ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1906-1913

 ตอนที่ 1906 ยั่วโมโหอู่เยวี่ย


ทางอู่เยวี่ยร้อนใจมากจนอดไม่ได้ที่จะโทรหาอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ห้ามใจไว้ เธอไม่ควรจะทำทีเป็นเบี้ยล่างต่อหน้าเหมยเหมย เพราะศักดิ์ศรีของเธอไม่อนุญาต!


ถ้าหากยัยชั่วจ้าวเหมยคิดจะเล่นแง่กับเธอ งั้นก็อย่ามาโทษว่าเธอไม่ไว้หน้า อย่างมากก็แค่สู้จนตัวตายกันไปข้าง ใครก็อย่าได้ดีไปกว่าใครเลย!


ในที่สุดเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น…


“โอหยางซานซาน ฉันถามพี่สามแล้วนะ เขาบอกว่าได้ใบอนุญาตถ่ายทำมาแล้ว ประสิทธิภาพค่อนข้างเร็วเลยทีเดียว!” เหมยเหมยพูดพลางกินคุกกี้ เสียงเคี้ยวกรุบ ๆดังลอดผ่านปลายสายไปถึงหูของโอหยางซานซานอย่างชัดเจน เป็นอีกครั้งที่ทำให้ความโมโหปะทุขึ้นมา


อู่เยวี่ยกำสายโทรศัพท์แน่น โมโหจนควันออกตา สมควรตายนักนะยัยจ้าวเหมย เธอร้อนใจดั่งไฟแผดเผาแต่ยัยชั่วช้านี่กลับมีกะจิตกะใจนั่งกินขนม?


เห็นได้ชัดว่าจ้าวเหมยรู้แต่แรกแล้วว่าใบอนุญาตถ่ายทำดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่กลับจงใจยื้อเวลาไว้ ซ้ำยังแกล้งโง่ใส่เธออีก น่าเกลียดจริง ๆ!


“เจ้าเหมยเธอนี่อารมณ์ดีจริง ๆเลยนะ มีกะจิตกะใจกินขนมด้วย” อู่เยวี่ยถากถางอย่างอดไม่ได้


เหมยเหมยคว้าคุกกี้ขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่งส่งเข้าปากเคี้ยวเสียงดังกรุบ ๆพร้อมยกชานมขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ ถอนหายใจอย่างพึงพอใจ “มนุษย์เราเกิดมาก็ต้องกินให้อิ่มหนำสำราญ พี่หมิงซุ่นชอบบ่นว่าฉันผอมเกินไป วัน ๆเอาแต่สั่งทำของอร่อย ๆให้ฉันกิน แต่นับว่าโชคดีที่ฟ้าประทานหุ่นอันสมบูรณ์แบบเช่นนี้มาให้ฉัน กินยังไงก็ไม่อ้วน ถ้าเป็นพวกอ้วนง่ายละก็เกรงว่าป่านนี้คงกลายเป็นหมูไปนานแล้ว”


อู่เยวี่ยถูกแทงใจดำเข้าอย่างจัง เธอก็คือพวกอ้วนง่ายที่จ้าวเหมยพูดถึงนั่นแหละ!


กว่าจะรักษาหุ่นมาได้จนถึงตอนนี้ เธอกินแต่น้ำผักต้มมาสองปีเต็มโดยไม่แตะต้องน้ำมันเลย สำหรับคุกกี้ช็อกโกแลตเนื้อสัตว์พวกนั้น เธอลืมเลือนรสชาติของมันไปนานแล้ว


เธอไม่กล้ากินอะไรเลยแต่ยัยชั่วจ้าวเหมยกลับกินดื่มได้อย่างเต็มที่ หนำซ้ำรูปร่างยังเพรียวบางเหมือนเคย!


ฟ้าดินไม่ยุติธรรม!


เธอไม่พอใจเอาเสียเลย!


“โอหยางซานซาน ฉันจำได้ว่าเธออ้วนง่ายนี่นา ขนาดดื่มน้ำก็ยังอ้วนเลย แต่ตอนนี้เธอกลับท้องอยู่ด้วย เธอต้องกินให้มาก ๆเพื่อบำรุงลูกน้อยในท้องของเธอด้วยนะ อย่างมากก็คงอ้วนขึ้นแค่สิบห้ายี่สิบโลเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่”


เหมยเหมยพูดพลางยิ้มตาหยีกินคุกกี้เสียงดังกรุบ ๆต่อไป อู่เยวี่ยเป็นคนอ้วนง่าย ตอนอยู่อเมริกาผอมจนเหมือนนกขนาดนั้น!


วัน ๆคงกินแต่ผักหญ้าแน่นอน!


แต่ตอนนี้ต่อให้เธออยากจะกินผักกินหญ้าทุกวัน หนิงเฉินเซวียนก็ไม่มีทางยอมหรอก เหอะ ๆอยากเห็นอู่เยวี่ยกลายร่างเป็นหมูจัง!


ต้องน่าเกลียดกว่าหมูแน่ ๆ!


อู่เยวี่ยได้รับการดูถูกจากเหมยเหมยจนปวดขมับไปหมด หลังจากที่เธอตั้งท้องน้ำหนักของเธอก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ท้องได้แค่สามเดือนกว่านิด ๆแต่เธอกลับอ้วนขึ้นตั้งสองกิโลครึ่ง เพราะหนิงเฉินเซวียนเอาแต่สั่งทำซุปบำรุงร่างกายให้เธอ ซ้ำยังจ้องดูเธอดื่มลงท้องอีก ไม่อ้วนก็แปลกแล้ว!


“จ้าวเหมยจะยุ่งย่ามเกินไปแล้วมั้ง ฉันจะอ้วนหรือไม่อ้วนมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย? ฉันทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว เธอจะเอาสมุดบัญชีมาให้เมื่อไร?” อู่เยวี่ยพูดเสียงเย็นชา


เหมยเหมยเบะปากพลางวางคุกกี้ที่กินอยู่นานก็ไม่หมดสักทีลงในจาน “เธอนี่ช่างไม่เห็นถึงความหวังดีของคนอื่นเลยนะ จะว่าไปเราสองคนก็เคยผูกพันกันมาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ไม่คิดจะดีใจที่ฉันเป็นห่วงเธอหน่อยเหรอ?”


“ไม่จำเป็น!” อู่เยวี่ยกัดฟันแน่น เพราะมันเกินความอดทนของเธอแล้ว


“เฮ้อ ยาดีแม้มีรสขมแต่รักษาโรคได้ฉันใด คำพูดที่จริงใจแม้ฟังขัดหูแต่มีประโยชน์ต่อการกระทำฉันนั้น[1] โอหยางซานซานต่อให้เธอไม่ชอบฟังแต่ฉันก็ยังอยากเตือนเธออยู่ดี ฉันได้ยินมาว่าผู้หญิงเราถ้าคลอดลูกแล้วจะมีรอยแตกลายเยอะ หน้าอกหย่อนยานเหมือนกระเป๋าผ้าเลยนะ แล้วอย่างของเธอที่ใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจะยิ่งหย่อนยานหนักกว่าเดิมอีก ส่ายไปส่ายมาอาจสะบัดไปถึงหลังเลยก็ได้นะ…”


“พอได้แล้วจ้าวเหมย สรุปเธอจะส่งสมุดบัญชีมาไหม?”


อู่เยวี่ยพูดตัดบทอย่างเย็นชา ขณะที่เหมยเหมยพูดไปก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการตามไปด้วย


[1] ปัจจุบันหมายความถึง ผู้ฟังควรน้อมรับความเห็นหรือการตำหนิติเตียนของผู้อื่น


………………………………………………………………………


ตอนที่ 1907 ของจริงของปลอม


ผู้หญิงหน้าอกหย่อนคล้อยเหมือนถุงผ้าที่เหมยเหมยพูดถึง เธอรู้ดี


เมื่อก่อนตอนอยู่อีจงมีแม่บ้านคนหนึ่ง ไม่มีการศึกษาแต่กลับมีลูกถึงห้าคน หน้าอกของผู้หญิงคนนี้เป็นเช่นนั้น หย่อนยานไปจนถึงท้องน้อย เธอเห็นกับตาตัวเองเลยว่าผู้หญิงคนนี้สามารถสะบัดหน้าอกไปถึงหลังได้…


อู่เยวี่ยพลันตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่กล้าจินตนาการอีกต่อไป


เธอจะกลายเป็นผู้หญิงต่ำทรามแบบนั้นได้อย่างไร?


เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!


แต่ความกลัวในใจของอู่เยวี่ยมีมากขึ้นจึงก้มหน้าลงสำรวจหน้าอกของตัวเอง เพราะเธอไม่ชอบที่ของตัวเองเล็กเกินไป ดังนั้นตอนศัลกรรมจึงตั้งใจเพิ่มขนาดหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะมันทำให้เธอดูเซ็กซี่มากขึ้นและดูน่าค้นหาไม่น้อย


หาเวลาไปตรวจที่โรงพยาบาลสักหน่อยแล้วกัน ถ้าหากเป็นไปได้เปลี่ยนซิลิโคนข้างในให้เล็กลงกว่าเดิมหน่อย ตั้งแต่ตั้งท้องหน้าอกของเธอก็ขยายใหญ่ขึ้นเหมือนหมั่นโถว จากเดิมเป็นขนาดที่พอดีแล้วแต่ตอนนี้กลับดูใหญ่เกินไป มีผลกระทบต่อความสมดุลของร่างกายอย่างมาก


เหมยเหมยรับรู้ถึงความกลัวและความกังวลใจจากอู่เยวี่ยที่อยู่ปลายสาย จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างได้ใจ


เธอรู้ธาตุแท้ของอู่เยวี่ยดีเสียยิ่งกว่าใคร ไม่รู้จักประมาณตนเหมือนดั่งดอกแดฟโฟดิล ยึดมั่นในความเป็นตัวเองสูง มักจะคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงสวยเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ และสิ่งที่กลัวที่สุดก็คือกลายเป็นคนอัปลักษณ์


เธอพูดยาวเหยียดไปขนาดนั้นอู่เยวี่ยต้องจำฝังใจบ้างล่ะ ต่อให้ไม่มีผลอะไรแต่ทำให้เธอสะอิดสะเอียนได้บ้างก็ยังดี


“สมุดบัญชีฉันจะให้คนเอาไปส่งให้ อันที่จริงข้อแลกเปลี่ยนครั้งนี้ฉันเสียเปรียบไม่น้อยเลยนะ!” เหมยเหมยไม่ได้แหย่เธออีก เปลี่ยนประเด็นมาคุยเรื่องสมุดบัญชีด้วยท่าทีจริงจังมาก


อู่เยวี่ยตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าจู่ ๆจ้าวเหมยจะจริงจังขึ้นรวดเร็วขนาดนี้ เธอจึงเกิดความคลางแคลงใจ


“จ้าวเหมย เธอคงจะไม่เก็บของจริงไว้หรอกนะ?”


“โอหยางซานซานเธอนี่มันเอาใจคนชั้นต่ำมาวัดท้องสุภาพบุรุษ[1] ในเมื่อเธอไม่เชื่อใจฉัน ก็ยกเลิกข้อตกลงนี้ไปเลยสิ สมุดบัญชีนี้ไม่อยากได้ก็ไม่ต้องเอา”


“ฉันอยากได้สมุดบัญชีอยู่แล้วแต่ฉันไม่เชื่อใจเธอต่างหากจ้าวเหมย ฉันจะให้คนมาตรวจสอบสมุดบัญชีว่าเป็นของจริงหรือของปลอม” อู่เยวี่ยพูดขึ้น


“ได้สิ เธอเชิญคนมาตรวจสอบได้เลย ตรวจสอบเสร็จแล้วบอกฉันด้วยนะ เออใช่ ช่วงบ่ายไม่ต้องไล่จิกฉันล่ะ ฉันจะนอนเพื่อความงาม”


เหมยเหมยตัดสายโทรศัพท์ ฮึมฮัมอย่างได้ใจ


อู่เยวี่ยนี่ก็ช่างคิดว่าตัวเองฉลาดเสียจริง เหยียนหมิงซุ่นตั้งใจจะกำจัดหนิงเฉินเซวียนทิ้ง แล้วเขาจะปล่อยให้เห็นจุดน่าสงสัยได้เหรอ?


แต่ถึงอย่างไรหลุมพรางนี้ ต่อให้อู่เยวี่ยไม่อยากกระโดดก็ต้องกระโดดอยู่ดี ช่วยไม่ได้นะ!


อู่เยวี่ยเองก็เข้าใจเหตุผลเหล่านี้ดีแต่เธอไม่มีทางเลือก ไม่มีอำนาจต่อรองแต่อย่างใด


เธอได้เชิญเจ้าหน้าที่การเงินของมูลนิธิมาตรวจสอบสมุดบัญชีที่เหมยเหมยเอามาให้โดยเฉพาะ เหมยเหมยท่าทีแน่นิ่ง ไม่กังวลเลยสักนิดว่าจะถูกจับได้ เหยียนหมิงซุ่นบอกเธอแล้วว่าสมุดบัญชีสมบูรณ์ไร้ที่ติ ไม่มีปัญหาอะไรเลย


มูลนิธิก่อตั้งขึ้นมาเป็นระยะเวลาสิบกว่าปีจึงมีพนักงานผลัดเปลี่ยนกันเป็นรุ่น ๆ สมุดบัญชีจึงปลอมแปลงได้อย่างง่ายดาย พนักงานบัญชีเซ็ทนี้เพิ่งเข้ามาใหม่จึงไม่รู้สถานการณ์ของมูลนิธิอย่างแน่ชัด


อีกทั้งลูกน้องของเหยียนหมิงซุ่นก็มีความสามารถในการปลอมแปลงเอกสารอย่างดีเยี่ยม ปลอมแปลงสมุดบัญชีได้เหมือนของจริงทุกประการ เกรงว่าแม้แต่คนที่ทำบัญชีเองยังยากที่จะแยกแยะระหว่างของจริงและของปลอมได้เลย


คงไม่ต้องเอ่ยถึงนักบัญชีที่เพิ่งมาใหม่หรอก สีหน้าของเธอมีแต่ความลังเลและไม่สบายใจ


ดูเหมือนจะเป็นของจริง เพราะแม้แต่มุมกระดาษที่ถูกพับไว้ยังเหมือนกันทุกอย่าง เธอเคยเห็นสมุดบัญชีตัวจริงมาก่อนซึ่งเหมือนแบบนี้ทุกประการและลายมือก็คล้ายกันมาก จุดที่ถูกแก้ไขก็เหมือนกันเป๊ะ


อู่เยวี่ยได้รับคำยืนยันจากลูกน้องก็โล่งใจ ขอแค่สมุดบัญชีตัวจริงอยู่ในมือก็พอแล้ว


“คุณชายหมิงคงไม่ได้คัดลอกเก็บไว้หรอกใช่ไหม?” อู่เยวี่ยถามหยั่งเชิงด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม


…………………………………………………………………………….


[1] ใช้ความคิดเห็นที่เลวทรามดั่งพวกชั้นต่ำไปคาดเดาบุคคลที่มีคุณธรรมสูงส่ง


ตอนที่ 1908 ปล่อยไปตามยถากรรม


เหมยเหมยจ้องเธอตาเขม็งพูดอย่างหัวเสียว่า “คัดลอกเก็บไว้แล้วไง? สมุดบัญชีของจริงก็คืนให้เธอแล้วไง ต้องทำอย่างไรต่อไปต้องให้ฉันเป็นคนบอกด้วยเหรอ?”


อู่เยวี่ยแน่นหน้าอก พยายามสะกดกลั้นความโกรธแล้วสั่งให้ลูกน้องรับสมุดบัญชีมาเก็บไว้ แม้ว่าจ้าวเหมยจะพูดจาไม่น่าฟังแต่เธอก็พูดถูก ขอแค่สมุดบัญชีอยู่ในมือ เธออยากจะทำอะไรก็ขึ้นอยู่กับตัวเธอแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าเหยียนหมิงซุ่นจะข่มขู่อีก


“ข้อแลกเปลี่ยนสำเร็จด้วยดี ขอให้ละครของคุณหนูจ้าวราบรื่นทุกอย่าง ประสบความสำเร็จนะคะ” อู่เยวี่ยพูดพลางยิ้มสดใส


เหมยเหมยก็ยิ้มตอบอย่างเสแสร้ง “ขอแค่ไม่มีพวกคนชั้นต่ำคอยแอบเล่นตุกติก ละครของฉันต้องราบรื่นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ต่อให้มีพวกชั้นต่ำคิดไม่ซื่อฉันก็ไม่กลัวหรอก โผล่มาเดี่ยวก็ฆ่าเดี่ยว มาคู่ก็ฆ่าคู่!”


จังหวะที่เธอพูดประโยคนี้ดวงตาก็จับจ้องอู่เยวี่ยไม่วางตา ไอสังหารปะทุขึ้นมา


อู่เยวี่ยไม่คิดเช่นนั้น สมุดบัญชีอยู่ในมือแล้ว อำนาจก็กลับมาเป็นของเธอดังเดิม คิดว่าเธอจะกลัวยัยชั่วจ้าวเหมยเหรอ!


“คุณหนูจ้าวคิดมากไปหรือเปล่า บางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้ จะมีคนชั้นต่ำมากอะไรขนาดนั้น!”


เหมยเหมยแค่นหัวเราะเสียงเบาพร้อมสำรวจเธอครู่หนึ่ง เอ่ยตอบไม่ตรงคำถามว่า “ฉันก็ขอให้คุณนายเฮ่อเหลียนรีบ ๆคลอดลูก และอย่าได้เจอเรื่องร้ายแรงอะไรอีกเลย!”


อู่เยวี่ยใจสั่น จ้าวเหมยหมายความว่าอย่างไร?


หรือว่าเธอคิดจะฆ่าเด็ก?


อู่เยวี่ยกุมหน้าท้องของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว เด็กคนนี้เป็นถึงไพ่ตายของเธอ จ้าวเหมยอย่าได้คิดจะทำร้ายเด็กแม้แต่น้อย!


เหมยเหมยหัวเราะเยาะแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ไม่ว่าเธอจะเกลียดอู่เยวี่ยแค่ไหนก็ไม่มีทางไปลงที่เด็กอย่างเปิดเผยหรอก อย่างมากก็แค่ปากหมาหาเรื่องให้อู่เยวี่ยโมโหก็เท่านั้นแหละ


ถ้ารอดก็ถือว่าเป็นชะตากรรมของเด็กคนนี้ แต่ถ้าไม่รอดก็เป็นชะตากรรมของเด็กคนนี้เช่นกัน!


ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรมเถอะ!


แม้จะคืนสมุดบัญชีให้อู่เยวี่ยไปแล้ว ตอนนี้จึงยังถือว่าเงียบสงบได้ชั่วคราว แต่เงินหนึ่งล้านของเธอกลับไม่ได้คืน เหยียนหมิงออกคำสั่งแล้วว่าให้เปิดเผยยอดบริจาคอย่างโปร่งใส มีหรือที่อู่เยวี่ยจะกล้าปกปิดอีกจึงทำได้แค่ตัดใจจากเงินหนึ่งล้าน ทุกครั้งที่นึกถึงก็มักจะปวดใจจนต้องฉีดยากันแท้ง


ใช่ว่าอู่เยวี่ยจะไม่ไปหาเฮ่อเหลียนเช่อ เฮ่อเหลียนเช่อไม่ได้ขาดแคลนเงิน เงินล้านหนึ่งสำหรับเขาก็แค่เศษเงินเท่านั้น อู่เยวี่ยเล่าเรื่องที่ถูกเหมยเหมยหลอกเอาเงินไปล้านหนึ่งให้ฟัง


อันที่จริงเฮ่อเหลียนเช่อได้ยินมาสักพักแล้วล่ะแต่เขาไม่ได้คิดจะใส่ใจ


เขาไม่ได้เข้าร่วมมูลนิธิเสียหน่อย แถมเขายังไม่เห็นด้วยกับการที่หนิงเฉินเซวียนใช้ประโยชน์จากมูลนิธิในการหาเงิน แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เพราะเขาจิตใจดีหรือมีคุณธรรมสูงส่งแต่อย่างใด


แต่เป็นเพราะเฮ่อเหลียนเช่อทะนงตนเป็นอย่างมาก เขามีความมั่นใจต่อความสามารถในการหาเงินของตัวเองมาก ดังนั้นเขาคิดว่ามีวิธีการหาเงินอยู่นับพันนับหมื่นวิธี เหตุใดต้องเลือกหนทางที่เลวร้ายที่สุดด้วยเล่า?


หนิงเฉินเซวียนไม่ยอมฟังเขา เอาความสุขของตัวเองไปสร้างบนความทุกข์ของคนอื่น ความจริงเขาอาจจะไม่ได้ขาดแคลนเงินส่วนนี้เลย แต่อาจจะชื่นชอบแบบนี้มากกว่าจึงเสพสุขอย่างมีความสุข


เฮ่อเหลียนเช่อไม่พึงพอใจต่อการร่วมมือกระทำความชั่วของหนิงเฉินเซวียนกับอู่เยวี่ยมาตั้งแต่แรกแล้ว แล้วจะยอมให้เงินเธอได้อย่างไรล่ะ?


“เธอนี่เอาชนะไม่ได้แม่แต่คนโง่อย่างจ้าวเหมย ฉันเก็บเธอไว้จะมีประโยชน์อะไรฮะ?” เฮ่อเหลียนเช่อมีสีหน้าเย้ยหยัน แล้วอู่เยวี่ยจะกล้าเอ่ยถึงเงินหนึ่งล้านอีกหรือ จึงได้แต่หนีออกมาด้วยความหวาดกลัว


เธอหมดหวังกับเงินหนึ่งล้านแล้ว ครั้งหน้าค่อยหาวิธีหากลับมาใหม่แล้วกัน!


เหมยซูหานยืนอยู่นอกระเบียงอาคารชั้นสองมองอู่เยวี่ยที่นั่งรถจากไปอย่างเย็นชา ผู้หญิงคนนี้นี่แหละที่แย่งชิงชื่อเสียงและสถานะที่เขาไม่มีวันได้ครอบครองไปจากเขา แต่กลับไม่ยอมสงบเสงี่ยมเจียมตัวเอาแต่ก่อปัญหาไม่เว้นวัน ซ้ำยังคิดทำร้ายเหมยเหมยอีก


หึ!


อยากได้เงินหนึ่งล้านคืนงั้นเหรอ?


ถ้ามีเขาอยู่ แม้แต่สลึงเดียวก็จะไม่มีวันให้!


เขาเป็นคนจัดการดูแลเงินของเฮ่อเหลียนเช่ออยู่ จะให้หรือไม่ให้เงินมันขึ้นอยู่กับเขาต่างหาก!


………………………………………………………


ตอนที่ 1909 เปิดกล้อง


พิธีเปิดกล้องของเจ้าหญิงอัปลักษณ์จัดขึ้นอย่างราบรื่น เหมยเหมยเข้าร่วมพิธีด้วย อู่เชากับสยงมู่มู่ก็ไปด้วย อีกอย่างเพลงประกอบละครและดนตรีประกอบละครเหมยเหมยยกให้สยงมู่มู่เป็นคนจัดการทั้งหมดเลย เชื่อว่าเขาจะไม่ทำให้เธอผิดหวังแน่นอน


โปสเตอร์โปรโมทเหมยเหมยก็เป็นคนวาดเองซึ่งเป็นภาพการ์ตูน แต่วาดออกมาได้สวยมาก ผู้ชมที่ชื่นชอบไม่ใช่แค่กลุ่มวัยรุ่นเท่านั้น แต่ผู้ชมที่ค่อนข้างมีอายุก็มองว่าน่ารักเช่นกัน ทำเอาสาวน้อยหัวใจพองตัวเลยทีเดียว


นอกจากแขกรับเชิญแล้ว จุดที่ดึงดูดใจที่สุดก็คงไม่พ้นพระเอกของเรื่องตามคาด ตอนที่จ้าวเสวียเอ๋อร์โฆษณาก็ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนเลยว่าหานจื่อจวินคือพระเอก บอกเพียงแค่ว่าจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังนั่นจึงยิ่งเป็นจุดขาย


จนกระทั่งก่อนพิธีเปิดกล้องหนึ่งวันจ้าวเสวียเอ๋อร์ถึงได้ป่าวประกาศว่าพระเอกคือใคร แค่ระยะเวลาอันสั้นก็กลายเป็นกระแสดังไปทั่วทั้งประเทศ


ใคร ๆต่างก็คิดไม่ถึงว่าหานจื่อจวินที่เล่นหนังฟอร์มยักษ์มาตลอดจะเล่นละครทีวีเล็ก ๆแบบนี้ด้วย?


นับว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว!


เนื่องด้วยการสร้างกระแสเช่นนี้เจ้าหญิงอัปลักษณ์ที่ยังไม่ทันได้เริ่มถ่ายทำก็กลายเป็นที่พูดถึงทั่วบ้านทั่วเมือง คนทั่วทั้งประเทศต่างก็เฝ้ารอให้ละครเรื่องนี้รีบถ่ายทำให้เสร็จ พวกเขาจะต้องได้เห็นเจ้าหญิงอัปลักษณ์ในฉบับคนตัวเป็น ๆ!


หวังว่าจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังนะ!


เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายทำ โจวซิงเอ๋อร์จึงได้ย้ายเข้าไปอยู่ในกองตั้งแต่แรก สมุดบันทึกถูกจดอย่างละเอียด จากที่เจียงซินเหมยเล่าให้ฟังโจวซิงเอ๋อร์เข้าถึงตัวละครจนเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว แต่ผลลัพธ์นั้นเห็นได้อย่างชัดเจน แม้แต่เหมยเหมยเองยังรู้สึกได้ ราวกับว่าโจวซิงเอ๋อร์ก็คือเจ้าหญิงอัปลักษณ์จากปลายปากกาของเธอ ไม่มีความต่างกันเลย


ความจริงแล้วนี่คือเซอร์ไพรส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เหมยเหมยได้รับต่างหาก


หานจื่อจวินมีประสบการณ์ทำงานมามากเธอจึงไม่กังวลเลย บัดนี้โจวซิงเอ๋อร์ก็เข้าสู่สภาวะสมบูรณ์พร้อมแล้ว เธอสามารถคาดการณ์ถึงความสำเร็จของละครทีวีเรื่องนี้ได้แล้วล่ะ!


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาเจ้าหญิงอัปลักษณ์ก็เริ่มถ่ายทำได้หนึ่งเดือนแล้ว อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อย ๆ หิมะในเมืองหลวงตกลงมาเป็นครั้งที่สาม วันนี้หิมะตกโปรยปรายราวกับขนห่าน ทั่วทุกพื้นที่ล้วนปกคลุมไปด้วยผ้าห่มสีเงิน


หิมะตกตลอดทั้งคืนช่วงเช้าพึ่งจะหยุดตก แต่หิมะบนท้องถนนมีความหนาราวหนึ่งฟุตและมีความอ่อนตัว พอเหยียบก็จมยวบลงไปจนเกือบจะถึงช่วงเข่า


ในตัวบ้านกลับอบอุ่นเหมือนช่วงฤดูใบไม้ผลิ ใส่เสื้อผ้าแค่ชั้นเดียวก็เอาอยู่แล้ว วันนี้มีคาบวิชาเรียนที่สำคัญหลายวิชา โดดเรียนไม่ได้เลย เหมยเหมยตื่นแต่เช้าอย่างยากลำบากเพื่อเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย


“สายกว่านี้หน่อยค่อยไป ตอนนี้หิมะบนถนนยังตักออกไม่หมดเลย ขับรถลำบาก”


เหยียนหมิงซุ่นทาซอสเนื้อบนหน้าขนมปังแผ่น จากนั้นก็ประกบด้วยเบคอนและไข่ดาวแล้วก็ใส่ผักสดไม่กี่ใบ แซนวิชแสนอร่อยก็เป็นอันเสร็จสิ้น ช่วงนี้เหมยเหมยชอบกินอาหารตะวันตก เหยียนหมิงซุ่นจึงกินกับเธอด้วย


“ไม่เอาผักสดนะ เหม็นเขียว”


เหมยเหมยเขี่ยผักสดในขนมปังออกอย่างไม่พอใจ เกลียดที่สุดคือการกินผักสดนี่แหละ เพราะรู้สึกเหมือนแพะกินหญ้าเลย


เหยียนหมิงซุ่นไม่พูดอะไร แค่จ้องเธอด้วยสายตาเรียบนิ่ง…


ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง…


“แต่ถ้าเป็นแซนวิชที่พี่หมิงซุ่นทำ ต่อให้เป็นผักสดที่เกลียดที่สุดก็ยังถือว่าอร่อยค่ะ…”


เหมยเหมยจำนนต่อท่าทีข่มขู่ของใครบางคนแล้วยัดผักสดเข้าปากอย่างว่าง่าย นิ่วหน้าจนเป็นก้อน กินผักสดสองใบกลืนลงคอรวดเดียวอย่างไม่กลัวตาย จากนั้นก็หันมากัดแซนวิชคำหนึ่งถึงทำให้รสชาติในช่องปากดีขึ้นมาบ้าง


เหยียนหมิงซุ่นอมยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตาฉายแววขำขัน ช่วงนี้เขาค้นพบแล้วว่าหากจะต้องต่อปากต่อคำกับยัยปีศาจน้อย สู้เขาส่งสายตาไปให้เธอดีกว่าแล้วให้เธอสัมผัสเอง


ผลลัพธ์ไม่ใช่แค่ดีธรรมดาเชียวล่ะ!


รถกวาดหิมะบนท้องถนนทำงานกันอย่างขันแข็ง พอถึงช่วงที่ทุกคนเตรียมตัวไปทำงานหิมะบนท้องถนนก็ถูกกวาดจนสะอาดเกลี้ยง เพียงครู่เดียวคนก็พลุกพล่านวุ่นวาย และทุกคนก็เริ่มต้นวันชุลมุนท่ามกลางลมหนาว


สวีจื่อเซวียนสวมเสื้อกันหนาวผ้าฝ้ายสีขาวคลุมยาวถึงเข่า ผมเผ้ายุ่งเหยิง ช่วงน่องเปลือยเปล่า แถมยังใส่แค่รองเท้าแตะและสวมถุงเท้าคู่หนึ่งเดินบนถนนด้วยจิตใจที่ล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


ตอนที่ 1910 เธออยากตายหรือไง


เหมยเหมยกินแซนวิชหมดไปหนึ่งชิ้นพร้อมกับดื่มนมหมดไปหนึ่งแก้ว เรอออกมาด้วยความอิ่มเอมใจ จากนั้นก็ใส่เสื้อกันหนาวและผ้าพันคอเตรียมตัวไปเรียน


“เออใช่ อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเธอจะจัดงานแต่งงานในช่วงเทศกาลคริสต์มาส จัดงานใหญ่เสียด้วยนะ”


เหยียนหมิงซุ่นยังคงกินมื้อเช้าด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อยพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ยามเช้า พลันนึกถึงข่าวเมื่อวานที่ได้ยินมาจึงพูดออกไป


เหมยเหมยเพิ่งพันผ้าพันคอเสร็จก็ชะงักไป พอได้สติกลับมาก็ถามว่า “แต่งกับใครเหรอ?”


“แน่นอนว่าต้องเป็นคนเก่าสิ”


คำตอบนี้ไม่ได้เหนือคาดเลย เหยียนหมิงซุ่นเคยพูดแต่แรกแล้วว่าเจียงจื้อหรู่ไม่คุ้นชินกับชีวิตยากลำบาก ระหว่างความรักกับเงินทอง เขาทำได้แค่ยอมแพ้ให้กับเงิน เพียงแต่ว่า…


“พวกเขาก็แค่แต่งงานใหม่รอบที่สองไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องจัดงานใหญ่โตด้วยล่ะ? แค่ไปจดทะเบียนสมรสใหม่ที่อำเภอก็จบแล้วนี่นา!”


เหมยเหมยไม่เข้าใจเลยจริง ๆ คุณนายเจียงนี่ก็นะขนาดเจียงจื้อหรู่เป็นแค่แตงกวาที่คนอื่นเคยใช้แล้ว ไม่นึกเลยว่าจะเห็นเป็นดั่งของล้ำค่าไปได้


“เพราะตอนที่พวกเขาแต่งงานกันครั้งแรก เจียงจื้อหรู่ที่ฝ่ายเป็นเจ้าบ่าวไม่เข้าร่วมแม้แต่พิธีแต่งงาน ว่ากันว่าเขาหนีงานแต่ง การจัดงานแต่งงานในครั้งนี้ทางฝั่งครอบครัวของคุณนายเจียงเป็นคนเสนอเองว่าจะต้องจัดงานอย่างใหญ่โต”


เหมยเหมยมุ่นคิ้ว และอดพ่นคำด่าออกมาไม่ได้ว่า “ไอ้เลว!”


เจียงจื้อหรู่ก็เลว คุณนายเจียงก็โง่ ทั้ง ๆที่ทำธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด แต่พอเจอปัญหาเรื่องความรักกลับไร้สมอง ทำไมจะต้องมาผูกคอตายบนต้นไม้ที่เอนเอียงอย่างเจียงจื้อหรู่ด้วย!


จัดงานแต่งในวันคริสต์มาส นับ ๆดูแล้วก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบวัน ช่วงเวลานี้ก็นับว่าเร่งรีบพอตัว


ปัญหาคือสวีจื่อเซวียนจะทำอย่างไรต่อไป?


เธอยอมถอยให้เหรอ?


“เงื่อนไขที่เจียงจื้อหรู่ยอมตกลงแต่งงานอีกรอบก็คือ คุณนายเจียงต้องให้เงินค่าเลิกรากับสวีจื่อเซวียนก้อนหนึ่ง พร้อมกับส่งเธอไปเรียนต่อต่างประเทศ เงินค่าเลิกราก้อนนั้นเพียงพอสำหรับเป็นค่าเล่าเรียนและการใช้ชีวิตของสวีจื่อเซวียน” เหยียนหมิงซุ่นอธิบายสิ่งที่เหมยเหมยคับข้องใจ ทั่วทั้งเมืองนี้อยู่ในการควบคุมดูแลของเขาจึงไม่มีสิ่งใดที่จะปกปิดเขาได้


เหมยเหมยหัวเราะเยาะ นับว่าเจียงจื้อหรู่ยังมีเมตตาอยู่บ้าง ไม่งั้นสวีจื่อเซวียนคงต้องสูญเสียไปทั้งสองอย่างพร้อมกัน จุดจบคงน่าเวทนายิ่งกว่านี้


แต่น่าสงสารพ่อสวี!


พอนึกถึงพ่อผู้น่าสงสารคนนั้นเหมยเหมยก็ถอนหายใจเสียงเบา หน่ายที่จะคิดถึงเรื่องย่ำแย่พวกนี้แล้ว ถ้าสวีจื่อเซวียนฉลาดพอก็น่าจะรับเงินค่าเลิกราก้อนนี้แล้วไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ


พึ่งพาพ่อแม่และผู้ชายไปก็ไร้ประโยชน์ มีแค่ตัวเองเท่านั้นที่จะพึ่งพาได้ดีที่สุด!


แน่นอนว่าพี่หมิงซุ่นของเธอเป็นข้อยกเว้น!


เหมยเหมยแต่งตัวเสร็จแล้วซึ่งโผล่มาให้เห็นแค่ลูกตาสองข้างเท่านั้น เธอดึงหน้ากากลงพร้อมหอมแก้มเหยียนหมิงซุ่นฟอดใหญ่ “พี่คะ ฉันไปเรียนก่อนนะ อย่าคิดถึงฉันมากไปล่ะ!”


เหยียนหมิงซุ่นมองเหมยเหมยที่ร่าเริงราวกับนกน้อย แล้วเอื้อมมือเช็ดน้ำลายที่ยัยปีศาจน้อยจงใจป้ายทิ้งไว้ นัยน์ตาส่อแววขำขัน


วันเวลาแบบนี้ช่างงดงามจริง ๆ ขอให้เป็นแบบนี้ทุกวันตลอดไป!


ลุงเหลาขับรถไปส่งเหมยเหมย ผู้คนมากมายยังคงสัญจรอยู่บนท้องถนน ส่วนมากจะปั่นจักรยานกันซึ่งดูครึกครื้นเป็นพิเศษ เหมยเหมยพิงอยู่ตรงขอบหน้าต่างรถ ถอนหายใจพลางใช้มือวาดภาพรูปต่าง ๆลงบนกระจกรถ เล่นสนุกสนานอยู่คนเดียว


“จอดรถค่ะ ลุงเหลาเข้าข้างทางเลยค่ะ”


เหมยเหมยร้องตะโกนขึ้นกะทันหัน ลุงเหลาจึงจอดชิดข้างทาง เหมยเหมยใส่หน้ากากอนามัยและผ้าพันคอลงจากรถวิ่งไปหาสวีจื่อเซวียนข้างถนน


เมื่อกี้ตอนอยู่บนรถเธอเห็นสวีจื่อเซวียน ใจจริงก็ไม่ได้อยากยุ่มย่ามด้วยหรอกแต่เธอทำใจแข็งไม่ลง สวีจื่อเซวียนสวมแค่โค้ชตัวเดียว อีกทั้งด้านล่างยังใส่แค่รองเท้าแตะ น่องเปลือยเปล่า ผ้าพันคอหมวกถุงมือก็ไม่ได้ใส่ ตอนนี้อุณหภูมิด้านนอกติดลบยี่สิบกว่าองศา เธอทำแบบนี้ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรือไง!


“สวีจื่อเซวียนเธออยากตายหรือไง?”


เหมยเหมยพลั้งปากด่า แต่สวีจื่อเซวียนกลับเหมือนไม่ได้ยิน ท่าทางเหม่อลอย สายตาแน่นิ่ง เพียงแค่เดินตัวแข็งทื่อตรงไปข้างหน้า


……………………………………………………………..


ตอนที่ 1911 สามคนที่ถูกลงโทษให้มาสำนึกความผิด


เหมยเหมยแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้สติล่องลอยไม่ปกติ ขนาดหนาวจนสองขาเป็นสีม่วงไปหมดก็ยังไม่รู้ตัว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ต้องคิดจะเก็บขาคู่นี้เอาไว้แล้วละ


เธอเครียดจนต้องถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ทำไมดันเป็นเธอที่มาเจอด้วยนะ?


ถึงปากจะบอกว่าวันหลังต่อให้สวีจื่อเซวียนตายต่อหน้าเธอ เธอก็จะไม่เหลียวแลเลยก็เถอะ แต่พอเห็นสภาพย่ำแย่ของสวีจื่อเซวียนในตอนนี้แล้วเหมยเหมยก็ทนใจแข็งไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงข่าวแต่งงานใหม่ของเจียงจื้อหรู่ที่ได้ยินมาจากเหยียนหมิงซุ่นเมื่อครู่หรอก เธอก็นึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้อยู่ไม่น้อย


แม้ผู้หญิงคนนี้จะไม่น่าเห็นใจเลยสักนิดก็ตาม


เพียงแต่จะปล่อยสวีจื่อเซวียนโดยไม่เข้าไปยุ่งก็ใช่เรื่อง เหมยเหมยจึงให้ลุงเหลาช่วยลากสวีจื่อเซวียนขึ้นรถแล้วพาเธอไปส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาแผลที่เกิดจากอากาศที่เย็นจัด หากไม่รักษาเกรงว่าขาของสวีจื่อเซวียนคงต้องตัดทิ้งอย่างเดียว ไม่รู้ว่าเธอเดินอยู่บนพื้นหิมะคนเดียวมานานแค่ไหนแล้ว!


นับว่าโชคดีที่เหมยเหมยส่งเธอมาโรงพยาบาลได้ทันเวลา คุณหมอบอกว่าหากมาช้าอีกสักครึ่งชั่วโมงคงต้องตัดขาของสวีจื่อเซวียนทิ้งอย่างเดียวเพราะรักษาไม่ได้แล้ว


“คนไข้ต้องนอนโรงพยาบาล จำเป็นต้องมีญาติคนไข้เซ็นรับรองให้นอนโรงพยาบาลด้วย” คุณหมอเอ่ย


เหมยเหมยย่อมไม่ช่วยเรื่องนี้อยู่แล้ว เธอจำบทเรียนจากคุณพ่อสวีได้ไม่เคยลืม สมัยนี้จะเป็นคนดีหน่อยมันยากเย็นเหลือเกิน!


เธอจำต้องโทรหาเจียงจื้อหรู่ หากได้เป็นสามีภรรยากันแล้วย่อมมีเยื่อใยต่อกันเป็นธรรมดา สวีจื่อเซวียนมาอยู่ในสภาพนี้ได้เจียงจื้อหรู่ต้องรับผิดชอบด้วยส่วนหนึ่ง ฉะนั้นการเซ็นรับรองนี้ต้องให้เขามาทำแทน


เจียงจื้อหรู่มาได้ค่อนข้างเร็วและสีหน้าที่ดูร้อนรนมากเช่นกัน พอจะดูออกว่าเขายังรักสวีจื่อเซวียนอยู่


แต่รักแล้วจะทำอะไรได้?


ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับอำนาจเงินทองอยู่ดี!


คุณนายเจียงตามมาด้วยเช่นกัน เธอดูผอมเพรียวกว่าเมื่อก่อนลงไปหน่อยซึ่งบ่งบอกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขนัก เจียงจื้อหรู่เป็นตัวทำลายชั้นดีเสียจริง


สวีจื่อเซวียนเห็นเจียงจื้อหรู่ก็ตาเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยและดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก แต่พอเห็นคุณนายเจียงที่ตามมาทีหลังสายตาของเธอก็ฉายแววสิ้นหวังชั่ววูบแล้วหลับตาลงอย่างเจ็บปวดไม่พูดอะไรสักประโยคเดียว


รักสามเศร้าแบบนี้เหมยเหมยไม่อยากเข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วยนัก เธอจึงบอกลาสองสามีภรรยาเจียงจื้อหรู่ เหตุการณ์นี้ทำให้เธอไปเรียนสายซึ่งดันเป็นคาบเรียนของอาจารย์สุดโหด สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือผู้หญิงหน้าตาสวยจึงไร้ซึ่งความเห็นใจใด ๆ


“ไปยืนข้างนอก!” อาจารย์สุดโหดใจร้ายมาก ขณะที่อาจารย์ท่านอื่น ๆอย่างมากก็แค่ทำโทษให้ยืนหลังห้อง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ฟังแม้แต่คำอธิบายก็ไล่ให้เหมยเหมยไปยืนนอกห้องทันที


ข้างนอกอากาศเย็นติดลบยี่สิบองศาเชียวนะ!


เหมยเหมยเองก็คร้านจะแย้งเลยไปหามุมอบอุ่นแต่โดยดี ตรงนั้นมีรูกำแพงที่ไออุ่นจากข้างในถ่ายเทออกมาคงพอจะช่วยให้รู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง พอไปถึงตรงนั้นก็ทำเอาเหมยเหมยหลุดขำทันที


“ทำไมพวกเธอสองคนก็ออกมาด้วยล่ะ?”


ที่แท้ก็มีสองเพื่อนรักผู้ตกอับมานั่งอยู่ข้างรูกำแพงอย่างน่าสงสารอยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่กำลังหดคอเพื่อรับไออุ่น ซึ่งก็คือเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับฉีฉีเก๋อนั่นเอง


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนถลึงตาใส่ฉีฉีเก๋ออย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงอุบอิบอย่างไม่พอใจ “ก็ยายโง่นี้ไง เมื่อก่อนไม่เห็นเธอจะกระตือรือร้นขนาดนี้เลย แต่วันนี้กลับกระตือรือร้นกว่าใครถึงทำเอาฉันซวยไปด้วย หนาวจะตายอยู่แล้ว!”


ว่าแล้วเธอก็สูดน้ำมูกทีหนึ่งแล้วถลึงตาใส่ฉีฉีเก๋อที่กำลังยิ้มเจื่อนให้


ที่แท้เพราะอาจารย์ขาโหดคนนี้ต้องเช็กชื่อก่อนเข้าเรียน พอเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเห็นเหมยเหมยไม่มาเลยเตรียมขานรับแทนให้ แต่ทว่า–


ยายโง่ฉีฉีเก๋อก็ขานรับด้วยเสียงใสเช่นกัน พอจะคาดเดาถึงผลลัพธ์ของการมีเสียงขานรับสองคนขึ้นในเวลาเดียวกันได้ จึงทำให้ต้องโดนอาจารย์ขาโหดไล่มาสำนึกผิดตรงนี้


เหมยเหมยหลุดขำทีหนึ่งแล้วรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจ ก่อนที่เธอจะเล่าสาเหตุของการมาเรียนสายให้ฟัง


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโกรธจนหลุดด่าคำหยาบออกมา “โอ้โห ฉันอยากตบเรียกสติหล่อนจริง ๆ พ่อของเธอต้องโมโหจนตายไปคนหนึ่งแล้วทำไมหล่อนถึงยังไม่ได้สติอีกนะ? ทำร้ายตัวเองเพื่อผู้ชายคนเดียวแบบนี้มันเกินไปจริง ๆ!”


สุดท้ายก็เป็นเรื่องของคนอื่นอยู่ดี แม้พวกเธอจะโกรธแต่ก็คร้านจะสนใจอีก ในที่สุดก็หมดไปสองคาบทั้งสามคนหนาวแทบแย่เลยตัดสินใจโดดเรียนอีกสองคาบที่เหลือโดยไปทานหม้อไฟหลังมหาวิทยาลัยเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย


แต่พอเดินผ่านหน้าหอสมุดกลับพบว่าตรงนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนมุงชะเง้อคอยาวไม่รู้กำลังดูอะไรกันอยู่!


ตอนที่ 1912 มีคนจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนชะเง้อคอด้วยความสงสัยตาม แต่เพราะไม่ได้สวมแว่นตาเลยทำให้มองเห็นไม่ค่อยชัด


ฉีฉีเก๋อยิ้มหยอกเย้า “หรือว่าจะมียูเอฟโอของมนุษย์ต่างดาวเหรอ?”


ทั้งสามคนยังอยู่ห่างจากหอสมุดอีกระยะหนึ่ง เพราะท้องฟ้าอึมครึมเต็มไปด้วยหมอกจึงทำให้มองไม่เห็น พวกเธอก็ไม่ให้ความสำคัญอะไรยังหลงคิดว่าเป็นเพียงพฤติกรรมการคล้อยตามของผู้คน


อย่างเช่นถ้าคุณเดินอยู่กลางถนนแล้วยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้า แต่พอใครมาถามคุณคุณก็จะแสร้งทำตัวลึกลับไม่ตอบสักคำ คุณจะพบว่าหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นข้างตัวคุณก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งยืนมองท้องฟ้าเช่นเดียวกับคุณ ต่อให้พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังดูอะไรอยู่ก็ตามที


พวกเหมยเหมยคิดเช่นนี้เพราะในรั้วมหาวิทยาลัยมีคนชอบล้อเล่นแบบนี้อยู่บ่อยครั้งอย่างไม่มีจบสิ้น และดันมีคนหลงกลอยู่ตลอด


เพียงแต่รอพวกเธอเดินเข้าไปใกล้ถึงรู้ว่าพวกเธอคิดผิดไป


“โทรเรียกรถดับเพลงเร็ว ให้พวกเขามาช่วย!”


“โทรแล้ว ฉันว่าเราไปหาผ้านวมมารองด้วยดีกว่า!”


“ใช่ ๆ ไปหาผ้านวมมา!”


“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? ทำไมถึงได้คิดสั้นแบบนี้?”


“ไม่รู้จัก แต่ดูเหมือนจะมีอาจารย์คนหนึ่งขึ้นไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมให้เธอเปลี่ยนใจได้ไหม?”


……


นักศึกษาที่มามุงต่างกระซิบกระซาบกัน มีเพื่อนใจดีบางส่วนที่เดินไปเดินมาทั้งโทรขอความช่วยเหลือทั้งไปหาผ้านวมให้…ดูวุ่นวายเสียเหลือเกิน!


“เอ๊ะ…ทำไมถึงเป็นสวีจื่อเซวียนไปได้ล่ะ? หล่อนไม่ได้อยู่โรงพยาบาลเหรอ?” ฉีฉีเก๋อสายตาดี มองเพียงแวบเดียวก็เห็นชัดแล้วว่าผู้หญิงที่ยืนตัวโงนเงนบนตึกนั่นคือสวีจื่อเซวียนที่ถูกเหมยเหมยพาไปส่งที่โรงพยาบาลนั่นเอง


เหมยเหมยรีบหรี่ตามอง หิมะในมหาวิทยาลัยยังไม่ทันทำความสะอาดดีจึงทำให้แสงกระทบแยงตาจนรู้สึกเคืองตาไปหมด แต่ก็พอเห็นว่าเป็นสวีจื่อเซวียนจริง ๆ เสื้อผ้าบนตัวเธอยังเป็นชุดเมื่อเช้าซึ่งตอนนี้ยืนอยู่ขอบชั้นดาดฟ้า แค่มองก็รู้สึกเสียววาบไปหมดแล้ว


โอ้โฮ…


เหมยเหมยในตอนนี้แค่อยากด่าคำหยาบ!


เธอเกลียดคนที่ไม่รู้จักรักตัวเองมากที่สุด ชาติที่แล้วเธอถูกอู่เยวี่ยทำร้ายถึงได้ตกตึกตายอย่างอนาถ ความเจ็บแบบนั้นเป็นสิ่งที่เธอแทบจะจินตนาการไม่ออกและหากนึกถึงทีไรจะใจสั่นปวดร้าวไปทั้งตัว!


สวีจื่อเซวียนโดนลากระทืบสมองมาจริง ๆด้วย!


“ตอนนี้ทำอย่างไรดีล่ะ? นี่มันตึกเจ็ดชั้นเชียวนะ ถ้าร่วงตกลงมาจะทำไงดี?” ฉีฉีเก๋อตกใจจนเดินวนอยู่กับที่ราวกับหนูติดจั่น


เพื่อนคนอื่น ๆที่อยู่ข้าง ๆเห็นว่าพวกเธอรู้จักสวีจื่อเซวียนจึงมาถามพวกเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโมโหจนตะคอกใส่ “นี่เธอโดนลากระทืบสมองมาหรือไง? คนใกล้จะตายอยู่แล้วช่วยหุบปากก่อนได้ไหม?”


พอผู้หญิงที่มีความอยากรู้อยากเห็นโดนพ่นน้ำลายใส่เต็มหน้าเลยหลบไปอยู่อีกฝั่งแต่โดยดี คนดี ๆจะไม่ทะเลาะกับผู้หญิงนิสัยโจร หากเธอสู้ไม่ไหวก็หลบ!


เพื่อนผู้ชายที่สวมแว่นตาอีกคน แค่มองก็รู้ว่าเป็นเด็กเรียนเก่งสายวิทยาศาสตร์เอ่ยอย่างหวังดีว่า “พวกเธอไม่ต้องกังวลไป หิมะที่หนาอย่างน้อยคืบหนึ่งหรือห้านิ้วเท่ากับผ้านวมจากธรรมชาติชั้นดีเลย จากความเร็วของแรงดึงดูดและแรงโน้มถ่วง แล้วก็น้ำหนักเจ้าตัว…”


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดขัดอย่างไม่สบอารมณ์นัก “จะตายไหม?”


“ฉันเดาว่ามีโอกาสรอดมากกว่าร้อยละห้าสิบ แต่ถ้ามีผ้านวมมารองอีกชั้นละก็โอกาสรอดก็จะเพิ่มขึ้น…”


“ไม่โดดลงมาก็จะมีโอกาสรอดร้อยเปอร์เซ็นต์!”


พูดมาตั้งนานก็เหมือนไม่ได้พูดแล้วยังเสียเวลาพวกเธออีกต่างหาก เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโมโหจนพ่นน้ำลายตวาดใส่หน้าเด็กเรียนเก่งสายวิทย์คนนี้อีกคน จนอีกฝ่ายผวารีบกรูไปหลบอีกฝั่งแทน


ช่องว่างระหว่างเด็กเรียนเก่งกับเด็กเรียนแย่มีความกว้างอย่างน้อยสองเมตร เขาไม่อยากไปยุ่งด้วย


หนี!


เหมยเหมยห้ามเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับฉีฉีเก๋อที่กำลังร้อนรุ่มใจไว้ “อย่าร้อนใจไป รถดับเพลิงน่าจะใกล้มาถึงแล้ว ฉันขึ้นไปคุยกับสวีจื่อเซวียนก่อนเพื่อถ่วงเวลาแล้วกัน”


…………………………………………..


 ตอนที่ 1913 เธออยากตายก็ไปตายที่อื่น


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับฉีฉีเก๋อไม่ไว้วางใจปล่อยให้เหมยเหมยขึ้นไปคนเดียวเลยตามขึ้นไปกับเธอด้วย แต่วันนี้ดันไม่เปิดใช้ลิฟต์ทำเอาทั้งสามคนเดินขึ้นตึกจนขาลากกระหืดกระหอบไปถึงชั้นดาดฟ้า ชั้นดาดฟ้ามีหิมะกองหนาและขาวโพลนเมไปหมด


สองสามีภรรยาเจียงจื้อหรู่ก็อยู่ด้วยเช่นกัน ดูเหมือนอาจารย์คนหนึ่งที่พวกนักศึกษาเอ่ยถึงคงเป็นเจียงจื้อหรู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเขามัวทำอะไรกัน ขนาดคน ๆเดียวยังเอาไม่อยู่เลย


“จื่อเซวียนเป็นเด็กดีนะ มาหาฉัน!” เจียงจื้อหรู่ไม่กล้าเข้าไปใกล้เลยได้แต่พูดโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมอย่างลำบากใจ ส่วนคุณนายเจียงที่ยืนอยู่ข้างเขาทำหน้าถมึงทึงไม่ปริเสียงพูดสักคำ


สวีจื่อเซวียนทำเป็นหูทวนลมถึงขั้นเขยิบเข้าไปใกล้ขอบชั้นดาดฟ้าขึ้นอีกนิด หิมะที่ร่วงตกจากชั้นดาดฟ้าลงไปเรียกเสียงกรีดร้องจากคนใต้ตึกได้เป็นอย่างดี


“สวีจื่อเซวียนเธอเป็นบ้าอะไร? อยากตายก็หาวันอากาศดี ๆสิ วันอากาศหนาว ๆแบบนี้เธอกำลังทรมานคนอื่นนะ” คนขี้โมโหอย่างเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนทนไม่ไหว ลมหนาวบนชั้นดาดฟ้าพัดกระหน่ำ เธอใช้แรงตะเบ็งเสียงออกไปเพราะเธอเองก็กำลังจะหนาวจนตัวแข็งไปหมดแล้ว


สวีจื่อเซวียนสวมเสื้อผ้าเพียงน้อยนิด หากยื้อเวลาต่อไปแบบนี้ ต่อให้ไม่ร่วงตกลงไปตายก็ต้องหนาวตายแทน!


เหมยเหมยยกขาถีบอีกคนแล้วถลึงตาใส่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพร้อมด่าเสียงเบา “เธออย่ามาเพิ่มความวุ่นวายได้ไหม ถ้าหล่อนกระโดดลงไปจริงฉันจะรอดูว่าเธอจะทำไง!”


เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนได้แต่ปิดปากเงียบแต่โดยดีและพาตัวเองไปหลบในที่ที่มีจุดบังลม


สวีจื่อเซวียนเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงจากพวกเธอ ท่าทางเหม่อลอยไร้สติของอีกฝ่ายไม่เหมือนกำลังแสดงละครอยู่เลย แต่ดูอยากตายจริง ๆ!


เธอค่อย ๆเดินไปที่ขอบชั้นดาดฟ้าทีละก้าว ๆ ซึ่งอีกไม่กี่ก้าวก็จะร่วงตกลงไปจริง ๆแล้ว เรือนกายอันบอบบางของเธอโงนเงนไปตามสายลมทำเอาคนเห็นใจบีบแน่นไปด้วย


“สวีจื่อเซวียนเธอกระโดดลงไปแบบนี้เธอไม่รู้สึกผิดต่อพ่อของเธอเหรอ? หรือว่าเธออยากให้พ่อเธอที่ตายไปแล้วต้องมารู้สึกไม่สบายใจด้วยอีกหรือไง?” เหมยเหมยตะโกนเอ่ยเสียงดัง


ร่างสวีจื่อเซวียนสะท้าน ใบหน้าเรียบนิ่งเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมา เอ่ยเสียงพึมพำ “คุณพ่อ…”


เหมยเหมยลอบยิ้มดีใจ มีปฏิกิริยาตอบโต้บ้างก็ดี เธอพูดโน้มน้าวต่อไป “ความหวังของพ่อเธอก็คืออยากให้เธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้วหาผู้ชายดี ๆคนหนึ่งเพื่อใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป…เธอกระโดดลงไปแบบนี้ทุกอย่างก็จบอยู่หรอกนะ แต่เธอไม่รู้สึกผิดต่อพ่อของเธอเหรอ?”


เจียงจื้อหรู่ก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิดปนอาย เขาผิดต่อจื่อเซวียน เป็นความผิดของเขาเอง!


สวีจื่อเซวียนหันขวับมาแล้วร่ำไห้อย่างเจ็บปวด “ฉันเรียนต่อไม่ได้แล้ว และฉันก็หาผู้ชายดี ๆไม่ได้แล้ว ฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ฉันจะมีความสุขได้ไง…พ่อคะ หนูผิดเอง จื่อเซวียนจะไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อแล้วนะ…”


เธอก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าวแต่เพราะหิมะทำให้พื้นลื่นเป็นพิเศษจนเธอเผลอลื่นเกือบร่วงตกลงไป เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนสะดุ้งจนรีบเอามือปิดตาแต่โชคดีที่สวีจื่อเซวียนแค่ลื่นล้มบนพื้นแต่ไม่ได้ร่วงตกลงไป


ทุกคนเผลอโล่งอกกันถ้วนหน้าในขณะที่ยังรู้สึกหวาดผวากันอยู่


“สวีจื่อเซวียน บอกตามตรงเธอจะตายหรืออยู่ฉันไม่สนใจ คนที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณแล้วยังไม่เจียมตัวแบบเธอยังไงซะมีชีวิตอยู่ไปก็ไม่ได้ช่วยทำความดีให้แก่สังคมอะไรได้ ตายไปกลับช่วยประหยัดอาหารกับอากาศเสียอีก”


เหมยเหมยพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกลงจนทุกคนสะดุ้ง เจียงจื้อหรู่มองเธออย่างไม่พอใจนักพลางโทษเธอว่าเวลานี้ยังจะมาพูดจาอะไรแบบนี้อีก


เหมยเหมยไม่สนใจเขาโดยเลือกจะพูดต่อ “แต่เธอจะตายทั้งทีช่วยไปตายไกล ๆหน่อยไม่ได้เหรอ? โดดน้ำตายโดดหน้าผาตายหรือกินยาฆ่าตัวตายกรีดข้อมือตาย…มีวิธีฆ่าตัวตายเยอะแยะที่ช่วยให้เธอตายสมใจ ทำไมเธอต้องมาทำให้หอสมุดมหาวิทยาลัยแปดเปื้อนด้วย? เธอจงใจจะเอาคืนมหาวิทยาลัยสินะ?”


“ฉันเปล่า…เพราะตรงนี้ใกล้ที่สุดและตึกสูงที่สุด…” สวีจื่อเซวียนร้องไห้พูดแย้งด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ


เธอไม่เหลืออะไรอีกแล้วทำไมจ้าวเหมยถึงต้องมาพูดจาหยามเธอแบบนี้อีก?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)