อัจฉริยะสมองเพชร 1902-1909

 ตอนที่ 1902 ผู้หยั่งรู้

เจื่อน


จางเซวียนเกาหัว


คนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้นอย่างนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็อยู่มากว่าหมื่นปีแล้ว คงยากที่จางเซวียนจะเอาชนะใจพวกเขาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แถมยังเคยขัดแย้งกันอีกต่างหาก ส่วนเหยียนเฉว่ก็ไม่ต่างกัน เขาจึงเล็งไว้ว่าขงซือเหยาน่าจะเป็นผู้ที่เขาอาจเอาชนะใจเธอได้


แน่นอนว่าจางเซวียนไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธอย่างทันทีทันควัน


อันที่จริง ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมขงซือเหยาถึงไม่เต็มใจรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ การที่เธอมีสายเลือดปรมาจารย์ขงและได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของปรมาจารย์ขงมาก็หมายความว่าสถานภาพของเธอสูงส่งไม่น้อย ขนาดนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอจะเป็นอาจารย์ของเธอเลย นับประสาอะไรกับคนอื่น!


ต่อให้ผู้ที่ตั้งคำถามจะเป็นถึงปรมาจารย์ฟ้าประทาน ก็ไม่ทำให้เกิดความแตกต่าง


เธอยอมรับว่าความเก่งกาจของเธออ่อนด้อยกว่าจางเซวียน แต่อย่างน้อยที่สุดเธอก็ยังหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง


“เรื่องนี้ส่งผลต่อความเป็นไปได้ของการที่เราจะคลี่คลายวิกฤติของอาณาจักรคุนฉื่อ” จางเซวียนยืนกราน “แล้วผมก็ไม่ได้คิดจะรับคุณเป็นศิษย์สายตรงของผมด้วย แค่คุณรับผมเป็นอาจารย์ของคุณก็พอ!”


จากการวิเคราะห์ของจางเซวียนก่อนหน้านี้ ขอแค่ขงซือเหยาเต็มใจรับตัวเขาเป็นอาจารย์และสำนึกในบุญคุณต่อการถ่ายทอดความรู้ของเขา ก็มีโอกาสที่หน้าหนังสือสีทองจะเกิดขึ้น ไม่สำคัญเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นศิษย์สายตรงของเขาหรือไม่


“การที่ฉันรับคุณเป็นอาจารย์จะช่วยแก้ไขปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ได้อย่างไร?” ขงซือเหยาขมวดคิ้ว


ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าชายหนุ่มเพิ่งสังหารเทพเจ้าและช่วยชีวิตบรรดาสมาชิกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ไว้จากเหตุการณ์คับขันครั้งใหญ่ เธอคงปักใจแล้วว่าเขาเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง!


“เอาอย่างนี้ ทำไมเราไม่ทำแบบนี้ล่ะ? ผมจะให้คำชี้แนะบางข้อเกี่ยวกับวรยุทธของคุณ แล้วส่วนคุณจะเต็มใจยอมรับผมเป็นอาจารย์หรือไม่นั้น คุณก็ตัดสินใจเอง”


เมื่อมองหมู่เมฆดำที่กำลังรวมตัวกันอย่างรวดเร็วเหนือศีรษะของเขา จางเซวียนรู้ดีว่าไม่ช้าไม่นานการลงทัณฑ์สวรรค์จะต้องถูกปลดปล่อยลงมาแน่ ชัดเจนว่าเวลาไม่คอยท่า เขาจึงไม่อาจมัวเสียเวลาโน้มน้าวใจขงซือเหยาได้อีก


อีกอย่าง เขาไม่อยากเปิดเผยเรื่องหอสมุดเทียบฟ้า ถ้าเขาทำให้ขงซือเหยายอมรับตัวเขาเป็นอาจารย์ของเธอได้สำเร็จด้วยวิธีนั้น ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ความรู้สึกของเธออาจไม่ได้ออกมาจากใจจริง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปรากฏของหน้าหนังสือสีทอง


จางเซวียนพูดต่อโดยไม่รอดูทีท่าของขงซือเหยา “สิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของคุณคือสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดของปรมาจารย์ขงตลอดพันปีที่ผ่านมา คุณสามารถเชี่ยวชาญเทคนิคการต่อสู้และเทคนิควรยุทธใดๆก็ตามได้ภายในชั่วพริบตา อัตราการพัฒนาวรยุทธก็เหนือชั้นกว่าคนธรรมดาสามัญ แต่ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด แม้จะเพิ่งผ่านไปเพียงสามปีหลังจากที่คุณสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่คุณก็ได้เผชิญกับการทดสอบนักปราชญ์โบราณแล้วถึง 3 ครั้ง ซึ่งคุณเลือกที่จะกดข่มระดับวรยุทธไว้แทนที่จะผลักดันให้เกิดการฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จ”


ขงซือเหยาพยักหน้าขณะรอคอยอย่างอดทนให้จางเซวียนพูดอะไรก็ตามที่เขาอยากพูด


สิ่งที่จางเซวียนเพิ่งพูดไปอาจเรียกได้ว่าเป็นความลับ แต่คนใกล้ชิดของเธอเกือบทุกคนก็รู้เรื่องนั้นดี และในเมื่อเขาเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน การจะสืบเสาะหาข้อมูลเหล่านี้ก็ไม่ได้ยากเกินไป


“จากการทดสอบนักปราชญ์โบราณแต่ละครั้งที่คุณได้เผชิญ ระดับวรยุทธของคุณก็จะแข็งแกร่งขึ้น และเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินว่าในอนาคตคุณจะสามารถดิ้นรนให้เป็นอิสระจากพันธนาการของสวรรค์และฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้หรือไม่ แต่คุณก็คงรู้แล้วว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น ซึ่งสืบเนื่องมาจากความพยายามในการฝ่าด่านวรยุทธของคุณที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน” จางเซวียนพูด


“พละกำลังของการทดสอบนักปราชญ์โบราณซึมซาบเข้าสู่แกนกลางของร่างกายของคุณ ในตัวคุณยังคงมีร่องรอยของพลังงานจากการทดสอบนักปราชญ์โบราณหลายต่อหลายครั้งที่คุณได้ผ่านมา ซึ่งการสั่งสมของพลังงานที่ไม่ได้ถูกซึมซับก็กลายสภาพเป็นด่านคอขวดที่กีดขวางวรยุทธของคุณไว้ คุณท้าทายการทดสอบนักปราชญ์โบราณถึง 3 ครั้งภายในช่วงสองปีก่อน แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้พยายามทำอะไรอีกเลย ผมคิดว่าสิ่งนี้น่าสนใจพอที่จะทำให้ผมต้องตั้งคำถามว่าทำไมคุณถึงเลือกจะยื้อการทดสอบนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 4 ให้ช้าออกไปถึงสองปีเต็ม เท่าที่ผมเห็น ผมฟันธงเลยว่าไม่ใช่เพราะคุณไม่อยากทำ แต่เป็นเพราะคุณไม่กล้าทำต่างหาก…”


ขณะที่จางเซวียนตรงเข้าประเด็น ขงซือเหยาหน้าซีดเผือดจนน่ากลัว เธอถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัวและจ้องหน้าจางเซวียนด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง


เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดในหัวใจของเธอที่เธอไม่กล้าพูดออกมา ไม่นึกเลยว่าชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จัก จะเผยมันออกมาได้ภายในเวลาเพียงครู่เดียว


ตอนที่เธอสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานเป็นครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน เธอใฝ่ฝันว่าจะเจริญรอยตามความยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษ และพยายามท้าทายการทดสอบนักปราชญ์โบราณถึง 3 ครั้ง…


การทดสอบนักปราชญ์โบราณ 3 ครั้งแรกที่เธอเผชิญเต็มไปด้วยอันตราย แต่ลงท้ายเธอก็ผ่านมันมาได้ด้วยความแข็งแกร่งอดทนของตัวเอง แต่หลังจากการทดสอบนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 3 ผ่านไป เธอก็ต้องพรั่นพรึงเมื่อพบว่าพลังงานจากการทดสอบนักปราชญ์โบราณได้ซึมซาบเข้าสู่กระดูกของเธอ ไม่ว่าจะพยายามชำระล้างกระดูกสักแค่ไหนก็ขจัดพวกมันออกไปไม่ได้!


ลางสังหรณ์บอกขงซือเหยาว่าถ้าเธอพยายามเข้าสู่การทดสอบนักปราชญ์โบราณอีกครั้งและปล่อยให้พลังงานที่ตกค้างในร่างกายของเธอก่อตัวขึ้นอีก ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จิตใต้สำนึกของเธอจะถูกพลังงานนั้นกัดกร่อน ทำให้สูญเสียตัวตนไป ซึ่งในกรณีเลวร้ายที่สุด เธออาจถูกซึมซับจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการลงทัณฑ์จากสวรรค์ไปเลยก็ได้!


ความกลัวจับใจครั้งนั้นทำให้ขงซือเหยารั้งรอการฝ่าด่านวรยุทธไว้ทั้งที่ผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณไปแล้วถึง 3 ครั้ง จากนั้น สองปีก็ผ่านไป แต่เธอก็ไม่อาจหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสมได้ ในเวลาเดียวกัน สภาวะร่างกายของเธอก็เสื่อมถอยจนเริ่มจะสูญเสียการควบคุมพลังงานที่ไหลพล่านอยู่ในร่างกายของตัวเอง


ขงซือเหยาเสาะหาหนังสือมากมายนับไม่ถ้วนมาอ่าน หวังจะได้พบวิธีคลี่คลายปัญหา แต่ความพยายามนั้นก็ไม่เป็นผล มาตอนนี้ พอได้ยินจางเซวียนจี้ปัญหาทุกจุดอย่างตรงประเด็น…จะเป็นไปได้ไหมว่าเขาจะมีวิธีแก้ไขปัญหาของเธอ?


ราวกับจะอ่านใจของเธอออก จางเซวียนหัวเราะหึๆ “ในเมื่อผมมองเห็นปัญหาของคุณ ผมก็ย่อมมีวิธีแก้ คุณน่าจะดูออกว่าตัวผมก็ไม่ต่างจากคุณ ผมผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาหลายครั้งหลายหนแล้วเหมือนกัน แต่ไม่ได้รับผลกระทบอย่างที่คุณเจออยู่”


ขงซือเหยาพยักหน้าเมื่อนึกได้ นัยน์ตาของเธอฉายความหวัง


ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานเหมือนกันกับเธอ แต่สามารถต่อสู้กับนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ


นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน ก็มีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะได้เผชิญกับการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาแล้วหลายครั้งขณะที่กดข่มระดับวรยุทธไว้ เพราะไม่อย่างนั้น คงไม่มีทางที่จะทรงพลังขนาดนี้


“แล้วถ้า…อาการบอบช้ำของฉันน่ะจะมีทางแก้ไขได้ไหม? ถ้าคุณแก้ไขปัญหาของฉันได้ ฉันก็ยิ่งกว่าเต็มใจจะยอมรับคุณเป็นอาจารย์!” ขงซือเหยาร้องออกมาอย่างตื่นเต้น


ขอแค่อาการบอบช้ำของเธอทุเลา ด้วยพื้นฐานของเธอที่ได้ผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาแล้วถึงสามครั้ง เธอก็มั่นใจว่าจะสามารถเจริญรอยตามบรรพบุรุษได้ทัน และสุดท้ายก็จะได้สำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ


ด้วยความแข็งแกร่งระดับนั้น ต่อให้เกิดปัญหายากเย็นขึ้นอีก เธอก็น่าจะมีพละกำลังมากพอที่จะแก้ไขได้ด้วยตัวเอง


บางที เธออาจเจริญรอยตามเส้นทางของบรรพบุรุษและก้าวขึ้นสู่มิติเบื้องบน ยกระดับสถานภาพของตัวเองให้สูงขึ้นอีกได้!


“แท้ที่จริงแล้วปัญหาไม่ได้มีอะไร อาณาจักรคุนฉื่อไม่เหมือนกับทวีปแห่งปรมาจารย์ พลังงานที่ต้องใช้เพื่อก่อตัวเป็นการทดสอบวรยุทธภายในอาณาจักรคุนฉื่อนั้นไม่ได้มาจากสวรรค์ แต่เป็นพลังงานที่มีอยู่แล้วในอาณาจักรคุนฉื่อ เพราะอาณาจักรคุนฉื่อถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ขง โลกใบนี้จึงเก็บรักษาพลังงานของเขาเอาไว้ภายใน สำหรับนักรบคนอื่นๆ ความจริงข้อนี้อาจไม่ส่งผลอะไร แต่โชคร้ายที่คุณมีต้นกำเนิดของพละกำลังจุดเดียวกันกับปรมาจารย์ขง ส่งผลให้คุณไม่สามารถขจัดพลังงานที่ตกค้างจากการทดสอบนักปราชญ์โบราณออกจากร่างกายได้ ทั้งยังซึมซับมันเข้าไปทีละน้อยด้วย” จางเซวียนอธิบาย


อาณาจักรคุนฉื่อมีฉนวนหลัก 2 แห่งเพื่อป้องกันการสอดส่องจากสวรรค์ จึงชัดเจนว่าการทดสอบนักปราชญ์โบราณที่ขงซือเหยาเผชิญนั้นไม่ได้มาจากสวรรค์


เท่าที่เห็น เป็นไปได้ว่าปรมาจารย์ขงน่าจะเป็นผู้จัดการระบบของการทดสอบวรยุทธภายในอาณาจักรคุนฉื่อ


สิ่งนี้จะไม่สร้างปัญหาอะไรให้กับนักรบคนอื่นๆ แต่ไม่ใช่ขงซือเหยา เพราะพลังงานของการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน ธรรมชาติอันพลุ่งพล่านของมันจึงทำให้เธอไม่อาจควบคุมมันได้ ในเวลาเดียวกัน เมื่อซึมซับมันเข้าไปแล้ว เธอก็ขจัดมันออกจากร่างกายไม่ได้ด้วย ส่งผลให้พลังงานนั้นก่อตัวสะสมและแข็งแกร่งขึ้นทีละน้อยเมื่อผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณไปแต่ละครั้ง


สุดท้าย ก็เกิดเป็นอันตรายที่เธอไม่อาจมองข้ามมันได้อีก


“แล้วฉันควรทำอย่างไร?” ขงซือเหยาตั้งคำถาม


การล้วงลึกถึงต้นตอของปัญหาทำให้ขงซือเหยารู้ทันทีว่าการแก้ไขอาการบอบช้ำของเธอนั้นทำได้ยาก และตอนนี้ก็เริ่มวิตกแล้วว่าอาจเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้จนชั่วชีวิต


“เอาเถอะ วิธีแก้ก็ง่ายและตรงไปตรงมานะ ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือเข้าท้าทายการทดสอบนักปราชญ์โบราณในทวีปแห่งปรมาจารย์ แน่นอนว่าด้วยปริมาณพลังงานที่คุณสั่งสมไว้ตอนนี้ ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าคุณจะต้องเผชิญอันตรายใหญ่หลวงในการทำแบบนั้น ณ จุดนี้ คุณมีสองทางเลือก ถ้าคุณเลือกที่จะไม่ฝ่าด่านวรยุทธ เมื่อต่อไปพลังปราณของคุณเพิ่มมากขึ้น คุณก็จะสูญเสียโอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนอีกด้านหนึ่ง ถ้าคุณตัดสินใจจะฝ่าด่านวรยุทธ การที่คุณไม่เคยสัมผัสกับการทดสอบสายฟ้าของทวีปแห่งปรมาจารย์มาก่อนก็ทำให้แม้แต่ตัวผมก็คาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา” จางเซวียนอธิบายพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย


“แต่ว่า…ถ้าคุณยอมรับผมเป็นอาจารย์ ผมจะสอนกรรมวิธีที่ทำให้คุณผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณไปได้อย่างแน่นอน!”


“เอ่อ…” เมื่อเห็นว่าไม่มีหนทางอื่น ขงซือเหยาตัดสินใจทรุดตัวลงและโค้งคำนับให้จางเซวียนหลายครั้ง “ตกลง ฉันจะยอมรับคุณเป็นอาจารย์ของฉัน หวังว่าคุณจะช่วยชีวิตฉันจากอันตรายครั้งนี้ด้วย!”


จางเซวียนเพ่งดูหอสมุดเทียบฟ้า ไม่เห็นหน้าหนังสือสีทองปรากฏ เมื่อรู้แล้วว่าความรู้สึกของขงซือเหยายังไม่ใช่ความจริงใจ เขาถอนหายใจเฮือกและพูดต่อ “การข้ามผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณในทวีปแห่งปรมาจารย์นั้นไม่ได้ยากเย็นอะไร กุญแจอยู่ตรงที่คุณจะต้องไม่มองมันว่าเป็นภาระ แต่เป็นเหมือนสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว คุณจะต้องรักมัน ดูแลมัน ใส่ใจความต้องการของมัน มอบความอบอุ่นและความห่วงใยให้มันด้วย…”


ขงซือเหยาอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ ในตอนนั้น เธออยากจะระเบิดศีรษะของเจ้าหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าให้แตกเป็นเสี่ยงๆ


ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหลอก


ตอนที่ 1903 ขงซือเหยาฝ่าด่านวรยุทธ (1)

“แค่ก แค่ก! ปรมาจารย์จาง เข้าเรื่องเถอะ!”


แม้แต่นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงยังทนฟังไม่ไหว


การทดสอบนักปราชญ์โบราณเป็นหนึ่งในวิกฤตการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่นักรบคนหนึ่งจะต้องเผชิญ ต่อให้มีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณอยู่กับตัว แต่ถ้าผู้นั้นขาดความปราดเปรื่องระดับชั้นยอด ก็ไม่มีทางฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ


เหตุผลส่วนหนึ่งที่ขงซือเหยาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จก็เพราะได้รับทรัพยากรปริมาณมหาศาลจากอาณาจักรคุนฉื่อ อันเนื่องมาจากสถานภาพของเธอในฐานะทายาทของปรมาจารย์ขง แม้ในตระกูลขงจะไม่มีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณหลงเหลือแล้ว แต่พวกเขาก็ยังพอมอบเศษเสี้ยวบางส่วนให้เธอได้บ้าง


แต่ถึงอย่างนั้น การฝ่าด่านวรยุทธทุกครั้งที่ขงซือเหยาผ่านมาก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินบนแผ่นน้ำแข็งบางๆ เพราะหากก้าวพลาดสักก้าวก็จะจมลงสู่หลุมลึกของความสิ้นหวังทันที แต่หมอนี่กำลังบอกเธอให้ดูแลการทดสอบวรยุทธเหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว ทั้งยังต้องแสดงความห่วงใยใส่ใจมันด้วย…


คุณเห็นฉันเป็นไอ้งั่งหรือ?


นี่คิดจะให้ฉันยอมรับคำพูดเหลวไหลที่คุณกำลังพล่ามอยู่งั้นสิ?


“ดูเหมือนคุณจะแคลงใจในคำพูดของผมนะ” จางเซวียนส่ายหน้า เขาหันไปมองหมู่เมฆดำที่อยู่กลางอากาศและคว้ามันไว้


การลงทัณฑ์ของสวรรค์ปล่อยสายฟ้าสายหนึ่งฟาดลงมาทันที


เปรี้ยงงงงง!


สายฟ้าพยายามดิ้นรน อยากจะหนีให้พ้นจากเงื้อมมือของจางเซวียน แต่ไม่เป็นผล


จางเซวียนเขย่าสายฟ้าเบาๆและปลอบ “เด็กดี เด็กดีนะ…”


เสียงของเขานุ่มนวลราวกับกำลังปลอบโยนสัตว์เลี้ยงที่อารมณ์เสีย


เมื่อเจอกับการปลอบโยนอย่างนุ่มนวลของจางเซวียน สายฟ้าที่กำลังดิ้นรนก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะ สลายความตึงเครียดออกจากตัวมัน มันค่อยๆซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังของจางเซวียนและเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างช้าๆ


ขงซือเหยากับคนอื่นๆถึงกับจังงัง


แบบนี้ก็ได้หรือ?


นี่ต้องเป็นเรื่องตลกแน่ ใช่ไหม?


“เห็นหรือยังล่ะ? ก็แค่ทำแบบนี้ ความรักน่ะเป็นกุญแจของทุกอย่าง แทนที่จะต่อต้าน คุณจะต้องโอบกอดมันและปล่อยให้มันเข้าสู่ร่างกายของคุณ ด้วยวิธีนี้ คุณก็จะสามารถเอาชนะใจและทำให้มันเชื่อฟังคุณได้” จางเซวียนอธิบายขณะสะบัดข้อมือ แล้วสายฟ้าสายนั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


เขาเขย่ามันเบาๆ ราวกับกำลังโอ๋แมวตัวหนึ่งที่ส่งเสียงครางอยู่ในอ้อมกอด


แม้ภาพตรงหน้าจะดูเหลือเชื่อสุดๆ แต่ก็ทำให้ทุกคนเกิดความสงสัย


หรือว่าจะเอาชนะการทดสอบนักปราชญ์โบราณได้ด้วยวิธีการนี้จริงๆ?


แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมาถึงไม่มีใครเคยทำมาก่อนเลย?


“ก็เพราะความทรงพลังของการทดสอบวรยุทธ ใครจะกล้าทำกับมันราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงล่ะ? ไว้ใจผมเถอะ ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่ หลังจากนี้ เมื่อคุณเรียกการทดสอบนักปราชญ์โบราณมา ให้คุณเปิดจุดชีพจรทั้งหมดในร่างกายและซึมซับมันโดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร ห้ามแสดงอาการขัดขืนหรือต่อต้าน จำไว้ว่าคุณจะต้องใช้ใจกับมัน” จางเซวียนอธิบาย “ขอแค่คุณทำตามนี้ได้ทั้งหมด ผมรับประกันเลยว่าคุณจะไม่เจอกับปัญหาอะไรทั้งนั้นในการผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณ!”


ขงซือเหยายังคงกังวลเล็กน้อย


ไม่ว่าจะมองอย่างไร คำพูดของอีกฝ่ายก็ยังดูไม่ค่อยน่าวางใจ…


“คุณไม่เชื่อใจผมหรือไม่เชื่อมั่นในตัวเองกันแน่? ถ้าคุณไม่เชื่อว่าตัวคุณจะสามารถผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 4 ไปได้ล่ะก็ ล้มเลิกความคิดเสียตอนนี้เลย แล้วก็อยู่ดักดานเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานไปทั้งชีวิตก็แล้วกัน!” จางเซวียนโบกมืออย่างรำคาญ


“ผมน่ะเคารพปรมาจารย์ขงเสมอในความเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ และคิดว่าทายาทของเขาก็ต้องเก่งกล้าและปราศจากความหวาดกลัวไม่ต่างกับเขา แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดที่ทึกทักไปเองว่าทายาทของปรมาจารย์ขงจะได้รับการถ่ายทอดความกล้าหาญของเขามา…”


“อย่าบังอาจตำหนิฉันนะ!” ขงซือเหยาคำราม “ฮึ่มมมมม! อย่างมากก็แค่ตาย ฉันขอบอกคุณเลยว่าพวกเราตระกูลขงไม่เคยหวาดกลัวอะไรทั้งนั้น มาเลย บอกมาว่าฉันต้องทำอะไรบ้าง!”


เมื่อยั่วยุขงซือเหยาให้ของขึ้นได้สำเร็จ จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ เขารีบถ่ายทอดกรรมวิธีที่เธอจะต้องดำเนินการหลังจากเรียกการทดสอบนักปราชญ์โบราณมา ซึ่งหัวใจของมันก็คือสิ่งเดียวกันกับที่เขาพูดไปเมื่อครู่นี้


เมื่อเรียกการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาแล้ว เธอจะต้องไม่ต่อต้าน แต่จะต้องนำมันเข้าสู่จุดชีพจรและทางเดินพลังปราณ จากนั้นก็ใช้ใจสัมผัสและรับรู้มัน…


หลังจากฟังคำพูดเหล่านั้นจบ ขงซือเหยาถึงกับขนลุกขนพอง


แม้มันจะดูเหลวไหล แต่ตอนนี้เธอก็ตัดสินใจแล้วที่จะกระโจนเข้าใส่โชคชะตาและติดตามมันไป ขงซือเหยากัดฟันกรอด “ฉันจะลองดู!”


ขงซือเหยาไม่แยแสเสียงคัดค้านของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง เธอกระโจนขึ้นสู่กลางอากาศเพื่อเตรียมตัวเรียกการทดสอบนักปราชญ์โบราณ


“อย่าทำที่นี่! ไปหาที่ไกลๆหน่อย!”


ตอนนี้พวกเขาอยู่ใจกลางอาณาจักรเทียนเซวียน ถ้าขงซือเหยาเรียกการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาตรงนี้ ทุกอย่างที่อยู่ในพื้นที่จะถูกทำลายจนสิ้นซาก จางเซวียนจึงรีบห้ามไว้และเรียกเธอไปที่อื่น


พวกเขารีบออกจากบริเวณนั้น อึดใจต่อมาก็มายืนอยู่ท่ามกลางสันเขาโล่งแจ้งแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากอาณาจักรเทียนเซวียนพอสมควร


จางเซวียนกับคนอื่นๆเลือกที่จะเฝ้าดูกระบวนการของขงซือเหยาในระยะที่ห่างออกไป 20 ลี้


ฟึ่บ!


ขงซือเหยาขับเคลื่อนพลังงานในร่างกายของเธอจนเต็มพิกัดอย่างไม่ลังเลและปลดปล่อยรังสีทั้งหมดออกมาในคราวเดียว ทำให้พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว


เพียงพริบตาเดียว การกระทำของเธอก็ดึงดูดความสนใจของสวรรค์ หมู่เมฆดำก่อตัวหนาแน่นขณะที่สายฟ้ากับเปลวเพลิงสวรรค์ที่ออกันอยู่บริเวณทางเข้าอาณาจักรคุนฉื่อกรูเข้ามาล้อมรอบตัวเธอ พร้อมจะฉีกร่างของเธอเป็นชิ้นๆได้ทุกเมื่อ


“มันช่าง…”


ราวกับเธอกำลังเฝ้ามองต้นกล้าสักต้นหนึ่งงอกงามขึ้นอย่างพิสดารพันลึกต่อหน้าต่อตา ทุกอย่างดูจะไม่เป็นไปตามที่คาดไว้สักนิด


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงไปถามจางเซวียนอย่างกังวล “ปรมาจารย์จาง เธอจะทำให้การทดสอบวรยุทธอันทรงพลังยอมจำนน และรักมันได้จริงๆหรือ?”


“คุณพูดเหลวไหลอะไรออกมาน่ะ? ทำไม่ได้อยู่แล้ว!” จางเซวียนมองนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงด้วยสายตาราวกับจะตำหนิอีกฝ่ายว่าเป็นคนโง่


“ทำไม่ได้อยู่แล้ว?”


ได้ยินคำตอบนั้น ฝูงชนพากันเข่าอ่อน


ก็คุณไม่ใช่หรือที่พยายามหว่านล้อมพวกเราว่าอานุภาพของความรักจะเอาชนะได้ทุกอย่าง?


มันเรื่องอะไรถึงปลิ้นปล้อนขนาดเปลี่ยนใจได้ในชั่วพริบตา?


“การทดสอบนักปราชญ์โบราณน่ะคือการลงทัณฑ์จากสวรรค์ที่มีต่อบรรดานักรบ” จางเซวียนตอบ “คนบาปสักคนพยายามจะทำให้ผู้บงการยอมจำนน…แบบนั้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร? ไอ้การใช้หัวใจเพื่อสัมผัสการทดสอบวรยุทธ และการปลอบประโลมมันด้วยความรักและความห่วงใยนั่นน่ะ…นึกอะไรขึ้นได้ ผมก็พูดออกไปส่งๆอย่างนั้นแหละ!”


“นึกอะไรขึ้นได้ คุณก็พูดออกไปส่งๆอย่างนั้น…ตะ-แต่…ซือเหยากำลังเผชิญหน้าการทดสอบนักปราชญ์โบราณนะ…เธออาจจะตายก็ได้!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงโมโหจนแทบปรี๊ด


จะเล่นตลกอะไรก็ต้องบันยะบันยังบ้าง!


ขงซือเหยาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของปรมาจารย์ขงที่มีระดับความบริสุทธิ์ของสายเลือดเท่ากับ ‘8’ ถ้าเขาปล่อยให้เธอตาย คงไม่มีวันมองหน้าเหล่าบรรพบุรุษได้!


“ใจเย็นน่ะ ผมไม่คิดจะปล่อยให้เธอตายหรอก รอดูก็แล้วกัน” จางเซวียนยืนยันพร้อมส่งยิ้มอย่างมั่นใจให้ฝูงชนที่ยังคงหวาดวิตก


ในตอนนั้น พละกำลังที่ก่อตัวขึ้นท่ามกลางหมู่เมฆดำก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด สายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์อันเกรี้ยวกราดพุ่งเข้าใส่ขงซือเหยาราวกับห่าฝน


ครืนนนนน!


พลังงานมหาศาลก่อตัวเป็นหอคอยเปลวเพลิงและสายฟ้าที่เข้าโอบล้อมและทำลายล้างทุกอย่างในรัศมีหลายร้อยเมตร


“บ้าที่สุด! ถ้าหมอนั่นทำได้ ทำไมเราถึงทำไม่ได้?” ขงซือเหยาสบถขณะรู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อตึงเขม็งจากความกดดันที่ถาโถมเข้าใส่


พลังปราณของเธอเดือดพล่านอยู่ภายในร่างกาย พร้อมที่จะระเบิดออกมาเพื่อปัดป้องพละกำลังทำลายล้างออกไป แต่ในวินาทีสุดท้าย เธอก็ระงับพลังงานเฮือกสุดท้ายของตัวเองไว้


ไปตายซะ!


แค่คิดถึงรอยยิ้มยียวนนั่นก็ทำให้เธอโมโหเดือด ถ้าเธอต้องตาย จะไม่มีวันปล่อยให้หมอนั่นหนีรอดไปได้ ต่อให้เธอจะกลายเป็นผีแล้วก็ตาม!


ขณะที่พลังงานอันเกรี้ยวกราดและน่าสะพรึงเข้าครอบงำขงซือเหยา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพากันหลับตา ไม่กล้าลืมตามองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกเขาไม่คิดว่าหัวใจของตัวเองจะรับไหวถ้าต้องเห็นร่างของสาวน้อยแหลกเป็นชิ้นๆเพราะพละกำลังทำลายล้างของการทดสอบวรยุทธ!


แต่รอแล้วรอเล่า ก็ยังไม่ได้ยินเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดหรือสิ้นหวังเล็ดลอดออกมา ทุกคนลืมตามองด้วยความกังขา และสิ่งที่เห็นก็ทำให้ถึงกับจังงัง


ในตอนนั้น ขงซือเหยาถูกโอบล้อมด้วยเปลวเพลิงสวรรค์และสายฟ้า แต่แทนที่เธอจะพยายามขัดขืนหรือปัดป้องพลังงานเหล่านั้น จุดชีพจรทั้งหมดของเธอกลับเปิดออกขณะที่รับเอาพลังงานเข้าสู่ร่างอย่างไม่ลังเล


ไม่เหมือนกับที่ใครๆคาดเดาไว้ พละกำลังทำลายล้างนั้นไม่ได้สร้างความบอบช้ำหรือแผดเผาร่างของเธอ มันนอนนิ่งอยู่ในทางเดินพลังปราณ ราวกับถูกฝึกให้เชื่องมาแล้วเรียบร้อย


นี่…มันเกิดอะไรขึ้น?


ทุกคนมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าที่สุดจะบรรยาย


เมื่อกี้นี้เขาเพิ่งบอกว่าทุกอย่างเป็นเรื่องโกหกไม่ใช่หรือ? แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นล่ะ?


ถ้าขงซือเหยาทำได้…พวกเขาควรลองดูไหม?


เหยียนเฉว่ซึ่งเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานมีสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง


“ปรมาจารย์จาง…” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตั้งคำถามด้วยความอยากรู้สุดขีด “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


ตอนที่ 1904 ขงซือเหยาฝ่าด่านวรยุทธ (2)

จางเซวียนไม่ตอบคำถามของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง เขาหันไปทำลายความหวังของเหยียนเฉว่ “คุณน่ะทำไม่ได้หรอก ถ้าพยายามจะทำแบบเดียวกันกับขงซือเหยา จะต้องถูกเล่นงานจนตายทันทีแน่!”


“ทำไมผมถึงทำไม่ได้?” เหยียนเฉว่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ


“ไม่ใช่แค่คุณนะ ต่อให้ผมก็ทำแบบเดียวกันกับที่ขงซือเหยาเพิ่งทำลงไปไม่ได้!” จางเซวียนตอบ “ขงซือเหยามีสายเลือดปรมาจารย์ขง และเติบโตในอาณาจักรคุนฉื่อ หลังจากการทดสอบวรยุทธมากมายหลายครั้งที่เธอได้ผ่านมา ก็คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่ามีส่วนหนึ่งของอาณาจักรคุนฉื่ออยู่ภายในตัวเธอ”


ทุกคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า


เป็นที่รู้กันว่าหลังจากที่ขงซือเหยาผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาแล้วถึง 3 ครั้ง ร่างของเธอก็ซึมซับพลังงานจากการทดสอบนักปราชญ์โบราณเอาไว้


ถ้าเธอพยายามจะฝ่าด่านวรยุทธครั้งที่ 4 ในอาณาจักรคุนฉื่อ ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกดูดกลืนจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานที่สะสมอยู่ภายในร่างกาย


“การตั้งอยู่ของอาณาจักรคุนฉื่อเป็นสิ่งที่สวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วย” จางเซวียนพูดต่อ “ถ้าเธอพยายามขัดขืนโดยต่อต้านการทดสอบวรยุทธ ก็มีแต่จะต้องเผชิญกับความเกรี้ยวกราดของสวรรค์ และนั่นจะทำให้เธอตกที่นั่งลำบากกว่าเดิม ยิ่งดิ้นรนขัดขืนมากเท่าไหร่ ทุกอย่างก็จะเลวร้ายขึ้นเท่านั้น!”


ปฏิเสธไม่ได้ว่าสวรรค์จงใจลงโทษขงซือเหยาเพราะความพยายามของเธอที่จะฝ่าด่านวรยุทธ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ สวรรค์เพียรพยายามอย่างยิ่งที่จะทำลายร่องรอยของอาณาจักรคุนฉื่อที่ปรากฏในร่างของขงซือเหยาด้วย


“ความพยายามในการดิ้นรนผลักดันการทดสอบวรยุทธใดๆออกไปก็ตามเทียบเท่ากับการขัดขวางการบังคับใช้กฎเกณฑ์ธรรมชาติของสวรรค์ ซึ่งนั่นจะทำให้เธอตกที่นั่งลำบาก สวรรค์จะต้องเล่นงานเธอครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าเธอจะพ่ายแพ้และพินาศ”


“แต่ด้วยการเปิดจุดชีพจรและปล่อยให้สายฟ้ากับเปลวเพลิงสวรรค์เข้าสู่ร่าง ก็เท่ากับยินยอมให้ผู้บงการทำอะไรก็ตามที่พวกเขาอยากทำ สิ่งนี้จะช่วยลดความผิดบาปของเธอ ทำให้การลงทัณฑ์จากสวรรค์ที่จะเข้าสู่ตัวเธอนั้นบรรเทาเบาบางลงไป ยิ่งไปกว่านั้น ขงซือเหยาจะสามารถใช้โอกาสนี้ขจัดพลังงานที่สะสมตกค้างอยู่ภายในร่างกายของเธอออกไปได้ด้วย ยิงนกสองตัวด้วยกระสุนนัดเดียว!”


“เอ่อ…”


ทุกคนปากสั่นด้วยความตกตะลึง


เมื่อดูจากการที่สวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์มุ่งมั่นจะเล่นงานอาณาจักรคุนฉื่อจนราบคาบให้ได้ ก็เห็นชัดแล้วว่าทั้งสองเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน


แต่จางเซวียนกลับอ่านเกมขาดและใช้มันให้เป็นประโยชน์กับตัวเขา โดยดึงเอาการลงทัณฑ์จากสวรรค์มาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ


นี่เป็นเดิมพันที่เสี่ยงมาก เพราะหากเกิดความผิดพลาด ทุกอย่างจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมทันที


แม้นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจะทึ่งกับวีรกรรมครั้งนี้ แต่ก็อดกังวลเรื่องความเสี่ยงไม่ได้ “พูดอีกอย่างก็คือ มันเหมือนกับการถอนพิษด้วยยาพิษ…แต่ถ้าพลังงานสองส่วนนี้ไม่เข้มข้นพอที่จะทำลายล้างซึ่งกันและกันล่ะ ซือเหยาจะไม่เดือดร้อนหรือ?”


เรื่องแบบนี้ ในทางทฤษฎีก็ดูง่ายดาย แต่การปฏิบัตินั้นยาก


พลังงานที่สะสมอยู่ในร่างของขงซือเหยามีปริมาณระดับหนึ่ง ซึ่งหากเธอซึมซับเอาการลงทัณฑ์จากสวรรค์เข้าสู่ร่างกายน้อยเกินไป ก็จะไม่สามารถขจัดพลังงานที่ตกค้างออกไปได้หมด แต่ถ้าซึมซับการลงทัณฑ์จากสวรรค์เข้าไปมากเกิน ก็อาจทำให้เสียชีวิต


“นั่นคือเหตุผลที่ผมบอกเธอให้ใช้ใจสัมผัส จำได้ไหม?” จางเซวียนพูด “ในฐานะทายาทของปรมาจารย์ขง, อัจฉริยะหมายเลขหนึ่งของอาณาจักรคุนฉื่อ ถ้าเธอทำไม่ได้แม้แต่การกะประมาณคร่าวๆและควบคุมการลงทัณฑ์จากสวรรค์ที่จะรับเข้าสู่ร่างกาย ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถ้าเธอมีปัญญาแค่นั้นล่ะก็ ต่อให้เอาชีวิตรอดจากการทดสอบครั้งนี้ไปได้ ก็บอกได้เลยว่าอนาคตก็ไปไม่ได้ไกลนักหรอก!”


จางเซวียนไม่ได้คิดจะปั่นหัวหรือล่อลวงขงซือเหยา แต่ถ้าเขาบอกความจริงกับเธอจนหมดตั้งแต่แรก หัวสมองของเธอก็จะถูกเรื่องอื่นๆครอบงำ และนั่นอาจทำให้สูญเสียการเพ่งสมาธิเข้าสู่ร่างกายของตัวเอง นำมาซึ่งผลเสียแทนที่จะเป็นผลดี


“คือ…” เมื่อเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด ฝูงชนอดไม่ได้ที่จะมองชายหนุ่มอย่างประทับใจ


ความเข้าใจเรื่องสภาวะจิต ธรรมชาติของการลงทัณฑ์จากสวรรค์ และความสามารถในด้านอื่นๆ…ทุกอย่างอยู่ภายใต้การคิดคำนวณของเขาทั้งหมด และเขาก็ดำเนินการได้อย่างไร้ที่ติ


สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน ความเก่งกาจของเขาเหนือชั้นกว่าแม้แต่บรรดานักปราชญ์โบราณ!


…..


ขณะที่ทุกคนยังอึ้งตะลึงกับคำอธิบายของชายหนุ่ม ที่กลางอากาศ ขงซือเหยาซึ่งสัมผัสประสบการณ์ทุกอย่างด้วยตัวเองก็รู้ซึ้งถึงความเก่งกาจของชายหนุ่มอย่างถ่องแท้ แม้ปรมาจารย์ฟ้าประทานคนนี้ดูจะมีอายุน้อยกว่าเธอ แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือของจริง!


ถึงจะไม่ได้ฟังคำอธิบาย แต่ขงซือเหยาก็พอเข้าใจเจตนาที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของชายหนุ่ม


ขณะที่สายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์จากการทดสอบนักปราชญ์โบราณชำระร่างกายของเธอพลังงานที่เคยตกค้างอยู่ในร่างของขงซือเหยาตั้งแต่สมัยที่อยู่ในอาณาจักรคุนฉื่อก็ค่อยๆถูก ทำลายและกำจัดออกไป


แม้พลังงานทั้ง 2 รูปแบบจะรวมตัวกันอยู่ในร่างของเธอ แต่เธอก็ยังคงไม่เป็นอะไร ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยการพินิจพิจารณาพลังงานที่อยู่ภายใน ขงซือเหยาก็เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกที่ล้ำลึกกว่าเดิม


เวลาผ่านไปช้าๆ ไม่นานพลังงานจากการทดสอบนักปราชญ์โบราณครั้งก่อนๆที่สะสมอยู่ในร่างของขงซือเหยาก็ถูกขจัดออกไปหมด รู้ดีว่านี่คือเวลาที่สมควรหยุด ขงซือเหยาจึงปิดจุดชีพจรทั้งหมดและทำการแผดเผาสายเลือด


“สลายตัว!” เธอออกคำสั่ง


วาจาสิทธิ์!


ในตอนนั้น การทดสอบนักปราชญ์โบราณที่เธอเรียกมาได้อ่อนแรงลงมากจนถึงขนาดที่ทำอะไรเธอไม่ได้อีก พอขงซือเหยาออกคำสั่ง หมู่เมฆดำที่เหลืออยู่กลางอากาศอีกครึ่งหนึ่งก็สลายตัวไป


เมื่อหมู่เมฆดำจากไป สาวน้อยปลดปล่อยพละกำลังทั้งหมดที่กดข่มไว้ออกมา เธอฝ่าด่านคอขวดของวรยุทธได้สำเร็จและกลายเป็นนักปราชญ์โบราณภายในชั่วอึดใจ


เมื่อผนวกเข้ากับการสั่งสมอย่างล้ำลึกยาวนานของวรยุทธ ขงซือเหยาก็ยังไม่หยุดหลังจากที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จแล้ว วรยุทธของเธอพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ


การสืบทอดสายเลือด ขั้นต้น!


การสืบทอดสายเลือด ขั้นกลาง!


…..


เพียง 2-3 อึดใจ ขงซือเหยาก็สำเร็จวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบทอดสายเลือด-โลกจารึก


และหลังจากนั้น…


บรมครูนักปราชญ์ ขั้นต้น!


บรมครูนักปราชญ์ ขั้นกลาง!


…..


บรมครูนักปราชญ์ โลกจารึก!


ภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที วรยุทธของเธอก็พุ่งขึ้นไปถึงระดับบรมครูนักปราชญ์โลกจารึกก่อนจะค่อยๆช้าลง


“น่าทึ่งจริงๆ” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพึมพำอย่างชื่นชม


สำหรับการฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณของพวกเขา โดยส่วนใหญ่จะหยุดอยู่ที่การสืบทอดสายเลือดขั้นต้น แม้แต่ผู้ที่ปราดเปรื่องที่สุดก็ผลักดันตัวเองไปได้จนถึงขั้นกลางเท่านั้น จากนั้นก็หมดเรี่ยวแรง


แต่ขงซือเหยาทะลุไปได้ถึง 2 ขั้นภายในอึดใจเดียว กลายเป็นนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นบรมครูนักปราชญ์ โลกจารึก


วีรกรรมแบบนี้ไม่เคยปรากฏตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมาของอาณาจักรคุนฉื่อ!


เป็นเพราะชายหนุ่มคนนี้ที่ทำให้ซือเหยาพัฒนาวรยุทธอย่างก้าวกระโดด นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงครุ่นคิดขณะหันไปมองจางเซวียน


แต่ในตอนนั้น จางเซวียนกลับจ้องมองสาวน้อยที่อยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าขัดอกขัดใจ “ออกแรงอีกหน่อยสิ ด้วยวรยุทธที่คุณสั่งสมไว้น่ะ คุณสามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดได้เลยนะ!”


“การฟื้นคืนชีพของสายเลือด?” ขงซือเหยาผงะ เธอรีบส่ายหัว “ฉันใช้พละกำลังจนเต็มพิกัดแล้ว ไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะฝ่าด่านวรยุทธอีกแล้วล่ะ…”


ถึงเธอจะได้สั่งสมพลังงานไว้มากจากการกดข่มวรยุทธไว้ตลอดการทดสอบนักปราชญ์โบราณทั้ง 4 ครั้งที่ผ่านมา แต่ก็ถึงขีดสุดของพละกำลังแล้วเมื่อผลักดันตัวเองไปเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 2 โลกจารึกได้สำเร็จ เธอไม่คิดว่าตัวเองจะไปจะไปได้ไกลกว่านั้น


“ขีดสุดของพละกำลัง? คุณคิดเอาเองทั้งนั้น!” จางเซวียนพูดขณะสะบัดเลือดหยดหนึ่งเข้าใส่ขงซือเหยา “กลืนลงไป!”


“ได้”


ถึงตอนนี้ ขงซือเหยาเชื่อมั่นในตัวจางเซวียนอย่างหมดใจแล้ว เธอกลืนเลือดหยดนั้นเข้าไปโดยไม่ลังเล


ทันทีที่เลือดไหลลงไปตามลำคอ ก็รู้สึกได้ทันทีถึงความร้อนแผดเผาภายใน


“นี่คือหยดเลือดของเทพเจ้าหรือ?” ขงซือเหยาตาโต


หลายปีที่ผ่านมา เธอมีโอกาสได้ซึมซับหยดเลือดของนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดมาบ้าง ก็เพราะเหตุผลนั้นที่ทำให้เธอพัฒนาตัวเองได้อย่างน่าทึ่งแม้จะอายุยังน้อย แต่หยดเลือดที่ชายหนุ่มเพิ่งมอบให้มีพละกำลังมากกว่าหยดเลือดที่เธอเคยซึมซับในสมัยก่อนมาก ในแง่ของพลัง มันเหนือชั้นกว่าหยดเลือดของนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดอย่างน้อยก็ 10 เท่า!


เรื่องนี้มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว…มันเป็นหยดเลือดของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ!


ไม่น่าเชื่อว่าชายหนุ่มจะเต็มใจมอบของล้ำค่าขนาดนี้ให้เธอ…


ขงซือเหยาหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นและความสำนึกในบุญคุณระคนกัน แต่รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวคิดอะไร เธอรีบขับเคลื่อนพลังปราณอย่างรวดเร็วเพื่อซึมซับพลังงานจากหยดเลือดไว้


หนึ่งชั่วโมงต่อมา ขงซือเหยาก็ฝ่าด่านคอขวดได้อีกครั้งและได้เป็นนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด วรยุทธของเธอหยุดลงที่ขั้นกลาง


เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่าง ขงซือเหยารีบบินมาหาจางเซวียนและทรุดตัวลงคุกเข่าตรงหน้า


“ท่านอาจารย์!”


คราวนี้ ความเคารพและความสำนึกในบุญคุณของเธอเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริง


วิ้ง!


หัวสมองของจางเซวียนกระตุก หน้าหนังสือสีทองหน้าหนึ่งปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า


ตอนที่ 1905 ศิษย์น้องคนเล็ก

เหตุผลหลักที่จางเซวียนอยากรับขงซือเหยาเป็นศิษย์สายตรงก็เพื่อสร้างหน้าหนังสือสีทอง ซึ่งในที่สุดก็บรรลุเป้าหมาย


“ลุกขึ้นเถอะ” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะพยุงสาวน้อยให้ลุกขึ้น


ด้วยสิ่งนี้ เขาจะสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ของอาณาจักรคุนฉื่อได้


“ท่านอาจารย์!”


“นั่นศิษย์น้องคนเล็กของพวกเราหรือ?”


จางเซวียนหันกลับไป เห็นจ้าวหย่ากับศิษย์สายตรงคนอื่นๆมองมาอย่างตื่นเต้น


การทดสอบนักปราชญ์โบราณของขงซือเหยาสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ที่เขย่าทั้งอาณาจักรเทียนเซวียน ในฐานะนักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ ไม่มีทางที่จ้าวหย่ากับพรรคพวกจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


“ศิษย์น้องคนเล็ก?” ขงซือเหยาออกจะขัดใจเมื่อได้ยินคำนั้น


เธอคืออัจฉริยะหมายเลขหนึ่งของอาณาจักรคุนฉื่อ ทายาทของปรมาจารย์ขง…การที่ต้องเรียกขานวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเธอว่า ‘ศิษย์พี่’ เป็นสิ่งที่เธอทำใจไม่ได้


ขณะที่ขงซือเหยาทำตัวไม่ถูก จางเซวียนก็โพล่งออกมา “เธอไม่ใช่ศิษย์น้องของพวกคุณหรอก เพราะไม่ได้เป็นศิษย์สายตรงของผม เป็นแค่ลูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ผมรับไว้เท่านั้น”


“ลูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่คุณรับไว้…” ขงซือเหยาตัวสั่น


เมื่อครู่นี้เธอยังสุดแสนกระอักกระอ่วนที่ต้องกลายเป็นศิษย์น้องคนเล็ก แต่จางเซวียนกลับพูดราวกับว่าเธอไม่มีสิทธิ์แม้จะได้เป็นศิษย์น้องคนเล็กของพวกเขา…


ขงซือเหยากัดฟันและจ้องหน้าจางเซวียน หมายจะทักท้วงให้เข้าใจตรงกัน แต่ก็เห็นจางเซวียนหันกลับมามองเธอและถามว่า “คุณคิดว่าผมกำลังดูถูกคุณหรือ?”


รู้ดีว่าการท้าทายท่านอาจารย์ต่อหน้าสาธารณชนเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ขงซือเหยากล้ำกลืนความหยิ่งผยองลงไปแล้วก้มศีรษะ “ฉันไม่บังอาจ!”


แต่ถึงอย่างนั้น หมัดที่กำแน่นอยู่ข้างตัวก็บ่งบอกความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ เธอเป็นดั่งนกฟีนิกซ์ของอาณาจักรคุนฉื่อ และรู้สึกว่าช่างน่าสมเพชที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้เป็นศิษย์น้องคนเล็กของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง


“ไม่เป็นไรหรอก อยู่ต่อหน้าผม ไม่ต้องฝืนก็ได้ ผมรู้ความคิดของคุณดี ทำไมเราไม่ทำแบบนี้ล่ะ? จ้าวหย่าเป็นศิษย์สายตรงของผม เรื่องอายุ…เธออายุน้อยกว่าคุณมาก” จางเซวียนพูดขณะมองจ้าวหย่า “คุณสองคนสู้กันโดยใช้พละกำลังล้วนๆ ไม่มีอาวุธ ถ้าคุณเอาชนะเธอได้ ผมก็จะรับคุณเป็นศิษย์สายตรงและอนุญาตให้คุณเป็นศิษย์พี่ของพวกเขา!”


“เยี่ยม!” เมื่อเข้าใจเรื่องราว ขงซือเหยามองจ้าวหย่าด้วยเจตจำนงของการต่อสู้ที่แผดเผาอยู่ในดวงตา


อีกฝ่ายน่าจะอายุราว 18 ปีเท่านั้น อ่อนวัยกว่าเธอมาก ถ้าเธอเอาชนะไม่ได้แม้แต่คู่ต่อสู้ระดับนี้ จะมีสิทธิ์อะไรที่จะเรียกตัวเองว่าทายาทของปรมาจารย์ขง?


เมื่อขงซือเหยายินยอม จางเซวียนหันไปพูดกับจ้าวหย่า “ทำแบบเดิมที่คุณเคยทำนั่นแหละ เท่านั้นก็พอ”


“ได้” จ้าวหย่าพยักหน้าก่อนจะเดินตรงไปยังพื้นที่ว่างที่อยู่ห่างออกไป เธอเชื้อเชิญขงซือเหยาอย่างสุภาพ “กรุณาด้วย!”


ขงซือเหยารีบเดินไปเช่นกัน


ไม่มีการปะทะคารมก่อนเริ่มการประลอง แต่ด้วยความหยิ่งผยองของทั้งคู่ บรรยากาศของการแข่งขันตึงเครียดจึงอบอวลระหว่างสองฝ่าย


ขงซือเหยาไม่ได้ใช้ความสามารถของสายเลือด แต่ในฐานะอัจฉริยะชั้นยอดและนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด เธอสำแดงเทคนิคการต่อสู้อันไร้ที่ติออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ท่วงท่าของเธอดูเหมือนการเต้นรำอันสง่างาม


ส่วนจ้าวหย่าก็เปิดใช้งานสภาวะพิเศษ ทำให้รังสีเย็นเยียบแผ่ซ่านครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่นั้น เกล็ดหิมะงดงามร่วงพรูจากท้องฟ้าด้วยความสามารถของเธอ


จ้าวหย่าสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 2 บรมครูนักปราชญ์ ขั้นต้นแล้วหลังจากที่พยายามลอบสังหารอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่เมื่อเดือนก่อน


แต่ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เธอได้รับคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ อีกทั้งได้ใช้ประโยชน์สูงสุดจากหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด ทำให้สามารถขัดเกลาพื้นฐานวรยุทธได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และลงท้ายก็สำเร็จวรยุทธขั้นบรมครูนักปราชญ์ โลกจารึก แม้ระหว่างนั้นจ้าวหย่าจะไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธบ่อยครั้งนัก แต่ก็ถือว่าโง่เง่าเต็มทีถ้าใครจะสบประมาทวรยุทธของเธอ


จริงอยู่ว่ามีความเหลื่อมล้ำไม่น้อยระหว่างวรยุทธของจ้าวหย่ากับขงซือเหยา แต่ด้วยรากฐานวรยุทธที่แข็งแกร่งและความเข้าใจอย่างล้ำลึกเรื่องเทคนิคการต่อสู้ จ้าวหย่าก็สามารถรับมือการโจมตีของขงซือเหยาได้


การต่อสู้ดุเดือดดำเนินไป ทุกคนเห็นนัยน์ตาของขงซือเหยาเริ่มปรากฏความหวั่นวิตก


ควรจะมีช่องว่างในวรยุทธของพวกเธอทั้งคู่ เพราะเธอมีระดับวรยุทธสูงกว่า แถมยังมีประสิทธิภาพการต่อสู้ตามแบบของทายาทปรมาจารย์ขง แต่เมื่อสู้กันโดยปราศจากอาวุธ เธอก็ไม่อาจถือไพ่เหนือกว่าได้


ศิษย์สายตรงของจางเซวียนที่มีอายุเพียง 18 ปีเก่งกาจขนาดนี้ได้อย่างไร?


แบบนี้ไม่ได้การ ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปล่ะก็ ต่อให้เราชนะ ศักดิ์ศรีก็คงป่นปี้ไม่มีเหลือ…


ขงซือเหยากระหายจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอมีความปราดเปรื่องเหนือชั้นกว่าศิษย์สายตรงคนไหนก็ตามของจางเซวียน แต่ช่างยากเหลือเกินที่จะเอาชนะจ้าวหย่า ทั้งๆที่เธอมีระดับวรยุทธสูงกว่า แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการพ่ายแพ้


ขงซือเหยากัดฟันกรอดและเปลี่ยนเทคนิคการเคลื่อนไหวอย่างปุบปับ ในชั่วพริบตา ก็เกิดภาพติดตาขึ้นมากมายในบริเวณนั้น


มันคือเทคนิคการต่อสู้ที่ปรมาจารย์ขงคิดค้นขึ้นเป็นพิเศษให้เหล่าทายาทของเขา และเป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เธอมีอยู่ในตอนนี้…แปดแขนสังหารหมู่!


การโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนถูกปล่อยออกจากร่างของขงซือเหยาด้วยความเร็วสูง ไม่ช้าจ้าวหย่าก็จนมุมและต้องถอยกรูดไปครั้งแล้วครั้งเล่า


แม้ขงซือเหยาจะเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธมาหมาดๆ แต่ก็เป็นนักรบที่ผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาแล้วถึง 4 ครั้ง ทำให้มีพละกำลังสูงส่งแม้ในหมู่นักรบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดด้วยกัน ถ้าไม่ใช่เพราะประสบการณ์การต่อสู้อันเหนือชั้นของจ้าวหย่า เธอคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว


“อย่าตื่นตระหนก ตอนนี้คุณแค่มีพละกำลังอ่อนด้อยไปหน่อย…ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น สิ่งที่ต้องทำก็คือฝ่าด่านวรยุทธ!”


จางเซวียนกระดิกนิ้ว จากนั้นก็ส่งหยดเลือดของเทพเจ้าหยดหนึ่งให้จ้าวหย่า


ฟึ่บ!


จ้าวหย่ากลืนเลือดหยดนั้นลงไป ระดับวรยุทธของเธอพุ่งพรวดทันที


ภายในไม่ถึง 20 อึดใจ เธอก็ฝ่าด่านคอขวดไปเป็นนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดได้สำเร็จ


เมื่อมีพละกำลังเพิ่มสูงขึ้นมากจากการฝ่าด่านวรยุทธ จ้าวหย่าก็ปล่อยพลังงานเย็นเยือกออกมา พลังนั้นตรงเข้าเล่นงานขงซือเหยาจนกระเด็นไปไกลก่อนจะตกลงมากระแทกพื้น


“ฉันแพ้แล้ว” ขงซือเหยาพึมพำด้วยใบหน้าซีดเผือด


ยังมีกระบวนท่าอีกมากมายที่เธอยังไม่ได้ใช้ และรู้ดีว่าจะเอาชนะได้ก็ต่อเมื่อใช้ความสามารถของสายเลือดเท่านั้น แต่นี่ไม่ใช่การดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย เธอทำใจใช้มันไม่ลง


แม้เทคนิคการต่อสู้ของอีกฝ่ายจะไม่ล้ำลึกเท่ากับของเธอ แต่ทุกกระบวนท่าก็มีแนวคิดอันลึกซึ้งอยู่ ทำให้ยากที่จะหยั่งถึง ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังดูเหมือนมองเห็นข้อบกพร่องของเธอและจงใจโจมตีจุดไหนก็ตามที่เธอปัดป้องได้ยาก ด้วยเหตุนี้ ขงซือเหยาจึงถูกต้อนให้จนมุมอย่างช้าๆ


เมื่อครู่ก่อน เธอยังคงใช้ช่องว่างของวรยุทธที่เหนือกว่าตอบโต้ได้ แต่หลังจากที่จ้าวหย่าสำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด การต่อสู้ก็กลายเป็นการโจมตีข้างเดียว


น่าหัวเราะเหลือเกินที่เธอเพิ่งดูแคลนทั้งกลุ่มว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะปราดเปรื่องกว่าเธอได้!


“ว่าอย่างไร? คุณยังหงุดหงิดที่ต้องถูกเรียกว่าศิษย์น้องคนเล็กไหม?”


เห็นอัจฉริยะผู้หยิ่งผยองของอาณาจักรคุนฉื่อยังคงอึดอัดใจกับความพ่ายแพ้ของตัวเอง จางเซวียนเสนอแนะ “ถ้าคุณรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเพราะจ้าวหย่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ทุกคนละก็ คุณท้าทายคนอื่นก็ได้นะ แต่ผมคงต้องขอให้คุณลดระดับวรยุทธลงเพื่อความยุติธรรม”


ขงซือเหยาหันไปมองศิษย์สายตรงคนอื่นๆของจางเซวียน


เจิ้งหยาง หยวนเทา เว่ยหรูเหยียน และคนอื่นๆกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยแววตาตื่นเต้น ดูเหมือนทุกคนอยากเล่นงานเธอจนตัวสั่น


“ไม่เป็นไร ฉันเต็มใจเป็นศิษย์น้องคนเล็ก…” ขงซือเหยาก้มศีรษะให้และโค้งคำนับ


ในเมื่อพวกเขาได้รับการบ่มเพาะจากอาจารย์คนเดียวกัน ก็น่าจะมีพละกำลังที่ไม่ต่างกันนัก เธอเคยคิดว่าคงเอาชนะจ้าวหย่าได้สบายเพราะระดับวรยุทธที่สูงกว่า แต่ลงท้ายก็ไม่ใช่ ทำให้รู้สึกว่า ต่อให้เป็นลูกศิษย์คนอื่นๆของจางเซวียน ก็คงเป็นแบบเดียวกัน


ในเมื่อไม่มั่นใจในพละกำลังของตัวเอง ก็ไม่ควรจะเสนอตัวออกไปให้เสียหน้า ยอมรับเสียจะดีกว่า


“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี” จางเซวียนพูด “จ้าวหย่า เจิ้งหยาง และพวกคุณที่เหลือ นับจากวันนี้ไป ขงซือเหยาจะเป็นศิษย์น้องคนเล็กของพวกคุณและเป็นศิษย์สายตรงคนที่ 9 ของผม พวกคุณต้องดูแลซึ่งกันและกันนะ เข้าใจไหม?”


“ได้ พวกเราจะฟังคำสั่งสอนของท่านอาจารย์!”


คนอื่นๆที่เหลือประสานมือและตอบเป็นเสียงเดียวกัน


เมื่อเห็นว่าแม้แต่ทายาทของปรมาจารย์ขงก็ยังลงเอยด้วยการยอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงถึงกับอับจนถ้อยคำ เป็นครู่ใหญ่กว่าเสียงของเขาจะหลุดออกมา “ในเมื่อขงซือเหยาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดได้สำเร็จ เธอก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นผู้นำคนใหม่ของอาณาจักรคุนฉื่อและร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์!”


ปรมาจารย์ขงเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรคุนฉื่อ จึงเป็นที่รู้กันว่าผู้ปกครองอาณาจักรควรจะเป็นทายาทของเขา


ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงรับหน้าที่ดูแลอาณาจักรคุนฉื่อและร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ในฐานะรักษาการณ์ ในเมื่อขงซือเหยาเติบโตขึ้นและมีวุฒิภาวะมากพอแล้ว ก็ถึงเวลาที่เขาจะส่งมอบภารกิจกลับคืนให้เธอเสียที


ตอนที่ 1906  ท่านอาจารย์ไปไหน?

1906 : ท่านอาจารย์ไปไหน?


ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ถือเอาปรมาจารย์ขงเป็นศูนย์รวมจิตใจมาตลอด จึงไม่มีใครคัดค้านการที่ขงซือเหยาจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำหลังจากที่ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ


ด้วยสิ่งนี้ ก็หมายความว่าจางเซวียนกับศิษย์สายตรงทั้ง 9 คนของเขามีเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์ปีศาจ และแม้แต่ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์อยู่ในสังกัด


รู้ดีว่าตัวเองแบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบอันหนักอึ้งไว้ ขงซือเหยาหันไปถามท่านอาจารย์ของเธอ “ท่านอาจารย์ เราจะรับมือกับเรื่องฉนวนของอาณาจักรคุนฉื่ออย่างไร?”


ท่านอาจารย์บอกไว้ว่าเขาจะสามารถแก้ไขทุกอย่างได้หากเธอยอมรับเขาเป็นอาจารย์


“ขอผมลองดู”


จางเซวียนเดินตรงเข้าหาฉนวน เขาใช้ความคิดแวบหนึ่ง จากนั้นก็นำหน้าหนังสือสีทองออกจากหว่างคิ้ว


ฟิ้วววว!


หน้าหนังสือสีทองลอยเข้าหาฉนวนของอาณาจักรคุนฉื่อและหลอมรวมเข้ากับมันอย่างรวดเร็ว แล้วฉนวนก็แปรสภาพเป็นประตูโอ่อ่าที่มีขนาดมหึมา


ทันทีที่ประตูขนาดมหึมาปรากฏ สายฟ้าฟาดและลูกไฟที่คำรามกึกก้องอยู่กลางอากาศราวกับได้พบศัตรูตัวฉกาจก็สลายตัวไปทันที


“วิกฤต…วิกฤตนี่คลี่คลายไปได้ด้วยวิธีแบบนี้หรือ?”


ทุกคนถึงกับจังงัง


แต่ละคนนึกสงสัยอยู่ว่าจะหานักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติจากที่ไหนมาช่วยพวกเขาให้พ้นจากวิกฤตครั้งนี้ ใครจะไปรู้ว่าทุกอย่างจะคลี่คลายได้อย่างง่ายดายด้วยหน้าหนังสือสีทองหน้าเดียว?


ถ้ามันง่ายขนาดนี้ ทำไมจางเซวียนถึงไม่นำมันออกมาตั้งแต่แรก?


จางเซวียนไม่แยแสสายตากังขาที่อยู่รอบตัว เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เราคิด…”


อันที่จริง เขาเองก็ไม่แน่ใจในขีดจำกัดความสามารถของหอสมุดเทียบฟ้า


ตั้งแต่ต้น ข้อจำกัดข้อแรกที่เขาพบก็คือหอสมุดเทียบฟ้าไม่อาจมองทะลุข้อบกพร่องของเหล่านักปราชญ์โบราณได้ บางทีอาจเป็นเพราะนักปราชญ์โบราณคือสิ่งมีชีวิตที่ทัดเทียมกับสวรรค์ ซึ่งนั่นคือขอบเขตความสามารถของมัน


แต่เมื่อหลัวลั่วชิงหลอมรวมมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเข้ากับหอสมุดเทียบฟ้าของเขาก่อนที่เธอจะจากไป ขีดจำกัดนั้นก็สลายไปด้วย


ตอนนั้นจางเซวียนเคยสงสัยว่าหอสมุดเทียบฟ้าอาจพัฒนาขึ้นจนเหนือชั้นกว่าสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ ซึ่งจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น


สวรรค์ไม่อาจหาญลงทัณฑ์สิ่งที่สูงส่งกว่ามัน และหอสมุดเทียบฟ้ากับหน้าหนังสือสีทองก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งนั้น


ฉนวนที่ก่อตัวขึ้นโดยหน้าหนังสือสีทองดูจะสูงส่งกว่าสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ ผลลัพธ์นั้นชัดเจน ไม่มีทางที่สวรรค์จะอาจหาญตัดสินอะไรอาณาจักรคุนฉื่ออีก


ตราบใดที่ฉนวนที่สร้างขึ้นโดยหน้าหนังสือสีทองยังคงอยู่ สวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์จะไม่กล้า เข้ามาก้าวก่าย อันที่จริง ไม่สำคัญแล้วด้วยซ้ำว่าอาณาจักรคุนฉื่อจะยังคงซ่อนตัวต่อไปหรือไม่


จางเซวียนพอใจกับผลที่ได้ เขามองหน้าขงซือเหยาขณะพูดว่า“ผมอยากไปเยี่ยมเยียนที่พักของบรรพบุรุษตระกูลขง”


ขงซือเหยารีบออกเดินนำทุกคนกลับเข้าสู่อาณาจักรคุนฉื่อ


ที่พักบรรพบุรุษตระกูลขงตั้งอยู่ในอาณาบริเวณของสำนักแห่งขงจื๊อ จางเซวียนเดินทอดน่องชมพื้นที่โดยรอบอย่างสบายใจ


ตระกูลขงได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของปรมาจารย์ขงมาซึ่งเป้าหมายของพวกเขาก็คือ ผลักดันแนวคิดและเทคนิควรยุทธของปรมาจารย์ขงให้แพร่หลายก้าวหน้าต่อไป มีบรรยากาศของภูมิปัญญาอันเข้มข้นอบอวลอยู่ในที่พัก จางเซวียนรู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงจิตวิญญาณและปรัชญาของปรมาจารย์ขงในทุกย่างก้าว


หลังจากชมบริเวณโดยรอบตระกูลขงแล้ว จางเซวียนก็ออกจากอาณาจักรคุนฉื่อ คราวนี้เขาไม่ได้พาบรรดาศิษย์สายตรงไปด้วยเพราะอยากสำรวจให้ทั่ว


…..


ครั้งหนึ่ง ปรมาจารย์ขงเคยเดินทางตระเวนไปทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ ทำให้มีความเข้าใจในชีวิต อย่างล้ำลึกขึ้นมาก สิ่งนี้จุดประกายให้เขารังสรรค์ของล้ำค่าอันทรงพลังซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง


จางเซวียนอยากเห็นทวีปปรมาจารย์ทั้งหมดกับตา และระหว่างการเดินทาง เขาก็หวังจะได้รู้ว่าตัวเองเป็นใคร


ในทุกๆเมืองที่เขาแวะไป เขาจะพักอยู่ที่นั่นสักระยะเพื่อสัมผัสและเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น


เพราะภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจถูกกำจัดไปแล้ว ทั้งโลกจึงสงบสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สภาปรมาจารย์ได้รับการจัดระเบียบใหม่ตามแบบแผนของปรมาจารย์หยาง ขจัดเสี้ยนหนามจากกลุ่มก๊วนต่างๆไปจนหมดสิ้น ตอนนี้มันกลายเป็นองค์กรที่อุทิศตัวให้กับการถ่ายทอดภูมิปัญญาสู่ชาวโลก


ภายใต้คำสั่งของจางเซวียน บรรดาศิษย์สายตรงของเขาต่างออกเดินทางท่องโลกเพื่อเผยแผ่คำสอน อดีตลูกศิษย์ของเขาจำนวนมากมายจากสถาบันปรมาจารย์หงหย่วนก็ตระเวนไปทั่วโลกเพื่อเปิดการบรรยายเช่นกัน


บ่อยครั้งที่ผู้ได้ฟังคำสอนของจางเซวียนผ่านทางบรรดาลูกศิษย์ของเขาพลันเกิดความรู้แจ้งขึ้นมากะทันหันระหว่างการบรรยายทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดดส่งผลให้ทักษะของคนเหล่านั้นดูจะเหนือชั้นกว่านักรบรุ่นเดียวกันจากนั้น ผู้คนมากมายก็กลายเป็นสานุศิษย์ของ ‘สำนักจาง’


ภายในระยะเวลาไม่นาน ชื่อเสียงของจางเซวียนในฐานะปรมาจารย์หมายเลข 1 ของโลกก็ระบือลั่นยิ่งกว่าเดิม ถึงขนาดที่ชื่อของเขาเกือบจะเทียบชั้นกับปรมาจารย์ขงได้เลยทีเดียว


ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่ใฝ่ฝันอยากจะได้ฟังคำสอนจากตัวจางเซวียนโดยตรงสักครั้ง แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะหายวับไปจากโลกใบนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไรหรือไปไหน


ไม่ใช่เฉพาะสภาปรมาจารย์ที่ไม่รู้ชะตากรรมของจางเซวียน แม้แต่ศิษย์สายตรงของเขาก็ไม่มีเงื่อนงำสักนิดว่าท่านอาจารย์ของพวกเขาไปไหน ไม่ว่าจะพยายามติดต่ออย่างไรก็ไม่ได้การตอบรับ


“ท่านอาจารย์ไปไหนนะ?” เจิ้งหยางถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขาบินลงไปถึงดินแดนใต้สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นท่านอาจารย์ของเขา


จ้าวหย่าบินขึ้นไปถึงจุดเหนือสุด แต่การค้นหาของเธอก็ล้มเหลว


ศิษย์สายตรงทั้ง 9 คนของจางเซวียนตามหาตัวเขาอยู่ถึง 4 เดือนเต็ม พลิกแผ่นดินแทบทุกตารางนิ้วของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์ของพวกเขาหายไปไหน


“ดูเหมือนท่านอาจารย์ของเรากำลังพยายามเสาะแสวงหาหนทางของตัวเองและไม่ต้องการให้ใครรบกวน เขาน่าจะสบายดีแหละพวกเราคงไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากไป” หวังหยิ่งปลอบใจ


“หวังหยิ่งพูดถูก” ลู่ชงพูด “สิ่งที่พวกเราควรทำตอนนี้ไม่ใช่การตามหาท่านอาจารย์ แต่คือการทำตามคำสอนและถ่ายทอดภูมิปัญญาของเขาให้แพร่หลายไปทั่วโลก อีกอย่าง เราจะต้องเอาใจใส่เรื่องวรยุทธด้วย เป้าหมายของพวกเราคือวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึก เราต้องสำเร็จวรยุทธขั้นนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้แบ่งเบาภาระของท่านอาจารย์ได้บ้าง”


“ถูกต้อง!”


คนอื่นๆพยักหน้ารับ


ด้วยความแข็งแกร่งของท่านอาจารย์ในตอนนี้ ไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ทำอันตรายเขาได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวล


ในเวลานี้ สิ่งที่ดีกว่าก็คือพยายามปฏิบัติภารกิจที่ท่านอาจารย์มอบหมายไว้ให้สำเร็จและยกระดับวรยุทธของตัวเอง อย่างน้อยที่สุด เมื่อเวลามาถึง พวกเขาก็จะไม่เป็นภาระของท่านอาจารย์อีกต่อไป


…..


ขณะที่โลกทั้งโลกกำลังตามหา จางเซวียนก็กำลังเดินทอดน่องอย่างสบายใจอยู่ในเมืองห่างไกลเมืองหนึ่งในทวีปแห่งปรมาจารย์


เกือบครึ่งปีแล้วตั้งแต่เขาออกจากร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์มาซึ่งนั่นหมายความว่าเขาทะลุมิติมายังโลกใบนี้ได้เกือบ 2 ปี


ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา เขาได้พบความยินดีปรีดา ความเสียใจการกลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง และการแยกจาก ทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน เสียงหัวเราะของความดีใจ เสียงร้องไห้ของความทุกข์ทรมาน ความอบอุ่นของการสวมกอด ความเย็นเยือกของการถูกปฏิเสธ…


เมื่อนึกถึงอารมณ์และประสบการณ์อันหลากหลายของผู้คนที่อยู่รอบตัวเขา จางเซวียนรู้สึกเหมือน ตัวเองมีหลายชีวิตในร่างเดียว


วันนี้เป็นวันที่ 3 นับตั้งแต่เขามาถึงเมืองเล็กๆแห่งนี้ ซึ่งตามกิจวัตรของเขา ตอนนี้ก็ได้เวลาที่จะต้องจากไปแล้ว


จางเซวียนจ้องมองเมืองเล็กๆอันสงบสุขที่อยู่รอบตัวเขาเป็นครั้งสุดท้ายและกำลังจะออกจากประตูเมืองไป ก็พอดีกับที่เกิดความวุ่นวายขึ้นกลางถนน ผู้คนมากมายกำลังวิ่งไปทางเดียวกันอย่างร้อนรนตื่นเต้น


“เร็วเข้า เร็วๆหน่อย! ปรมาจารย์คนหนึ่งกำลังจะเผยแผ่คำสอน!”


“ว่ากันว่าปรมาจารย์คนนั้นมาที่นี่เพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาของปรมาจารย์จาง พวกเราจะต้องตั้งใจฟังให้ดี ขอแค่เราตั้งใจฟังและเรียนรู้ ก็จะต้องมีโอกาสได้ต้นข้าวสาลีแตกยอด!”


“ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมเลย ข้าวสาลีแตกยอดปลูกได้โดยร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์เท่านั้น มันเติบโตในทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่ได้นี่ใช่ไหม? คุณรู้จักช่างตีเหล็กในอีกหมู่บ้านหนึ่งหรือเปล่า? เมื่อวันก่อนเขากินข้าวสาลีแตกยอดไปต้นหนึ่ง จากนั้นก็ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นจงซรือได้ทันที!”


“โชคดีเป็นบ้า! ถ้าผมสำเร็จวรยุทธขั้นจงซรือล่ะก็ คงหัวเราะได้แม้ยามหลับ!”


…..


เสียงพูดคุยออกความเห็นดังเซ็งแซ่


“การบรรยาย?” จางเซวียนทวนคำก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ


เขาได้เห็นภาพเหล่านี้มากมายตลอดการเดินทางในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา จึงหมดความสนใจอย่างสิ้นเชิงต่อเรื่องแบบนี้


มีปรมาจารย์มากมายที่ใช้ชื่อของเขาเพื่อผลักดันชื่อเสียงของตัวเอง ซึ่งการบรรยายเหล่านั้นบางส่วนก็ลึกซึ้งและทำให้ผู้ฟังเกิดความคิดที่ล้ำลึกกว่าเดิม ขณะที่บางส่วนก็เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง


แต่จางเซวียนก็ไม่เคยเข้าไปขัดจังหวะใคร


เขาเลือกจะเล่นบทผู้ชมเพื่อให้ได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆอันหลากหลายของโลกใบนี้ด้วยใจเปิดกว้าง จึงตั้งใจมุ่งมั่นที่จะละวางศักดิ์ศรี ความเชื่อ และแม้แต่ตัวตนของตัวเอง


เราควรย้ายไปอีกเมืองหนึ่งได้แล้ว จางเซวียนคิดขณะเดินออกจากประตูเมือง


แต่สิ่งที่เขาได้เห็นแวบหนึ่งทำให้ต้องหยุด


“นั่นเธอหรือ?” จางเซวียนพึมพำขณะเห็นร่างงดงามร่างหนึ่งทางหางตา


ความงามของเธอยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะผ่านไปแล้วถึง 2 ปีดึงดูดสายตาทุกคู่ไม่ว่าเธอจะย่างกรายไปที่ไหน


เธอไม่ใช่อาจารย์ธรรมดาคนหนึ่งในโรงเรียนต๊อกต๋อยอีกแล้ว แต่กลายเป็นปรมาจารย์ระดับ 3 ดาว


“ยินดีที่ได้พบพวกคุณ ฉันชื่อเสิ่นปี้หรู ปรมาจารย์ระดับ 3 ดาว!”


สาวน้อยที่ยืนอยู่บนเวทีเผชิญหน้ากับฝูงชนที่กำลังตื่นเต้น เธอเผยรอยยิ้มงดงามออกมา


ตอนที่ 1907 นักปราชญ์โบราณ! ผมจะเป็นครูบาอาจารย์ของโลก! (1)

เสิ่นปี้หรูคืออาจารย์สาวสวยแห่งโรงเรียนหงเทียนที่จางเซวียนได้พบหลังจากทะลุมิติมายังโลกใบนี้ ตอนที่เขาออกจากอาณาจักรเทียนเซวียนไป ก็ดูเหมือนว่าเส้นทางของทั้งคู่จะแยกจากกันอย่างสิ้นเชิงและคงไม่มีวันกลับมาบรรจบกันได้อีก


เมื่อครึ่งปีก่อน ตอนที่เขากลับอาณาจักรเทียนเซวียน ก็พบแต่ลู่ฉวิน นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอเสิ่นปี้หรูอีกครั้งที่นี่ และไม่คาดคิดด้วยว่าเธอจะได้เป็นปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวรวดเร็วขนาดนี้


การปรากฏตัวของเธอทำให้จางเซวียนชะงักฝีเท้าขณะหันกลับไปมองสาวน้อยบนเวที อีกฝ่ายยกมือขึ้นและรอให้ฝูงชนเงียบเสียงก่อนจะพูดต่อ “อาจารย์จางกับฉันเคยเป็นเพื่อนร่วมงานกัน”


“เพื่อนร่วมงาน?”


“อะไรนะ? เธอบอกว่าเธอรู้จักปรมาจารย์จางหรือ?”


“โม้น่ะสิ ใช่ไหมล่ะ? ใครต่อใครที่นำคำสอนของปรมาจารย์จางมาเผยแผ่ก็ล้วนแต่บอกว่ารู้จักปรมาจารย์จางไม่ทางใดก็ทางหนึ่งทั้งนั้น จะได้เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับคำพูดของพวกเขา!”


“เอาจริงๆสิ? ไม่นึกเลยว่าสาวสวยอย่างเธอจะลดตัวลงไปทำอะไรไม่เข้าท่าแบบนั้น!”


…..


เพราะจางเซวียนมีชื่อเสียงระบือลั่น ผู้คนมากมายจึงพยายามอ้างตัวว่าเป็นลูกศิษย์ของเขา แม้แต่ในเมืองห่างไกลขนาดนี้ก็หนีไม่พ้นจากความนิยมดังกล่าว


แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อได้เห็นอาจารย์สาวสวยที่มักเมินเฉยกับเรื่องทางโลกเสมอพูดถึงเขาตั้งแต่ประโยคแรก จางเซวียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ความผิดหวังปรากฏในแววตา


ในความคิดของจางเซวียน เธอยังคงเป็นอาจารย์ที่มุ่งมั่นพัฒนาตัวเองและแทบไม่ใส่ใจความรุ่งโรจน์หรือชื่อเสียง ไม่นึกเลยว่าเธอจะนำชื่อของเขามาใช้เพื่อยกระดับสถานภาพของตัวเอง


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกและกำลังจะจากไป ก็พอดีกับที่สาวน้อยพูดต่อ “เขากลายเป็นครูบาอาจารย์ของโลกไปแล้ว คำสอนของเขาแพร่หลายออกไปมากมาย ผู้คนจำนวนมากภาคภูมิใจที่ได้รับความรู้จากสิ่งที่เขาสอน…แต่ฉันไม่คิดว่านั่นเป็นความสูงส่งหรือน่าอิจฉาแต่อย่างใด”


คำพูดนี้ทำให้จางเซวียนชะงักฝีเท้าอีกครั้ง ฝูงชนส่วนใหญ่ที่กำลังจะจากไปหลังจากมองว่าการบรรยายครั้งนี้เป็นแค่การนำชื่อเสียงปรมาจารย์จางมาอวดอ้างก็รีบหันกลับไปพร้อมกับขมวดคิ้ว


ความสำเร็จและภูมิปัญญาของปรมาจารย์จางทำให้ทั้งโลกสะท้านสะเทือน เขากลายเป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธาคนต่อไปถัดจากปรมาจารย์ขง


แต่เธอกล้าพูดว่าผลงานของเขา ‘ไม่ได้สูงส่งแต่อย่างใด’ พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?


บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันทีขณะที่ความไม่พอใจปรากฏทั่วในหมู่ฝูงชน


“โลกนี้มีความหลากหลาย ดูอย่างเมืองเล็กๆที่พวกคุณอาศัยอยู่แม้เราจะต้องการบุคคลผู้สูงส่ง แต่เราก็ต้องมีผู้ที่ถ่อมตัวและติดดินด้วย เหล่าปรมาจารย์ผู้เผยแผ่คำสอนและนำภูมิปัญญามาสู่โลกใบนี้ล้วนแต่ควรค่าต่อการเคารพ แต่คนขายเนื้อ เพชฌฆาตฆ่าสัตว์ พ่อค้าที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนพืชผักของเขา…หรือผู้ขนส่งสินค้าจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งก็ไม่ต่างกัน ทุกอาชีพในโลกนี้ล้วนแต่มีเหตุผลในการดำรงอยู่ ไม่มีความจำเป็นจะต้องแบ่งแยกชนชั้นด้วยเกียรติยศหรือศักดิ์ศรี สิ่งที่ทำให้แต่ละคนต่างกันก็คือเราพร้อมจะทุ่มเทในสิ่งที่เราทำ และรักในสิ่งนั้นจริงๆหรือเปล่า”


“ปรมาจารย์จางรักวิชาชีพปรมาจารย์ด้วยหัวใจ เขาค้นพบวัตถุประสงค์ในการเผยแผ่ภูมิปัญญาให้คนอื่นๆ และกระตือรือร้นในการค้นหาความลับต่างๆนานาของโลก ความขยันหมั่นเพียรและความมุ่งมั่นของเขาส่งผลให้เขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของวิชาชีพปรมาจารย์”


“ฉันเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทั้งความปราดเปรื่องหรือความสามารถอย่างที่เขามี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันมีความเป็นมนุษย์น้อยกว่าเขา ฉันทำเท่าที่ฉันทำได้ โดยถ่ายทอดความรู้และสั่งสอนค่านิยมที่ถูกต้องให้ลูกศิษย์ของฉัน ฉันไม่เหมือนกับปรมาจารย์จาง การบรรยายของฉันไม่ได้ยิ่งใหญ่พอที่จะระบือลือลั่นไปถึงทุกมุมโลก แต่ฉันก็แน่ใจว่าคำสอนของฉันจะไม่นำพาบรรดาลูกศิษย์ให้เดินผิดทาง และความรู้ใดก็ตามที่ฉันถ่ายทอดออกไปก็ล้วนแต่ผ่านการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนจากตัวฉันแล้ว…ฉันคิดว่าเท่านั้นก็เพียงพอ!”


“การจะอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ เราต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเองและเดินตามเส้นทางที่เหมาะสมกับเรา ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ฉันเดินทางตระเวนไปทั่วโลกและได้พบผู้คนมากมาย ผู้คนส่วนใหญ่ ภาคภูมิใจที่ได้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับจางเซวียนซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของโลก ก็เหมือนกับยุคสมัยของปรมาจารย์ขง พวกเขาเชื่อว่าห้วงเวลานี้จะนำพามนุษย์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และพวกเราก็โชคดีที่ได้มีชีวิตอยู่ ฉันไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเขาพูดนะ แต่การที่พวกเรามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยของความหวังและความฝันนั้น มันหมายความว่าเรามีโอกาสที่จะได้พัฒนาตัวเองและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังคนหนึ่งของโลกอย่างนั้นหรือ?”


“กลวง! มันเป็นความหวังลมๆแล้งๆ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน ก็มีคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่มีความสามารถพอจะก้าวขึ้นถึงจุดสูงสุด!”


“เอ่อ…” ฝูงชนที่กำลังหงุดหงิดค่อยๆสงบลง


“มันดูน่าเศร้า แต่ก็เป็นความจริงอันโหดร้าย ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่ทุกคนจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ”


“ปรมาจารย์ขงฝันถึงโลกที่มวลมนุษย์ล้วนแต่ทรงพลัง แต่วิสัยทัศน์ของเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรที่มากไปกว่าความฝัน มันยังคงเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง”


“โลกนี้มีข้อจำกัดมากมายเกินไปที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรที่ขาดแคลน ความถนัดแต่กำเนิดของแต่ละคนอีกทั้งการแข่งขันอันดุเดือดในหมู่นักรบ”


“เป็นเพราะอำนาจมักตกอยู่ในมือของคนส่วนน้อย การจะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา”


ไม่นึกเลยว่าเธอจะเข้าใจอะไรๆมากขนาดนี้…จางเซวียนถึงกับชะงัก


เขาคิดว่าเสิ่นปี้หรูกำลังใช้ชื่อเสียงของเขายกระดับสถานภาพของตัวเอง แต่ใครจะไปรู้ว่าเธอใช้มัน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่มีพลังขนาดนี้ให้กับฝูงชน


สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่การขาดสติปัญญา แต่คือความล้มเหลวในการรู้ขีดจำกัดของตัวเอง


ถ้าคนๆหนึ่งที่มีความสามารถในระดับที่เป็นได้แค่ทหารธรรมดาสามัญพยายามกระเสือกกระสนจะเป็นนายพล ก็คงมีแต่สร้างความเจ็บช้ำให้ตัวเอง


“เลิกฟังเรื่องเหลวไหลของเธอเถอะ ผมรู้มาว่าในบรรดาลูกศิษย์ของปรมาจารย์จาง ไม่มีสักคนที่ไม่เก่งกาจ ทุกคนล้วนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงอำนาจทั้งนั้น!”


“จริงด้วย! ขอแค่เราได้พบครูบาอาจารย์ที่ดี ก็จะพัฒนาตัวเองให้เหนือชั้นกว่านี้ได้!”


“คุณนึกหรือว่าเพียงแค่คุณพูดว่าตัวเองเป็นเพื่อนร่วมงานของปรมาจารย์จางแล้วพวกเราจะเชื่อ? ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์จางล้วนแต่อยู่ไกลเกินเอื้อมทั้งนั้น แล้วลำพังปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวอย่างคุณจะรู้จักเขาได้อย่างไร?”


…..


หลังจากเงียบงันด้วยความประหลาดใจกันไปครู่หนึ่ง ก็เกิดเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่


คำพูดของเสิ่นปี้หรูทำให้ฝูงชนเกิดความหยิ่งในศักดิ์ศรีขึ้นมาพวกเขารับไม่ได้ในสิ่งที่เธอพูด


ความล้มเหลวมักเกี่ยวข้องกับเวลาและโชคชะตาเสมอ


นักเขียนคนหนึ่งอาจบอกว่าผลงานของเขาคือผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ แต่หากบรรณาธิการขาดวิสัยทัศน์ ความปราดเปรื่องของนักเขียนก็อาจต้องถูกกลบฝังลงท้าย เขาก็อาจไม่ได้อะไรเลยแม้แต่การเซ็นสัญญา


เสิ่นปี้หรูดูจะคาดเดาปฏิกิริยาของฝูงชนไว้แล้ว เธอยกมือขึ้นและพูดต่ออย่างสุขุม “ฉันรู้ว่าคำพูดของฉันทำให้พวกคุณหลายคนเจ็บปวด แต่ลองสัมผัสหัวใจของคุณดู คุณเชื่อจริงๆหรือว่าคำพูดเหล่านั้นล้วนแต่เหลวไหล? ฉันรู้ตัวว่าฉันเทียบอะไรกับปรมาจารย์จางผู้เป็นครูบาอาจารย์ของโลกที่น่ายกย่องไม่ได้ แต่มีพวกคุณสักกี่คนที่เชื่อว่าเขามีความสุขกับชีวิตของเขาจริงๆ?”


“ยิ่งคนๆหนึ่งมีความยิ่งใหญ่มากเท่าไหร่ ความรับผิดชอบของเขาก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นเท่านั้น ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ปรมาจารย์จางได้เปลี่ยนกฎเกณฑ์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ รบราฆ่าฟันกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ และร่วมมือกับร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์…แต่มีภารกิจไหนบ้างที่เขาไม่ต้องเสี่ยงชีวิต? ถ้าพวกคุณอยู่ในฐานะเดียวกับเขาและทั้งหมดที่คุณต้องการก็คือรื่นรมย์กับความร่ำรวยและอำนาจแล้วพวกคุณจะกล้าหาญพอที่จะเผชิญอันตรายแบบนั้นไหม?”


ผู้คนส่วนใหญ่ที่ต่อต้านเสิ่นปี้หรูอยู่เมื่อครู่ถึงกับพูดไม่ออก


ก็จริง ถ้าพวกเขามีสถานภาพและความปราดเปรื่องเหมือนปรมาจารย์จาง จะเต็มใจเข้ารบราฆ่าฟันกับเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผชิญหน้ากับพวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ในตำนานหรือเปล่า?


“คุณอาจคิดว่าปรมาจารย์จางคือบุคคลที่สูงส่งเกินเอื้อม แต่เมื่อครั้งที่ฉันสอนอยู่ในโรงเรียนเดียวกันกับเขา เขาเป็นอาจารย์ที่ไม่ประสบความสำเร็จและโดนใครๆดูถูก เขาได้ศูนย์คะแนนในการทดสอบประเมินคุณภาพอาจารย์และเกือบถูกไล่ออกจากโรงเรียนแต่ถึงจะมีความลำบากเหล่านั้น เขาก็ไม่เคยถอดใจ ปรมาจารย์จางไต่ขึ้นไปทีละขั้นๆจนประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ถ้าคุณอยู่ในสถานภาพเดียวกับเขา คุณจะก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านั้นได้ไหม?” เสิ่นปี้หรูตั้งคำถาม


ชีวะประวัติของจางเซวียนถูกเรียบเรียงเป็นหนังสือและแพร่หลายไปทั่วโลก


ชีวิตของปรมาจารย์จางเผชิญอันตรายมามาก แต่ก็ไม่มีความลำบากลำบนครั้งไหนที่ทำให้เขาถอดใจ ถ้าพวกเขาอยู่ในสถานภาพเดียวกันกับปรมาจารย์จาง จะทำแบบเดียวกันกับอีกฝ่ายได้หรือไม่?


ฝูงชนส่วนใหญ่ครุ่นคิดกับคำถามนั้น แต่สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้า


สำหรับคนที่มีจิตใจอ่อนแอ การดูถูกเหยียดหยามที่จางเซวียนต้องเผชิญเมื่อครั้งอยู่ที่โรงเรียนหงเทียนก็มากเกินพอที่จะทำให้ถอดใจและจมดิ่งอยู่กับสุราแล้ว ส่วนใครที่มีจิตใจมุ่งมั่นกว่านั้นขึ้นมาอีกหน่อย อาณาจักรเทียนหวู่ก็คงเป็นสถานที่ที่การเดินทางของพวกเขาต้องจบลง


คงไม่มีใครข้ามผ่านอุปสรรคอย่างที่จางเซวียนต้องเผชิญจนมามีชีวิตรุ่งโรจน์อย่างเขาได้


การอิจฉาคนอื่นนั้นง่าย แต่สำหรับประสบการณ์ที่อีกฝ่ายได้ผ่านมา คงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเอาตัวรอดจากมันได้สำเร็จ


ชีวิตของคุณ การตัดสินใจของคุณ คุณจะต้องรู้ว่าตัวเองเป็นใครเพื่อจะได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายจางเซวียนคิด


คำพูดของเสิ่นปี้หรูจับใจเขา ราวกับมีใครสักคนนำประสบการณ์ทั้งหมดที่เขาผ่านมาตลอดครึ่งปี มาเผาจนมอดไหม้ ทำให้เปลวเพลิงลุกโชนอยู่ภายในใจของจางเซวียน


ไม่ว่าจะเป็นภูเขาอันโด่งดังหรือทะเลสาบงดงาม ความอบอุ่นหรือความโหดร้ายของมนุษย์…ทุกอย่างที่เขาได้เผชิญและเข้าไปข้องเกี่ยวล้วนกลายเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ ความทรงจำเหล่านี้ร้อยรัดเข้าด้วยกันเพื่อถักทอเป็นตัวเขาที่สมบูรณ์ มันโผขึ้นสู่ท้องฟ้าของทวีปแห่งปรมาจารย์ และมองดูโลกใบนี้ ราวกับสิ่งมีชีวิตที่เป็นอมตะ


ในชั่วพริบตานั้น จางเซวียนดูจะจมดิ่งลงสู่การครุ่นคิดอย่างล้ำลึกความขัดข้องสงสัยมากมายในหัวใจของเขาหายวับไป ระดับวรยุทธที่ชะงักงันตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาพุ่งพรวดราวกับน้ำที่รั่วออกจากเขื่อนที่พังทลาย


ตอนที่ 1908 นักปราชญ์โบราณ! ผมจะเป็นครูบาอาจารย์ของโลก! (2)

เหตุผลที่จางเซวียนปลีกตัวออกมาตระเวนท่องโลกก็เพราะความสับสนในหัวใจ เขารู้สึกว่าตัวเองหลงทางและหาทิศที่จะไปไม่เจอ


จางเซวียนพิจารณาประวัติของปรมาจารย์ขง แต่ชีวิตของทั้งคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นคนสองคนที่ไม่มีอะไรเหมือนกันสักนิด เขาไม่อาจคาดหวังที่จะได้พบสิ่งเดียวกันกับปรมาจารย์ขง ต่อให้พยายามเดินตามรอยของอีกฝ่ายก็ตาม


จางเซวียนรู้ดีว่าการได้เป็นครูบาอาจารย์ของโลกคือหนทางที่เขาจะสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ ว่าแต่จะทำได้อย่างไร? โลกนี้ช่างกว้างใหญ่และมีกฎกติกาของตัวเอง เสียงร่ำร้องของเขาก็ไม่อาจดังจนสวรรค์รับรู้ แล้วเขาจะกลายเป็นครูบาอาจารย์ของโลกได้อย่างไร?


เมื่อทำความเข้าใจสิ่งนี้ไม่ได้ จางเซวียนจึงรู้สึกเหมือนอยู่ในมุมอับไม่ว่าจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไปไม่ได้ไกลกว่าเดิมสักนิด


แน่นอนว่าเขารู้ว่าความสับสนชนิดนี้เป็นสิ่งที่นักรบทุกคนจะต้องเผชิญในช่วงชีวิตของพวกเขา แต่มันคือปราการที่เขาไม่รู้จริงๆว่าจะจัดการกับมันอย่างไร


ตลอดเวลาที่ผ่านมา จางเซวียนพึ่งพาหอสมุดเทียบฟ้าในการฝึกฝนวรยุทธ เขาจะรวบรวมหนังสือจำนวนมากมายเข้าด้วยกันและประมวลมันขึ้นมา และหากจำเป็น ก็ปรับเปลี่ยนแก้ไขไปตามขั้นตอน เมื่อมองภาพรวม ทุกอย่างที่เขาฝึกฝนไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการรังสรรค์ของตัวเขาเองได้เลย แม้จะพัฒนาวรยุทธได้มากด้วยวิธีการนี้ แต่ก็กลายเป็นข้อจำกัดของเขาเช่นกัน


จางเซวียนสามารถปรับปรุงเทคนิคการต่อสู้ใดๆก็ตามจนแน่ใจว่าปราศจากข้อบกพร่อง แต่การพึ่งพาความสามารถของมันทำให้เขาไม่อาจฝึกฝนได้หากไม่มีเทคนิควรยุทธที่ใช้อ้างอิง


นี่คือข้อบกพร่องใหญ่หลวงที่สุด และเขาก็กำลังแบกรับผลกระทบของมัน


แม้แต่สวรรค์ยังมีข้อบกพร่อง จึงไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ได้มาโดยปราศจากการแลกเปลี่ยน


ดังนั้น จางเซวียนจึงออกเดินทางท่องโลก เขาไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนและไม่รู้ว่ามันจะนำพาเขาไปยังจุดใด แต่นั่นคือทั้งหมดที่ทำได้ในตอนนี้


การเดินทางช่วยเปิดหูตาให้กว้างไกล ทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวมากมายของโลกใบนี้ที่ไม่เคยรู้มาก่อน แต่เมื่อฟังคำพูดของเสิ่นปี้หรู ก็ทำให้รู้สึกอะไรได้บางอย่าง


คำตอบที่เขาเสาะแสวงหาตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาไม่ใช่สิ่งที่จะหาพบได้จากที่ไหนในโลก มันอยู่ภายในตัวเขา


ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือทำให้ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายและใส่ใจกับประสบการณ์ของคนอื่น


ทุกคนมีเส้นทางของตัวเองให้เดิน ไม่มีความจำเป็นต้องเลียนแบบใคร สิ่งที่เขาต้องทำคือซื่อสัตย์ต่อหัวใจของตัวเองและก้าวต่อไปบนเส้นทางที่เลือกแล้วอย่างมั่นคง เท่านั้นก็มากพอ


ต่อให้ไม่มีเทคนิควรยุทธที่ดีพร้อมให้เขาได้ฝึกฝนและเขาไม่อาจกลายเป็นครูบาอาจารย์ของโลก ก็แค่เป็นตัวของตัวเองที่สมบูรณ์แบบ เท่านั้นก็พอแล้ว!


“ขอบคุณมาก เสิ่นปี้หรู!”


จางเซวียนยิ้มออกเมื่อรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เขาได้คำตอบของตัวเองแล้ว และในที่สุดก็พร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ


ทั่วทั้งบริเวณมีแต่ความเงียบงัน


เสียงของจางเซวียนไม่ดังนัก แต่ดึงดูดความสนใจของฝูงชนในทันที


เสิ่นปี้หรูหันมามองเมื่อได้ยินเสียงนั้น เธอตาโตด้วยความตื่นเต้น“อาจารย์จาง! คุณมาทำอะไรที่นี่?”


ถ้าจางเซวียนไม่อยากให้ใครจดจำเขาได้ ต่อให้ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดกันที่สุดก็มองการปลอมตัวของเขาไม่ออก


แต่เพราะสำนึกในบุญคุณของเสิ่นปี้หรู จึงไม่อยากปกปิดตัวตนของตัวเองกับเธอ ด้วยเหตุนี้ สาวน้อยจึงดูออกทันทีว่าเขาคืออาจารย์ที่ไม่ประสบความสำเร็จและโดนใครๆดูถูก อีกทั้งยังเกือบถูกไล่ออกจากโรงเรียนหงเทียนเมื่อ 2 ปีก่อน, จางเซวียน!


รูปร่างหน้าตาของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักตลอด 2 ปีที่ผ่านมานอกจากชื่อเสียงที่โด่งดังกว่าเดิม อีกทั้งผิวพรรณที่เรียบเนียนและนัยน์ตาที่ล้ำลึกกว่าแต่ก่อน


“ครั้งสุดท้ายที่เราพบกันก็นานมากแล้วนะ” จางเซวียนยิ้มตอบขณะเดินช้าๆขึ้นไปบนเวที


“ใช่ นานมากแล้ว…” เสิ่นปี้หรูพยักหน้าขณะตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น


เธอเคยคิดว่าด้วยสถานภาพที่แตกต่างกันลิบลับระหว่างเธอกับเขา คงไม่มีทางที่จะได้พบกันอีก ใครจะไปคิดว่าการกลับมาพบกันอีกครั้งจะเกิดขึ้นอย่างปุบปับแบบนี้?


ชายหนุ่มยังคงเหมือนเดิม ทั้งรอยยิ้มใสซื่อและท่าทีที่ปราศจากการวางมาด


“ปรมาจารย์จาง?”


“เมื่อกี้เธอพูดว่าเธอเป็นเพื่อนร่วมงานของปรมาจารย์จาง แล้วตอนนี้ก็ดูตกตะลึงขึ้นมาดื้อๆ…หรือเธอกำลังจะบอกว่าชายหนุ่มคนนั้นคือครูบาอาจารย์ของโลก, ปรมาจารย์จาง?”


“การที่เธอจะพูดมั่วๆกับเราก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ แต่ถึงกับแอบอ้างหน้าตาเฉยอย่างนี้…คิดจะดูถูกสติปัญญาของพวกเราหรือไง?”


“นี่คิดจะทดสอบความอดทนของพวกเราจนถึงหยดสุดท้ายใช่ไหม? ถ้าหมอนั่นคือปรมาจารย์จางจริงๆ ผมก็เป็นประธานสภาปรมาจารย์แล้วล่ะ!”


“ปรมาจารย์จางผู้สูงส่งจะมาอยู่ในเมืองไกลปืนเที่ยงของพวกเราได้อย่างไร? แม่นั่นอาจดูสวยก็จริง แต่หัวจิตหัวใจสกปรกเหลือเกิน…”


…..


ทั้งคู่ไม่ได้พยายามปกปิดการพูดคุย บทสนทนาของพวกเขาจึงทำให้ฝูงชนโมโหเดือด ราวกับมีใครสักคนโยนดินปืนเข้าสู่กองเพลิง


ปรมาจารย์จางเป็นบุคคลที่พวกเขาเคารพก็จริง แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายอยู่ไกลเกินเอื้อม ไม่มีทางที่พวกเขาจะได้เจอปรมาจารย์จางตัวเป็นๆแน่


แต่สาวน้อยคนนั้นกลับเรียกชื่อ ‘อาจารย์จาง’ ออกมาทันทีหลังจากพูดจบ…เธอกำลังจะบอกว่าชายหนุ่มที่ดูถ่อมเนื้อถ่อมตัวคนนั้นคือจางเซวียนจริงๆหรือ?


คุณกำลังตบตาพวกเราแล้วล่ะ!


ที่โม้ออกมานั่นก็ยังพอรับได้ แต่ทำให้ปรมาจารย์จางเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย…ให้อภัยไม่ได้จริงๆ!


“คุณไม่รู้หรือว่าการแอบอ้างตัวเป็นปรมาจารย์จางคือข้อห้ามของสภาปรมาจารย์ คุณจะถูกลงโทษข้อหากระด้างกระเดื่องนะ ไม่อย่างนั้น สภาปรมาจารย์จะคงความน่าเชื่อถือไว้ได้อย่างไร?”ปรมาจารย์คนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนร้องออกมาด้วยความโกรธ


“จริงด้วย! จับเจ้าคนชั่วร้ายหลอกลวงสองคนนั้นไว้ ถลกหนังเลย…” อีกคนตะโกนออกมา


แต่ยังไม่ทันขาดคำ เสียงสั่นๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ“พอที! เกิดอะไรขึ้นน่ะ…”


ฝูงชนที่กำลังโมโหพากันจับจ้องเวที สิ่งที่เห็นเกือบทำให้พวกเขาลมจับ


ชายหนุ่มที่แอบอ้างตัวว่าเป็น ‘ปรมาจารย์จาง’ กำลังยิ้มละไมและลอยขึ้นสู่กลางอากาศอย่างช้าๆ


ทุกคนรู้กันว่าความสามารถหนึ่งของนักรบที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนแล้วคือการบินได้ หรือว่าแท้ที่จริง เจ้าคนที่กำลังแอบอ้างตัวต่อหน้าพวกเขาจะเป็นนักรบระดับเซียน?


แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงกึกก้องก็ดังขึ้นกลางอากาศขณะหมู่เมฆดำนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามา


อาณาบริเวณของหมู่เมฆดำนั้นกว้างใหญ่มาก มันครอบคลุมทั่วทั้งเมืองอย่างรวดเร็ว แถมยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่ช้ามันก็แผ่ออกไปจนสุดขอบฟ้า ทั่วทุกหนแห่งมืดมิดไปหมด


“นี่คือ…การทดสอบวรยุทธ?”


“เกิดการทดสอบวรยุทธขนาดมหึมาแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร?”


“ว่ากันว่าแม้แต่การทดสอบนักปราชญ์โบราณที่ไร้เทียมทานที่สุดก็ยังกินอาณาบริเวณราวหนึ่งแสนหมู่เท่านั้น แต่นี่ปาเข้าไปอย่างน้อยก็หนึ่งล้านหมู่แล้วใช่ไหม?”


ฝูงชนด้านล่างตกตะลึงอย่างหนัก


“สามารถเรียกการทดสอบวรยุทธที่ใหญ่โตขนาดนี้มาได้ หรือว่าชายหนุ่มคนนั้นคือปรมาจารย์จางจริงๆ?”


เมื่อเริ่มสงสัย ต่างคนต่างเงียบกริบ


ก็จริง นอกเสียจากปรมาจารย์จาง ใครกันที่จะสร้างปรากฏการณ์ระดับนี้ได้?


…..


ที่ศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง


“ท่านแม่ วางใจเถอะ ฉันจะดูแลตัวเอง จะไม่ทำอะไรหุนหันพลันแล่น” สาวน้อยที่มีผิวพรรณเรียบเนียนราวกับประติมากรรมน้ำแข็งยิ้มหวานให้ความมั่นใจกับหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง


เธอคือหัวหน้าศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง, จ้าวหย่า


หญิงวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าคืออดีตหัวหน้าศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง, ท่านแม่ของเธอเอง


ในครั้งนั้น หลังจากที่ความขัดแย้งระหว่างท่านอาจารย์ของเธอกับกลุ่มอำนาจอื่นๆในสมาพันธ์นานาจักรวรรดิได้รับการคลี่คลายไปจ้าวหย่าก็รีบกลับมายังศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็งเพื่อปลดปล่อยท่านแม่ของเธอ จากนั้นก็พาท่านแม่กลับอาณาจักรเทียนเซวียนเพื่อให้พบกันกับท่านพ่ออีกครั้ง ก่อนจะพาทั้งคู่กลับมายังศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง


“ลูกเอาแต่ปลีกวิเวกเพื่อฝึกฝนวรยุทธ ไม่ยอมกินหรือดื่มอะไรเลย…” ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาขณะส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย“พ่อกับท่านแม่ของลูกเกรงว่าลูกจะบีบบังคับตัวเองมากเกินไป!”


เขาคือท่านพ่อของจ้าวหย่า, ขุนนางของเมืองไป๋หยูแห่งอาณาจักรเทียนเซวียน, จ้าวเฟิง!


หลังจากปรมาจารย์จางหายตัวไป ลูกสาวของเขาก็ออกตระเวนไปทั่วโลกเพื่อพยายามตามหาอีกฝ่าย แต่เวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้วก็ยังไม่พบจางเซวียน จึงตัดสินใจกลับมายังศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง


แต่ทันทีที่กลับมาถึง จ้าวหย่าก็ทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกฝนวรยุทธไม่เป็นอันกินอันนอน…ช่างเจ็บปวดหัวใจที่ได้เห็นลูกสาวของเขาใช้ชีวิตแบบนี้


แม้จ้าวหย่าจะสำเร็จวรยุทธเหนือชั้นกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการถึง แต่ความหุนหันพลันแล่นของเธอก็นำพาเธอเข้าสู่อันตรายไปพร้อมๆกับการยกระดับวรยุทธ ทั้งสองรู้สึกว่าสุดท้ายจ้าวหย่าอาจเป็นอันตรายเพราะสิ่งนี้


“ฉันไม่เป็นไร แค่อยากให้ท่านอาจารย์ภาคภูมิใจเมื่อเขากลับมาไม่อยากให้เขาผิดหวังในตัวฉัน” จ้าวหย่าตอบยิ้มๆ


ความทรงจำระหว่างตัวเธอกับท่านอาจารย์ร้อยเรียงกันเข้ามาในหัวสมอง เติมเต็มความแข็งแกร่งให้เธออีกครั้ง จ้าวหย่ากำลังจะปลอบโยนท่านพ่อท่านแม่ของเธอก่อนจะกลับไปฝึกฝนวรยุทธต่อก็พอดีกับที่ต้องเลิกคิ้ว


เธอเงยหน้ามอง เห็นท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปถูกปกคลุมด้วยเมฆดำกลุ่มใหญ่ มันกำลังเคลื่อนตัวเข้าหาศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง


ตอนที่ 1909 นักปราชญ์โบราณ! ผมจะเป็นครูบาอาจารย์ของโลก! (3)

“นี่คือ…”


จ้าวหย่าอึ้งไปด้วยความตกใจ


นั่นเพราะเธอรู้ทันทีว่าแม้ด้วยระดับวรยุทธที่มี ก็ยังไม่อาจมองเห็นอาณาบริเวณทั้งหมดของหมู่เมฆดำนั้นได้!


จากการพากเพียรฝึกฝนอย่างหนักตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา จ้าวหย่าสำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกแล้ว แม้จะยังห่างไกลจากการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติแต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความแข็งแกร่งของเธอมากเกินพอที่จะทำให้เธอขึ้นเป็นสุดยอดของโลกใบนี้


แต่ถึงอย่างนั้น จ้าวหย่าก็ยังมองไม่เห็นอาณาเขตปลายสุดของหมู่เมฆ…


นั่นหมายความว่าหมู่เมฆกลุ่มนี้มีความยาวหลายแสนลี้?


“มันอะไรกัน? ทำไมถึงมีเมฆดำขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นที่นี่?” จ้าวเฟิงกับภรรยาของเขารู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทั้งคู่ต่างพรั่นพรึงกับสิ่งที่เห็น


“ดูเหมือนจะเป็นการทดสอบวรยุทธ…ท่านอาจารย์! ใช่แล้วล่ะท่านอาจารย์ของฉันกลับมาแล้วแน่ๆ!” จ้าวหย่าตาโตด้วยความตื่นเต้น


เธอไม่มีอารมณ์จะฝึกฝนวรยุทธต่อ จ้าวหย่ารีบพุ่งไปยังทิศทางที่หมู่เมฆดำก่อตัว


นอกเสียจากท่านอาจารย์ของเธอ ไม่มีใครอีกแล้วในโลกใบนี้ที่เรียกหมู่เมฆดำขนาดใหญ่แบบนั้นมาได้ เขาคือหนึ่งเดียวในโลก!


…..


“ครูบาอาจารย์คือผู้มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้และไขข้อสงสัยของลูกศิษย์ แม้สภายอดขุนพลของเราจะไม่มีความสามารถในการถ่ายทอดภูมิปัญญา แต่เราก็คลี่คลายเทคนิคและทักษะการต่อสู้ต่างๆให้กระจ่างได้ สิ่งนี้เชื่อมโยงกับหน้าที่ความรับผิดชอบของครูบาอาจารย์ และนั่นคือเหตุผลที่พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของสภาปรมาจารย์ แทนที่จะแยกตัวออกไปเป็นองค์กรอิสระ”


เจิ้งหยางยืนอยู่ตรงหน้ากองทัพที่มีจำนวนนับหมื่น เขามองยอดขุนพลที่ได้รับการบรรจุใหม่อย่างเคร่งขรึมขณะพูดคำนั้น


ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา สภายอดขุนพลแข็งแกร่งขึ้นมาก โดยเฉพาะหลังจากที่เจิ้งหยางได้ถ่ายทอดความรู้ที่เขารับมาจากจางเซวียน


เหล่าสมาชิกของสภายอดขุนพลต่างแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน แต่ละคนมีพละกำลังมากพอจะรับมือกับนักรบได้หลายร้อยคนในคราวเดียว


“พวกเราเข้าใจ!”


ฝูงชนพยักหน้าอย่างตื่นเต้น


ทุกคนรับรู้วีรกรรมอันน่าทึ่งของหัวหน้ายอดขุนพลและท่านอาจารย์ของเขา ต่างคนต่างเฝ้ารอที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของตำนานที่พวกเขาสร้างขึ้น ถือเป็นความปรารถนาสูงสุดที่จะได้ติดตามชายหนุ่มผู้ทรงเกียรติคนนี้ และตอนนี้ความปรารถนาของทุกคนก็กลายเป็นจริง!


เห็นทุกคนมีกำลังใจฮึกเหิม เจิ้งหยางหยุดการปราศรัย “เอาล่ะเริ่มการฝึกของวันนี้ได้!”


เขากำลังจะสั่งการครูฝึกให้เริ่มกระบวนการ ก็พอดีกับที่เงยหน้าขึ้นและเห็นความมืดมิดครอบคลุมมาแต่ไกล


“เมฆดำพวกนี้…การทดสอบวรยุทธใช่ไหม?” เจิ้งหยางอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพลันนึกได้ “ท่านอาจารย์! เขากำลังจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณแล้ว!”


เจิ้งหยางกระทืบเท้าเบาๆ จากนั้นก็หายวับไป


…..


ที่เมืองหลวงของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น หลิวหยางนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงใหญ่ กำลังจับจ้องบริวารของเขาขณะสั่งการด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นทรงอำนาจ “ผมบอกหลายครั้งหลายหนแล้วนะ น่าเบื่อเหลือเกินที่ต้องพูดซ้ำอีก เผ่าพันธุ์ปีศาจทุกตัวจะต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ การปะทะทุกรูปแบบถือเป็นข้อห้าม ใครก็ตามที่กล้าฝ่าฝืนจะถูกสังหารทันที! ผมยังต้องสอนพวกคุณอีกไหมว่าควรทำอย่างไร?”


บรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจรีบทรุดตัวลงคุกเข่าด้วยความหวาดกลัว“ขอรับ ฝ่าบาท พวกเราจะทำตาม คำสั่ง!”


หลังจากเสร็จสิ้นพิธีสถาปนาได้ไม่นาน อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ก็ปรับเปลี่ยนทุกอย่างไปโดยสิ้นเชิง ด้วยความพยายามของเขา เผ่าพันธุ์ปีศาจเริ่มยอมรับการอยู่ร่วมกันกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ความตึงเครียดที่มีมาตั้งแต่แรกระหว่างสองเผ่าพันธุ์เริ่มคลี่คลายแน่นอนว่าข้อขัดแย้งที่มีมา ตลอดหลายหมื่นปีไม่อาจถูกระงับไปโดยง่าย แต่อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้ก็ปราศจากการสู้รบต่างๆอย่างสิ้นเชิง


ในท้ายที่สุด เวลาจะชำระล้างความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างสองเผ่าพันธุ์ไปเอง นำมาซึ่งยุคสมัยแห่งความมั่นคงและกลมเกลียว


แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ เผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถเข้าถึงทรัพยากรล้ำค่าที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในทวีปแห่งปรมาจารย์พวกมันสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆได้โดยนำเทคโนโลยีของเผ่าพันธุ์มนุษย์มาประยุกต์ใช้


เมื่อมีผลประโยชน์ ก็เกิดกลุ่มก๊วนจำนวนหนึ่งในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เริ่มสนับสนุนนโยบายของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่อย่างเปิดเผย


ที่สำคัญกว่านั้น อำมาตย์เฉินหย่งยังนำเทคนิควรยุทธชุดใหม่มาใช้ ที่ทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วแม้จะไม่ได้กินเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของปรมาจารย์และมวลมนุษย์


เมื่อสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกัน ความตึงเครียดระหว่างสองเผ่าพันธุ์ก็ลดน้อยลงมาก


“เอาล่ะ จบการประชุมเพียงเท่านี้ พวกคุณไปได้!”


หลิวหยางโบกมือ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ เหล่าบริวารจะออกไปได้ก็ต่อเมื่อฮ่องเต้ออกจากท้องพระโรงไปแล้วเท่านั้น


แต่ในตอนนั้น หมู่เมฆดำก็ปรากฏขึ้นจากระยะไกล ครอบคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าในชั่วพริบตา


“ท่านอาจารย์…” หลิวหยางนัยน์ตาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นภาพนั้น เขาสะบัดข้อมือและเปิดทางเดินแห่งมิติโดยไม่ลังเลจากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ทางเดินและและหายวับไปจากสายตาอึ้งทึ่งของเหล่าบริวาร


หลังจากเหนื่อยยากมาตลอดครึ่งปี ในที่สุดสถานการณ์ในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจก็มั่นคง เขาสามารถตามหาท่านอาจารย์ได้อีกครั้ง


…..


สถานการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นที่ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ในอาณาจักรคุณฉื่อ


ขงซือเหยาจ้องมองท้องฟ้ามืดครึ้มขณะตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น


หลังจากที่หายไปเนิ่นนาน ในที่สุดท่านอาจารย์ของเธอก็ปรากฏตัวอีกครั้งแล้วใช่ไหม?


“ระหว่างนี้ฉันจะฝากอาณาจักรคุนฉื่อให้คุณดูแลนะ ขอออกไปข้างนอกสักหน่อย!”


ขงซือเหยาไม่รอคำตอบจากอีกฝ่าย เธอมุ่งหน้าเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ทันที


…..


หลังจากทำตัวลึกลับอยู่ 6 เดือน ในที่สุดจางเซวียนก็สร้างความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่ขึ้นในโลกด้วยการฝ่าด่านวรยุทธของเขา


“นั่นเขาแหละ…ใช่เขาจริงๆ!”


“ไม่ต้องสงสัย นอกจากปรมาจารย์จาง ก็ไม่มีใครแล้วที่ทำแบบนี้ได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจำเขาไม่ได้ ทั้งๆที่เขาอยู่ต่อหน้าต่อตาเรานี่เอง แถมเรายังพยายามจะจับตัวเขาด้วย…”


“พระเจ้า ผมมีโอกาสได้เห็นปรมาจารย์จางตัวเป็นๆแล้ว ตอนนี้ก็ตายตาหลับแล้วล่ะ!”


…..


ขณะที่ความจริงถูกเปิดเผยในเมืองเล็กๆแห่งนั้น ผู้คนมากมายที่อยู่รอบเวทีพากันตัวแข็งด้วยความตกตะลึง


ก่อนหน้านี้ ตอนที่เสิ่นปี้หรูพูดว่าเธอคือเพื่อนร่วมงานของปรมาจารย์จาง ไม่มีสักคนที่เชื่อเธอ และเมื่อเธอบอกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือปรมาจารย์จางตัวจริง ทุกคนก็พากันเหยียดหยาม มองเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ


แต่กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง!


ชายหนุ่มผู้น่าทึ่งที่ได้รับความเคารพชื่นชมจากคนทั้งโลกกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว!


“เขาไม่เปลี่ยนเลย โดดเด่นที่สุดในหมู่ฝูงชนเสมอ” เสิ่นปี้หรูตั้งข้อสังเกตพร้อมกับยิ้มอย่างจนปัญญา


เท่าที่เธอรู้จักชายหนุ่มคนนี้มา เขาเป็นที่เตะตาของใครๆเสมอ เธอเคยคิดว่าเขาคงลดความโดดเด่นลงบ้างหลังจากมาได้ไกลขนาดนี้แต่อีกฝ่ายกลับไม่ต่างจากเดิมสักนิด ราวกับเขาไม่รู้จักความคิดเรื่องการนอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัวเลย


…..


จางเซวียนไม่รับรู้ความตื่นเต้นของฝูงชน


เขาใคร่ครวญการหยั่งรู้ครั้งใหม่ของตัวเองอย่างถี่ถ้วน รู้สึกราวกับลำแสงของอรุณรุ่งได้ทะลุเข้าสู่ความมืดมิดในหัวใจของเขาเผยให้เห็นเส้นทางใหม่


ความรู้สึกนี้หนักหน่วงถึงขนาดสัมผัสได้ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ


“เพราะฉะนั้น นี่ก็คือสิ่งที่เราตามหามาตลอด” จางเซวียนพึมพำพร้อมกับยิ้มน้อยๆขณะมองหมู่เมฆดำที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตกับสายฟ้าที่อยู่รอบตัว


เห็นได้ชัดว่าการทดสอบวรยุทธที่เขาต้องเผชิญคราวนี้มีพละกำลังทำลายล้างสูงมาก มันแข็งแกร่งกว่าที่เขาเจอมาในครั้งไหนๆ


สายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์รวมตัวเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นอาวุธขนาดใหญ่มากมายนับไม่ถ้วน แต่ละชิ้นพุ่งตรงเข้าใส่จางเซวียน


ด้วยความแรงของมัน ดูเหมือนว่าต่อให้นักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติก็ไม่น่ารับมือกับพละกำลังน่าสะพรึงขนาดนี้ได้


อันที่จริง ดูเหมือนมันเหนือชั้นกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้


มันคือพละกำลังอันเป็นอมตะที่พร้อมทำลายล้างเป้าหมายของมันต่อให้จางเซวียนที่เพิ่งผ่านการหยั่งรู้ครั้งใหม่มาหมาดๆก็ไม่น่ารับมือไหว


แต่…


ในเมื่อเขาไม่มีโอกาสเอาชนะมัน ทำไมถึงยังคิดจะสู้กับมันอีก?


สีหน้าของจางเซวียนไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย เขาพึมพำ


“สลายตัว”


เสียงนั้นพุ่งทะลุความว่างเปล่า ดังกึกก้องขึ้นสู่สวรรค์


ฟึ่บ!


ราวกับได้พบศัตรูตัวฉกาจ บรรดาอาวุธที่ทำจากสายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์ต่างสลายตัวเป็นอากาศธาตุอย่างรวดเร็ว


ในเวลาเดียวกัน ภายใต้คำสั่งของเขา หมู่เมฆดำก็ค่อยๆกระจายตัว เผยให้เห็นท้องฟ้าใสกระจ่างอีกครั้ง


ถ้าเป็นเมื่อก่อน จางเซวียนต้องใช้ยุทธวิธีและเทคนิคมากมายเพื่อเอาชนะการทดสอบวรยุทธ แต่ด้วยความสามารถที่มีอยู่ในตอนนี้เขาสลายมันได้ด้วยคำพูดคำเดียว


ราวกับว่าสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ยอมจำนนให้เขาแล้ว เขากลายเป็นผู้บงการโลก ทุกคำสั่งของเขาจะชี้ชะตาอนาคตของโลกใบนี้


นี่คืออานุภาพของวาจาสิทธิ์!


การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณหมายถึงการเข้าถึงกฎเกณฑ์บางอย่างที่เหนือชั้นกว่าโลก แต่จางเซวียนในตอนนี้ไปไกลกว่านั้น การดำรงอยู่ของเขาข้ามพ้นขีดจำกัดของโลกแล้ว ทำให้เป็นผู้อยู่เหนือสวรรค์


ขณะที่การทดสอบนักปราชญ์โบราณสลายตัวไป พลังงานมหาศาลก็พวยพุ่งออกจากร่างของเขาและพุ่งตรงขึ้นสู่สวรรค์ กดข่มทุกสิ่งที่อยู่ในพื้นที่นั้น


บึ้มมมม!


เมื่อไม่อาจระงับพลังปราณไว้ได้อีกต่อไป รังสีของจางเซวียนเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในชั่วพริบตา จากวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเขาก็สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ


นักปราชญ์โบราณขั้น 1 การสืบทอดสายเลือด!


นักปราชญ์โบราณขั้น 2 บรมครูนักปราชญ์!


นักปราชญ์โบราณขั้น 3 การฟื้นคืนชีพของสายเลือด!


ทุกอย่างที่จางเซวียนได้สั่งสมมาเพื่อการฝึกฝนวรยุทธกำลังสำแดงอานุภาพของมัน


ภายในไม่ถึง 10 อึดใจ เขาก็ฝ่าด่านวรยุทธไปได้ถึง 3 ขั้น จนถึงวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึก!


ความสำเร็จของเขาน่าสะพรึงกว่าขงซือเหยา อันที่จริง แม้แต่การฝ่าด่านวรยุทธของปรมาจารย์ขงก็ยังไม่รวดเร็วขนาดนี้!


เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานที่พลุ่งพล่านทั่วร่าง จางเซวียนยิ้มออกขณะลดสายตาลงมองพื้นโลกประหนึ่งตัวเขาเป็นเทพเจ้าจากสวรรค์ ในตอนนั้น เขาดูทรงพลังอย่างที่ไม่อาจมีใครทำลายล้างได้


ความเงียบงันอบอวลไปทั่วขณะท้องฟ้ากระจ่างใสอีกครั้ง จากนั้นเสียงทรงพลังงามสง่าก็ดังกึกก้อง


“นับจากวันนี้ไป ผมคือครูบาอาจารย์ของโลก!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)