ข้ามกาลบันดาลรัก 191-192
ตอนที่ 191 สองพี่น้องสมัครสมานกลมเกลียว
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวยังไปหาเมิ่งซานถงและภรรยา บอกพวกเขาว่าตัวเองทำบ้านใหญ่ให้เป็นสถานศึกษาแล้ว วันมะรืนให้ฮวาเอ่อร์ เมิ่งหย่ง เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงไปเรียนหนังสือด้วยกัน
เมิ่งซานถงและภรรยาย่อมดีใจอย่างสุดซึ้ง กล่าวขอบคุณอย่างชื่นบาน
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านอาสาม ท่านอาสะใภ้สามเกรงใจแล้ว พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าต่อไปน้องชายน้องสาวคนไหนมีอนาคตก้าวไกล ก็ล้วนแต่เป็นหน้าเป็นตาของพวกเราสกุลเมิ่ง”
สำหรับป้าหวัง เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งชื่อเป็นคนไปแจ้งข่าวนี้
ป้าหวังได้ยินว่าบุตรชายคนเล็กของตัวเองจะได้ไปโรงเรียน ก็ดีใจจนพูดไม่ออก เอาแต่ขอบคุณเมิ่งชื่อไม่ขาดปาก
เมิ่งชื่อรีบพูดว่า “ซ้อหวัง เมื่อก่อนพวกเรายากจน โชคดีที่ได้ท่านคอยช่วยเหลือพวกเรา ตอนนี้พวกเราทำเช่นนี้ก็สมควรแล้ว ท่านอย่าได้เกรงใจไปเลย”
วันนี้เมิ่งอี้เซวียนกลับมาไม่ต้องเรียนจำแนกสมุนไพรกับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก หลังจากเรียนภาษาอังกฤษครึ่งชั่วยามเสร็จ กลับไม่ได้กลับเข้าห้องทันที แต่มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างลังเลพูดไม่ออก
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวปรับสภาพจิตใจ อารมณ์ไม่หงุดหงิดง่ายเหมือนก่อนแล้ว เห็นท่าทีของเมิ่งอี้เซวียน จึงพูดตามตรง “มีอะไรก็พูดมาเถอะ ทำอึกๆ อักๆ ไปเรียนแบบพฤติกรรมแย่ๆ นี้มาจากใคร”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก หยั่งเชิงถามอย่างระวัง “ข้าอยากให้หนิวตั้นมาเรียนหนังสือด้วยได้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง
เมิ่งอี้เซวียนถูกมองจนร้อนตัว พูดว่า “ข้ารู้ว่าคำขอนี้ของข้าเกินเหตุไปบ้าง หากเจ้าไม่ยินดีก็ช่างเถอะ”
สิ้นเสียงเขา เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวก็เปล่งดังขึ้น “มาเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนเบิกกว้างดวงตากลมโตคู่สวยนั้นอย่างยินดี ถามอย่างไม่เชื่อ “มาได้จริงๆ หรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ทว่า เรื่องนี้เจ้าต้องไปพูดกับสองสามีภรรยาหนิวเอง หากพวกเขายอมให้หนิวตั้นมาเรียน หนิวตั้นถึงจะมาได้ หากพวกเราไม่ยินยอม เรื่องนี้ก็จบเท่านี้”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าหงึกๆ “ข้ารู้ ข้าจะต้องพูดให้พวกเขายอมให้ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเขา “ระวังตัวด้วย หากพวกเขาไม่เกรงใจ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติดีกับพวกเขา”
ความเป็นกังวลของเมิ่งเชี่ยนโยวเกินความจำเป็นไปแล้ว ยังไม่พูดว่าตอนนี้เมิ่งอี้เซวียนมีวรยุทธ์ติดตัว เพียงแค่สถานะถงเซิงของเขา สองสามีภรรยาหนิวก็ไม่กล้าทำอะไรเขาแล้ว
วันถัดมาหลังจากเลิกเรียน เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียน เดินลำพังมาที่บ้านหนิวโก่วจื่อ
หนิวตั้นกำลังเล่นอยู่คนเดียวในลานบ้าน เห็นเมิ่งอี้เซวียนมาก็ดีใจวิ่งโผเข้าอ้อมอก แหงนหน้าน้อยๆ ถามเขา “ท่านพี่ ท่านมาแล้ว?”
เมิ่งอี้เซวียนลูบศีรษะถามเขา “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าอยู่ในบ้านหรือไม่?”
หนิวตั้นพยักหน้า จูงมือเขาเดินเข้าไปพลางร้องเรียกอย่างยินดี “ท่านพ่อท่านแม่ ท่านพี่กลับมาแล้ว”
สองสามีภรรยาหนิวได้ยินเสียงร้อง รีบเดินออกมา เห็นเป็นเมิ่งอี้เซวียนก็ให้ตะลึงงัน
สะใภ้หนิวได้สติกลับมาก่อน ร้องพูดเสียงแหลม “โย้ นี่คือถงเซิงแห่งบ้านสกุลเมิ่งมิใช่หรือ? ลมอะไรหอบเจ้ามาบ้านข้าได้เล่า?”
เมิ่งอี้เซวียนชะงักฝีเท้า พูดว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะมาหารือกับพวกท่าน”
สะใภ้หนิวยังไม่ทันได้ฟังว่าเป็นเรื่องอะไร ร่างกายก็ผงะถอยหลัง เอนตัวพิงขอบประตู ใช้น้ำเสียงมะนาวไม่มีน้ำพูดว่า “อย่านะ ตอนนี้เจ้ากับพวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องอะไรทั้งนั้น เลี่ยงไม่ให้พวกเรารู้เรื่องแล้วต้องมาถูกฆ่าตายอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก “ที่ข้าจะพูดเป็นเรื่องดี”
สะใภ้หนิวไม่เชื่อ “เจ้าอย่าได้มาหลอกข้า คนที่มีแต่แผนการอย่างนังตัวแสบบ้านเมิ่งนั่น เรื่องดีๆ จะตกมาถึงพวกเราเรอะ?”
เมิ่งอี้เซวียนพูดตามตรง “โยวเอ๋อร์จะทำสถานศึกษา ข้าพูดกับนางแล้ว อยากให้หนิวตั้นไปเข้าเรียนด้วย”
สะใภ้หนิวได้ฟังก็ยืดตัวตรงฉับพลัน “ให้หนิวตั้นไปสถานศึกษา?”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
สะใภ้หนิวมองประเมินเขาขึ้นลงอย่างไม่เชื่อ ถามด้วยความกังขา “พวกเจ้ามีเจตนาดี อยากให้หนิวตั้นไปสถานศึกษา คงไม่ได้คิดวางแผนอะไรไม่ดีกับหนิวตั้นหรอกนะ?”
เมิ่งอี้เซวียนพูดว่า “แม้ในอดีตพวกท่านจะไม่ดีต่อข้านัก แต่หนิวตั้นข้าเห็นเขามาแต่เด็ก ข้าเห็นเขาเป็นน้องแท้ๆ ของข้ามาตลอด แม้ตอนนี้ข้าจะไปจากบ้านนี้แล้ว แต่ความรู้สึกที่ข้ามีให้เขาไม่เคยเปลี่ยน หากท่านไม่อยากให้เขาเป็นเหมือนเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ไม่รู้จักหนังสือ ภายหน้าทำได้เพียงปลูกผักปลูกหญ้าในหมู่บ้าน”
หนิวโก่วจื่อฟังเขาพูดจบ ดวงตากลิ้งกลอก พูดว่า “ขอเพียงพวกเจ้าไม่ให้พวกเราต้องเสียค่าเล่าเรียน ข้าก็จะให้หนิวตั้นไปสถานศึกษา”
ไม่รอให้เมิ่งอี้เซวียนพูด สะใภ้หนิวก็ส่งเสียงแวดขึ้น “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วเรอะ สถานศึกษานี้จะต้องมีแต่ลูกหลานบ้านเมิ่ง หากพวกเขาเกิดรวมหัวกันกลั่นแกล้งหนิวตั้นจะทำอย่างไร? อีกอย่าง อยู่ๆ เขาก็เข้ามาบอกให้หนิวตั้นไปเรียนหนังสืออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จะต้องไม่ได้มีเจตนาดี ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ห้ามรับปากเขา”
หนิวโก่วจื่อพูดว่า “กลัวอะไร หากพวกเขากล้ารังแกหนิวตั้น ข้าจะไปเอาเรื่องพวกเขาให้ถึงที่สุด”
เมิ่งอี้เซวียนขมวดคิ้วมุ่น “เด็กๆ อยู่ด้วยกันทะเลาะกันบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครตั้งใจจะรังแกเขาหรอก หากเกิดเรื่องอะไรจริงๆ ก็เป็นการเล่นอย่างไม่ได้คิดอะไรระหว่างเด็กๆ กันเอง”
สะใภ้หนิวใช้นิ้วมือข้างหนึ่งชี้ไปกลางฝ่ามือของมืออีกข้าง ทำท่าทางว่าตัวเองเดาถูกแล้ว “ได้ยินไหม ข้าว่าแล้วว่าพวกเขาจะต้องไม่ได้มาดี ตอนนี้เป็นอย่างไร หนิวตั้นยังไม่ทันไปเข้าเรียน ก็คิดแล้วว่าจะรังแกเขาอย่างไร ไม่ได้ สถานศึกษานี้ข้าไม่ยอมให้ไปเด็ดขาด”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปากไม่ได้พูดอะไร
หนิวตั้นได้ยินเมิ่งอี้เซวียนบอกจะให้เขาไปเรียนหนังสือก็ดีอกดีใจ ตอนนี้กลับได้ยินสะใภ้หนิวเอาแต่คัดค้าน คิดว่าตัวเองคงไม่ได้ไปเรียนหนังสือแล้ว หลุบตาทั้งสองข้างลง นั่งแผ่ลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ “แง” ขาสองข้างถูไถไปกับพื้น ปากก็ร้องไห้คร่ำครวญ “ข้าจะไปเรียนที่สถานศึกษา ข้าจะไปเรียนที่สถานศึกษา”
สองสามีภรรยาหนิวพะเน้าพะนอตามใจหนิวตั้นมาก พอได้ยินเขาร้องไห้ปานจะขาดใจก็ให้เจ็บปวดหัวใจ สะใภ้หนิวรีบย่อตัวลง พูดปลอบเขา “ได้ๆๆ หนิวตั้นไม่ร้องนะ พวกเราจะไปเรียนที่สถานศึกษา”
หนิวตั้นหยุดร้องไห้
สะใภ้หนิวลุกขึ้นยืน หันไปพูดอย่างชิงชังกับเมิ่งอี้เซวียน “หากพวกเจ้ากล้ารังแกหนิวตั้น ข้าไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่”
เมิ่งอี้เซวียนมุ่นหัวคิ้ว พูดว่า “ข้าพูดไปแล้ว เด็กทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ หากพวกท่านไม่วางใจจริงๆ ไม่ต้องให้หนิวตั้นไปก็ได้”
หนิวโก่วจื่อได้ฟังน้ำเสียงที่แข็งกร้าวขึ้นของเขา ร้องก่นด่า “เจ้าคนไม่รู้จักสำนึกบุญคุณคน อย่างไรพวกเราก็เลี้ยงดูเจ้ามาหลายปี เจ้าพูดเช่นนี้กับพวกเราได้อย่างไร?”
น้ำเสียงเมิ่งอี้เซวียนเย็นชาลง “บุญคุณที่พวกท่านเลี้ยงดูข้า ตอนที่รับเงินหนึ่งร้อยตำลึงจากโยวเอ๋อร์ได้สิ้นสุดไปแล้ว ที่ข้าให้หนิวตั้นไปเรียนที่สถานศึกษา เพราะเห็นแก่ความเป็นพี่น้องของพวกเรา ไม่เกี่ยวกับพวกท่านแม้แต่น้อย ข้ายังพูดคำเดิม หากพวกท่านอยากให้หนิวตั้นไปเรียนที่สถานศึกษา ก็อย่าได้ถามถึงเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสถานศึกษากับเขาอีก หากพวกท่านทำไม่ได้ ก็ให้เขาหมกตัวอยู่แต่ในบ้านเถอะ” พูดจบก็หันหลังเดินจากไป
หนิวตั้นผุดลุกขึ้นจากพื้น ร้องเรียกท่านพี่แล้ววิ่งไปข้างกายเขา ถามอย่างเดียงสา “ท่านพี่ ท่านไม่อยู่ที่บ้านหรือ?”
เมิ่งอี้เซวียนหยุดฝีเท้า ลูบศีรษะเขา พูดว่า “หนิวตั้น นี่ไม่ใช่บ้านของพี่ บ้านเมิ่งถึงจะเป็นบ้านของพี่”
พูดจบ ก้าวอาดๆ เดินจากไป
หนิวตั้นยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ
สะใภ้หนิวยกเท้าขึ้นร้องก่นด่าไล่หลัง “หากไม่เพราะตอนนั้นพวกเรารับเจ้ามาเลี้ยง เจ้าอยู่บ้านเมิ่งได้อดตายไปนานแล้ว ตอนนี้กล้ามาชักสีหน้าใส่พวกเรา คนเนรคุณลืมบุญคุณคน”
เมิ่งอี้เซวียนราวกับไม่ได้ยิน เร่งฝีเท้ากลับมาถึงบ้าน
เมิ่งชื่อเห็นเขากลับมาเย็น ถามอย่างประหลาดใจ “อี้เซวียน เหตุใดวันนี้เจ้าถึงกลับมาเย็นเช่นนี้?”
เมิ่งอี้เซวียนหยุดฝีเท้า ฝืนส่งยิ้มให้เมิ่งชื่อ “เมื่อวานโยวเอ๋อร์รับปากให้หนิวตั้นไปเรียนที่สถานศึกษาได้ วันนี้ข้าจึงไปบอกแก่พวกเขา”
เมิ่งชื่อเห็นเขาสีหน้าไม่สู้ดี ถามขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงหน้าเหยเกเช่นนี้ พวกเขาด่าเจ้าหรือ?”
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “เปล่า พวกเขานึกว่าต้องจ่ายค่าเล่าเรียน พูดจาเกินเลยไปบ้าง”
เมิ่งชื่อมองเขาอย่างสงสัย
เมิ่งอี้เซวียนถูกมองจนร้อนตัว ร้อนรนพูด “ท่านแม่ ข้าเหนื่อยแล้ว ขอกลับไปพักที่ห้องก่อน”
พูดจบไม่รอให้เมิ่งชื่อขานรับ ก็เร่งรีบกลับเข้าไปในห้องตัวเอง แล้วปิดประตูห้อง
เมิ่งชื่อมองแผ่นหลังลนลานเดินหนีไปของเขา ขบคิดครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับเมิ่งเชี่ยนโยว เลี่ยงไม่ให้นางอารมณ์ขึ้น ลงมือลงไม้กับสองสามีภรรยาหนิวอีก
วันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวให้หยิบกระเป๋านักเรียนมาจำนวนหนึ่ง พาเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กน้อยทั้งสองคนมายังบ้านใหญ่ เด็กน้อยทั้งสองคนนี้ยังสะพายกระเป๋านักเรียนมาด้วย ดีอกดีใจยกใหญ่ ป้าหวังพาโก่วตั้นมา เมิ่งซานถงและภรรยาพาฮวาเอ๋อร์และเมิ่งหย่งมารออยู่ในสถานศึกษานานแล้ว ส่วนสองสามีภรรยาหนิวกำลังเดินบิดๆ ม้วนๆ มาอยู่อีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มทักทายป้าหวังและเมิ่งซานถงกับภรรยา กวักมือให้เด็กๆ ที่มองกระเป๋านักเรียนใบใหม่ของเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงด้วยแววตาอิจฉา “พวกเจ้าทั้งหมดเข้ามานี่”
เด็กทั้งสี่คนวิ่งไปข้างนางอย่างเริงร่า
เมิ่งเชี่ยนโยวรับกระเป๋านักเรียนมาจากมือเหวินเปียว แย้มยิ้มพูด “เพื่อฉลองให้กับการมาเรียนที่สถานศึกษาในวันนี้ของพวกเจ้า พี่สาวจะให้กระเป๋านักเรียนใหม่พวกเจ้าคนละใบ”
เด็กทั้งสี่คนไชโยโห่ร้อง รีบเดินขึ้นหน้าไปรับกระเป๋านักเรียนใหม่ ยกขึ้นมาสะพายหลังตามเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง
ป้าหวังและเมิ่งซานถงกับภรรยารู้ว่าปกติกระเป๋านักเรียนจะมีราคาขายอยู่ที่ใบละสิบตำลึง เห็นนางให้เด็กๆ คนละใบ ก็ตื้นตันใจเป็นอย่างมาก แต่สองสามีภรรยาหนิวกลับเบ้ปากดูแคลนไม่ได้พูดอะไร
โจวหลี่เข้ามาสอนหนังสือ เมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ กล่าวทักทายเขาอย่างมีมารยาท แล้วจากไป
ผ่านไปไม่กี่วัน ข่าวที่บ้านเมิ่งเปิดสถานศึกษาก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่บ้าน มีคนไม่น้อยเข้ามาซักถามให้ลูกหลานของตัวเองมาเข้าเรียนด้วยได้หรือไม่
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวถามความเห็นโจวหลี่แล้วจึงรับปากพวกเขา นอกจากพวกเขาจะไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแล้ว ยังมอบกระเป๋านักเรียนใหม่ให้เด็กๆ คนละใบอีกด้วย
ครอบครัวของเด็กในหมู่บ้านต่างก็ซาบซึ้งใจมาก แอบคิดในใจว่า ภายหน้าเวลาทำงานให้บ้านเมิ่งจะต้องขยันให้มากยิ่งขึ้น
ช่วงเวลาที่ผ่านมาต่อจากนั้น เวลาส่วนใหญ่ของเมิ่งเชี่ยนโยวจะหมกอยู่แต่ในแปลงฉั่งฉิก คอยตรวจดูการเจริญเติบโตของฉั่งฉิก ส่วนแปลงมันฝรั่งกลับไม่ได้ไปมานานแล้ว
ในวันนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวที่ขลุกอยู่ที่แปลงฉั่งฉิกทั้งวันกลับมาถึงบ้าน เห็นเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อดีอกดีใจยกใหญ่ เกิดความสงสัย ถามขึ้น “ท่านพ่อ ท่านแม่ มีเรื่องดีอะไรในบ้านหรือทำให้พวกท่านดีใจถึงขนาดนี้?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นสะกดกลั้นความตื่นเต้นดีใจของตัวเองไม่อยู่ ร้องพูดเสียงดัง “โยวเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ ข้าวโพดบนที่ดินร้างของพวกเราแตกหน่อออกมาเป็นข้าวโพดฝักใหญ่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกตะลึง “แตกหน่อออกมาเป็นข้าวโพดแล้วจริงๆ หรือ?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า “วันนี้พ่อลองปอกออกหัวหนึ่ง พบว่าข้างในมีข้าวโพดออกมาแล้ว อีกไม่นานก็จะโตพร้อมเก็บ ดูท่าปีนี้พวกเราจะเก็บข้าวโพดได้เพิ่มอีกฤดูกาลแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “งอกออกมาทั้งหมดใช่หรือไม่? หรือว่าแค่เพียงส่วนหนึ่ง?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพูด “ส่วนใหญ่งอกออกมาหมดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ขบคิดแล้วพูด “พรุ่งนี้ข้าจะไปดูที่แปลงดิน”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า
วันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงแปลงข้าวโพดแต่เช้า หยิบข้าวโพดมั่วๆ ลูกหนึ่งมาปอกออก พบว่าเป็นดั่งที่เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดจริงๆ ด้านในมีข้าวโพดอ่อนงอกออกมาแล้วจริงๆ ใช้มือบีบเบาๆ มีน้ำข้าวโพดไหลออกมาด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวยินดีปรีดา หักออกมาจำนวนไม่น้อย แล้วให้เมิ่งชื่อเอาไปต้มกิน
เมิ่งชื่อเห็นนางหักข้าวโพดที่ยังไม่โตเต็มที่ออกมา ก็ให้ปวดใจ พูดบ่นนางไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อธิบาย เร่งเร้าเมิ่งชื่อให้รีบนำไปต้มให้สุก
ข้าวโพดถูกหักออกมาแล้ว บ่นไปก็เท่านั้น เมิ่งชื่อจำต้องทำตามวิธีการของเมิ่งเชี่ยนโยวเติมน้ำลงในหม้อ ปอกเปลือกข้าวโพดออกใส่ลงไป หลังจากจุดไฟแล้วก็เริ่มทำการต้มข้าวโพด
น้ำเพิ่งจะเดือด กลิ่นหอมของข้าวโพดสุกก็ลอยฟุ้งออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งชื่อหยุดไฟ ตัวเองเปิดฝาหม้อออก ใช้กระชอนช้อนออกมาสองฝัก ทิ้งไว้ให้เย็นเล็กน้อย แล้วหยิบขึ้นมากัดอย่างอดใจรอไม่ไหว พยักหน้าเคลิบเคลิ้ม
เมิ่งชื่อเห็นนางกินอย่างเอร็ดอร่อย หยิบอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน พลันอุทานพูดว่า “อ๊ายหย่า ข้าวโพดอ่อนนุ่มนี่ อร่อยเหลือเกิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเคี้ยวข้าวโพดในปาก พูดงุบงับฟังไม่ชัดเจน “ข้าวโพดอร่อยที่สุดก็คือช่วยเวลานี้ รอให้โตเต็มที่ก็จะใช้ไม่ได้แล้ว”
อย่างไรเมิ่งชื่อก็เป็นคนบ้านนอกที่ทำไร่ไถนาเพื่อเลี้ยงชีพ แม้จะรู้สึกว่าข้าวโพดอ่อนอร่อยมาก แต่ก็ยังรู้สึกปวดใจ พูดว่า “ข้าวโพดหนึ่งฝักมากินทิ้งขว้างเช่นนี้ ไม่ทำให้หายหิวได้ หากรอให้มันโตเต็มที่ ข้าวโพดฝักใหญ่ๆ นำมาโม่เป็นแป้ง เพียงพอเป็นโจ๊กข้าวโพดหนึ่งมื้อให้พวกเรากินได้ทั้งครอบครัวเชียวนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถามนาง “ท่านแม่ แป้งข้าวโพดหนึ่งจินราคาเท่าใด?”
เมิ่งชื่อตอบนาง “ห้าเฉียน”
“ข้าวโพดอ่อนของข้าหนึ่งฝักก็ขายได้ห้าเฉียนแล้ว ท่านเชื่อหรือไม่?”
ตอนที่ 192 เช่นนี้พวกเราก็รวยแล้วสิ
เมิ่งชื่อย่อมไม่เชื่อ “จะเป็นไปได้อย่างไร? จะมีใครยอมให้เงินห้าเฉียนมาซื้อข้าวโพดอ่อนหนึ่งฝัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มกรุ่มกริ่ม “อีกไม่กี่วันท่านก็จะรู้เอง”
กินข้าวโพดเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าห้องมาเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ มอบให้เหวินเปียว ให้เขานำไปส่งให้เซี่ยเจียงเฟิง เหวินเปียวรับคำ รับจดหมายมาแล้วขี่ม้าเข้าอำเภอไปโดยไว
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินหู่ ไปเรียกหลงจู๊เหลาจวี้เสียนมา บอกว่านางมีอาหารอร่อยจะขายให้เขา
เหวินหู่ก็เร่งรุดขี่ม้าเข้าเมืองไปทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวรอคอยอยู่ที่บ้าน
หลงจู๊เหลาจวี้เสียนได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีอาหารอร่อยจะขายให้เขา ไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกกับพ่อครัวใหญ่ แล้วให้เสี่ยวเอ้อบังคับรถม้าตามเหวินหู่มาทันที
เพิ่งจะลงจากรถม้า ก็ถามเมิ่งเชี่ยนโยวที่รออยู่หน้าประตูทันที “แม่นางเมิ่ง ท่านมีของอร่อยอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้พาเขาเข้าไปในบ้าน แต่นำเขาตรงมาที่ข้างเตา ช้อนข้าวโพดอ่อนในหม้อออกมาส่งให้เขา พูดว่า “หลงจู๊ลองชิมดูเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะเปิดฝาหม้อออก หลงจู๊เห็นข้าวโพดอยู่ในนั้นก็ตกใจไม่น้อยแล้ว ยังนึกกังขา ในฤดูกาลเช่นนี้นางไปเอาข้าวโพดอ่อนนี้มาจากไหน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยื่นข้าวโพดให้เขา ก็รับมาใส่เข้าปากเคี้ยวงุบๆ ทันที ความหอมของข้าวโพดกระจายคลุ้งไปทั่วทั้งปากพลัน
หลงจู๊อดใจไม่ไหวกินไปอีกหลายคำ ถึงถามขึ้น “แม่นางได้ข้าวโพดอ่อนมาจากที่ใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบตามความจริง “ข้าซื้อที่ดินร้างมาปลูกมันฝรั่ง สุดท้ายซื้อที่ดินมามากเกินไป ข้าก็เลยเกิดความคิดพิสดารขึ้น คิดว่าที่ดินปล่อยไว้ก็รกร้าง ไม่เช่นนั้นแบ่งพื้นที่บางส่วนมาลองปลูกข้าวโพดดู หากว่าประสบความสำเร็จ จะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เพิ่มอีกฤดูกาล หากว่าไม่สำเร็จ อย่างมากก็แค่เปลืองแรงงานคนเท่านั้น ไม่ได้สูญเสียอะไรร้ายแรง ไม่คิดว่าจะประสบความสำเร็จจริงๆ”
หลงจู๊กินข้าวโพดอีกหลายคำถึงถามขึ้น “ที่แม่นางเรียกข้าก็เพื่อ…?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “หลงจู๊ไม่รู้สึกหรือว่านี่เป็นอาหารที่สดใหม่?”
หลงจู๊พยักหน้า “ฤดูกาลเช่นนี้เห็นข้าวโพดได้ก็นับว่าสดใหม่มากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าได้กินข้าวโพดอ่อนนุ่มเช่นนี้”
“หากนำออกไปขายเล่า จะสร้างความโกลาหลหรือไม่?”
หลงจู๊พยักหน้าอีกครั้ง “จักต้องสร้างความโกลาหล”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตาหยีถาม “หลงจู๊อยากจะลองดูหรือไม่”
หลงจู๊เข้าใจความหมายของนาง พูดอย่างปิติยินดี “ย่อมคิดอยู่แล้ว ทว่า การตั้งราคาของข้าวโพดอ่อนนี้ค่อนข้างยาก อย่างไรนี่ก็เป็นธัญพืชหยาบ หากสูงเกินไป ลูกค้าจะต้องไม่ยินยอมซื้อ หากต่ำเกินไป ก็จะไม่เหมาะสมกับชื่อเสียงของเหลาจวี้เสียน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “หลงจู๊ ข้าวโพดอ่อนนี้หาได้มีไว้ให้ท่านทำกำไร แต่มีไว้ให้ท่านสร้างชื่อเสียงต่างหาก ท่านลองคิดดู หากมีแต่เหลาจวี้เสียนของท่านที่ขายข้าวโพดอ่อน ชื่อเสียงของพวกท่านก็จะยิ่งโด่งดังใช่หรือไม่ ลูกค้าที่มารับประทานอาหารที่เหลาจวี้เสียนก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นท่านยังจะกลัวทำกำไรไม่ได้อีกหรือ?”
หลงจู๊พยักหน้า “แม่นางพูดได้มีเหตุผล ดังนั้นการตั้งราคาข้าวโพดอ่อนนี้จะต้องต่ำสักหน่อย ให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้เปล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ข้าจะขายข้าวโพดอ่อนให้ท่านห้าเฉียน ส่วนท่านจะตั้งราคาเท่าใด เป็นเรื่องของพวกท่านแล้ว ทว่า ข้าให้เวลาท่านจัดจำหน่ายสิบวัน สิบวันให้หลัง ไม่ว่าท่านจะขายเป็นอย่างไร ข้าก็จะไม่ขายให้ท่านอีก”
หลงจู๊ถาม “เพราะเหตุใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “หนึ่งเพราะสิบวันให้หลังข้าวโพดอ่อนนี้ก็จะโตเต็มวัย สองคือข้าอยากให้คนในครอบครัวไปขายข้าวโพดด้วยตัวเอง”
หลงจู๊ไม่เข้าใจ กลับไม่ได้ถามอีก พูดว่า “ได้ ตกลงตามราคาของแม่นาง วันนี้ข้าขอข้าวโพดอ่อนห้าร้อยฝักก่อนก็แล้วกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือยับยั้ง “ท่านต้องการมากเกินไปแล้ว วันนี้เป็นวันแรก ชื่อเสียงยังไม่เลื่องลือ ข้าวโพดอ่อนยังขายไม่ได้เร็ว ไม่อย่างนั้นท่านรับไปหนึ่งร้อยฝักก่อน ลองดูว่าจะเป็นอย่างไร อีกอย่างบ้านพวกเราก็อยู่ไม่ไกลจากเหลาจวี้เสียน หากไม่พอจริงๆ ให้เสี่ยวเอ้อมารับสินค้าไปเพิ่มก็ยังทัน”
หลงจู๊ครุ่นคิด รู้สึกว่าที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดมีเหตุผล จึงพยักหน้าเห็นด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเหวินหู่ให้พาพวกอู๋ต้าไปหักข้าวโพดอ่อนที่แปลงดิน คนทั้งหมดมีความเร็วสูง ช่วงเวลาไปกลับก็หักข้าวโพดอ่อนหนึ่งร้อยฝักกลับมาได้แล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขานำข้าวโพดบรรทุกใส่รถม้า แล้วนำส่งไปที่เหลาจวี้เสียน
หลงจู๊กล่าวขอบคุณหลายครั้ง ถึงนั่งรถม้าจากไปอย่างเบิกบานใจ
เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นพวกอู๋ต้ามาหักข้าวโพดไปจำนวนมาก ก็ให้ปวดใจ หลังจากกลับมาถึงบ้านได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าข้าวโพดอ่อนหนึ่งฝักขายได้ห้าเฉียน ก็ตกใจเบิกตาโพลง แทบอยากจะไปหักข้าวโพดทั้งแปลงส่งไปที่เหลาจวี้เสียน
เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการตาลุกวาวด้วยความโลภของเมิ่งเอ้ออิ๋น พูดสัพยอกเขา “ท่านพ่อ ท่านยังมาว่าเห็นแก่เงิน ท่านดูตัวเองตอนนี้ก่อนเถิด เห็นแก่เงินมากกว่าข้าอีก”
ถูกบุตรสาวกระเซ้า เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่สนใจ ยังคงพูดอย่างเบิกบาน “พ่อทำไร่ไถนามาหลายปี ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าข้าวโพดอ่อนหนึ่งฝักจะขายได้ถึงห้าเฉียน เหมือนเก็บเงินได้จากพื้น จะไม่ตาลุกวาวได้อย่างไร?”
เมิ่งชื่อเห็นบุตรสาวขายข้าวโพดอ่อนหนึ่งฝักได้ห้าเฉียนจริงๆ ก็ดีใจเป็นอย่างมาก ได้ยินคำพูดของเมิ่งเอ้ออิ๋นก็เกิดความคิดแหย่เย้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านก็พูดง่ายเกินไป หากไม่เพราะโยวเอ๋อร์คิดวิธีนี้ได้ ท่านลองไปเก็บเงินบนพื้นดูเสียหน่อยเล่า”
เมิ่งเอ้ออิ๋นลูบศีรษะหัวเราะแหะๆ “ข้าก็แค่เปรียบเทียบเท่านั้น เจ้าคิดเป็นจริงได้อย่างไร หากเก็บเงินบนพื้นได้จริงๆ ข้าจะยืนพูดกับพวกเจ้าอย่างสบายได้เช่นนี้หรือ ป่านนี้ข้าวิ่งหายไปเป็นคนแรกแล้ว”
ฟังคำพูดเขาจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะร่วน
หลังจากเข้ามาถึงอำเภอ เหวินเปียวตรงไปที่ร้านเซี่ยเจียงเฟิง นำจดหมายในมือมอบให้เขา
หลังจากรับมาดู เซี่ยเจียงเฟิงก็ไม่ล่าช้า ให้พนักงานบังคับรถม้ามาถึงบ้านเมิ่งเชี่ยนโยวโดยไว พอพ้นประตูเข้ามาก็ถามขึ้นอย่างอดทนรอไม่ไหว “แม่นางเมิ่ง เจ้ามีการค้าอันใดอีกแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพาเขามาข้างเตาเช่นเดิม ช้อนข้าวโพดอ่อนให้เขาหนึ่งฝัก
เซี่ยเจียงเฟิงเห็นข้าวโพด ก็ให้ตกใจถามขึ้น “แม่นางเมิ่ง ฤดูกาลนี้เจ้าไปเอาข้าวโพดมาจากที่ใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบ แต่ยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า “ท่านชิมก่อนเถิดว่าข้าวโพดอ่อนนี้อร่อยหรือไม่?”
แต่ละหมู่บ้านมีแปลงเพาะปลูกต่อคนน้อยมาก ผลผลิตก็ต่ำ ในฤดูเก็บเกี่ยวทุกครั้งทุกคนจึงเอาแต่รอคอยให้โตเต็มวัย อยากจะเพิ่มน้ำหนักให้มากๆ ไฉนเลยจะมีใครทำใจกินข้าวโพดอ่อนได้ ดังนั้นแม้จะเป็นลูกเศรษฐีอย่างพวกเซี่ยเจียงเฟิงก็ไม่เคยกินข้าวโพดอ่อนมาก่อน รับข้าวโพดอ่อนมาทันที แล้วกัดหนึ่งคำ กลิ่นหอมของข้าวโพดกระจายคลุ้งไปทั่วปากพลัน พยักหน้าพูดว่า “อร่อย” พูดจบ อดใจไม่ได้กินไปอีกหลายคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองเขากินจนเสร็จ ถึงเอ่ยปากถาม “เซี่ยเจียงเฟิงอยากจะทำการค้าข้าวโพดอ่อนนี้หรือไม่?”
เซี่ยเจียงเฟิงกินข้าวโพดอ่อนหมดหนึ่งฝัก รู้สึกว่ากลิ่นหอมในปากยังติดอยู่ไม่รู้คลาย จึงไม่เกรงใจ ลงมือช้อนข้าวโพดอีกหนึ่งฝักด้วยตัวเอง กัดหนึ่งคำ ถึงพูดว่า “ย่อมต้องอยาก ไม่ทราบว่าแม่นางมีข้าวโพดอ่อนเช่นนี้มากเท่าใด?”
“มีจำนวนมาก คุณชายเซี่ยต้องการเท่าใดก็มีเท่านั้น”
เซี่ยเจียงเฟิงกินข้าวโพดฝักที่สองในมือเสร็จ ยังรู้สึกไม่หายยาก แต่ไม่กล้ากินอีก จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าข้างกายมาเช็ดมือ ตอบกลับว่า “ได้ ไม่ว่าแม่นางมีเท่าไหร่ ข้าต้องการทั้งหมด ราคาแล้วแต่เจ้าจะกำหนด”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “คุณชายเซี่ยอย่าเพิ่งใจร้อน แม้ข้าวโพดอ่อนจะอร่อยมาก แต่ระยะเวลาในการเก็บรักษาทำได้ไม่นาน หากท่านคิดจะขนส่งเข้าเมืองหลวง จักต้องขนส่งข้าวโพดอ่อนที่ยังไม่ต้มสุกเข้าไป”
เซี่ยเจียงเฟิงได้กินข้าวโพดอ่อน ก็สัมผัสได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโอกาสทำกำไรก้อนโต ตื่นเต้นดีใจมาก ไม่ได้คิดถึงปัญหาการเก็บรักษาของข้าวโพดอ่อนเลย นึกว่าแค่ต้มให้สุกแล้วขนส่งเข้าไปก็ได้แล้ว ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ก็เริ่มคิดถึงปัญหานี้ จึงพูดขึ้นพลัน “แม่นางกล่าวถูกต้อง สมควรจะขนส่งข้าวโพดอ่อนดิบเข้าไป ทว่า จากตำบลซีเฉิงถึงเมืองหลวงระยะทางอย่างน้อยสามวัน จะเก็บรักษาข้าวโพดอ่อนพวกนี้อย่างไร ถึงจะทำให้พวกมันอร่อยได้เหมือนกับตอนนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เรื่องนี้ข้ามีวิธี” พูดจบก็บอกวิธีการเก็บรักษาที่ตัวเองคิดไว้แล้วแก่เขา
เซี่ยเจียงเฟิงได้ฟังพยักหน้าหงึกๆ “วิธีของแม่นางดียิ่งนัก ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน ข้าจะกลับไปให้คนเตรียมตัว พรุ่งนี้จะเข้ามารับข้าวโพดแต่เช้า”
พูดจบ หันหลังเตรียมจะเดินจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งเขาไว้พูดว่า “คุณชายเซี่ยอย่าเพิ่งใจร้อน พวกเรายังต้องหารือกันเรื่องการจำหน่ายข้าวโพดอ่อน”
เซี่ยเจียงเฟิงไม่เข้าใจ “เรื่องนั้นยังต้องหารืออะไร หลังจากข้าขนส่งข้าวโพดอ่อนถึงเมืองหลวง สั่งให้คนนำไปต้มให้สุกทั้งหมด แล้วจำหน่ายในร้านก็ได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “นี่เป็นเพียงหนึ่งในวิธีการจำหน่ายเท่านั้น อีกทั้งยังไม่แน่ว่าจะขายดีได้เหมือนที่พวกเราคาดคิด ข้ายังมีอีกวิธีการขายหนึ่ง ท่านน่าจะลองทำดูได้”
เซี่ยเจียงเฟิงเร่งเร้าถาม “วิธีอะไร?”
“ท่านให้พนักงานตั้งกระทะใบใหญ่ที่หน้าประตูร้าน ใส่ข้าวโพดอ่อนลงไปต้มจนสุกให้ดูสดๆ หนึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ สองยังได้ฉวยโอกาสนี้บอกทุกคนว่า ร้านค้าของพวกท่านไม่เพียงขายข้าวโพดสุก ยังขายข้าวโพดอ่อนดิบด้วย หากที่บ้านคนมาก สามารถซื้อกลับไปต้มเองได้ แน่นอน ราคาย่อมจะต้องถูกกว่าข้าวโพดที่ต้มสุกแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เซี่ยเจียงเฟิงดวงตาเปล่งประกาย ชูนิ้วโป้งให้เมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง วิธีนี้ดียิ่งนัก พวกเศรษฐีชั้นสูง ข้าราชการขุนนางย่อมไม่มากินอาหารที่ทำสุกแล้วของร้านพวกเราข้างทางปะปนกับชาวบ้านทั่วไป เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะได้สั่งคนมาซื้อ นำกลับไปต้มกินที่บ้านตัวเองได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “พวกเขาถึงจะเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่แท้จริง เหมือนกับกุนเชียง รู้สึกว่าอร่อย แทบอยากจะซื้อทั้งหมดกลับไปบ้านตัวเอง ดังนั้นหลังจากขนส่งข้าวโพดอ่อนเหล่านี้ไปถึงเมืองหลวงแล้ว ให้แบ่งจำนวนมากเก็บไว้อย่าเพิ่งนำไปต้มให้สุก”
เซี่ยเจียงเฟิงพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ข้าวโพดอ่อนในแปลงดินมีจำนวนมาก หากไม่รีบหักออกไปขาย อย่างมากที่สุดก็ครึ่งเดือน ข้าวโพดทั้งหมดก็จะโตเต็มวัย ดังนั้นพวกเราจึงมีเวลาประมาณสิบวัน หรือพูดได้ว่า คุณชายเซี่ยจะมีเวลาเพียงครึ่งเดือนสำหรับกอบโกยกำไร เมื่อเวลานี้ผ่านไป ท่านคิดจะขายก็ไม่มีแล้ว ดังนั้นนอกจากการขนส่งจำนวนหนึ่งไปเมืองหลวงแล้ว ท่านยังสามารถส่งไปที่อื่นได้อีก”
เซี่ยเจียงเฟิงพูดว่า “ข้าก็มีความคิดเช่นนี้พอดี เมื่อกลับไปแล้วข้าจักเตรียมการ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าวโพดอ่อนหนึ่งฝักข้าให้ท่านห้าเฉียน ท่านจงกลับไปกำหนดราคาของตัวเอง”
เซี่ยเจียงเฟิงตกใจ “ถูกเช่นนี้เลย?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ไม่ถูกแล้ว ท่านแม่บอกว่าแป้งข้าวโพดหนึ่งจินเพิ่งจะห้าเฉียน เพียงพอเป็นโจ๊กข้าวโพดหนึ่งมื้อให้พวกเรากินได้ทั้งครอบครัวเชียวเล่า”
เซี่ยเจียงเฟิงได้ฟังหัวเราะครืน
หลังจากตกลงว่าพรุ่งนี้ต้องการข้าวโพดอ่อนจำนวนเท่าไหร่และจะเข้ามารับโมงยามใดเรียบร้อย เซี่ยเจียงเฟิงก็นั่งรถม้าจากไปอย่างเบิกบาน
เหวินหู่กลับมา นำเงินห้าร้อยเฉียนที่ได้มาจากหลงจู๊มอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวนำไปมอบให้เมิ่งชื่อต่อ
เมิ่งชื่อนำเงินห้าร้อยเฉียนวางบนเตียงเตา นับเงินอย่างเบิกบานวนไปวนมา
เมิ่งเอ้ออิ๋นรู้สึกทนดูต่อไปไม่ไหว พูดว่า “เงินเพียงห้าร้อยเฉียนนี้ เจ้านับวนไปวนมา จนจะมีดอกไม้งอกออกมาอยู่แล้ว”
เมิ่งชื่อถลึงตาใส่เขา “เจ้าจะไปรู้อะไร ในอดีตผลผลิตในที่เพาะปลูกของพวกเรา หักที่จ่ายเป็นภาษีไป เหลือไม่พอให้ครอบครัวได้กินใช้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขายเป็นเงิน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเงินที่ได้มาจากขายผลผลิต ข้าจะไม่ดีใจได้หรือ?”
คิดถึงชีวิตที่ไม่อิ่มท้องของครอบครัวในอดีต เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่พูดอะไรอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านแม่ วันนี้ข้ายังขายข้าวโพดหลายพันฝักให้คุณชายเซี่ยอีกด้วย พรุ่งนี้เงินจะยิ่งมีมากกว่านี้ ท่านนับอย่างไรก็นับไม่หมด”
เมิ่งชื่อได้ฟังก็ให้ดีใจ “ขายไปได้อีกหลายพันฝัก เช่นนั้นพวกเราก็ร่ำรวยแล้วสิ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะครืน
เช้าวันรุ่งขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ให้เหวินเปียวและเหวินหู่นำทุกคนฝึกวรยุทธ์ แต่สั่งการให้ทุกคนไปหักข้าวโพด
กระทั่งพนักงานของเซี่ยเจียงเฟิงบังคับรถม้าที่ทำขึ้นพิเศษมาตลอดคืนมาถึง เมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งให้ทุกคนนำไปบรรจุบนรถม้าของพวกเขา
รถม้าไปไกลแล้ว ทุกคนที่หักข้าวโพดกันแต่เช้ากลับไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า แต่ละคนกลับมีท่าทีกระปรี้กระเปร่าสดชื่น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น