อัจฉริยะสมองเพชร 1898-1901

 ตอนที่ 1898 พละกำลังของเผ่าพันธุ์ปีศาจ

สามารถซ่อมแซมค่ายกลได้ด้วยคำพูดประโยคเดียว…หรือว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถของสายเลือดแบบเดียวกันกับเธอ ทำให้ใช้วาจาสิทธิ์ได้?


แต่ไม่ช้า ขงซือเหยาก็รู้ว่าไม่ใช่แบบนั้น


แม้การกระทำของจางเซวียนจะดูคล้ายกับวาจาสิทธิ์ แต่ก็มีความแตกต่าง หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน มันดูเหมือนการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ขั้นสูงมากกว่า


แต่ค่ายกลเยียวยาสวรรค์โลงศพล่องลอยคือสิ่งที่บรรจุเอาพลังงานของสวรรค์ไว้ ดังนั้น แค่เปิดใช้งานมันโดยตรงก็ยังยาก แต่ทำไมมันถึงยอมทำตามการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์อย่างง่ายดายนัก?


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็เกิดความสงสัยแบบเดียวกัน เขารีบตั้งคำถามกับจางเซวียน


“อ๋อ พิมพ์เขียวค่ายกลที่คุณให้ผมมาน่ะมีปัญหา 2-3 อย่าง ผมจึงแก้ไขมันระหว่างที่ติดตั้งค่ายกล” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


“แก้ไขมัน?” ขงซือเหยาตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ “เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ ค่ายกลถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ขง ไม่มีทางที่จะมีข้อบกพร่องหรอก!”


สิ่งที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้จะมีความไม่สมบูรณ์แบบอยู่ได้อย่างไร?


“คืออย่างนี้ ค่ายกลที่ปรมาจารย์ขงสร้างขึ้นน่ะไม่ได้มีข้อบกพร่อง ปัญหาเกิดจากการเปลี่ยนแปลง อย่างมากของอาณาจักรคุนฉื่อตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ถึงตอนนี้ ค่ายกลของปรมาจารย์ขงไม่อาจกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมปัจจุบันของอาณาจักรคุนฉื่อได้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้น คุณคงไม่ต้อง ซ่อมแซมมันอยู่เรื่อยๆในแต่ละชั่วคนหรอก” จางเซวียนพูด


ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่รอดพ้นจากการกัดกร่อนของกาลเวลา


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อาณาจักรคุนฉื่อเมื่อหลายหมื่นปีที่ผ่านมาจะต้องแตกต่างจากสภาพที่พวกเขาเห็นตรงหน้า ในเมื่อโลกเปลี่ยนไปแล้ว ค่ายกลจะยังคงไร้ข้อบกพร่องอยู่ได้อย่างไรหากปราศจากการเปลี่ยนแปลง?


คำพูดเหล่านั้นทำให้ขงซือเหยาจำนน ความตกตะลึงเข้าจู่โจมหัวใจของเธออีกครั้ง


สิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมามีเหตุผล…แต่นี่คือค่ายกลของปรมาจารย์ขงนะ!


เขาปรับเปลี่ยนค่ายกลของปรมาจารย์ขง แถมยังทำสำเร็จด้วย!


ขงซือเหยารู้สึกราวกับโลกหมุนติ้วอยู่รอบตัวเธอ


ที่ผ่านมา เธอไม่เคยแคลงใจในความปราดเปรื่องของตัวเอง มั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดที่เธอจะทำไม่ได้หากทุ่มเทความพยายามจนสุดตัว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับปีศาจที่อยู่ตรงหน้าเธอตัวนี้ ก็รู้ทันทีว่าต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงไม่มีวันตามเขาทัน


ส่วนจางเซวียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทถูกสกัดกั้นไว้แล้ว เขาเบนสายตาจากขงซือเหยาที่กำลังจังงังแล้วหันมาพูดกับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงที่ดูจะสุขุมเยือกเย็นกว่า “ผมว่าสถานการณ์ตอนนี้คงเอาอยู่แล้วล่ะ นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง…ไม่ทราบว่าจะช่วยอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟังได้ไหม?”


เขารู้สึกว่าขงซือเหยากำลังทำเรื่องให้ยุ่งยากโดยใช่เหตุ ราวกับเธอไม่เคยเห็นโลกที่กว้างใหญ่กว่านี้มาก่อน


การที่เขาใช้เวลา 20 อึดใจในการติดตั้งค่ายกลนั้นไม่ใช่วีรกรรมน่าทึ่งแต่อย่างใด ออกจะเรียกว่าเชื่องช้าไปสักหน่อยด้วยซ้ำ ถ้าเขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ เรื่องแบบนี้คงใช้เวลาเพียง 2 อึดใจเท่านั้น!


“…ปรมาจารย์จาง คุณคิดอย่างไรกับพลังงานหนักอึ้งเมื่อครู่นี้ คิดว่าจะซึมซับมันเข้าสู่ร่างกายของคุณได้ไหม?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบกลับด้วยการตั้งคำถาม


จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พลังงานหนักอึ้งนั้นมีลักษณะบางอย่างที่เหมือนกันกับพลังจิตวิญญาณ แต่น้ำหนักของมันทำให้ผู้ที่มาจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่สามารถซึมซับมันได้ ถ้าผมซึมซับมันเข้าไป ก็มีโอกาสที่ทางเดินพลังปราณของผมจะแตกสลายเพราะรับน้ำหนักมากเกิน”


ได้ยินคำนั้น นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ “ผมเข้าใจ…บอกคุณตามตรงนะ พลังงานหนักอึ้งนั่นน่ะคือพลังจิตวิญญาณจากมิติเบื้องบน!”


“ พลังจิตวิญญาณจากมิติเบื้องบน?”


“ใช่ คุณเคยสงสัยบ้างหรือเปล่าว่าทำไมสิ่งมีชีวิตจากมิติเบื้องบนถึงทรงพลังกว่าพวกเรามาก? นั่นก็เพราะพลังจิตวิญญาณที่พวกเขาซึมซับแตกต่างจากพลังจิตวิญญาณของพวกเรา มันเข้มข้นกว่าหลายเท่า และช่วยบ่มเพาะสภาวะร่างกายของพวกเขาจนถึงขั้นที่ลูกหลานของคนพวกนั้นมีพละกำลังการต่อสู้อันน่าทึ่งตั้งแต่เกิด” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงอธิบาย


“พวกเขาซึมซับพลังจิตวิญญาณหนักอึ้งนั่น? ทำแบบนั้นจะดีหรือ?” จางเซวียนชะงัก


แม้ด้วยพละกำลังระดับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดอย่างตัวเขา จางเซวียนก็ยังรู้สึกเหมือนว่าอวัยวะภายในน่าจะถูกทำลายหากเขาซึมซับพลังงานนั้นเข้าไปแม้เพียงสักนิด แล้วผู้ที่อยู่ในมิติเบื้องบนแต่กำเนิดสามารถซึมซับพลังงานหนักอึ้งนั้นได้โดยไม่ต้องเผชิญกับแรงตีกลับใดๆเลยหรือ?


“ตามผมมาสิ” เห็นสีหน้าของจางเซวียน นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงหันหลังแล้วร้องเรียกอีกฝ่ายให้ตามไป เขากัดฟันระงับความเหนื่อยอ่อนไว้แล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเสียเลือดมากเกินไปในการต่อสู้เมื่อครู่ก่อน จนถึงระดับที่พลังชีวิตเหือดแห้งไปเกือบหมด แม้จะยังหายใจ แต่เขาก็เหลือเวลาอยู่ไม่มาก


ทั้งคู่บินไปครู่หนึ่งก่อนจะมาถึงวังที่ถูกปิดตายไว้อย่างแน่นหนา นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงผลักประตูวังและเดินเข้าไป มีค่ายกลสกัดกั้นพื้นที่อยู่ในวังนั้น ภายในค่ายกลมีกรงโลหะขนาดใหญ่ จางเซวียนบอกไม่ได้ว่าโลหะนั้นคืออะไรกันแน่ แต่มีอักษรโบราณจารึกไว้ทั่ว


วัยรุ่น 2 คนถูกขังอยู่ในกรงโลหะ เมื่อเห็นนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง ทั้งคู่หรี่ตาอย่างโกรธจัด หากทำได้ คงจะพุ่งเข้าสังหารนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงไปแล้ว


จางเซวียนรีบประเมินวัยรุ่นทั้งสองและได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก อีกเพียงก้าวเดียวก็จะสำเร็จวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณ ในแง่ของพละกำลัง พวกเขาไม่ได้อ่อนด้อยกว่านักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเลย


“ทำไมคุณถึงขังพวกเขาไว้ในกรง?” จางเซวียนตั้งคำถาม


แม้ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์จะไม่ได้เจริญรอยตามแนวคิดของปรมาจารย์ขงเรื่องการถ่ายทอดความรู้โดยปราศจากการแบ่งแยก แต่จางเซวียนก็ดูออกว่าพวกเขาไม่ใช่คนชนิดที่จะทำร้ายใครโดยปราศจากเหตุผลและความชอบธรรม


หรือว่าวัยรุ่นสองคนนี้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงบางอย่าง?


“ปรมาจารย์จาง คุณดูออกไหมว่าพวกเขาคือใคร?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตั้งคำถาม


จางเซวียนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถามนั้น เท่าที่ฟังจากคำพูดของอีกฝ่าย ดูเหมือนนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจะคาดหวังให้เขารู้จักทั้งคู่ จางเซวียนจึงพิจารณาวัยรุ่นทั้งสองอย่างถี่ถ้วน แต่ก็ไม่อาจบอกตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้ ลงท้ายก็ได้แต่ส่ายหัว


“พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจ!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบ


คำนั้นทำให้จางเซวียนตัวแข็งทื่อ “พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือ? เป็นไปได้อย่างไร? หรือว่าจะเป็นฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจปลอมตัวมา?”


ปราณสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นมีพละกำลังล้นเหลือเสียจนไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ไม่เห็น วัยรุ่น 2 คนนี้ไม่ได้แผ่เจตนาสังหารออกมาสักนิด แล้วจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจได้อย่างไร?


หรือว่าทั้งคู่จะเป็นฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ใช้วิธีการพิเศษบางอย่างปลอมตัวมา?


แต่นั่นก็ไม่น่าใช่ เว้นเสียแต่เครื่องรางแห่งการปลอมตัวของหลัวลั่วชิง ก็ไม่มีการปลอมตัวชนิดไหนที่จะหลุดรอดจากดวงตาหยั่งรู้ของเขา


จางเซวียนแน่ใจว่าวัยรุ่นสองคนนี้ไม่ได้กำลังปลอมตัว พวกเขาอยู่ในรูปลักษณ์ดั้งเดิม


“ผมรู้ว่าคุณสงสัย แต่ทั้งคู่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจริงๆ ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ซึมซับพลังงานหนักอึ้งนั้นและแปรสภาพร่างกายไปจนมีหน้าตาอย่างที่เป็นอยู่” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบ


“เอ่อ…” จางเซวียนตัวสั่นด้วยความอัศจรรย์ใจ


เขายังสงสัยอยู่ว่าพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นสามารถถูกซึมซับได้หรือไม่ แต่กลับกลายเป็นว่ามันทรงพลังเสียจนถึงขนาดสามารถเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ปีศาจให้กลายเป็นมนุษย์ เรื่องนี้เป็นไปได้จริงหรือ?


ฟึ่บ!


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงไม่อธิบาย เขาก้าวออกไปและสะบัดข้อมือ พลังปราณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทที่อยู่บนแท่นบูชาก่อนหน้านี้พุ่งเข้าหาวัยรุ่นทั้ง 2 ที่อยู่ในกรงทันที


เมื่อพลังงานนั้นพุ่งถึงเป้าหมาย ทั้งสองไม่แสดงความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย นัยน์ตาของพวกเขากลับเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้นขณะรีบทรุดตัวลงนั่ง เปิดจุดชีพจร และซึมซับพลังงานนั้นเข้าไป


ขณะที่พลังงานไหลเวียนอยู่ในร่างกายของทั้งคู่ มันก็เริ่มเดือดพล่านราวกับน้ำเดือด รังสีและพลังงานของพวกเขาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ


เป็นอย่างนั้นจริงๆ จางเซวียนคิดขณะกำหมัดแน่น


เผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถซึมซับพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทที่แม้แต่ตัวเขาก็ยังซึมซับไม่ได้ พลังงานนั้นช่วยยกระดับวรยุทธของพวกมันให้สูงขึ้นจนถึงขั้นที่เรียกว่าน่าสะพรึง


จางเซวียนหันขวับไปมองนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง หวังว่าจะได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายเกี่ยวกับการทดลองอันน่าพิศวงนี้


“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสภาวะร่างกายแต่กำเนิด ตราบใดที่สภาวะร่างกายแต่กำเนิดของผู้นั้นแข็งแกร่งพอ ก็จะสามารถรับเอาพลังงานหนักอึ้งและซึมซับมันเข้าสู่ร่างกายได้ สภาวะร่างกายแต่กำเนิดของเผ่าพันธุ์ปีศาจแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่าพวกมันแข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักรบเหนือมนุษย์แต่กำเนิดก็บอกอะไรได้มากแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ในจำนวนเผ่าพันธุ์ปีศาจ 10 ตัวที่ผมได้ทำการทดลอง มีเพียง 2 ตัวเท่านั้นที่มีชีวิตรอด”นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพูด


“เมื่อปีก่อน ผมยังได้ทำการทดลองนี้กับมนุษย์กว่าหมื่นคนด้วย แต่ไม่มีใครเอาชีวิตรอดได้เลย!”


จางเซวียนหน้าถอดสีอย่างพรั่นพรึงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น สิ่งที่เขาหวาดหวั่นไม่ใช่ความโหดเหี้ยมของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง แต่เป็นเพราะสาระสำคัญของสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา


เขาเคยคิดว่าแม้เผ่าพันธุ์ปีศาจจะเริ่มต้นจากจุดที่เหนือชั้นกว่ามนุษย์มากเพราะสภาวะร่างกายแต่กำเนิดที่แข็งแกร่งกว่า แต่ลงท้าย เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็จะทัดเทียมกันได้ แต่ดูเหมือน ช่องว่างนั้นจะห่างไกลกันเกินกว่าที่เขาเคยคิดไว้…


ถ้าพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนี้แผ่ซ่านไปทั่วทวีปแห่งปรมาจารย์เข้าสักวัน เผ่าพันธุ์มนุษย์มิสูญพันธุ์หมดสิ้น และเผ่าพันธุ์ปีศาจจะมิเรืองอำนาจหรือ?


จางเซวียนถามอย่างระแวง “นี่คือเหตุผลที่ปรมาจารย์ขงใช้ศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนสร้างค่ายกลขนาดมหึมาขึ้นเพื่อปิดกั้นทางเดินแห่งมิติไว้ใช่ไหม? ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อป้องกันพลังงานหนักอึ้งนั้นไม่ให้รั่วไหลเข้าสู่โลก?”


ตอนที่ 1899 ต้นกำเนิดของนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ

“ใช่!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพยักหน้ารับ “ครั้งแรกที่ปรมาจารย์ขงมาถึงอาณาจักรคุนฉื่อ ที่นี่เป็นแค่เส้นทางธรรมดาสามัญที่เชื่อมระหว่างทวีปแห่งปรมาจารย์กับมิติเบื้องบน ในครั้งนั้น พลังงานหนักอึ้งที่อยู่บริเวณนี้ยังมีไม่มากนัก แต่ปรมาจารย์ขงก็รู้ทันทีว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วหากซึมซับมันเข้าไป และมีโอกาสที่เผ่าพันธุ์ปีศาจจะเอาชีวิตรอดจากการซึมซับพลังงานนี้ได้และแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งนั่นคือต้นกำเนิดของไอ้โหด!”


“เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์จากการล่มสลาย นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนเต็มใจสละชีวิตของเขา เพื่อใช้เป็นแกนกลางของค่ายกลเยียวยาสวรรค์โลงศพล่องลอยที่พวกเรามีอยู่ในตอนนี้”


จางเซวียนพยักหน้า หวนนึกถึงอีกเรื่องที่เขาได้รับรู้ในอาณาจักรคุนฉื่อ “แล้วข้าวสาลีแตกยอดกับสภาวะร่างกายที่เหนือชั้นกว่าปกติของประชากรที่นี่ล่ะ?”


รู้ดีว่าจางเซวียนหมายถึงอะไร นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบ “หลังจากการค้นคว้ายาวนานหลายปี ปรมาจารย์ขงพบว่าเหตุผลหลักที่เผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถเอาชีวิตรอดจากการซึมซับพลังงานหนักอึ้งนั้นได้ก็เพราะสภาวะร่างกายที่เหนือชั้นกว่าของพวกมัน สิ่งนี้บ่งบอกชัดว่าการยกระดับสภาวะร่างกายของมนุษย์มีความสำคัญมาก แต่ปรมาจารย์ขงก็รู้ว่าการยกระดับสภาวะร่างกายของทั้งเผ่าพันธุ์นั้นย่อมต้องใช้เวลายาวนาน ไม่มีทางที่จะพัฒนาให้เห็นผลเด่นชัดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น”


“กุญแจสำคัญดอกหนึ่งที่ปรมาจารย์ขงพบว่ามีอานุภาพสูงในการยกระดับสภาวะร่างกายของทั้งเผ่าพันธุ์ก็คือภาวะโภชนาการ เขาจึงมอบหมายให้นักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อกับเหล่าทายาทรับผิดชอบการพัฒนาพืชพันธุ์ที่ส่งผลอย่างที่เขาต้องการ ซึ่งหลังจากลองผิดลองถูกอยู่หลายปี ในที่สุดพวกเขาก็ประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะข้าวสาลีแตกยอด พืชชนิดนี้มีอานุภาพในการ ชำระและยกระดับสภาวะร่างกายของมนุษย์ หลังจากการบ่มเพาะยาวนานหลายหมื่นปี สภาวะร่างกายของเหล่าสมาชิกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ก็พัฒนาขึ้นมาก แต่โชคร้ายที่พวกเราก็ยังห่างไกลหากจะเทียบชั้นกับสภาวะร่างกายของเผ่าพันธุ์ปีศาจ พวกเรายังคงไม่อาจซึมซับพลังงานหนักอึ้งนั้นโดยตรงได้!”


จางเซวียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ ความสงสัยที่เคยมีก่อนหน้านี้ถูกขจัดไปหมดสิ้น


ไม่แปลกใจแล้วที่จู่ๆร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ก็หายตัวไปจากทวีปแห่งปรมาจารย์ กลับกลายเป็นว่าพวกเขาได้อุทิศตัวให้กับการปกป้องฉนวนที่อยู่ในอาณาจักรคุนฉื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้พลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทรั่วไหลออกมา


ในเวลาเดียวกัน คนเหล่านี้ก็มองว่าการบ่มเพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้แข็งแกร่งขึ้นเป็นภารกิจของพวกเขา เมื่อไรก็ตามที่ประชากรในอาณาจักรคุนฉื่อสามารถปรับสภาพร่างกายจนซึมซับพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทได้ ศักยภาพของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด


วิถีทางของคนกลุ่มนี้อาจแตกต่างจากทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือการพัฒนาเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นกัน!


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพูดต่อ “อาณาจักรคุนฉื่อคือโลกขนาดย่อมใบหนึ่งที่มีทรัพยากรจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสภาวะร่างกายของประชากรโดยทั่วไปที่แข็งแกร่งกว่าเดิม พลังจิตวิญญาณที่พวกเขาต้องการจึงเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจำกัดคุณสมบัติของประชากรที่มีโอกาสฝึกฝนวรยุทธ นี่คือเหตุผลที่พวกเรามีการทดสอบและบททดสอบอยู่มากมาย เราสามารถมอบทรัพยากรให้กับผู้ที่มีความปราดเปรื่องและศักยภาพมากพอจะก้าวขึ้นสู่ขั้นสูงสุดได้เท่านั้น!”


ถึงนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจะกล่าวว่าอาณาจักรคุนฉื่อคือโลกขนาดย่อม แต่เมื่อเทียบกับทวีปแห่งปรมาจารย์ ขนาดของมันก็ใหญ่กว่าจักรวรรดิใหญ่ๆบางแห่งในทวีปแห่งปรมาจารย์เท่านั้น


เพื่อบ่มเพาะข้าวสาลีแตกยอด อาณาจักรคุนฉื่อจำเป็นต้องตัดขาดการเชื่อมต่อกับทวีปแห่งปรมาจารย์ ดังนั้นมันจึงต้องแบกรับความเสี่ยงของการที่พลังจิตวิญญาณอาจเหือดแห้งไปหมดหากมีนักรบหรือผู้ฝึกฝนวรยุทธอยู่มากเกินไป


ในอีกแง่หนึ่ง อาณาจักรคุนฉื่อก็เปรียบได้กับเรือนกระจก ไม่ว่าเรือนกระจกจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน ก็ไม่อาจพัฒนาไปจนถึงระดับที่พึ่งพาตัวเองได้เหมือนกับโลกภายนอกที่สามารถบ่มเพาะพืชพันธุ์ได้ในจำนวนไม่จำกัด


ในโลกเก่าของจางเซวียน เคยมีนักวิทยาศาสตร์สร้างเรือนกระจกขนาดมหึมาขึ้นและใส่พืชพันธุ์ต่างๆรวมทั้งสิงสาราสัตว์และแมลงอีกมากมายนับไม่ถ้วนไว้ในนั้นเพื่อทำการทดลอง แต่ภายในไม่ถึง 1 ปี สภาพแวดล้อมทั้งหมดก็ล่มสลาย


เช่นเดียวกันกับอาณาจักรคุนฉื่อ มันไม่เหมือนทวีปแห่งปรมาจารย์ ไม่มีศักยภาพในการดูแลและจัดการตัวเอง อีกทั้งภารกิจในการบ่มเพาะประชากรที่มีวรยุทธขั้นจงซรือก็ถือเป็นงานใหญ่ ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องจำกัดจำนวนผู้ฝึกฝนวรยุทธ


ไม่อย่างนั้น ก็มีโอกาสที่อาณาจักรคุนฉื่อจะล่มสลายเสียก่อนที่ประชากรจะสามารถพัฒนาตัวเองจนถึงขั้นซึมซับพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทจากมิติเบื้องบนได้


“ผมเชื่อว่าคุณคงรู้อยู่แล้ว แต่ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในอาณาจักรคุนฉื่อ สำหรับตอนนี้ ทวีปแห่งปรมาจารย์ยังคงปลอดภัยอยู่ แต่ในอนาคตมันก็จะต้องเผชิญกับภัยคุกคามแบบเดียวกัน เมื่อจำนวนนักรบมีมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะถึงวันที่พลังจิตวิญญาณเหือดแห้งไปหมด” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตั้งข้อสังเกต


จางเซวียนพยักหน้ารับ


ไม่ว่าสภาพแวดล้อมหรือระบบนิเวศจะมีขนาดใหญ่หรือสมบูรณ์สักแค่ไหน ก็จะต้องถึงจุดแตกหักเข้าสักวันเมื่อทุกอย่างเริ่มเสื่อมสลาย


ในอีกแง่หนึ่ง การที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ซึมซับพลังจิตวิญญาณจากสิ่งแวดล้อมก็ไม่ต่างอะไรกับเหลือบริ้นที่อยู่บนร่างของวัว ถึงเหลือบริ้นนับพันตัวจะไม่ส่งผลอะไรมากมายกับวัวตัวนั้น แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีเหลือบริ้นหลายล้านหรือหลายพันล้านตัว?


ต่อให้วัวตัวนั้นจะแข็งแรงสักแค่ไหน ลงท้ายก็ย่อมแบกรับภาระไม่ไหวและเสียชีวิต!


เพื่อเผชิญหน้ากับปัญหานี้ ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจำกัดการกระจายทรัพยากรในการฝึกฝนวรยุทธ โดยอนุญาตให้ผู้ที่มีความปราดเปรื่องที่สุดเท่านั้นที่จะทำการฝึกฝนวรยุทธได้


บางที ในอนาคต ทวีปแห่งปรมาจารย์อาจถูกบีบให้ต้องตัดสินใจแบบเดียวกัน


“พูดก็พูดเถอะ นี่คือเหตุผลที่ทวีปแห่งปรมาจารย์สูญเสียความสามารถในการบ่มเพาะนักปราชญ์โบราณรุ่นใหม่ๆหรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถาม


ไม่ว่าจะเป็นในทวีปแห่งปรมาจารย์หรืออาณาจักรคุนฉื่อ ไม่มีนักปราชญ์โบราณเพิ่มขึ้นอีกแม้แต่คนเดียวนับตั้งแต่หมื่นปีที่แล้วจนถึงการปรากฏของวิหารขงจื๊อเมื่อไม่นานมานี้ นี่คือเหตุผลหรือเปล่า?


“ก็ใช่ ประชากรที่มากเกินไปมีส่วนสำคัญ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลัก” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบ “อย่างที่คุณรู้ นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณเป็นพลังกระตุ้นที่จำเป็นสำหรับนักรบคนไหนก็ตามที่ต้องการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ แต่นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติในทวีปแห่งปรมาจารย์หรือแม้แต่อาณาจักรคุนฉื่อ หรือพูดให้ชัดกว่านั้นก็คือ โลกใบนี้ไม่มีศักยภาพในการสร้างนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณขึ้นเอง…มันเป็นพลังงานที่มีเฉพาะในมิติเบื้องบนเท่านั้น!”


“การสกัดกั้นพลังงานหนักอึ้งนั้นไว้ก็หมายความว่านิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณไม่สามารถ กระจายตัวเข้าสู่โลกของเราได้อีก ดังนั้น เมื่อมีนักปราชญ์โบราณเพิ่มขึ้น ลงท้ายก็ถึงจุดที่มันเหือดแห้งไปหมด”


“คุณกำลังจะบอกว่าพลังงานจิตวิญญาณหนักอึ้งนั้นมีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณบรรจุอยู่หรือ?” จางเซวียนตั้งคำถามพร้อมกับเลิกคิ้ว


เขาซึมซับเศษเสี้ยวหนึ่งของมันไว้เมื่อตอนอยู่ที่สันเขา แต่ทันทีที่เข้าสู่ร่างกาย น้ำหนักของมันก็แทบจะทำลายทางเดินพลังปราณของเขาทั้งหมด ทำให้ต้องสกัดกั้นจุดชีพจรทุกจุดไว้


แท้ที่จริงแล้วมันบรรจุเอานิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณไว้ภายในหรือ?


ด้วยความงุนงง จางเซวียนแอบซึมซับพลังงานนั้นเข้าไปเล็กน้อย


พลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทยังคงหนักอึ้งเหมือนเดิม แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เขาก็รู้สึกได้ถึงร่องรอยของนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่อยู่ภายใน


มันอาจมีปริมาณเพียงน้อยนิด แต่หากซึมซับเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าไม่นานผู้นั้นก็จะฝ่าด่านคอขวดของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่และกลายเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์!


แต่นั่นก็หมายความว่าจะต้องซึมซับพลังงานเข้าไปในปริมาณมาก


ในเมื่อแม้แต่จางเซวียนยังซึมซับมันไม่ไหว ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรกับนักรบคนอื่นๆ


“เราไม่มีทางเลือก ถ้าไม่สกัดกั้นพลังงานจากมิติเบื้องบนไว้ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดมันก็จะทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ บรรพบุรุษของเราได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้วก่อนจะทำอะไรลงไป มันอาจไม่ก่อให้เกิดผลดีนัก แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหาย” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงอธิบายด้วยสีหน้าเจื่อนๆ


จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีนักปราชญ์โบราณเพิ่มขึ้นเป็นข่าวดีของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ตราบใดที่พวกเขายังรับมือกับพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทไม่ได้ ผลประโยชน์สูงสุดก็ยังตกเป็นของเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ดี และหากพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทรั่วไหลเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ ไม่ช้าไม่นานสถานการณ์ทุกอย่างก็จะเอื้อประโยชน์ให้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ


ยังไม่ต้องพูดถึงการที่เหล่าเทพเจ้าจากมิติเบื้องบนจะสามารถฝ่าปราการแห่งมิติลงมาสู่โลกได้ ภัยคุกคามที่มนุษย์ต้องเผชิญนั้นไม่อาจประเมินได้เลยทีเดียว


“เผ่าพันธุ์ปีศาจคือทายาทของเทพเจ้าอย่างที่ตำนานกล่าวไว้จริงหรือเปล่า?”จางเซวียนถามด้วยความอยากรู้


เป็นเพราะศักยภาพของสภาพร่างกายเท่านั้นหรือที่ทำให้มนุษย์ไม่อาจซึมซับพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอท ขณะที่เผ่าพันธุ์ปีศาจทำได้?


“ผมก็ไม่รู้คำตอบที่แท้จริง แต่มีบันทึกของปรมาจารย์ขงที่บอกไว้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจคือทายาทของเผ่าพันธุ์เทพเจ้า เขากล่าวว่าเพราะปริมาณพลังจิตวิญญาณที่มีอยู่น้อยนิดในทวีปแห่งปรมาจารย์ พวกมันจึงอ่อนแอลงมาก ขอแค่พวกมันได้รับพลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์มากพอ ก็จะกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ดังเดิมได้โดยเร็ว”


เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงหันขวับไปมองวัยรุ่นทั้ง 2 ที่ถูกขังอยู่และถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เจ้าสองตัวนี้คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ ตอนที่ถูกจับตัวมา พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจธรรมดาสามัญ แต่เมื่อได้รับการบ่มเพาะจากพลังจิตวิญญาณหนักอึ้งของมิติเบื้องบน ก็แข็งแกร่งขึ้นมากภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี ยิ่งกว่านั้น รูปลักษณ์ของพวกเขายังแปรสภาพไปจนไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ด้วย”


ต่อให้มนุษย์ที่ปราดเปรื่องที่สุดก็ต้องฝึกฝนวรยุทธหลายร้อยปีกว่าจะสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจ 2 ตัวนี้สำเร็จได้ภายในระยะเวลาอันสั้นด้วยการซึมซับพลังจิตวิญญาณหนักอึ้งนั้นเข้าไป


ช่างน่าท้อใจเหลือเกิน!


“แต่ถ้าเทพเจ้าสามารถฝ่าปราการแห่งมิติลงมาสู่โลกของเราได้ เราก็น่าจะขึ้นสู่มิติเบื้องบนได้โดยใช้เส้นทางเดียวกัน ถูกไหม?” จางเซวียนถามขณะใจเต้นระทึก


ตอนที่ 1900 เสียสละ

เหตุผลที่จางเซวียนพยายามจะเข้าสู่อาณาจักรคุนฉื่อให้ได้ก็เพื่อค้นหาเส้นทางสู่มิติเบื้องบนที่นำไปสู่การได้พบหลัวลั่วชิง


ในเมื่อมีเส้นทางอยู่เหนือแท่นบูชา และ ‘เทพเจ้า’ ผ่านลงมาได้ ยังไม่ต้องพูดถึงพลังงานหน้าตาเหมือนปรอทที่เล็ดลอดออกจากความว่างเปล่าซึ่งมาจากมิติเบื้องบนโดยตรง จะเป็นไปได้ไหมว่า เส้นทางที่เขาพยายามเสาะหามาตลอดจะมีอยู่จริง?


“บอกตามตรงนะ ผมเองก็ไม่รู้” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงส่ายหน้า


“ผมเข้าใจ…ถ้าอย่างนั้น คุณรู้ไหมว่าปรมาจารย์ขงออกจากอาณาจักรคุนฉื่อแล้วเข้าสู่มิติเบื้องบนได้อย่างไร?”


“เรื่องนั้นน่ะ…” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย


อันที่จริง แม้ศิษย์สายตรงส่วนใหญ่ของปรมาจารย์ขงก็ไม่รู้ด้วยซ้ำตอนที่อีกฝ่ายจากไป นับประสาอะไรกับศิษย์รุ่นหลังอีกหลายชั่วคนอย่างตัวเขา


“มีแค่บันทึกสั้นๆอยู่ในหนังสือว่าปรมาจารย์ขงจากโลกนี้ไปหลังจากที่ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้สำเร็จ แต่ส่วนเขาจะไปที่ไหนนั้น ฉันเกรงว่าจะไม่มีบันทึกไว้ แต่บรรดานักประวัติศาสตร์ของเราที่พยายามสืบเสาะเรื่องราวเหล่านี้สันนิษฐานว่ามีความเป็นไปได้สูงที่การหายตัวไปของปรมาจารย์ขงจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับฉนวนนี้”


คราวนี้ เป็นขงซือเหยาที่ตอบคำถามของจางเซวียน


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


เท่าที่ดู มีความเป็นไปได้สูงที่ความว่างเปล่าซึ่งอยู่เหนือแท่นบูชาจะเป็นเส้นทางที่นำไปสู่มิติเบื้องบน แต่ด้วยพละกำลังของเขาในตอนนี้ เขาคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหากถูกโอบล้อมด้วยพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอท บางที เงื่อนไขขั้นแรกที่เขาต้องผ่านไปให้ได้ก็คือต้องสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติให้ได้เสียก่อน


เห็นได้ชัดว่าตัวเขาในตอนนี้ยังต้องทำอะไรอีกมากมาย!


“ขอโทษเถอะ ปรมาจารย์จาง…แต่ผมมีคำถาม ฉนวนของอาณาจักรคุนฉื่อเป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ขงสร้างขึ้นเอง ทำให้ไม่มีทางที่ใครจะเข้ามาหรือออกไปได้ เหตุผลที่ก่อนหน้านี้พวกเราเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ก็เพราะเราใช้พลังจากวิหารแห่งขงจื๊อทำลายฉนวนเป็นการชั่วคราว…แล้วคุณเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


คำถามนี้ทำให้คนอื่นๆหันมามองด้วยความสงสัย


ข้อเท็จจริงที่พวกเขารู้กันดีก็คือไม่มีทางที่ใครจะเข้ามาหรือออกจากอาณาจักรคุนฉื่อได้ การปรากฏขึ้นอย่างปุบปับของวิหารแห่งขงจื๊อเป็นเพียงข้อยกเว้นข้อเดียวสำหรับกฎเกณฑ์ที่ใช้กันมานานหลายหมื่นปี แต่วิหารแห่งขงจื๊อก็ปิดตัวไปหลายเดือนแล้ว จึงไม่มีทางทำลายช่องโหว่ของมิติได้


ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น จางเซวียนเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?


รู้ดีว่าไม่มีเหตุผลที่จะปิดบัง จางเซวียนตอบตามตรง “ตอนที่ผมมาเยือนอาณาจักรเทียนเซวียน ผมพบฉนวนที่อยู่รอบๆร่างของนักปราชญ์โบราณหรันชิว ด้วยความอยากรู้ ผมจึงทำลายฉนวนโดยไม่ได้ตั้งใจ และยังไม่ทันจะรู้ตัว ผมก็มาอยู่ที่อาณาจักรคุนฉื่อแล้ว”


“รอเดี๋ยว คุณพูดว่าคุณทำลายฉนวน? คุณทำลายฉนวนจริงๆหรือ?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆตัวสั่นอย่างร้อนใจ


“มีอะไร?”


“เร็วเข้า รีบไปดู!”


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงไม่มีเวลาอธิบาย เขารีบเปิดรอยแยกแห่งมิติและกระโจนเข้าไป คนอื่นๆตามไปติดๆ


เพียงครู่เดียว ทุกคนก็มาถึงบริเวณที่จางเซวียนเข้าสู่อาณาจักรคุนฉื่อ ฉนวนยังมั่นคงดี แต่รูที่จางเซวียนกับศิษย์ของเขาผ่านเข้ามายังคงขยายขนาดอย่างต่อเนื่อง พวกเขาเห็นเปลวเพลิงสีดำลุกโพลงบริเวณอาณาเขตรอบนอกของอาณาจักรคุนฉื่อ พยายามจะหาทางเข้ามาข้างใน


จางเซวียนชะงัก “เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”


เขารู้ดีว่าฉนวนทรงพลังแค่ไหน และถึงกับต้องใช้พละกำลังจากการทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้าเพื่อเปิดรูขนาดเล็กให้เล็ดลอดเข้าไปได้ แล้วทำไมจู่ๆถึงมีเปลวเพลิงสีดำลุกโพลงและกดดันฉนวนอยู่แบบนี้?


แถมพวกมันยังมีหน้าตาเหมือนเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดด้วย


“นี่คือแรงตีกลับจากสวรรค์” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงอธิบายอย่างเคร่งเครียด


“แรงตีกลับจากสวรรค์?”


“ถึงพวกเราจะแยกอาณาจักรคุนฉื่อออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งสองอาณาจักรยังคงเป็นหนึ่งเดียวกัน อะไรก็ตามที่เราทำที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะข้าวสาลีแตกยอดหรือการพัฒนาสภาวะร่างกายพื้นฐานของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็ล้วนแต่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติทั้งนั้น โลกใบนี้จึงเกิดความบิดเบี้ยวขึ้นมา”


“เหตุผลที่ร่างของนักปราชญ์โบราณหรันชิวถูกทิ้งไว้ด้านนอกไม่ใช่เพียงเพื่อพยุงกำลังให้ฉนวน ที่นอกเหนือไปจากนั้นก็คือเพื่อป้องกันไม่ให้สวรรค์เข้ามาสอดส่องด้วย! แต่ตอนนี้ สวรรค์รับรู้แล้วว่าพวกเราทำอะไรลงไปบ้างในอาณาจักรคุนฉื่อ จึงได้ส่งการลงทัณฑ์จากสวรรค์มาลงโทษพวกเราและทำลายสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา! ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ไม่ช้าอาณาจักรคุนฉื่อจะต้องถูกเปลวเพลิง สวรรค์อันเกรี้ยวกราดนี้กลืนกินแน่” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงอุทานอย่างกังวลใจ


จางเซวียนตัวแข็ง


โลกทุกใบมีกฎกติกาของมัน และกฎกติกาเหล่านี้ก็ถูกบังคับใช้โดยสวรรค์ ใครก็ตามที่พยายามฝ่าฝืนกฎจะต้องเผชิญหน้ากับความพิโรธของสวรรค์


ในอีกแง่หนึ่ง ก็เหมือนกับการที่นักรบสักคนพยายามฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นที่สูงกว่า ก็จะต้องเผชิญหน้ากับการลงทัณฑ์จากสวรรค์เช่นกัน


อย่างในโลกเก่าของเขา หวังหมางซึ่งเป็นผู้อพยพเคยพยายามจะเปลี่ยนแปลงโลก แต่ลงท้าย สวรรค์ก็ได้ส่งหลิ่วซิ่ว, บุตรแห่งสวรรค์ลงมาเพื่อตอบโต้ ซึ่งหลิ่วซิ่วได้ทำลายทุกอย่างที่หวังหมางสร้างไว้อย่างง่ายดาย


กฎกติกาของโลกไม่ใช่สิ่งที่จะละเลยได้ ซึ่งแม้แต่นักปราชญ์โบราณก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


จางเซวียนเคยคิดว่าเหตุผลที่ไม่มีใครค้นพบอาณาจักรคุนฉื่อก็เพราะเหล่าสมาชิกของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์พยายามจะแยกตัวออกจากโลก แต่กลับกลายเป็นว่าเป้าหมายหลักของพวกเขาก็คือเพื่อปกปิดตัวเองจากการตรวจจับของสวรรค์


หากผู้คนเข้านอกออกในอาณาจักรคุนฉื่อได้อย่างอิสระ ไม่ช้าไม่นานสวรรค์จะต้องรับรู้การมีอยู่ของอาณาจักรคุนฉื่อ และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น ทุกอย่างจะถูกทำลายจนราบคาบ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลีแตกยอด, ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ หรือแม้แต่ทั้งอาณาจักร


เมื่อรู้แล้วว่าตัวเขาได้สร้างหายนะครั้งใหญ่ จางเซวียนหันไปถามนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง “คุณมีพิมพ์เขียวของค่ายกลเพื่อให้ผมซ่อมแซมค่ายกลไหม? ผมจะปิดตายอาณาจักรคุนฉื่อเดี๋ยวนี้เพื่อป้องกันไม่ให้สวรรค์เข้ามาสอดส่องได้!”


“เรามีพิมพ์เขียวของค่ายกล แต่ไม่มีประโยชน์หรอก” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงส่ายหน้า “ที่ถูกทำลายไปแล้วน่ะไม่ใช่เพียงแค่ฉนวน แต่เป็นค่ายกลลวงตาที่ถูกติดตั้งไว้ด้านนอกด้วย ก่อนหน้านี้ ถ้าสวรรค์พยายามสอดส่องเข้ามาในโลงศพ ร่างของปรมาจารย์ขงจะปรากฏ ซึ่งจะทำให้สวรรค์คิดว่าปรมาจารย์ขงจากไปแล้ว และหยุดการสืบเสาะต่างๆไป แต่การที่เปลวเพลิงสีดำเข้ามาถึงฉนวนได้ก็หมายความว่าค่ายกลลวงตาถูกทำลายและสวรรค์รับรู้ทุกอย่างแล้ว การซ่อมแซมใดๆก็ตาม ตอนนี้ก็ทำได้แค่ยื้อทุกอย่างให้เกิดช้าลงเท่านั้น!”


จางเซวียนเงียบกริบ


ระหว่างทางที่เขาเดินทางมาอาณาจักรคุนฉื่อ มีโลงศพอยู่ 2 ใบ หนึ่งในนั้นบรรจุร่างของนักปราชญ์โบราณหรันชิวไว้ และถูกใช้เพื่อพยุงกำลังให้กับค่ายกลลวงตา


ส่วนโลงศพใบที่สอง สิ่งที่เจิ้งหยางเห็นคือศพของปรมาจารย์ขง ขณะที่คนอื่นๆเห็นร่างของเจิ้งหยาง เป็นเพราะการทำลายค่ายกลลวงตาที่ทำให้ฉนวนที่แยกอาณาจักรคุนฉื่อออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์ถูกเปิดเผย


เมื่อมาตรการป้องกันสองอย่างนี้ถูกทำลาย ‘ดวงตา’ สวรรค์จึงจับจ้องอยู่ที่อาณาจักรคุนฉื่อ ต่อให้ตอนนี้พวกเขาซ่อมแซมทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง ก็ไม่ช่วยให้อะไรๆดีขึ้น


“พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยหรือ?”


“มีทางเดียวเท่านั้น…เราต้องล่อลวงสวรรค์ให้ได้อีกครั้ง เหมือนอย่างที่ปรมาจารย์ขงเคยทำ!”


“ล่อลวงสวรรค์?”


“ใช่ ในครั้งนั้น ตอนที่ปรมาจารย์ขงก่อตั้งอาณาจักรคุนฉื่อขึ้นเป็นครั้งแรก มีเศษเสี้ยวของพลังงานภายในรั่วไหลออกไป ซึ่งดึงดูดความสนใจของสวรรค์ในทันที เป็นเพราะการเสียสละของนักปราชญ์โบราณหรันชิวเพื่อพยุงกำลังให้ค่ายกลลวงตา ที่ทำให้สุดท้ายพวกเขาล่อลวงและตบตาสวรรค์ได้สำเร็จ” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบอย่างเคร่งขรึม


“มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่พวกเราจะแก้ไขปัญหาได้ เราต้องเสาะหานักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติสักคนที่เต็มใจสละชีวิตเพื่อตายภายใต้น้ำมือของสวรรค์ เมื่อมีความตายของเขาเป็นสิ่งกระตุ้น เราจะสามารถสร้างภาพลวงตาของอาณาจักรคุนฉื่อที่กำลังล่มสลายได้ แม้สวรรค์จะลงทัณฑ์ผู้ที่ไม่ยอมทำตามกฎกติกาของโลก แต่มันก็ไม่ได้มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง ตราบใดที่วิธีการของเราเบี่ยงเบนความสนใจได้มากพอ ก็มีโอกาสที่เราจะทำสำเร็จ”


คำบอกเล่านั้นทำให้จางเซวียนเลิกคิ้ว


ไม่ว่าจะเป็นทวีปแห่งปรมาจารย์หรืออาณาจักรคุนฉื่อ ก็ไม่เหลือนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติแม้สักคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงพละกำลังของเขาผนวกกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรจะถือว่าใกล้เคียงมากกับนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ แต่แก่นสารของวรยุทธของเขายังคงห่างไกลจากนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติตัวจริง สวรรค์ย่อมมองทะลุการตบตาของเขาได้อย่างง่ายดาย!


“ผมจะทำเอง ผมเหลือเวลาไม่มากอยู่แล้ว ต่อให้ล่อลวงสวรรค์ไม่ได้เต็มที่ แต่อย่างน้อยที่สุดก็พอยื้อเวลาได้บ้าง!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงถอนหายใจขณะมองฉนวนด้วยสายตามุ่งมั่น


“คุณ?”


“ใช่ ถึงวรยุทธของผมจะยังไม่ถึงขั้นผู้ทำลายล้างมิติ แต่ก็ใกล้เคียง ด้วยการแผดเผาจิตวิญญาณและกายเนื้อ ผมจะสามารถดึงพละกำลังขึ้นมาให้เทียบเท่ากับนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้ชั่วคราว และบางที อาจใช้วิธีนั้นล่อลวงสวรรค์ได้สักระยะหนึ่ง” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบ


“แผดเผาจิตวิญญาณและกายเนื้อของคุณ?” ขงซือเหยาชะงัก “แต่ทันทีที่จิตวิญญาณและกายเนื้อของคุณถูกทำลาย คุณจะจบชีวิตทันทีนะ ไม่มีทางที่คุณจะฟื้นคืนชีพได้อีก!”


เมื่อสำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด ต่อให้กายเนื้อของนักรบผู้นั้นถูกทำลาย ก็ยังมีโอกาสที่เขาจะฟื้นคืนชีพได้ แต่หากแผดเผาทั้งจิตวิญญาณและกายเนื้อ ก็ถือว่าถึงแก่ความตายอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะนำจิตวิญญาณที่แหลกสลายไปแล้วกลับมาได้ แม้แต่นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ


“ผมรู้ แต่ขอแค่ผมปกป้องอาณาจักรคุนฉื่อไว้ได้ ความตายของผมก็ไม่สูญเปล่า!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบ


ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่เป็นนักปราชญ์โบราณ เขาพร้อมเสียสละทุกอย่างที่มีเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถ้าความตายของเขาจะช่วยชีวิตผู้คนมากมายไว้ได้ ก็ควรค่ากับการเสียสละครั้งนี้


“ระงับความคิดนั้นไว้ก่อน ขอผมพิจารณาสักหน่อย เราอาจคลี่คลายสถานการณ์นี้ด้วยวิธีอื่นได้”


เห็นนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงร้อนรนตัดสินใจพลีชีพเพื่อมวลมนุษย์ จางเซวียนเดินเข้าไปเพ่งมองเปลวเพลิงสีดำ เขาขมวดคิ้วและเคาะนิ้วลงไปบนนั้นเบาๆ


ตอนที่ 1901 มาเป็นศิษย์ของผม!

“ระวังหน่อย นั่นเปลวเพลิงสวรรค์นะ!” ขงซือเหยาตะโกนอย่างพรั่นพรึง


เป็นที่รู้กันว่าเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดคือสิ่งที่แผดเผาทุกอย่างในโลกได้ ในเมื่อมันทำลายได้แม้แต่ฉนวนที่สร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ขง การที่ชายหนุ่มใช้นิ้วแตะมันแบบนั้นก็เท่ากับรนหาที่ตาย!


แต่ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงของขงซือเหยา นิ้วของจางเซวียนก็แตะเปลวเพลิงแล้ว เปลวเพลิงสีดำบิดตัวเพราะสัมผัสของเขาราวกับเจ้าสาวที่กำลังเขินอาย ดูเหมือนเปลวเพลิงนั้นได้พบกับเปลวเพลิงที่มีอาวุโสกว่าและพยายามหว่านเสน่ห์ใส่


ขงซือเหยาหน้าตาบิดเบี้ยวเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น


ทำไมทุกอย่างที่จางเซวียนแตะต้องถึงดูเหมือนจะอ่อนระทวยไปหมด?


ทั้งที่ตัวเองเป็นถึงปรมาจารย์ฟ้าประทาน มีสถานภาพทัดเทียมกับบรรพบุรุษเก่าแก่ของเธอ แต่ก็เป็นเจ้าของก้อนอิฐที่คอยแต่จะตะบันหน้าคนอื่น และยังหอกที่ดูเหมือนชื่นชอบการเล่นงานทุกสิ่งที่ขวางทาง ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่กำลังต่อสู้กับเทพเจ้า ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บที่จุดบอบบางจุดไหนเลย ไม่ว่าจะเป็นลูกตา ลำคอ หรือแม้แต่หว่างขา…


และจุดไหนก็ตามที่เขาเล่นงานคู่ต่อสู้ ก็ไม่อาจคาดหวังความปรานีได้ ราวกับเขาไร้มารยาทขั้นพื้นฐานอย่างสิ้นเชิง!


และสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ก็ทำให้เธอแน่ใจยิ่งขึ้น เพราะขนาดเปลวเพลิงสวรรค์ที่ทุกคนหวาดกลัวก็ยังยอมสยบภายใต้การสัมผัสของเขา…


จางเซวียนคนนี้ช่างน่าสะพรึงเสียจริง!


จางเซวียนไม่แยแสฝูงชนที่กำลังตกตะลึง เขาจ้องมองเปลวเพลิงที่โลมเลียปลายนิ้วของเขาและถามว่า “โหวโหวน้อย เต่าเตาส่งคุณมาที่นี่หรือ?”


เปลวเพลิงสะท้านเล็กน้อย ดูเหมือนจะเข้าใจคำพูดของจางเซวียน


จางเซวียนย่นหน้าผาก


เท่าที่เห็นปฏิกิริยาของเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด ชัดเจนว่ามันถูกสวรรค์ส่งมาเพื่อทำลายอาณาจักรคุนฉื่อ


หากจะเปรียบเทียบทวีปแห่งปรมาจารย์เป็นร่างกายมนุษย์ สวรรค์ก็คือระบบภูมิคุ้มกัน ทำหน้าที่ เล่นงานสิ่งแปลกปลอมทุกชนิดเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามปกติ การบังเกิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีสภาวะร่างกายเหนือชั้นกว่าธรรมดาในอาณาจักรคุนฉื่อถูกมองว่าเป็นเนื้อร้าย และสำหรับสวรรค์ มันคือสิ่งที่จะต้องถูกทำลายไปให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีการไหนก็ตาม


จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะผลุบออกจากรอยแยกของฉนวนเพื่อกลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ ที่กลางอากาศ หมู่เมฆดำกำลังรวมตัวกันพร้อมกับสายฟ้าและเปลวเพลิงอีกชุดใหญ่ ราวกับสาบานไว้แล้วว่าจะไม่มีวันหยุดพักหากยังไม่ได้ทำลายอาณาจักรคุนฉื่อจนราบคาบ


ภายใต้การคุ้มกันของจางเซวียน นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงผ่านรอยแยกของฉนวนกลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ด้วย


จางเซวียนหันกลับไปพูดกับชายสูงอายุที่อยู่ด้านหลัง “เมื่อครู่นี้คุณพูดว่าความตายของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติสามารถล่อลวงสวรรค์ได้ ถูกไหม?”


“ใช่ นั่นคือแนวคิดที่ใช้กับค่ายกลที่เหล่าบรรพบุรุษของเราสร้างขึ้นในครั้งนั้น” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบขณะยื่นตราหยกอันหนึ่งให้จางเซวียน


จางเซวียนรับตราหยกมาและรีบพิจารณารายละเอียดในนั้น จากนั้นก็สะบัดข้อมือ แล้วร่างมนุษย์คนหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้า


“เทพเจ้า? ไม่ ไม่ใช่สิ…คุณหลอมเทพเจ้าให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณหรือ?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกลัวแทบขาดใจ


สิ่งมีชีวิตที่เพิ่งปรากฏตรงหน้าแผ่รังสีของประวัติศาสตร์โบร่ำโบราณออกมา เพียงแค่ชำเลืองแวบเดียว ก็เห็นได้ชัดว่าผู้นั้นสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติแล้ว มีพละกำลังทัดเทียมกับเทพเจ้าที่พวกเขาเคยต่อสู้ด้วย!


สังหารเทพเจ้าจากมิติเบื้องบนและหลอมอีกฝ่ายให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณได้…เหลือเชื่อจริงๆ!


“ใช่” จางเซวียนพยักหน้า


ในเมื่อเรื่องราวเลยเถิดมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เขาต้องปิดบังอีก จางเซวียนถอดจิตวิญญาณออกจากกายเนื้อและเข้าสู่ร่างของหุ่นโลหะไร้วิญญาณ


ด้วยวิธีการที่จางเซวียนมี เขายังไม่อาจร่ายมนต์ใส่หุ่นโลหะไร้วิญญาณได้ ทำได้แค่ขับเคลื่อนมันขณะที่จิตวิญญาณของเขาอยู่ภายในร่างของหุ่นโลหะไร้วิญญาณเท่านั้น


นี่เป็นโอกาสดีที่จางเซวียนจะได้ซ้อมมือและดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะเลียนแบบสิ่งที่ปรมาจารย์ขงกับบรรดาศิษย์สายตรงเคยทำไว้เพื่อล่อลวงสวรรค์ในครั้งนั้น


ด้วยกรรมวิธีการขัดเกลาของจางเซวียน เขาสามารถหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณให้มีความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณของเขา ด้วยเหตุนี้ เงื่อนไขเบื้องต้นของการดำเนินกระบวนการจึงถือว่าสำเร็จลุล่วง


ฟึ่บ!


ทันทีที่จิตวิญญาณของจางเซวียนลอยเข้าสู่ร่างของหุ่นโลหะไร้วิญญาณ เมฆดำก็เข้ารุมล้อมร่างนั้นทันที ทุกคนตาโตขณะกำหมัดแน่นอย่างตื่นเต้น ดูเหมือนในที่สุดทุกอย่างก็ลงตัว!


แต่ครู่หนึ่งหลังจากนั้น หมู่เมฆดำก็สลายตัวไปจากจางเซวียนอย่างปุบปับ ราวกับหมดความสนใจในตัวเขา


“เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนแปลกใจที่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิด


ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในตราหยก การปรากฏตัวของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติคนหนึ่งจะดึงดูดความเกรี้ยวกราดของสวรรค์ให้ลงมาเล่นงานผู้นั้น เขาจึงออกแบบยุทธวิธีอย่างระมัดระวังและใช้ตัวเองแทนที่อาณาจักรคุนฉื่อ เพื่อที่สุดท้ายจะได้ตายแทนมัน


แต่ตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ การลงทัณฑ์จากสวรรค์เมินเขา ทำเอาถึงกับจนปัญญา


“ผมว่าผมเข้าใจแล้ว…”


หลังจากหายตะลึง นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตาโต เขาส่ายหน้าและอธิบาย “หุ่นโลหะไร้วิญญาณที่คุณเข้ายึดครองคือเทพเจ้าจากมิติเบื้องบน มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตของโลกใบนี้ และสวรรค์สัมผัสความแตกต่างได้…”


จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า


เท่าที่เขาได้เห็นมา ดูเหมือนสวรรค์จะมีสองมาตรฐาน มันไม่เคยลังเลที่จะลงทัณฑ์ประชากรที่อยู่ ใต้กฎเกณฑ์ของมัน แต่กับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นที่อยู่เหนือขอบเขตการรับรู้ของสวรรค์ สวรรค์ก็ลังเลที่จะเล่นงานผู้นั้น


เทพเจ้าที่เขาหลอมให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณมีต้นกำเนิดจากมิติเบื้องบน ถือเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมสำหรับโลกใบนี้ ดังนั้น สวรรค์ที่ควบคุมดูแลทวีปแห่งปรมาจารย์จึงลังเลที่จะเล่นงานอีกฝ่าย


ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้เทพเจ้าทั้งสองไม่ถูกสวรรค์เล่นงานทั้งที่ฝ่าปราการแห่งมิติลงมา ถ้าเป็นนักรบสักคนจากทวีปแห่งปรมาจารย์ แน่นอนว่าสวรรค์จะต้องโจมตีผู้นั้นทุกวิถีทางจนกว่าจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน


“มีอะไรที่เราทำได้อีกไหม?” จางเซวียนถึงกับจนปัญญา


สุดท้าย แม้สวรรค์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเย็นชาและไร้ความรู้สึก ก็กลับกลายเป็นว่าแท้ที่จริงกลั่นแกล้งผู้ที่หวาดกลัวความแข็งแกร่ง


ยกตัวอย่าง ถึงการปรากฏตัวของหลัวลั่วชิงจะถือเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ต่อโลก แต่สวรรค์ก็เลือกที่จะทำแค่ผลักดันเธอออกไป ไม่กล้าใช้สายฟ้าหรือเปลวเพลิงสวรรค์เล่นงานเธอ


คำถามนั้นทำให้นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงถึงกับอึ้ง เขาเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนจะเสนอ “ปรมาจารย์จาง ลองออกจากหุ่นโลหะไร้วิญญาณสักครู่เถอะ”


เขาคิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรทำอย่างไร จึงได้แต่ทดลองอะไรก็ตามที่พอจะมีหวัง


ได้ฟังคำเสนอแนะ จางเซวียนรีบถอดจิตวิญญาณของเขาออกจากหุ่นโลหะไร้วิญญาณและกลับเข้าสู่ร่างเดิม


บางที อาจเป็นเพราะสวรรค์รับรู้ได้ว่าจิตใต้สำนึกที่เคยอยู่ในหุ่นโลหะไร้วิญญาณเมื่อครู่ก่อนออกจากร่างนั้นไปแล้ว จึงเริ่มเข้ามารุมล้อมมันอีกครั้ง


“แต่แบบนี้ก็ไม่ได้นะ…” จางเซวียนเกาหัวอย่างหงุดหงิด


เขาต้องอยู่ในร่างของหุ่นโลหะไร้วิญญาณเพื่อขับเคลื่อนมันให้ดำเนินกระบวนการล่อลวงสวรรค์ ในเมื่อเขาไม่อาจควบคุมหุ่นโลหะไร้วิญญาณจากระยะไกลได้ แผนนี้ก็ถือว่าล่ม


“ถ้าแบบนี้ใช้ไม่ได้ล่ะก็ ผมจะพยายามขัดเกลาศพเทพเจ้าอีกศพหนึ่งที่ผมมีอยู่ในแหวนเก็บสมบัติตอนนี้…”


แต่ขณะที่พูดออกมา เสียงของจางเซวียนก็ค่อยๆแผ่วลง


เขามีศพของเทพเจ้าอีกศพหนึ่งอยู่ในแหวนเก็บสมบัติก็จริง แต่ยังไม่ได้ขัดเกลามัน และศพนั้นจะต้องถูกหลอมให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณก่อนเพื่อดึงดูดความสนใจของสวรรค์ ซึ่งกระบวนการหลอมก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ภายในระยะเวลาอันสั้น


“เราไม่สามารถขัดเกลาหุ่นโลหะอีกตัวหนึ่งได้ทันเวลาหรอก แถมยังไม่มีนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติด้วย แล้วจะทำอะไรได้?”


จางเซวียนจับจ้องเปลวเพลิงสีดำที่กำลังเล่นงานฉนวนของอาณาจักรคุนฉื่ออย่างไม่ลดละ ขณะพยายามเค้นหัวสมองเผื่อจะเกิดความคิดบางอย่าง


จากนั้น ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา


ใช่สิ…หอสมุดเทียบฟ้า! หอสมุดเทียบฟ้าเป็นตัวแทนของเจตจำนงของสวรรค์ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น จะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าเราจะใช้หน้าหนังสือสีทองเพื่อโน้มน้าวเจตจำนงของสวรรค์?


แต่เรื่องนี้ก็มีปัญหาเช่นกัน เพราะเขาเพิ่งใช้หน้าหนังสือสีทองหน้าเดียวที่มีเล่นงานเทพเจ้าที่อำมาตย์เฉินหลิงเรียกมา


อีกอย่าง การเกิดขึ้นของหน้าหนังสือสีทองก็ไม่แน่นอน ถึงตอนนี้ เขารู้เพียงว่าต้องมีใครสักคนยอมรับเขาเป็นอาจารย์ และผู้นั้นต้องเกิดความสำนึกในบุญคุณอย่างจริงใจต่อการถ่ายทอดความรู้ของเขา แต่ถึงอย่างไรก็ต้องลองดู


จางเซวียนจึงหันไปถามขงซือเหยาอย่างจริงจัง “คุณ…คุณเต็มใจจะยอมรับผมเป็นอาจารย์ของคุณไหม?”


“อะไรนะ? ไม่มีทางหรอก!” ขงซือเหยาตอบอย่างไม่ลังเล

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)