ยอดหญิงสกุลเสิ่น 189.2-190.2
ตอนที่ 189-2 ละครน้ำเน่าฉากใหญ่
ข่าวนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวคว้าชัยกลับมายังคงเป็นสาวใช้แรงงานผู้นั้นข้างกายเสิ่นหย่าที่ได้ยินโดยบังเอิญ ส่วนเหตุผลที่เสิ่นหย่าตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากบ้านฝั่งตน ก็เป็นเพราะเหอหลินหลินลูกสาวของนาง
พอเถียนอี๋เหนียงเข้าจวนมาก็ได้รับความโปรดปราน มารดาแซ่เหอถูกคนหลอก นางไม่ใช่บุตรสาวตระกูลดีเด่นอะไรเลย แต่กลับเป็นม้าซูบผอม[1]ที่ถูกคนตั้งใจบ่มเพาะ แค่คิดก็รู้อุบายของนางแล้ว
เหอจังหมิงได้นางมาก็ทะนุถนอมนางราวกับของล้ำค่า วันทั้งวันไม่ห่างเรือนนาง
เถียนอี๋เหนียงเป็นคนมีวาสนา ด้วยความที่เป็นม้าซูบผอม ส่วนใหญ่มักจะถูกใช้ยาทำลายความสามารถในการคลอดบุตร แต่นางกลับไม่โดน หนึ่งคือนางเฉลียวฉลาด ทุกครั้งที่ใช้ยานางก็เชื่อฟังมากเป็นพิเศษ เมื่อคนส่งยาไปแล้วนางก็คายทิ้งทันที สองคือช่วงเวลาที่นางใช้ยายังสั้นก็ถูกเลือกออกมาแล้วส่งเข้าไปที่เรือนหลังของเหอจังหมิงแล้ว
ได้รับความโปรดปรานจากเหอจังหมิงนางก็หาหมอมาช่วยบำรุงร่างกาย หลายเดือนต่อมาก็ตั้งครรภ์ อีกทั้งยังได้ลูกชายตั้งแต่ครั้งแรก มารดาแซ่เหอกับเหอจังหมิงก็ดีใจ โดยเฉพาะเหอจังหมิง แววตาที่มองลูกชายในผ้าอ้อมต่างก็อ่อนโยนหยาดเยิ้ม ดูท่าแล้วทายาทจะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งกับบุรุษ
จะว่าไปแล้วเถียนอี๋เหนียงคลอดบุตรชายคนโตออกมาก็เล็กกว่าบุตรสาวคนโตของเสิ่นหย่าเพียงแค่หนึ่งขวบกว่า แต่การปฏิบัติต่อคนทั้งสองในจวนกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว บุตรชายคนโตเหอเทียนเฉิงเป็นคุณชายที่กินดีอยู่ดี ส่วนบุตรสาวคนโตเหอหลินหลินกลับเป็นผักกาดขาวต้นเล็กที่ไม่ได้รับความสนใจ
ชั่วพริบตา เหอหลินหลินก็อายุสิบสามปีแล้ว เหอเทียนเฉิงก็อายุสิบสองปีแล้ว ถูกเหอจังหมิงคอยชี้แนะข้างกาย ส่วนจิตใจของเถียนอี๋เหนียงก็ใหญ่ยิ่งขึ้น นางคิดว่าเทียบกับเสิ่นซื่อที่รูปร่างซูบผอมผู้นั้นในเรือนหลังนางเองก็ไม่ได้ด้อยอะไร นางคิดจะเป็นเรือนหลัง เช่นนี้ลูกชายของนางจึงจะมีอนาคตที่ดีได้
นางเป่าหูง่ายดายอย่างยิ่ง เพียงแค่ลูกชายโตแล้ว ฉลาดและยอดเยี่ยมเหมือนกับนายท่าน เพื่ออนาคตที่ดียิ่งกว่านี้ ใช่ควรจะไหว้วานอาจารย์ชื่อดังมาให้ลูกหรือไม่ ฟังว่าคนผู้นั้นมีเส้นสาย นายท่านก็ไปสานสัมพันธ์เสียหน่อย อ้อจริงสิ เดือนก่อนคนผู้นั้นที่ว่าเพิ่งจะเสียภรรยา คุณหนูใหญ่ของพวกเราก็อายุสิบสามแล้ว ใกล้ถึงวันออกเรือนแล้ว หากคุณหนูใหญ่สามารถแต่งเข้าไปได้…
เถียนอี๋เหนียงวาดภาพฝันอันสวยงาม เหอจังหมิงฟังแล้วคาดไม่ถึงว่าพยักหน้าคิดว่ามีเหตุผล ไม่ได้คิดว่าคนที่ว่าซึ่งเสียภรรยาผู้นั้นจะมีอายุมากกว่าเขา คิดเพียงแค่ว่า หากเป็นพ่อตาของคนผู้นั้นที่ว่าได้ ไม่เพียงแต่จะวางอนาคตของเฉิงเอ๋อร์ได้ ตำแหน่งขุนนางของตนก็อาจจะเลื่อนขั้นได้อีกเช่นกัน
สำหรับลูกสาวคนโต อย่างไรเสียก็ไม่ได้มีความผูกพันมากนัก สละก็สละเถอะ! เลี้ยงนางจนโตป่านนี้ อย่างน้อยก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง
เมื่อเสิ่นหย่าได้ยินแผนการของสามีก็ร้อนใจทันที ชั่วชีวิตนี้ของนางมีเพียงลูกสาวคนนี้คนเดียว ทะนุถนอมราวกับแก้วตาดวงใจ จะทนเห็นลูกสาวถูกสามีผลักเข้ากองไฟได้อย่างไร
นางร่ำร้องขอ แต่น่าเสียดายที่เหอจังหมิงใจแข็งราวกับหิน เถียนอี๋เหนียงข้างๆ ก็ยังกล่าวอย่างเสแสร้ง “ท่านพี่ นี่เป็นเรื่องดี คุณหนูใหญ่ของพวกเราแต่งเข้าไปก็จะเป็นฮูหยินขั้นสี่ สุขสมจะตายไป น้องชายนางเองก็จะได้จดจำบุญคุณของนาง”
เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ เหอจังหมิงก็รู้สึกว่าความรู้ของเถียนอี๋เหนียงสูงกว่าเสิ่นซื่อมาก เป็นถึงบุตรสาวจวนโหว เหอะ แม้แต่อี๋เหนียงยังเทียบไม่ได้
เหอจังหมิงสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป มุมปากเถียนอี๋เหนียงก็ยกเล็กน้อยตามหลัง ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางคิดมาดีแล้ว ส่งเหอหลินหลินออกไปแลกอนาคตลูกชายของนาง หลังจากนั้นค่อยบีบบังคับให้เสิ่นซื่อตายช้าๆ จากนั้นค่อยโน้มน้าวนายท่านให้เลื่อนขั้นนางเป็นภรรยาเอก หลังจากนั้นนางก็จะเป็น
เหอฮูหยินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เสิ่นหย่ากอดลูกสาวร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด แต่เหอหลินหลินกลับไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แววตากลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้น กล่าวกับนาง ‘ข้ายอมตายยังดีเสียกว่า’ นี่ทำให้เสิ่นหย่าหวาดกลัวแล้ว น้ำตาไหลออกมามากกว่าเดิม ร้องกล่าว ‘ลูกข้า จะให้แม่ขาดใจตายหรือไร’
หลังจากนั้นยังคงเป็นแม่นมชราผู้นั้นที่โน้มน้าวให้นางไปขอความช่วยเหลือจากบ้านฝั่งมารดา ‘ไม่ใช่ว่ากันว่าท่านโหวของพวกเราสู้รบชนะ จักรพรรดิพระราชทานตำแหน่งขุนนางชั้นสูงให้หรือ ฮูหยินท่านเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่านโหว ท่านโหวจะไม่ใยดีท่านได้อย่างไร’
เหอหลินหลินเพิ่งจะรู้ว่าท่านปู่ของนางเป็นถึงท่านโหว อีกทั้งยังเป็นท่านโหวที่มีอำนาจอย่างยิ่ง ตั้งแต่เล็กจนโตแม่นางไม่เคยเล่าเรื่องตระกูลฝั่งมารดาให้นางฟังเลย เพียงแค่ได้ยินบทสนทนาจากคนในจวนว่านางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ตระกูลสูงในเมืองหลวง นางยังคิดว่าปู่นางตกต่ำไปนานแล้ว มิเช่นนั้นพวกนางแม่ลูกจะมีชีวิตที่น่าเวทนาเช่นนี้ได้อย่างไร
ตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าบ้านฝั่งมารดาของแม่นางรุ่งเรืองเช่นนี้ สายตาที่นางมองแม่นางเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ โมโหอกแทบจะระเบิดอยู่แล้ว ท่านมีที่พึ่งที่แข็งแกร่งเช่นนี้แต่กลับไม่พึ่ง สมองนิ่ม!
นางไม่สนความลังเลในแววตาของแม่นาง ตบโต๊ะตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา ไปขอความช่วยเหลือในเมืองหลวง จะต้องขอความช่วยเหลือให้ได้ นางไม่อยากถูกพ่อนางขาย
แต่จะขอความช่วยเหลืออย่างไรเล่า เขียนจดหมายหรือ หากตกอยู่ในมือท่านพ่อหรือเถียนอี๋เหนียงจะทำอย่างไร แอบส่งข่าว แต่ให้ใครส่งเล่า พวกนางอยู่ในเรือนหลัง ไม่รู้จักคนข้างนอกแม้แต่คนเดียว
ท้ายที่สุดก็ยังส่งคนกลับเมืองหลวง แต่จะส่งใครเล่า รวมๆ แล้วก็มีคนใช้อยู่สามคน แม่นมชราอายุมากแล้ว เดินทางไม่สะดวก สาวใช้แรงงานผู้นั้นก็อายุยังน้อย ทั้งยังไม่เคยออกจากเรือน ไม่หลงทางก็ดีเท่าไรแล้ว เมื่อคิดคำนวณดูแล้ว จึงมีเพียงสาวใช้ที่ออกเรือนพร้อมเสิ่นหย่าเท่านั้นที่จะไปได้
พูดว่าเป็นสาวใช้ แต่อันที่จริงนางก็อยู่ในวัยกลางคนแล้ว นางเป็นคนจงรักภักดี ชั่วชีวิตไม่แต่งงาน ดูแลเสิ่นหย่าสองแม่ลูก และเพราะว่ามีนางปกป้อง ชีวิตเสิ่นหย่าสองแม่ลูกจึงผ่านไปได้ดีเล็กน้อย
เลือกคนได้แล้ว เช่นนั้นต่อไปก็คือวิธีไปเมืองหลวง ออกจวนเหอกลับเป็นเรื่องง่าย สาวใช้ที่ชื่ออวิ๋นหรงผู้นี้จะออกจากประตูเล็กไปซื้อผ้าทุกๆ สิบวันถึงครึ่งเดือน หญิงชราเฝ้าประตูทราบดี นางจะออกไปกลับไม่ได้ทำให้เกิดข้อสงสัย ปกติเรือนพวกนางก็ไม่มีคนกลับมา ชั่วขณะกลับไม่อาจพบเห็นว่าอวิ๋น
หรงไม่อยู่
ออกจากจวนเหอเป็นเรื่องง่าย แต่จะไปเมืองหลวงอย่างไร การเดินทางครั้งนี้ด้วยการเดินเท้าของ
อวิ๋นหรงอย่างน้อยๆ ก็ต้องเดินยี่สิบวันขึ้นไป จะไม่กินไม่ดื่มไม่พักหรือไร แล้วเงินจะไปหามาจากไหน
ท้ายที่สุดเหอหลินหลินก็นำสร้อยเงินตอนเด็กของนางออกมา เสิ่นหย่าเองก็นำปิ่นทองหนึ่งอันที่เหลืออยู่ออกมาจากใต้เตียงเช่นกัน
เช่นนี้อวิ๋นหรงก็เดินทางได้แล้ว ตลอดทางนอนกลางดินกินกลางทราย กลับมาถึงเมืองหลวงด้วยความยากลำบาก ทั้งยังเสียเวลาไปขอความเห็นใจจากเหล่าไท่จวิน นางร้องไห้เล่าเรื่องราวทั้งหมด แต่เหล่าไท่จวินกลับทอดถอนใจหลายครา จากนั้นก็ไล่นางออกไป
อวิ๋นหรงเองก็ไม่แน่ใจเจตนาของเหล่าไท่จวิน สนใจหรือไม่สนใจกันแน่ แต่บ่าวเช่นนางก็ไม่กล้าถาม ทำได้เพียงไปรอที่เรือนคนใช้ หลายวันผ่านไปเหล่าไท่จวินก็ไม่มีเรียกนาง ในจวนเองก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ นางอยากไปหานายท่านรอง แต่ไปหลายรอบแล้วล้วนถูกห้ามไว้ข้างนอก
อวิ๋นหรงร้อนใจแล้ว คุณหนูกับคุณหนูน้อยยังรอนางส่งกำลังเสริมไปช่วยชีวิตอยู่ ไม่อยากล่าช้าต่อไปเช่นนี้ได้ ในขณะที่นางเตรียมจะถลันไปยังเรือนเหล่าไท่จวินอีกครั้ง นายท่านผู้เฒ่าโหวก็กลับเมืองหลวงพอดี นางคิดแล้วคิดอีก กัดฟันใช้เงินก้อนสุดท้ายติดสินบนหญิงชราผู้เฝ้าประตู ถลันตามทางเข้าไปถึงเรือนนอก
“นายท่านผู้เฒ่าโหว คนแซ่เหอผู้นั้นไม่ใช่คน คุณหนูกับคุณหนูน้อยใกล้จะถูกทรมานจนตายแล้ว ท่านได้โปรดช่วยพวกนางด้วยเถิด” อวิ๋นหรงโขกศีรษะอย่างแรง
“ที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงหรือ” ในดวงตาที่หรี่ลงของนายท่านผู้เฒ่าโหวมีบางอย่างกะพริบผ่าน หลายปีมานี้เขาปกครองซีเจียงอยู่ แม้แต่ลูกหลานในจวนยังดูแลไม่ได้ ไหนเลยจะยังนึกถึงบุตรสาวที่แต่งงานออกไปไกลได้ เขายังคิดว่าบุตรสาวมีชีวิตที่ดีอยู่เลย
“จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ หากบ่าวโกหกแม้แต่ประโยคเดียวขอให้ฟ้าผ่าตาย” อวิ๋นหรงชูนิ้วสาบาน
นายท่านผู้เฒ่าโหวพยักหน้า กล่าว “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว เจ้าเป็นคนภักดี จวนโหวไม่อาจละเลยเจ้า เจ้าไปพักก่อนเถิด”
อวิ๋นหรงได้ยินนายท่านผู้เฒ่าโหวพูดเช่นนี้ จิตใจก็วางลง มีนายท่านผู้เฒ่าโหวยื่นมือเข้ามาช่วย คุณหนูกับคุณหนูน้อยจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน
“ได้ยินกันหมดแล้วใช่หรือไม่ น้องสาวของพวกเจ้าใกล้จะถูกบ้านสามีทรมานจนตายแล้ว” นายท่านผู้เฒ่าโหวมองลูกชายและลูกสะใภ้ เสียงนิ่งเรียบไม่สั่นไหวแม้แต่นิดเดียว
เห็นแววตาที่รู้สึกผิดของลูกชายและแววตาที่คลุมเครือของลูกสะใภ้ นายท่านผู้เฒ่าโหวก็กระทืบม้านั่งจนเละเทะ แต่ก็ไม่มีทางสงบความโมโหในใจเขาได้เลย ตั้งแต่เล็กเขาเสิ่นผิงยวนก็ไม่เคยถูกทำให้อัดอั้นตันใจเช่นนี้มาก่อน แก่แล้วๆ บุตรสาวเพียงคนเดียวถูกชาวบ้านชนบทรังแก นี่จะทำให้เขาทนรับได้อย่างไร
ต่อให้บุตรสาวเขาจะมีนิสัยโอนอ่อน แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเจ้าจะกลั่นแกล้งทรมานนางได้ คิดว่าเขาตายไปแล้วหรือไร คิดว่าจวนจงอู่โหวหมดลมหายใจแล้วหรือไร
นอกจากความโกรธก็ยังมีความผิดหวัง ข้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่ซีเจียงก็เพื่อแย่งชิงอนาคตของลูกหลาน แต่คาดไม่ถึงว่าลูกทั้งหลายจะปกป้องไม่ได้แม้แต่น้องสาวเพียงคนเดียว สิบกว่าปีไม่คิดจะไปเยี่ยมไปถามไถ่ ยังมีภรรยาแก่ชราผู้นั้นของตน ไม่ว่าอย่างไรหย่าเอ๋อร์ก็เป็นเลือดเนื้อของเขา ซ้ำยังตะโกนเรียกเจ้าว่าแม่ นางถูกทรมานอยู่ที่บ้านสามีแต่เจ้ากลับยังเชิดหน้าชูตาอยู่อีก
“ท่านปู่ ในเมื่อตระกูลเหอให้เกียรติไม่รับเกียรติ เช่นนั้นพวกเราก็ไปพังบ้านพวกเขาก็ได้แล้ว ครอบครัวพวกเขาดูถูกท่านอา เช่นนั้นพวกเราก็ไปรับท่านอากับญาติผู้น้องมา สำหรับคนที่เหลือในตระกูลเหอ มาทางไหนย่อมต้องกลับไปทางนั้น!” เสิ่นเวยบิดผ้าเช็ดหน้าแล้วกล่าว
วันนี้นางได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ เคยเห็นคนหน้าไม่อาย แต่ไม่เคยเห็นคนหน้าไม่อายทั้งยังสมองนิ่มเช่นนี้ ส่วนท่านอาเขยแซ่เหอที่ไม่เคยเห็นหน้าผู้นั้นนางสงสัยอย่างยิ่งจริงๆ สงสัยว่าสมองคนผู้นั้นเป็นอย่างไร ไม่เคยคิดถึงคำว่าแค้นนี้ต้องชำระบ้างหรือ คนเช่นนี้สามารถสอบข้าราชการเป็นขุนนางได้ด้วยหรือ เสิ่นเวยสงสัยอย่างยิ่งจริงๆ
[1] ม้าซูบผอม มาจากกิจการซื้อขายเด็กสาวในยุคโบราณ โดยที่คนขายจะซื้อเด็กผู้หญิงยาจกผอมแห้งประหนึ่งม้าที่ซูบผอมมาในราคาต่ำแล้วนำมาเลี้ยงดูบ่มเพาะจนเหมือนม้าที่อ้วนพี จากนั้นจึงนำไปขายในราคาที่สูงลิ่ว
ตอนที่ 190-1 เลื่อนวันสมรส
จากมุมมองของเสิ่นเวย อาเขยผู้นี้ก็คือผู้ชายชาติชั่วจริงๆ ใช้สินเดิมของภรรยาอย่างใจกล้าหน้าด้านแต่กลับโปรดปรานอนุภรรยาทอดทิ้งภรรยาเอก ตระกูลเหอทั้งตระกูลใหญ่ก็เป็นคนชาติชั่ว ชั่วจนไม่มียารักษาแล้ว
“ท่านปู่ ยังจะรออะไรอีก หย่าเลย ให้ท่านอาหย่ากับคนแซ่เหอ ยึดสินเดิมกลับมา” หลังจากนั้นพวกเราก็ค่อยหาวิธีฆ่าพวกเขาช้าๆ ประโยคสุดท้ายนี้เสิ่นเวยไม่กล้าพูดออกมา กลัวว่าพ่อนางลุงนางและคนอื่นๆ จะคิดว่าตนโหดเ**้ยมเกินไป หากมีเพียงปู่นางคนเดียวที่อยู่ นางคงจะตะโกนออกไปนานแล้ว
ชายชาติชั่วหายากเช่นนี้หากยังยอมให้เขามีชีวิตอยู่ไม่ใช่จะเสียข้าวสุกหรือไร ฆ่าให้ตายเสีย ฆ่าให้ตายทั้งหมด ปล่อยให้ตั๊กแตนกลุ่มนี้กระโดดโลดเต้น ช่างขวางหูขวางตายิ่งนัก เสิ่นเวยเป็นคนปกป้องคนในครอบครัว แม้ว่านางจะไม่เคยพบท่านอาผู้นี้ แต่อย่างไรเสียในร่างกายก็มีสายโลหิตเดียวกันไม่ใช่หรือ
“เวยเจี่ยเอ๋อร์” เสิ่นหงเซวียนขมวดคิ้วถลึงตามองเสิ่นเวยปราดหนึ่ง บุตรสาวคนอื่นต่างก็อ่อนน้อมเชื่อฟัง แต่เหตุใดบุตรสาวผู้นี้ของตนถึงได้ห้าวหาญเช่นนี้ จู่ๆ ก็ร้องตะโกนให้หย่า นี่เป็นคำที่สตรีควรพูดหรือไร
เสิ่นเวยยักไหล่หลุบตาไม่พูดแล้ว ด้วยความเป็นผู้ปกป้องสังคมศักดินาเช่นพ่อนาง นางก็ขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว
นายท่านผู้เฒ่าโหวไม่พอใจแล้ว สั่งสอนลูกชายคนเล็กทันที “เจ้าตะโกนดุเจ้าสี่ทำไม นางพูดผิดหรืออย่างไร กล้านักเจ้าก็ไปถลึงตาใส่เหอจังหมิงสวะผู้นั้นสิ เขากล้าเหยียบย่ำบุตรสาวจวนจงอู่โหวของพวกเราเช่นนี้ ยังจะปล่อยเขาไว้อีกหรือ”
ท่าทีของเสิ่นหงเซวียนอ่อนลงทันที ปั้นหน้ายิ้มกล่าว “ท่านพ่อ ลูกก็ไม่ได้พูดอะไรไม่ใช่หรือ อย่างไรเสียน้องสาวกับน้องเขยก็เป็นสามีภรรยา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลินเจี่ยเอ๋อร์อีก หากหย่ากันแล้ว…” สตรีออกเรือนก็ควรจะซื่อสัตย์ต่อสามีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ได้รับความไม่เป็นธรรมเล็กๆ น้อยๆ ไหนเลยจะหย่าได้ น้องสาวถูกน้องเขยปฏิบัติไม่ดีเขาเองก็โมโหอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับต้องหย่าร้างกระมัง
นายท่านผู้เฒ่าโหวมองลูกชายและลูกสะใภ้ของเขา เห็นใบหน้าพวกเขาปรากฏสีหน้าเห็นด้วยเหมือนกันทั้งหมด นายท่านผู้เฒ่าโหวก็ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตนในตอนนี้อย่างไร เขาเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่สนใจระเบียบประเพณีเหล่านั้นของวงศ์ตระกูลใหญ่ เขารู้เพียงแค่ว่าบุตรสาวของเขาได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งในบ้านสามี เขาต้องพาลูกหลานของเขาไปตระกูลเหอและทำลายรากฐานตระกูลพวกเขาให้ถึงที่สุด มิเช่นนั้นจะมีลูกหลานมากมายเพียงนี้ไปเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อหนุนหลังแทนพี่น้องที่ออกเรือนหรอกหรือ
ดูท่าทางขวัญหนีดีฝ่อของลูกๆ เหล่านี้สิ ยังคงเป็นเจ้าสี่ที่เข้ากับเขาได้ นายท่านผู้เฒ่าโหวทอดถอนใจในใจ
เสิ่นหงเหวินสามพี่น้องไม่เอ่ยปาก เพียงแค่ถอนหายใจสั้นยาว มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ เสิ่นหงเหวินคิดครู่หนึ่งจึงกล่าว “ท่านพ่อ ตระกูลเหอกลั่นแกล้งน้องสาวเช่นนี้ พวกข้าย่อมไม่อาจยอมได้ นี่ไม่ใช่ว่าไม่เห็นจวนจงอู่โหวของพวกเราอยู่ในสายตาหรือ ลูกคิดว่าควรส่งผู้ดูแลไปดูสักหน่อย สุภาษิตว่าไว้ พังศาลเจ้ายังดีกว่าพังชีวิตคู่…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกนายท่านผู้เฒ่าโหวคว้าแท่งไม้ทับกระดาษบนโต๊ะเขวี้ยงออกไป ชี้จมูกเขาแล้วก่นด่า “นั่นคือน้องสาวแท้ๆ ของเจ้า เจ้าจะส่งผู้แลไปหรือ หากเป็นอิ๋งเจี่ยเอ๋อร์ซวงเจี่ยเอ๋อร์บุตรสาวแท้ๆ ของเจ้า เจ้าก็จะส่งผู้ดูแลไปหรือ เจ้าลูกอกตัญญู ข้าเลี้ยงเจ้าไว้ทำไม เลี้ยงเจ้าไว้ทำไม!” นายท่านผู้เฒ่าโหวโกรธจนมือสั่น
เสิ่นหงเซวียนพลันเห็นว่ามีของบางอย่างถูกขว้างเข้ามาก็หันหน้าหลบตามจิตใต้สำนึก ที่ทับกระดาษอันนั้นก็เฉียดผ่านไหล่ของเขาไป กระแทกลงบนผนังข้างหลัง ส่งเสียงดังอย่างยิ่งออกมา
คนหลายคนต่างก็ตกใจกลัว ไม่คิดว่านายท่านผู้เฒ่าโหวบอกว่าโมโหก็จะบันดาลโทสะทันที โดยเฉพาะฮูหยินสวี่กับฮูหยินจ้าว แม้จะรู้ว่านายท่านผู้เฒ่าโหวน่าเกรงขาม แต่ไหนเลยจะเคยเห็นเขาบันดาลโทสะมาก่อน สีหน้าซีดขาวหมดแล้ว ฮูหยินสวี่ในนั้นก็ยิ่งร้อนใจ มองสามีของตนเองด้วยสีหน้าเป็นกังวลทั้งใบหน้า ในใจตำหนินายท่านผู้เฒ่าไม่หยุด ท่านพี่ก็โตขนาดอุ้มหลานได้แล้ว ยังถูกนายท่านผู้เฒ่าก่นด่าสั่งสอนเช่นนี้อีก เสียหน้ายิ่งนัก
“ท่านพ่อโปรดระงับโทสะ ลูกทราบแล้ว เรื่องนี้ลูกเชื่อฟังท่าน ท่านว่าเช่นไรก็ทำเช่นนั้น หรือว่าจะให้ลูกไปอวิ๋นโจวเที่ยวหนึ่งด้วยตัวเอง” เสิ่นหงเหวินรีบกล่าวอย่างอ้อมๆ ตอนนี้ใบหน้าเขาร้อนผ่าว อยากจะคุกเข่าให้พ่อเขาอย่างยิ่ง
ฮูหยินสวี่เองก็เอ่ยปากช่วยทันที “ท่านพ่อ ท่านพี่เองก็เป็นห่วงน้องสาว หากน้องสาวหย่าร้าง ก็จะไม่มีทายาทอีก ภายหลังอยู่ตัวคนเดียวจะใช้ชีวิตผ่านไปได้อย่างไร ท่านพี่ก็ไม่ใช่ไม่เป็นห่วงน้องสาว เพียงแต่งานสมรสของเวยเจี่ยเอ๋อร์ใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราไหนเลยจะไปได้”
ฮูหยินจ้าวกลอกตาหนึ่งครา นึกได้ว่ากูไหน่ไนผู้นี้เป็นน้องสาวแม่เดียวกันกับสามีตน บ้านนางไม่อาจนิ่งเฉยได้ รีบใช้แขนสะกิดสามีทันที
สองสามีภรรยาบ้านสองใจตรงกันอย่างหาได้ยาก เสิ่นหงอู่ถกแขนเสื้อเลิกชุดคลุมกล่าว “ท่านพ่อ ลูกยินดีไปช่วยน้องสาวระบายความแค้น ข้าจะฆ่าเศษสวะที่ไม่รู้จักบุญคุณผู้นั้นเสีย” ท่าทางนั้นแทบไม่ต่างจากอันธพาลข้างถนน เพียงแต่เขาอายุค่อนข้างมากแล้ว ท่าทางเช่นนี้กลับดูพิลึกพิลั่นเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้
เสิ่นเวยหงุดหงิดใจแทนปู่ของนางจริงๆ เหตุใดถึงได้เลี้ยงคนแบบนี้ออกมาเล่า หากเป็นพี่น้องของนางที่ถูกกลั่นแกล้งอยู่ที่บ้านสามี นางคงจะยกตั่งไม้ไปขว้างใส่นานแล้ว ระบายอารมณ์ก่อนแล้วค่อยพูด ไหนเลยจะเหมือนพวกเขาที่กังวลเรื่องนี้เรื่องนั้นอยู่ได้ กว่าพวกเขาจะปรึกษาออกความคิดเห็นกันเสร็จงาก็ไหม้แล้ว
“ท่านปู่ๆ หรือว่าให้หลานวิ่งไปแทนท่านเที่ยวหนึ่ง” เสิ่นเวยกล่าวอย่างหยั่งเชิง เบื้องลึกในใจดีใจอยู่เงียบๆ ไอ๊หยา ล้างแค้นเรื่องทำนองนี้นางชอบทำที่สุด เรื่องนี้นางมีประสบการณ์ดี
มิหนำซ้ำท่านปู่ก็ไม่อาจไปได้แน่นอน หนึ่งคือหากเขาไปเองจะต้องระดมพลจำนวนมากเกินไป
เหอจังหมิงชายชาติชั่วผู้นั้นไม่สมควรได้รับ สองคือจวนจงอู่โหวกำลังยืนอยู่ในความสนใจ สายตาแต่ละจวนต่างจับจ้องท่านปู่ของนางอยู่ ไม่ควรออกจากเมืองหลวงจริงๆ
นายท่านผู้เฒ่าโหวมองดวงตาที่เปล่งประกายของหลานสาวเขา จะไม่รู้ความคิดในใจนางได้อย่างไร ในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างอดไม่ได้ “หาเรื่องให้น้อยหน่อย เจ้าอยู่นิ่งๆ ในจวนรอคุณชายใหญ่สวีมาสู่ขอก็พอ” จะแต่งงานอยู่แล้ว ยังคิดแต่จะวิ่งวุ่นไปทั่วอยู่อีก ชอบทำให้คนกลุ้มใจจริงๆ
นายท่านผู้เฒ่าโหวเห็นท่าทางขวัญหนีดีฝ่อของลูกชายทั้งหลายนั้นก็หงุดหงิดใจ ชั่วขณะก็หมดอารมณ์จะพูด โบกมือไล่ลูกๆ ทั้งหลายออกไป เหลือไว้เพียงเสิ่นเวยในห้องหนังสือ
“เจ้าสี่ เจ้าว่าเรื่องอาเจ้าจะทำอย่างไรดี” นายท่านผู้เฒ่าโหวถามอย่างตรงไปตรงมา
เสิ่นเวยกล่าว “หลานยังคิดว่าหย่าจึงจะดีที่สุด ครอบครัวแซ่เหอแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เห็นท่านอาไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา ต่อให้พวกเราจะไปสั่งสอนเขา กดดันให้เขายอมรับผิด แต่ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าเขาจะปฏิบัติต่อท่านอาดี ไม่แน่ว่าพอพวกเราไปเขาก็จะทำแบบเดิมซ้ำๆ พวกเราอยู่ห่างไกล ไม่อาจไปเยี่ยมที่นั่นทุกวันได้ไม่ใช่หรือ อุบายเอาชีวิตคนลับๆ มีมากถมไป พวกเขาก็แค่ทำอำพรางหน่อย ทำร้ายท่านอาและกว่าพวกเราจะไปถึงก็สายไปแล้ว ดังนั้นหย่าจึงดีที่สุด พวกเราพาท่านอากลับมา ตัดขาดกับตระกูลเหอของเขา หลังจากนั้นก็ค่อยจัดการตระกูลเหอ เลี่ยงไม่ให้ต้องหยิกเล็บเจ็บเนื้อ”
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วยังไม่หย่าแล้วจะรออะไรอีก ใจกว้างไปก็มีแต่จะช่วยคนเลวทำความชั่ว ไม่ต้องพูดว่าอันธพาลที่กลับตัวได้ล้ำค่ายิ่งกว่าเงินทอง แก้ไขข้อผิดพลาดได้เป็นยอดชาย เหตุใดถึงล้ำค่ายิ่งกว่าเงินทองน่ะหรือ ก็เพราะว่าหาได้ยาก เพราะว่ามีน้อยอย่างไรเล่า เสิ่นเวยไม่เชื่อว่าอาเขยตระกูลเหอผู้นั้นจะกลับตัวกลับใจได้ เขาอยู่บนเส้นทางชั่วช้าไม่อาจหันหลังกลับได้แล้ว
ในใจนายท่านผู้เฒ่าโหวเองก็เห็นด้วยกับการหย่า เขายอมเลี้ยงบุตรสาวทั้งชีวิตดีกว่าจะต้องส่งออกไปให้คนอื่นย่ำยีเช่นนี้ ชื่อเสียงงั้นหรือ ชื่อเสียงมีประโยชน์อันใด ขอเพียงแค่เขายืนหยัดอยู่ในราชสำนักได้ ขอเพียงแค่จวนจงอู่โหวไม่ล่มจม ใครจะยังกล้าทำลายชื่อเสียงหลานสาวทั้งหลายของเขาได้อีก ที่เขาห่วงกลับเป็นเรื่องอื่น
“แต่หย่าแล้วญาติผู้น้องเจ้าจะทำอย่างไร นางแซ่เหอ เป็นบุตรสาวของตระกูลเหอ ตามกฎธรรมเนียมอาเจ้าพานางไปไม่ได้” ทิ้งหลานสาวคนเล็กผู้นี้ให้ทรมานอยู่ที่ตระกูลเหอ เขากลับทนไม่ได้จริงๆ อีกทั้งบุตรสาวของเขาก็คงจะไม่ยินยอม ถึงตอนนั้นเพื่อลูกสาวแล้ว บุตรสาวของเขาจะต้องไม่หย่าแน่นอน
เสิ่นเวยแสยะปากอย่างเมินเฉย “ก็รับมาพร้อมกันเลย พวกเราก็ไม่ได้บอกว่าญาติผู้น้องไม่ใช่บุตรสาวของตระกูลเหอ แต่ตระกูลพวกเรารับหลานสาวมาอยู่ที่จวนชั่วคราวก็ได้ไม่ใช่หรือ อยู่ไปอยู่มาก็กลายเป็นอยู่ยาวแล้วไม่ใช่หรือ ญาติผู้น้องอายุสิบสามปีแล้ว กลับมาให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่หาคู่หมั้นแต่งเข้าไปก็ได้แล้ว แค่นี้ก็ไม่ต้องกลับตระกูลเหอแล้วไม่ใช่หรือ อีกอย่าง พอท่านอากับญาติผู้น้องออกมาแล้วพวกเราจะยังปล่อยให้ตระกูลเหอกระโดดโลดเต้นได้อีกหรือ ถึงตอนนั้นพวกเขาเอาตัวไม่รอด ไหนเลยจะยังสนใจญาติผู้น้องอยู่อีก” แม้ว่าจะใช้อำนาจรังแกคน แต่ตระกูลเหอของเขาจะกล้าค้านหรือ ขอเพียงแค่พวกเขากล้าอ้าปาก เช่นนั้นก็จัดการเก็บกวาดเสีย จัดการให้พวกเขาปิดปากได้เมื่อไรก็สิ้นสุดเมื่อนั้น
นายท่านผู้เฒ่าโหวพยักหน้าไม่หยุด “นี่กลับเป็นความคิดที่ไม่เลว” แม้ว่าเขาจะบัญชาการอยู่ในสนามรบ แต่สำหรับเรื่องในเรือนหลังแล้วกลับไม่ชำนาญมากนัก อาจารย์ผังก็ทิ้งไว้ให้ช่วยเขาดูแลหลานชายคนโตที่ซีเจียง ภรรยาผู้ชราก็ยิ่งไม่มีเหตุผล ข้างกายเขาไม่มีแม้แต่คนจะให้ปรึกษา โชคดีที่ยังมีเจ้าสี่อยู่ เขาโชคดีอย่างถึงที่สุด
“เช่นนั้นเจ้าสี่คิดว่าใครเหมาะสมจะไป” นายท่านผู้เฒ่าโหวถามกลับ
เสิ่นเวยชี้จมูกตัวเองอย่างไม่ต้องคิด กล่าว “ข้า” ไม่รอให้ปู่นางเอ่ยปากก็กล่าวต่อ “ท่านปู่ท่านค่อยๆ ฟังหลานวิเคราะห์ให้ท่านฟัง ในจวนของเราตอนนี้ท่านเป็นกังหันลมชี้ทิศทาง การกระทำทุกย่างก้าวของท่านทุกคนต่างก็จับตามอง ดังนั้นท่านไปไม่ได้ และไม่จำเป็นต้องไป ตระกูลเหอของเขาก็แค่เศษดิน ควรค่าให้เท้าอันสูงส่งของท่านไปเหยียบย่ำผืนดินสกปรกหรือไร ท่านลุงใหญ่เพิ่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท่านโหว ยังต้องรับแขกที่มาอวยพรในจวนอยู่เลย ดังนั้นเขากับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็ไปไม่ได้เช่นกัน พ่อข้าหรือ ไม่ต้องพูดถึงงานที่เขายังติดพันอยู่ เพียงแค่นิสัยคร่ำครึนั่นของเขาท่านจะวางใจได้หรือ ว่ากันตามเหตุผลท่านลุงรองกลับเหมาะสมอย่างยิ่ง เขาเป็นพี่ชายมารดาเดียวกันกับท่านอา ไปหนุนหลังน้องสาวก็เป็นเรื่องถูกหลักทำนองคลองธรรมไม่ใช่หรือ แต่เขากลับเทียบไม่ได้แม้แต่พ่อข้า ใครจะรู้ว่าเขาจะถูกคนมอมสุราสองแก้วส่งหญิงงามให้ก็ขายท่านอาทิ้งเสียแล้วหรือไม่”
เอ่ยถึงตรงนี้นางก็เหลือบตามองนายท่านผู้เฒ่าโหวปราดหนึ่ง กล่าวต่อ “พูดถึงรุ่นหลานบ้าง เดิมพี่ใหญ่ก็เหมาะสมอย่างยิ่ง เขานิสัยหนักแน่น ทำอะไรก็ค่อนข้างมีหลักการ บุคลิกปราดเปรียวรู้จักพลิกแพลง หลานชายออกหน้าแทนอาก็เป็นเรื่องที่พูดได้ แต่เขาอยู่ไกลถึงซีเจียง พี่รองน้องสามต่างก็ไม่เคยอยู่ไกลบ้าน และไม่เคยทำงานอะไรมาก่อน ไม่ถูกคนหลอกก็ดีเท่าไรแล้ว นอกจากนี้ น้องเจวี๋ยน้องอี้ก็ยังเด็กเกินไป ยิ่งรับมือกับสถานการณ์ไม่ได้ คิดคำนวณเช่นนี้แล้ว ก็มีเพียงหลานที่เหมาะสมที่สุดไม่ใช่หรือ ท่านปู่ ท่านให้หลานไปเถอะ หลานรับรองว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างดี ไม่เพียงแต่พาท่านอาและญาติผู้น้องกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ตระกูลเหอนั่นก็จะไม่มีทางให้พวกเขาไปดีได้”
ทว่านายท่านผู้เฒ่าโหวกลับนิ่งเงียบ “เจ้าล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ รีบเก็บความคิดนี้แล้วรอแต่งงาน” ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาให้เจ้าสี่ไปซีเจียงเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี จิตใจของเด็กคนนี้ป่าเถื่อนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
“เช่นนั้นก็ท่านลุงรองของเจ้าแล้วกัน” นายท่านผู้เฒ่าโหวตัดสินใจ นี่เองก็เป็นทางเลือกที่หมดหนทางมิใช่หรือ ใครใช้ให้เจ้านายในจวนมีเพียงเขาที่ว่างที่สุดเล่า ถึงตอนนั้นให้อานซิงตามเขาไปด้วย มีอานซิงดูอยู่ก็น่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดอะไร
“เช่นนั้นไม่ส่งท่านป้าสะใภ้รองไปเล่า” เสิ่นเวยเสนอความคิดเห็นที่ต่างออกไป
“เหตุใดเล่า” นายท่านผู้เฒ่าโหวอยากฟังคำอธิบายของหลานสาวยิ่งนัก
“ท่านปู่ ไม่ใช่ว่าหลานตั้งใจไม่ให้เกียรติท่าน ท่านลุงรอง เฮ้อ เป็นคนที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องส่วนตัวในเรือนหลังเช่นนี้ยังคงเป็นสตรีที่ออกหน้าจัดการดีกว่า ท่านป้าสะใภ้รองเป็นคนห้าวหาญ และยังหัวไวเล็กน้อย มิหนำซ้ำยังมีฐานะเป็นพี่สะใภ้ของบ้านฝั่งแม่อีกด้วย ทำงานมากกว่าท่านลุงรองเสียอีก ซ้ำท่านป้าสะใภ้รองผู้นี้ยังเห็นแก่ผลประโยชน์ที่สุด ท่านเพียงแค่บอกเป็นนัยนางเล็กๆ น้อยๆ ยังจะกลัวนางไม่ทุ่มเทอีกหรือ” เสิ่นเวยกล่าวอย่างมีเหตุผล
นายท่านผู้เฒ่าโหวมีความสุขแล้ว ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์อะไร ไม่ใช่โลภเงินหรอกหรือ เจ้าสี่เด็กคนนี้กลับรู้จักสร้างภาพสันติสุขจอมปลอม แต่ว่านางก็พูดได้มีเหตุผลจริงๆ “ได้ เช่นนั้นก็เป็นท่านป้าสะใภ้รองของเจ้าแล้วกัน” เขารับข้อเสนอของเสิ่นเวยด้วยความคล้อยตาม
ตอนที่ 190-2 เลื่อนวันสมรส
บางทีเรื่องรำคาญใจอาจจะถูกแก้ไขแล้ว ร่างทั้งร่างของนายท่านผู้เฒ่าโหวก็ผ่อนคลายลง ซ้ำยังมีอารมณ์หยอกล้อหลานสาวคนเล็ก “หากอาเจ้าหย่าแล้ว ในเมืองหลวงจะต้องมีเรื่องนินทา ชื่อเสียงของพวกเจ้าหลายคนก็อาจจะถูกรบกวน เจ้ากำลังจะแต่งเข้าจวนจิ้นอ๋องแล้ว ไม่กังวลว่าจะถูกบ้านสามีดูแคลนเอาหรือ”
เสิ่นเวยโบกมือ กล่าวอย่างมีสง่ามากเป็นพิเศษ ตั้งใจมากเป็นพิเศษ “ท่านปู่ แค่นี้ท่านก็มองไม่ออกหรือ หลานสรุปได้แล้วว่าชีวิตคนชั่วชีวิตนี้ ก็ต้องดำเนินไปท่ามกลางคำติฉินนินทาที่ถูกคนอื่นนินทากับนินทาคนอื่นมิใช่หรือ ถูกคนพูดไม่กี่ประโยคแล้วจะเป็นอะไรไป จะมีเนื้อให้กินน้อยลงหรือ ขอเพียงแค่ไม่พูดต่อหน้า หลานก็จะทำเป็นมองไม่เห็น คนที่พูดต่อหน้าเหล่านั้น หลานย่อมมีวิธีตบกลับไป สำหรับการดูถูก เหอะๆ หลานเป็นถึงจวิ้นจู่ที่ราชวงศ์พระราชทานบรรดาศักดิ์แล้ว ต่อให้พวกเขาจะดูถูกแล้วจะทำอะไรข้าได้” เสิ่นเวยชายตา ท่าทางหลุดพ้นเข้าใจทุกสรรพสิ่งบนโลก
หยุดครู่หนึ่งนางจึงกล่าวต่อ “ท่านเองก็ไม่ต้องทุกข์ใจแทนท่านอา จวนโหวใหญ่เพียงนั้นจะไม่มีเสื้อผ้าอาหารให้นางได้อย่างไร มีพ่อแท้ๆ เช่นท่านอยู่ ไม่มีใครกล้าปฏิบัติไม่ดีต่อท่านอาหรอก หลังจากนี้ร้อยปีท่านก็ยังมีหลานสาวเช่นข้าอยู่ไม่ใช่หรือ เจวี๋ยเอ๋อร์ก็เป็นน้องชายแท้ๆ ของข้า หากเขากล้าไม่เคารพท่านอา ข้าจะลงมือจัดการเขาด้วยตัวเอง ท่านน่ะ อายุปูนนี้แล้ว เลิกคิดมากเพียงนั้นได้แล้ว ใช้ชีวิตอีกไม่กี่ปีให้สุขสบายเถอะ เรื่องทั้งหลายหลานจะรับผิดชอบแทนท่านเอง” ในใจเสิ่นเวยรักท่านปู่จริงๆ แต่พูดไปพูดมานางก็ถูกตัวเองทำให้ซาบซึ้งแล้ว นางสูงส่งยิ่งใหญ่เพียงนี้เชียวหรือ
นายท่านผู้เฒ่าโหวก็ยิ่งอบอุ่นใจไม่หยุด น้ำตาของคนชราแทบจะไหลออกมาแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็พึ่งพาแต่ตัวเอง แข็งแกร่งมาทั้งชีวิต จู่ๆ ก็ถูกหลานสาวคนเล็กพูดว่าเรื่องทั้งหลายจะรับผิดชอบแทนเขา เขาซาบซึ้งใจไม่หยุดจริงๆ
โทษได้หรือว่าเขาลำเอียงรักเจ้าสี่มากกว่า หัวใจคนเราย่อมมีความรู้สึก ลูกชายทั้งสามคนของเขาไม่มีใครที่ใส่ใจเขาเท่าเจ้าสี่เลย
เมื่อเสิ่นหงอู่สองสามมีภรรยาบ้านสองกลับถึงเรือน ฮูหยินจ้าวก็ไล่สาวใช้ในเรือนออกไป กล่าวอย่างตักเตือน “นายท่าน หากท่านพ่อให้ท่านไปอวิ๋นโจว ควรจะระบายความแค้นแทนกูไหน่ไนเช่นไรก็ทำเช่นนั้น เพียงแต่อย่าได้วุ่นวายเกินไปนัก ยิ่งห้ามเอ่ยถึงเรื่องหย่า แม้ว่ากูไหน่ไนจะเอ่ยขึ้นมาเอง นายท่านก็ต้องโน้มน้าวให้กูไหน่ไนเลิกล้มความคิด”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า นี่เป็นคำพูดที่ผู้เป็นพี่สะใภ้เช่นเจ้าควรพูดหรือ น้องสาวถูกกลั่นแกล้งจนเป็นเช่นนี้ยังจะไม่หย่าอีก ทิ้งไว้ที่ตระกูลเหอของพวกเขาไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องตาย ทั้งตระกูลเป็นเพียงเศษดินยังกล้ากลั่นแกล้งน้องสาวของข้า ก็ควรจะฆ่าเขาเสีย หย่า ต้องหย่า ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ต่างก็เห็นด้วยกับการหย่า” เสิ่นหงอู่ถลึงตาโต กล่าวอย่างมีเหตุมีผล
ทว่าฮูหยินจ้าวกลับโมโหจนผลักเขาอย่างแรงหนึ่งครา “ท่านมันคนชั่ว ท่านคิดถึงแต่น้องสาวของท่าน เหตุใดจึงไม่คิดถึงบุตรสาวของท่านบ้างเล่า เซวียนเอ๋อร์ก็อายุจะสิบสี่ปีแล้ว ปิงเอ๋อร์ก็อายุสิบสามปีแล้ว ต่างก็เป็นช่วงเวลาดีที่จะเอ่ยเรื่องแต่งงาน หากในจวนมีกูไหน่ไนที่หย่าร้าง ตระกูลใดจะยอมแต่งงานกับพวกเราเล่า พี่ใหญ่และคนอื่นๆ เห็นด้วย นั่นก็เพราะว่าบุตรสาวของพวกเขาออกเรือนหมดแล้ว เหลือเย่ว์เอ๋อร์เพียงคนเดียว อายุยังน้อย มีแต่เซวียนเอ๋อร์ปิงเอ๋อร์ของพวกเรา…เหตุใดข้าถึงมีชีวิตขื่นขมเช่นนี้” พูดไปพูดมาฮูหยินจ้าวก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดตาร่ำไห้
เมื่อเสิ่นหงอู่ได้ยิน คิ้วก็ขมวดมุ่น “มีผลกระทบถึงเพียงนี้จริงๆ หรือ” เขามีบุตรสาวเพียงสองคน ยังคงรักใคร่อย่างยิ่ง
ฮูหยินจ้าวหยุดร้องไห้ “จะโกหกทำไมกัน นายท่านอยู่ข้างนอก ไหนเลยจะรู้เรื่องในเรือน ตระกูลใดเลือกสะใภ้มิใช่คัดเลือกอย่างละเอียดหรือ มีอาที่หย่าร้าง ลูกสาวในจวนของพวกเราก็จะถูกแปดเปื้อนไปด้วย”
เสิ่นหงอู่นั่งลงบนเก้าอี้ไม่พูดจา ครู่ใหญ่จึงกล่าว “เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะตัดสินใจได้ ยังต้องดูเจตนาของท่านพ่อ หากท่านพ่อบอกว่าหย่าเช่นนั้นก็ต้องหย่า อีกทั้งยังไม่แน่ว่าจะเป็นข้าที่ไปอวิ๋นโจว” เจตนาในคำพูดก็คือเขาเองก็หมดหนทาง
ฮูหยินจ้าวโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้ง กล่าวในใจ สามีผู้นี้ของข้า ทั่วทั้งจวนก็มีแต่ท่านที่ว่างที่สุด ซ้ำยังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของกูไหน่ไน ท่านไม่ไปแล้วใครจะไป
“ท่านพ่อไหนเลยจะเข้าใจเรื่องในเรือน ท่านไปอวิ๋นโจวย่อมต้องเป็นท่านที่ตัดสินใจ ยิ่งไปกว่านั้นกูไหน่ไนเองก็อาจจะไม่ยอมหย่า นางยังมีบุตรสามคนเล็กอีกหนึ่งคนมิใช่หรือ บุตรสาวล้วนแต่เป็นแก้วตาดวงใจของผู้เป็นแม่ นางไหนเลยจะตัดใจทิ้งบุตรสาวไว้ที่ตระกูลเหอแล้วตนกลับเมืองหลวง ถึงตอนนั้นท่านพ่อถามขึ้นมา ท่านก็บอกว่ากูไหน่ไนไม่ยอมหย่า ท่านพ่อจะยังทำอะไรท่านได้อีก” ฮูหยินจ้าวออกความคิดเห็นให้สามี
ทว่าเสิ่นหงอู่กลับรู้สึกหงุดหงิด เขาคิดว่าฮูหยินจ้าวพูดถูก แต่ในขณะเดียวกันก็คิดว่าจะไปหลอกลวงพ่อเขาก็ไม่ถูกต้อง หงุดหงิดใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “พอแล้วๆ พูดตอนนี้ยังเร็วไป ท่านพ่อยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้ใครไป” เดิมเขาอยากไปอย่างยิ่ง แต่ถูกฮูหยินจ้าวพูดเช่นนี้ เขาก็ไม่อยากไปแม้แต่นิดเดียวแล้ว
คุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องสวีโย่วกำลังอยู่ระหว่างทางเข้าวัง สีหน้าเขาเรียบเฉย แต่ริมฝีปากกลับเม้มแน่น ยามสองก็เลยมาแล้ว เสด็จลุงยังเรียกเขาเข้าวังอีก เดินทางยังต้องเดินเส้นทางลับ นี่ทำให้เขาจำใจต้องทายว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วใช่หรือไม่
เงาร่างของสวีโย่วปรากฎอยู่ในห้องหนังสือส่วนพระองค์ จักรพรรดิยงเซวียนที่ทรงยืนอยู่ข้างหน้าหน้าต่างก็กลับหลังหัน ประโยคแรกที่เอ่ยปากตรัสก็คือ “อาโย่ว วันสมรสของเจ้าต้องเลื่อนแล้ว” ใบหน้าของจักรพรรดิยงเซวียนมีความจริงจังและรู้สึกผิด
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” สายตาสวีโย่วสั่นสะท้าน รีบกล่าวถาม
จักรพรรดิยงเซวียนพยักหน้าช้าๆ “เรื่องที่พวกเจ้าถูกโจมตีระหว่างทางกลับเมืองหลวงครั้งนี้สืบได้เบาะแสเล็กน้อยแล้ว” หยุดครู่หนึ่งเขาจึงตรัสต่อ “เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าฮ่องเต้องค์ก่อนเคยมีพี่น้องร่วมสาบาน เพียงแต่ภายหลังมีเรื่องจนแตกแยก คนผู้นั้นจึงนำทหารม้าหนึ่งกลุ่มไปซ่อนตัว”
ดวงตาสวีโย่วมีแสงเย็นเยียบกะพริบผ่าน “ฝ่าบาทหมายถึงอ๋องเคียงบ่าพระองค์นั้นหรือ” เป็นถึงคนในราชวงศ์ โดยเฉพาะคนในราชวงศ์ที่ได้รับหน้าที่พิเศษ สวีโย่วจึงรู้เรื่องภายในไม่น้อย รวมถึงเรื่องของท่านเฉิงอ๋อง อ๋องเคียงบ่าผู้นั้นด้วย
ท่ามกลางกลียุคในตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนก่อกบฏ คนที่ไปตีใต้หล้าร่วมกับเขายังมีคนที่ชื่อเฉิงอี้ผู้หนึ่ง เฉิงอี้คนผู้นี้ชำนาญทั้งบุ๋ทั้งบู๊ แต่ละด้านต่างก็ไม่แพ้ให้ฮ่องเต้องค์ก่อน ฮ่องเต้องค์ก่อนเลื่อมใสในความสามารถของเขา จึงกรีดเลือดสาบานเป็นพี่น้องคนละพ่อคนละแม่ เอ่ยวาจาว่าในภายหน้าจะแบ่งปันใต้หล้าร่วมกัน
ต่อมาฮ่องเต้องค์ก่อนได้สถาปนาแคว้นยงเซวียน พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เฉิงอี้พี่น้องร่วมสาบานเป็นอ๋องเคียงบ่า แต่เฉิงอี้กลับไม่พอใจอย่างยิ่ง อ๋องเคียงบ่าก็เป็นเพียงแค่อ๋อง แล้วที่บอกว่าจะร่วมแบ่งปันใต้หล้าเล่า แต่ตอนนี้ราชวงศ์ได้ถูกกำหนดแล้ว ผู้ที่สนับสนุนฮ่องเต้องค์ก่อนก็มีจำนวนมาก เฉิงอี้จึงทำได้เพียงอยู่เงียบๆ ชั่วคราว
ภายหลังพี่น้องร่วมสาบานคู่นี้ก็ทะเลาะกันแล้ว เบื้องหน้าเฉิงอี้นำทหารม้าหนึ่งกลุ่มที่สนับสนุนเขากลับไปซ่อนตัวที่ยุทธจักร แต่สวีโย่วกลับรู้ว่าเฉิงอี้ถูกสุราพิษของฮ่องเต้องค์ก่อนฆ่าจนต้องออกจากพระราชวัง
จักรพรรดิยงเซวียนพยักหน้าอย่างแทบจะมองไม่เห็น “ก่อนฮ่องเต้องค์ก่อนจากไปก็ยังไม่วางใจคนผู้นี้ ตรัสว่าคนผู้นี้จักต้องเป็นหายนะยิ่งใหญ่ต่อดินแดนตระกูลสวีของพวกเรา เราครองบัลลังก์มานานเพียงนี้ พวกเขาไม่โผล่หัวมาโดยตลอด ทว่าตอนนี้กลับรีบปรากฏตัวในช่วงเวลาสำคัญ เราไม่วางใจ เจ้าไปตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเองหน่อย” จักรพรรดิยงเซวียนตรัสสั่ง
ชั่วลัดนิ้วมือเดียว สวีโย่วก็ตอบรับอย่างไม่แม้แต่จะคิด “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง” เขาอยากแต่งงานกับคุณหนูสี่แซ่เสิ่นยิ่งนัก แต่เขาเองก็รู้ลำดับความสำคัญ หากให้อ๋องเคียงบ่าในอดีตผู้นั้นก่อเรื่อง เขาที่เป็นคนในราชวงศ์ย่อมต้องปกป้องชีวิตไว้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานแล้ว อีกทั้งเสด็จลุงยังเรียกเขามา จักต้องเป็นเขาเท่านั้น เขาลงมือด้วยตัวเองสักหน่อย เสด็จลุงก็จะได้มีความสุข
“ดี ดี” จักรพรรดิยงเซวียนตบบ่าของสวีโย่ว ในแววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม
เช้าตรู่วันที่สอง จวนจิ้นอ๋องก็มีข่าวมา เมื่อคืนคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องโรคเก่ากำเริบ ตอนนี้รีบกลับไปหาหมอเทวดารักษาชีวิตบนเขาแล้ว
หลังจากนั้นจักรพรรดิก็เรียกนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวเข้าวังด่วน ไม่รู้เช่นกันว่าพูดอะไร ท้ายที่สุดนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวก็นำพระราชโองการคราวก่อนและพระราชโองการเลื่อนวันสมรสหนึ่งกองกลับจวน
คราวนี้ในเมืองหลวงล้วนลือกันไปทุกหัวข้อ ที่พูดเยอะที่สุดยังคงเป็นคุณหนูสี่จวนจงอู่โหวดวงแข็งพาสามีซวย มิเช่นนั้นเหตุใดฝั่งนี้กำลังจะสมรสแล้ว คุณชายใหญ่สวีฝั่งนั้นก็โรคเก่ากำเริบขึ้นมาเล่า
จวนจงอู่โหวเองก็ตื่นตกใจ แต่บุคคลต้นเรื่องอย่างเสิ่นเวยกลับไม่เป็นเดือดเป็นร้อน จากมุมมองของนาง ก็แค่เลื่อนวันสมรสมิใช่หรือ ไม่ได้ยกเลิกงานสมรสเสียหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
สำหรับข่าวลือที่ว่าดวงแข็งพาสามีซวยอะไรนั่นก็ยิ่งเป็นเรื่องไร้สาระ ดวงแข็งหรือ พาสามีซวยหรือ ฮ่าๆ น่าขำจริงๆ สวีโย่วหมอนั่นเพียงแค่มองดูแล้วซีดเซียว ความจริงแล้วร่างกายกลับแข็งแรง โรคเก่ากำเริบไปหาหมอเทวดารักษาตัวบนเขาอะไรกัน ข้างกายเขาก็มีหมอเทวดาไม่รู้หรือ ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นเพียงข้ออ้าง สวีโย่วหมอนั่นคงจะไปทำเรื่องลับๆ ล่อๆ อะไรอีกล่ะสิ ไม่พูดไม่ได้ว่าเสิ่นเวยทายได้ถูกต้องแม่นยำจริงๆ
นายท่านผู้เฒ่าโหวชื่นชมในความสงบนิ่งของหลานสาวอย่างถึงที่สุด แอบเล่าเรื่องให้นางฟังเงียบๆ เสิ่นเวยกล่าวในใจว่าว่าแล้ว แต่กลับกล่าวด้วยความหัวไว “ท่านปู่ ตอนนี้คุณชายใหญ่สวีก็โรคเก่ากำเริบแล้ว หลานควรจะไปวัดต้าเจวี๋ยถือศีลพักหนึ่งเพื่อขอพรให้เขาอีกหรือไม่” ถือศีลเป็นข้ออ้าง แอบลอบโจมตีจึงจะเป็นเรื่องจริง นางยังคิดจะไปอวิ๋นโจวอยู่เลย
“เจ้าคิดจะไปอวิ๋นโจวหรือ” นายท่านผู้เฒ่าโหวยังคงเข้าใจหลานสาวเป็นอย่างดี เมื่อมองดวงตาที่กลอกไปมาของนางก็รู้แล้วว่านางคิดอะไรอยู่
“หรือว่าท่านปู่ไม่อยากให้หลานไปงั้นหรือ” เสิ่นเวยกลับมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง
ปู่หลานสองคนที่นิสัยเจ้าเล่ห์สบตากันปราดหนึ่ง ต่างก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น