักเส้นทางเลย ในมือของตี๋วั่งมีเส้นทางการปีนเขาที่ชาวอังกฤษคนนั้นให้มา แม้แต่ตำแหน่งต่างๆ ที่เหมาะจะเป็นจุดตั้งแคมป์ก็มีระบุไว้อย่างชัดเจน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น