ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 190-193
ตอนที่ 190 ลงมือเหี้ยมโหด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ขอบคุณในความหวังดีของสหายฝาน แต่เรื่องนี้ข้าได้ตัดสินใจแล้ว” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา
“ในเมื่อเจ้าอยากเรียนวิชาปรุงโอสถกับข้าจริงๆ มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่เจ้าต้องทำตามกฎสามข้อ!” พอฝานไป๋จื่อเห็นว่าไม่สามารถเกลี้ยกล่อมหลิ่วหมิงได้ ก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“สหายลองว่ามาได้เลย” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“ข้อหนึ่ง วิชาปรุงโอสถของข้าฝานไป๋จื่อ ถึงแม้จะไม่กล้าเรียกว่าเป็นที่หนึ่งในแคว้นต้าเสวียน แต่เชื่อว่าคงไม่ด้อยไปกว่าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่นิกายทั้งห้าฝึกฝนมาโดยเฉพาะเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นถ้าเจ้าอยากเรียนวิชาปรุงโอสถกับข้า แค่ดินปราณทองคำบริสุทธิ์ก้อนนี้คงไม่พอ” ฝานไป๋จื่อจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ในเมื่อก้อนเดียวไม่พอ ถ้าอย่างนั้นเพิ่มก้อนนี้เข้าไปด้วยล่ะได้ไหม?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว สะบัดแขนเสื้อหยิบดินเหนียวสีทองที่เล็กกว่าก่อนหน้านั้นออกมา และโยนออกไป
“ที่แท้เจ้าก็ยังมีดินปราณทองคำบริสุทธิ์เหลืออยู่! ถ้ารวมสองก้อนนี้เข้าด้วยกัน ก็หนักราวๆ สองตำลึง ซึ่งพอจะเป็นค่าตอบแทนการเรียนวิชาปรุงโอสถได้ ข้อสอง เส้นทางการปรุงโอสถนั้นลึกซึ้งจนยากจะหาที่เปรียบได้ และสถานะของเจ้าก็พิเศษ ถึงแม้เจ้าจะเรียนวิชาปรุงโอสถกับข้า แต่ก็ยังคงเป็นสหายในระดับเดียวกัน และข้าชี้แนะเจ้าได้แค่สามปีเท่านั้น พอพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้วจะไม่ถ่ายทอดอะไรให้เจ้าอีก” ฝานไป๋จื่อกล่าวด้วยสีหน้าเฉียบขาด
“เดิมทีข้าก็คิดที่จะเรียนแค่ไม่กี่ปี เวลาสามปีนี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ข้ามีเรื่องจะขอร้องเรื่องหนึ่ง สหายในจะต้องถ่ายทอดวิชาปรุงโอสถให้ข้าอย่างไม่ปิดบัง” หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย และกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ได้! ไม่มีปัญหา! ข้านับว่ามีพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง คงไม่ทำเรื่องให้ตัวเองต้องเสียเกียรติหรอก ข้อสาม เรียนปรุงโอสถเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองพืชสมุนไพรจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก ตอนที่เจ้ามาเรียนที่นี่ สิ่งของทั้งหมดข้าจะเตรียมไว้ให้ แต่ต้องจ่ายหินจิตวิญญาณให้ข้าตามราคาท้องตลาด ข้าขอเตือนเจ้าสักหน่อย อยากเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่แท้จริง จะขาดการฝึกฝนอย่างหนักไม่ได้ แม้กระทั่งสามารถพูดได้ว่ามันสำคัญมากกว่าพรสวรรค์ เพราะพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมแค่ช่วยให้เจ้าลดจำนวนครั้งในการฝึกฝนเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องใช้หินจิตวิญญาณเป็นจำนวนมาก เจ้าจงเตรียมใจไว้ให้ดี ถ้าเจ้าไม่มีปัญหาอะไรกับกฎทั้งสามข้อนี้ล่ะก็ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสามารถมาหาข้าที่นี่ได้เดือนละห้าวัน ข้าจะเจียดเวลาครึ่งวันมาชี้แนะวิชาปรุงโอสถให้เจ้าโดยเฉพาะ” ฝานไป๋จื่อตีหน้าขรึมกล่าวออกมา
“เดือนละแค่ห้าวัน มันไม่น้อยไปหน่อยหรือ?” หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ก็รู้สึกลังเลเป็นครั้งแรก
“ปกติข้าก็ต้องศึกษาวิชาปรุงโอสถกับปรุงโอสถด้วย สามารถเจียดเวลาให้เจ้าได้ห้าวันก็นับว่าเป็นขีดจำกัดสูงสุดของข้าแล้ว ถ้าเจ้าไม่เห็นด้วยข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว” ฝานไป๋จื่อส่ายหน้ากล่าวออกมา
“เอาเถอะ! ห้าวันก็ห้าวัน ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้” หลิ่วหมิงมีสีหน้าหม่นหมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจยาวๆ ก่อนตอบตกลง
“ดีมาก! เพียงแค่เจ้ามีพรสวรรค์การปรุงโอสถจริงๆ และมีกำลังทรัพย์สนับสนุนการฝึกฝนต่อไปล่ะก็ ข้าเชื่อว่าภายในสามปีนี้มันเพียงพอที่จะดึงเจ้าให้เข้าสู่ประตูเส้นทางการปรุงโอสถได้” ฝานไป๋จื่อเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มในที่สุด จากนั้นก็เก็บดินปราณทองคำบริสุทธิ์เข้าไป
เวลาต่อมาฝานไป๋จื่อก็ไม่คิดที่จะรั้งหลิ่วหมิงให้อยู่ต่อ หลังจากที่กำชับหลิ่วหมิงไม่ให้แพร่งพรายเรื่องที่เขาได้รับดินปราณทองคำบริสุทธิ์ออกไปข้างนอกแล้ว ก็ยอมให้หลิ่วหมิงจากไป
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงกับเฉียนเชาก็เดินออกจากถ้ำที่พักของฝานไป๋จื่อ และเดินลงเขาไปโดยไม่สนใจสายตาของคนในศาลาไม้
แน่นอนว่าก่อนหน้านั้น เมื่อเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณได้ยินว่า ฝานไป๋จื่อตอบตกลงชี้แนะวิชาปรุงโอสถให้หลิ่วหมิง เขาย่อมตะลึงไปชั่วขณะ และจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความประหลาดใจ
หลังจากกลับถึงจวนเฉียนแล้ว เฉียนเชาก็เรียกผู้เชี่ยวชาญโอสถของเรือนร้อยวิญญาณมารวมกัน เพื่อตรวจสอบโอสถโลหิตเผาไหม้ที่นำกลับมาเม็ดนั้น
พอหลิ่วหมิงกลับถึงที่พักก็ปิดประตูทำการฝึกฝนขึ้นมา
เวลาในอีกสองวันต่อมา เขายังคงไม่ออกไปจากที่พัก ราวกับว่าจะฝึกฝนไปเช่นนี้จนกว่างานประมูลจะเริ่ม
แต่พอวันที่สาม ผู้อาวุโสเหมี่ยนกับเฉียนเชาก็มาหาเขาพร้อมกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อะไรนะ! รถที่ขนส่งสิ่งของประมูลถูกปิดล้อมอยู่ห่างจากเสวียนจิงไปร้อยลี้?” หลิ่วหมิงถามด้วยความตกใจ
“กองกำลังที่คุ้มกันขนส่งสินค้าประมูลในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะมีแค่หน่วยเงาปีศาจของอ๋องสามหนึ่งกองเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแขกจากสาขาย่อยออกเดินทางมาด้วยสองคน บวกกับแขกสองคนที่ข้าส่งออกไปรับ รวมกันแล้วมีมากถึงสี่คน เดิมทีข้าคิดว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่ฝ่ายตรงข้ามส่งมาจะแข็งแกร่งกว่ามาก กองกำลังทั้งกองถูกปิดล้อมอยู่ในที่เดียวกัน และกำลังอาศัยธงค่ายกลที่เป็นหนึ่งในสิ่งของประมูลมาตั้งเป็นค่ายกลเพื่อรับมือไว้อย่างทุลักทุเล ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหนึ่งในแขกเหล่านั้นเลี้ยงตัวต่อจิตวิญญาณไว้ตัวหนึ่ง และแอบบินออกจากวงล้อมมาส่งข่าวล่ะก็ เกรงว่าตอนนี้พวกเราคงไม่รู้เรื่องอะไรเลย คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ก็คงมีแต่เจ้าอ้วนมู่แห่งหอรวมสมบัติเท่านั้น” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“ถ้าอย่างนั้นความหมายของเถ้าแก่ก็คือ……” หลิ่วหมิงถามเฉียนเชาด้วยตาที่เป็นประกาย
“เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการล่อเสือออกจากถ้ำ ข้าจึงให้ผู้อาวุโสเหมี่ยนเฝ้าดูแลคลังสิ่งของอยู่ในจวน แต่ข้าได้ส่งคนไปยืมทหารคุ้มกันตัวของอ๋องสามสองคนกับหน่วยเงาปีศาจอีกหนึ่งกองแล้ว แต่ก็กลัวว่ากำลังจะยังไม่พอ ดังนั้นจึงขอรบกวนให้คุณชายเฉียนออกไปด้วย ไม่ว่าคุณชายจะใช้วิธีการใดก็ตาม ขอเพียงแต่สามารถปกป้องสิ่งของประมูลรอบนี้ไว้ได้ ก็นับว่าท่านสร้างผลงานยิ่งใหญ่ให้กับเรือนร้อยวิญญาณของเรา” เฉียนเชากล่าว
“ไม่มีปัญหา! ข้าเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณ ย่อมไม่อาจยืนนิ่งดูดายได้ ข้าต้องออกเดินทางตอนไหน?” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วตกปากรับคำออกไป
“ถ้ารอทหารคุ้มกันตัวกับหน่วยเงาปีศาจของอ๋องสามเคลื่อนไหว เกรงว่าคงต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ข้ากลัวว่าทางนั้นจะไม่สามารถรับมือไว้ได้ จึงขอให้คุณชายเฉียนล่วงหน้าไปก่อน ทหารคุ้มกันของจวนอ๋องสามกับหน่วยเงาปีศาจจะตามไปสมทบทีหลัง” เฉียนเชากล่าวด้วยความร้อนใจ
“ได้! งั้นข้าจะออกเดินทางเลย” หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าตอบรับ
เฉียนเชาและผู้อาวุโสเหมี่ยนย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ขณะที่กำลังจะพูดอะไรต่อนั้น ก็พลันมีร่างเล็กๆ กระโจนไปบนตัวหลิ่วหมิง และกอดขาทั้งสองของเขาไว้แน่น
“อาหมิง”
นางก็เฉียนหรูผิงนั่นเอง นางเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความกังวลใจ
“วางใจเถอะ! แค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น ข้าจะรีบไปรีบกลับ จงเชื่อฟังและรอข้าอยู่ที่นี่” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เอามือลูบหัวของเด็กหญิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อาจเป็นเพราะความเชื่อใจที่มีต่อหลิ่วหมิง เฉียนหรูผิงจึงกัดริมปีปาก และคลายแขนออกมาอย่างอาลัยอาวรณ์
“หลานหรูผิงสบายใจได้ คุณชายเฉียนมีพลังแข็งแกร่ง ครั้งนี้ยังมีคนอื่นช่วยด้วย จะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน” เฉียนเชาเห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
แต่หลังจากที่เฉียนหรูผิงได้ยินคำพูดที่มีความหมายพอๆ กัน นางกลับเบะปากไม่สนใจ
เฉียนเชาได้แต่หัวเราะแห้งๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก
หลิ่วหมิงโปรยยิ้มและกำชับเด็กน้อยไปสองประโยค หลังจากที่ถามจนรู้ตำแหน่งของกองขบวนที่ถูกปิดล้อมอย่างชัดเจนแล้ว ก็ออกจากห้องไป
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อต่อมา หลิ่วหมิงนั่งอยู่บนเมฆดำก้อนหนึ่ง เหาะไปตามถนนสายหลักมุ่งหน้าไปนอกเสวียนจิง
ถึงแม้เขาจะกระตุ้นพลังเวทย์จนถึงขีดสูงสุดแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าเมฆดำเหาะช้าเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงแอบถอนใจ ดูท่าจะต้องหาอาวุธเหาะจิตวิญญาณหรือฝึกฝนวิชาเกี่ยวกับการเหาะที่เหาะได้เร็วกว่านี้
เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็หยิบยันต์ออกมาจากอกเสื้อผืนหนึ่ง หลังจากที่โบกมันไปตามลม มันก็กลายเป็นจุดแสงจำนวนมากและจมหายเข้าไปในเมฆดำ
เสียงดัง “ฟิ้ว!”
เมฆดำที่เหาะอย่างเชื่องช้าก็เพิ่มความเร็วขึ้นมาจากเดิมเท่ากว่าๆ และพุ่งยิงออกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่หลิ่วหมิงกลับรู้สึกปวดใจเล็กน้อย ในใจแอบใคร่ครวญถึงจำนวนหินจิตวิญญาณที่ใช้ซื้อยันต์เทพเคลื่อนไหวผืนนี้ กลับไปจะต้องให้เฉียนเชาเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณผู้นี้จ่ายให้อย่างแน่นอน
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดเขาก็มองเห็นรถม้าที่บรรทุกสิ่งของจอดขวางอยู่บนถนนสายหลักอยู่ไกลๆ ด้านข้างมีสิ่งของจำพวกผ้าพับ เครื่องลายครามกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ม้าขนาดสูงใหญ่ที่ลากรถมาหลายตัวถูกฟันเป็นสองส่วนนอนจมอยู่ในกองเลือด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วทำท่ามือด้วยมือเดียวในทันที เมฆดำพุ่งยิงไปด้านหนึ่งของถนนสายหลักอย่างรวดเร็ว
แต่พอเขาเหาะออกไปไม่ถึงลี้กว่าๆ ก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นมาจากกองหินที่อยู่ด้านล่าง สายรุ้งสีแดง และสีเหลืองสองสาย ยาวสองฉื่อ ม้วนตัวเข้ามาหาเขาในทันที
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด และสะบัดแขนเสื้อเรียกกระบี่สั้นสีเขียวออกมา และตวัดมันไปยังด้านล่างอย่างรวดเร็ว
“ฟู่!” “ฟู่!” ปราณกระบี่สีเขียวสองสายม้วนตัวออกไป และฟันลงบนสายรุ้งอันน่ากลัวพอดี
หลังจากมีเสียงระเบิดดังออกมา ปราณกระบี่ทั้งสองสายก็ถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว
สายรุ้งอันน่ากลัวทั้งสองก็กระเด็นออกไป และเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมัน มันคือง่ามบินสีแดงหนึ่งเล่มกับมีดสั้นสีเหลืองหนึ่งเล่ม
“แย่แล้ว คนผู้นี้เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นสูง ทั้งยังมีอาวุธจิตวิญญาณด้วย”
เสียงตกใจของคนผู้หนึ่งดังขึ้นจากกองหินด้านล่าง จากนั้นก็มีเงาร่างเคลื่อนไหวก่อนที่ก้อนเมฆสีเทากับสีดำจะพุ่งขึ้นไปบนฟ้า และพุ่งหนีออกไปคนละทิศทาง โดยไม่สนใจอาวุธอาญาสิทธิ์ทั้งสองชิ้นนั่นเลย
“ฮึ! ในเมื่อมาแล้วก็อย่าหวังจะได้ไปเลย”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย เขาตวัดกระบี่จันทราหยกในมือไปยังหนึ่งในสองคนนั้น จนเกิดเป็นปราณกระบี่สามสายภายในอึดใจเดียว ขณะเดียวกันมืออีกข้างก็ทำท่ามือแล้วยกขึ้น จากนั้นคมวายุห้าเส้นก็พุ่งยิงออกไป
ทั้งสองคนเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนหน้าถอดสี คนหนึ่งควักโล่เล็กๆ แล้วโยนออกไปด้านหน้า อีกคนก็ขยี้ยันต์ผืนหนึ่งจนมีแสงสีขาวออกมาเป็นจุดๆ
โล่เล็กโบกสะบัดตามลมแล้วขยายขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ มาบังอยู่ตรงหน้าเขา จุดแสงสีขาวก็กลายเป็นม่านแสงปกป้องผู้ที่ใช้มันไว้
แต่ครู่ต่อมา คมวายุสีเขียวทั้งหมดก็ฟันลงบนแผ่นโล่
เพียงแค่ได้ยินเสียงแตกหักดังออกมา แผ่นโล่ก็ถูกฟันออกเป็นสิบชิ้นภายในพริบตา เจ้าของโล่ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเวทนา แล้วก็ถูกคมวายุสีเขียวฟันออกเป็นเจ็ดแปดส่วน
ขณะนี้ ปราณกระบี่ทั้งสามสายก็ฟันม่านแสงอย่างบ้าคลั่ง มันโจมตีจนม่านแสงแตกร้าวออกมา แสงเย็นสะท้านอันน่าสะพรึงกลัวกลืนกินผู้ใช้ยันต์เข้าไปข้างใน
……………………………………….
ตอนที่ 191 อาวุธพุทธานุภาพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนผู้นั้นร้องโหยหวนขึ้นมาในทันที ร่างของเขากลายเป็นสายฝนกระหน่ำสาดลงบนพื้น
เมื่อขาดการควบคุมจากเจ้าของ แสงบนตัวอาวุธอาญาสิทธิ์สองชิ้นก็ดับลง และร่วงลงมาจากที่สูง
หลิ่วหมิงยื่นมือข้างหนึ่งออกไปดูดอาวุธอาญาสิทธิ์ทั้งสองชิ้นเข้ามา เขาเพียงแค่มองผ่านๆ ก็ค้นพบว่าเป็นแค่อาวุธอาญาสิทธิ์ระดับกลางทั่วไปเท่านั้น จากนั้นเขาก็ยัดมันเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน
หลิ่วหมิงกระตุ้นเมฆดำใต้เท้าเพื่อไปตรวจสอบศพสองศพนั้น แต่ค้นมาได้แค่หินจิตวิญญาณจำนวนเล็กน้อยกับยันต์ไม่กี่ผืน และก็ไม่มีของมีมูลค่าอะไรอื่นอีกเลย
มันไม่ได้ผิดไปจากที่เขาคาดการณ์ไว้
เพราะทั้งสองคนนี้อ่อนแอมาก อย่างมากก็เป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นเท่านั้น ถ้าพวกเขามีสิ่งของดีๆ คุ้มกันตัวล่ะก็ คงไม่ถูกเขาโจมตีอย่างง่ายดายเช่นนี้
หลิ่วหมิงเก็บของที่ค้นตัวมาได้ จากนั้นก็ขี่เมฆเหาะไปด้านหน้าต่อ
ครั้งนี้เขาเหาะออกไปสิบกว่าลี้ ก็มองเห็นยอดเขาสองลูกอยู่ติดกัน และแอ่งขนาดหมู่กว่าๆ ที่อยู่กลางระหว่างเขาทั้งสองลูก ล้วนถูกทะเลหมอกสีขาวพวยพุ่งปกคลุมเอาไว้ทั้งหมด
บริเวณรอบๆ ทะเลหมอกมีนักรบสวมชุดทะมัดทะแมงร้อยกว่าคนยืนอยู่อย่างหนาแน่น พวกเขากำลังใช้อาวุธฟันทะเลหมอกอย่างบ้าคลั่ง
ดาบในมือของคนเหล่านี้ต่างก็มีแสงเปล่งประกายอยู่จางๆ ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ฝึกปราณขั้นต่ำ
สถานที่ไกลออกไปหน่อย มีคนสามสิบถึงสี่สิบคนถือธนูและลูกธนูคอยระแวดระวังภัยอยู่
บนยอดเขาทั้งสองลูกมีเงาร่างคนเจ็ดแปดคนอยู่ที่นั่น พวกกำลังปล่อยลูกเปลวไฟ หรือคมวายุโจมตีทะเลหมอกอยู่ไม่หยุด
ทุกการโจมตีในแต่ละครั้ง ต่างก็ทำให้ทะเลหมอกลดขนาดลง และสลายไปเล็กน้อย เมื่อหลิ่วหมิงมาถึงที่นี่ทะเลหมอกก็บางเบาไปมากแล้ว จนกระทั่งสามารถมองเห็นคนที่ซ่อนอยู่ในนั้นอย่างรำไร
“ฮ่าๆ! สหายทั้งหลายใยต้องฝืนต่อไปด้วยเล่า! จะว่าไปแล้วพวกเราต่างก็ไม่มีความแค้นส่วนตัวกัน เพียงแค่ทำเพื่อเจ้านายของแต่ละฝ่ายเท่านั้น ถ้าตอนนี้ทุกท่านยอมรามือ และส่งสิ่งของประมูลทั้งหมดออกมา ข้าจะให้สหายทุกท่านไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย” เงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่ง ที่ลอยอยู่เหนือยอดเขาพลันหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
เจ้าของเงาร่างนี้เป็นผู้อาวุโสชุดคลุมสีเหลือง ใบหน้าเต็มไปด้วยกระสีดำ ด้านหลังสะพายกล่องไม้สีดำ
“ผู้อาวุโสหยางอย่าได้คิดฝันไปเลย ค่ายกลทองคำจตุรสัตว์นี้ เดิมทีก็มีชื่อเสียงในการป้องกันเป็นอย่างมาก พื้นที่คุ้มกันยิ่งเล็กลง พลังการปกป้องก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น คาดว่าเรื่องนี้พวกท่านเองก็คงรับรู้ได้ มิเช่นนั้นจะพูดคำพูดไร้สาระเหล่านี้ออกมาทำไม! ข้าเองก็จะไม่ปิดบังเจ้า ข่าวที่พวกเราถูกปิดล้อมถูกส่งไปจวนเฉียนเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนแล้ว คิดว่ากองกำลังสนับสนุนก็คงใกล้จะมาถึงแล้ว แต่ข้าขอเตือนเจ้าสักหนึ่งประโยค ถ้าหนีไปตอนนี้ยังทัน มิเช่นนั้นพอถึงเวลานั้นพวกเจ้าอยากจะหนีก็คงหนีไม่พ้น” น้ำเสียงเยือกเย็นของชายผู้หนึ่งดังออกมาจากกลางทะเลหมอก
“อะไรนะ! พวกเจ้าส่งข่าวไปเสวียนจิงแล้ว ฮึ! เจ้าคิดว่าพูดเช่นนี้แล้วข้าจะเชื่อหรือ ในเมื่อเตือนด้วยความหวังดีแต่เจ้าไม่ฟัง งั้นก็อย่าหาว่าข้าลงมือโหดเหี้ยมก็แล้วกัน” ผู้อาวุโสชุดเหลืองได้ยินในตอนแรกรู้สึกตกตะลึง แต่ต่อมาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และตบกล่องไม้สีดำตรงหลังทันที มีเสียงดังออกมาจากในนั้น จากนั้นมีดบินจำนวนสิบสามเล่มที่ยาวครึ่งฉื่อ และบางอย่างน่าประหลาดใจก็พุ่งออกมา มันกลายเป็นลำแสงเย็นสะท้านก่อนเข้าโจมตีทะเลหมอก
ศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา และต่างก็ค่อยๆ ทำท่ามือเพิ่มการโจมตีให้รุนแรงขึ้น
ไม่นานทะเลหมอกก็สั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าจะถูกทำลายในพริบตา
แต่ขณะนี้ หลิ่วหมิงก็ถูกผู้ฝึกปราณที่ระมัดระวังภัยเหล่านั้นค้นพบเข้าในที่สุด
มีคนส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปอย่างรวดเร็ว ที่เหลือก็ยิงธนูโจมตีหลิ่วหมิงอย่างไม่ลังเล
ลูกธนูจำนวนมากกลายเป็นลำแสงหลากสีพุ่งยิงเข้ามาด้วยเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ทำเสียงฮึดฮัด และทำท่ามือด้วยมือเพียงข้างเดียว ทันใดนั้นไอสีดำก็ม้วนออกจากร่างเขาทันที มันกลายเป็นหนวดสัมผัสขนาดเท่าปากถ้วยสิบกว่าเส้นโบกสะบัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง
ลูกธนูเหล่านั้นต่างก็ถูกหนวดสัมผัสปัดกระเด็นออกไป บางส่วนที่จมเข้าไปในนั้นก็ค่อยๆ ส่งเสียงดังออกมา หลังจากก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อีกเลย
ขณะนี้ หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียว และแสงสีเขียวเป็นจุดๆ ก็รวมตัวกันตรงหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากที่มันเปล่งประกายออกมา คมวายุเจ็ดแปดเส้นก็พุ่งยิงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังขึ้นตรงหน้าในทันที ผู้ฝึกปราณเจ็ดถึงแปดคนที่คอยระแวดระวังภัยเหล่านั้นถูกคมวายุฟันออกเป็นสองส่วน
คนที่เหลือเห็นเช่นนี้ ก็ตกใจจนพากันหนีไปยังยอดเขาทั้งสองอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งไปกว่านั้นมีคนส่งเสียงร้องออกมาว่า “ผู้อาวุโสหยาง ช่วยด้วย!”
ผู้ฝึกฝนบนยอดเขาก็ค้นพบความผิดปกติของด้านนี้ด้วยเช่นกัน มีคนสองคนรีบเหาะมาทางนี้อย่างรวดเร็ว และตะโกนออกมาไกลๆ “หยุดนะ!”
หลิ่วหมิงกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย นิ้วของเขาเคลื่อนไหวไปมาติดต่อกัน คมวายุสีเขียวพุ่งยิงออกไปอยู่ไม่หยุด และคมวายุแต่ละเส้นที่พุ่งออกไป ก็จะทำให้คนที่อยู่ด้านหน้าล้มลงไปคนหนึ่ง
พริบตาเดียว ผู้ฝึกปราณที่รับผิดชอบระวังภัยเหล่านี้ก็ถูกสังหารไปจนหมดสิ้น
ฉากอันน่าตกใจนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ที่เหาะเข้ามารู้สึกร้อนใจและโมโหเท่านั้น ผู้ฝึกปราณที่ถืออาวุธโจมตีทะเลหมอกอยู่ก็ตกใจจนค่อยๆ หยุดการโจมตีลง แล้วมองมาทางหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“สหายช่างลงมือเหี้ยมโหดจริงๆ ระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถสังหารคนไปได้มากขนาดนี้!” หนึ่งในสองคนที่เหาะมา ชายวันกลางคนรัดผมด้วยแถบสีทอง และมีใบหน้าแดงราวกับพุทราตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“ฮึ! ถ้าท่านเป็นคนมีใจเมตตาจริงๆ คงไม่มาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้หรอก ข้าไม่สนอย่างอื่น ตอนนี้ใครขวางทางข้า ข้าก็จะฆ่าคนนั้น พวกเจ้าจะยอมหลีกทางไปเอง หรือว่าให้ข้าลงมือ!” หลิ่วหมิงเหลือบมองชายผู้นี้ทีหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
“พูดจาโอหัง! ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเรือนร้อยวิญญาณจะมีคนอวดดีอย่างท่าน พี่เถียนไม่ต้องเกรงใจเขา พวกเราลงมือพร้อมกันเถอะ!” ชายหน้าแดงได้ยินก็รู้สึกโมโหขึ้นมา และหันไปกล่าวกับชายผอมแห้งข้างๆ ที่ดูเหมือนคนป่วย
“อย่าใจร้อนไป สหายมาถึงที่นี่ได้อย่างไร ระหว่างทางไม่มีคนสกัดเอาไว้หรอกหรือ?” ชายแซ่เถียนถามออกไปอย่างระแวดระวัง
“อ๋อ! เจ้าหมายถึงเจ้าของอาวุธอาญาสิทธิ์สองชิ้นนี้ล่ะสิ! พวกเขาทั้งสองแอบจู่โจมข้า ตอนนี้ถูกข้าฆ่าไปแล้ว!” หลิ่วหมิงได้ยิน ก็สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นง่ามบินกับมีดบินก็ลอยออกมาตรงหน้า และเขาก็กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“อะไรนะ! เจ้าฆ่าสหายจินทั้งสองไปแล้ว” พอชายแซ่เถียนที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟมาแต่เดิมได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปในทันที
“ฮึ! ที่แท้ก็ไม่ได้มาเล่นๆ ถึงแม้สหายจินทั้งสองจะเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้น แต่ไม่ทันได้ส่งข่าวก็ถูกฆ่าตายเสียแล้ว ดูท่าพลังของท่านคงจะไม่ธรรมดา พี่เฟิงระวังตัวหน่อย” พอชายผอมแห้งได้ยินก็มีสีหน้าไม่พอใจขึ้นมา จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อหยิบลูกประคำสีขาวขุ่นออกมาเส้นหนึ่ง
ชายแซ่เฟิงถอนหายใจยาวๆ แล้วถอยออกไปสองก้าว ขณะเดียวกันก็ตบถุงหนังบนเอวก่อนที่จะมีลูกกลมๆ สีฟ้าบินออกมาสองลูก
หลังจากมีเสียงกรอบแกรบดังออกมา มันก็กลายเป็นวิหคประหลาดสีฟ้าสองตัวที่มีขนาดใหญ่ฉื่อกว่าๆ มันมีหัวขนาดใหญ่ ลำตัวเล็ก มีปีกเล็กๆ อยู่ตรงหลังสี่ปีก
“หุ่นอสูร?”
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ตอนแรกเขาก็รู้สึกตกตะลึง แต่ก็ยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว
“ฮึ! หวังว่าอีกสักครู่ท่านจะยังคงยิ้มออกมาได้นะ”
พอชายแซ่เฟิงปล่อยหุ่นที่ตนเองภาคภูมิใจที่สุดออกไปแล้ว ความกล้าหาญของเขาก็เพิ่มขึ้นมา หลังจากที่พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นไปไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ทำท่ามือด้วยสองมือ และชี้ไปยังวิหคสีฟ้า
“ฟู่!” “ฟู่!”
หุ่นวิหคไม้สีฟ้าทั้งสองตัวกระพือปีกทั้งสี่ที่อยู่บนหลังของพวกมัน และกลายเป็นแสงสีฟ้าพุ่งขึ้นไป หลังจากที่หมุนวนไปหนึ่งรอบแล้ว ก็พุ่งยิงเข้าหาหลิ่วหมิง
ขณะเดียวกัน ทางด้านของชายแซ่เถียนก็ร่ายคาถา กระตุ้นพลังเวทย์ทั่วร่างแล้วส่งเข้าไปยังลูกประคำที่อยู่ในมือ
ลูกประคำทั้งเส้นเปล่งประกายแสงจ้าออกมา ขณะเดียวกันภายใต้เสียงทุ้มต่ำของภาษาสันสกฤตที่มาเป็นระลอกๆ อักขระเจ็ดสีแต่ละตัวก็พรั่งพรูกันออกมา มันสั่นสะเทือนก่อนจะพุ่งยิงมาหาหลิ่วหมิงราวกับสายฝนกระหน่ำ
“ที่แท้ก็เป็นอาวุธอาญาสิทธิ์ที่มีพุทธานุภาพแท้จริง มันเป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยมาก!”
หลิ่วหมิงไม่ค่อยสนใจวิหคไม่ทั้งสองตัวสักเท่าไหร่ แต่เขารู้สึกสนใจลูกประคำในมือของชายผอมแห้งเป็นอย่างมาก
มือเท้าของเขาไม่ได้เคลื่อนไหว แต่หนวดสัมผัสสีดำบนตัวเขากลับโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง และกลายเป็นเงาสีดำปกป้องเขาไว้อย่างแน่นหนา
ครู่ต่อมา อักขระเจ็ดสีเหล่านั้นก็โจมตีหนวดสัมผัสสีดำราวกับฝนตกกระทบรั้วไม้ไผ่ และกระเบิดออกมาเป็นกลายเป็นกลุ่มแสงที่หนาแน่น พริบตาเดียวกก็ทำให้หนวดสัมผัสเกือบครึ่งหนึ่งสลายไป
แต่หลิ่วหมิงเพียงแค่กระตุกหางคิ้ว ไอสีดำบนตัวก็พวยพุ่งออกมา หนวดสัมผัสสีดำออกมามากกว่าเดิม และต้านทานการโจมตีที่มาจากด้านหลังของเขาได้
วิหคไม้สีฟ้าสองตัวพุ่งมาด้านหน้าเขาราวกับลูกธนู มันไม่หยุดนิ่งเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหมุนวนรอบหลิ่วหมิงด้วยความเร็วที่น่ากลัว ขณะเดียวกันมันก็อ้าปากพ่นศรวารีออกมาจำนวนมาก และกลายเป็นเส้นสีขาวพุ่งยิงออกไป
แต่พอหุ่นวิหคไม้ทั้งสองเข้าร่วมการโจมตีนี้ หลิ่วหมิงที่ถูกหนวดสัมผัสสีดำคุ้มกันอยู่ก็ได้ลงมือแล้ว
พอเขาประกบฝ่ามือทั้งสองเข้าหากัน และแยกออกจากกันอีกครั้ง คมวายุยักษ์สีเขียวยาวครึ่งจั้งก็ปรากฏออกมา เมื่อเขาสะบัดข้อมือ คมวายุยักษ์ก็กลายเป็นเส้นสีเขียว และหายวับไปด้านหน้า
ครู่ต่อมา ชายแซ่เฟิงที่กำลังกระตุ้นหุ่นวิหคไม้ทั้งสองเพื่อโจมตีจากที่ไกลๆ ก็รู้สึกแค่ว่ามีแสงสีเขียวเปล่งประกายขึ้นตรงหน้า จากนั้นแสงที่ปกป้องเขาอยู่ก็ถูกสิ่งของบางอย่างฟันเข้าจนแตกกระจาย ขณะเดียวกันก็รู้สึกเย็นๆ บริเวณเอว
เขากำลังจะก้มมองด้วยความตกใจ แต่ร่างกายส่วนล่างของเขาก็ร่วงหล่นลงไปแล้ว
ชายแซ่เฟิงร้องเสียงดังออกมา จากนั้นก็ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ อีก
วิหคไม้สีฟ้าที่บนวนโจมตีหลิ่วหมิง ก็หยุดชะงักในทันที และลอยอยู่ในอากาศอย่างเงียบๆ
อีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนว่าชายผอมแห้งที่ยังคงกระตุ้นลูกประคำในมือ แทบจะไม่อยากเชื่อฉากเหตุการณ์ที่ปรากฏตรงหน้า
ถึงแม้พลังของชายแซ่เฟิงจะอ่อนกว่าเขาเล็กน้อย แต่ถ้าจะบอกว่าถูกฆ่าตายไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงเป็นอย่างมาก
และหากผู้ที่มีพลังน่ากลัวเช่นนี้ ใช้วิธีเดียวกันจัดการกับเขาล่ะก็ เขาก็ไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถต้านทานได้ทัน
ภายใต้ความตกใจ ชายร่างผอมก็คำรามเสียงออกมา ทันใดนั้นเขาก็ดึงลูกประคำจนขาดออกจากกัน ขณะเดียวกันมือทั้งสองก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ปากก็เริ่มร่ายคาถาออกมา
ลูกประคำเหล่านี้กลายเป็นอักขระขนาดใหญ่หมุนวนรอบตัวเขาหนึ่งรอบ จากนั้นมันก็รวมตัวกันเป็นม่านแสงเจ็ดสีหนึ่งชั้น และปกคลุมร่างเขาไว้
……………………………………….
ตอนที่ 192 ขับไล่ศัตรู
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงมองฉากนี้จากที่ไกลๆ และขยับตัวเพียงไม่กี่ที ก็อยู่ห่างจากชายผอมแห้งไม่กี่จั้งแล้ว
ชายผอมแห้งเพิ่งจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ บนยอดเขา แต่พอเห็นฉากนี้ก็รู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้ แต่ก็ตัดสินใจกล่าวออกมาอย่างเย็นยะเยือก
“การป้องกันตัวของข้านี้ ต่อให้ใช้อาวุธจิตวิญญาณโจมตี ก็ใช่ว่าจะสามารถทำลายได้อย่างรวดเร็ว ต่อให้เจ้ามีฝีมือสูงส่งก็ทำอะไรข้าไม่ได้”
ในเวลานี้ เงาร่างบนยอดเขาก็เคลื่อนไหว ศิษย์จิตวิญญาณที่เหลือต่างก็หยุดโจมตีทะเลหมอก และผู้อาวุโสหน้าตกกระก็เหาะนำคนอื่นๆ มายังด้านนี้
หลิ่วหมิงเพียงแค่ยิ้มบางๆ และวาดมือข้างหนึ่งไปยังอากาศตรงหน้าทันที “ฟู่!” แสงสีแดงปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาเป็นจุดๆ และรวมตัวกันเป็นลูกเปลวไฟสีแดงลูกหนึ่ง ภายในอึดใจเดียวมันก็ขยายขนาดจนใหญ่เท่าอ่างล้างหน้า จากนั้นก็พุ่งเข้าหาม่านแสงเจ็ดสีอย่างรุนแรง ส่วนตนเองก็ตีลังการ่นถอยออกไปในพริบตา
“วิชากระสุนไฟขั้นสมบูรณ์แบบ!”
ชายผอมแห้งเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่ออยู่ในม่านแสงทำให้เขายากที่จะหลบหนีได้ เขาทำได้เพียงแต่คำรามออกมาด้วยความโมโห และอ้าปากพ่นโลหิตไปยังม่านแสงตรงหน้า
โลหิตเป็นสายๆ โผล่ออกมาในม่านแสงเป็นจำนวนมาก
“ตู๊ม!”
ลูกเปลวไฟขนาดใหญ่ปะทะลงบนม่านแสง และระเบิดเสียงดังก้องออกมาในทันที เปลวไฟอันคุโชนเผาไหม้ทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมีหลายจั้งภายในพริบตา ไอร้อนระอุม้วนตัวไปทั่วทิศ
ผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ ที่รีบเร่งเหาะเข้ามา ต่างก็ชะลอตัวลงเมื่อได้เห็นฉากนี้
ผ่านไปไม่นาน เปลวไฟในอากาศก็ดับไปจนหมดสิ้น เผยให้เห็นม่านแสงเจ็ดสีที่บางเบาเป็นอย่างมาก และมีแสงเปล่งประกายเพียงเล็กน้อย ราวกับว่ามันจะแตกออกมาได้ตลอดเวลา
ใบหน้าชายผอมแห้งซีดขาวจนถึงที่สุด แต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย และพอเขาเห็นว่าตนเองไม่เป็นอะไรก็รวบรวมสติได้ และหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆ! ที่แท้ก็ไม่เป็นอะไร ต่อให้จะเป็นวิชากระสุนไฟขั้นสมบูรณ์แบบ ก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้”
แต่พอเขาเอ่ยคำพูดนี้ออกไป ก็พลันมีแสงสีเขียวเปล่งประกายขึ้นตรงหน้า ปราณกระบี่อันหนาแน่นสายหนึ่งฟันเข้ามาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ม่านแสงเจ็ดสีส่งเสียงดังเปรี๊ยะ! แล้วก็แตกกระจายเป็นจุดแสงเล็กๆ
ชายผอมแห้งร้องออกมาด้วยความตกใจ และคิดที่จะแสดงวิชาเพื่อหลบหลีก แต่มันก็ไม่ทันแล้ว
เห็นเพียงแค่แสงเย็นสะท้านม้วนตัวผ่านต้นคอ จากนั้นศีรษะของเขาก็ร่วงลงไป
ขณะนี้ หลิ่วหมิงก็เรียกกระบี่จันทราหยกกลับมา และจ้องมองศิษย์จิตวิญญาณอีกห้าคนที่เหาะมาไกลๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา
ส่วนผู้ฝึกปราณธรรมดาเกือบร้อยคนนั้น ต่างก็ตกใจจนถอยห่างไปตั้งนานแล้ว ซึ่งพวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้ฝั่งนี้เลยแม้แต่น้อย
“วิชากระสุนไฟขั้นสมบูรณ์แบบ! ฝีมือยอดเยี่ยมจริงๆ ท่านเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย อาวุธที่ใช้ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า เรือนร้อยวิญญาณยังมีแขกที่ฝีมือร้ายกาจอย่างท่าน” พอศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ เห็นชายร่างผอม และชายอีกคนถูกฆ่าตายภายในอึดใจเดียวแล้ว พวกเขาก็แสดงความลังเลและความหวาดกลัวออกมา มีแค่ผู้อาวุโสหน้าตกกระเท่านั้นที่ไม่รู้สึกสะทกสะท้าน และค่อยๆ ถามออกไป
“ข้าเพิ่งเข้าร่วมเรือนร้อยวิญญาณได้ไม่นาน ดูจากท่าทีของสหายแล้ว คงไม่คิดที่จะหลีกทางให้ และคงต้องการต่อสู้ต่อ” หลิ่วหมิงตอบด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
“ฮึ! ในเมื่อท่านโผล่มาที่นี่ได้ แสดงสหายจินที่ส่งข่าวอยู่ข้างนอกก็คงจะไม่รอดแล้ว ภายในระยะเวลาสั้นๆ คนของพวกข้าทั้งสี่คนต่างก็ถูกฆ่าตายไปจนหมด ท่านคิดว่าข้าจะยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ หรือ?” ผู้อาวุโสหน้าตกกระได้ยินเช่นกลับรู้สึกโมโหจนถึงขีดสุด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องลงมือสินะ ไม่ทราบว่าสหายคิดที่จะต่อสู้แบบตัวต่อตัว หรือเข้ามาพร้อมกันเลย? ข้าดูออกว่าสหายก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเหมือนกัน คงจะมั่นใจในฝีมือของตนเองบ้างล่ะ!” หลิ่วหมิงจ้องมองผู้อาวุโสหน้าตกกระอยู่ครู่หนึ่ง และยิ้มอย่างเยือกเย็น
“พวกข้าทั้งหมดรุมต่อสู้กับเจ้าเพียงคนเดียว?” ตอนแรกผู้อาวุโสหน้าตกกระรู้สึกตะลึงงัน จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหมดจะรุมข้าเพียงคนเดียว ข้าก็จำเป็นต้องเรียกผู้ช่วยมาคนหนึ่ง” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นก็ตบถุงหนังบนเอว ทันใดนั้นไอสีดำก็ม้วนตัวออกมา หลังจากที่มันพวยพุ่งรวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นแมงป่องกระดูกขนาดยาวหลายฉื่อ
แมงป่องตนนี้เพียงแค่ขยับก้ามหน้าทั้งสองเบาๆ หมอกสีม่วงก็พุ่งออกมาตรงหน้า ขณะเดียวกันหางตะขอแหลมยาวตรงด้านหลังก็สะบัดไปมาจนกลายเป็นเงาทับซ้อน และส่งเสียงแหลมบาดแก้วหู
ฉากนี้ไม่เพียงแต่จะให้ศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ หน้าซีดเท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสหน้าตกกระก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
ลำพังแค่ท่าทีอันดุร้ายของแมงป่องกระดูก ใครเห็นเข้าก็รู้ว่าไม่ควรไปยุแหย่มันอย่างเด็ดขาด
“คิดไม่ถึงว่าสหายจะยังมีอสูรจิตวิญญาณอยู่ข้างกาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าท่านสามารถรับการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของข้าได้หนึ่งครั้ง และไม่เป็นอะไร ข้าก็จะพาคนทั้งหมดไปจากที่นี่ในทันที” ผู้อาวุโสหน้าตกกระมีสีหน้าเปลี่ยนไปมา ในที่สุดก็ตัดสินใจกล่าวออกมาเช่นนี้
“โจมตีหนึ่งครั้ง! เฮ่อๆ! ไม่มีปัญหา สหายลงมือเถอะ” หลิ่วหมิงหัวเราะและกล่าวออกมา
“ฮึ! ท่านระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน!”
ผู้อาสุโสหน้าตกกระเห็นเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกโมโหมากขึ้นกว่าเดิม เขาตบกล่องไม้สีดำบนหลังอย่างไม่เกรงใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังกังวานออกมา มีดเย็นสะท้านสามสิบสองเล่มบินออกมาในทันที และหมุนวนอยู่รอบตัวเขา
“อาวุธจิตวิญญาณครบชุด! มันเป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยมาก มิน่าล่ะ! สหายถึงได้มั่นใจถึงเพียงนี้”
พอหลิ่วหมิงเห็นมีดบางเย็นสะท้านทั้งสิบสามเล่มอย่างชัดเจน ก็พูดออกมาด้วยความแปลกใจ แต่ก็โยนกระบี่สั้นสีเขียวไปยังด้านหน้า และทำท่ามือชี้ไปที่มัน
กระบี่สั้นหมุนติ้วๆ ไปรอบหนึ่ง และเงากระบี่สีเขียวจำนวนมากก็โผล่ออกมา หลังจากที่มันขยายใหญ่ขึ้น มันก็กลายเป็นจันทรากลมสีเขียวสลัวๆ และบังอยู่ด้านหน้าหลิ่วหมิง
ผู้อาวุโสหน้าตกกระเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่สองมือก็ทำท่ามือและร่ายคาถาอยู่ไม่หยุด
ช่วงอึดใจนั้น มีดบินทั้งสิบสามเล่มได้เปล่งประกายแสงออกมา และภายใต้การสั่นไหว มันก็รวมกันเป็นเส้นตรงเย็นสะท้าน จากนั้นก็พุ่งยิงมายังด้านหน้าหลิ่วหมิง
บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
มีดบินทั้งสิบสามเล่มกลายเป็นอสรพิษสีขาวตัวหนึ่ง มันสั่นหัวกระดิกหางทิ่มไปยังใจกลางจันทรากลม
ได้ยินเพียงเสียงดัง “เต๊งๆ!” หลังจากที่แสงสีเขียวทักถอกันไปมา อสรพิษยักษ์ก็สลายไปในพริบตา มีดบินทั้งสิบสามเล่มก็พากันกระเด็นออกไป
พื้นผิวของจันทรากลมสีเขียวสั่นกระเพื่อมไปทีหนึ่ง แล้วก็พร่ามัวกลับมาเป็นกระบี่สั้นสีเขียวดังเดิม
พอผู้อาวุโสหน้าตกกระยื่นมือข้างหนึ่งออกไป มีดบินทั้งสิบสามเล่มก็พุ่งกลับมาในพริบตา เมื่อเขากวาดสายตามองมีดบินแล้ว ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมาทันที จากนั้นก็หมุนตัวเหาะจากไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมาเลย
ศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่หลังจากที่มองหน้ากันแล้ว ก็รีบเหาะตามไปทันที
ผู้ฝึกปราณเกือบร้อยคนบนพื้น ต่างก็วิ่งโกยแนบตามผู้ฝึกฝนบนอากาศไป
“สหายผู้นี้ฉลาดยิ่งนัก มิเช่นนั้นถ้ารออีกสักนิด คงไม่อาจดอดหนีไปได้ง่ายเช่นนี้” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ได้ไล่ตามไป แต่กลับส่ายหน้าแล้วพูดกับตัวเอง
ตอนนี้เขาถึงหันไปมองทะเลหมอกกลุ่มนั้น
……
“ผู้อาวุโสหยาง พวกเราจะถอยไปเช่นนี้จริงๆ หรือ แล้วเราจะกลับไปอธิบายความกับองค์ชายเก้าว่าอย่างไร เพราะองค์ชายเก้าให้ความสำคัญกับการกระทำในครั้งนี้มาก” พอชายฉกรรจ์หน้าดำอายุราวๆ สามสิบกว่าปีกระตุ้นเมฆเทามาอยู่ข้างผู้อาวุโสหน้าตกกระแล้ว ก็เค้นเสียงต่ำถามออกไป
“ถ้าไม่หนีล่ะก็ เจ้าคิดที่ให้ข้าแลกชีวิตกับคนผู้นี้หรือ? หรือว่าพวกเจ้าจะมีใครยอมไปก่อกวนเขา เพื่อที่ข้าจะได้มีเวลาไปทำลายค่ายกล? อีกอย่างค่ายกลทองคำจตุรสัตว์ก็ไม่สามารถทำลายได้ง่ายขนาดนั้น ถ้าพวกเราอยู่ที่นั่นต่อ กองหนุนของฝ่ายตรงข้ามก็ยิ่งมาเพิ่มมากขึ้น พอถึงเวลานั้นถ้าอยากจะหนีก็เกรงว่าคงไม่สามารถหนีได้แล้ว! และคนผู้นี้ก็เก่งกาจกว่าที่พวกเราคิดไว้มาก ต่อให้ข้าใช้พลังทั้งหมดก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” ผู้อาวุโสหน้าตกกระเหลือบมองชายฉกรรจ์หน้าดำทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“ผู้อาวุโสหยางล้อข้าเล่นแล้ว ถึงแม้การโจมตีเมื่อครู่จะไม่ได้ผล แต่ฝีมือของท่านก็ไม่ใช่มีเพียงแค่นี้ ลำพังแค่ดูจากอายุของฝ่ายตรงข้าม ถึงแม้จะฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย แต่พลังเวทย์ของเขาจะมีมากกว่าของท่านได้อย่างไร” ชายฉกรรจ์หน้าดำได้ยินเช่นนี้ก็รีบยิ้มเข้าสู้และกล่าวออกมา
“ฮึ! เจ้าจะรู้อะไร ดูมีดหางนกนางแอ่นเล่มนี้ของข้าก่อนแล้วค่อยพูดเช่นนี้เถอะ!” ผู้อาวุโสกลับทำเสียงฮึดฮัดแล้วยื่นมือหยิบมีดบินจากกล่องไม้ด้านหลังมาให้ชายฉกรรจ์ดู
“นี่คือ……” ชายฉกรรจ์หน้าดำมองดูมีดบินแล้วก็รู้สึกเสียวสะท้านในใจ
บนขอบมีดสั้นเล่มนั้นมีรอยบิ่นขนาดเท่าเม็ดถั่ว
“ตอนนี้เข้าใจหรือยัง? ฝ่ายตรงข้ามไม่เพียงแต่มีระดับการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น กระบี่สั้นในมือเล่มนั้นต้องเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางอย่างแน่นอน ต่อให้ข้าสามารถใช้พลังเวทย์รับมือกับคนผู้นี้ได้ แต่มีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนว่า จะไม่สามารถรักษามีดหางนกนางแอ่นชุดนี้ไว้ได้” ผู้อาวุโสหน้าตกกระกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ที่แท้ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง? ปกติแล้วต้องระดับอาจารย์จิตวิญญาณถึงจะมีได้ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะมีของล้ำค่าเช่นนี้! ถ้าเมื่อครู่พวกเราร่วมมือกันล่ะก็ จะสามารถ……” ชายฉกรรจ์หน้าดำพูดพึมพำเบาๆ ความละโมบได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่ก็อย่าได้คิดเลย คนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีพลังแข็งแกร่ง กลิ่นไอของอสูรจิตวิญญาณข้างตัวเขาก็น่าตกใจเป็นอย่างมาก ต่อให้พวกเราล้อมโจมตีก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ สิ่งที่พวกเราต้องทำในตอนนี้ก็คือรายงานองค์ชายเก้าว่า มีศิษย์จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งมาปรากฏตัวอยู่ฝ่ายเดียวกับศัตรู เพื่อดูว่าเขาเป็นแขกเรือนร้อยวิญญาณจริงๆ หรือคนของอ๋องสามกันแน่ อยู่ๆ ก็มีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งโผล่มาเช่นนี้ องค์ชายเก้าคงไม่ตำหนิพวกเรามากนัก” ผู้อาวุโสหน้าตกกระหยุดคำพูดของชายฉกรรจ์หน้าดำอย่างไม่ลังเล
“ผู้อาวุโสหยางสอนได้ถูกต้อง เมื่อครู่ข้าน้อยคิดเพ้อเจ้อไปเอง” ชายฉกรรจ์หน้าดำได้ยินก็สะดุ้งโหยงขึ้นมา และรีบกุมกำปั้นไว้ด้านหน้าก่อนที่จะกล่าวอย่างระมัดระวัง
ผู้อาวุโสหน้าตกกระพยักหน้าแล้วเก็บมีดสั้นเข้าไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมา จากนั้นก็เหาะไปด้านหน้าต่อ
……
พอหลิ่วหมิงยื่นมือข้างหนึ่งออกไป หุ่นวิหคไม้สีฟ้าสองตัวก็ถูกดูดเข้ามาด้านหน้า หลังจากที่ตรวจสอบดูเล็กน้อยแล้ว ก็ตบปุ่มนูนๆ ที่อยู่บนหลังของมันทั้งสองตัว
หลังจากมีเสียงดังกรอบแกรบ หุ่นวิหคไม้ทั้งสองก็คืนกลับมาเป็นลูกกลมๆ สีฟ้าสองลูกดังเดิม
หลิ่วหมิงค่อยๆ ยิ้มออกมาพร้อมกับเก็บลูกกลมๆ ทั้งสองลูกเข้าไป และขณะที่กำลังจะไปสำรวจดูศพของชายทั้งสองคนนั้น ทะเลหมอกที่อยู่ไกลๆ ก็สลายออกในทันที ผู้คนเดินออกมาจากในนั้นอย่างระมัดระวัง
……………………………………….
ตอนที่ 193 ชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วเสวียนจิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็กวาดตามองคนผู้นี้ทีหนึ่ง แล้วคว้ามือข้างหนึ่งดูดลูกประคำที่ยังเปล่งประกายแสงสีขาวจางๆ มาไว้ในมือ จากนั้นก็ค้นตัวศพไร้ศีรษะจนได้หินจิตวิญญาณกับโอสถต่างๆ มาจำนวนหนึ่ง และเก็บมันไว้ในอกของตนเองอย่างไม่เกรงใจ
คนที่เดินออกจากทะเลหมอกค่อยๆ มองดูรอบด้าน พอเห็นว่าไม่มีเงาร่างของคนอื่นอยู่แล้วถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา จากนั้นก็ยกมือร่ายคาถาใส่ทะเลหมอกด้านหลังอย่างรวดเร็ว และมองดูหลิ่วหมิงจากที่ไกลๆ ด้วยสายตาเคารพยำเกรง พร้อมกับป้องมือคารวะแล้วถามออกไป
“ขอบคุณสหายที่ยื่นมือเข้าช่วย ไม่ทราบว่าสหายใช่คนของอ๋องสามหรือไม่?”
คนผู้นี้อายุราวๆ สี่สิบกว่าปี สวมชุดทะมัดทะแมง สะพายดาบยาวหนึ่งเล่ม แลดูฉลาดหลักแหลม
“อ๋องสามหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน หรือสหายไม่ได้ยินที่ข้าพูดกับพวกเขา? ข้ามีนามว่าเฉียนหมิง เป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณ แต่เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน ข้ารับคำสั่งจากเถ้าแก่เฉียนให้มาช่วย แต่อีกไม่นานคนของอ๋องสามก็คงจะมาถึงแล้ว” ขณะนี้หลิ่วหมิงได้ค้นตัวศพไปจนหมดแล้ว และลุกขึ้นมากล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“อะไรนะ! พี่เฉียนเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณ ข้าคิดว่าก่อนหน้านั้นท่านแค่ตบตาพวกเขา ข้าไป๋ชิงไห่ เป็นแขกเรือนร้อยวิญญาณเช่นกัน แต่อยู่ที่สาขาย่อยมาโดยตลอด” ชายผู้นี้ได้ยินก็มองมาที่หลิ่วหมิงแล้วกล่าวด้วยความดีใจ
“อ๋อ! ที่แท้ก็คือสหายไป๋ ไม่ทราบว่าสหายท่านอื่นเป็นอย่างไรบ้าง สิ่งของที่คุ้มกันนำส่งมาไม่มีปัญหาใช่ไหม?” หลิ่วหมิงพยักหน้าและตอบรับด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ! ท่านเฉียนไม่ต้องกังวล ของประมูลถูกพวกข้าทั้งหลายพกติดตัว ดังนั้นย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน เพียงแต่สหายท่านอื่นๆ ควบคุมค่ายกลจนสูญเสียพลังเวทย์ไปมาก จำเป็นต้องนั่งพักผ่อนสักระยะ จึงไม่สามารถออกมาพบพี่เฉียนได้ในทันที”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว รออยู่ที่นี่สักครู่เถอะ!”
ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะพูดจาอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่แอบแฝงด้วยความระมัดระวัง แน่นอนว่าเขาก็ฟังออก จึงกล่าวออกมาด้วยความเก้อเขินในทันที
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก! ฝ่ายตรงข้ามไม่เคยเห็นเขามาก่อน ย่อมไม่กล้าเปิดค่ายกลเพียงเพราะคำพูดของเขาเพียงฝ่ายเดียว และยอมให้เขาเข้าไปในนั้น
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงกับไป๋ชิงไห่ผู้นี้ก็นั่งขัดสมาธิอยู่นอกค่ายกล และคุยกันเล่นเล็กน้อย
พอไป๋ชิงไห่เห็นว่าหลิ่วหมิงไม่คิดจะบุกเข้าไปในค่ายกล ก็มีความเชื่อมั่นในตัวเขาขึ้นมาแปดถึงเก้าส่วน บวกกับที่ได้เห็นหลิ่วหมิงแสดงอานุภาพในตอนที่เขาอยู่ในค่ายกล ซึ่งสามารถฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งได้ด้วยตัวคนเดียว และสามารถขับไล่ผู้อาวุโสหน้าตกกระไปได้ สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้จิตใจเขาเต็มไปด้วยรู้สึกเคารพและยำเกรง จนหายข้องใจในตัวเขาเกือบหมดสิ้น
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้ว่า ก่อนหน้านั้นกองทหารที่คุ้มกันนำส่งของประมูลของเรือนร้อยวิญญาณเหล่านี้ ถูกผู้ฝึกปราณที่แอบซุ่มอยู่สองข้างถนนสายหลัก ใช้ธนูโจมตีไปแล้วรอบหนึ่ง จนหน่วยเงาปีศาจของเหล่านี้ถูกฆ่าไปเกินกว่าครึ่ง หลังจากนั้นผู้อาวุโสหน้าตกกระถึงพาศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ มาปรากฏตัวบนอากาศ และจู่โจมอย่างกะทันหัน
ผู้ฝึกฝนของฝ่ายตรงข้ามมีมากถึงเพียงนี้ ทางฝ่ายของพวกเขามีศิษย์จิตวิญญาณแค่สี่คน ย่อมไม่อาจต้านทานได้ ทำได้เพียงแต่พาคนที่เหลือถอยไปยังถนนข้างหนึ่ง
จนสามารถหลบนี้มายังสถานที่นี้ที่พอจะตั้งค่ายกลได้ คนทั้งสี่ใช้ธงค่ายกลชุดหนึ่งที่เป็นของประมูล มาตั้งเป็นค่ายกลทองคำจตุสัตว์ด้วยความรวดเร็ว
แต่ขณะนั้น คนของพวกเขาต่างก็ได้รับบาดเจ็บหลายคน หน่วยเงาปีศาจที่เหลือก็ถูกฆ่าตายไปจนหมดสิ้น
“ไม่เห็นมีศพในตอนที่ข้าผ่านมาเลย คิดว่าคงถูกพวกเขาจัดการไปหมดแล้ว ใช่สิ! ฟังจากคำพูดของสหายไป๋ ท่านคงรู้สถานะที่แน่ชัดของคนเหล่านี้แล้ว พวกเขาใช่คนของหอรวมสมบัติหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามด้วยความสงสัย
“ใยต้องยืนยันด้วยเล่า? หยางคุนผู้นี้เป็นปีกที่แข็งแกร่งที่สุดขององค์ชายเก้า คนอื่นๆ ต่างก็เป็นคนข้างกายองค์ชายเก้า” ไป๋ชิงไห่ได้ยินก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! สหายไป๋ใยต้องเศร้าใจไปเล่า อย่างไรซะสิ่งของประมูลเหล่านี้ต่างก็ได้รับการคุ้มครองแล้ว อีกอย่างครั้งนี้พวกเขาเสียศิษย์จิตวิญญาณไปสี่คน ก็นับว่าสูญเสียไปไม่ใช่น้อย” หลิ่วหมิงหัวเราะฮาๆ แล้วกล่าวออกมา
“พี่เฉียนกล่าวได้ถูกต้อง ครั้งนี้องค์ชายเก้ากับหอรวมสมบัติได้สูญเสียไปไม่น้อย เชื่อว่าการสูญเสียนี้จะทำให้พวกเขาอยู่เงียบๆ ไปอีกนาน” ไอสีขาวในทะเลหมอกพวยพุ่งออกมา ผู้อาวุโสหน้ารูปสี่เหลี่ยม อายุราวๆ หกสิบกว่าปีเดินออกมาจากในนั้น และคารวะหลิ่วหมิงก่อนกล่าวออกมา
“ข้าขอแนะนำสักหน่อย ท่านนี้คือสหายซุนอิ๋น มีสถานะเหมือนกับผู้อาวุโสเหมี่ยน เป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งของเถ้าแก่เฉียน” พอไป๋ชิงไห่เห็นชายหน้าเหลี่ยม ก็รีบแนะนำด้วยความดีใจ
“ที่แท้สหายซุนก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเหมือนกัน มิน่าละ! ถึงเอาตัวรอดจากการโจมตีของคนจำนวนมากขนาดนี้ได้” หลิ่วมองผู้อาวุโสอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มบางๆ
“เฮ่อๆ! ความสามารถอันน้อยนิดของข้านี้ ไหนเลยจะกล้าแสดงออกต่อหน้าสหายเฉียนได้ อานุภาพที่สหายแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ ข้าก็ได้เห็นหมดแล้ว ข้ายังห่างชั้นจากท่านมากนัก” ซุนอิ๋นโบกมือกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงค่อยๆ ยิ้มออกมา และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับมีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ เรือเหาะสีเทาลำหนึ่งกำลังเหาะเข้ามา
ไป๋ชิงไห่จ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นก็กล่าวด้วยความดีใจ
“คนของอ๋องสาม!”
“ฮึ! พวกเขามาช้าขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าพี่เฉียนมาทันเวลา พวกเราอาจไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้” ซุนอิ๋นกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ขณะนี้เรือเหาะสีเทาได้เหาะเข้ามาใกล้พวกเขา หลังจากมีเงาร่างเคลื่อนไหว ชายหญิงคู่หนึ่งก็กระโดดลงจากบนนั้น ทหารสวมชุดทะมัดทะแมงยี่สิบกว่าคนกระโดดตามลงมา แต่ละคนถือดาบสะพายธนู ท่าทางคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก
“เอ๋! พี่ซุน พวกท่านปลอดภัยแล้ว ไอ้โจรปล้นสะดมเหล่านั้นล่ะ?” ชายฉกรรจ์ที่โดดลงจากเรือเหาะมีหนวดงอโง้ง หน้าตาอัปลักษณ์ พอเขาเห็นว่าซุนอิ๋นและคนอื่นๆ ปลอดภัย ก็อดที่จะถามออกมาด้วยความแปลกใจไม่ได้
“สหายหมิ่น พวกเจ้ามาช้าไป เจ้าเฒ่าหยางคุนกับคนอื่นๆ ถูกสหายเฉียนขับไล่ไปแล้ว ท่านทั้งสองมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ!” ซุนอิ๋นกล่าวอย่างราบเรียบ
“อะไรนะ! เจ้าเฒ่าหยางคุนก็มาด้วย และยังถูกขับไล่ไปอีก? เป็นไปได้อย่างไร” ชายฉกรรจ์หน้าอัปลักษณ์ได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขาแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ และสายตาเขาก็มองไปที่หลิ่วหมิงอย่างอดไม่ได้
เพราะคนที่อยู่ตรงนี้ มีแค่หลิ่วหมิงที่เป็นคนแปลกหน้ามากที่สุด และก่อนออกเดินทาง เถ้าแก่เฉียนก็เคยพูดกับเขาว่า ได้ส่งแขกเรือนร้อยวิญญาณล่วงหน้าไปคนหนึ่งแล้ว ซึ่งดูเหมือนจะแซ่เฉียนซะด้วย
ผู้หญิงที่กระโดดลงมาพร้อมกับเขา เป็นหญิงสาวอายุราวๆ สิบสี่สิบห้าปี ดวงตารูปกลีบดอกท้อนั้นใสแป๋ว บวกกับรูปร่างที่สมส่วน ทำให้ดูสวยหยาดเยิ้มเป็นอย่างมาก หลังจากที่นางได้ยินคำพูดของซุนอิ๋น ก็แสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมาเช่นกัน
“ข้าเฉียนหมิง โจรที่ลงมือในก่อนหน้านั้นล่าถอยไปแล้วจริงๆ” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าปกติ
“สหายเฉียนเพียงคนเดียวโจมตีจนพวกมันล่าถอยจริงหรือ?” ชายฉกรรจ์หน้าอัปลักษณ์พินิจดูหลิ่วหมิงสองสามที ความลังเลได้แสดงออกบนใบหน้าเขา
“เฮ่อๆ! ถ้าสหายหมิ่นสามารถฆ่าศิษย์จิตวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามได้ถึงสี่คนภายในอึดใจเดียว และรับการโจมตีจากมีดหางนกนางแอ่นทั้งสิบสามเล่มของเจ้าเฒ่าหยางได้อย่างสบายๆ ล่ะก็ เกรงว่าคงจะทำให้พวกมันหวาดกลัวจนล่าถอยไปได้เช่นกัน” ซุนอิ๋นกล่าวอย่างสบายๆ
แต่คำพูดของเขาทำให้ชายหญิงคู่นี้ตกใจเป็นอย่างมาก
“พวกเขายอมถอยไปเอง คงคิดว่าไม่สามารถทำลายค่ายกลได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ จึงไม่คิดที่จะอยู่ต่อ ข้าแค่ออกแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าว
พอชายฉกรรจ์หน้าอัปลักษณ์กับหญิงสาวได้ยินเช่นนี้ ต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
“เอาล่ะ! ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ต้องขอบคุณสหายทุกท่าน คนอื่นๆ คงจะฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว ข้าจะให้พวกเขาเก็บค่ายกลก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆ กลับไปเสวียนจิงแล้วค่อยว่ากันต่อ” ซุนอิ๋นหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
ชายฉกรรจ์หน้าอัปลักษณ์ หญิงสาว และหลิ่วหมิงต่างก็ไม่คิดที่จะคัดค้านใดๆ
จากนั้นซุนอิ๋นก็หมุนตัวทำท่ามือด้วยมือเดียว แล้วเดินเข้าทะเลหมอกสีขาวอีกครั้ง
ผ่านไปไม่นาน ทะเลหมอกก็เกิดคลื่นผันผวน ไอหมอกสีขาวค่อยๆ ม้วนหดตัวลง ครู่เดียวก็ปรากฏร่างชายสองคนกำลังนั่งขัดสมาธิ และโบกธงค่ายกลในมืออยู่ไม่หยุด
……
ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็กลับถึงจวนเฉียนที่อยู่ในเสวียนจิง พอเถ้าแก่เฉียนเห็นทุกคนปลอดภัย ก็ยิ้มด้วยความดีใจ
เมื่อเขาได้ยินว่าในระยะที่เกิดวิกฤติการณ์ หลิ่วหมิงฆ่าศิษย์จิตวิญญาณฝ่ายตรงข้ามไปสี่คนเพียงลำพัง และยังทำให้คนอื่นตกใจจนต้องล่าถอยไป เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกตกใจระคนดีใจ และกล่าวขอบคุณอยู่ไม่หยุด
ขณะนี้ชายหน้าอัปลักษณ์กับหญิงสาวที่เป็นคนของจวนอ๋องสาม ก็ไม่สงสัยคำพูดในก่อนหน้านั้นของซุนอิ๋นอีก และสายตาที่มองหลิ่วหมิง ก็เต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง
หลิ่วหมิงพูดคุยกับคนอื่นๆ เพียงไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ลากลับไปที่พักของตน
พอเขาผลักประตูห้องออก ร่างเล็กๆ ก็กระโจนเข้าหาเขาอย่างรวดเร็วราวกับพายุ แขนผอมแห้งทั้งสองกอดขาเขาไว้แน่น และไม่ยอมคลายออกเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าก็กลับมาแล้วนี่ไง!” หลิ่วหมิงยิ้มขึ้นมาในทันที และลูบหัวเฉียนหรูผิงเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
“พี่หมิง ข้าอยากเรียนเกี่ยวกับค่ายกล!” ขณะนั้นเอง เฉียนหรูผิงกลับเงยใบหน้าเล็กๆ ขึ้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดื้อดึง
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตะลึงงันขึ้นมา
หลายวันต่อมา ข่าวลือเรื่องที่เรือนร้อยวิญญาณมีแขกเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วเสวียนจิง
เรื่องที่เขาสังหารศิษย์จิตวิญญาณไปสี่คนนั้น ก็ถูกกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ทราบเรื่องเข้า จนสร้างความหวาดกลัวให้พวกเขาเป็นอย่างมาก
และต่อมาไม่นาน เรื่องที่ชิวหลงจื่อเคยแลกมือกับหลิ่วหมิง ก็ถูกเปิดเผยออกมา
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คนส่วนใหญ่ตื่นตระหนก และพากันส่งคนมาสังเกตการเคลื่อนไหวของเรือนร้อยวิญญาณ
ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ งานประมูลใหญ่ของเรือนร้อยวิญญาณก็ถูกเปิดอย่างเป็นทางการในที่สุด
วันนี้ ผู้ฝึกฝนนับพันคนมารวมตัวกันในห้องโถงขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกลงใต้ดินไปสิบกว่าจั้ง สถานที่แห่งนี้เป็นตลาดใต้ดินของเสวียนจิง
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น